id
stringlengths 1
5
| revid
stringclasses 244
values | url
stringlengths 38
42
| title
stringlengths 4
94
| text
stringlengths 140
532k
|
|---|---|---|---|---|
16048
|
4717
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16048
|
สมุทรโฆสชาดก
|
พระศาสดาประทับอาศัยเมืองสาวัตถีอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ทรงปรารถพระนางยโสธราเทวี ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้
ในวันหนึ่ง พวกภิกษุนั่งสนทนาธรรมกันในโรงธรรมว่า พระศาสดาเพื่อจะได้พระนางยโสธราแล้ว ถึงกับสละรัชสมบัติของพระองค์ เสด็จไปยังพระนครอื่นแสดงศิลปะ ๖๐ อย่างที่หาผู้เสมอมิได้จนได้พระนางมา ทีนั้นพระศาสดาได้สดับถ้อยคำของพวกภิกษุ ตรัสว่ามิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ครั้งก่อนเพื่อให้ได้นางยโสธรามา ก็ละรัชสมบัติพร้อมทั้งบิดามารดาไปยังนครอื่นเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า
ในอดีตในแคว้ากาสีได้มีนครชื่อว่าพรหมบุรี ในเมืองนั้นมีพระราชานามว่าวินททัตครองราชย์โดยธรรม มีอัครมเหสีพระนามว่าเทวธิดา คราวนั้นพระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระเทวี ในขณะประสูตรมหาสมุทรได้กระฉอกกระฉ่อน เพราะฉะนั้นจึงตั้งพระนามว่าสมุทรโฆษ พระสิริรูปสมบัติของพระองค์ได้แผ่ไปตลอดชมพูทวีป ในสมัยนั้นยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อรัมมบุรี มีพระเจ้าสีหนรคุตปกครอง มีพระมเหสีพระนามว่ากนกวดี พระนางมีพระธิดาพระนามว่าวินทุมดี มีสิริโฉมงดงามยิ่งนัก พระธิดาได้ฟังถึงรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ก็มีจิตปฏิพัทธ์ติดใจ ไปนมัสการเทวสถานเป็นประจำ กระทำประทักษิณบูชาแล้วอธิษฐานขอให้บันดาลให้ได้พบพระองค์ แล้วจะกระทำการบูชาถวาย
คราวนั้นพราหมณ์ ๔ คน ออกเดินทางจากเมืองรัมมบุรีไปยังคามนิคมเมืองอื่นๆ ก็ลุถึงเมืองพรหมบุรี พวกพราหมณ์ได้เห็นพระกุมารก็ได้ถวายพระพร พอพระองค์ได้ประทับแล้วจึงตรัสถามพวกพราหมณ์ถึงข่าวคราวที่น่าสนใจในเมืองนั้น พวกพราหณ์ได้ทูลเรื่องราวถวายจนถึงเรื่องของพระราชธิดาที่มีสิริโฉม รุ่งขึ้นเข้าเฝ้าพระราชบิดาพระราชมารดาทูลขอลาไปยังเมืองรัมมบุรี โดยทูลถึงเรื่องราวของพระราชธิดาที่สิริโฉม จึงใคร่จะได้เห็นยิ่งนัก ฝ่ายพระบิดามารดาพอฟังคำพระโพธิสัตว์ตรัสห้าม แต่จะส่งทูตไปขอ
พระโพธิสัตว์ยังทูลขอและลาพระราชบิดามารดา ก็พระองค์ยังเป็นผู้ฉลาดในการดีดพิณ จึงนำพิณออกจากนครไป คืนเดียวก็เดินทางได้ ๗ โยชน์ พอสว่างก็ถึงเมืองรัมมบุรี รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งพระธิดาวินทุมดีก็เสด็จไปยังเทวสถาน ประทับนั่งอยู่ในสำนักพระบิดา ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ประดับพระองค์พร้อมสรรพเสด็จไปยังเทวสถานเหมือนกัน พระโพธิสัตว์จึงได้ยืนข้างพระพักตร์พระราชา จึงทรงดีดพิณได้อย่างไพเราะจับใจ ทีนั้นพระเจ้าสีหนรคุตสดับเสียงพิณ แม้พระธิดาวินทุมดีพระเทวีก็ทอดพระเนตรเช่นกัน พระราชาเลื่อมใสพระโพธิสัตว์ทรงพอพระทัยมาก อภิเสก ณ เทวสถานนั้นนั่นเอง จากนั้นได้จัดเตรียมบรรณาการมากมายส่งทูตไปพรหมบุรี พระเจ้าวินททัตได้สดับเรื่องแล้วก็พอพระทับ
ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยสุขอย่างยิ่งดังทิพสุข หนึ่งปีผ่านไปพระโพธิสัตว์ประสงค์จะประพาสอุทยานจึงเสด็จไปกับพระเทวี คราวนั้นยังมีวิทยาธรตนหนึ่งเหาะเที่ยวเล่นกับภรรยาตนที่เขาไกรลาส เก็บดอกไม้มาประดับตนกับภรรยา คราวนั้นเองยังมีวิทยาธรอีกตนหนึ่งที่เขาสุทัศน์พร้อมกับภรรยาเที่ยวเก็บดอกมณฑารพต่างๆ ประดับตน ตนเองก็ถือพระขรรค์เหาะไป พอเห็นวิทยาธรที่อยู่เขาไกรลาสเหาะไปอย่างนั้นก็ร้องถามไปว่า เราคือมรณาปัต ท่านไม่รู้จักเราหรือ ? ฝ่ายวิทยาธรที่อยู่เขาไกรลาสก็ร้องท้าทาย ทีนั้นทั้งคู่ต่างสู้รบกันในอากาศ วิทยาธรมรณาภิมุขที่อยู่เขาไกรลาสเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มรณาปัตได้ชัยชนะจึงจับเอาภรรยาของเขาไปด้วย ทั้งตัวของมรณาภิมุขเป็นรูพรุนด้วยพระขรรค์เหมือนอาบด้วยน้ำครั่ง จึงตกลงท่ามกลางอุทยานของพระโพธิสัตว์พร้อมทั้งพระขรรค์ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ประพาสอุทยานแล้วก็ประทับอยู่ที่ปราสาทกลางอุทยาน แล้วชวนบุตรปุโรหิตและอำมาตย์ไปเล่นในป่า ก็ได้พบวิทยาธรแต่ไกล จึงให้อุ้มเขาไปปราสามเรียกหมอมารักษา พอหายแล้ววิทยาธรจึงได้ถวายพระขรรค์ พร้อมทูลว่าพระขรรค์มีอานุภาพมาก ถือพระขรรค์นี้แล้วจะเหาะได้เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วลาไป ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์จึงเรียกพระเทวีมาชวนไปเที่ยวที่ป่าหิมพานต์จากนั้นได้เผลอหลับไป ทีนั้นมีวิทยาธรตนหนึ่งเหาะมา เห็นว่านอนหลับจึงค่อยขโมยพระขรรค์หนีไป พอตื่นบรรทมไม่เห็นพระขรรค์ก็เที่ยวหาแต่ไม่พบ พระโพธิสัตว์คิดหาวิธีกลับ ตรัสว่าต้องข้ามด้วยเรือ มองหาเรือก็ไม่พบเห็นขอนไม้งิ้ว จึงจับโคน พระเทวีจับปลาย ทั้งสองพระองค์ลอยไปถึงกลางมหาสมุทร คลื่นลมแรกกระแทกขอนไม้แตกออกเป็นสองท่อน สองกษัตริย์พรัดพรากกันไป พระเทวีได้แพจึงถึงฝั่งคร่ำครวญจนสลบไป พอฟื้นมาก็เที่ยวหาร้องไห้คร่ำครวญไป พระนางตากผ้าแห้งแล้วจึงห่อเครื่องประดับเดินไปตามรอยช้างลุถึงเมืองทัททรัฐ จึงเอาเขม่าไฟทาพระองค์เข้าเมือง คราวนั้นมีหญิงชราคนหนึ่งพบพระนางจึงไต่ถามแล้วชักชวนให้มาอยู่ที่บ้านตน รุ่งขึ้นพระนางถอดธำมรงค์สีแดงให้หญิงชราไปขายแก่เศรษฐี พอเศรษฐีเห็นเข้าก็บอกว่าสิ่งนี้มีค่ามากยิ่งนัก นางบอกว่าทั้งเมืองก็ไม่พอ แต่ขอแค่ทองเต็มห้าเกวียนแล้วนำกลับมาให้พระนาง พระนางจึงซื้อทาสขายหญิง ไม้ สร้างปราสาท จากนั้นสร้างศาลาแล้วเขียนภาพตั้งแต่เทวสถาน เรื่อยมาจนถึงภาพขอนไม้งิ้วแตกเป็นสองท่อน ให้เลี้ยงสมณพราหมณ์มากมาย แล้วคอยบอกพวกนางสาวใช้ ให้สังเกตดูและบอกกิริยาของคนเหล่านั้นให้ทราบ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ถูกคลื่นซัดไปถึงกลางมหาสมุทร มีคำถามว่าทำไมพระโพธิสัตว์จึงเสวยทุกข์ขนาดนี้ ? เพราะครั้งก่อนพระองค์เป็นคนเมืองพาราณสี ฤดูร้อนชวนภรรษาไปอาบน้ำ คราวนั้นมีสามเณรรูปหนึ่งเล่นน้ำอยู พายเรือเล่นอยู่ สองสามีภรรยาช่วยกันตีฟองน้ำเกิดเป็นคลื่นทำให้เรือล่ม ทำให้สามเณรจมน้ำ กลัวร้องไห้ แต่ได้ช่วยขึ้นมา ด้วยวิบากนั้นใน ๕๐๐ ชาติจึงเกิดมาเสวยทุกข์ในทะเล
พระโพธิสัตว์ถูกน้ำพัดไปอยู่อย่างนี้ คราวนั้นมีนางมณีเมขลา ไปเทวสมาคมตลอด ๗ วัน วันที่ ๗ จึงได้มาตรวจดูที่ที่ตนดูแล ได้เห็นพระมหาสัตว์ลอยอยู่ จึงไปสำนักของท้าวสักกะทูลให้ทราบ ท้าวสักกะสดับแล้วก็ตำหนินางมณีเมขลา จึงได้ไปช่วยพระโพธิสัตว์ขึ้นมาไว้บนฝั่ง นางมณีเมขลาทูลอีกว่าวิทยาธรมาขโมยพระขรรค์ของพระโพธิสัตว์ไป ท้าวสักกะจึงหยิบวชิราวุธลงจากเทวโลกขว้างให้หมุนอยู่บนกระหม่อมของวิทยาธร วิทยาธรกลัวสั้นสะท้านจึงนำพระขรรค์ไปคืนพระโพธิสัตว์ หลังจากรับพระขรรค์แล้วพระโพธิสัตว์เหาะไปที่ฝั่งมหาสมุทรถึงเมืองมัททรัฐ คิดว่าเราอดข้าวมาหลายวันควรจะพักที่เมืองนี้ก่อน จึงลงมาคิดจะถามเรื่องราวของพระเทวี แปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้าเมือง ชาวเมืองเห็นเข้าก็บอกถึงศาลาของพระนาง จึงเข้าไปกินอาหารแล้วดูรูปภาพ พอเห็นก็ร้องไห้แล้วหัวเราะอีก ทีนั้นพวกสาวใช้จึงไปบอกพระเทวี พระนางรีบเสด็จมาเห็นพระโพธิสัตว์ก็ดีพระทัยอย่างยิ่ง จากนั้น ๒-๓ วัน ก็ออกไปถึงเมืองรัมมทบุรี พระราชาก็ทรงจัดตกแต่งพระนครต้อนรับการกลับมา อภิเสกในรัชสมบัติ ส่วนพระองค์ก็เข้าป่าหิมพานต์ผนวชเป็นฤาษีทำฌานสมาบัติได้ไปเกิดในพรหมโลก ฝ่ายพระเจ้าวินททัตสดับการมาของพระโพธิสัตว์แล้วมอบรัชสมบัติให้ พระองค์เองออกไปป่าหิมพานต์ผนวชเป็นฤาษีเจริญฌานสมาบัติแล้วเกิดในพรหมโลก ฝ่ายพระโพธิสัตว์ให้สร้างศาลาโรงทานที่เมืองพรหมบุรรีบริจาคทาน แม้ที่เมืองรัมมบุรีก็ให้สร้างโรงทานบริจาค
พระโพธิสัตว์ครองราชย์โดยธรรม ชาวเมืองก็ตั้งมั่นในศีล ๕ ในคราวหมดอายุขัย ก็ได้บำเพ็ญทางสวรรค์ไว้บริบูรณ์แล้ว
ในตอนจบเทศนาทรงพระกาศอริยสัจ ๔ เมื่อจบอริยสัจ ๔ จึงทรงประชุมชาดกว่า วิทยาธรผู้ขโมยพระขรรค์คือเทวทัตในบัดนี้ บุตรของปุโรหิตคืออานนท์พุทธอนุชา บุตรของอำมาตย์คือราหุลโอรส พระเจ้าสีหนรคุตคือพระสารีบุตรผู้มีปัญญา พระนางกนกวดีคือพระนางมหาปชาบดีโคตมี กินรทุมราชคือพระโมคคัลลานาะผู้มีฤทธิ์ ท้าวสหัสเนตรจอมเทพคืออนุรุทธจักษุทิพย์ นางมณีเมขลาคืออุบลวรรณา นางวินทุมดีเทวีคือยโสธราเทวี ส่วนสมุทรโฆษคือเราสัมมาสัมพุทธเจ้า
|
16049
|
4717
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16049
|
สุธนชาดก
|
พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ได้พบสตรีสาวสวยนางหนึ่งเกิดปฏิพัทธ์ พอกลับจากบิณฑบาต ก็วางบาตรไว้นั่งก้มหน้าเสียใจ คราวนั้นพระสหายของท่านเห็นจึงถามว่าไม่สบายอะไร ท่านจึงเล่าเรื่องให้ทราบ พวกภิกษุจึงพาท่านไปเฝ้าพระศาสดา พอพระองค์ตรัสว่า ทำไมจึงได้ทำอย่างนี้ ทั้งที่เธอก็บวชด้วยศรัทธา ละสมบัติมาบวชในพระศาสดา ยังหวนคืนถึงเรื่องสตรีได้ และตรัสถึงเรื่องสตรีว่าเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ ดังเรื่องอดีตที่แม้บัณฑิตในครั้งก่อน เพราะสตรีจึงได้ละทิ้งบิดามารดารัชสมบัติ แม้ชีวิตตนเองก็มิได้คำนึง จนประสบทุกข์มากมาย ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า
พระเจ้าอาทิจวงศ์ครองราชย์อยู่ในเมืองอุตตรปัญจาลนคร มีพระมเหสีพระนามว่าจันทาเทวี สมัยนั้นพระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของนาง พระนางก็ประสูตรพระโอรสมีพระฉวีดังพระปติมาทอง ก็ในวันที่ประสูตรทั้งสี่ด้านของปราสาทได้มีขุมทรัพย์เกิดขึ้นทั้ง ๔ ทิศ เพราะเห็นอัศจรรย์นั้นพระราชาจึงขนานพระนามว่า สุธนกุมาร ต่อมาได้เรียนศิลปธนู มีพละกำลังมาก
ก็ในทิศตะวันออกของเมืองอุตตรปัญจาละ มีสระอยู่สระหนึ่ง ณ ที่นั้นเป็นที่อยู่ของพญานาคชื่อท้าวชมพูจิต เพราะฉะนั้นนครจึงมีความอุดมสมบูรณ์มาก ในครั้งนั้นทางทิศตะวันออกของเมืองอุตตรปัญจาละยังมีอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า มหาปัญจาลนครได้เกิดทุพภิกขภัยแสนสาหัส ชาวเมืองต่างขัดสนจนยาก ต่างอพยพออกไปทีละ ๑๐๐ ทีละ ๕๐๐ ทีละ ๑,๐๐๐ หนีไปเมืองอุตตรปัญจาละมากขึ้น เมือ่มหาปัญจาละจึงมีผู้คนร่อยหรอลงทุกที ในพระนครมีพระราชาพระนามว่านันทะครองราชย์อยู่ พระองค์ได้ทรงทราบข่าวความเดือนร้อนผู้คนอพยพไป จึงถามพวอำมาตย์จนได้ความแล้ว ทราบว่าเมืองอุตตรปัญจาละอุดมสมบูรณ์เพราะพญานาคชมพูจิต จึงมีความประสงค์จะฆ่าพญานาคเสีย จึงคิดหาอุบาย พวกอำมาตย์ทูลว่าจะฆ่าด้วยคนธรรมดาไม่ได้ ต้องใช้ผู้มีเวทมนต์ จึงรับสั่งให้ตีกลองป่าวประกาศให้ชุมนุมพราหมณ์ผู้ทรงเวทย์ คัดพราหมณ์จาก ๑,๐๐๐ ให้เหลือ ๕๐๐ และลดลงมาจนได้พราหมณ์ผู้ทรงเวทย์คนเดียว ทรงสั่งว่าหากฆ่าได้จะยกรัชสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง พราหมณ์เองก็มีวิชาและมีความโลภด้วยจึงรับพระดำรัส พราหมณ์ก็พอใจในความสำเร็จ สะกดมนต์ไว้แล้วนอนหลับไป รุ่งเช้าจึงเข้าป่าหายา ฝ่ายพญานาคออกจากนาคพิภพแปลงเพศเป็นพราหมณ์ยืนอยู่ริมสระน้ำ
คราวนั้นยังมีพรานชื่อบุณฑริก (พรานบุญ) บังเอิญผ่านไปถึงเขตนั้น พญานาคจึงถามได้ความว่าเป็นชาวอุตตรปัญจาละ มีความเคารพในตน พญานาคจึงแสดงตนและขอร้องให้ช่วยเหลือ พรานก็เต็มใจช่วย พญานาคพอพ้นจากมนต์ก็สบายขึ้น คิดถึงการช่วยเหลือของพรานจึงนำไปชมนาคพิภพ กาลเวลาผ่านไป วันหนึ่งพราหมณ์เข้าป่าล่าสัตว์จนถึงเขตป่าหิมพานต์ พบอาศรมหลังหนึ่ง พระฤๅษีถามความเป็นมาก็บอกกล่าวเรื่องราว จากนั้นก็ลาท่านเดินทางต่อไป คราวนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงอุโบสถ ธิดาทั้ง ๗ ของพระเจ้าทุมราชแห่งเขาไกรลาสพาบริวาร ๑,๐๐๐ มาลงเล่นน้ำในสระ นายพรานเห็นนางกินรีรูปงามนางหนึ่ง เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนจึงตกตะลึง คิดจะพานางกินรีนั้นมาถวายพระสุธนกุมารหวังจะได้บรรณาการ จึงกลับไปถามพระฤาษีว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ พระดาบสตอบว่าต้องได้บ่วงนาคบาส พรานถามว่าจะได้บ่วงจากที่ใด พระฤาษีตอบว่าอยู่ที่นาคพิภพ พรานพอได้ฟังก็ดีใจ ขอลาไปยังสระน้ำแล้วระลึกถึงพญานาคชมพูจิตขอบ่วงนาคบาส พญานาคไม่อาจทานได้จึงมอบให้ไป นายพรานออกจากที่ซ่อนขว้างบ่วงไป บ่วงมิได้ไปคล้องนางอื่นๆ คล้องแต่มือของนางมโนราห์ธิดาคนโตเท่านั้น นางกินรีทั้งหมดเห็นนายพรานต่างกลัว บินหนีไป พรานคิดว่าจะพาไปถวายพระสุธนกุมาร วันนั้นพระโพธิสัตว์ทรงช้างสมุททกหัตถีที่สง่างามเสด็จออกประพาสอุทยานพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ได้ทอดพระเนตรเห็นมโนห์ราตามมาข้างหลัง พอได้เห็นเท่านั้นได้เกิดความรักขึ้นมาอย่างจับใจ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้อยู่ร่วมกับนางมโนห์ราอัครมเหสีอย่างมีความสุข
เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป พราหมณ์ผู้ทรงเวทคนหนึ่งอยากจะรับใช้พระมหากษัตริย์ จึงเข้าไปเสนอตัวรับใช้ กล่าวว่าหากพระราชบิดาองพระองค์ทิวงคตแล้ว ตนเองขอเป็นปุโรหิตคนต่อไป พระมหากษัตริย์ก็รับคำ ทีนั้นปุโรหิตที่เป็นบิดาของเขา ได้ฟังเรื่องจากคนอื่น จึงผูกใจเจ็บผูกเวรในพระโพธิสัตว์ ได้ยุยงให้แตกกันกับพระบิดาว่า พระสุธนกุมารจะลอบปลงพระชนม์ยึดรัชสมบัติ พระราชามิได้ทรงเชื่อเลย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเมื่อเมืองรอบนอกเกิดกำเริบขึ้น พระราชาเสด็จไปปราบปรามด้วยพระองค์เอง แต่ไม่สามารถปราบได้ เมื่อพบปุโรหิตจึงตรัสถามวิธีที่จะจัดการให้สงบ ปุโรหิตได้ทีทูลว่าให้ส่งพระโอรสไป พระราชาทัดทานว่าพระโอรสไม่รู้เรื่องการรบ แต่ไม่อาจทานได้จึงยอมตามคำปุโรหิตส่งพระโอรสไป
วันนั้นเองพระราชาอาทิจวงศ์ได้สุบินนิมิตเห็นว่า ลำไส้ของพระองค์ออกมาจากพระอุทร พันรอบชมพูทวีปสามรอบแล้วกลับเข้าไปดังเดิม ทรงสดุ้งตื่นบรรทม รับสั่งให้หาปุโรหิตแต่เช้าเล่าสุบินนิมิตให้ฟัง ปุโรหิตได้ทีคิดว่าเป็นไปตามใจมุ่งหวังของตนแล้ว วันนี้จะได้จัดการกับพระกุมารเสีย จึงทูลด้วยความกระหยิ่มใจว่า สุบินนิมิตนั้นไม่ดี จะเป็นเหตุให้พระเทวี รัชสมบัติ พระโอรส หรือพระองค์เองพินาศ พระราชาได้สดับก็กพระทับตรัสถามว่าจะทำอย่างไรดี พราหมณ์ทูลว่าควรบูชายัญด้วยสิ่งมีชีวิตทุกอย่างเคราะห์จึงจะหาย พระราชาพอได้สดับก็ให้รับสั่งให้จัดหาให้คบทุกอย่างเพื่อบูชายัญ ฝ่ายปุโรหิตว่ายังมีอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไปคือกินระ พระราชาตรัสว่ากินระหาได้ยาก ปุโรหิตทูลว่ามีอยู่ก็คือพระสุณิสาของพระองค์นั่นเอง พระราชาก็ทรงทัดทานด้วยเหตุผลว่าเป็นสิ่งที่รักของพระกุมาร พระราชาไม่สามารถทัดทานได้จึงทรงนิ่งอยู่ ปุโรหิตจึงให้ทหารไปจับนาง นางจึงให้พระเทวีช่วยบอกที่เก็บปีกให้แล้วสวมปีกบินไปยังป่าหิมพานต์ ไปหาพระกัสสปะฤาษี แจ้งเรื่องราวต่างๆ ให้ทราบ และฝากบอกพระสุธนกุมารด้วยว่า หากเสด็จตามหาให้มอบผ้ากัมพลและธำมรงค์เพชรให้เสด็จกลับเสีย เพราะว่าหนทางที่จะไปตามหานางนั้นมีอันตรายมากมาย แล้วมุ่งหน้าไปทางใต้ เดินทางถึงเขาไกรลาสเข้าเฝ้าพระบิดา
คราวนั้นพระเจ้าทุมราชได้สดับการมาของธิดาดำริว่า ธิดาไปอยู่กับมนุษย์นาน จะกลับมาอยู่กับกินนรอีกไม่สมควร ควรสร้างปราสาทให้นางอยู่ต่างหาก คราวนั้นพระโพธิสัตว์ปราบปัจจันตประเทศราบคาบแล้ว พระมารดาทอดพระเนตรเห็นพระโอรสเสด็จมาต้อนรับพระโอรสสวมกอดกรรแสงร้องไห้ พอพระกุมารถามก็ได้บอกเรื่องราวให้ฟัง หลังจากได้ฟังพระมหาสัตว์ปานประหนึ่งใจจะขาด จะออกตามหานางให้ได้ แม้พระมารดาจะห้ามปรามอย่างไรก็มิอาจทัดทาน พระโพธิสัตว์ออกจากพระนครไปกับพรานป่า ได้เดินทางไปถึงที่อยู่ของกัสสปฤาษีจึงเข้าไปถาม พระฤาษีทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ และมอบผ้ากัมพลแดงธำมรงค์ให้
พระมหาสัตว์พอได้เห็นเท่านั้นก็โศกสลดพระทัยประหนึ่งว่าได้พบหน้า มโนห์ราอีกครั้ง พระดาบสทูลให้เสด็จกลับ แต่พระกุมารตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยวที่จะติดตามนางต่อไป พระดาบสเห็นถึงความรักมีพลานุภาพจึงบอกตามที่นางมโนห์ราบอกไว้ให้ทราบโดยละเอียด พระโพธิสัตว์จึงลาพระฤาษีเดินทาง ได้พบกับสิ่งต่างๆ ตามที่นางมโนห์ราบอกไว้ นางพอทราบว่าพระสวามีมาถึงแล้ว นางจึงเข้าเฝ้าพระบิดา พระบิดาจึงซักถามเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วถามว่าสวามีของนางเป็นเช่นไร นางมโนห์ราก็ทูลตามความจริงว่าสวามีเป็นบุรุษผู้มีบุญญาธิการ พระบิดาจึงว่าทำไมไม่ติดตามนางมาเล่า พระธิดาทูลว่าพระสวามีมาถึงแล้ว พระเจ้าทุมราชแปลกพระทัย เพราะหนทางมานั้นแสนยากยิ่งนัก เมื่อมาแล้วให้รีบพามา สาวใช้ไปเชิญพระกุมารเสด็จมา พอพระสุธนกุมารเสด็จมาถึง เหล่าวิทยาธรกินนรต่างจ้องมองอย่างสนใจ พระโพธิสัตว์ทูลว่าใช้เวลาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงมาถึง พระเจ้าทุมราชตรัสถามถึงความสามารถอื่น โดยเฉพาะวิชายิงธนู รับสั่งให้ทดลองด้วยการให้ยิ่งให้ทะลุต้นตาล ๗ ต้น กระดานไม้มะเดื่อ ๗ แผ่นซึ่งกว้างยาวถึง ๓ ศอก แผ่นทองแดง ๗ แผ่น เกวียนบรรทุกทราบ ๗ เล่มวางต่อกัน พระสุธนกุมารก็ยิ่งได้ทะลุ ตรัสทดสอบอีกว่านี้เป็นแผ่นหินที่คนตั้งพันจึงจะยกได้ให้พระโพธิสัตว์ยก แล้วให้พระธิดาทั้ง ๗ แต่งพระองค์เหมือนกันให้นั่งตามลำดับ
พระมหาสัตว์ตรวจดูแต่จำนางไม่ได้จึงคิดหาวิธี จึงอธิษฐานว่าหากมิได้ทำผิดในภรรยาผู้อื่นในที่ไหน ขอให้เทวดาช่วยบอกให้ทราบด้วย ร้อนถึงท้าวสักกะต้องลงมาบอกให้ทราบว่า หากกินรีนางใดเป็นมโนห์รา จะแปลงเป็นผึ้งบินรอบนางนั้น พระโพธิสัตว์จึงทราบว่านางคือมโนห์รา พระเจ้าทุมราชพอพระทัยจึงจัดพิธีอภิเสกที่พระลานหลวงมอบรัชสมบัติให้ พระโพธิสัตว์จึงได้อยู่ร่วมกับมโนห์รา ต่อมาได้คิดถึงมารดาบิดา รุ่งเช้าจึงเข้าเฝ้า พระบิดามารดาแจ้งเรื่องทั้งหมด พระเจ้าทุมราชก็อำนวยตามได้พากันมายังมนุษย์โลกอยู่ได้ ๗ วันก็ลากลับ พระเจ้าอาทิจวงศ์ได้อภิเสกในรัชสมบัติ ส่วนพระองค์ออกผนวชเจริญฌานสมาบัติ ไปเกิดในพรหมโลกแล้ว พระโพธิสัตว์ทำบุญถวายทาน เลี้ยงมารดาบิดา สิ้นพระชนม์ไปเกิดในดุสิตภพแล้ว มหาชนตั้งอยู่ในพระโอวาท จนสิ้นชีพตักษัยไปบังเกิดในสวรรค์
พระศาสดาครั้นนำเทศนานี้มาแล้วประชุมชาดก ประกาศอริยสัจแล้ว พระที่กระสั้นนั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล พระศาสดาเมื่อจะประกาศความนั้นจึงตรัสว่า พระเจ้าอาทิจวงศ์ครั้งนั้นคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางจันทาเทวีคือพระนางมหามายาเทวี ทุมราชาคือพระสารีบุตร ดาบสกัสสปฤาษีคือพระมหากัสสปะ นาคราชคือพระมหาโมคคัฟลลานะ พรานบุณฑริกคือพระอานนท์ ท้าวสักกะคือพระอนุรุทธ ปุโรหิตคือพระเทวทัต มโนห์ราคือราหุลมารดา ที่เหลือคือเหล่าพุทธบริษัท สุธนกุมารคือตถาคตผู้เป็นเลิศประเสริฐในหมู่มนุษย์ ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกอย่างนี้
|
16080
|
4431
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16080
|
คาถาบารมี 30 ทัศ
|
อิติปาระมิตาติงสา (ขออำนาจแห่งบารมี 30 ทัศ)
อิติสัพพัญญูมาคะตา (ขออำนาจแห่งพระสัพพัญญู)
อิติโพธิมนุปปัตโต (ขออำนาจแห่งโพธิญาณ)
อิติปิโสจะเตนโม (ด้วยอำนาจแห่งคำขอทั้งหมดนี้ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า)
หมายเหตุ.
หากภาวนาคาถาบทนี้แล้วจะทำให้จิตนิ่งเป็นสมาธิ การเห็นภาพนิมิตรจะชัดเจน
|
16126
|
9904
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16126
|
คำอธิษฐานขออโหสิกรรม
|
คำอธิษฐานอโหสิกรรม
ข้าพเจ้านางสาวพัชรีรัตน์. เสนาพิทักษ์. ชื่อเดิม นางสาววัชรินทร์ เสนาพิทักษ์ ขออโหสิกรรม
กรรมใดที่ทำแก่ผู้ใด ในชาติใด ๆ ก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมและนายเวรจงอโหสิกรรม ให้กับนางสาวพัชรีรัตน์ เสนาพิทักษ์ อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อไปเลย
แม้แต่กรรมที่ใคร ๆ ทำกับนางสาวพัชรีรัตน์ เสนาทักษ์ก็ตาม นางสาวพัชรีรัตน์ เสนาทักษ์ ขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น และขอยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน
เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อไป ด้วยอนิสงส์แห่งอภัยทานนี้ขอให้นางสาวพัชรีรัตน์ เสนาพิทักษ์ ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจน วงสาคณาญาติและผู้มีอุปการคุณของนางสาวพัชรีรัตน์ เสนาพิทักษ์ จงมีความสุข ความเจริญ ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีและสิ่งที่ชอบด้วยเทอญ
|
16147
|
57383
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16147
|
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖
|
คำปรารภ.
"คำนำ"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระมหากรุณาต่อแม่ก๊ะและข้าพเจ้ามาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่แม่ก๊ะประชวรหนักก่อนถึงวาระสุดท้าย ครั้นแม่ก๊ะสิ้นพระชน์ลงก็พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์การพระศพอย่างสมพระเกียรติ กับทรงสละเวลาเสด็จมาเป็นองค์ประธานในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานโดยลำดับมา ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ทั้งนี้พระราชโอรสธิดาก็ได้เสด็จในการสวดพระอภิธรรมเป็นการส่วนพระองค์อยู่เป็นประจำ ในโอกาสที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดการพระราชทานเพลิงศพแม่ก๊ะในวันเสาร์ที่ ๘ มีนาคม ศกนี้ นั้น ข้าพเจ้าได้ให้จัดพิมพ์หนังสือบทเสภาเรื่อง "พญาราชวังสัน" กับ "สามัคคีเสวก" และหนังสือ "พระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิต" ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ของทูลกระหม่อมก๊ะ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับพระราชทานเป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพแม่ก๊ะ ด้วยสำนึกในพระเมตตาของทูลกระหม่อมก๊ะและแม่ก๊ะที่มีต่อลูก
เพชรรัตน ราชสุดา
วังรื่นฤดี
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙
พระประวัติพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖.
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี (15 เมษายน พ.ศ. 2448 — 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528) เป็นพระวรราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า เครือแก้ว อภัยวงศ์ ธิดาของพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) กับเล็ก บุนนาค ต่อมาได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า สุวัทนา ได้เข้ารับราชการฝ่ายใน ในตำแหน่งเจ้าจอมสุวัทนา และได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ตามลำดับ
พระองค์ได้ให้ประสูติการแก่พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในรัชกาลคือ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี แต่หลังจากประสูติพระเจ้าลูกเธอได้เพียงหนึ่งวัน พระราชสวามีได้สวรรคตลง พระองค์และพระธิดาจึงได้เสด็จไปประทับยังสหราชอาณาจักรกว่า 20 ปี ภายหลังจึงได้เสด็จนิวัติประเทศไทยโดยพำนักในวังรื่นฤดี เป็นการถาวรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528 เนื่องจากอาการแทรกซ้อนเกี่ยวกับพระปับผาสะอักเสบ ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริพระชนมายุได้ 80 พรรษา ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระโกศทองน้อย ประดิษฐานพระศพภายใต้ฉัตรตาดทอง 5 ชั้น ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตร
เมื่อถึงงานพระเมรุ ได้อันเชิญพระโกศโดยรถวอพระวิมานไปยังพระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2529 และพระราชทานเพลิงพระศพในวันเดียวกันนั้น และมีการเก็บพระอัฐิในวันที่ 9 มีนาคม และวันฉลองพระอัฐิเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งทั้งสองงานดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ปฏิบัติพระกรณียกิจแทนพระองค์ ส่วนพระอัฐิของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 ได้ประดิษฐาน ณ หอพระนากในพระบรมมหาราชวังและส่วนหนึ่งเชิญไปประดิษฐานยังวิมานพระอัฐิ วังรื่นฤดี
ส่วนพระอังคารของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีได้ประดิษฐาน ณ ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม เคียงข้างพระราชสวามี ตามพระราชพินัยกรรมที่ทรงลิขิตไว้ว่า "...ส่วนเรื่องพระอัษฐินั้น, ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม, แต่เราเห็นโดยจริงใจว่า สุวัทนาสมควรที่จะได้ตั้งคู่กับเรา" ส่วนฉัตรสุมพระอัฐินั้นเชิญไปถวายพระอภัยวงศ์ วัดแก้วพิจิตร จ.ปราจีนบุรี อันเป็นวสัดประจำสกุลอภัยวงศ์
|
16152
|
6791
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16152
|
คำทำนายฝัน
|
คำทำนายฝัน รวบรวมและเรียบเรียงโดย พระอรรถวสิษฐสุธี (ช. อิศรภักดี)
ได้เก็บเห็ด
ห้าวันที่แล้ว
วันพุธ
เห็นว่าปี2560
บ้านเมืองจะเจริญผู้คนมีความสุข
ตัวอย่าง.
๑. ฝันในประถมยาม ฝันดีและร้าย ๘ เดือนจะรู้เหตุ
๒. ฝันในมัชฌิมยาม ฝันดีและร้าย ๔ เดือนจะรู้เหตุ
๓. ฝันในปัจฉิมยาม ฝันดีและร้าย ๑ เดือนจะรู้เหตุ
๑. ฝันวันอาทิตย์ จะได้แก่ชนทั้งปวง
๒. ฝันวันจันทร์ จะได้แก่ญาติที่สืบสายโลหิต
๓. ฝันวันอังคาร จะได้แก่บิดามารดา
๔. ฝันวันพุธ จะได้แก่บุตรภรรยา
๕. ฝันวันพฤหัสบดี จะได้แก่ครูบาอาจารย์
๖. ฝันวันศุกร์ จะได้แก่วงศ์วานและสัตว์พาหนะของตน
๗. ฝันวันเสาร์ จะได้แก่ตนเอง
คำทำนายฝันนี้ได้แบ่งเป็น ๑๕ หมวด ในหมวดหนึ่งมีหลายลักษณะ เช่น ว่าด้วยสวรรค์, ฟ้า, อากาศ, เมฆ, ลม เป็นต้น เพื่อให้ค้นหาคำทำนายง่าย วิธีค้นคำทำนายนั้น คือ
เมื่อเราฝันว่าอย่างไร เช่น ฝันว่า "ได้ขึ้นสววรค์" เป็นต้น ก็ตรวจดูสารบาญตั้งแต่หมวด ๑ ถึงหมวด ๑๕ ถ้าลักษณะความฝันตรงกับหมวดเท่าใด เช่น ฝันว่า "ได้ขึ้นสวรรค์" ตรงกับหมวด ๑ เป็นต้น เช่นนี้ เราก็พลิกดูหมวด ๑ นั้นต่อไป แล้วดูฝอยในหมวด ๑ นั้น ฝอยละเอียดตรงกับความฝันของเราบทที่เท่าใด เช่น ฝันว่า "ขึ้นสวรรค์" ดังกล่าวมาแล้วอยู่ในหมวดที่ ๑ ตรงกับบทที่ ๘ อยู่หน้าเท่าใด แล้วก็พลิกหาหน้านั้น บทที่ ๘ แล้วอ่านคำทำนายต่อไป ก็จะได้คำทำนายตรงกับความฝัน คือในบทที่ ๘ นั่นเอง
๑. ฝันเห็น "บิดามารดา" ตรวจดูสารบาญจะพบในหมวดที่ ๕ แล้วพลิกดูในหมวดที่ ๕ บทที่ ๓๙๔ ที่ฝันว่า เห็น "บิดามารดา" ตรงกับความฝัน ดูต่อไปว่าอยู่หน้าเท่าใด แล้วก็พลิกดูคำทำนายในบทที่ ๓๙๔ ก็จะได้คำทำนายสมประสงค์
๒. ฝันว่า "บุกป่าฝ่าหนาม" ตรวจดูในสารบาญจะพบในหมวดที่ ๑๓ แล้วพลิกดูในหมวดที่ ๑๓ ต่อไป จะพบบทที่ ๓๒๑ ฝันว่า "บุกป่าฝ่าหนาม" ตรงกับความฝัน ดูต่อไปว่าบทที่ ๓๒๑ อยู่หน้าเท่าใด แล้วก็พลิกดูหน้านั้น ก็จะได้คำทำนายสมประสงค์
๓. ฝันว่า "ทัดดอกไม้" ตรวจดูสารบาญจะพบในหมวดที่ ๖ แล้วพลิกดูหมวดที่ ๖ ต่อไป จะพบบทที่ ๑๖๓ ฝันว่า "ทัดดอกไม้" ตรงกับความฝัน ดูต่อไปว่าบทที่ ๑๖๓ อยู่หน้าเท่าใด แล้วก็พลิกดูหน้านั้น ก็จะได้คำทำนายสมประสงค์
รายการละเอียด
ข้อที่
๔๓๕ ฝันว่า
๐๐๘ ฝันว่า
๓๔๔ ฝันว่า
๓๔๖ ฝันว่า
๓๔๕ ฝันว่า
๑๗๐ ฝันว่า
๐๕๑ ฝันว่า
๑๓๕ ฝันว่า
|
16166
|
7361
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16166
|
คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๓/คำพิพากษา
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๓ <br>
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคำพิพากษา <br>
คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๓ <br>
— "คำพิพากษา <br>"ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
#เปลี่ยนทาง
#เปลี่ยนทาง
คำพิพากษา
<ns>10</ns>
<id>16513</id>
<revision>
<id>39269</id>
<timestamp>2010-10-01T09:03:24Z</timestamp>
<contributor>
<username>Octahedron80</username>
<id>156</id>
</contributor>
<comment>escape template</comment>
<origin>39269</origin>
<model>wikitext</model>
<format>text/x-wiki</format>
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์<br>ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
<br>วันที่ ๒๖ เดือน กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓
เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
|
16167
|
1481
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16167
|
พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐบาลไทย
พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑รัฐบาลไทย
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๑ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑"
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ในพระราชบัญญัตินี้
"การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร" หมายความว่า การดำเนินการเพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข และฟื้นฟูสถานการณ์ใดที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัย อันเกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ทำลาย หรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ ให้กลับสู่สภาวะปกติ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ
"คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
"ผู้อำนวยการ" หมายความว่า ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
"หน่วยงานของรัฐ" หมายความว่า ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่ไม่รวมถึงศาลและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
"เจ้าหน้าที่ของรัฐ" หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ
"พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งผู้อำนวยการแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
"จังหวัด" หมายความรวมถึง กรุงเทพมหานคร
"ผู้ว่าราชการจังหวัด" หมายความรวมถึง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
มาตรา ๔
ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕
ให้จัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เรียกโดยย่อว่า "กอ.รมน." ขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
กอ.รมน. มีฐานะเป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยวิธีการปฏิบัติราชการ และการบริหารงาน การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงาน และอำนาจหน้าที่ของส่วนงาน และอัตรากำลัง ให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เรียกโดยย่อว่า "ผอ.รมน." เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างใน กอ.รมน. และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน. โดยมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ผู้อำนวยการอาจแต่งตั้งผู้ช่วยผู้อำนวยการจากข้าราชการในสังกัด กอ.รมน. หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นได้ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงโครงสร้างและการแบ่งส่วนงานภายในของ กอ.รมน.
ให้เสนาธิการทหารบกเป็นเลขาธิการ กอ.รมน. มีหน้าที่รับผิดชอบงานอำนวยการและธุรการของ กอ.รมน.
รองผู้อำนวยการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และเลขาธิการ กอ.รมน. มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างใน กอ.รมน. รองจากผู้อำนวยการ และมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่ผู้อำนวยการกำหนด
ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจทำนิติกรรม ฟ้องคดี ถูกฟ้องคดี และดำเนินการทั้งปวงเกี่ยวกับคดีอันเกี่ยวเนื่องกับอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ทั้งนี้ โดยกระทำในนามของสำนักนายกรัฐมนตรี
ในการปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้รองผู้อำนวยการเป็นผู้ปฏิบัติหรือใช้อำนาจแทนก็ได้
มาตรา ๖
ให้ กอ.รมน. เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง
มาตรา ๗
ให้ กอ.รมน. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
(๒) อำนวยการในการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในการนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่เสนอแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานและดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามแผนและแนวทางนั้น
(๓) อำนวยการ ประสานงาน และเสริมการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานตาม (๒) ในการนี้ คณะรัฐมนตรีจะมอบหมายให้ กอ.รมน. มีอำนาจในการกำกับการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดด้วยก็ได้
(๔) เสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและความสงบเรียบร้อยของสังคม
(๕) ดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือตามที่คณะรัฐมนตรี สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๘
นอกจากการมอบอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแล้ว บรรดาอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจให้ ผอ.รมน.ภาค ผอ.รมน.จังหวัด หรือผู้อำนวยการศูนย์ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ปฏิบัติแทนก็ได้
มาตรา ๙
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้หน่วยงานของรัฐจัดส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติหน้าที่ใน กอ.รมน. ตามที่ผู้อำนวยการร้องขอ และให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลหรือองค์กรอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ทำนองเดียวกันของหน่วยงานของรัฐนั้น จัดให้หน่วยงานของรัฐที่จัดส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติหน้าที่ยัง กอ.รมน. มีอัตรากำลังแทนตามความจำเป็น แต่ไม่เกินจำนวนอัตรากำลังที่จัดส่งไป
มาตรา ๑๐
ให้มีคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรคณะหนึ่ง ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัยการสูงสุด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นกรรมการ และเลขาธิการ กอ.รมน. เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งข้าราชการใน กอ.รมน. เป็นผู้ช่วยเลขานุการไม่เกินสองคน
ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่กำกับ ให้คำปรึกษา และเสนอแนะต่อ กอ.รมน. ในการปฏิบัติงานในอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. รวมตลอดทั้งอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) วางระเบียบเกี่ยวกับการอำนวยการและประสานงานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
(๒) วางระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ กอ.รมน. กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด
(๓) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการงบประมาณ การเงิน การคลัง การพัสดุ และการจัดการทรัพย์สินของ กอ.รมน.
(๔) แต่งตั้งคณะที่ปรึกษา กอ.รมน. โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในภาคส่วนต่าง ๆ อย่างน้อยให้ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิหรือมีประสบการณ์ด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี การรักษาความมั่นคงของรัฐ สื่อมวลชน และมีหน้าที่ในการเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น และให้คำปรึกษาตามที่คณะกรรมการหารือ
(๕) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย
(๖) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น
มาตรา ๑๑
เมื่อมีกรณีจำเป็นในอันที่จะรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่ของกองทัพภาคใด คณะกรรมการ โดยคำเสนอแนะของผู้อำนวยการ จะมีมติให้กองทัพภาคนั้นจัดให้มีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค เรียกโดยย่อว่า "กอ.รมน.ภาค" ก็ได้
ให้ กอ.รมน.ภาค เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อ กอ.รมน. โดยมีแม่ทัพภาคเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค เรียกโดยย่อว่า "ผอ.รมน.ภาค" มีหน้าที่รับผิดชอบและสนับสนุนการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคตามที่ผู้อำนวยการมอบหมาย
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการและลูกจ้างของกองทัพภาค รวมตลอดทั้งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในเขตพื้นที่ให้มาปฏิบัติงานประจำหรือเป็นครั้งคราวใน กอ.รมน.ภาค ได้ตามที่ ผอ.รมน.ภาค เสนอ
ผอ.รมน.ภาค เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างที่ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติงานใน กอ.รมน.ภาค และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน.ภาค
การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงานและอำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง และการบริหารงานของส่วนงานภายใน กอ.รมน.ภาค ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการกำหนดตามข้อเสนอของ ผอ.รมน. ภาค
ให้ กอ.รมน. และกองทัพภาคพิจารณาให้การสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณ และทรัพย์สินในการปฏิบัติงานของ กอ.รมน.ภาค ตามที่ ผอ.รมน.ภาค ร้องขอ และให้นำความในมาตรา ๙ มาใช้บังคับกับ กอ.รมน.ภาค ด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๒
เพื่อประโยชน์ในการสร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น ผอ.รมน.ภาค อาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค ขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการมีจำนวนไม่เกินห้าสิบคน โดยแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนในพื้นที่ทุกภาคส่วน มีหน้าที่ในการเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น และให้คำปรึกษาตามที่ ผอ.รมน.ภาค ร้องขอ
มาตรา ๑๓
เพื่อประโยชน์ในการสนับสนุน ช่วยเหลือ และปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค ตามมาตรา ๑๑ ผอ.รมน.ภาค โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้อำนวยการ จะตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด เรียกโดยย่อว่า "กอ.รมน.จังหวัด" ขึ้นในจังหวัดที่อยู่ในเขตของกองทัพภาค เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อ กอ.รมน.ภาค ก็ได้ โดยมีหน้าที่รับผิดชอบและสนับสนุนการรักษาความมั่นคงภายในเขตพื้นที่รับผิดชอบของจังหวัดนั้นตามที่ผู้อำนวยการมอบหมาย และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเรียก โดยย่อว่า "ผอ.รมน.จังหวัด" เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้าง และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน.จังหวัด
การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงานและอำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง และการบริหารงานของส่วนงานภายใน กอ.รมน.จังหวัด ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการกำหนด
ให้ กอ.รมน. และจังหวัดพิจารณาให้การสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณและทรัพย์สินในการปฏิบัติงานของ กอ.รมน.จังหวัด ตามที่ ผอ.รมน.จังหวัด ร้องขอ และให้นำความในมาตรา ๙ มาใช้บังคับกับ กอ.รมน.จังหวัด ด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๔
เพื่อประโยชน์ในการสร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น ผอ.รมน.จังหวัด อาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา กอ.รมน.จังหวัด ขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยประธานกรรมการและกรรมการมีจำนวนไม่เกินสามสิบคน โดยแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนในพื้นที่ทุกภาคส่วน มีหน้าที่ในการเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น และให้คำปรึกษาตามที่ ผอ.รมน.จังหวัด ร้องขอ
มาตรา ๑๕
ในกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานของรัฐหลายหน่วย คณะรัฐมนตรีจะมีมติมอบหมายให้ กอ.รมน. เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้น ภายในพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนดได้ ทั้งนี้ ให้ประกาศให้ทราบโดยทั่วไป
ในกรณีที่เหตุการณ์ตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง หรือสามารถดำเนินการแก้ไขได้ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบตามปกติ ให้นายกรัฐมนตรีประกาศให้อำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ที่ได้รับมอบหมายตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง และให้นายกรัฐมนตรีรายงานผลต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบโดยเร็ว
มาตรา ๑๖
ในการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา ๑๕ ให้ กอ.รมน. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย
(๑) ป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา ๑๕
(๒) จัดทำแผนการดำเนินการตาม (๑) เสนอต่อคณะกรรมการเพื่อให้ความเห็นชอบ
(๔) สั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีพฤติกรรมว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือเป็นอุปสรรคต่อการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ออกจากพื้นที่ที่กำหนด
ในการจัดทำแผนตาม (๒) ให้ กอ.รมน. ประชุมหารือกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องด้วย และในการนี้ ให้จัดทำแผนเผชิญเหตุในแต่ละสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
ในกรณีที่มีคำสั่งตาม (๔) แล้ว ให้ กอ.รมน. แจ้งให้หน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดทราบพร้อมด้วยเหตุผล และให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้รับคำสั่งให้ออกจากพื้นที่นั้นไปรายงานตัวยังหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัดโดยเร็ว ในการนี้ ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าสังกัดดำเนินการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ หรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ตามที่กำหนดไว้ในคำสั่งดังกล่าว
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ถ้ามีความจำเป็นที่ กอ.รมน. ต้องใช้อำนาจหรือหน้าที่ตามกฎหมายใดที่อยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐใด ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ใน กอ.รมน. เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้น หรือมีมติให้หน่วยงานของรัฐนั้นมอบอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ให้ กอ.รมน. ดำเนินการแทนหรือมีอำนาจดำเนินการด้วย ภายในพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ต้องกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้อำนาจนั้นไว้ด้วย
มาตรา ๑๗
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ในมาตรา ๑๖ ในเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ให้ผู้อำนวยการ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มีอำนาจจัดตั้งศูนย์อำนวยการหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นเพื่อปฏิบัติภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างเป็นการเฉพาะก็ได้
โครงสร้าง อัตรากำลัง การบริหารจัดการ อำนาจหน้าที่ การกำกับ ติดตาม หรือบังคับบัญชาศูนย์อำนวยการหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ กำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้นำความในมาตรา ๙ มาใช้บังคับกับศูนย์หรือหน่วยงานตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม โดยให้อำนาจของผู้อำนวยการเป็นอำนาจของผู้อำนวยการศูนย์หรือหัวหน้าหน่วยงานนั้น
มาตรา ๑๘
เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ภายในพื้นที่ตามมาตรา ๑๕ ให้ผู้อำนวยการ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้
(๑) ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด
(๒) ห้ามเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนดในห้วงเวลาที่ปฏิบัติการ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้น
(๓) ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด
(๔) ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
(๕) ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
(๖) ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน
ข้อกำหนดตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนเวลา หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ด้วยก็ได้ ทั้งนี้ การกำหนดดังกล่าวต้องไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ
มาตรา ๑๙
ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๖ (๑) ให้ผู้อำนวยการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ผู้อำนวยการมอบหมาย เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และร่วมเป็นพนักงานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒๐
ในการใช้อำนาจของ กอ.รมน. ตามมาตรา ๑๖ (๑) ถ้าก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนผู้สุจริต ให้ กอ.รมน. จัดให้ผู้นั้นได้รับการชดเชยค่าเสียหายตามควรแก่กรณี ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๑
ภายในเขตพื้นที่ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ กอ.รมน. ดำเนินการตามมาตรา ๑๕ หากปรากฏว่า ผู้ใดต้องหาว่าได้กระทำความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด แต่กลับใจเข้ามอบตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนแล้วปรากฏว่า ผู้นั้นได้กระทำไปเพราะหลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการเปิดโอกาสให้ผู้นั้นกลับตัวจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในการนี้ ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนของผู้ต้องหานั้นพร้อมทั้งความเห็นของพนักงานสอบสวนไปให้ผู้อำนวยการ
ในกรณีที่ผู้อำนวยการเห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวน ให้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นของผู้อำนวยการให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องต่อศาล หากเห็นสมควร ศาลอาจสั่งให้ส่งผู้ต้องหานั้นให้ผู้อำนวยการเพื่อเข้ารับการอบรม ณ สถานที่ที่กำหนดเป็นเวลาไม่เกินหกเดือน และปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นที่ศาลกำหนดด้วยก็ได้
การดำเนินการตามวรรคสอง ให้ศาลสั่งได้ต่อเมื่อผู้ต้องหานั้นยินยอมเข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว
เมื่อผู้ต้องหาได้เข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดดังกล่าวแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องผู้ต้องหานั้นเป็นอันระงับไป
มาตรา ๒๒
พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายในพื้นที่ที่กำหนดตามมาตรา ๑๕ อาจได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
พนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่งผู้ใดเจ็บป่วย เสียชีวิต ทุพพลภาพ พิการ หรือสูญเสียอวัยวะอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นนอกเหนือจากที่มีกฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๓
บรรดาข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามหมวดนี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
การดำเนินคดีใด ๆ อันเนื่องมาจากข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามหมวดนี้ ให้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ทั้งนี้ ในกรณีที่ศาลจะต้องพิจารณาเพื่อใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วแต่กรณี ให้ศาลเรียกเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งออกข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่ง หรือกระทำการนั้น มาเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง รายงาน หรือแสดงเหตุผลเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวดังกล่าวด้วย
มาตรา ๒๔
ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา ๑๘ (๒) (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๕
ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ข้าราชการ พนักงานลูกจ้าง และอัตรากำลังของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๕/๒๕๔๙ เรื่อง การจัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ มาเป็นของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๒๖
ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๗/๒๕๔๙ เรื่อง การบริหารราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นศูนย์อำนวยการหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีหลากหลาย มีความรุนแรง รวดเร็ว สามารถขยายตัวจนส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และมีความสลับซับซ้อน จนอาจกระทบต่อเอกราชและบูรณภาพแห่งอาณาเขต ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ และเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน ดังนั้น เพื่อให้สามารถป้องกันและระงับภัยที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จึงสมควรกำหนดให้มีหน่วยปฏิบัติงานหลักเพื่อรับผิดชอบดำเนินการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ตลอดจนบูรณาการและประสานการปฏิบัติร่วมกับทุกส่วนราชการ ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและรักษาความมั่นคง รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่นของตน เพื่อป้องกันภยันตรายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในยามปกติ และในยามที่เกิดสถานการณ์อันเป็นภัยต่อความมั่นคงในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง และกำหนดให้มีมาตรการและกลไกควบคุมการใช้อำนาจเป็นการเฉพาะตามระดับความรุนแรงของสถานการณ์ เพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
|
16220
|
9553
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16220
|
ไปพะม่า
|
"ไปพะม่า"
โดย "หลวงวิจิตรวาทการ"
อธิบดีกรมศิลปากร, เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน, อาจารย์ประวัติศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์, ผู้บรรยายประวัติศาสตร์การปกครอง ในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
พิมพ์จำหน่ายที่โรงพิมพ์ กรุงเทพบรรณาคาร ถนนเจริญกรุง พระนคร
ขุนวาทีหุรารักษ์ ผู้พิมพ์โฆษณา พ.ศ. ๒๔๗๙
คำนำ
โดยอนุมัติของกระทรวงธรรมการและคณะรัฐมนตรี ความฝันของข้าพเจ้าในการไปประเทศพม่าได้เป็นความจริงขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ข้าพเจ้าเคยสนใจในประวัติศาสตร์และความเป็นไปของประเทศนี้มากว่า ๑๐ ปี ข้าพเจ้าเคยซื้อหนังสือนำเที่ยวประเทศพะม่าอ่านมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ จนข้าพเจ้าเกือบจะจำได้เจนใจ ว่าการไปพะม่าจะควรดูควรชมอะไรบ้าง เมื่อเข้ามารับราชการในกรมศิลปากรแล้วก็ได้เคยคิดโครงการที่จะเดินบกออกทางด่านเจดีย์สามองค์ การที่ข้าพเจ้าใฝฝันใคร่เห็นประเทศพะม่าก็เพราะมีความห็นอย่างแน่นอนว่า เราจะเข้าใจประวัติศาสตร์และสภาพของบ้านเมืองเราให้ชัดเจนจริงๆ ไม่ได้ จนกว่าเราจะเข้าใจประวัติและความเป็นไปของเพื่อนบ้านที่อยู่ติดต่อกับเราด้วย เมื่อครั้งรับราชการอยู่กระทวงต่างประเทศ ข้าพเจ้าได้มีโอกาศเห็นประเทศญวนโดยตลอด และเคยลงเรือทวนแม่น้ำโขงตั้งแต่เวียงจันทร์ขึ้นไปจนถึงหลวงพระบางและเชียงแสน ขณะอยู่ในกรมศิลปากรนี้ก็ได้เดินทางในพระราชอาณาจักรจนเหลือน้อยจังหวัดที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ไป ถ้าได้เห็นพะม่าอีก ข้าพเจ้าก็พอจะอ้างได้บ้างว่าข้าพเจ้ารู้จัก "สุวรรณภูมิ" ฉะนั้นในตอนหลังๆ นี้ ความปรารถนาในการเห็นประเทศพะม่าจึงกำเริบแรงขึ้นทุกที เมื่อต้นปีนี้ข้าพเจ้าขึ้นไปจังหวัดลำพูน พบธรรมการจังหวัดซึ่งเคยอยู่แม่ฮ่องสอนและเดินบกไปพะม่า ข้าพเจ้าก็ได้ไต่ถามและขอหนังสือต่างๆ มาดู รวมความว่าการไปพะม่าเป็นความปรารถนาอยากได้อย่างยิ่งอันหนึ่งของข้าพเจ้า.
สิ่งใดที่เราอยากได้จริงๆ สิ่งนั้นเราย่อมจะได้สักวันหนึ่ง.
รัฐบาลได้กรุณาให้ข้าพเจ้าไปศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพะม่า ข้าพเจ้าจำต้องใช้เวลาอันจำกัดให้ได้ประโยชน์มากเท่าที่จะพึงได้ จุดหมายแห่งการศึกษาของข้าพเจ้าก็คือเมืองต่างๆ เท่าที่เราได้พบชื่ออยู่เสมอในประวัติศาสตร์สยามและพะม่า เช่น ย่างกุ้ง หงสาวดี แปร อังวะ พุกาม อมรปุระ สาแกง และมัณฑเล ข้าพเจ้าได้พยายามไปเห็นเมืองที่กล่าวนามมาข้างต้นนี้ทุกเมือง
อนึ่ง เป็นความมุ่งหมายของข้าพเจ้าที่จะให้ข้าราชการกรมศิลปากร บรรดาที่ไม่เคยเห็นต่างประเทศได้มีโอกาศผลัดเปลี่ยนกันไปเห็นต่างประเทศตามที่จะมีโอกาศทำได้ ข้าราชการกรมศิลปากรมีทางที่จะได้ไปต่างประเทศอยู่ ๔ ทาง ทางที่หนึ่งคือไปดูงานตามระเบียบของ ก.พ. ทางที่สองคือสอบแข่งขันได้ทุนออกไปศึกษาในต่างประเทศ ทางที่สามคือออกไปประกอบทำหรือแสดงศิลปกรรม เช่นสร้างที่แสดงพิพิธภัณฑ์ของไทยหรือแสดงละครในต่างประเทศ และทางที่สี่ ก็คือไปกับข้าพเจ้าในเมื่อข้าพเจ้ามีโอกาศได้ไปบ้าง แต่การไปกับข้าพเจ้านั้นก็จำต้องเป็นข้าราชการผู้น้อยไม่เกินชั้นประจำแผนก เพราะจำต้องทำหน้าที่เลขานุการ ฉะนั้นในการไปพะม่าครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงได้เลือก นายกิมเลี้ยง อินทโกศัย ประจำแผนกบันทึกเหตุการณ์กรมศิลปากรไปกับข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าได้รับความกรุณาจากรัฐบาลให้ได้ไปดูไปศึกษาประเทศพะม่าถึงถิ่นที่แล้วเช่นนี้ ก็น่าจะทำอะไรไว้สักอย่างหนึ่ง ให้เป็นที่ระลึกหรือเครื่องทรงจำ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้แบ่งปันหน้าที่กับนายกิมเลี้ยง อินทโกศัย คือ ในเรื่องจดหมายเหตุและระยะทางและการพรรณนาสิ่งซึ่งได้พบเห็นโดยทั่วๆ ไปนั้น ได้มอบให้เป็นหน้าที่ของ นายกิมเลี้ยง อินทโกศัย ข้าพเจ้าจะเขียนแต่ฉะเพาะข้อความที่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาประวัติและวัฒนธรรมของพะม่า ดังที่ได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าไปพะม่าในชั่วเวลาเล็กน้อย ทำไมจึงรู้เรื่องมากมาย ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ข้าพเจ้าอ่านหนังสือต่างๆ ที่เกี่ยวกับพะม่าจนเจนใจมานานแล้ว ก่อนจะไปถึงพะม่าข้าพเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าอะไรบ้างที่ข้าพเจ้าจะต้องดูจะต้องศึกษาถ้าไปในเมืองที่มีผู้นำเที่ยวดูชม ข้าพเจ้าก็ไต่ถามแต่ฉะเพาะที่สงสัยหรือมีปัญหาอันได้เตรียมตั้งไว้แล้ว มัคคุเทศก์ไม่จำต้องเสียเวลาอธิบายกันมาก ฉะนั้นแม้ในชั่วเวลาเล็กน้อย ก็มีเรื่องที่จะเขียนได้พอสมควร
ในการไปพะม่าครั้งนี้ มีบุคคลที่ข้าพเจ้าจะต้องขอบใจอยู่เป็นอันมาก
ในประเทศสยาม-นายนาวาเอก หลวงสินธุสงครามชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ, ขุนสุคนธวิทศึกษาการ รัฐมนตรีช่วยราชการ, พระตีรณสารวิศวกรรม ปลัดกระทรวงธรรมการ และขุนประเจตดรุณพันธุ์ เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงธรรมการ ทั้ง ๔ ท่านได้ช่วยสนับสนุนแข็งแรงให้ข้าพเจ้าได้ไปประเทศพม่า, หลวงประดิษฐมนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้กรุณาสั่งกงสุลสยามให้ช่วยเหลือให้ความสะดวกทุกประการ ท่านเสอร์ครอสบี อัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้กรุณาสลักหลังหนังสือเดินทางให้อย่างทูต ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไปอย่างนักศึกษา และได้บอกรัฐบาลอินเดียและพะม่าให้ช่วยเหลือ หม่องลุนเผล่ กับ หม่องบะติ่น ชาวพะม่าผู้มีอาวุโสในกรุงเทพฯ ได้จัดการให้ญาติมิตรทางพะม่ารับรองให้ความสะดวกแก่ข้าพเจ้า.
ในประเทศพะม่า-มิสเตอร์ไปรเออร์ กงสุลสยามที่ย่างกุ้ง ได้กรุณาช่วยหลือทุกๆ อย่างเป็นที่พอใจยิ่ง ข้าหลวงเทศาภิบาลประเทศพม่าได้สั่งเจ้าหน้าที่อังกฤษในเมืองต่างๆ ที่ข้าพเจ้ากำหนดว่จะไปนั้นให้ดูแลเพื่อความสะดวกในการเดินทางและพักอยู่ คณะหนังสือพิมพ์ New Light of Burma และคณะหนังสือพิมพ์ Sun ช่วยพาเที่ยวและอธิบายที่ต่างๆ ในย่างกุ้ง ม. บาเรตต์ ผู้จัดการห้าง บอมเบย์เบอร์ม่า ที่กรุงมัณฆเล ได้จัดที่พักรับรองข้าพเจ้าที่กรุงมัณฑเล โดยมิต้องไปพักตามโรงแรม. มองซิเออร์ ดือรัวเซลศ์ เจ้ากรมโบราณคดี และนายจิตต์ ปลัดกรมโบราณคดีประจำกรุงมัณฑเล ได้พาข้าพเจ้าดูปราสาทราชวังและตอบคำถามให้คำชี้แจงทุกๆ อย่างที่ข้าพเจ้าประสงค์
ข้าพเจ้าขอจารึกบุญคุณท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายที่ระบุมาข้างต้นนั้น ไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วย
แต่หนังสือเล่มนี้อาจบกพร่อง ถ้าข้าพเจ้าจะละเลยไม่กล่าวสรรเสริญการเดินทางอากาศโดยเรือบินของบริษัท K.L.M. ฮอลันดา ความดีของเครื่องบิน ประกอบกับอัธยาศัยอันงดงามของเจ้าหน้าที่ประจำเรือ ทำให้การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปย่างกุ้งเป็นประหนึ่งความฝัน การทีข้าพเจ้าเดินทางไปพะม่าโดยเรือบินนั้น หาใช่เพราะความซุกซนหรือมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดไม่ ข้าพเจ้าได้คำนวณค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยละเอียดแล้ว ปรากฎว่าไปเรือบินถูกกว่าการไปทางทะเล อนึ่งการไปทางทะเลนั้น ถ้าเคราะห์ดีจับเรือได้ทันทีเวลาถึงปีนัง ก็จะใช้เวลาราว ๗ วัน ถ้าพลาดเรือและต้องคอยก็ต้องเสียทั้งค่าที่พักที่ปีนังและทั้งเวลาซึ่งอาจจะกลายเป็น ๑๐ วัน ส่วนการเดินทางโดยเรือบินใช้เวลาเพียง ๒ ชั่วโมงกับ ๑๕ นาทีเท่านั้น ถ้าเราเชื่อสุภาษิตอังกฤษว่า เวลาเป็นเงิน (time is money) แล้ว ก็แปลว่าการเดินทางไปพะม่าโดยเรือบินนั้นถูกกว่าการไปทางทะเลมากทีเดียว
ถ้าหากว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนร่วมชาติของข้าพเจ้าที่ต้องการทราบเรื่องของพะม่าบ้าง ข้าพเจ้าก็มีความยินดี.
"วิจิตรวาทการ"
กรุงเทพฯ
๑๕ ธันวาคม ๒๔๗๙
|
16221
|
1076
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16221
|
ลิลิตพระฦๅ
|
ลิลิตพระฦๅ
หลวงศรีมโหสถ
"ประพันธ์เมื่อ จุลศักราช ๑๒๑๘"
เจ้าภาพพิมพ์เป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพ
หลวงนฤยุติสัณหพาท (ชาย นาควิเชตร์)
ณ วัดโสมนัสวิหาร
วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๐๑
คำปรารภ
การที่คณะเจ้าภาพได้จัดพิมพ์หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" ชำร่วยในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงนฤยุติสัณหพาท (ชาย นาควิเชตร์) แก่ท่านที่เคารพนับถือมิตรสหายรวมตลอดถึงบรรดาญาติของท่านผู้วายชนม์ครั้งนี้ หาได้ลืมระลึกถึงการพิมพ์หนังสือพระธรรมคำสั่งสอนและคำสวดมนต์ภาวนาพระคาถาต่างๆ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้า อันเป็นประเพณีที่เจ้าภาพในการฌาปนกิจปฏิบัติกันอยู่โดยแพร่หลายแล้วนั้นเสียมิได้ และบางท่านอาจมีความคิดเห็นว่าการจัดพิมพ์หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" ที่ท่านกำลังอ่านอยู่ขณะนี้ ชำร่วยในงานอันถือว่าเป็นวาระที่ทุกท่านที่ได้กรุณามาเป็นเกียรติแก่ท่านผู้วายชนม์อยู่นั้นว่าเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าในงานนี้ก็ดี คณะเจ้าภาพผู้จัดพิมพ์ขอประทานกราบเรียนถึงมูลเหตุที่ทำให้มีการจัดพิมพ์หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" ชำร่วยครั้งนี้ด้วยความเคารพ ดังนี้
หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" เล่มนี้ เป็นบทประพันธ์ของคุณปู่ของท่านผู้วายชนม์ ได้ประพันธ์ขึ้นเมื่อครั้งรับราชการอยู่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ขณะมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงศรีมโหสถ (ชื่อเดิม มหากลัด) ส่วนคำโคลงฉบับผนวกเกี่ยวกับเรื่องรามเกียรติ์นั้นได้ประพันธ์ขึ้นเมื่อมีบรรดาศักดิ์เป็นพระราชครูพิเชต ซึ่งปรากฎหลักฐานในศิลาจารึกวัดพระศรีรัตนศาสดารามปจจุบันนี้ แต่ฉพาะ "ลิลิตพระฦๅ" นี้ นอกจากจะมีอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากรแล้ว ก็ยากที่ะหาอ่านจากที่อื่นได้ เพราะจากปีที่ได้ประพันธ์ไว้ถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา ๑๐๒ ปีแล้วประการหนึ่ง
กับเมื่อท่านผู้วายชนม์ยังมีชีวิตอยู่ ได้เคยปรารภอยู่เนืองๆ ว่าหนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" ที่คุณปู่ของท่านได้เคยประพันธ์ไว้ในรัชกาลที่ ๔ นั้น เป็นบทประพันธ์ที่มีเค้าเรื่องน่าอ่านและชอบด้วยเหตุผลในสมัยนั้น แม้ในสมัยปัจจุบันนี้ก็ไม่ถึงกับขาดรสนิยมเสียทีเดียว เพราะมีทั้งเรื่องตลกขบขัน บทโศรก บทรักอันสดชื่น แต่ท่านเสียดายว่าน่าจะสูญสิ้นไปในไม่ช้านักหากไม่มีผู้ใดจัดพิมพ์ขึ้นอีก ท่านปรารภด้วยว่าหากท่านมีโอกาสพิมพ์หนังสือเป็นของชำร่วยในกรณีย์ใดๆ ก็ตาม ท่านก็จะพิมพ์หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" นี้ชำร่วยก่อนหนังสืออื่นอีกประการหนึ่ง
|
16224
|
4431
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16224
|
ประชุมเรื่องเบ็ดเตล็ด 3 เรื่อง
|
ประชุมเรื่องเบ็ดเตล็ด 3 เรื่อง (พ.ศ. 2470)
โดย
ประชุมเรื่องเบ็ดเตล็ด 3 เรื่องพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ2470
<pages index="เรื่องเบ็ดเตล็ด ๓ เรื่อง - ดำรง - ๒๔๗๐.pdf" include="1"/>
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
|
16237
|
4431
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16237
|
อนุโมทนาวิธี
|
อนุโมทนาวิธี เป็นบทสวดมนต์ของพระสงฆ์ เพื่อใช้อนุโมทนาให้พรแด่ผู้ทำบุญกุศล
อนุโมทนารัมภคาถา (บทสวดมนต์กรวดน้ำ).
"ผู้เป็นประธานเริ่มต้น"
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง
เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง
ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา
จันโท ปัณณะระโส ยะถา
มะณิ โชติระโส ยะถา ฯ
"คำแปล"
ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด
ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วในโลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ฉันนั้น
ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว
จงสำเร็จโดยฉับพลัน
ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มที่
เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ
เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี
สามัญญานุโมทนาคาถา (บทสวดมนต์ให้พร).
"รับพร้อมกัน"
สัพพีติโย วิวัชชันตุ
สัพพะโรโค วินัสสะตุ
มา เต ภะวัตวันตะราโย
สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ฯ
อะภิวาทะนะสีลิสสะ
นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ
อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ฯ
|
16319
|
7930
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16319
|
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ.ศ. ๒๕๐๓
|
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ.ศ. ๒๕๐๓
ด้วยกระทรวงศึกษาธิการเห็นสมควรปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน เพื่อส่งเสริมศีลธรรม จรรยามารยาทและฝึกอบรมให้นักเรียนมีจิตใจและนิสัยอันดีงาม ประพฤติตนในทางที่ดีที่ชอบ จึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้.
๑) ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ.ศ. ๒๕๐๓"
๒) ตั้งแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิกระเบียบข้อบังคับ หรือคำสั่งที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ หรือที่ระเบียบนี้กำหนดไว้แล้ว
๓) ใช้ระเบียบนี้ในโรงเรียนและสถานศึกษา ในสังกัดและในความควบคุมของกระทรวง ศึกษาธิการ
๔) ให้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ หรือผู้อำนวยการ จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระเวลาเข้าแถวภายหลัง เชิญธงชาติก่อนเข้าเรียนทุกวันและตอนเลิกเรียนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ เฉพาะโรงเรียนที่มีนักเรียนประจำ ก็จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระตอนก่อนที่จะเข้านอนเป็นประจำ ทุกคืนด้วย
๕) การสวดให้ใช้แบบสวดมนต์ไหว้พระท้ายระเบียบนี้
๖) การสวดมนต์ไหว้พระทุกครั้ง ให้ครู อาจารย์ทุกคนเข้าร่วมสวดมนต์ไหว้พระโดย พร้อมเพรียงกัน
๗) ตอนเลิกเรียนในวัดสุดท้ายของสัปดาห์ ภายหลังการสวดมนต์ไหว้พระให้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการ หรือผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้โอวาทแก่นักเรียนเสร็จแล้วให้ร้องเพลงสรรเสริญ พระบารมี
๘) ในกรณีที่มีนักเรียนที่มิได้นับถือศาสนาพุทธเรียนรวมอยู่ด้วยเวลาสวดมนต์นัก เรียนนั้นไม่ต้องสวด แต่ถ้านักเรียนที่นับถือศาสนาอื่นมีจำนวนมาก เมื่อทางโรงเรียนเห็นสมควรจะจัดให้มีการสวดมนต์ตามแบบศาสนานั้น ๆ ด้วยก็ได้ โดยแยกนักเรียนไว้ตามลัทธิศาสนา
๙) ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
๑๐) ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นไป.
สั่ง ณ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๐๓
(ลงชื่อ) ปิ่น มาลากุล
(ม.ล.ปิ่น มาลากุล)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
|
16378
|
38336
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16378
|
พระคาถามุรธาภิเษก
|
พระคาถาพุทธาภิเสก.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
๑-พุทธาทิจโจ มะหาเตโช ธัมมะจันโท ระสาหะโร
สังฆะตาระคะโณ เสฏโฐ อัมเห รักขันตุ ปายะโต
๒-สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ
เอเตนะ สัจจะรัชเชนะ พุทโธ วิยะ เอตานิ
๓-มะหาเตชานิ มะหานุภาวานิ ภะวันตุ ยาวะ สาสะนังฯ
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา มะนุสสัตตา ทิอัฏฐะวิธาภินีหาระสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ทานะปาระมิสัมปันโน
๔-นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ทานะอุประปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ทานะปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
๕- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา สีละปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา สีละอุปะปาระมิสัมปันโน
๖- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา สีละปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา เนกขัมมะปาระมิสัมปันโน
๗- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา เนกขัมมะอุปะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา เนกขัมมะปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
๘- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ปัญญาปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ปัญญาอุปะปาระมิสัมปันโน
๙- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ปัญญาปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา วิริยะปาระมิสัมปันโน
2
๑๐- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา วิริยะอุปะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา วิริยะปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
๑๑- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ขันติปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ขันติอุปะปาระมิสัมปันโน
๑๒- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ขันติปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา สัจจะปาระมิสัมปันโน
๑๓- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา สัจจะอุปะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา สัจจะปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
๑๔- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อะธิฏฐานะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อะธิฏฐานะอุปะปาระมิสัมปันโน
๑๕- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อะธิฏฐานะปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา เมตตาปาระมิสัมปันโน
๑๖- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา เมตตาอุปะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา เมตตาปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
๑๗- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อุเปกขาปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อุเปกขาอุปะปาระมิสัมปันโน
๑๘- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อุเปกขาปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ทะสะปาระมิสัมปันโน
๑๙- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ทะสะอุปะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ทะสะปะระมัตถะปาระมิสัมปันโน
๒๐- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา สะมะติงสะปาระมิสัมปันโน
หยุด
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อังคะปะริจจาคะปาระมิสัมปันโน ฯ
๒๑- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ชีวิตะปะริจจาคะปาระมิสัมปันโน ฯ
3
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ปุตตะปะริจจาคะปาระมิสัมปันโน
๒๒- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ภะริยาปะริจจาคะปาระมิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ติวิธะจะริยาสัมปันโน
๒๓- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา โลกัตถะจะริยาสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ญาตัตถะจะริยาสัมปันโน
๒๔- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา พุทธัตถะจะริยาสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา กายะสุจะริตะสัมปันโน
๒๕- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา วะจีสุจะริตะสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา มะโนสุจะริตะสัมปันโน
๒๖- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อะภิสัมโพธิสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา สัพพัญญุตะญาณะสัมปันโน
๒๗- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อะนาวะระณะญาณะสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา มะหาปัญญาสัมปันโน
๒๘- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ปุถุปัญญาสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา คัมภีระปัญญาสัมปันโน
๒๙- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา หาสะปัญญาสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ชะวะนะปัญญาสัมปันโน
๓๐- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ติกขะปัญญาสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา นิพเพธิกะปัญญาสัมปันโน
๓๑- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะญาณะสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ติวิธะวิชชาสัมปันโน
๓๒- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ทิพพะจักขุวิชชาสัมปันโน
อาสะวักขะยะวิชชาสัมปันโน
๓๓- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา จะตุเวสารัชชะญาณะสัมปันโน
พุทธัตเต วิสาระทะญาณะสัมปันโน อาสะวักขะเย วิสาระทะญาณะสัมปันโน
4
อะนันตะราเย วิสาระทะญาณะสัมปันโนธัมมะเทสะนายะ วิสาระทะญาณะสัมปันโน
๓๔- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา จะตุปะฏิสัมภิทาญาณะสัมปันโน
ปะเภทะคะตาอัตถะปะฏิสัมภิทาญาณะสัมปันโน ปะเภทะคะตาธัมมะปะฏิสัมภิทาญาณะ
สัมปันโน
ปะเภทะคะตานิรุตติปะฏิสัมภิทาญาณะสัมปันโน ปะเภทะคะตาปะฏิภาณะปะฏิสัมภิทาญาณะ
สัมปันโน
๓๕- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ปัญญาจักขุสัมปันโน
อาสะยานุสะยะญาณะสัมปันโน เหฏฐิมะมัคคะผะละญาณะจักขุสัมปันโน
สะมันตะจักขุสัมปันโน ทิพพะจักขุสัมปันโน
ปัญญาจักขุสัมปันโน
๓๖- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อะสาธาระณัญญาณะสัมปันโน
อินทุริยะปะโรปะริยะญาณะสัมปันโน อาสะยานุสะยะญาณะสัมปันโน
ยะมะกะปะฏิหาริยะญาณะสัมปันโน มะหากะรุณาสะมาปัตติญาณะสัมปันโน
อะนาวะระณะสัมปันโน สัพพัญญุตะญาณะสัมปันโน
๓๗- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา สัตตะโพชฌังคะระตะนะสัมปันโน
สะติสัมโพชฌังคะระตะนะสัมปันโน ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคะระตะนะสัมปันโน
วิริยะสัมโพชฌังคะระตะนะสัมปันโน ปิติสัมโพชฌังคะระตะนะสัมปันโน
ปัทสิทธิสัมโพชฌังคะระตะนะสัมปันโน สะมาธิสัมโพชฌังคะระตะนะสัมปันโน
อุเปกขาสัมโพชฌังคะระตะนะสัมปันโน
๓๘- นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อัฏฐะวิชชาสัมปันโน
ฉัตติงสะโกฏิสหัสสะมะหา วะชิระวิปัสสะนาญาณะวิชชาสัมปันโน
จะตุวีสะติโกฏิสะตะสะหัสสะสะมาปัตติปุเรจาริกมะหา วะชิระวิปัสสะนาญาณะวิชชาสัมปันโน
มะโนมะยิทธิญาณะวิชชาสัมปันโน อิทธิวิธิญาณะวิชชาสัมปันโน
ทิพพะโสตะญาณะวิชชาสัมปันโน เจโตปะริยะญาณะวิชชาสัมปันโน
5
ปุพเพนิวาสานุสสะติญาณะวิชชาสัมปันโน ทิพพะจักขุญาณะวิชชาสัมปันโน
อาสะวักขะยะญาณะวิชชาสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา นะวานุปุพพะวิหาระสัมปันโน
ปะฐะมัชฌานะสะมาปัตติสัมปันโน ทุติยัชปะฐะมัชฌานะสะมาปัตติสัมปันโน
ตะติยัชฌานะสะมาปัตติสัมปันโน จะตุตถัชฌานะสะมาปัตติสัมปันโน
อากาสานัญจายะสะมาปัตติสัมปันโน วิญญาณัญจายะตะนะสะมาปัตติสัมปันโน
อากิญจัญญายะตะนะสะมาปัตติสัมปันโน เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ
สะมาปัตติสัมปันโน
สัญญาเวทะยิตะนะนิโรธะสะมาปัตติสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ทะสะพะละญาณะสัมปันโน
ฐานาฐานัญพะละสัมปันโน สัพพัตถะคามินีปะฏิปะทาญาณะพะละ
สัมปันโน
อะเนกะธาตุนานาธาตุญาณะพะละสัมปันโน สัตตานัง นานาธิมุตติกะญาณะสัมปันโน
อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนานัง กัมมะสะมาทานานัง ฐานะโส เหตุโส วิปากัง
เวทิตัตตาญานะพะละสัมปันโน ปะระสัตตานัง ปะระปุคคะลานัง
อินทฺริยะปะโร ปะริยะญาณะพะละสัมปันโน สัพเพสัง ญาณะวิโมกขะสะมาธิสะมาปัตตีนัง
สังกิเลสะโวทานะวุฏฐานะญาณะพะละสัมปันโน ปุพเพนิวาสานุสสะติญาณะสัมปันโน
จุตูปะปาตะญาณะพะละสัมปันโน อาสะวักขะยะญาณะสัมปันโนฯ
ฯลฯ
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ปัณณะระสะจะระณะสัมปันโน
สีละสังวะระจะระณะธัมมะสัมปันโน อินทริเยสุ คุตตัทวาระตาจะระณะ
ธัมมะสัมปันโน
โภชะเนมัตตัญุตาจะระณะธัมมะสัมปันโน ชาคะริยานุโยคะนุยตะตะตาจะระณะ
ธัมมะสัมปันโน
สัทธาจะระณะธัมมะสัมปันโน หิริจะระณะธัมมะสัมปันโน
6
โอตตัปปะจะระณะธัมมะสัมปันโน พาหุสัจจะจะระณะธัมมะสัมปันโน
อารัทธะวิริยะตาจะระณะธัมมะสัมปันโน อุปัฏฐิตะสะติตาจะระณะธัมมะสัมปันโน
ปัญญะวันตะตาจะระณะธัมมะสัมปันโน ปะฐะมัชฌานะ จะระณะธัมมะสัมปันโน
ทุติยัชฌานะจะระณะธัมมะสัมปันโน ตะติยัชฌานะจะระณะธัมมะสัมปันโน
จะตุตถะชะฌานะจะระณะสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อัฏฐาระสะพุทธะธัมมะสัมปันโน
อตีตังเส อัปปะฏิหะตะญาณะสัมปันโน
อะนาคะตัง เส อัปปะฏิหะตะญาณะสัมปันโน
ปัจจุปันนัง เส อัปปะฏิหะตะญาณะสัมปันโน
อิเมหิ ตีหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัตตา โส ภะคะวา
ญาณะปุพพังคะมะญาณานุปะริวัตติตะกายะกัมมะสัมปันโน
ญาณะปุพพังคะมะญาณานุปะริวัตติตะวะจีกัมมะสัมปันโน
ญาณะปุพพังคะมะญาณานุปะริวัตติตะมะโนสัมปันโน
อิเมหิ ตีหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัตตา โส ภะคะวา
สันทัสสะนะปะริปุณโณ ธัมมะเทสะนายะ ปะริปุณโณ
วิริยัสสะ ปะริปุณโณ สะมาธิสสะ ปะริปุณโณ
ปัญญายะ ปะริปุณโณ วิมุตติยา ปะริปุณโณ
อิเมหิ ทะวาทะสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ ภะคะวะโต
นัตถิ ทะวา นัตถิ ระวา นัตถิ อัปปะมัตตัง นัตถิ เวคายิตัตตัง
นัตถิ อัพยาวัฏฏะมาโน นัตถิ อัปปะฏิสังขา
อุเปกขาติ อัฏฐาระเสวะ เต โหนติ พุทธะธัมมา อะจินติยา
อะจินเตยเยสุ ปะสันนานัง วิปาโก โหติ อะจินติยา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ พุทโธ วิยะ เอตานิ
7
มะหาเตชานิ มะหานุภาวานิ ภะวะตุ สัพพะทา ฯ
อะโถปิ ราชะภัณฑานิ อาวุธานิ อะเนกะธา
เตชะวันตานิ ติฏฐันติ อานุภาวะปะสิทธิยาฯ
หยุด
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา ทะวัตติงสะมะหาปุริสะลักขะณะสัมปันโน
สุปะติฏฐิปาโท วะตะ โส ภะคะวา พุทธัสสะ ภะคะวะโต เหฏฐา
ปาทะตะเลสุ เทวะ จักกานิ ชาตานิ สะหัสสารานิ สะเนมิกานิ
สะนาภิกานิ สัพพาการะปะริปูรานิ อายะตะปัณหิ วะตะ โส ภะคะวา
ทีฆังคุลี วะตะ โส ภะคะวา มุทุตะลุณะหัตถะปาโท วะตะ โส ภะคะวา
ชาละหัตถะปาโท วะตะ โส ภะคะวา อุสสังคะปาโท วะตะ โส ภะคะวา
เอณิชังโฆ วะตะ โส ภะคะวา ฐิตะโกวะ อะโนนะมันโต
อุโภหิ ปาณิตะเลหิ ชาณุกานิ ปะริมัชชันโต วะตะ โส ภะคะวา
โกโสหิตะวัตถะคุยโห วะตะ โส ภะคะวา สุวัณณะวัณโณ กาญะจะนะสันนิภะตะโจ
วะตะ โส ภะคะวา
สุขุมัจฉะวิ วะตะ โส ภะคะวา สุขุมัจฉะวิตายะ ระโช ชันเลนะ
อะนุปะลิม ปิตะกาโย วะตะ โส ภะคะวา อุทธัคคะโลโม วะตะ โส ภะคะวา
พรัหมุชุคัตโต วะตะ โส ภะคะวา ปิตันตะรังโส วะตะ โส ภะคะวา
นิโคระธะปะริมัณฑะโล วะตะ โส ภะคะวา สะมะวัฏฏะกะขันโธ วะตะ โส ภะคะวา
ระสัคคะสัคคี วะตะ โส ภะคะวา สีหะหะนุ วะตะ โส ภะคะวา
จัตตาฬีสะทันโต วะตะ โส ภะคะวา สะมะทัน วะตะ โส ภะคะวา
อะวิระฬะทันโต วะตะ โส ภะคะวา สุสุกกะทาโฐ วะตะ โส ภะคะวา
ปะหุตชิวโห วะตะ โส ภะคะวา พรัหมะสะโร กะระวิกภาณี วะตะ โส ภะคะวา
อะภินีละเนตโต วะตะ โส ภะคะวา โคปะมุโข วะตะ โส ภะคะวา
พุทธัสสะ ภะคะวะโต ภะมุกันตะเร ชาตา อณณา โอทาตา มุทุกา
ตูละสันนิภา อุณหิสะสีโส วะตะโส ภะคะวา ทะวัตติงสาเยวะ เตโหนติ
8
มะหาสัตตะสะสะ ลักขะณา ทะวัตติงสะลักขะโณ พุทโธ
สุนักขัตโต วะ จันทิมา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ พุทโธ วิยะ เอตานิ
มะหาเตชานิ มะหานุภาวานิ ภะวันตุ ยาวะ สาสะนัง
ฯ หยุด ฯ
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อะสีตะบา นุพะยัญชะนะสัมปันโน
ปีตังคุลี วะตะ โส ภะคะวา อะนุปุพะพังคุลี วะตะ โส ภะคะวา
วัฏฏังคุลี วะตะ โส ภะคะวา ตามพะนะโข วะตะ โส ภะคะวา
ตังคะนะโข วะตะ โส ภะคะวา สินิทธะนะโข วะตะ โส ภะคะวา
นิคุยหะโคปผะโก วะตะ โส ภะคะวา สะมะปาโท วะตะ โส ภะคะวา
คะชะสะมานักกะโม วะตะ โส ภะคะวา สีหะสะมานักกะโม วะตะ โส ภะคะวา
อุสะภะสะมานักกะโม วะตะ โส ภะคะวา ทักขิณาวัฏฏาวัฏฏะนะวะตะ โส ภะคะวา
สะมันตะจารุชาณุมัณฑะโล วะตะโส ภะคะวา ปะริปุณณะปุริสะพยัญชนะ วะตะ โส ภะคะวา ทักขิณา วัฏฏะนาภี วะตะ โส ภะคะวา อัจฉินทะนาภี วะตะ โส ภะคะวา
สุวัณณะกัททะสีสะทิสะอุรุ วะตะโส ภะคะวา เอราวัณกะระสะทิสะภุโช วะตะ โส ภะคะวา
สุจิคัตโต วะตะ โส ภะคะวา โกมะละอะนุสสันนา นุสะสันนะสัพพะ-
คัตตะลิตโต วะตะ โส ภะคะวา อะลีนะคัตโต วะตะ โส ภะคะวาฯ
ติละกาทิวิระหิตะคัตโต วะตะ โส ภะคะวา อะนุปพเพนะ รุจิระคัตโต วะตะ โส ภะคะวา
วิสุทธะคัตโต วะตะ โส ภะคะวา
โคฏิสะหัสสานัง ปะกะติหัตถีนัง พะละธะโร วะตะ โส ภะคะวา
ตุงคะนาโส วะตะ โส ภะคะวา สุสัณฐานะนาโส วะตะ โส ภะคะวา
รัตตัทวิชะปะโส วะตะ โส ภะคะวา สุกกะทันโต วะตะ โส ภะคะวา
สินิทธะทันโต วะตะ โส ภะคะวา วิสุทินัทฺริโย วะตะ โส ภะคะวา
วัฏฏะทาโฐ วะตะ โส ภะคะวา อายะตะทันโต วะตะ โส ภะคะวา
9
คัมภีระปาณีตะเลโข วะตะ โส ภะคะวา อายะตะเลโข วะตะ โส ภะคะวา
อะชุเลโข วะตะ โส ภะคะวา สุจิระสัณฐานะเลโข วะตะ โส ภะคะวา
ปะริมัณฑะละกายะภาวันโต วะตะโส ภะคะวา ปะริปุณณะกะโปโล วะตะ โส ภะคะวา
อายะตะวิสาละเนตโต วะตะ โส ภะคะวา ปะญะจะปะสาทะวันตะเนตโต วะตะโส ภะคะวา
อะกุฏฏิตะมุโข วะตะ โส ภะคะวา มุทะตะนุกะรัตตะชิวโห วะตะ โส ภะคะวา
อายะตะชิวโห วะตะ โส ภะคะวา อายะตะสุรุจิระกัณโณ วะตะ โส ภะคะวา
นิคันฐิสิโร วะตะ โส ภะคะวา นิคุยหะสิละ วะตะ โส ภะคะวา
ฉัตตะนิภะจารุสีโส วะตะ โส ภะคะวา อายะตะปุถุละนะลาตะโสโภ วะตะโส ภะคะวา สุสัณฐาณะภะมุโก วะตะ โส ภะคะวา กัณหะภะมุโก วะตะ โส ภะคะวา
อะนุโลมะภะมุโก วะตะ โส ภะคะวา อะยะวาภะมุโก วะตะ โส ภะคะวา**
สุขุมาละคัตโต วะตะ โส ภะคะวา อะติวิยะอุชชะลิตะคัตโต วะตะ โส ภะคะวา
วิมะละคัตโต วะตะ โส ภะคะวา สินิทธะคัตโต วะตะ โส ภะคะวา
สุคันธะตะนุ วะตะ โส ภะคะวา สะมะโลโม วะตะ โส ภะคะวา
สุนีละโลโม วะตะ โส ภะคะวา กุณฑะละวัฏฏะกะโลโม วะตะ โส ภะคะวา
ทักขิณาวัฏฏะกะ วะตะ โส ภะคะวา สุสัณฐานะโลโม วะตะ โส ภะคะวา
สินิทธะโลโม วะตะ โส ภะคะวา อะลุลิตะโลโม วะตะ โส ภะคะวา
อะติสุขุมะอัสสาสะปัสสา สะจาระโณ วะตะ โส ภะคะวา
สุสัณฐานะมุโข วะตะ โส ภะคะวา สุคันธะมุโข วะตะ โส ภะคะวา
สุนีละเกโส วะตะ โส ภะคะวา กุณฑะละวัฏฏะเกโส วะตะ โส ภะคะวา
ทักขิณาวัฏฏะเกโส วะตะ โส ภะคะวา สุสัณฐานะเกโส วะตะ โส ภะคะวา
สินิทธะเกโส วะตะ โส ภะคะวา สัณหะเกโส วะตะ โส ภะคะวา
อะลุลิตะเกโส วะตะ โส ภะคะวา สุทโธตะเกโส วะตะ โส ภะคะวา
เกตุมาลาวะรัตตะวิจิตโต วะตะโส ภะคะวา เอวัง อะสีตะยานุพพะยัญชะนะ
ปะฏิมัณฑิตะรูปะกาโย วะตะ โส ภะคะวา
หยุด
10
เอวัง สัพพังคะโสภะโณ รูปะกา โย อะจินตะโย
อะจินตะเยสุ ปะสันนานัง วิปาโกปิ อะจินตะโย
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ พุทโ วิยะ เอตานิ
อะปะริมาณานิ มะหาเตชานิ มะหานุภาวานิ นิรันตะรายานิ
นิรุปัททะวานิ ฐิรัฏฐิทานิ ภะวันตุ ยาวะ สาสะนัง
อะโถปิ ราชภัณฑานิ อาวุธานิ อะเนกะธา
เตชะวันตานิ ติฏฐันตุ อานุภาวะปะสิทธิยา
ภะคะวะโต รูปะกายะโถมะนา พุทธาภิเสกะคาถา ปะฐะมา สะมัตตา
พุทธาทิจโจ มะหาเตโช ธัมมะจันโท ระสาหะโร
สังฆะตาระโณ เสฏโฐ อัมเห รักขันตุ ปายะโต
ปะณิธานะโต ปัฏฐายะ ตะถาคะโต มะหาการุณิโก
โลกานุกัมปายะ มาตุทาระกะมานะวะโต ปัฏฐายะ จิตเตนะ สัตตะอะสังไขยยัง
สัมมาสัมโพธิง ปัตเถตวา มะหาสาคะระจักกะวัตติโต
ปัฏฐายะ วาจายะ นะวาสังเขยยัง สัมมาสัมโพธิง ปัตเถตวา
ทีปังกะระสัมมาสัมพุทธัสสะ ปาทะมูเล ลัทธัพยากะระโณ กัปปะสะตะสะหัสสาธิกานิ
จัตตาริ อะสังเขยยานิ สะมัตติงสัพทะธะการะธัมเม
ปูเรนโต ยาวะ เวสสันตะระภาวัง อาคันตะวา เวสสันตะรัตตะภาเว
สัพพะปาระมิโย นิฏฐาเปตวา ปาระมีกูฏัง คะเหตวา ตุสิตะปุเร
นิพพัตติตวา เทวะราชะภูโต พุทธะกาลัง ญัตวา
สันนิปะติเตหิ เทวะพรัหมะคะเณหิ
กาโลยันเต มะหาวีระ อุปปัชชะ มาตุกุจฉิยัง
สะเทวะกัง ตาระยันโต พุชฌัสสุ อะมะตัง ปะทันติ
วะทันเตหิ ยาจิโต นิมันติโต สักยะราชะกุเล มะหามายายะ เทวิยา
11
กุจฉิยัง ปะฏิสันธิง คะเหตวา ลุมพินีวะเน มาตุคัพภา โสตถินา
วิชาโต อุตตะราภิมุโข สัตตะปาเท วีติหาเรตวา ปังกะชะมุททะนิฏฐิโต
สัพพา ทิสา อนุวิโลเกตวา อัตตะนา สะทิสัง ปัคคะลัง อะทิสวา
อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ เสฏโฐหะมัสมิ โลกัสสาติ อาทิกัง อาสะภิวาจัง
นิจฉาเรตวา เอกูนะติงสะวัสสานิเทวะกุมาโร วิยะ มะหาสัมปัตติโย อะนุภะวันโต
จัตตาโร นิมิตเต ทิสวา มะหาสัมปัตติโย ปะหายะ มะหาภินิกขะมะนัง นิกขะมิตวา
อะโนมายะ นะทิยา ตีเร ปัพพะชิตวา อุทุมพะระวะเน
ฉัพพัสสานิ มะหาปะธานัง ปัทหิตวา วิสาขะปุณณะมายัง สุชาตายะ ทินนัง
มะธุปายาสัง ปะฏิคคะเหตวา เนรัญชะรายะ นะทิยา ตีเร ปะริภุญชิตวา เนรัญชะรายะ
สุวัณณะปาฏิง ปะวาเหตวา สาละวะเน ทิวาวิหารัง คันตวา สายัณหะสะมะเย
โสตถิเยนะ ทินนา อัฏฐะ ติณมุฏฐิโย คะเหตวา เทวะตาหิ
อะลังกะตะมัคเคนะ ชะยะมะหาโพธิรุกขะมูลัง อุปะคันตะวา สุริเย อัฏฐังคะเตเยวะ
สะเสนัง สะวาหะนัง สะพะลัง มารัง วิทธังเสตวา ปะลาเปตวา
ปะฐะมะยาเม ปุพเพนิวาสัง อะนุสสะริตวา มัชฌิมะยาเม
ทิพพะจักขุ วิโสเธตวา ปัจฉิมะยาเม อะวิชชาปัจจะยา สังขารา
อิจเจวะมาทิเก ปะฏิจจะสัมปะปาทะกัง วิจาระณะสะมัตถัง มะหาวะชิระญาณัง
โอตาเรตวา สัพพะกังขัง วูปะสะเมตวา จะตุปาริสุทธิสีละสังขาตัง
สีละวิสุทธิง ปัตวา อะภิญญาปาทะกัง จะตุตถัชฌานะสังขาตัง
จิตตาวิสุท อุปปาเทตวา ตะโต นามะรูปะวะวัตถานะสะมัตถัง
ทิฏฐิวิสุทธิง ปัตวา ตะโต สัพพะพุทธานุจิณณัง
วิปัสสะนาปาทะกัง จะตุตถะชุฌานัง สะมาปัชชิตวา ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ
อะภินิวิสิตวา สัมมัปปัญญายะ อุทะยัพพะยะญาณานิ ละภิตะวา
อิเม อุปะกิเลสานัง มัคคาติ ชานะนะสะมัตถัง มัคคามัคคะญาณะทัสสะนะวิสุทธิง
ปัตวา ตะโน อุทะยัพพะยะญาณัง ปัตวา ตะโต ภังคะญานัง
12
ปัตวา ตะโต อะนุโลมะญาณัง ปัตวา เอวัง อะนุปุพพะญาณะสังขาตัง
ปะฏิปะทาญาณะทัสสะนะวิสุทธิง ปัตวา ตะโต เอกะจิตตักขะณิกังโคตะระภูญาณัง
ปัตวา ตะโต สักกายาทิฏฐิวิจิกิจฉา- -สีลัพพะตะปะรามาสะโทสะปะหานะกะรัง
จะตุตถัชฌานิกัง โสตาปัตติผะละทายะกัง จะตุกิจจะสาธะกัง เอกะจิตตักขะณิกัง
โสตาปัตติ มัคคะญาณะสังขาตัง ญาณะทัสสะนะวิสุทธิง
ปัตวา ตะโตปิ ตีณิโสตาปัตติผะละจิตตานิ ปัตวา ตะโต ปัจจะเวกขะณะญาณานิ
ปัตวา โสตาปันโน โหติฯ
หยุด
ตะโต สีละวิสุทธิ จิตตะวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตะระณะวิสุทธิ-
ญาณะทัสสะนะวิสุทธิ มัคคามัคคะญาณะวิสุทธิ ปะฏิปะทาญาณะทัสสะนะวิสุทธิโย
ปัตวา เอกะจิตตักขะณิกัง โคตระภูญาณัง ปัตวา ตะโต กามะราคัพยาปาทะตะนุกะรัง
จะตุตถัชฌานิกัง สะกะทาคามิผะละทายะกัง จะตุกิจจะสาธะกัง เอกะจิตตักขะณิกัง
สะกะทาคามิมัคคะญาณะสังขาตัง ญาณะทัสสะนะวิสุทธิง
ปัตวา ตะโต ตีณิ สะกะทาคามิผะละจิตตานิ
ปัตวา ตะโต ปัจจะเวกขะณะญาณานิ ปัตวา สะกะทาคามี โหติ.
ตะโต สีละวิสุทธิ จิตตะวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตะระณะวิสุทธิ
มัคคามัคคะญาณะทัสสะนะวิสุทธิ ปะฏิปะทาญาณะทัสสะนะวิสุทธิโย
ปัตวา ตะโต เอกะจิตตักขะณิกังโคตะระภูญาณัง ปัตวา ตะโต กามะราคัพยา ปาทานัง
นิระวะเสสัปปะหานะกะรัง จะตุตถัชฌานิกัง อะนาคามิผะละทายะกัง จะตุกิจจะสาธะกัง
เอกะจิตตักณิกัง อะนาคามิผะลัคคะญาณะสังขาตัง ญาณะทัสสะนะวิสุทธิง
ปัตวา ตะโต ตีณิ อะนาคามิผะละจิตตานิ ปัตวา ตะโต ปัจจะเวกขะณะญาณานิ
ปัตวา อะนาคามี โหติ ตะโต สีละวิสุทธิ จิตตะวิสุทธิ
ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตะระณะวิสุทธิ มัคคามัคคะญาณะทัสสะนะวิสุทธิ
ปะฏิปะทาญาณะทัสสะนะสุทธิโย ปัตวา ตะโต เอกะจิตตักขะณิกัง โคตระภูญาณัง
ปัตวา รูปะราคะอะรูปะราคะมานุทธัจจะ วิชชาโวสัปปะหานะกะรัง จะตุตถัชฌานิกัง
13
โลกุตตะระกุสะละปะฏิเวธะญาณังอัญเญหิ อะสาธาระณัง อะนุตตะระสัมโพธิง
อะนันตะญาณะปะริวาริกัง อะระหัตตะมัคคะญาณะสังขาตัง -
ญาณะทัสสะนะวิสุทธิง
ปัตวา ตะโต สะมาปัตตีหิ อะระหัตตะผะละจิตเตหิ อะนันตะญาณัง ปะริวาริกัง
สัพพัญญุตะญาณาทิคุณะสัมปัตติง ปัตวา พุทโธ โหติ
ตะโต ปัจจะเวกขะณะญาณิ ปัตวา สัพพะพุทธาจิณณัง อุทานัง อุทาเนสิ
อะเนกะชาติสังสาลัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสัง
คะหะการัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง
คะหะการะกะ ทิฏโฐสิ ปุน เคหัง นะ กาหะสิ
สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏัง วิสังขะตัง
วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ
โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจาระณะสัมปันโน สุคะโต
โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวา
พะละนิปผัตติโต จะตุเวสารัชชัปปัตโต อะธิคะตะปะฏิสัมภิโท ปุริสะสีโห
ปุริสาชัญโญ อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพรัหมะกัง สัสสะมะณะพรัหมะณิง
ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัตวา ปะเวเทสิ โส ภะคะวา
ญาณะภูโต จักขุภูโต พรัหมะภูโต วัตตาปะวัตโต อัตกัสสะ นินเนตา
อะมะตัสสะ ทาตา ธัมมะสามิ ธัมมะราชา ธัมมัง เทเสสิ อาทิกัลยาณัง
มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสานะกัลยาณัง สาตถัง สะพะยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง
ปะริสุทธัง พรัหมะจะริยัง ปะกาเสสิ โส ปะระมะสีตะละหัทโย สันตินัทริโย
หิตานุกัมปิ ทะยาลุ วะรัญญู วะระโท วะราโร อะนุตตะโร
อะโนโม สิริโก ยะถารูโปปิ โลกัตถัง โสเธติ ตัสเสวะ
สัมมาสัมพุทธัสสะ เอตานิ มะหาทธิกานิ มะหาเตชานิ
มะหาพะลานิ มะหานุภาวานิ โหตุเยวะ สัพพะกาลัง ยาวะ สาสะนันตะระธานา (หยุด)
14
สัทธัมโม ปะนะ เยนะ ภะคะวา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา
สัมมาสัมพุทเธนะ เทสิโต สันทิฏฐิกาทิคุณะสัมปัตติ วิราชิโต
นิยยานิโก คัมภีโร อะตักกาวะจะโร วิสุทโธ มะทะนิมมะทะโน ปิปาสะวินะโย
อาละยะสะมัคฆาโต วัฏฏะปัจเฉโท อิจเจวะมาทิคุณะ สัมปัตติยุตโต
ตัสเสวะ สัทธัมมัสสะ เทสะกัสสะ สัมมาสัมพุทธัสสะ
เอตานิ ตาทิสานิ มะหาเตชานิ ภะวันตุ สัพพะทา
หยุด
อะริยะสังโฆ ปะนะ ยัสสะ ภะคะวะโต ชานะโต ปัสสะโต อะระหะโต
สัมมาสัมพุทธัสสะ สาวะโก สุปะฏิปันโน สัมมาปะฏิปันโน อุชุปะฏิปันโน
ญายะปะฏิปันโน สามีปะฏิปันโน อาหุเนยโยตาทิคุณะสัมปะทาสุ
วิราชิโต สุวิสุทธิจิตโต สันตินทริโย สีละสัมปันโน สะมาธิสัมปันโน
ปํญญายะสัมปันโน วิมุตติสัมปันโน วิมุตติญาณะทัสสะนะสัมปันโน
สัตตานัง สาโร อิจเจวะมาทิคุณะ สัมปัตติยุตโต
ตัสเสวะ อะริยะสังฆัสสะ คุรุโน สัมมาสัมพุทธัสสะ เอตานิ
ตาทิสานิเอวะ มะหาเตชานิ สุระนะระหิตานิ
ภะวันตุ สัพพะทาติ (หยุด)
เอกะพุทโธ วิยะ มะหาเตชานิ มะหานุภาวานิ โหนตุเยวะ
โย โส ภะคะวา อะนันตะญาโณ กะรุณากะโร ทีปังกะระสัมมาสัมพุทธัสสะ
ปาทะมูเล ลัทธัพพะยากะระโณ กัปปะสะหัสสาธิกานิ จัตตาริ
อะสังเขยยานิ สะมัตติงสะปาระมิโย ปูเรตวา สัพพัญญุตัมปัตโต
โลเก พุทธาชาโตฯ ตัสสะ ปาเทปิ นะมามิ สัมพุทธัสสะ
15
สิรีมะโต สัทธัมมัญจัสสะ ปูชามิ กะริง สังฆัสสะ จัญชะลิง
โย เสฏะโฐ ภะคะวา ตัสสะ คุโณ อะนันตะโก
สัพเพ คุณา มะหันตาปิ พุทธะรูเปสุ ตาทิโน
ยะทา สัพพัญญุตัมปัตโต ตัสสะ ญาณัง อะนันตะกัง
ตัง สัพพัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ ยาวะ สาสะนัง
ปะฏิสัมภิทา จะตัสโส สา จะ สาธาระณานิ จะ
เวสารัชชานิ จัตตาริ จัตตาฬิสะ วัตถุกา
สัตตะสัตตะติกา ญาณะ วัตถูนิ อะปะรานิปิ
สัพเพปิ ญาณะมะหันตาปิ พุทธะรูเปสุ ตาทิโน
สีละสะมาธิการุญญา วิมุตติ จะ อะนันตะกา
สัพเพ เต พุทธะรูเปสุ ติฏะฐันตุ ยาวะ สาสะนัง
โพธิมูลัมหิ สัตตาเห ยัง ธัมมัง สะมะนุสสะริ
โส ธัมโม พุทธะรูเปสุ ติฏะฐะตุ ยาวะ สาสะนัง
เยนะ ญาเณนะโส สัตถา อะกาสิ ปาฏิหาริยัง
เทวานัง กังขัจเฉทายะ ธาตุกัง พุทธะรูปะกัง
เจติยัง อะนิมิสสัญจะ อะกาสิ ปะฏิปูชิตัง
ปัลลังกัง โพธิรุกขัญจะ เยนะ ญาเณนะ โส ชิโน
ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ ยาวะ สาสะนัง
จังกะเม จังกะมันตัสสะ โย คุโณ ชายะเต ตะทา
โส คุโณ พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ ยาวะ สาสะนัง
ระตะนาคาระสัตตาเห อะภิธัมมัง อะนุสสะริ
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
นิโคระธะอะชะปาลัมหิ สัตตาเห โส มะหามุนิ
คุณัง อะละภิ โส ตัสสะ พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
มุจจะลินทัมหิ สัตตาเห โย คุโณ วิชชะตี ตะทา
16
โส คุโณ พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ ยาวะ สาสะนัง
ราชายะตะเน สัตตาเห ยัง คุณังละภะเต ชิโน
โส คุโณ พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ ยาวะ สาสะนัง
ปุนาคันตะวา อะชะปาลัง นิสีทิตวา เอเทสิตัง
จิตตัง อุปาทะยิ พุทโธ ธัมมักขันเธ อะเสสะโต
สัพเพ เต พุทธะรูเปสุ ติฏฐันตุ ยาวะ สาสะนัง
ตะทา พรัหมาปิ อาคันตวา สัมพุทธัง อะภิวาทะยิ
สัตตานัง อะนุกัมปายะ เทเสตุ ธัมมะมุตตะมัง
ปะฏิญญัง เทติโส สัตถา พรัหมุโน ธัมมะเทสะนัง
พาราณะสิมหิ คัจฉันโต ธัมมะจักกัง อะเทสะยิ
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
อิสิปะตะนาเม มิคะทาเย วะสัง ชิโน
ยะสาทิเก กุละปุตเต สะหาเยวะ ปัพพาชิยะ
สัพเพสัง อะนุกัมปายะ อะระหัตตัง อะทาสิ โส
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
กัปปาสิกันตะรา เขตเต ภัททะวัคเค สะหายะเก
โอวะทิตวา ปัพพา เชตวา อะระหัตตัง อะทาสิ โส
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง ชินะพิมเพสุ ติฏฐะตุ
อุรุเวลัง ชิโน คันตวา อัจเฉรัง ปาฏิหาริยัง
กัตวานะ ชะฏิเล ตัตถะ วิเนตวา กัสสะปาทิเก
ปัพพาเชตวา อะระหัตตัง อะทาสิ กะรุณากะโร
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง ชินะพิมเพสุ ติฏฐะตุ
สะสาวะโก ชิโน คันตวา รัมมัง ราชะคะหัง ปุรัง
ราชุยยาเน วะสิตวา โส อะภาสิ ธัมมะมุตตะมัง
โส ธัมโม พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ ยาวะ สาสะนัง
17
อัญเญ จะ พิมพิสารัญจะ วิเนนโต โส มะหามุนิ
ตะถาคะโต สัตถา โลเก ปาเปสิ ผะละมุตตะมัง
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
กะปิละวัตถุง คันตวานะ ทะเมตุง ญาตะเก ชะเน
วะราสะเน นิสีทิตวา ญาตีนัง มานะเจตะนัง
ญัตวา จะ ปะสาเทตุง อัพภุคคันตวา นะเภ ตะเล
จังกะมัง ตัตถะ มาเปสิ วิสุทธัง ระตะนามะยัง
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
นิสีทิตวา มะหาวีโร จังกะเม ระตะนามะเย
นิมมินิตวา พุทธะรูปัง โส อัตตะนา สะทิสัง วะรัง
ปุจฉาเปตวา มะหาปัญเห วิสัชเชสิ มะหามุนิ
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
โอตะริตวา คะคะนัมหา วันทาเปตวา วะ วะราสะเน
ทะเมติ ญาตะเก สัพเพ วันทาเปตวา มะหายะโส
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
ปุนาคันตวา ราชะคะหัง ลัฏฐุยยาเน วะสัง ชิโน
ปะติฏฐะเปสิ สุทธัตตัง ปะฐะเม ผะละมุตตะเม
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะพิมเพสุ ติฏฐะตุ
ตะทา โส สาวัตถิง คันตวา ตัสสะ เชตะวะนัง อะทา
ปะฏิคคะเหสิ อารามัง ธัมมัง เทเสติ จักขุมา
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
ยะทา อะกาสิ ภะคะวา ยะมะกัง ปาฏิหาริยัง
คัณฑามพะรุกขะมูลัมหิ สัพพะโลเก อะสาทิสัง
ตะทา ติตถิยะถา สัพเพ ปะลายันติ ทิสา ทิสัง
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
18
ปะฏิเหรา วะสานัมหิ วะสันโต ติทสาละเย
อะภิธัมมัง อะเทเสสิ เทวานัง มาตุยาปิ จะ
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
โอตะรัง เทวะโลกัมหา โสปาเณ ระตะนามะเย
ปูชิโต เทวะพรัหมเมหิ สังกัสสะนะคะรัง ตะทา
โลกะวิวะระณัง นามะ อัจเฉรัง ปาฏิหาริยัง
ทัสเสสิ ญาณะเตเชนะ เทวะสังเฆ สะมานุเส
เยนะ ญาเณนะ ตัง ญาณัง พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ
ปัญจะตาฬิสะ วัสสานิ ยัตถะ ยัตถะ จะ ชันตุนัง
หิตายะ จะ สุขายะ จะ ยัง ยัง ธัมมัง อะเทสะยิ
โส สัพโพ พุทธะรูเปสุ ติฏฐะตุ ยาวะ สาสะนัง
กัตวานะ พุทโธ วะระพุทธะกิจโจ
ธัมมัง วะรัง อันธะตะมัง วินาสะยัง
ทุกขักขะยัง อัตตะปะรัสสะ ธัมมัง
ปัตโต วิสิฏฐัง อะนุปาทิเสสัง
ฐะเปสิ พุทโธ วะระพุทธะรูปัง
สะสาสะนัง ปัญจะสะหัสสะมัตตัง
เทเว มะนุสเส ตะระณายะ โอฆา
เตสัญจะ อัตถายะ หิตายา นาโถ
เย เทวา วา มะนุสสา วา สินทะพรัหมา สะมาระกา
โพธิสัตโตวะ อัมหากัง เตมิโย นามะ ปัณฑิโต
อะติฏฐานัง ถิรัง กัตวา นิกขัมมะอิสิ (ปัพพะชัง) ปัพพะชิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โพธิสัตโต วะ อัมหากัง ชะนะโก นามะ ปัณฑิโต
วิริยัง สุถิรัง กัตวา สะมุททัง อะตะริ ตะทา
19
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โพธิสัตโต วะ อัมหากัง สาโม นามาสิ ปัณฑิโต
มาตาเปติภะโร วะสัง เมตตายะ ปะวะเน ตะทา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โพธิสัตโต วะ อัมหากัง เนมิ นามาสิ ปัณฑิโต
อัสมา โลกา ทิวัง คันตวา ทิพพะกาเม อะภุญชะสิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โพธิสัตโต วะ อัมหากัง มะโหสะโถติ วิสสุโต
นานาปะเญหะ วิสัชเชสิ เวเหทัสสะ ยะสัสสิโน
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โพธิสัตโต วะ อัมหากัง ภูริทัตโต มะหิทธิโก
นาคะโลกัง ชะหิตวานะ สีละรักขายะ นิกขะมิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โพธิสัตโต วะ อัมหากัง จันทะกุมาระนามะโก
มุญจิตวา ยัญญะวาฏัมหา ราชา อาสิ มะหัพพะโล
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โพธิสัตโต วะ อัมหากัง วิธุโร นามะ ปัณฑิโต
เทเสสิ ปะวะรัง ธัมมัง ราชูนัง สีละรักขะนัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โพธิสัตโต วะ อัมหากัง เวสสันตะโร จะ ขัตติโย
มะหาทานัง จะ ทัตวานะ นิกขันโต นะคะรา ตะทา
วะสันโต อัสสะเม ปะเท อะทาสิ ปุตตะทาระเก
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
เวสสันตะโร มะหาราชา นิกขะมิตวา นะคะรา คะโต
รัชชะสุขัง นะ ภุญชิตวา อะทาสิ ระตะนาทิกัง
20
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
จะวิตวานะ ตะโต ราชา อุปปัชชิ ตุสิเต ปุเร
ทิพพะสุขัง อะนุโภนโต จิรัง สัคเค ปะโมทะติ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
จะวิตวา ตะโต กายา โอกกันโต มาตุกุจฉิยัง
มะหาอัจฉะริยัง อาสิ อาสาฬหะปุณณะมีทิเน
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
มาตุกุจฉิคะโต สันโต โมทะยันโต มะหายะโส
ปัลลังเกนะ นิสิทิตวา อะภิมุโข จุทิสสะติ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
นิกขันโต มาตุยา คัพภา โอตะริ ปาทะปังกะเช
วิสาขะปุณณะมีทิเน วะเน ลุมพินินามะเก
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
อุตตะราภิมุโข สัตตะปะเภ วิติกกันโต มะหายะโส
อะภาสิ อาสะภิวาจัง อัคโค เสฏโฐติอาทินา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
วิญญุปปัตโต มะหาวีโร รัชชะสุขัง อะนุภะวิ
อุยยานา นิกขะมันโต โส อัททะสะ พรัหมะนิมิตตัง
สังเวคัง ละภะมาโน โส นิวัตตะติ มะหายะโส
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
จะตุตถัง เทวะทุตัง จะ โสมะนัสสัง ปะเวทะยิ
ทิวะสัง ตัตถะ กีฬันโต ปาวิสิ นะคะรัง สุภัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปาสาทัง อะภิรูยหันโต นิปัชชิ สักยะปุงคะโว
นิททิ โอกกะมันตานัง วิรูปัง นาฏะกิตถินัง
21
นิพพัชชิตวา มะหาวีโร นิกขะมิ ปุตตะปัสสิตุง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ทิสวานะ ปุตตะสุตตันตัง คันตะวานะ สะยะนันติกัง
กัปเปตวา กัณฐะกัง อัสสัง ปัณญัตตัง วะระสินธะวัง
อารูยหิตวา มะหาวีโร นิกขะมิ พุชฌิตุง ตะทา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปัตวานะ รัชชะสีมัง โส ฐัตวา โนมะนะทีติเร
อุยโยเชตวา กัณฐะกังฉันนัง โมลิง เฉตวา มะหายะโส
ขิปิตวา อันตะลิกเข โส อะธิฏฐาเนนะ ติฏฐะติ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
อากาเส สุคะตะโมลิ สัมปะฏิจฉิ สุราทิโป
ฐะเปติ เทวะโลกัสมิง เทวานัง อะภิปูชิตุง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปัพพัชชายะ นะมะนัสสะ สะหาโย ฆะฏิการะโก
อาเนตวาฏะฐะปะริกขารัง อะทาสิ มุนิโน ตะทา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
คะเหตวา โส มะหาพรัหมา นิวัตถัง วะระกาสิกัง
ฐะเปตวา พรัหมะโลกัสมิง พรัหมานัง อะภิปูชิตัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปัพพะชิตวา มะหาวีโร คันตะวา ราชะคะหัง ปุรัง
นะคะเร โกลาหะลัง อาสิ พรัหมานาคาติ อาทินา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปัสสิตวา มะหาวีรัง รัญโญ อาจิกขิ มะหาชะโน
เปเสตวา ราชะทูตัง โส วะสิตุง ธีระมุตตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
22
ปัณฑะวะฉายายะนิสินนัง ภุญชะมานัง มะหายะสัง
คันตะวา ทูตัสสะ วุตเตนะ อัททะสะ มาคะธิสสะโร
นิมันตะยิตถะ รัชเชนะ สักกัจเจนาภิวาทิยะ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปะฏิกขิปิ วะรัง รัชชัง รัญญา ทินนัง มะหายะโส
คะหิตะปะฏิญโญ ธีโร ยะทิ พุทโธติ อาทินา
มะมะสีมัง ปะฐะมาคัจฉะ อาทิสิ สักยะปุงคะโว
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
อะนุกกะเมนะ โส ธีโร กัตวา ทุกกะระการิกัง
สะชาตาทินนะปายะลัง ภุญชะสิ นะทีติเร
ปะวาเหตวานะ ตัง ปาฏิง ปะฏิโสตัง อะคัญฉิ สา
นิมมุชชิ ปาฏิยา เหฏฐา กัสสะปัสสะ มะเหสิโน
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โพธิมัณฑัง สะมารุยหะ เทวะคันธัพพะปูชิโต
โสตถิเยนะ ทินนัง ติณัง อะวัตถะริ มะหายะโส
จุททะสะหัตถัปปะมาณัง ปัลลังกัง อุกกะมิตวา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปัลลังเกตถะ นิสีทิตวา โสภะมาโน มะหายะโส
สัพเพ มาเร ปะราเชตวา นิสินโน อะจะลาสะเน
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปะฐะมะยาเม ปัตเต วะ ปุพเพนิวาสะมะนุสสะริ
เอวัง นามะ ปะริยาโย เอวัง โคตโตติอาทินา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
มัชฌิมะยาเม ปัตเต วะ ทิพพะจักขุง วิโสธะยิ
ติโรกฑฑัง ติโรเสลัง ฆะระมัชเฌวะ ปัสสะติ
23
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปัจฉิมะยาเม ปัตเตวะ สัมมะสันโต ปุนัปปุนัง
พุททะสัง ปัจจะยาการัง สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
เสตารุโณติ วัตตัพโพ สัมโพธิง โส วินายะโท
สัมพุชฌิ ญาณะลังการัง วิสาขะปุณณะมีทิเน
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสันติ อาทินา
อุทานัง นิจฉเรนโต โส โลกะนาโถ มะหามุนิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
อะนิมมิสเสหิ อักขีหิ ปัลลังกัง โส วิโลกะยิ
อะนิมมิสสัง วะรัง เจติ วุตตัฏฐานัง กะวีหิตัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
จังกะมันโต มะหาวีโร อันตะเร โพธินิมมิสสัง
จังกะมัง ระตะนัง นามา วุตตัฏฐานัง มะเหสินา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
อะปะรา ตัตถะมาเปสุง ฆะรัง ระตะนะนามะกัง
นิสีทิตวา มะหาวีโร สัมมะสันโต ปุนัปปุนัง
สัตตัพพิธัง อะภิธัมมัง คัมภีรัง สุขุมัง นะยัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
นิโคระธัสมิง อะชะปาเล นิสินโน โส มะหามุนิ
วิมุตติง อะนุภะวันโต สัตตาหิ วีตินามะยิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
มุจจะลินเท นิสินโน โส เทวะพรัหมาภิปูชิโต
สมาธิงชัง สุขัง ปิตวา สัตตาหัง วีตินามะยิ
24
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ราชายะตะนะมูละสมิง นิสินโน สักยะปุงคะโว
ผะละสุขัง ระสัง ปิตวา สัตตาหัง วีตินามะยิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ตัตเถวะ โส มะหาวีโร นิสินโน สุชะนัปปิโย
ปะฏิคคะเหสิ มันถัญจะ ตะปุสสะภัลลิกานิตัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โลกะปาลา มะหาราชาโน อาเนตวา วะระเสละกัง
อะทังสุ มุนิโน ปุตตัง อะชิฏฐาเนนะ เอกะกัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ธัมมะจักกัง ปะวัตเตนโต คันตวานะ กาสินัง ปุรัง
อุปะเกนะ ปะวัตโต โส มาทิโสหัง ชิโน พะระวิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
มิคาทะเย มะหุยยาเน อิสิปะตะนะนามะเก
ธัมมะจักกัง ปะวัตเตสิ นะระสะราภิปูชิโต
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปะวัตติเต วะระจักเก ภุมมา เทวา มานุสา
สาเวสุง อัตตะโน สัททัง พรัหมะโลกัง อะคัญฉิ โส
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ไวยยากะระเณ ภัญญะมาเน พรัหมาฏะฐาระสะโกฏิโย
ปิวิงสุ อะมะตัง ปานัง โกณฑัญญะปะมุขา ตะทา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ยะสาทิเก กุละปุตเต วิเนนโต มะหามุนิ
ปาเยสิ อะมะตัง ปานัง มิคะทาเย อิสิปะตะเน
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
25
ภัททะวัคเค กุละปุตเต วิเนนโต สักยะปุงคะโว
กัปปาสิกันตะรา เขตเต ปาเยสิ อะมะตัง ระสัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปะฏิญญัง โมจะนัตถายะ คันตวา ราชะคะหัง ปุรัง
พิมพิสารัง วีเนนโต โส ปาเยสิ อะมะตัง ระสัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
อุรุเวลาทิกัสสะเป ชะฏิเล อัคคิตาปะเน
วิเนนโต นานุปาเยหิ ปาเยสิ อะมะตัง ระสัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปังสุกุลัง กิมิปูรัง คัณหาติ โส มะหามุนิ
คัณหิเต ปะฐะวี นัมปิ สาธุการัง ปะวัตตะยิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
โปกขะระณียัง ตะทา ชิโน โธวิ ปังสุกุลัง วะรัง
ปาสาเณ ปัตถะริตวานะ สุขาเปสิ มะหายะโส
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
คัณฑามพะรุกขะมูละสมิง อาภาสิ ทีปะทุตตะโม
ติตถีนัง นิมมะทะนัตถัง ปาฏิเหรัง มะหายะโส
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
จังกะมัง มาปะยิ ธีโร อายามะจักกะวาฬะกัง
นิสีทิตวา มะหาวีโร เทเสสิ ธัมมะมุตตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปาฏิเหรัง กะริตวานะ จังกะเม ระตะนามะเย
อุคคัญฉิ ตาวะติง สัญจะ เทวะตาตัง สุลุจจะเย
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
สิลาสะเน นิสินโน โส ปัณฑุกัมพะละนามะเก
26
เตมาสัง เทสะยิ ธัมมัง เทวานัง ปะริฉัตตะเก
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปักกันโต อุตตะระกุรุง ปิณฑัตถายะ มะหามุนิ
ปิณฑะปาตัง คะเหตวานะ อันธะวะเน จะ ภุญชะยิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
จิตระนะยัง วินะยันโต วินะเย กุสะโลนะยัง
สิกขาปะทัง ปัญญาเปสิ ภิกขูนัง สีละรักขะนัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
วัณเณนโต หิตะจะริยัง อะปัณณะกาทิชาตะกัง
ตัง ตัง ปุคคะละมาคัมมะ เทเสสิ สักยะปุงคะโว
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
อะปัณณะกาทิชาตะกัง ปัญจะสะตัง มะหามุนิ
เทเสสิ อะปิ ปัญญายะ สัตตานัง หิตะการะณัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ติกขัตตุง ลังกาทีปัง โส สัมปัตโต สักยะปุงคะโว
ทัสเสสิ นาคะวัคคะสมิง ปะทะลักขะณะสัญจิตัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ทะวิปะเภทัง ติปะเภทัง ปุนะ ติ เภทะนัง ตะถา
ยัง ยัง เทวะมะนุสสานัง เทเสสิ ธัมมะมุตตะมัง
สัพพันตัง เอกะระสัญจะ นิโรธะระสัญจิตัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ทะวิปะเภทัง ติปะเภทัง ปุนะ ติเภทะนัง ตะถา
ติปิฏกะมัชชะปาณินา เทสิตาทิจจะพันธุนา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
นิกายัง ปัญจะนะวังคัง สัพพันตัง พุทธะเทสิตัง
27
ธัมมักขันธัง จะตูสีติ- สะหัสสัญจะ ตะถา ปุนะ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ราหุเล เทวะทัตเต จะ สะมัง เมตตายะ ผะระติ
ปาริเลยยะธะนะปาเล สะมะจิตเตนะ ปัตถะริ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
มิจฉาทิฏฐี พะกะพรัหมัง วินะยันโต มะหามุนิ
ทิฏฐิชาลัง ปะธังสิตวา สัมมามัคเค ปัฏฐาปะยิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
อาฬะวะกัง มะหายักขัง ทุททะมัง ผะรุสัง มุนิ
วินะยิตวา มะหาวีโร โสตามัคคัง ปะทัสสะยิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ขีณายุกัง สุระอินทัง ละภาเปตวานะ อายุกัง
ธัมมะจักขุญจะ ปาเปสิ ปัญหาวิสัชชะเนนะ จะ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปัญจะตาฬีสะวัสสานิ โพธฺยันโต มะหามุนิ
คัณฐันโต ปุปผะทามัง วา ธัมมะวัสสัง ปะวัตตะยิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
สัมพุทโธ ธะระมาโน วะ โสเธติ มุนิปุงคะโว
อิเม ปัญจะวิเธ กิจเจ ปิณฑะปาตาทิจะระเณ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ยามะกะสาลานะมันตะเร นิพพุโต โส มะหามุนิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ปัญจะ วัสสะหัสสานิ สาสะนัง โส ปัฏฐาปะยิ
ขีณาสะวาหิ เขตตัตถัง สัตตานัง สุขะเหตุกัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
28
จะตุวีสาสังเขยยานิ สัฏฐิญจะ สะตะโกฏิโย
ปาณะสะตะสะหัสสานิ สัมพุทโธ วะ ปะโมทะยิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
สัพพา ตา ธาตุโย สัตตา เตสุ เตสุ จะ ปัตถะริ
นะระเทวาทิอัตถายะ ชาติเขตตาทิเกสุ จะ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
พุทธะเวสัง คะเหตวานะ โทณะมัตตา วะ ธาตุโย
อัพภุคันตวานะ อากาสัง อะกังสุ ปาฏิหาริยัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ธัมมาโสโก มะหาราชา โพธิสาขัง ปะเลขะยิ
มะโนสิลาหะริเตนะ อะธิฏฐาเนนะ สัตถุโน
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
พุทธะเวสัง ปะวัตเตตวา สัพพา ตา สัตถุ ธาตุโย
สัมปันนา ฉะหิ รังสีหิ ธัมมะกะถัง ปะวัตเตยยุง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
เทวา พรัหมา มะหาเตชา สะมาคัณตวา สัพพะโส
สุณิตวา สัตถุโน ธัมมัง ปิวิสุง อะมะตัง ระสัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
เตโชธาตุ สะมุฏฐายะ ฌาปะยิ วะระธาตุโย
อุคคัณหิตวา เทวะโลกัง อันตะระธายิ อะเสสะโต
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
เทวะคะณา มะหาพรัหมา ปัคคัณหิตวานะ อัญชะลิง
สาสะนัง อันตะระหิตัง สังเวคัง สัมปะวัฏเฏย ยุง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
วันทามิ ปะฐะมัง ตัสสะ ปะณิธานัง อะจินติตัง
29
จักกะวาฬัมหิ สัพเพหิ ชีวะมาเนหิ วัตถุหิ
ทะสันตัง ปาระมีนันตัง ปูริติฏฐานะมุตตะมัง
ตะโต สาละวะเน รัมเม ชาตัฏฐานะจะรีมะกัง
ฉัพพัสสานิ ปะธานัมหิ กะตัง ทุกกะระการิกัง
อะปะราชิตะปัลลังกัง พุทธะคุเณ ตะถา วุตตัง
จุททะสะ พุทธะญาณัญจะ อัฏฐาระสะ อาเวณิกัง
ปูเชมิ ทะสะพะลัญญาณัง จะตุเวสารัชชะมุตตะมัง
อาสะยานุสะยะญาณัง อินทะริยานัง ปะโรปะริยะ
ยัมกัง ปาฏิเหรัญจะ ญาณัง สัมปะยุตตัมปิ จะ
มะหากะรุณาสะมาปัตติ ญาณะมัณฑะวะรัง นะเม
สา สาธาระณัญญาเณนะ นัตวานะ ปูชะยามะหัง
ตะโต จะ สัตตะ สัตตาเห ธัมมัง สัมมะสิตัง นะเม
พรัหมุนา ยาจิตะฏะฐานัง ธัมมัง เทเสตุ มุตตะมัง
อิสิปะตะเน มิคาทะเย ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง
ตะโต เวฬุวะนาราเม ฐานัญจะ ปูชะยะรามะหัง
ตะโต เชตะวะนัง รามัง จิระวุฏฐัง มะเหสินา
อะสาธาระณะมัญเญ สัง ยะมะกะปาฏิหาริยัง
ปาริฉัตตะกะมูลัมหิ อะภิธัมมัญจะ เทสะนัง
สังกัสสะ นะคะรัทวาเร เทโวโรหะณะกัมปิ จะ
ตะโต จะ หิมะวันตะสมิง มะหาสัทธัมมะเทสะนัง
จะตุราสีติ สะหัสเสหิ ธัมมักขันเธหิ สังคะหัง
ปะฏิกัตตะยัง ยะถาวุตตัง วิวิธัง ปูชะยามะหัง
มารัสสะ อัตตะโน อายุ- สังขาระสัชชะนัง นะเม
กุสินารายะ มัลลานัง ยะมะกะสาลานะมันตะเร
ปะณิธานัมปิ ปัฏฐายะ กะตะกิจจะมะเสสะโต
30
ทิฏฐาเปตวานะ โส สัพพัง ปะรินิพพายิ อะนาสะโว
เอวัง นิพพายะมานัสสะ กะตะกิจจัสสะ ตาทิโน
วิคะตา มะหากะรุณา สายัง นิพพายิ กิญจิปิ
ธัมโม จะ วินะโย เจวะ เทสิโต สาธุกัง มะยา
มะมัจจะเยนะ โส สัตถา ธาตุญจาปิ สะรีระชัง
อะปะราชิตะปัลลัง โพธิรุกขัญจะ อุตตะมัง
มะมัจจะเยนะ โส สัตถะ อะนุชานิ มะหามุนิ
มัฏฐาเน ฐะเปตวานะ ธาตุโพธิญจะ ปูชิตุง
อะนุชานามิ ตุมหากัง สาสะนัตถัง สิวัง วะรัง
ตัสมา หิตัสสะ สัทธัมมัง อุคคัณหิตวา ยะถา ตะทา
โย ตัง เทสะยิ สัมพุทโธ นัตวานะ ปูชะยามะหัง
ตัสมา สาสะปะมัตตัมปิ ชินะธาตุ อะเสสะยิ
วิติณณะจักกะวาฬัมหิ นัตวานะ ปูชะยามะหัง
ปะรัมปะราภะตานัมปิ ชะยะมะหาโพธิรุกขะโต
สัพเพ สัมโพธิรุกขานัง นัตวานะ ปูชะยามะหัง
ยัง ปะริภัญชะยิ ภะคะวา ปัตตะจีวะระมาทิกัง
สัพพัง ปะริโภคะธาตุง นัตวานะ ปูชะยามะหัง
ยัตถะ ยัตถะ สะยิโต โส นิสินโน จังกะมะติ วา
ปาทะตะลัญจะ นะมัง กัตวา ฐิโต นัตวานะ ปูชะยิง
นะ สัญชานันติ เย พุทธา เอวะรูโปติ ญาตะเว
กะตันตัง ปะฏิมัง สัพพัง นัตวานะ ปูชะยามะหัง
เอวัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจาปิ อะนุตตะรัง
จักกะวาฬัมหิ สัพเพหิ วัตถูหิ ชะยามะหันติ
ภะคะวะโต รูปะกายะโถมะนา พุทธาภิเสกะคาถา สมัตตาฯ
ปะริปุณณาติ จบพุทธาภิเษกแต่เพียงเท่านี้
31
คาถาสวดในพิธีต่างๆ
คาถาสวดเมื่อจุดเทียนชัย
ในพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ และพระราชพิธีอื่นๆ
พุทโธ สัพพัญญุญาโณ ธัมโม โลกุตตะโร วะโร
สังโฆ มัคคะผะลัฏโฐ จะ อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง
เอตัสสะ อานุภาเวนะ สัพพะทุกขา อุปัททะวา
อันตะรายา จะ นัสสันตุ สัพพะโสตถี ภะวันตุ เต.
คาถาสวดเมื่อดับเทียนชัยทุกราชพิธี
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ โน ชะยะมังคะลัง
ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรังวา สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง
นะโน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิโหตุ
ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง ยะทัชฌะคา สักยะมุนี สะมาหิโต
นะเตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิโหตุ
ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ
สะมาธิ เตนะ สะโม นะ วิชชะติ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิโหตุ
32
เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัตถา จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ
เต ทุกขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา เอเตสุ ทินนานิ ยุคานิ โหนติ
อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิโหตุ
เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ
เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิโหตุ
ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสมิง
เต ขีณะพีชา อะวิรุฬหิฉันทา นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิโหตุ
สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตาปะวัชชิโต
สัพพะเวระมะติกกันโต ยะถา ทีโป จะ นิพพุโตฯ
คาถาสวดเมื่อจุดเทียนชัยพระราชพิธีพรุณศาสตร์
พุทโธ สัพพัญญุญาโณ ธัมโม โลกุตตะโร วะโร
สังโฆ มัคคะผะลัฏโฐ จะ อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง
เอตัสสะ อานุภาเวนะ เทโว วัสสะตุ กาละโต
วัสสันตะรายา มาเหสุง สัพพะโสตถี ภะวันตุ โน.
คาถาสวดพระราชพิธีพรุณศาสตร์
ภะคะวา อะระหัง สัมมา- สัมพุทโธ ฌายินัง วะโร
อุตตะโม วิทธิมันตานัง สัตเตสุวาภิทะลุโก
สาวัตถิยะเมกะทา เจสะ พุทโธ เชตะวะเน วะสัง
อะนาถะปิณฑิการาเม วัสสะมูปะคะโต อะหุ
ตะทา ทุพพุฏฐิยา สุกขา สัพพา โกสะละภูมิโย
มะหันตะมาสิ ทุพภิกขัง ทุกขัง มะหาชะนัสสะ จะ
ปิณฑายะ จะ ปะวิสันตัง ภะคะวันตัง ตะหิง ตะหิง
33
วัสสัง วัสสาปะนัตถายะ อะภิยาจิ มะหาชะโน
ตัสสมิง ปะฏิจจะ การุญณัง พุทโธ เชตะวะนัง คะโต
สุกขายะ โปกขะรัญญาปิ ติเร ฐิโต นะหายิตุง
นิวาเสตวา ตัตเถเกนะ อันเตโนทะกะสาฏะกัง
เอเกนะ จะ ปารุปิตวา โสปาเณ ภะคะวา ฐิโต
อะถะ ปัจฉิมายะ ทิสายะ มะหาเมโฆ สะมุฏฐะหิ
ตะโต ตาวะ วัสสิ วัสสัง ยาวัตโถ อาสิ ปูริโต
ตัสสะ เตนานุภาเวนะ วัสสุเตเนวิทานิปิ
เทโว วัสสะตุ กาเลนะ สะมิทธัง เนตุ เมทะนิงฯ
มหากะรุณิโก นาโถ อัตถายะ สัพพะปาณินัง
ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ เทโว วัสสะตุ ธัมมะโต
มหากะรุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง
ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ เทโว วัสสะตุ กาละโต
มหากะรุณิโก นาโถ สุขายะ สัพพะปาณินัง
ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ เทโว วัสสะตุ กาละโต
มหากะรุณิโก นาโถ สุขายะ สัพพะปาณินัง
ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ เทโว วัสสะตุ ฐานะโส
สุโภโต จะ มะหาเถโร มะหากาโย มะโหทะโร
ฉันนา เม กุฏิกา สุขา นิวาตา วัสสะ เทวะ ยะถาสุขัง
จิตตัง เม สุสะมาหิตัง วิมุตตัง อาตาปิ วิหะรามิ วัสสะ เทวาติฯ
อะนุสสะริตวา สะตัง ธัมมัง ปะระมัตถัง วิจินตะยัง
34
อากาสิง สัจจะกิริยัง ยัง โลเก สุวะสัสตัง
ยะโต สะรามิ อัตตานัง ยะโต ปัตโตสมิง วิญญุตัง
นาภิชานามิ สัญจิจจะ เอกะปาณัมปิ หิงสิตา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ปะชุนโน อะภิวัสสิยะ
เอวะรูปัง สัจจะกิริยัง กัตวา วิริยะมุตตะมัง
วัสสาเปสิง มะหาเมฆัง สัจจะเตชะพะลัสสิโต
สัจเจนะ เม สะโม นัตถิ เอสา เม สัจจะปาระมีติฯ
สัมพุทธะมุตตะมุฬาระมะนันตะญาณัง สัตตุตตะมัง ทะสะพะลัง กะรุณาธิวาสัง
สักการะภาชะนะมะภาชะนะมังคะณานัง สัทธาณะ เตนะ สะตะตัง สะระสา นะมามิ
วีรัง วิสระทะมะปาระคุณัมพุราสิง ธีลันะโรปะมะธิติง ถิระถัมมะกายัง
ปารังคะตัง ภะวะภะยากะระสาคะรัสสะ สารัญชะเนสุ สุคะตัง สิระสา นะมามิ
โลเกกะจักขุมะตุลามะละปัญจะจักขุง โลเกกะสาระมะชะรามะธัมมะสารัง
โลเกกะพันธุมะระวินทุสะหายะพันธุง โลเกกะจารุติละกัง สิระสา นะมามิ
วิโตปะมานะมะปะมาณะมะนาถะนาถัง สุทธัง สุสุทธะนะยะนัง นะยะนาภิรามัง
สังสาระจักกะมะถะนัง วะระธัมมะจักกัง จักกังกิโตรุจะระณัง สิระสา นะมามิ
เนกขัมมะมันตะพะละวาริตะราคะยักขัง เมตตัมพุสวา สะมิตโกธะมะหาหุตาสัง
ปัญญาปะทีปะหะตะโมหะมะหันธะการัง โรกัตถะจารุปะฏะรัง สิระสา นะมามิ
สัทธัมมะราชะมะปะราชิตะธัมมะเสนัง สัทธัมมะเตชะหะตะมาระสุโฆระเสนัง
สัทธัมมะเทสะนะมะโนหะระเภริโฆสัง สัทธัมมะสาระมะกุฏัง สิระสา นะมามิ
ยุตตัง คุเณหิ สะกะเลหิ สุนิมมะเลหิ โทเสหิ มุตตะมะขิเลหิ สะวาสะเนหิ
พยามัปปะภาขะจิตภาสุระลักขะณาภา มาโลปโสภิตตะนุง สิระสา นะมามิ
ปัญญาทิวากะระวินิคคะตะเทสะนาภา นิทธุตตะสัพพะปะระวาทะฆะนันธะการัง
การุญญะวารินะนิวาริตโลกะตาปัง ทุกขัคคิชาละวิสะรัง สิระสา นะมามิ
เณยยัญชะนัง สะกะละเมวะปะริคคะหีตัง ชาตาหิญาณะกะรุณาหิ มะหาชะวาหิ
โลกัสสะ ทุกขะมะวะธุยยะ สุขัปปะทายิง โลกัคคะนาถะมะตุลัง สิระสา นะมามิ
35
พยามัปปะภาวะละยะจารุสุรินทะจาปัง อุณณารุรังสิวิสุรุชชะวิชชาลัง
ธัมมัมพุวฏฐิชะนิตัง มิตสาธุสัสสัง สัพพัญญุเมฆะมะนะฆัง สิระสา นะมามิ
ปาโปปะตาปะนะปะรันปะรันตะปันตัง อัจจันตะสันตะชะนะนัง ชะนะนัง ชะนัคคัง
สัมภัคคะสัพพะปะปะกัง สะระณัญชะนานัง สัพพาภิภุง ทะสะพะลัง สิระสา นะมามิ
สุคะตะมะมิตะพุทธิง โลกะนาถัง นะมิตวา กุสะละมุปจิตัง ยันเตนะ เตชุสสะเทนะ
วิละยะมุปนะยันตะโรคะทุพภิกขทุกขา วิปุละสะลิละธารา วัสสิโน โหนตุ เมฆาฯ
ขอบคุณ
หนีวัฏ ปัญญาบารมี
|
16379
|
11237
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16379
|
ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 4/เรื่องที่ 3
|
← ../เรื่องที่ 2/
ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ 4
(พ.ศ. 2458)
3. พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ โดย
ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ 4
— "3. พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ"2458
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
พงษาวดารหัวเมืองมณฑลอิสาณ
# พระราชอาณาเขตรสยาม
# เหตุสงครามระหว่างฝรั่งเศส
#เปลี่ยนทาง
<pages index="ประชุมพงศาวดาร (ภาค ๔) - ๒๔๕๘.pdf" from="46" to="239"/>
|
16386
|
208056
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16386
|
มาร์ชเบญจมบพิตร
|
เบญจม บพิตร สิทธิศิกดิ์
เราพร้อมพรัก ร่วมแรง ร่วมใจ
เกียรติคุณ เลื่องชื่อ ลือไกล
มีวินัย ยึดมั่น สามัคคี
เบญจม บพิตร สุภาพบุรุษ
ไม่ยั้งหยุด ที่จะ ทำความดี
ยามเราเรียน เรียนเด่น เป็นศักดิ์ศรี
อุทิศชีวี เพื่อไว้ลาย ให้ลือชา
ชมพู...เหลือง...งามเรื่อ...เรืองตา
สวยเด่น เป็นสง่า กว่าสีใดใด
รุ่นพี่เกรียงไกร รุ่นน้องชาย จะช่วยรักษา
ขอให้ คำมั่น ขอปฏิญญา...
ข้าฯจะรักษา... ความดี... เท่าชีวิต...
ข้าฯจะรักษา... ความดี... เท่าชีวิต...
|
16388
|
4431
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16388
|
นวโกวาท/คำชี้แจง
|
คำชี้แจง.
นวโกวาทเป็นหนังสือสำหรับศึกษาความรู้เบื้องต้นในพระพุทธศาสนา ซึ่งแพร่หลายมากที่สุด ได้ยินว่าเดิมหนังสือนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จประทับอยู่ ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม (พ.ศ. ๒๔๔๒-๔) ได้ทรงเลือกแปลธรรมวินัยในพระไตรปิฎกสำหรับทรงสั่งสอนภิกษุสามเณรในวัดนั้น ผู้ศึกษาต้องจดไปท่องบ่นกันก่อน ต่อมาเมื่อเสด็จกลับมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ก็ยังทรงสั่งสอนด้วยวิธีนั้น ภายหลังจึงรับสั่งให้รวบรวมข้อธรรมวินัยนั้น ๆ พิมพ์ขึ้นสำหรับเป็นแบบเรียนธรรมวินัยของมหามกุฏราชวิทยาลัยสืบมา เพราะนวโกวาทนี้ไม่ได้ทรงแต่งอย่างหนังสืออื่น จึงมีคำแปลชื่อธรรมบางอย่างในหมวดนั้น ๆ ต่างกันด้วยพลความ เหมือนกันด้วยอรรถรส.
ในการพิมพ์ครั้งที่ ๙/๒๔๔๗ และครั้งที่ ๑๒/๒๔๕๓ ได้ทรงแก้ไขเพิ่มเติม ตามที่ปรากฏในคำนำนั้นแล้ว. ต่อมาเมื่อครั้งที่ ๓๐/๒๔๖๘ และครั้งที่ ๓๗/๒๔๗๗ ก็มีแก้ไขเพิ่มเติมอีก ส่วนการพิมพ์ครั้งที่ ๓๘/๒๔๗๙ นี้ ได้ตั้งใจว่าจะพยายามรักษาแบบของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ไว้ เพราะฉะนั้น แม้มีคำแปลชื่อธรรมต่างกันบ้างดังกล่าวแล้ว ก็คงไว้อย่างนั้น แต่คำใดที่สันนิษฐานได้ว่าเคลื่อนคลาดจากฉบับเดิมเพราะการพิมพ์เป็นต้น และเพราะประการอื่น ได้ปรับคำนั้น ๆ ให้เข้าแนวบาลีอรรถกถาและระเบียบ ไม่มีเพิ่มข้อธรรมอื่นใดขึ้นอีกเพราะได้เตรียมการแต่งธรรมวิภาคปริเฉทที่ ๑ มีอธิบายดุจธรรมวิภาคปริเฉทที่ ๒ ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ถ้ามีแก้ไขเพิ่มเติม จักทำในที่นั้น.
อนึ่ง เมื่อพิมพ์ครั้งที่ ๓๗/๒๔๗๗ พระราชสุธี (วิจิตร อาภากโร ป. ธ. ๙) วัดมหาธาตุ ได้รับมอบจากที่ประชุมคณะกรรมการตรวจชำระแบบเรียนให้ค้นหาที่มาแห่งธรรมนั้น ๆ มาลงไว้แผนก ๑ ส่วนในการพิมพ์ครั้งนี้ กรรมการกองตำราได้ค้นที่มาเพิ่มเติมและลงไว้ในที่สุดแห่งชื่อธรรมนั้น ๆ ด้วยอักษรย่อนามคัมภีร์และเลขหน้าแห่งเดียวบ้างหลายแห่งบ้าง เพื่อเป็นหลักฐานและเป็นประโยชน์ในการสอบสวน ส่วนที่ยังค้นไม่พบ ได้ปล่อยว่างไว้ก่อน.
ถึงอย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าทั้งหลายได้จัดทำด้วยกุศลเจตนา หวังบูชาพระคุณสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ พระองค์นั้น และมุ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่กุลบุตรทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล.
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๘<br>
พระมหาทองสืบ จารุวณฺโณ ป.ธ. ๙<br>
หัวหน้ากองตำรา<br>
มหามกุฏราชวิทยาลัย<br>
๓ พฤศจิกายน ๒๔๗๙
คำนำ (พิมพ์ครั้งที่ ๓๐/๒๔๖๘).
เมื่อสมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงพระนิพนธ์หนังสือวินัยมุขขึ้นแล้ว ไม่ทันมีโอกาสที่จะทรงแก้ไขสำนวนความเรียงในส่วนวินัยบัญญัติ ซึ่งปรากฏความแผกเพี้ยนบางบทบางตอน ยากในการหมายใจสังเกตรูปความเมื่อเทียบเคียงของผู้แรกศึกษา ตลอดเวลาจนสิ้นพระชนม์ เห็นสมควรที่จะชำระอนุโลมตามเค้าเงื่อนแห่งวินัยมุข ข้าพเจ้าจึงแก้ไขให้สอดคล้องกันในส่วนเค้าความและคำที่เรียงนั้น ๆ ซึ่งอาศัยคำแปลในวินัยมุขเป็นหลัก.
พระสาสนโสภณ<br>
วัดเทพศิรินทราวาส<br>
วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๘
คำนำ (พิมพ์ครั้งที่ ๑๒/๒๔๕๓).
เมื่อหนังสือนี้ฉบับที่ ๑๑ หมดแล้ว จะได้พิมพ์ฉบับที่ ๑๒ ได้เพิ่มหมวดธรรมที่สาควรจะรู้เข้าอีกหลายหมวด เพราะเห็นว่าหนังสือนี้ได้ใช้แพร่หลาย ไม่เฉพาะแต่ภิกษุใหม่ ควรจะให้ความรู้กว้างขวางออกไป. หมวดธรรมที่เพิ่มคราวนี้ ทุกะหมวด ๒ และหมวดธรรมอันสงเคราะห์เข้าในโพธิปักขิยธรรมเป็นพื้น. เมื่อเพิ่มขึ้นดังนี้ ข้อศึกษาของภิกษุใหม่ก็มากขึ้น ภิกษุผู้มีสติปัญญาพอประมาณหรือค่อนข้างทรามจะเรียนไม่จบก็อาจเป็นได้. เมื่อเป็นเช่นนี้ อุปัชฌายะอาจารย์ผู้ฝึกหัดจะงดธรรมบางหมวดที่ไม่ใช้สำหรับภิกษุใหม่ หรือที่มีซ้ำกับหมวดธรรมอื่นบ้างแล้ว ไม่ใช้สอนก็ควร. นอกจากนี้ คราวนี้ยังได้แก้สำนวนในหนังสือนี้ด้วย.
กรมหลวงวชิรญาณวโรรส<br>
วัดบวรนิเวศวิหาร<br>
วันที่ ๙ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๙
คำนำ (พิมพ์ครั้งที่ ๙/๒๔๔๗).
แต่เดิม ในหนังสือนี้ ไม่ค่อยใช้ศัพท์บาลี แต่งขึ้นสำหรับเหมาะแก่ผู้เริ่มศึกษาในยุคนี้ ใช้บ้างแต่ในที่จะย่นความกำหนดหรือความจำเข้าได้ดีกว่าใช้คำไทย ภายหลังหนังสือนี้แพร่หลายไปในหมู่ญาติโยมของผู้บวชใหม่ ผู้ได้สดับมากต่างก็พอใจในความคิดแต่งหนังสือนี้ แต่เห็นกันโดยมากว่า ถ้าใช้ศัพท์บาลีเข้าด้วยจะดีขึ้นอีกมาก เหตุว่า คนชั้นผู้ใหญ่เคยศึกษาในศัพท์บาลี เมื่อไม่พบศัพท์บาลีก็ชักให้งง. มักต้องนึกเทียบศัพท์บาลีก่อนจึงจะเข้าใจได้ตลอดดีว่า ธรรมหมวดนั้น ๆ เล็งเอาพระบาลีหมวดนั้น ๆ ถึงการกำหนดหรือการจำเล่า ท่านก็เห็นว่าศัพท์บาลีง่ายกว่า ยกขึ้นพูดก็สะดวกกว่า. หวังจะให้หนังสือนี้เป็นไปตามประสงค์ของคนชั้นผู้ใหญ่ด้วย จึงได้เติมศัพท์บาลีเข้าด้วยในหมวดธรรมที่มีคำบาลีสำหรับใช้เฉพาะศัพท์ เว้นไว้แต่หมวดธรรมที่จะต้องใช้คำผสมเป็นประโยค เช่นในอภิณหปัจจเวกขณะข้อต้นว่า ชราธมฺโมฺหิ ชรํ อนตีโต ซึ่งแปลว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ในหมวดธรรมเช่นนี้ ยังคงใช้คำไทยล้วนตามเดิม จะใช้ประโยคบาลีเข้าด้วยก็จะกลายเป็นหนังสือสวดมนต์แปลไป ผิดกับความประสงค์เดิม จะพาให้ผู้บวชใหม่ท้อถอยในการศึกษาพระธรรมวินัย ถึงศัพท์บาลีที่ใช้นั้นก็เรียงไว้ต่างวิธีกัน เรียงไว้ข้างต้นก็มี ข้างท้ายก็มี ที่เรียงไว้ข้างต้นนั้น ผู้เริ่มศึกษาไม่ถนัดกำหนดหรือจำศัพท์บาลี จะงดเสีย กำหนดหรือจำแต่ความไทยก็ได้ ถ้ากำหนดหรือจำได้ด้วย ก็เป็นอันได้ความรู้กว้างขวางออกไป จะอ่านหนังสือธรรม หรือฟังเทศนา ก็จะกำหนดได้ง่ายขึ้น
ที่เรียงไว้ข้างท้ายนั้น เป็นศัพท์พิเศษใช้เฉพาะข้อความนั้น สมควรที่จะรู้ไว้. ถึงท่านผู้เป็นอุปัชฌายะหรืออาจารย์ ผู้จะฝึกภิกษุสามเณรบวชในสำนักของตน ก็ควรรู้จักผ่อนปรนฝึกฝนตามสมควรแก่อุปนิสัยของเธอทั้งหลาย ถือเอาความรู้ความเข้าใจพระธรรมวินัยเป็นประมาณ. เมื่อเป็นคราวที่ควรจะแก้ไขหนังสือฉบับนี้ใหม่ จึงได้เพิ่มหมวดธรร,ที่สมควรอันยังไม่มีในนี้เข้าอีกบ้าง ทั้งเรียบเรียงใหม่ในพวกหนึ่ง ๆ ให้ลุ่มลึกไปโดยลำดับ จับแต่ง่ายไปหายาก เพื่อให้ง่ายแก่ผู้ยังจะต้องใช้ความจำเบื้องหน้า. ฉบับใหม่นี้ได้แก้ไขเพิ่มเติมเพียงเท่านี้.
กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส<br>
วัดบวรนิเวศวิหาร<br>
วันที่ ๓๐ มิถุนายน ร.ศ. ๑๒๓
คำนำ (พิมพ์ครั้งที่ ๕/๒๔๔๒).
หนังสือเล่มนี้ เรียงย่อเกินประมาณดังนี้ สำหรับภิกษุสามเณรบวชใหม่, เพราะผู้บวชใหม่ย่อมบวชเพียงพรรษาเดียว คือสี่เดือนเป็นพื้น; อุปัชฌายะอาจารย์ผู้หวังความรู้แก่สัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก ต้องหาอุบายสั่งสอนให้เขาได้ความรู้มากที่สุดตามแต่จะเป็นได้, ถ้าใช้แบบสอนที่พิสดาร เรียนรู้ยังไม่ถึงไหนก็ถึงเวลาสึก จึงต้องใช้แบบย่อให้จุข้อความที่ควรจะศึกษา นี้เป็นเหตุเริ่มเรียงหนังสือเล่านี้ขึ้น หนังสือนี้ถึงเป็นแบบย่อ ถ้าเข้าใจวิธีสอน ก็ทำให้ภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่เข้าใจกว้างขวางได้เหมือนกัน ข้าพเจ้าได้ใช้ฝึกศิษย์ด้วยวิธีดังจะกล่าวต่อไปนี้.
ให้ผู้ศึกษากำหนดจำหัวข้อในหนังสือเล่มนี้ให้ได้ตลอด เอาแต่ใจความ ไม่ต้องจำถึงพยัญชนะ, แต่คนอ่านแล้วถอดใจความจำไว้ในใจไม่ได้ ยังต้องท่องเหมือนท่องสวดมนต์; กำหนดระยะให้ ๓ เดือน (ยกเดือนต้นไว้สำหรับยุรพกิจอย่างอื่น), เดือนที่ ๒ วินัยบัญญัติ เดือนที่ ๓ ธรรมวิภาค, เดือนท้ายเมื่อจวนสึก คิหิปฏิบัติ. ผู้ประกอบด้วยสติปัญญา อุตสาหะกล้าก็ได้เร็วกว่ากำหนด, ปานกลางก็พอทันกำหนด, ทรามก็ไม่ทันกำหนด. ในระหว่างที่ศึกษาอยู่นั้น ในชั้นต้น เมื่อถึงกถาอะไรได้สอบถามให้เล่าหัวข้อเหล่านั้นให้ฟังจนเห็นว่าขึ้นใจแล้ว. ส่วนวินัยให้ผูกเป็นปัญหาให้ตัดสิน, ปัญหานั้นให้ตัดสินได้ด้วยเทียบตามแบบ เช่น " ภิกษุพยาบาลคนไข้ วางยาผิด คนไข้ตาย, จะต้องปาราชิกหรือไม่ ? " ผู้ตอบต้องใคร่ครวญดูเจตนาของผู้วางยาว่า เหมือนกับเจตนาของผู้ที่กล่าวไว้ในแบบหรือไม่ ? เท่านี้ก็ตัดสินได้. ถึงธรรมวิภาคและคิหิปฏิบัติก็มีปัญหาถามเหมือนกัน เช่น " อย่างไร ความคบสัตบุรุษเป็นต้น จึงเป็นเครื่องเจริญของมนุษย์ ? " ในที่นี้ผู้ตอบต้องอธิบายตามความเห็นของตนให้สมแก่รูปปัญหา. อีกข้อหนึ่ง " ทรัพย์ที่จับจ่ายด้วยประการไร จึงได้ชื่อว่าเป็นประโยชน์ ? " ในที่นี้ต้องเอากระทู้ความในหมวดที่ว่าด้วยประโยชน์เกิดแต่การถือเอาโภคทรัพย์ มาอธิบายแก้ให้สมรูปปัญหา. เมื่อถึงกำหนด ได้มีการสอบความรู้ใน ๓ อย่างนั้น เพื่อเป็นอุบายให้เอาใจใส่ดีขึ้น.
ยังมีวิธีที่ช่วยทำให้ผู้บวชใหม่ ได้ความรู้กว้างขวางออกไปกว่านี้อีก. ส่วนวินัย ถามปัญหาให้เทียบตามแบบไม่ได้ เช่น " ภิกษุตีเด็ก ต้องอาบัติอะไร ? " ในแบบมีแต่ว่าตีภิกษุต้องปาจิตตีย์. เช่นนี้ทำให้ค้นคว้าในสิกขาเล่มใหญ่๑ พอพบแล้วก็จำได้ทันที. ส่วนธรรมวิภาคนั้นได้แจกกระทู้พุทธภาษิต๒ เช่น " คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร, ได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ " วันละข้อ. แจกให้อย่างเดียวกันหมด ให้ไปแต่งแก้แล้วนำมาอ่านในที่ประชุมในกำหนด; ผู้แต่งต้องตริตรองด้วยน้ำใจให้เห็นเองก่อนว่า " ความเพียรเป็นเหตุ, ความล่วงทุกข์เป็นผล. ความสัตย์เป็นเหตุ, ชื่อเสียงเป็นผล; " จึงจะเรียงความแต่งมาอ่านได้ ในเวลาที่อ่าน ต่างคนก็ต่างมุ่งฟังของกันและกัน. เมื่อใครอธิบายดี ก็จำไว้, และที่สุดได้รับวินิจฉัย ว่าถูกหรือผิด. ข้อนี้เป็นเหตุให้ค้นคว้าข้อความในหนังสือธรรมมาอธิบาย ได้ความรู้กว้างขวางและตริตรองเห็นความดี เห็นความชั่ว ด้วยน้ำใจเอง.
หนังสือเล่มนี้ แต่งขึ้นสำหรับสอนภิกษุสามเณรบวชใหม่ให้พอควรแก่เวลาจะศึกษาได้ จึงตั้งชื่อว่า นวโกวาท และมีข้อความแต่โดยย่อ ๆ เพียงเท่านี้.
กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส<br>
วัดบวรนิเวศวิหาร<br>
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๘
|
16389
|
265549
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16389
|
นวโกวาท/วินัยบัญญัติ
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
← คำชี้แจง
นวโกวาท สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสวินัยบัญญัติ
ธรรมวิภาค
นวโกวาท — "วินัยบัญญัติ"สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
อนุศาสน์ ๘ อย่าง นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔.
ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต เรียกนิสสัย มี ๔ อย่าง คือ เที่ยวบิณฑบาต ๑ นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๑ อยู่โคนไม้ ๑ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑.
กิจที่ไม่ควรทำ เรียกอกรณียกิจ มี ๔ อย่าง คือ เสพเมถุน ๑ ลักของเขา ๑ ฆ่าสัตว์ ๑ พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน ๑ กิจ ๔ อย่างนี้ บรรพชิตทำไม่ได้.
สิกขาของภิกษุมี ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา.
ความสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย ชื่อว่า ศีล. ความรักษาใจมั่น ชื่อว่าสมาธิ. ความรอบรู้ในกองสังขาร ชื่อว่าปัญญา.
โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม เรียกว่าอาบัติ.
อาบัตินั้นว่าโดยชื่อ มี ๗ อย่าง คือ ปาราชิก ๑ สังฆาทิเสส ๑ ถุลลัจจัย ๑ ปาจิตตีย์ ๑ ปาฏิเทสนียะ ๑ ทุกกฏ ๑ ทุพภาสิต ๑
ปาราชิกนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้วขาดจากภิกษุ. สังฆาทิเสสนั้น ต้องเข้าแล้ว ต้องอยู่กรรมจึงพ้นได้. อาบัติอีก ๕ อย่างนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้ว ต้องแสดงต่อหน้าสงฆ์หรือคณะหรือภิกษุรูปใดรูปหนึ่งจึงพ้นได้.
อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติเหล่านี้ ๖ อย่าง คือ ต้องด้วยไม่ละอาย ๑ ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ ๑ ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง ๑ ต้อง ด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ๑ ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ๑ ต้องด้วยลืมสติ ๑.
ข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ซึ่งยกขึ้นเป็นสิกขาบท ที่มาในพระปาติโมกข์ ๑ ไม่ได้มาในพระปาติโมกข์ ๑.
สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์นั้น คือ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ รวมเป็น ๒๒๐ นับทั้งอธิกรณสมถะด้วยเป็น ๒๒๗.
ปาราชิก ๔.
๑. เสพเมถุน ต้องปาราชิก.
๒. ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ได้ราคา ๕ มาสก ต้องปาราชิก.
๓. ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องปาราชิก.
๔. ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม (คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ต้องปาราชิก.
สังฆาทิเสส ๑๓.
๑. ภิกษุแกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส.
๒. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ จับต้องกายหญิง ต้องสังฆาทิเสส.
๓. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส.
๔. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดล่อให้หญิงบำเรอตนด้วยกาม ต้องสังฆาทิเสส.
๕. ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องสังฆาทิเสส.
๖. ภิกษุสร้างกุฎีที่ต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ จำเพาะเป็นที่อยู่ของตน ต้องทำให้ได้ประมาณ โดยยาวเพียง ๑๒ คืบพระสุคต โดยกว้างเพียง ๗ คืบ วัดในร่วมใน และต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก็ดี ทำให้เกินประมาณก็ดี ต้องสังฆาทิเสส.
๗. ถ้าที่อยู่ซึ่งจะสร้างขึ้นนั้น มีทายกเป็นเจ้าของ ทำให้เกินประมาณนั้นได้ แต่ต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ต้องสังฆาทิเสส.
๘. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องสังฆาทิเสส.
๙. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งหาเลสโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส.
๑๐. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
๑๑. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นั้น ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส.
๑๒. ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส.
๑๓. ภิกษุประทุษร้ายตระกูล คือประจบคฤหัสถ์ สงฆ์ไล่เสียจากวัด กลับว่าติเตียนสงฆ์ ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส.
อนิยต ๒.
๑. ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนที่ควรเชื่อได้ มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๓ อย่าง คือ ปาราชิก หรือสังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุรับอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น หรือเขาว่าจำเพาะธรรมอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น.
๒. ภิกษุนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนที่ควรเชื่อได้ มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๒ อย่าง คือ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุรับอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น หรือเขาว่าจำเพาะธรรมอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น.
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ แบ่งเป็น ๓ วรรค มีวรรคละ ๑๐ สิกขาบท.
จีวรวรรคที่ ๑.
๑. ภิกษุทรงอติเรกจีวรได้เพียง ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าล่วง ๑๐ วันไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๒. ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่ง ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ.
๓. ถ้าผ้าเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ๆ ประสงค์จะทำจีวร แต่ยังไม่พอ ถ้ามีที่หวังว่าจะได้มาอีก พึงเก็บผ้านั้นไว้ได้เพียงเดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเก็บไว้ให้เกินเดือนหนึ่งไป แม้ถึงยังมีที่หวังว่าจะได้อยู่ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๔. ภิกษุใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ให้ซักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ให้ทุบก็ดี ซึ่งจีวรเก่า ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุรับจีวรแต่มือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๖. ภิกษุขอจีวรต่อคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีสมัยที่จะขอจีวรได้ คือ เวลาภิกษุมีจีวรอันโจรลักไป หรือมีจีวรอันฉิบหายเสีย.
๗. ในสมัยเช่นนั้น จะขอเขาได้ก็เพียงผ้านุ่งผ้าห่มเท่านั้น ถ้าขอให้เกินกว่านั้น ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๘. ถ้าคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา เขาพูดว่า เขาจะถวายจีวรแก่ภิกษุชื่อนี้ ภิกษุนั้นทราบความแล้ว เข้าไปพูดให้เขาถวายจีวรอย่างนั้นอย่างนี้ ที่มีราคาแพงกว่าดีกว่าที่เขากำหนดไว้เดิม ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๙. ถ้าคฤหัสถ์ผู้จะถวายจีวรแก่ภิกษุมีหลายคน แต่เขาไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ภิกษุไปพูดให้เขารวมทุนเข้าเป็นอันเดียวกัน ให้ซื้อ จีวรที่แพงกว่าดีกว่าที่เขากำหนดไว้เดิม ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๑๐. ถ้าใคร ๆ นำทรัพย์มาเพื่อค่าจีวรแล้วถามภิกษุว่า ใครเป็นไวยาวัจกรของเธอ ถ้าภิกษุต้องการจีวร ก็พึงแสดงคนวัดหรืออุบาสกว่า ผู้นี้เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ครั้นเขามอบหมายไวยาวัจกรนั้นแล้ว สั่งภิกษุว่า ถ้าต้องการจีวร ให้เข้าไปหาไวยาวัจกร ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาเขาแล้วทวงว่า เราต้องการจีวร ดังนี้ ได้ ๓ ครั้ง ถ้าไม่ได้จีวร ไปยืนแต่พอเขาเห็นได้ ๖ ครั้ง ถ้าไม่ได้ ขืนไปทวงให้เกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน๖ ครั้ง ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. ถ้าไปทวงและยืนครบกำหนดแล้วไม่ได้จีวร จำเป็นต้องไปบอกเจ้าของเดิมว่า ของนั้นไม่สำเร็จประโยชน์แก่ตน ให้เขาเรียกเอาของเขาคืนเสีย.
โกสิยวรรคที่ ๒.
๑. ภิกษุหล่อสันถัตด้วยขนเจียมเจือด้วยไหม ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๒. ภิกษุหล่อสันถัดด้วยขนเจียมดำล้วน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๓. ภิกษุจะหล่อสันถัตใหม่ พึงใช้ขนเจียมดำ ๒ ส่วน ขนเจียมขาวส่วนหนึ่ง ขนเจียมแดงส่วนหนึ่ง ถ้าใช้ขนเจียมดำเกน ๒ ส่วนขึ้นไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๔. ภิกษุหล่อสันถัตใหม่แล้ว พึงใช้ให้ได้ ๖ ปี ถ้ายังไม่ถึง ๖ ปี หล่อใหม่ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ.
๕. ภิกษุจะหล่อสันถัต พึงตัดเอาสันถัตเก่าคืบหนึ่งโดยรอบมา ปนลงในสันถัตที่หล่อใหม่ เพื่อจะทำลายให้เสียสี ถ้าไม่ทำดังนี้ ต้อง นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๖. เมื่อภิกษุเดินทางไกล ถ้ามีใครถวายขนเจียม ต้องการก็รับได้ ถ้าไม่มีใครนำมา นำมาเองได้เพียง ๓ โยชน์ ถ้าให้เกิน ๓ โยชน์ไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๗. ภิกษุใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ให้ซักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ให้สางก็ดี ซึ่งขนเจียม ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๘. ภิกษุรับเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นรับก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีทองและเงินที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๙. ภิกษุทำการซื้อขายด้วยรูปิยะ คือของที่เขาใช้เป็นทองและเงิน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๑๐. ภิกษุแลกเปลี่ยนสิ่งของกับคฤหัสถ์ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
ปัตตวรรคที่ ๓.
๑. บาตรนอกจากบาตรอธิษฐานเรียกอติเรกบาตร อติเรกบาตรนั้น ภิกษุเก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ล่วง ๑๐ วันไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๒. ภิกษุมีบาตรร้าวยังไม่ถึง ๑๐ นิ้ว ขอบาตรใหม่แต่คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๓. ภิกษุรับประเคนเภสัชทั้ง ๕ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย แล้วเก็บไว้ฉันได้เพียง ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ล่วง ๗ วันไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๔. เมื่อฤดูร้อนยังเหลืออยู่อีกเดือนหนึ่ง คือตั้งแต่แรมค่ำหนึ่ง เดือน ๗ จึงแสวงหาผาอาบน้ำฝนได้ เมื่อฤดูร้อนเหลืออยู่อีกกึ่งเดือน คือตั้งแต่ขึ้นค่ำหนึ่งเดือน ๘ จึงทำนุ่งได้ ถ้าแสวงหาหรือทำนุ่งให้ล้ำกว่ากำหนดนั้นเข้ามา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุอื่นแล้ว โกรธ ชิงเอาคืนมาเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นชิงเอามาก็ดี ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๖. ภิกษุขอด้ายแต่คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา เอามาให้ช่างหูกทอเป็นจีวร ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๗. ถ้าคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา สั่งให้ช่างหูกทอจีวร เพื่อจะถวายแก่ภิกษุ ถ้าภิกษุไปกำหนดให้เขาทำให้ดีขึ้นด้วยจะให้รางวัลแก่เขา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
๘. ถ้าอีก ๑๐ วันจะถึงวันปวารณา คือตั้งแต่ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ถ้าทายกรีบจะถวายผ้าจำนำพรรษา ก็รับเก็บไว้ได้ แต่ถ้าเก็บไว้เกินกาลจีวรไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์. กาลจีวรนั้นดังนี้ ถ้าจำพรรษาแล้วไม่ได้กรานกฐิน นับแต่วันปวารณาไปเดือนหนึ่ง คือตั้งแต่แรมค่ำหนึ่ง เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ถ้าได้กรานกฐินนับแต่วันปวารณาไป ๕ เดือน คือตั้งแต่แรมค่ำหนึ่งเดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๔.
๙. ภิกษุจำพรรษาในเสนาสนะป่าซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ออกพรรษาแล้ว อยากจะเก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อมีเหตุก็เก็บไว้ได้เพียง ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเก็บไว้ให้เกิน ๖ คืนไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ.
๑๐. ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท.
มุสาวาทวรรคที่ ๑ มี ๑๐ สิกขาบท.
๑. พูดปด ต้องปาจิตตีย์.
๒. ด่าภิกษุ ต้องปาจิตตีย์.
๓. ส่อเสียดภิกษุ ต้องปาจิตตีย์.
๔. ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบัน ถ้าว่าพร้อมกัน ต้องปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับอนุปสัมบัน เกิน ๓ คืนขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์.
๖. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับผู้หญิง แม้ในคืนแรก ต้องปาจิตตีย์.
๗. ภิกษุแสดงธรรมแก่ผู้หญิง เกินกว่า ๖ คำขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์.[๑]
๘. ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง แก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์.
๙. ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์.[๒]
๑๐. ภิกษุขุดเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นขุดก็ดี ซึ่งแผ่นดิน ต้องปาจิตตีย์.
ภูตคามวรรคที่ ๒ มี ๑๐ สิกขาบท.
๑. ภิกษุพรากของเขียวซึ่งเกิดอยู่กับที่ ให้หลุดจากที่ ต้องปาจิตตีย์.
๒. ภิกษุประพฤติอนาจาร สงฆ์เรียกตัวมาถาม แกล้งพูดกลบเกลื่อนก็ดี นิ่งเสียไม่พูดก็ดี ถ้าสงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์.
๓. ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นที่สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ทำการสงฆ์ ถ้าเธอทำโดยชอบ ติเตียนเปล่า ๆ ต้องปาจิตตีย์.
๔. ภิกษุเอาเตียง ตั่ง ฟูก เก้าอี้ ของสงฆ์ไปตั้งในที่แจ้งแล้ว เมื่อหลีกไปจากที่นั้น ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่มอบหมาย แก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุเอาที่นอนของสงฆ์ปูนอนในกุฎีสงฆ์แล้ว เมื่อหลีกไปจากที่นั้น ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
๖. ภิกษุรู้อยู่ว่า กุฎีนี้มีผู้อยู่ก่อน แกล้งไปนอนเบียด ด้วยหวังจะให้ผู้อยู่ก่อนคับแคบใจเข้าก็จะหลีกไปเอง ต้องปาจิตตีย์.
๗. ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่น ฉุดคร่าไล่ออกจากกุฎีสงฆ์ ต้องปาจิตตีย์.
๘. ภิกษุนั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี บนเตียงก็ดี บนตั่งก็ดี อันมีเท้าไม่ได้ตรึงให้แน่น ซึ่งเขาวางไว้บนร่างร้านที่เขาเก็บของในกุฎี ต้องปาจิตตีย์.
๙. ภิกษุจะเอาดินหรือปูนโบกหลังคากุฎี พึงโบกได้แต่เพียง ๓ ชั้น ถ้าโบกเกินกว่านั้น ต้องปาจิตตีย์.
๑๐. ภิกษุรู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ เอารดหญ้าหรือดิน ต้องปาจิตตีย์.
โอวาทวรรคที่ ๓ มี ๑๐ สิกขาบท.
๑. ภิกษุที่สงฆ์ไม่ได้สมมติ สั่งสอนนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์.
๒. แม้ภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้ว ตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้วไป สอนนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์.
๓. ภิกษุเข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงในที่อยู่ ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่นางภิกษุณีเจ็บ.
๔. ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นว่า สอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ ต้องปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุให้จีวรแก่นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน.
๖. ภิกษุเย็บจีวรของนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นเย็บก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
๗. ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่ทางเปลี่ยว.
๘. ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน ขึ้นน้ำก็ดี ล่องน้ำก็ดี ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่ข้ามฟาก.
๙. ภิกษุรู้อยู่ฉันของเคี้ยวของฉัน ที่นางภิกษุณีบังคับให้คฤหัสถ์เขาถวาย ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่คฤหัสถ์เขาเริ่มไว้ก่อน.
๑๐. ภิกษุนั่งก็ดี นอนก็ดี ในที่ลับสองต่อสอง กับนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์.
โภชนวรรคที่ ๔ มี ๑๐ สิกขาบท.
๑. อาหารในโรงทานที่ทั่วไปไม่นิยมบุคคล ภิกษุไม่เจ็บไข้ ฉันได้แต่เฉพาะวันเดียวแล้ว ต้องหยุดเสียในระหว่าง ต่อไปจึงฉันได้อีก ถ้าฉันติด ๆ กันตั้งแต่สองวันขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์.
๒. ถ้าทายกเขามานิมนต์ ออกชื่อโภชนะทั้ง ๕ อย่าง คือข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปรับของนั้นมา หรือฉันของนั้นพร้อมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือ เป็นไข้อย่าง ๑ หน้าจีวรกาลอย่าง ๑ เวลาทำจีวรอย่าง ๑ เดินทางไกลอย่าง ๑ ไปทางเรืออย่าง ๑ อยู่มากด้วยกันบิณฑบาตไม่พอฉันอย่าง ๑ โภชนะเป็นของสมณะอย่าง ๑.
๓. ภิกษุรับนิมนต์แห่งหนึ่ง ด้วยโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ไม่ไปฉันในที่นิมนต์นั้น ไปฉันเสียที่อื่น ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ยกส่วนที่รับนิมนต์ไว้ก่อนนั้นให้แก่ภิกษุอื่นเสีย หรือหน้าจีวรกาล และเวลาทำจีวร.
๔. ภิกษุเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ทายกเขาเอาขนมมาถวายเป็นอันมาก จะรับได้เป็นอย่างมากเพียง ๓ บาตรเท่านั้น ถ้ารับให้เกินกว่านั้น ต้องปาจิตตีย์. ของที่รับมามากเช่นนั้น ต้องแบ่งให้ภิกษุอื่น.
๕. ภิกษุฉันค้างอยู่ มีผู้เอาโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาประเคน ห้ามเสียแล้ว ลุกจากที่นั่งนั้นแล้ว ฉันของเคี้ยวของฉันซึ่งไม่เป็นเดนภิกษุไข้ หรือไม่ได้ทำวินัยกรรม ต้องปาจิตตีย์.
๖. ภิกษุรู้อยู่ว่า ภิกษุอื่นห้ามข้าวแล้ว [ตามสิกขาบทหลัง] คิดจะยกโทษเธอ แกล้งเอาของเคี้ยวของฉันที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้ ไปล่อให้เธอฉัน ถ้าเธอฉันแล้ว ต้องปาจิตตีย์.
๗. ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงวันใหม่ ต้องปาจิตตีย์.
๘. ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืน ต้องปาจิตตีย์.
๙. ภิกษุขอโภชนะอันประณีต คือ ข้าวสุก ระคนด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม ต่อคฤหัสถ์ ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา เอามาฉัน ต้องปาจิตตีย์.
๑๐. ภิกษุกลืนกินอาหารที่ไม่มีผู้ให้ คือยังไม่ได้รับประเคน ให้ล่วงทวารปากเข้าไป ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่น้ำและไม้สีฟัน.
อเจลกวรรคที่ ๕ มี ๑๐ สิกขาบท.
๑. ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉัน แก่นักบวชนอกศาสนา ด้วยมือตนต้องปาจิตตีย์.
๒. ภิกษุชวนภิกษุอื่นไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน หวังจะประพฤติอนาจาร ไล่เธอกลับมาเสีย ต้องปาจิตตีย์.
๓. ภิกษุสำเร็จการนั่งแทรกแซง ในสกุลที่กำลังบริโภคอาหารอยู่ ต้องปาจิตตีย์.
๔. ภิกษุนั่งอยู่ห้องกับผู้หญิง ไม่มีผู้ชายอยู่เป็นเพื่อน ต้องปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุนั่งในที่แจ้งกับผู้หญิงสองต่อสอง ต้องปาจิตตีย์.
๖. ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะทั้ง ๕ แล้ว จะไปในที่อื่นจากที่นิมนต์นั้น ในเวลาก่อนฉันก็ดี ฉันกลับมาแล้วก็ดี ต้องลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดก่อนจึงจะไปได้ ถ้าไม่ลาก่อนเที่ยวไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือจีวรกาล และเวลาทำจีวร.
๗. ถ้าเขาปวารณาด้วยปัจจัยสี่เพียง ๓ เดือน พึงขอเขาได้เพียงกำหนดนั้นเท่านั้น ถ้าขอให้เกินกว่ากำหนดนั้นไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีก หรือปวารณาเป็นนิตย์.
๘. ภิกษุไปดูกระบวนทัพที่เขายกไปเพื่อจะรบกัน ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุ.
๙. ถ้าเหตุที่ต้องไปมีอยู่ พึงไปอยู่ได้ในกอบทัพเพียง ๓ วัน ถ้าอยู่ให้เกินกว่ากำหนดนั้น ต้องปาจิตตีย์.
๑๐. ในเวลาที่อยู่ในกองทัพตามกำหนดนั้น ถ้าไปดูเขารบกันก็ดี หรือดูเขาตรวจพลก็ดี ดูเขาจัดกระบวนทัพก็ดี ดูหมู่เสนาที่จัดเป็นกระบวนแล้วก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
สุราปานวรรคที ๖ มี ๑๐ สิกขาบท.
๑. ภิกษุดื่มน้ำเมา ต้องปาจิตตีย์.
๒. ภิกษุจี้ภิกษุ ต้องปาจิตตีย์.
๓. ภิกษุว่ายน้ำเล่น ต้องปาจิตตีย์.
๔. ภิกษุแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย ต้องปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัวผี ต้องปาจิตตีย์.
๖. ภิกษุไม่เป็นไข้ ติดไฟให้เป็นเปลวเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นติดก็ดี เพื่อจะผิง ต้องปาจิตตีย์ ติดเพื่อเหตุอื่น ไม่เป็นอาบัติ.
๗. ภิกษุอยู่ในมัชฌิมประเทศ คือ จังหวัดกลางแห่งประเทศอินเดีย ๑๕ วันจึงอาบน้ำได้หนหนึ่ง ถ้าไม่ถึง ๑๕ วันอาบน้ำ ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็น. ในปัจจันตประเทศฯ เช่นประเทศเรา อาบน้ำได้เป็นนิตย์ ไม่เป็นอาบัติ.
๘. ภิกษุได้จีวรใหม่มา ต้องพินทุด้วยสี ๓ อย่าง คือ เขียว ราม โคลน ดำคล้ำ อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน จึงนุ่งห่มได้ ถ้าไม่ทำพินทุก่อนแล้วนุ่งห่ม ต้องปาจิตตีย์.
๙. ภิกษุวิกัปจีวรแก่ภิกษุหรือสามเณรแล้ว ผู้รับยังไม่ได้ถอนนุ่งห่มจีวรนั้น ต้องปาจิตตีย์.
๑๐. ภิกษุซ่อนบริขาร คือ บาตร จีวร ผ้าปูนั่ง กล่องเข็ม ประคดเอว สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ของภิกษุอื่น ด้วยคิดว่าจะล้อเล่น ต้องปาจิตตีย์.
สัปปวณวรรคที่ ๗ มี ๑๐ สิกขาบท.
๑. ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน ต้องปาจิตตีย์.
๒. ภิกษุรู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ บริโภคน้ำนั้น ต้องปาจิตตีย์.
๓. ภิกษุรู้อยู่ว่า อธิกรณ์นี้สงฆ์ทำแล้วโดยชอบ เลิกถอนเสีย กลับทำใหม่ ต้องปาจิตตีย์.
๔. ภิกษุรู้อยู่ แกล้งปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุรู้อยู่ เป็นอุปัชฌายะอุปสมบทกุลบุตรผู้มีอายุหย่อนกว่า ๒๐ ปี ต้องปาจิตตีย์.
๖. ภิกษุรู้อยู่ ชวนพ่อค้าผู้ซ่อนภาษีเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์.
๗. ภิกษุชวนผู้หญิงเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้องปาจิตตีย์.
๘. ภิกษุกล่าวคัดค้านธรรมเทศนาขอพระพุทธเจ้า ภิกษุอื่น ห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์.
๙. ภิกษุคบภิกษุเช่นนั้น คือ ร่วมกินก็ดี ร่วมอุโบสถสังฆกรรมก็ดี ร่วมนอนก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
๑๐. ภิกษุเกลี้ยกล่อมสามเณรที่ภิกษุอื่นให้ฉิบหายแล้ว เพราะโทษที่กล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ให้เป็นผู้อุปัฏฐากก็ดี ร่วมกินก็ดี ร่วมนอนก็ดี ต้องปาจิตตีย์.
สหธรรมิกวรรคที่ ๘ มี ๑๒ สิกขาบท.
๑ ภิกษุประพฤติอนาจาร ภิกษุอื่นตักเตือน พูดผัดเพี้ยนว่ายังไม่ได้ถามท่านผู้รู้ก่อน ข้าพเจ้าจักไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ต้องปาจิตตีย์. ธรรมดาภิกษุผู้ศึกษา ยังไม่รู้สิ่งใด ควรจะรู้สิ่งนั้น ควรไต่ถาม ไล่เลียงท่านผู้รู้.
๒. ภิกษุอื่นท่องปาติโมกข์อยู่ ภิกษุแกล้งพูดให้เธอคลายอุตสาหะ ต้องปาจิตตีย์.
๓. ภิกษุต้องอาบัติแล้วแกล้งพูดว่า ข้าพเจ้าพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าข้อนี้มาในพระปาติโมกข์ ถ้าภิกษุอื่นรู้อยู่ว่า เธอเคยรู้มาก่อนแล้วแต่แกล้งพูดกันเขาว่า พึงสวดประกาศความข้อนั้น เมื่อสงฆ์สวดประกาศแล้ว แกล้งทำไม่รู้อีก ต้องปาจิตตีย์.
๔. ภิกษุโกรธ ให้ประหารแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์.
๕. ภิกษุโกรธ เงื้อมือดุจให้ประหารแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์.
๖. ภิกษุโจทก์ฟ้องภิกษุอื่น ด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ต้องปาจิตตีย์.
๗. ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญให้เกิดแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์.
๘. เมื่อภิกษุวิวาทกันอยู่ ภิกษุไปแอบฟังความ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาว่าอะไรตนหรือพวกของตน ต้องปาจิตตีย์.
๙. ภิกษุให้ฉันทะ คือความยอมให้ทำสังฆกรรมที่เป็นธรรมแล้ว ภายหลังกลับติเตียนสงฆ์ผู้ทำกรรมนั้น ต้องปาจิตตีย์.
๑๐. เมื่อสงฆ์กำลังประชุมกันตัดสินข้อความข้อหนึ่ง ภิกษุใดอยู่ในที่ประชุมนั้น จะหลีกไปในขณะที่ตัดสินข้อนั้นยังไม่เสร็จ ไม่ให้ฉันทะก่อนลุกไปเสีย ต้องปาจิตตีย์.
๑๑. ภิกษุพร้อมกับสงฆ์ให้จีวรเป็นบำเหน็จ แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแล้ว ภายหลังกลับติเตียนภิกษุอื่นว่า ให้เพราะเห็นแก่หน้ากัน ต้องปาจิตตีย์.
๑๒. ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่ทายกเขาตั้งใจจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล ต้องปาจิตตีย์.
รตนวรรคที่ ๙ มี ๑๐ สิกขาบท.
๑. ภิกษุไม่ได้รับอนุญาตก่อน เข้าไปในห้องที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่กับพระมเหสี ต้องปาจิตตีย์.
๒. ภิกษุเห็นเครื่องบริโภคของคฤหัสถ์ตกอยู่ ถือเอาเป็นของเก็บได้เองก็ดี ให้ผู้อื่นถือเอาก็ดี ต้องปาจิตตีย์. เว้นไว้แต่ของนั้นตกอยู่ในวัด หรือในที่อาศัย ต้องเก็บไว้ให้แก่เจ้าของ ถ้าไม่เก็บ ต้องทุกกฏ.
๓. ภิกษุไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยู่ในวันก่อน เข้าไปบ้านในเวลาวิกาล ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่การด่วน.
๔. ภิกษุทำกล่องเข็ม ด้วยกระดูกก็ดี ด้วยงาก็ดี ด้วยเขาก็ดี ต้องปาจิตตีย์. ต้องต่อยกล่องนั้นเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
๕. ภิกษุทำเตียงหรือตั่ง พึงทำให้มีเท้าเพียง ๘ นิ้วพระสุคต เว้นไว้แต่แม่แคร่ ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
๖. ภิกษุทำเตียงหรือตั่งหุ้มนุ่น ต้องปาจิตตีย์. ต้องรื้อเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
๗. ภิกษุทำผ้าปูนั่ง พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๒ คืบ พระสุคต กว้างคืบครึ่ง ชายคืบหนึ่ง ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
๘. ภิกษุทำผ้าปิดแผล พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้น ยาว ๔ คืบพระสุคต กว้าง ๒ คืบ ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
๙. ภิกษุทำผ้าอาบน้ำฝน พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้น ยาว ๖ คืบพระสุคต กว้าง ๒ คืบครึ่ง ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์. ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
๑๐. ภิกษุทำจีวรให้เท่าจีวรพระสุคตก็ดี เกินกว่านั้นก็ดี ต้องปาจิตตีย์. ประมาณจีวรพระสุคตนั้น ยาว ๙ คืบพระสุคต กว้าง ๖ คืบ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก.
ปาฏิเทสนียะ ๔.
๑. ภิกษุรับของเคี้ยวของฉันแต่มือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ด้วยมือของตนมาบริโภค ต้องปาฏิเทสนียะ.
๒. ภิกษุฉันอยู่ในที่นิมนต์ ถ้ามีนางภิกษุณีมาสั่งทายกให้เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ถวาย เธอพึงไล่นางภิกษุณีนั้นให้ถอยไปเสีย ถ้าไม่ไล่ ต้องปาฏิเทสนียะ.
๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ เขาไม่ได้นิมนต์ รับของเคี้ยวของฉันในตระกูลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสขะ มาบริโภค ต้องปาฏิเทสนียะ.
๔. ภิกษุอยู่ในเสนาสนะป่าเป็นที่เปลี่ยว ไม่เป็นไข้ รับของเคี้ยวของฉัน ที่ทายกไม่ได้แจ้งความให้ทราบก่อน ด้วยมือของตนมาบริโภค ต้องปาฏิเทสนียะ.
เสขิยวัตร.
วัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษาเรียกว่าเสขิยวัตร เสขิยวัตรนั้น จัดเป็น ๔ หมวด หมวดที่ ๑ เรียกว่าสารูป หมวดที่ ๒ เรียกว่าโภชนะปฏิสังยุต หมวดที่ ๓ เรียกว่าธัมมเทสนาปฏิสังยุต หมวดที่ ๔ เรียกปกิณณกะ.
สารูปที่ ๑ มี ๒๖.
๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งให้เรียบร้อย.
๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักห่มให้เรียบร้อย.
๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักปิดกายด้วยดีไปในบ้าน.
๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน.
๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักระวังมือเท้าด้วยดีไปในบ้าน.
๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักระวังมือเท้าด้วยดีนั่งในบ้าน
๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักมีตาทอดลงไปในบ้าน.
๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักมีตาทอดลงนั่งในบ้าน.
๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เวิกผ้าไปในบ้าน.
๑๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน.
๑๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่หัวเราะไปในบ้าน.
๑๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่หัวเราะนั่งในบ้าน.
๑๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน.
๑๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน.
๑๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โคลงกายไปในบ้าน.
๑๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โคลงกายนั่งในบ้าน.
๑๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไกวแขนไปในบ้าน.
๑๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน.
๑๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน.
๒๐ ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน.
๒๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน.
๒๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน.
๒๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะ ไป ในบ้าน.
๒๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน.
๒๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เดินกระโหย่งเท้าไปในบ้าน.
๒๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน.
โภชนปฏิสังยุตที่ ๒ มี ๓๐.
๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ.
๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร.
๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก.
๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร.
๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ.
๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อฉันบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร.
๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ขุดข้าวสุกให้แหว่ง.
๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก.
๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ขยุ้มข้าวสุกแต่ยอกลงไป.
๑๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่กลบแกงหรือกับข้าวด้วยข้าวสุก เพราะอยากจะได้มาก.
๑๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่เจ็บไข้ จักไม่ขอแกงหรือข้าวสุก เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน.
๑๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ.
๑๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก.
๒๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม.
๑๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปาก เราจักไม่อ้าปากไว้ท่า.
๑๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อฉันอยู่ เราจักไม่เอานิ้วมือสอดเข้าปาก.
๑๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อข้าวอยู่ในปาก เราจักไม่พูด.
๑๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่โยนคำข้าวเข้าปาก.
๑๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว.
๒๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำกระพุ้งแก้วให้ตุ่ย.
๒๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง.
๒๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าวให้ตกลงในบาตรหรือในที่นั้น ๆ.
๒๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันแลบลิ้น.
๒๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันดังจับ ๆ.
๒๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันดังซูด ๆ.
๒๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียมือ.
๒๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันขอดบาตร.
๒๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก.
๒๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ.
๓๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน.
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตที่ ๓ มี ๑๖.
๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มีร่มในมือ.
๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มีไม้พลองในมือ.
๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มีศัสตราในมือ.
๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มีอาวุธในมือ.
๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ สวมเขียงเท้า.
๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ สวมรองเท้า.
๗. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ไปในยาน.
๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ อยู่บนที่นอน.
๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ นั่งรัดเข่า.
๑๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ พันศีรษะ.
๑๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ คลุมศีรษะ.
๑๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรานั่งอยู่บนแผ่นดิน จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้นั่งบนอาสนะ.
๑๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรานั่งบนอาสนะต่ำ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้นั่งบนอาสนะสูง.
๑๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เรายืนอยู่ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งอยู่.
๑๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราเดินไปข้างหลัง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้. ผู้เดินไปข้างหน้า.
๑๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราเดินไปนอกทาง จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้ไปในทาง.
ปกิณณกะที่ ๔ มี ๓.
๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่เป็นไข้ จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ.
๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่เป็นไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ บ้วนเขฬะ ลงในของเขียว.
๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราไม่เป็นไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ บ้วนเขฬะ ลงในน้ำ.
อธิกรณ์มี ๔.
๑. ความเถียงกันว่า สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย เรียกวิวาทาธิกรณ์.
๒. ความโจทกันด้วยอาบัตินั้น ๆ เรียกอนุวาทาธิกรณ์.
๓. อาบัติทั้งปวง เรียกอาปัตตาธิกรณ์.
๔. กิจที่สงฆ์จะพึงทำ เรียกกิจจาธิกรณ์.
อธิกรณสมถะมี ๗.
ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ทั้ง ๔ นั้น เรียกอธิกรณสมถะ มี ๗ อย่าง คือ :-
๑. ความระงับอธิกรณ์ทั้ง ๔ นั้น ในที่พร้อมหน้าสงฆ์ ในที่พร้อมหน้าบุคคล ในที่พร้อมหน้าวัตถุ ในที่พร้อมหน้าธรรม เรียกสัมมุขาวินัย.
๒. ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่พระอรหันต์ว่า เป็นผู้มีสติเต็มที่ เพื่อจะไม่ให้ใครโจทด้วยอาบัติ เรียกสติวินัย.
๓. ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่ภิกษุ ผู้หายเป็นบ้าแล้ว เพื่อจะไม่ให้ใครโจทด้วยอาบัติที่เธอทำในเวลาเป็นบ้า เรียกอมูฬหวินัย.
๔. ความปรับอาบัติตามปฏิญญาของจำเลยผู้รับเป็นสัตย์ เรียกปฏิญญาตกรณะ.
๕. ความตัดสินเอาตามคำของคนมากเป็นประมาณ เรียกเยภุยยสิกา.
๖. ความลงโทษแก่ผู้ผิด เรียกตัสสปาปิยสิกา.
๗. ความให้ประนีประนอมกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่ต้องชำระความเดิม เรียกติณวัตถารกวินัย.
สิกขาบทนอกนี้ ที่ยกขึ้นเป็นอาบัติถุลลัจจัยบ้าง ทุกกฏบ้าง ทุพภาสิตบ้าง เป็นสิกขาบทไม่ได้มาในพระปาติโมกข์.
จบวินัยบัญญัติ.
|
16390
|
240755
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16390
|
นวโกวาท/ธรรมวิภาค
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
นวโกวาท สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสธรรมวิภาค
นวโกวาท — "ธรรมวิภาค"สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
๑. สติ ความระลึกได้.
๒. สัมปชัญญะ ความรู้ตัว.
องฺ. ทุก. ๒๐/๑๑๙. ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๐.
๑. หิริ ความละอายแก่ใจ.
๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัว.
องฺ. ทุก. ๒๐/๖๕. ขุ. อิติ. ๒๕/๒๕๗.
๑. ขันติ ความอดทน.
๒. โสรัจจะ ความเสงี่ยม.
องฺ. ทุก. ๒๐/๑๑๘. วิ. มหา. ๕/๓๓๕.
๑. ปุพพการี บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน.
๒. กตัญญูกตเวที บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และ ตอบแทน.
องฺ ทุก. ๒๐/๑๐๙.
๑. ท่านผู้สอนให้ประชุมชนประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินัย ที่ท่านเรียกว่าพระพุทธศาสนา ชื่อพระพุทธเจ้า.
๒. พระธรรมวินัยที่เป็นคำสั่งสอนของท่าน ชื่อพระธรรม.
๓. หมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของท่านแล้ว ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ชื่อพระสงฆ์.
ขุ. ขุ. ๒๕/๑.
๑. พระพุทธเจ้ารู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตามด้วย.
๒. ่พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในทีชั่ว.
๓. พระสงฆ์ปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนผู้อื่นให้กระทำตามด้วย.
๑. ทรงสั่งสอน เพื่อจะให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น.
๒. ทรงสั่งสอนมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้.
๓. ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบัติ.
นัย. องฺ. ติก. ๒๐/๓๕๖.
๑. เว้นจากทุจริต คือประพฤติชั่วด้วย กาย วาจา ใจ.
๒. ประกอบสุจริต คือประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ.
๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น.
ที. มหา. ๑๐/๕๗.
๑. ประพฤติชั่วด้วยกาย เรียกกายทุจริต.
๒. ประพฤติชั่วด้วยวาจา เรียกวจีทุจริต.
๓. ประพฤติชั่วด้วยใจ เรียกมโนทุจริต.
ติกะ คือ หมวด ๓.
กายทุจริต ๓ อย่าง
ฆ่าสัตว์ ๑
ลักฉ้อ ๑
ประพฤติผิดในกาม ๑.
วจีทุจริต ๔ อย่าง
พูดเท็จ ๑
พูดส่อเสียด ๑
พูดคำหยาบ ๑
พูดเพ้อเจ้อ ๑.
มโนทุจริต ๓ อย่าง
โลภอยากได้ของเขา ๑
พยาบาทปองร้ายเขา ๑
เห็นผิดจากคลองธรรม ๑.
ทุจริต ๓ อย่างนี้ เป็นกิจไม่ควรทำ ควรจะละเสีย.
องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓.
๑. ประพฤติชอบด้วยกาย เรียกกายสุจริต.
๒. ประพฤติชอบด้วยวาจา เรียกวจีสุจริต.
๓. ประพฤติชอบด้วยใจ เรียกมโนสุจริต.
กายสุจริต ๓ อย่าง
เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑
เว้นจากลักทรัพย์ ๑
เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๑.
วจีสุจริต ๔ อย่าง
เว้นจากพูดเท็จ ๑
เว้นจากพูดส่อเสียด ๑
เว้นจากพูดคำหยาบ ๑
เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ๑.
มโนสุจริต ๓ อย่าง
ไม่โลภอยากได้ของเขา ๑
ไม่พยาบาทปองร้ายเขา ๑
เห็นชอบตามคลองธรรม ๑.
สุจริต ๓ อย่างนี้ เป็นกิจควรทำ ควรประพฤติ.
องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓.
รากเง่าของอกุศล เรียกอกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ
โลภะ อยากได้ ๑
โทสะ คิดประทุษร้ายเขา ๑
โมหะ หลงไม่รู้จริง ๑.
เมื่ออกุศลมูลเหล่านี้ (๑) ก็ดี (๒) ก็ดี (๓) ก็ดี มีอยู่แล้ว อกุศลอื่นที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญมากขึ้น เหตุนั้นควรละเสีย.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๑. ขุ. อิติ. ๒๕/๒๖๔.
รากเง่าของกุศล เรียกกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ
อโลภะ ไม่อยากได้ ๑
อโทสะ ไม่คิดประทุษร้ายเขา ๑
อโมหะ ไม่หลง ๑
ถ้ากุศลมูลเหล่านี้ (๑) ก็ดี (๒) ก็ดี (๓) ก็ดี มีอยู่แล้ว กุศลอื่นที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญมากขึ้น เหตุนั้นควรให้เกิดมีในสันดาน.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๒.
๑. ทาน สละสิ่งของของตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น.
๒. ปัพพัชชา คือบวช เป็นอุบายเว้นจากเบียดเบียนกันและกัน.
๓. มาตาปิตุอุปัฏฐาน ปฏิบัติมารดาบิดาของตนให้เป็นสุข.
องฺ. ติก. ๒๐/๑๙๑.
๑. อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ.
๒. โภชเน มัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการกินอาหารแต่พอสมควร ไม่มากไม่น้อย.
๓. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรเพื่อจะชำระใจให้หมดจด ไม่เห็นแก่นอนมากนัก.
องฺ. ติก. ๒๐/๑๔๒.
สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ เรียกบุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน.
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล.
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา.
ขุ. อิติ. ๒๕/๒๗๐. องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๑๔๕.
ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง เรียกสามัญญลักษณะ ไตรลักษณะก็เรียก แจกเป็น ๓ อย่าง
๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง.
๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์.
๓. อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตน.
สํ. สฬ. ๑๘/๑.
๑. สัปปุริสสังเสวะ คบท่านผู้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ ที่เรียกว่าสัตบุรุษ.
๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่านโดยเคารพ.
๓. โยนิโสมนสิการ ตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีหรือชั่วโดยอุบายที่ชอบ.
๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึ่งได้ตรองเห็นแล้ว.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๓๓๒.
๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร.
๒. สัปปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ.
๓. อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ.
๔. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ในปางก่อน.
จตุกกะ คือ หมวด ๔.
ธรรม ๔ อย่างนี้ ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๔๐.
๑. ลำเอียงเพราะรักใคร่กัน เรียกฉันทาคติ.
๒. ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน เรียกโทสาคติ.
๓. ลำเอียงเพราะเขลา เรียกโมหาคติ.
๔. ลำเอียงเพราะกลัว เรียกภยาคติ.
อคติ ๔ ประการนี้ ไม่ควรประพฤติ.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๒๓.
๑. อดทนต่อคำสอนไม่ได้ คือเบื่อต่อคำสั่งสอนขี้เกียจทำตาม.
๒. เป็นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนความอดอยากไม่ได้.
๓. เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป.
๔. รักผู้หญิง
ภิกษุสามเณรผู้หวังความเจริญแก่ตน ควรระวังอย่าให้อันตราย ๔ อย่างนี้ย่ำยีได้.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๖๕.
๑. สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน.
๒. ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว.
๓. ภาวนาปธาน เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน.
๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม.
ความเพียร ๔ อย่างนี้ เป็นความเพียรชอบ ควรประกอบให้มีในตน.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๒๐.
๑. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้.
๒. สัจจะ ความจริงใจ คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริง.
๓. จาคะ สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความจริงใจ.
๔. อุปสมะ สงบใจจากสิ่งเป็นข้าศึกแก่ความสงบ.
ม. อุป. ๑๔/๔๓๗.
๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น.
๒. วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น.
๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ.
๔. วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น.
คุณ ๔ อย่างนี้ มีบริบูรณ์แล้ว อาจชักนำบุคคลให้ถึงสิ่งที่ต้องประสงค์ซึ่งไม่เหลือวิสัย.
อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๒๙๒.
๑. ในการละกายทุจริต ประพฤติกายสุจริต.
๒. ในการละวจีทุจริต ประพฤติวจีสุจริต.
๓. ในการละมโนทุจริต ประพฤติมโนสุจริต.
๔. ในการละความเห็นผิด ทำความเห็นให้ถูก.
อีกอย่างหนึ่ง
๑. ระวังใจไม่ให้กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
๒. ระวังใจไม่ให้ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง.
๓. ระวังใจไม่ให้หลงในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง.
๔. ระวังใจไม่ให้มัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๖๑.
๑. ปาติโมกขสังวร สำรวมในพระปาติโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่พระองค์อนุญาต.
๒. อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏัฐพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ.
๓. อาชีวปาริสุทธิ เลี้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ไม่หลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต.
๔. ปัจจยปัจจเวกขณะ พิจารณาเสียก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริโภคด้วยตัณหา.
วิ. สีล. ปม. ๑๙.
๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าที่มีในพระองค์และทรงเกื้อกูลแก่ผู้อื่น.
๒. เมตตา แผ่ไม่ตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า.
๓. อสุภะ พิจารณาร่างกายตนและผู้อื่นให้เห็นเป็นไม่งาม.
๔. มรณัสสติ นึกถึงความตายอันจะมีแก่ตน.
กัมมัฏฐาน ๔ อย่างนี้ ควรเจริญเป็นนิตย์.
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ.
๑. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้เป็นสุข.
๒. กรุณา ความสงสาร คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์.
๓. มุทิตา ความพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดี.
๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ.
๔ อย่างนี้ เป็นเครื่องอยู่ของท่านผู้ใหญ่.
อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๓๖๙.
๑. กายานุปัสสนา ๒. เวทนานุปัสสนา ๓. จิตตานุปัสสนา ๔. ธัมมานุปัสสนา.
สติกำหนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ว่า กายนี้สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกกายานุปัสสนา.
สติกำหนดพิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์ว่า เวทนานี้ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกเวทนานุปัสสนา.
สติกำหนดพิจารณาใจที่เศร้าหมอง หรือผ่องแล้ว เป็นอารมณ์ว่า ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกจิตตานุปัสสนา.
สติกำหนดพิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล ที่บังเกิดกับใจ เป็นอารมณ์ว่า ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกธัมมานุปัสสนา.
ที. มหา. ๑๐/๓๒๕.
ธาตุ ๔ คือ
ธาตุดิน เรียกปฐวีธาตุ
ธาตุน้ำ เรียกอาโปธาตุ
ธาตุไฟ เรียกเตโชธาตุ
ธาตุลม เรียกวาโยธาตุ.
ธาตุอันใดมีลักษณะแข้นแข็ง ธาตุนั้นเป็นปฐวีธาตุ ปฐวีธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า.
ธาตุอันใดมีลักษณะเอิบอาบ ธาตุนั้นเป็นอาโปธาตุ อาโปธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร.
ธาตุอันใดมีลักษณะร้อน ธาตุนั้นเป็นเตโชธาตุ เตโชธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย ไฟที่เผาอาหารให้ย่อย.
ธาตุอันใดมีลักษณะพัดไปมา ธาตุนั้นเป็นวาโยธาตุ วาโยธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ.
ความกำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เรียกว่าธาตุกัมมัฏฐาน.
ม. อุป. ๑๔/๔๓๗.
๑. ทุกข์
๒. สมุทัย คือ เหตุให้ทุกข์เกิด
๓. นิโรธ คือความดับทุกข์
๔. มรรค คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ได้ชื่อว่าทุกข์ เพราะเป็นของทานได้ยาก.
ตัณหาคือความทะยานอยาก ได้ชื่อว่าสมุทัย เพราะเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด.
ตัณหานั้น มีประเภทเป็น ๓ คือตัณหาความอยากในอารมณ์ที่น่ารักใคร่ เรียกว่ากามตัณหาอย่าง ๑ ตัณหาความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ เรียกว่าภวตัณหาอย่าง ๑ ตัณหาความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ เรียกว่าวิภวตัณหาอย่าง ๑.
ความดับตัณหาได้สิ้นเชิง ทุกข์ดับไปหมด ได้ชื่อว่านิโรธ เพราะเป็นความดับทุกข์.
ปัญญาอันชอบว่าสิ่งนี้ทุกข์ สิ่งนี้เหตุให้ทุกข์เกิด สิ่งนี้ความดับทุกข์ สิ่งนี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ ได้ชื่อว่ามรรค เพราะเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
มรรคนั้นมีองค์ ๘ ประการ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ทำความเพียรชอบ ๑ ตั้งสติชอบ ๑ ตั้งใจชอบ ๑.
อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๑๒๗.
๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา.
๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา.
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์.
๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป.
๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน.
ปัญจกะ คือ หมวด ๕.
กรรม ๕ อย่างนี้ เป็นบาปอันหนักที่สุด ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ตั้งอยู่ในฐานปาราชิกของผู้ถือพระพุทธศาสนา ห้ามไม่ให้ทำเป็นเด็ดขาด.
องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๖๕.
๑. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้.
๒. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้.
๓. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้.
๔. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น.
๕. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัว เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว.
องฺ. ปฺจก. ๒๒/๘๑.
๑. สัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ.
๒. สีล รักษากายวาจาให้เรียบร้อย.
๓. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ศึกษามาก.
๔. วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร.
๕. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้.
องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๔๔.
๑. สำรวมในพระปาติโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาต.
๒. สำรวมอินทรีย์ คือ ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงำได้ ในเวลาที่เห็นรูปด้วยนัยน์ตาเป็นต้น.
๓. ความเป็นคนไม่เอิกเกริกเฮฮา.
๔. อยู่ในเสนาสนะอันสงัด.
๕. มีความเห็นชอบ.
ภิกษุใหม่ควรตั้งอยู่ในธรรม ๕ อย่างนี้.
องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๕๕.
๑. แสดงธรรมไปโดยลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ.
๒. อ้างเหตุผลแนะนำให้ผู้ฟังเข้าใจ.
๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง.
๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ.
๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือว่า ไม่ยกตนเสียดสีผู้อื่น.
ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก พึงตั้งองค์ ๕ อย่างนี้ไว้ในตน.
องฺ. ปฺจก. ๒๒/๒๐๖.
๑. ผู้ฟังธรรมย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง.
๒. สิ่งใดได้เคยฟังแล้ว แต่ไม่เข้าใจชัด ย่อมเข้าใจสิ่งนั้นชัด.
๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้.
๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้.
๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส.
องฺ. ปฺจก. ๒๒/๒๗๖.
๑. สัทธา ความเชื่อ.
๒. วิริยะ ความเพียร.
๓. สติ ความระลึกได้.
๔. สมาธิ ความตั้งใจมั่น.
๕. ปัญญา ความรอบรู้.
อินทรีย์ ๕ ก็เรียก เพราะเป็นใหญ่ในกิจของตน.
องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๑.
ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี เรียกนิวรณ์ มี ๕ อย่าง
๑. พอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น เรียกกามฉันท์.
๒. ปองร้ายผู้อื่น เรียกพยาบาท.
๓. ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม เรียกถีนมิทธะ.
๔. ฟุ้งซ่านและรำคาญ เรียกอุทธัจจกุกกุจจะ.
๕. ลังเลไม่ตกลงได้ เรียกวิจิกิจฉา.
องฺ. ปฺจก. ๒๒/๗๒.
กายกับใจนี้ แบ่งออกเป็น ๕ กอง เรียกว่าขันธ์ ๕
๑. รูป ๒. เวทนา ๓. สัญญา ๔. สังขาร ๕. วิญญาณ.
ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันเป็นกายนี้ เรียกว่ารูป.
ความรู้สึกอารมณ์ว่า เป็นสุข คือ สบายกายสบายใจ หรือเป็นทุกข์ คือไม่สบายกายไม่สบายใจ หรือเฉย ๆ คือไม่ทุกข์ไม่สุข เรียกว่าเวทนา.
ความจำได้หมายรู้ คือ จำรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ที่เกิดกับใจได้ เรียกว่าสัญญา.
เจตสิกธรรม คือ อารมณ์ที่เกิดกับใจ (๑) เป็นส่วนดี เรียกกุศล เป็นส่วนชั่ว เรียกอกุศล เป็นส่วนกลาง ๆ ไม่ดีไม่ชั่ว เรียกอัพยากฤต เรียกว่าสังขาร.
ความรู้อารมณ์ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตาเป็นต้น เรียกว่าวิญญาณ.
ขันธ์ ๕ นี้ ย่นเรียกว่า นาม รูป. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเข้าเป็นนาม รูปคงเป็นรูป.
อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๑.
ฉักกะ คือ หมวด ๖.
ความเอื้อเฟื้อ ในพระพุทธเจ้า ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในความศึกษา ๑ ในความไม่ประมาท ๑ ในปฏิสันถารคือต้อนรับปราศรัย ๑. ภิกษุควรทำคารวะ ๖ ประการนี้.
องฺ. ฉกฺก. ๒๒/๓๖๙.
ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง เรียกสาราณิยธรรม มี ๖ อย่าง คือ :-
๑. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ ช่วยขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนกันด้วยกาย มีพยาบาลภิกษุไข้เป็นต้น ด้วยจิตเมตตา.
๒. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ ช่วยขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนกันด้วยวาจา เช่นกล่าวสั่งสอนเป็นต้น ด้วยจิตเมตตา.
๓. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ คิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนกัน.
๔. แบ่งปันลาภที่ตนได้มาแล้วโดยชอบธรรม ให้แก่เพื่อนภิกษุสามเณร ไม่หวงไว้บริโภคจำเพาะผู้เดียว.
๕. รักษาศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพื่อนภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไม่ทำตนให้เป็นที่รังเกียจของผู้อื่น.
๖. มีความเห็นร่วมกันกับภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไม่วิวาทกับใคร ๆ เพราะมีความเห็นผิดกัน.
ธรรม ๖ อย่างนี้ ทำผู้ประพฤติให้เป็นที่รักที่เคารพของผู้อื่น เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันและกัน เป็นไปเพื่อความไม่วิวาทกันและกัน เป็นไปเพื่อความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
องฺ. ฉกฺก. ๒๒/๓๒๒.
ตา
หู
จมูก
ลิ้น
กาย
ใจ.
อินทรีย์ ๖ ก็เรียก.
ม. ม. ๑๒/๙๖. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๘๕.
รูป
เสียง
กลิ่น
รส
โผฏฐัพพะ คืออารมณ์ที่มาถูกต้องกาย
ธรรม คืออารมณ์เกิดกับใจ.
อารมณ์ ๖ ก็เรียก.
ม. อุป. ๑๔/๔๐๑. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๘๕.
อาศัยรูปกระทบตา เกิดความรู้ขึ้น เรียกจักขุวิญญาณ
อาศัยเสียงกระทบหู เกิดความรู้ขึ้น เรียกโสตวิญญาณ
อาศัยกลิ่นกระทบจมูก เกิดความรู้ขึ้น เรียกฆานวิญญาณ
อาศัยรสกระทบลิ้น เกิดความรู้ขึ้น เรียกชิวหาวิญญาณ
อาศัยโผฏฐัพพะกระทบกาย เกิดความรู้ขึ้น เรียกกายวิญญาณ
อาศัยธรรมเกิดกับใจ เกิดความรู้ขึ้น เรียกมโนวิญญาณ.
ที. มหา. ๑๐/๓๔๔. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๘๕.
อายตนะภายในมีตาเป็นต้น อายตนะภายนอกมีรูปเป็นต้น วิญญาณ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น กระทบกัน เรียกสัมผัส มีชื่อตามอายตนะภายในเป็น ๖ คือ :-
จักขุสัมผัส.
โสตสัมผัส.
ฆานสัมผัส.
ชิวหาสัมผัส.
กายสัมผัส.
มโนสัมผัส.
ที. มหา. ๑๐/๓๔๔. สํ. นิ. ๑๖/๔.
สัมผัสนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ ไม่สุขบ้าง มีชื่อตามอายตนะภายในเป็น ๖ คือ :-
จักขุสัมผัสสชาเวทนา
โสตสัมผัสสชาเวทนา
ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
กายสัมผัสสชาเวทนา
มโนสัมผัสสชาเวทนา
ที. มหา. ๑๐/๓๔๔. สํ. นิ. ๑๖/๔.
๑. ปฐวีธาตุ คือ ธาตุดิน.
๒. อาโปธาตุ คือ ธาตุน้ำ.
๓. เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ.
๔. วาโยธาตุ คือ ธาตุลม.
๕. อากาสธาตุ คือ ช่องว่างมีในกาย.
๖. วิญญาณธาตุ คือ ความรู้อะไรได้.
ม. อุป. ๑๔/๑๒๕. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๑๐๑.
สัตตกะ คือ หมวด ๗.
ธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว ชื่อว่า อปริหานิยธรรม มี ๗ อย่าง คือ :-
๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์.
๒. เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุม ก็พร้อมเพรียงกันเลิก และพร้อมเพรียงกันช่วยทำกิจที่สงฆ์จะต้องทำ.
๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติขึ้น ไม่ถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว สาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้.
๔. ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่เป็นประธานในสงฆ์ เคารพนับถือภิกษุเหล่านั้น เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน.
๕. ไม่ลุอำนาจแก่ความอยากที่เกิดขึ้น.
๖. ยินดีในเสนาสนะป่า.
๗. ตั้งใจอยู่ว่า เพื่อนภิกษุสามเณรซึ่งเป็นผู้มีศีล ซึ่งยังไม่มาสู่อาวาส ขอให้มา ที่มาแล้ว ขอให้อยู่เป็นสุข.
ธรรม ๗ อย่างนี้ ตั้งอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นไม่มีความเสื่อมเลย มีแต่ความเจริญฝ่ายเดียว.
องฺ. สตฺตก. ๒๓/๒๑.
ทรัพย์ คือ คุณความดีที่มีในสันดานอย่างประเสริฐ เรียก อริยทรัพย์ มี ๗ อย่าง คือ :-
๑. สัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ.
๒. สีล รักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อย.
๓. หิริ ความละอายต่อบาปทุจริต.
๔. โอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป.
๕. พาหุสัจจะ ความเป็นคนเคยได้ยินได้ฟังมามาก คือจำทรงธรรมและรู้ศิลปวิทยามาก.
๖. จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน.
๗. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์.
อริยทรัพย์ ๗ ประการนี้ ดีกว่าทรัพย์ภายนอก มีเงินทองเป็นต้น ควรแสวงหาไว้มีในสันดาน.
องฺ. สตฺตก. ๒๓/๕.
ธรรมของสัตบุรุษ เรียกว่า สัปปุริสธรรม มี ๗ อย่าง คือ :-
๑. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ เช่นรู้จักว่า สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งสุข สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์.
๒. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล เช่นรู้จักว่า สุขเป็นผลแห่งเหตุอันนี้ ทุกข์เป็นผลแห่งเหตุอันนี้.
๓. อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตนว่า เราว่าโดยชาติ ตระกูล ยศ ศักดิ์ สมบัติ บริวาร ความรู้ และคุณธรรมเพียงเท่านี้ ๆ แล้วประพฤติ ตนให้สมควรแก่ที่เป็นอยู่อย่างไร.
๔. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้ประมาณ ในการแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีวิตแต่โดยทางที่ชอบ และรู้จักประมาณในการบริโภคแต่พอควร.
๕. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันสมควรในอันประกอบกิจนั้น ๆ.
๖. ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประชุมชน และกิริยาที่จะต้องประพฤติต่อประชุมชนนั้น ๆ ว่า หมู่นี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำกิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ เป็นต้น.
๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเลือกบุคคลว่า ผู้นี้เป็นคนดีควรคบ ผู้นี้เป็นคนไม่ดี ไม่ควรคบ เป็นต้น.
องฺ. สตฺตก. ๒๓/๑๑๓.
๑. สัตบุรุษประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ คือ มีศรัทธา มีความละอายต่อบาป มีความกลัวต่อบาป เป็นคนได้ยินได้ฟังมาก เป็นคนมีความเพียร เป็นคนมีสติมั่นคง เป็นคนมีปัญญา.
๒. จะปรึกษาสิ่งใดกับใคร ๆ ก็ไม่ปรึกษาเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
๓. จะคิดสิ่งใดก็ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
๔. จะพูดสิ่งใดก็ไม่พูดเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
๕. จะทำสิ่งใดก็ไม่ทำเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
๖. มีความเห็นชอบ มีเห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเป็นต้น.
๗. ให้ทานโดยเคารพ คือเอื้อเฟื้อแก่ของที่ตัวให้ และผู้รับทานนั้น ไม่ทำอาการดุจทิ้งเสีย.
นัย. ม. อุป. ๑๔/๑๑๒.
๑. สติ ความระลึกได้.
๒. ธัมมวิจยะ ความสอดส่องธรรม.
๓. วิริยะ ความเพียร.
๔. ปีติ ความอิ่มใจ.
๕. ปัสสัทธิ ความสงบใจและอารมณ์.
๖. สมาธิ ความตั้งใจมั่น.
๗. อุเปกขา ความวางเฉย.
เรียกตามประเภทว่า สติสัมโพชฌงค์ไปโดยลำดับจนถึงอุเปกขาสัมโพชฌงค์.
สํ. มหา. ๑๙/๙๓.
อัฏฐกะ คือ หมวด ๘.
ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกอยู่ และสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมนั้น เรียกว่าโลกธรรม. โลกธรรมนั้น ๘ อย่าง คือ มีลาภ ๑ ไม่มีลาภ ๑ มียศ ๑ ไม่มียศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑.
ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ควรพิจารณาว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็นจริง อย่าให้มันครอบงำจิตได้ คืออย่ายินดีในส่วนที่ปรารถนา อย่ายินร้ายในส่วนที่ไม่ปรารถนา.
องฺ. สฏฺก. ๒๓/๑๕๘.
ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ ๑.
เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ ๑.
เป็นไปเพื่อความสะสมกองกิเลส ๑.
เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ ๑.
เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษยินดีด้วยของมีอยู่ คือมีนี่แล้วอยากได้นั่น ๑.
เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ. ๑.
เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ๑.
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ๑.
ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา.
ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ๑.
เป็นไปเพื่อความปราศจากทุกข์ ๑.
เป็นไปเพื่อความไม่สะสมกองกิเลส ๑.
เป็นไปเพื่อความอยากอันน้อย ๑.
เป็นไปเพื่อความสันโดษยินดีด้วยของมีอยู่ ๑.
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่ ๑.
เป็นไปเพื่อความเพียร ๑.
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ๑.
ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของ พระศาสดา.
องฺ. อฏฺก. ๒๓/๒๘๘.
๑. สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ คือเห็นอริยสัจ ๔.
๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ ดำริจะออกจากกาม ๑ ดำริในอันไม่พยาบาท ๑ ดำริในอันไม่เบียดเบียน ๑.
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือเว้นจากวจีทุจริต ๔.
๔. สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ คือเว้นจากกายทุจริต ๓.
๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ คือเว้นจากความเลี้ยงชีวิตโดยทางที่ผิด.
๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ คือเพียรในที่ ๔ สถาน.
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือระลึกในสติปัฏฐานทั้ง ๔.
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้ชอบ คือเจริญฌานทั้ง ๔.
ในองค์มรรคทั้ง ๘ นั้น เห็นชอบ ดำริชอบ สงเคราะห์เข้าในปัญญาสิกขา. วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ สงเคราะห์เข้าในสีลสิกขา. เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจไว้ชอบ สงเคราะห์เข้าในจิตตสิกขา.
ม. มู. ๑๒/๒๖. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๓๑๗.
โกรธ ๑
ลบหลู่บุญคุณท่าน ๑
ริษยา ๑
ตระหนี่ ๑
มายา ๑
มักอวด ๑
พูดปด ๑
มีความปรารถนาลามก ๑
เห็นผิด ๑.
อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๕๒๖.
ทสกะ คือ หมวด ๑๐.
จัดเป็นกายกรรม คือทำด้วยกาย ๓ อย่าง
๑. ปาณาติบาต ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง คือฆ่าสัตว์.
๒. อทินนาทาน ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย.
๓. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม.
จัดเป็นวจีกรรม คือทำด้วยวาจา ๔ อย่าง
๔. มุสาวาท พูดเท็จ.
๕. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด.
๖. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ.
๗. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ.
จัดเป็นมโนกรรม คือทำด้วยใจ ๓ อย่าง
๘. อภิชฌา โลภอยากได้ของเขา.
๙. พยาบาท ปองร้ายเขา.
๑๐. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม.
กรรม ๑๐ อย่างนี้ เป็นทางบาป ไม่ควรดำเนิน.
ที.มหา. ๑๐/๓๕๖. ที.ปาฏิ. ๑๑/๒๘๔. ม.มู. ๑๒/๕๒๑.
จัดเป็นกายกรรม ๓ อย่าง
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง.
๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย.
๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม.
จัดเป็นวจีกรรม ๔ อย่าง
๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ.
๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด.
๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ.
๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ.
จัดเป็นมโนกรรม ๓ อย่าง
๘. อนภิชฌา ไม่โลภอยากได้ของเขา.
๙. อพยาบาท ไม่พยาบาทปองร้ายเขา.
๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม.
กรรม ๑๐ อย่างนี้เป็นทางบุญ ควรดำเนิน.
ที. มหา. ๑๐/๓๕๙. ที ปาฏิ. ๑๑/๒๘๔. ม. มู. ๑๒/๕๒๓.
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน.
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล.
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา.
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติถ่อมตนแก่ผู้ใหญ่.
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ.
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ.
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ.
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม.
๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม.
๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง.
สุ.วิ. ๓/๒๕๖. อภิธมฺมตฺถสงฺคหปาลิ. ๒๙. ตฏฺฏีกา. ๑๗๑.
๑. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ.
๒. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ความเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย.
๓. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า อาการกายวาจาอย่างอื่นที่เราจะต้องทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้ ยังมีอยู่อีก ไม่ใช่เพียงเท่านี้.
๔. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ตัวของเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่.
๕. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่.
๖. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น.
๗. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัวเราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว.
๘. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่.
๙. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรายินดีในที่สงัดหรือไม่.
๑๐. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขินในเวลาเพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง.
องฺ. ทสก. ๒๔/๙๑.
๑. ศีล รักษากายวาจาให้เรียบร้อย.
๒. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้สดับรับฟังมาก.
๓. กัลยาณมิตตตา ความเป็นผู้มีเพื่อนดีงาม.
๔. โสวจัสสตา ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย.
๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความขยันช่วยเอาใจใส่ในกิจธุระของเพื่อนภิกษุสามเณร
๖. ธัมมกามตา ความใคร่ในธรรมที่ชอบ.
๗. วิริยะ เพียรเพื่อจะละความชั่ว ประพฤติความดี.
๘. สันโดษ ยินดีด้วยผ้านุ่ง ผ้าห่ม อาหาร ที่นอน ที่นั่ง และยา ตามมีตามได้.
๙. สติ จำการที่ได้ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้.
๑๐. ปัญญา รอบรู้ในกองสังขารตามเป็นจริงอย่างไร.
องฺ. ทสก. ๒๔/ ๒๗.
๑. อัปปิจฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย.
๒. สันตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้.
๓. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัดกายสงัดใจ.
๔. อสังสัคคกถา ถ้อยคำที่ชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่.
๕. วิริยารัมภกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ปรารภความเพียร.
๖. สีลกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล.
๗. สมาธิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้สงบ.
๘. ปัญญากถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา.
๙. วิมุตติกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส.
๑๐. วิมุตติญาณทัสสนากถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดความรู้ความเห็นในความที่ใจพ้นจากกิเลส.
องฺ. ทสก. ๒๔/๑๓๘.
๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า.
๒. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม.
๓. สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์.
๔. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลของตน.
๕. จาคานุสสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้ว.
๖. เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา.
๗. มรณัสสติ ระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตน.
๘. กายคตาสติ ระลึกทั่วไปในกาย ให้เห็นว่า ไม่งาม น่าเกลียดโสโครก.
๙. อานาปานสติ ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก.
๑๐. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับกิเลสและกองทุกข์.
วิ. ฉอนุสฺสติ. ปม. ๒๕๐.
๑. อภิชฌาวิสมโลภะ ละโมบไม่สม่ำเสมอ คือความเพ่งเล็ง.
๒. โทสะ. ร้ายกาจ.
๓. โกธะ โกรธ.
๔. อุปนาหะ ผูกโกรธไว้.
๕. มักขะ ลบหลู่คุณท่าน.
๖. ปลาสะ ตีเสมอ คือยกตัวเทียมท่าน.
๗. อิสสา ริษยา คือเห็นเขาได้ดี ทนอยู่ไม่ได้.
๘. มัจฉริยะ ตระหนี่.
๙. มายา มารยา คือเจ้าเล่ห์.
๑๐. สาเถยยะ โอ้อวด.
๑๑. ถัมภะ หัวดื้อ.
๑๒. สารัมภะ แข่งดี.
๑๓. มานะ ถือตัว.
๑๔. อติมานะ ดูหมิ่นท่าน.
๑๕. มทะ มัวเมา.
๑๖. ปมาทะ เลินเล่อ.
ปกิณณกะ คือ หมวดเบ็ดเตล็ด.
ม. มู. ๑๒/๒๖-๒๗,๖๕.
สติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔ (ปธาน ๔).
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
มรรคมีองค์ ๘
|
16391
|
4431
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16391
|
นวโกวาท/คิหิปฏิบัติ
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
← ธรรมวิภาค
นวโกวาท สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสคิหิปฏิบัติ
นวโกวาท — "คิหิปฏิบัติ"สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
๑. ปาณาติบาต ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง.
๒. อทินนาทาน ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย.
๓. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม.
๔. มุสาวาท พูดเท็จ.
จตุกกะ.
กรรมกิเลส คือ กรรมเครื่องเศร้าหมอง ๔ อย่าง.
กรรม ๔ อย่างนี้ นักปราชญ์ไม่สรรเสริญเลย.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๕.
๑. ความเป็นนักเลงหญิง.
๒. ความเป็นนักเลงสุรา.
๓. ความเป็นนักเลงเล่นการพนัน.
๔. ความคบคนชั่วเป็นมิตร.
อบายมุข คือ เหตุเครื่องฉิบหาย ๔ อย่าง.
โทษ ๔ ประการนี้ ไม่ควรประกอบ.
องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๒๙๖.
๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ในการประกอบกิจเครื่องเลี้ยงชีวิตก็ดี ในการศึกษาเล่าเรียนก็ดี ในการทำธุระหน้าที่ของตนก็ดี.
๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา คือรักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ด้วยความหมั่น ไม่ให้เป็นอันตรายก็ดี รักษาการงานของตน ไม่ให้เสื่อมเสียไปก็ดี.
๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว.
๔. สมชีวิตา ความเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้ ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ไม่ให้ฟูมฟายนัก.
องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๒๙๔.
๑. สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ เช่นเชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น.
๒. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คือรักษากายวาจาเรียบร้อยดี ไม่มีโทษ.
๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน เป็นการเฉลี่ยสุขให้แก่ผู้อื่น.
๔. ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ เป็นต้น
องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๒๙๗.
๑. คนปอกลอก.
๒. คนดีแต่พูด.
๓. คนหัวประจบ.
๔. คนชักชวนในทางฉิบหาย.
มิตตปฏิรูป คือ คนเทียมมิตร ๔ จำพวก.
คน ๔ จำพวกนี้ ไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร ไม่ควรคบ.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๙.
๑. คนปอกลอก มีลักษณะ ๔
(๑) คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว.
(๒) เสียให้น้อย คิดเอาให้ได้มาก.
(๓) เมื่อมีภัยแก่ตัว จึงรับทำกิจของเพื่อน.
(๔) คบเพื่อเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๙.
๒. คนดีแต่พูด มีลักษณะ ๔
(๑) เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย.
(๒) อ้างเอาของที่ยังไม่มีมาปราศรัย.
(๓) สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้.
(๔) ออกปากพึ่งมิได้.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๐
๓. คนหัวประจบ มีลักษณะ ๔
(๑) จะทำชั่วก็คล้อยตาม.
(๒) จะทำดีก็คล้อยตาม.
(๓) ต่อหน้าว่าสรรเสริญ.
(๔) ลับหลังตั้งนินทา.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๐.
๔. คนชักชวนในทางฉิบหาย มีลักษณะ ๔
(๑) ชักชวนดื่มน้ำเมา.
(๒) ชักชวนเที่ยวกลางคืน.
(๓) ชักชวนให้มัวเมาในการเล่น.
(๔) ชักชวนเล่นการพนัน.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๐.
๑. มิตรมีอุปการะ.
๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์.
๓. มิตรแนะประโยชน์.
๔. มิตรมีความรักใคร่.
มิตรแท้ ๔ จำพวก.
มิตร ๔ จำพวกนี้ เป็นมิตรแท้ ควรคบ.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๑.
๑. มิตรมีอุปการะ มีลักษณะ ๔
(๑) ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว.
(๒) ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว.
(๓) เมื่อมีภัย เป็นที่พึ่งพำนักได้.
(๔) เมื่อมีธุระ ช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๑.
๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มีลักษณะ ๔
(๑) ขยายความลับของตนแก่เพื่อน.
(๒) ปิดความลับของเพื่อนไม่ให้แพร่งพราย.
(๓) ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ.
(๔) แม้ชีวิตก็อาจสละแทนได้.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๑.
๓. มิตรแนะประโยชน์ มีลักษณะ ๔
(๑) ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว.
(๒) แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี.
(๓) ให้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง.
(๔) บอกทางสวรรค์ให้.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๑.
๔. มิตรมีความรักใคร่ มีลักษณะ ๔
(๑) ทุกข์ ๆ ด้วย.
(๒) สุข ๆ ด้วย.
(๓) โต้เถียงคนที่พูดติเตียนเพื่อน.
(๔) รับรองคนที่พูดสรรเสริญเพื่อน.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๒.
๑. ทาน ให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน.
๒. ปิยวาจา เจรจาวาจาที่อ่อนหวาน.
๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น.
๔. สมานัตตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว.
สังคหวัตถุ ๔ อย่าง.
คุณทั้ง ๔ อย่างนี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจของผู้อื่นไว้ได้.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๔๒.
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์.
๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค.
๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้.
๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๙๐.
๑. ขอสมบัติจงเกิดมีแก่เราโดยทางที่ชอบ.
๒. ขอยศจงเกิดมีแก่เราและญาติพวกพ้อง.
๓. ขอเราจงรักษาอายุให้ยืนนาน.
๔. เมื่อสิ้นชีพแล้ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๘๕.
๑. สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา.
๒. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล.
๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน.
๔. ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๘๑.
๑. ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว.
๒. ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า.
๓. ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ.
๔. ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลให้เป็นแม่เรือนพ่อเรือน.
ตระกูลอันมั่งคั่งจะตั้งอยู่นานไม่ได้ เพราะสถาน ๔.
ผู้หวังจะดำรงตระกูล ควรเว้นสถาน ๔ ประการนั้นเสีย.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๓๓๖.
๑. สัจจะ สัตย์ซื่อต่อกัน.
๒. ทมะ รู้จักข่มจิตของตน.
๓. ขันติ อดทน.
๔. จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่ตนที่ควรให้ปัน.
สํ. ส. ๑๕/๓๑๖.
ปัญจกะ.
ประโยชน์เกิดแต่การถือโภคทรัพย์ ๕ อย่าง.
แสวงหาโภคทรัพย์ได้โดยทางที่ชอบแล้ว
๑. เลี้ยงตัว มารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ ให้เป็นสุข.
๒. เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข.
๓. บำบัดอันตรายที่เกิดแต่เหตุต่าง ๆ.
๔. ทำพลี ๕ อย่าง คือ
ก. ญาติพลี สังเคราะห์ญาติ.
ข. อติถิพลี ต้องรับแขก.
ค. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย.
ฆ. ราชพลี ถวายเป็นหลวง มีภาษีอากรเป็นต้น.
ง. เทวตาพลี ทำบุญอุทิศให้เทวดา.
๕. บริจาคทานในสมณะพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบ.
องฺ. ปญฺจก. ๒๒/๔๘.
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป.
๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย.
๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม.
๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ.
๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท.
ศีล ๕.
ศีล ๕ ประการนี้ คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นนิตย์.
องฺ. ปญฺจก. ๒๒/๒๒๖.
๑. ค้าขายเครื่องประหาร.
๒. ค้าขายมนุษย์.
๓. ค้าขายสัตว์เป็นสำหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหาร.
๔. ค้าขายน้ำเมา.
๕. ค้าขายยาพิษ.
มิจฉาวณิชชา คือการค้าขายไม่ชอบธรรม ๕ อย่าง.
การค้าขาย ๕ อย่างนี้ เป็นข้อห้ามอุบาสกไม่ให้ประกอบ.
องฺ. ปญฺจก. ๒๒/๒๓๒.
๑. ประกอบด้วยศรัทธา.
๒. มีศีลบริสุทธิ์.
๓. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือเชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล.
๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพุทธศาสนา.
๕. บำเพ็ญบุญแต่ในพุทธศาสนา.
สมบัติของอุบาสก ๕ ประการ.
อุบาสกพึงตั้งอยู่ในสมบัติ ๕ ประการ และเว้นจากวิบัติ ๕ ประการ ซึ่งวิปริตจากสมบัตินั้น.
องฺ. ปญฺจก. ๒๒/๒๓๐.
๑. ปุรัตถิมทิส คือทิศเบื้องหน้า มารดาบิดา.
๒. ทักขิณทิส คือทิศเบื้องขวา อาจารย์.
๓. ปัจฉิมทิศ คือทิศเบื้องหลัง บุตรภรรยา.
๔. อุตตรทิส คือทิศเบื้องซ้าย มิตร.
๕. เหฏฐิมทิส คือทิศเบื้องต่ำ บ่าว.
๖. อุปริมทิส คือทิศเบื้องต้น สมณพราหมณ์.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๓.
ฉักกะ.
ทิศ ๖.
๑. ปุรัตถิมทิส คือทิศเบื้องหน้า มารดาบิดา บุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ท่านได้เลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ.
(๒) ทำกิจของท่าน.
(๓) ดำรงวงศ์สกุล.
(๔) ประพฤติตนให้เป็นคนควรรับทรัพย์มรดก.
(๕) เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน.
ที. ปาฏิ. ๑๐/๒๐๓.
มารดาบิดาได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕
(๑) ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว.
(๒) ให้ตั้งอยู่ในความดี.
(๓) ให้ศึกษาศิลปวิทยา.
(๔) หาภรรยาที่สมควรให้.
(๕) มอบทรัพย์ให้ในสมัย.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๓.
๒. ทักขิณทิส คือทิศเบื้องขวา อาจารย์ ศิษย์พึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยลุกขึ้นยืนรับ.
(๒) ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้.
(๓) ด้วยเชื่อฟัง.
(๔) ด้วยอุปัฏฐาก.
(๕) ด้วยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๓.
อาจารย์ได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน ๕
(๑) แนะนำดี.
(๒) ให้เรียนดี.
(๓) บอกศิลปให้สิ้นเชิง ไม่ปิดบังอำพราง.
(๔) ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง.
(๕) ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย (คือจะไปทางทิศไหนก็ไม่อดอยาก).
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
๓. ปัจฉิมทิส คือทิศเบื้องหลัง ภรรยา สามีพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา.
(๒) ด้วยไม่ดูหมิ่น.
(๓) ด้วยไม่ประพฤติล่วงใจ.
(๔) ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้.
(๕) ด้วยให้เครื่องแต่งตัว.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
ภรรยาได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕
(๑) จัดการงานดี.
(๒) สงเคราะห์คนข้างเคียงของผัวดี.
(๓) ไม่ประพฤติล่วงใจผัว.
(๔) รักษาทรัพย์ที่ผัวหามาได้ไว้.
(๕) ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
๔. อุตตรทิส คือทิศเบื้องซ้าย มิตร กุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยให้ปัน.
(๒) ด้วยเจรจาถ้อยคำไพเราะ.
(๓) ด้วยประพฤติประโยชน์.
(๔) ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ.
(๕) ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจริง.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
มิตรได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕
(๑) รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว.
(๒) รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว.
(๓) เมื่อมีภัย เอาเป็นที่พึ่งพำนักได้.
(๔) ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ.
(๕) นับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตร.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๕.
๕. เหฏฐิมทิส คือทิศเบื้องต่ำ บ่าว นายพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง.
(๒) ด้วยให้อาหารและรางวัล.
(๓) ด้วยรักษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข้.
(๔) ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน.
(๕) ด้วยปล่อยในสมัย.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๕.
บ่าวได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕
(๑) ลุกขึ้นทำการงานก่อนนาย.
(๒) เลิกการงานทีหลังนาย.
(๓) ถือเอาแต่ของที่นายให้.
(๔) ทำการงานให้ดีขึ้น.
(๕) นำคุณของนายไปสรรเสริญในที่นั้น ๆ.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๕.
๖. อุปริมทิส คือทิศเบื้องบน สมณพราหมณ์ กุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยกายกรรม คือทำอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา.
(๒) ด้วยวจีกรรม คือพูดอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา.
(๓) ด้วยมโนกรรม คือคิดอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา.
(๔) ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู คือมิได้ห้ามเข้าบ้านเรือน.
(๕) ด้วยให้อามิสทาน.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๕.
สมณพราหมณ์ได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖
(๑) ห้ามไม่ให้กระทำความชั่ว.
(๒) ให้ตั้งอยู่ในความดี.
(๓) อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม.
(๔) ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง.
(๕) ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่ม.
(๖) บอกทางสวรรค์ให้.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๖.
(๑) ดื่มน้ำเมา.
(๒) เที่ยวกลางคืน.
(๓) เที่ยวดูการเล่น.
(๔) เล่นการพนัน.
(๕) คบคนชั่วเป็นมิตร.
(๖) เกียจคร้านทำการงาน.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๖.
อบายมุข คือเหตุเครื่องฉิบหาย ๖.
๑. ดื่มน้ำเมา มีโทษ ๖
(๑) เสียทรัพย์.
(๒) ก่อการทะเลาะวิวาท.
(๓) เกิดโรค.
(๔) ต้องติเตียน.
(๕) ไม่รู้จักอาย.
(๖) ทอนกำลังปัญญา.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๖.
๒. เที่ยวกลางคืน มีโทษ ๖
(๑) ชื่อว่าไม่รักษาตัว.
(๒) ชื่อว่าไม่รักษาลูกเมีย.
(๓) ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติ.
(๔) เป็นที่ระแวงของคนทั้งหลาย.
(๕) มักถูกใส่ความ.
(๖) ได้ความลำบากมาก.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๗.
๓. เที่ยวดูการเล่น มีโทษตามวัตถุที่ไปดู ๖
(๑) รำที่ไหนไปที่นั้น.
(๒) ขับร้องที่ไหนไปที่นั้น.
(๓) ดีดสีตีเป่าที่ไหนไปที่นั้น.
(๔) เสภาที่ไหนไปที่นั้น.
(๕) เพลงที่ไหนไปที่นั้น.
(๖) เถิดเทิงที่ไหนไปที่นั้น.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๗.
๔. เล่นการพนัน มีโทษ ๖
(๑) เมื่อชนะย่อมก่อเวร.
(๒) เมื่อแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป.
(๓) ทรัพย์ย่อมฉิบหาย.
(๔) ไม่มีใครเชื่อถือถ้อยคำ.
(๕) เป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อน.
(๖) ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๗.
๕. คบคนชั่วเป็นมิตร มีโทษตามบุคคลที่คบ ๖
(๑) นำให้เป็นนักเลงการพนัน.
(๒) นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้.
(๓) นำให้เป็นนักเลงเหล้า.
(๔) นำให้เป็นคนลวงเขาด้วยของปลอม.
(๕) นำให้เป็นคนลวงเขาซึ่งหน้า
(๖) นำให้เป็นคนหัวไม้.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๗.
๖. เกียจคร้านทำการงาน มีโทษ ๖
(๑) มักให้อ้างว่า หนาวนัก แล้วไม่ทำการงาน.
(๒) มักให้อ้างว่า ร้อนนัก แล้วไม่ทำการงาน.
(๓) มักให้อ้างว่า เวลาเย็นแล้ว แล้วไม่ทำการงาน.
(๔) มักให้อ้างว่า ยังเช้าอยู่ แล้วไม่ทำการงาน.
(๕) มักให้อ้างว่า หิวนัก แล้วไม่ทำการงาน.
(๖) มักให้อ้างว่า ระหายนัก แล้วไม่ทำการงาน.
ผู้หวังความเจริญด้วยโภคทรัพย์ พึงเว้นเหตุเครื่องฉิบหาย ๖ ประการนี้เสีย.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๑๙๗.
|
16395
|
8884
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16395
|
พงศาวดารเมืองหลวงพระบาง
|
<includeonly>
"' #เปลี่ยนทาง "พงศาวดารเมืองหลวงพระบาง"
#เปลี่ยนทาง "พงศาวดารเมืองหลวงพระบาง"
พงศาวดารเมืองหลวงพระบาง สามารถหมายถึง</includeonly>
|
16399
|
11004
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16399
|
ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 5 (2460)/คำนำ
|
← หน้าต้น
ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ 5
(พ.ศ. 2460
)คำนำ โดย
../เรื่องที่ 1/
ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ 5
— "คำนำ"พ.ศ. 2460
<pages index="ประชุมพงศาวดาร (ภาค ๕) - ๒๔๖๐ reorganised.pdf" from="2" to="13"/>
|
16473
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16473
|
เพลงยาวเจ้าอิศรญาณ
|
เกิดเป็นคนเชิงดูให้รู้เท่า ใจของเราไม่สอนใจใครจะสอน
อยากใช้เขาเราต้องก้มประนมกร ใครเลยห่อนจะว่าตัวเป็นวัวมอ
เป็นบ้าจี้นิยมชมว่าเอก คนโหยกเหยกรักษายากลำบากหมอ
อันยศศักดิ์มิใช่เหล้าเมาแต่พอ ถ้าเขายอเหมือนอย่างเกาให้เราคัน
บ้างโลดเลนเต้นรำทำเป็นเจ้า เป็นไรเขาไม่จับผิดคิดดูขัน
ผีมันหลอกช่างผีตามทีมัน คนเหมือนกันหลอกกันเองกลัวเกรงนัก
สูงอย่าให้สูงกว่าฐานนานไปล้ม จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปิดฝัก
คนสามขามีปัญญาหาไว้ทัก ที่ไหนหลักแหลมคำจงจำเอา
เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัด ไปพูดขัดเขาทำไมขัดใจเขา
ใครทำตึงแล้วหย่อนผ่อนลงเอา นักเลงเก่าเขาไม่หาญราญนักเลง
|
16474
|
39070
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16474
|
มาลี
|
มาลี ดอกดังสีบานเย็นเห็นหรือไม่
ผีเสื้อร่อนว่อนอยู่ดูวิไล งามกระไรหนอผีเสื้อช่างเหลืองาม
กินอะไรเกิดที่ไหนผีเสื้อเอ๋ย อย่าปิดเลยตอบต่อที่ข้อถาม
น้องจะได้ไปเกิดไปกินตาม ให้อร่ามเหมือนผีเสื้อเหลือสวยเอย
พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จาก บทละครเรื่อง เงาะป่า
|
16498
|
2651
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16498
|
บทสวดสรรเสริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
|
ก้มกราบมนัสน้อม วรจอมวิชชาจารย์
นบองค์พระทรงญาณ ชินะบุตรชิโนดม
เอกสงฆ์พระนามจัน- ทสโรวิสุทธิ์สม
ทวยเทพมนุษย์พรหม อภิวันทนาการ
ท่านหวังวิมุตติ์พ้น ชนะกลพญามาร
มุ่งสุดนฤพาน อธิญาณพระนำชัย
พลีชีพถวายศาสน์ มุนินาถ ณ เพ็ญใส
หยุดนิ่งสนิทใน หฤทัย ณ กลางกาย
ดวงธรรมสว่างล้ำ พหุธรรมกายพราย
เห็นสุดตลอดสาย วรกายวิเศษศานต์
วิชชาพระชาญเชี่ยว มนะเดี่ยวผจญมาร
ปราบสิ้นกิเลสราน อภิบาลมหาชน
รู้แจ้งกระจ่างจินต์ พระถวิลจะรวมพล
หยุดนิ่งลุมรรคผล อนุสนธิ์พระต้นธรรม์
ยอมตายมิยอมแพ้ มนะแน่มิแปรผัน
กรำศึกทุกคืนวัน สละพลันอุทิศพลี
ใจท่านมิหวั่นไหว จะขยายพระศาสน์ศรี
สร้างพระและคนดี คุณะมีตลอดชนม์
ด้วยเดชะสรรเสริญ สุเจริญพิพัฒน์ผล
ขอพรพระมงคล- เทพมุนีพิชิตมาร
อวยชัยมลายโศก นิรโรคลุภัยพาล
สบสุขเกษมศานต์ ธนจักรพรรดิมี
รู้แจ้งพระธรรมา ลุวิชชาพระชินสีห์
เปี่ยมบุญญบารมี สุขสันต์นิรันดร์กาลฯ
ประพันธ์บูชาธรรม โดย ตะวันธรรม
|
16510
|
606
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16510
|
คำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.๑๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๓/หน้า 182-187
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
← หน้า 172-181
คำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.๑๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๓
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหน้า 182-187
คำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.๑๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม.๑/๒๕๕๓
— "หน้า 182-187"ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2551 ผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19 จึงไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ์และศาลไม่จำต้องพิจารณาคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19 ต่อไป ส่วนผู้คัดค้านอื่นนั้น เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้วินิจฉัยแล้วว่าเงินปันผลและเงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 46,373,687,454.70 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อพิจารณารายการทรัพย์สินที่ คตส. มีคำสั่งอายัดไว้ของผู้ถูกกล่าวหา ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สมรส และผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นแทนดังที่วินิจฉัยมา ปรากฏว่ามีจำนวนเพียงพอกับจำนวนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยให้ตกเป็นของแผ่นดินได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยคำคัดค้านของผู้คัดค้านอื่นที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์ของ คตส. อีกต่อไป
พิพากษา ให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลหุ้นของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 46,373,687,454.70 บาท พร้อมดอกผลเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก นับตั้งแต่วันฝากเงินจนถึงวันที่ธนาคารส่งเงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน โดยบังคับเอาจากทรัพย์สินที่อายัดตามคำสั่งของคณะกรรมการตรวจสอบ อันได้แก่บัญชีเงินฝากและหน่วยลงทุน ดังต่อไปนี้
คำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบที่ คตส. 016/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550 ได้แก่ บัญชีเงินฝาก
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาซอยอารีย์ บัญชีเลขที่ 127-2-37287-9 ชื่อบัญชี นางสาวพินทองทา ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาราชวัตร บัญชีเลขที่ 146-2-31081-2 ชื่อบัญชี นางสาวพินทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาชิดลบ บัญชีเลขที่ 001-0-55188-2 ชื่อบัญชี นางสาวพินทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-2-414524-4 ชื่อบัญชี นางสาวพินทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-12631-3 ชื่อบัญชี นางสาวทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-12222-0 ชื่อบัญชี นาวสาวพินทองทา ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาพหลโยธิน บัญชีเลขที่ 014-1-11300-9 ชื่อบัญชี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาพหลโยธิน บัญชีเลขที่ 014-2-41335-5 ชื่อบัญชี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-2-78188-1 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-11188-9 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-13095-6 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-2-27722-2 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาซอยอารี บัญชีเลขที่ 127-2-37342-2 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาซอยอารี บัญชีเลขที่ 127-2-37343-0 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาชิดลม บัญชีเลขที่ 001-1-55232-5 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยเซ็นจูรี่ บัญชีเลขที่ 208-1-00022-9 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-2-31008-8 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-13092-2 ชื่อบัญชีนายพานทองแท้ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-12632-1 ชื่อบัญชี พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
หน่วยลงทุนของนางสาวพินทองทา ชินวัตร ในบัญชีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ เลขทะเบียน 111-8-0226591-6 จำนวน 13,215,843.1522 หน่วย
หน่วยลงทุนของนายพานทองแท้ ชินวัตร ในบัญชีกองทุนเปิดไทยสะสมทัพย์ตราสารหนี้ เลขที่ทะเบียน 001-8-0283005-7 จำนวน 70,815,404.7729 หน่วย
ตามคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบที่ คตส. 017/2550 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2550
บัญชีเงินฝาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)สาขาราชวัตร บัญชีเลขที่ 146-0-63930-3 ชื่อบัญชีพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาชิดลม บัญชีเลขที่ 001-1-1-55021-8 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-03165-7 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-04128-8 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน บัญชีเลขที่ 111-1-04129-6 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาซอยอารีสัมพันธ์ บัญชีเลขที่ 056-2-00065-1 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) สาขาถนนสุขสวัสดิ์ บัญชีเลขที่ 164-2-28388-9 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาราชวัตร บัญชีเลขที่ 146-0-44839-0 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานควาย บัญชีเลขที่ 013-2-08229-9 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยเพนนินซูล่า บัญชีเลขที่ 202-3-00330-0 ชื่อบัญชีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
ธนาคารนครหลวงจำกัด (มหาชน) สาขาสะพานควาย บัญชีเลขที่ 108-3-09761-3 ชื่อบัญชีนางพจมาน ชินวัตร
ตามคำสั่งคณะรรมการตรวจสอบที่ คตส. 029/2550 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 บัญชีเงินฝาก
ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยถนนพหลโยธิน 8 บัญชีเลขที่ 084-3-02118-9 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยถนนพหลโยธิน 8 บัญชีเลขที่ 084-3-02187-4 ชื่อบัญชีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์
คำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบที่ คตส.028/2550 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2550 หน่วยลงทุนของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในบัญชีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ เลขที่ทะเบียน 001-8-266016-6 จำนวน 57,799,458.9970 หน่วย
การบังคับเอาจากทรัพย์สินดังกล่าวหากไม่พอ ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ คตส.ได้มีคำสั่งอายัดไว้ หากได้เงินครบถ้วนตามคำพิพากษาแล้วก็ให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 5 และให้ยกคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19 กับเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านรายอื่น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก.
<br><br>(ลายมือชื่อ)<br>
นายสมศักดิ์ เนตรมัย<br>
นายพงษ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์<br>
หม่อมหลวงฤทธิเทพ เทวกุล<br>
นายไพโรจน์ วายุภาพ<br>
นายธานิศ เกศวพิทักษ์<br>
นายอดิศักดิ์ ทิมมาศย์<br>
นายพิทักษ์ คงจันทร์<br>
นายประทีบ เฉลิมภัทรกุล<br>
นายกำพล ภู่สุดแสวง
|
16525
|
5239
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16525
|
กลอนหมูหมา
|
กลอนหมูหมา
กลอนหมูหมา
เมื่อมั่งมีมากมายมิตรหมายมอง
เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมูหมา
เมื่อไม่มีหมดมิตรมุ่งมองมา
เมื่อมอดม้วยแม้หมูหมาไม่มามอง
|
16536
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16536
|
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๐/๒๕๑๐
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๐/๒๕๑๐ ศาลฎีกา
ในคดีระหว่างพนักงานอัยการ โจทก์ กับพิมล กาฬสีห์ ที่ ๑ และนภาพันธ์ กาฬสีห์ ที่ ๒ จำเลย<br>เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับเพศ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๐<br>
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๐/๒๕๑๐ — "ในคดีระหว่างพนักงานอัยการ โจทก์ กับพิมล กาฬสีห์ ที่ ๑ และนภาพันธ์ กาฬสีห์ ที่ ๒ จำเลย<br>เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับเพศ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๐<br>"ศาลฎีกา
#เปลี่ยนทาง [[แม่แบบ:สี]]
#เปลี่ยนทาง
ชั้นต้น
ชั้นอุทธรณ์
ชั้นฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณา โจทก์นำสืบว่า
ฝ่ายจำเลยสืบว่า
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า
๑. #เปลี่ยนทาง [[แม่แบบ:ช่องว่าง]] ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ ๑ กระทำชำเราจริงหรือไม่
๒. #เปลี่ยนทาง [[แม่แบบ:ช่องว่าง]] ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป มีว่า ผู้เสียหายสมัครใจยินยอมให้จำเลยที่ ๑ กระทำชำเราหรือเปล่า
๓. #เปลี่ยนทาง [[แม่แบบ:ช่องว่าง]] ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป มีว่า หญิงจะเป็นตัวการร่วมในการข่มขืนกระทำชำเราได้หรือไม่
พิพากษา
#เปลี่ยนทาง
คำพิพากษา
<ns>10</ns>
<id>16513</id>
<revision>
<id>39269</id>
<timestamp>2010-10-01T09:03:24Z</timestamp>
<contributor>
<username>Octahedron80</username>
<id>156</id>
</contributor>
<comment>escape template</comment>
<origin>39269</origin>
<model>wikitext</model>
<format>text/x-wiki</format>
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ศาลฎีกา
เรื่อง #เปลี่ยนทาง ความผิดเกี่ยวกับเพศ
โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๒๑ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๐๙
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน ได้ร่วมกันกระทำผิด โดยเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๒๙ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงติดต่อกัน เพื่อสำเร็จความใคร่ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้เป็นธุระจัดหาใช้อุบายหลอกลวงนางสาวเพ็ชร์ ทิวาพัฒน์ ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นคนรับใช้ของจำเลยไปนวดจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยทั้งสองบังอาจข่มขืนใจและพูดให้ผู้เสียหายจับอวัยวะสืบพันธุ์จำเลยที่ ๑ รูดขึ้นลง ถ้าไม่ทำตาม ผู้เสียหายจะเป็นอันตรายถูกฆ่าให้ตาย ผู้เสียหายจึงยอมกระทำตามที่จำเลยทั้งสองบังคับ แล้วจำเลยทั้งสองใช้อำนาจด้วยกำลังกายทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย โดยใช้มือจับนมผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยจำเลยทั้งสองใช้กำลังกายกอดปล้ำและกดให้ผู้เสียนอนลง โดยมีจำเลยที่ ๒ ใช้กำลังกายเปลื้องเสื้อ ผ้าถุง และกางเกงในของผู้เสียหายออก และช่วยจับขาผู้เสียหายถ่างออกทั้งสองข้าง เพื่อให้จำเลยที่ ๑ เข้ากระทำชำเรา จนจำเลยที่ ๑ ได้กระทำชำเราผู้เสียหาย สำเร็จความใคร่รวมห้าครั้ง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายให้อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เหตุเกิดที่ตำบลปากคลอง อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ก่อนคดีนี้ จำเลยที่ ๑ เคยต้องคำพิพากษาฐานแจ้งความเท็จ ให้จำคุกหนึ่งเดือน ปรับสองร้อยบาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ภายในหนึ่งปี ตามคดีแดงที่ ๒๓๘๘/๒๕๐๕ ของศาลแขวงธนบุรี จำเลยมากระทำผิดคดีนี้ภายในหนึ่งปี ขอให้ลงโทษและบวกโทษที่รอไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘, ๒๘๓, ๓๐๙, ๙๐, ๙๑, ๕๖, ๕๘
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่า ถูกบุคคลบางกลุ่มร่วมกับผู้เสียหายใส่ความ เพื่อรีดเอาทรัพย์จากจำเลย และจะทำลายชื่อเสียงของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนักเขียนการ์ตูนมีชื่อ ส่วนข้อเคยต้องโทษ จำเลยที่ ๑ รับว่า จริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘ แต่ให้ลงโทษตามบทหนัก มาตรา ๒๗๖ จำคุกจำเลยที่ ๑ ห้าปี และนำโทษที่รอไว้ในคดีอาญาแดงที่ ๒๓๘๘/๒๕๐๕ ของศาลแขวงธนบุรี มาบวกกับโทษคดีนี้ รวมเป็นโทษจำคุกห้าปี หนึ่งเดือน ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้จำคุกสามปี คำขอนอกจากนี้ ให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ข้อเท็จจริง และอุทธรณ์ข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๒ เป็นหญิง ไม่สามารถจะกระทำความผิดในข้อห้าข่มขืนได้ จะเป็นได้ก็แต่เพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานตัวการด้วยนั้น ยังไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ไม่เชื่อว่าผู้เสียหายจะถูกจำเลยที่ ๑ กระทำชำเราจริง แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะฟังคำผู้เสียหายว่าได้ถูกกระทำชำเราจริง ก็เชื่อว่าผู้เสียหายสมัครใจยินยอม พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณา โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เวลา ๑๗:๐๐ นาฬิกา นางสาวเพ็ชร์ ทิวาพัฒน์ ผู้เสียหาย มีอายุยี่สิบสามปี ได้ไปสมัครเป็นคนใช้ของจำเลย โดยจำเลยให้ค่าจ้างเดือนละสองร้อยบาท จำเลยได้จัดให้พักอยู่ในห้องติดกับครัว ผู้เสียหายเข้านอนเวลา ๒๑:๐๐ นาฬิกา นอนหลับได้ตื่นหนึ่ง รู้สึกปวดปัสสาวะ จึงลุกขึ้นจะไปถ่ายปัสสาวะ จำเลยที่ ๒ ได้ร้องเรียกให้ผู้เสียหายตักน้ำให้ ผู้เสียหายตักน้ำไปยื่นให้จำเลยที่ ๒ ที่บันได แล้วจำเลยที่ ๒ บอกให้ผู้เสียหายไปช่วยนวดให้จำเลยที่ ๑ ผู้เสียหายว่า นวดไม่เป็น ไม่เคยนวด จำเลยที่สองก็ว่า จะสอนให้ เวลานั้นดึกมากแล้ว ผู้เสียหายคิดว่า ไม่ควรจะขัดขืนนายจ้าง เกรงจะถูกตำหนิ จึงเดินตามจำเลยที่ ๒ ขึ้นไปยังห้องชั้นบน จำเลยที่ ๒ พาเข้าไปในห้องนอนซึ่งมีไฟฟ้าเปิดอยู่ และบอกให้ผู้เสียหายนั่งลงที่พื้นข้างเตียงนอน ขณะนั้น จำเลยที่ ๑ นอนอยู่บนเตียง สวมกางเกงขายาว ไม่ได้ใส่เสื้อ จำเลยที่ ๒ ไปนั่งบนเตียงทางปลายเท้า แล้วพูดกับผู้เสียหายว่า “หนู ๆ คุณผู้ชายเขาทำงานไม่มีกลางวันกลางคืน นวดให้เขาหน่อย” ผู้เสียหายถามว่า นวดที่ไหน จำเลยที่ ๒ บอกว่า นวดตามขา ผู้เสียหายจึงคุกเข่าอยู่ที่พื้น แล้วเอามือบีบนวดตามขาของจำเลยที่ ๑ สักกลั้นใจเต็ม ๆ จำเลยที่ ๑ พูดว่า ถ้าเมื่อยก็ขึ้นมาบนเตียง ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บหัวเข่า จึงขึ้นไปนั่งบนเตียง โดยห้อยเท้าทั้งสองข้างลงมาข้างล่าง แล้วนวดขาจำเลยที่ ๑ อยู่อีกนานกลั้นใจเต็ม ๆ จำเลยที่ ๒ ก็มาจับมือผู้เสียหายไปวางบนบริเวณของลับของจำเลยที่ ๑ ผู้เสียหายชักมือออก จำเลยที่ ๒ ก็ดึงไปวางไว้ที่เดิม และกุมมือผู้เสียหายไว้ จำเลยที่ ๑ ก็พูดขึ้นว่า นายผู้หญิงเขาจะให้ทำอย่างไรก็ต้องตามใจเขา ผู้เสียหายว่า ไม่ทำละ จำเลยก็พูดว่า ไม่ทำ นายผู้หญิงเขาใจร้าย ขณะที่พูดนั้น จำเลยที่ ๒ ก็แกะลูกกระดุมกางเกงของจำเลยที่ ๑ ออก แล้วจับมือผู้เสียหายขยี้กับของลับของจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๒ ลุกจากเตียงไปหยิบผ้าขาวมาคลุมลงบนมือผู้เสียหายนานไม่ถึงอึดใจ ของลับของจำเลยที่ ๑ ก็แข็ง จำเลยที่ ๑ ก็ดึงเอาผ้าขาวม้าออก แล้วจำเลยที่ ๒ ได้ถอดกางเกงของจำเลยที่ ๑ ออก ผู้เสียหายชักมืออก ทำท่าจะลุกหนี จำเลยที่ ๒ เอามือจับไว้ แล้วจำเลยทั้งสองช่วยกันถอดเสื้อผ้าของผู้เสียหายออก ผู้เสียหายและจำเลยที่ ๑ จึงอยู่ในลักษณะเปลือย แล้วจำเลยที่ ๑ จับยึดตัวผู้เสียหายไว้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไปหยิบผ้ามาปูที่พื้นข้างเตียง และเอาหมอนมาวางหนึ่งใบ เสร็จแล้ว จำเลยที่ ๑ ดึงผู้เสียหายลงจากเตียง บังคับให้นอนลงบนผ้าปู โดยผลักให้นอนหงายลงไป แล้วขึ้นนอนทับลำตัวผู้เสียหาย ผู้เสียหายดิ้น จำเลยที่ ๒ ก็เข้ามาจับต้นขาไว้ แล้วจำเลยที่ ๑ กระทำชำเราผู้เสียหายสักอึดใจหนึ่งก็สำเร็จความใคร่ จำเลยที่ ๑ พลิกลงนอนอยู่ข้าง ๆ และกอดผู้เสียหายไว้ แล้วจับมือผู้เสียหายไปรูดของลับจำเลยที่ ๑ ขึ้น ๆ ลง ๆ จนของลับจำเลยแข็งขึ้นมา จำเลยที่ ๑ ก็ขึ้นกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่อีก จำเลยที่ ๑ กระทำดังนี้จนสำเร็จความใคร่ถึงห้าครั้ง ในครั้งที่ห้า ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ผู้เสียหายไม่ยอมเอามือไปรูดของลับของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ก็พูดว่า ทำให้เขาดี ๆ ซิ เขาบอกอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น และจำเลยที่ ๑ พูดว่า นายผู้หญิงเขาชอบให้ทำต่อหน้า ทำลับหลังเขาไม่ชอบ แล้วจำเลยที่ ๒ ก็จับมือผู้เสียหายไปจับของลับของจำเลยที่ ๑ รูดขึ้นรูดลงอยู่ครึ่งอึดใจ ของลับก็แข็ง จำเลยที่ ๒ พูดว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเขาทำแรง ๆ อย่าไปร้อง เดี๋ยวชาวบ้านเขาได้ยิน แล้วจะขึ้นเงินเดือนให้ และถ้าร้องเอะอะ จะเอาตำรวจมาจับเข้าตะราง เมื่อจำเลยที่ ๑ กระทำชำเราเสร็จครั้งที่ห้าแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ลงมานอนข้าง ๆ ผู้เสียหาย ผู้เสียหายจะลุกขึ้น จำเลยที่ ๒ ก็เข้ามาจับแขนกด และบอกให้อมของลับของจำเลยที่ ๑ ผู้เสียหายว่า ไม่ยอม จำเลยที่ ๒ ก็ดึงตัวเลื่อนลงมาให้ปากของผู้เสียหายได้ระดับกับของลับของจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๒ จับของลับจำเลยที่ ๑ เอามายัดใส่ปากผู้เสียหาย และพูดว่า อมเข้า จำเลยที่ ๑ ก็ว่า เขาบอกอย่างไร ก็ต้องทำอย่างนั้น ผู้เสียหายไม่ยอม จำเลยที่ ๒ ก็บีบสองข้างปากและคอผู้เสียหาย ผู้เสียหายต้องอ้าปากอมเข้าไป แล้วจำเลยที่ ๒ พูดว่า ดูดกินน้ำเสียซิ น้ำเขาออกหรือเปล่า ผู้เสียหายไม่พูด จำเลยที่ ๑ พูดว่า คุณผู้หญิงเขาพูดให้ทำ ก็ทำซิ นายผู้หญิงเขาใจร้าย เดี๋ยวเขาฆ่าเธอนะ ผู้เสียหายก็ไม่ดูด และได้คายออก แล้วจำเลยที่ ๒ ก็บอกให้ผู้เสียหายลงไปข้างล่าง พร้อมกับส่งผ้าถุงและเสื้อผ้าของผู้เสียหายให้ และกำชับว่า อย่าเดินแรง เดี๋ยวเด็กตื่นขึ้นมารู้เรื่อง ผู้เสียหายนุ่งผ้าใส่เสื้อเสร็จ ก็ลงไปข้างล่าง แล้วหนีออกจากบ้านไปที่บ้านนางสาวพยอม เล่าเรื่องให้นางสาวยงค์ ญาติ ซึ่งเป็นคนใช้อยู่ที่นั่น ฟัง แล้วนางสาวยงค์และนางสาวพยอมได้พาผู้เสียหายไปแจ้งที่ป้อมตำรวจประตูน้ำภาษีเจริญ ขณะนั้น เป็นเวลาประมาณ ๔:๐๐ นาฬิกา พอสว่าง ตำรวจก็ให้ผู้เสียหายพาไปที่บ้านจำเลย ตำรวจแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบ แล้วจับจำเลยทั้งสองไปที่สถานีตำรวจบางยี่เรือ พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลตำรวจตรวจของลับและช่องคลอดในเช้าวันนั้น เสร็จแล้ว ได้พาผู้เสียหายไปตรวจที่บ้านจำเลย ยึดผ้าปูที่นอน และได้เอาผ้าถุงที่ผู้เสียหายนุ่งกับเสื้อชั้นในที่สวมใส่นั้นไปตรวจด้วย ผลของการตรวจ ปรากฏว่า ผ้าปูที่นอนมีคราบโลหิตรอยใหญ่ เป็นโลหิตหมู่โอ (O) ส่วนคราบเล็ก ๆ เป็นโลหิตหมู่บี (B) โลหิตหมู่โอเป็นโลหิตของจำเลยที่ ๑ ส่วนโลหิตหมู่บีเป็นของผู้เสียหาย ผ้าถุงของผู้เสียหาย ตรวจพบน้ำอสุจิติดอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกของผ้าถึง ส่วนการตรวจร่างกายของผู้เสียนั้น ตรวจพบว่า
๑. #เปลี่ยนทาง อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก มีขนและคราบโลหิตติดอยู่
๒. #เปลี่ยนทาง ปากช่องคลอด มีแผลปริใหม่ ๆ หนึ่งแผล และมีโลหิตซึมออกจากแผล
๓. #เปลี่ยนทาง เยื่อพรหมจารีไม่มี
๔. #เปลี่ยนทาง ช่องคลอดขนาดปกติมีโลหิตเล็กน้อย
๕. #เปลี่ยนทาง ปากมดลูก มีขนาดเล็ก มีโลหิตประจำเดือนซึมออก ตรวจไม่พบเชื้ออสุจิและเชื้อหนองใน
ฝ่ายจำเลยสืบว่า คืนเกิดเหตุ เวลา ๒๐:๐๐ นาฬิกา จำเลยที่ ๒ ให้ผู้เสียหายตักน้ำขึ้นมา เพื่อใช้ล้างพู่กันเขียนการ์ตูน และให้ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน ขณะนั้น จำเลยที่ ๑ มีอาการจุก จำเลยที่ ๒ ได้กดท้องให้อยู่บนเตียง แล้วจำเลยที่ ๒ วานให้ผู้เสียหายช่วยกดท้องจำเลยที่ ๑ ด้วยเท่านั้น แล้วนั่งสอบถามประวัติของผู้เสียหายจน ๒๑:๐๐ นาฬิกา แล้วให้ลงไปข้างล่าง ผู้เสียหายขอเบิกเงินล่วงหน้าหนึ่งเดือน จำเลยที่ ๒ ไม่ให้ เพราะเกรงจะหนีก่อนครบเดือน ผู้เสียหายไม่พอใจ เดินลงไป เข้าห้องปิดประตู แล้วไม่ได้ขึ้นมาอีก จนสว่าง ๖:๐๐ นาฬิกา มีตำรวจมาบอกว่า สารวัตรให้เชิญไปโรงพัก โดยผู้เสียหายไปแจ้งว่า ถูกจำเลยข่มขืนชำเรา คดีนี้ จำเลยเข้าใจว่า ถูกผู้เสียหายกลั่นแกล้ง เพื่อต้องการเงินหรือให้จำเลยเสียชื่อเสียง แต่ใครจะเป็นผู้หนุนหลัง จำเลยไม่ทราบ
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายโดยตลอดแล้ว เชื่อว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ ๑ กระทำชำเราจริง เพราะนอกจากคำของผู้เสียหายแล้ว ยังมีคำของพันตำรวจโท กรณ์กิจ มุทิรางกูร แพทย์ผู้ทำการตรวจร่างกายของผู้เสียหาย เบิกความประกอบรายงานตรวจตามเอกสารหมายเลข จ. ๑ ว่า บาดแผลในรายการที่ ๒ เป็นบาดแผลซึ่งเกิดจากของใหญ่กว่าช่องคลอดเล็กน้อยผ่านเข้าไป เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ของชายในระยะแข็งตัวเต็มที่ทิ่มตำเข้าไป และเป็นแผลเกิดขึ้นใหม่ ๆ ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ล่วงมา
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป มีว่า ผู้เสียหายสมัครใจยินยอมให้จำเลยที่ ๑ กระทำชำเราหรือเปล่า ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้ว จำเลยทั้งสองนำสืบปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำชำเราผู้เสียหายแต่ประการใด การที่ผู้เสียหายไปแจ้งความกล่าวหาจำเลยทั้งสองนี้ จำเลยเข้าใจว่าถูกผู้เสียหายกลั่นแกล้ง เพื่อต้องการเงินหรือทำให้จำเลยเสียชื่อเสียง ใครจะเป็นผู้หนุนหลังอยู่ จำเลยไม่ทราบ แต่ในทางพิจารณา ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้เรียกร้องเอาเงินจากจำเลย ถ้ารูปคดีเป็นดั่งจำเลยต่อสู้ ในระหว่างดำเนินคดี ผู้เสียหายก็น่าจะหาทางเรียกร้องเอาเงินจากจำเลยเป็นแน่ ผู้เสียหายเข้าไปเป็นคนใช้ของจำเลยยังไม่ทันข้ามคืนก็เกิดเหตุ และได้ไปแจ้งความในตอนเช้ามืดนั้นเอง พนักงานสอบสวนก็ได้จดคำให้การในวันนั้นไว้โดยละเอียด ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่า ผู้เสียหายจะแกล้งสร้างเรื่องขึ้นเอง เพราะพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้เสียหายให้การถึงนั้น ถ้าไม่เป็นความจริงแล้ว ผู้เสียหายจะให้การถึงได้อย่างไร ที่จำเลยสืบว่า ผู้เสียหายคงโกรธจำเลยที่ ๒ ที่ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้ จึงแกล้งใส่ความนั้น ถ้าเป็นจริงดังนั้น ทำไมผู้เสียหายไม่กล่าวหาแต่เพียงจำเลยคนเดียว อนึ่ง เพียงแต่จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า สาเหตุเพียงเท่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะกล่าวหาจำเลยทั้งสองดังโจทก์ฟ้อง
ตามพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่จำเลยทั้งสองได้กระทำแก่ผู้เสียหาย เริ่มต้นแต่เรียกผู้เสียหายขึ้นไปนวด แล้วให้จับของลับรูดขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วจำเลยที่ ๒ ช่วยกดขาผู้เสียหายให้จำเลยที่ ๑ ทำชำเราผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป มีว่า หญิงจะเป็นตัวการร่วมในการข่มขืนกระทำชำเราได้หรือไม่ ศาลฎีกา โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ความผิดในเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา เป็นความผิดที่ร่วมกันกระทำผิดได้ โดยผู้ร่วมกระทำผิดมิต้องเป็นผู้ลงมือกระทำชำเราด้วยทุกคน เพียงแต่คนใดคนหนึ่งกระทำชำเรา ผู้ที่ร่วมกระทำผิดทุกคนก็มีความผิดฐานเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ แล้ว และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ ก็หาได้บัญญัติให้ลงโทษแต่เฉพาะชายเท่านั้น ในบทกฎหมายมาตรานี้ บัญญัติแต่เพียงว่า “ผู้ใดกระทำผิด ฯลฯ” เท่านั้น ฉะนั้น แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นหญิง เมื่อได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ ร่วมกันกระทำผิด ศาลก็ลงโทษจำเลย ฐานเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ ได้
ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาต่าง ๆ ขึ้นวินิจฉัยโดยยืดยาว สรุปแล้วไม่เชื่อคำของผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๗๖ ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนดสามปี และเอาโทษที่รอไว้ในคดีอาญาเลขแดงที่ ๒๓๘๘/๒๕๐๕ ของศาลแขวงธนบุรีมาบวกกับโทษในคดีนี้ รวมเป็นโทษสามปี หนึ่งเดือน ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้จำคุกสองปี
ศริ มลิลา
ยง เหลืองรังสี
สุทิน เกษคุปต์
|
16559
|
61
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16559
|
พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 2 มีนาคม พ.ศ. 2477
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 2 มีนาคม พ.ศ. 2477พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
บ้านโนล (Knowle) แครนลี (Cranleigh surrey) ประเทศอังกฤษ
เมื่อพระยาพหลพลพยุหะเสนากับพวก ได้ทำการยึดอำนาจการปกครอง โดยใช้กำลังทหาร ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้ว ได้มีหนังสือมาอัญเชิญข้าพเจ้า ให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าได้รับคำเชิญนั้น เพราะเข้าใจว่า พระยาพหลฯ และพวกจะสถาปนารัฐธรรมนูญ ตามแบบอย่างประเทศทั้งหลาย ซึ่งใช้การปกครองตามหลักนั้น เพื่อให้ประชาราษฎร ได้มีสิทธิที่จะออกเสียง ในวิธีดำเนินการปกครองประเทศ และนโยบายต่างๆ อันจะเปนผลได้เสีย แก่ประชาชนทั่วไป
ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในวิธีการเช่นนั้นอยู่แล้ว และกำลังดำริจะจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศสยาม ให้เปนไปตามรูปนั้น โดยมิให้มีการกระทบกระเทือนอันร้ายแรง เมื่อมามีเหตุรุนแรงขึ้นเสียแล้ว และเมื่อผู้ก่อการรุนแรงนั้นอ้างว่า มีความประสงค์จะสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นเท่านั้น ก็เปนอันไม่ผิดกับหลักการที่ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยู่เหมือนกัน ข้าพเจ้าจึงเห็นควรโน้มตามความประสงค์ของผู้ก่อการยึดอำนาจนั้นได้ เพื่อหวังความสงบราบคาบในประเทศ
ข้าพเจ้าได้พยายามช่วยเหลือ ในการที่จะรักษาความสงบราบคาบ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงอันสำคัญนั้น เปนไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเปนได้ แต่ความพยายามของข้าพเจ้าไร้ผล โดยเหตุที่ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หาได้กระทำให้บังเกิดมีความเสรีภาพในการเมืองอย่างบริบูรณ์ขึ้นไม่ และมิได้ฟังความคิดเห็นของราษฎรโดยแท้จริง
และจากรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ จะพึงเห็นได้ว่า อำนาจที่จะดำเนินนโยบายต่างๆ นั้น จะตกอยู่แก่คณะผู้ก่อการ และผู้ที่สนับสนุนเปนพวกพ้องเท่านั้น มิได้ตกอยู่แก่ผู้แทน ซึ่งราษฎรเปนผู้เลือก เช่นในฉบับชั่วคราว แสดงให้เห็นว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้รับความเห็นชอบของผู้ก่อการ จะไม่ให้เปนผู้แทนราษฎรเลย ฉบับถาวรได้มีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ตามคำร้องขอของข้าพเจ้า แต่ก็ยังให้มีสมาชิกซึ่งตนเลือกเอง เข้ากำกับอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรถึงครึ่ง ๑
การที่ข้าพเจ้าได้ยินยอมให้มีสมาชิก 2 ประเภท ก็โดยหวังว่าสมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งข้าพเจ้าตั้งนั้น จะเลือกจากบุคคลที่รอบรู้การงาน และชำนาญในวิธีดำเนินการปกครองประเทศโดยทั่วไป ไม่จำกัดว่าเปนพวกใดคณะใด เพื่อจะได้ช่วยเหลือนำทาง ให้แก่สมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้นมา แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ขึ้น ข้าพเจ้าหาได้มีโอกาสแนะนำในการเลือกเลย และคณะรัฐบาลก็เลือกเอาแต่เฉพาะผู้ที่เปนพวกของตนเกือบทั้งนั้น มิได้คำนึงถึงความชำนาญ
นอกจากนี้ คณะผู้ก่อการบางส่วน ได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโครงการเศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวง จึงเกิดแตกร้าวกันขึ้นเอง ในคณะผู้ก่อการและพวกพ้อง จนต้องมีการปิดสภา และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา โดยคำแนะนำของคณะรัฐบาลซึ่งถือตำแหน่งอยู่ในเวลานั้น ทั้งนี้ เปนเหตุให้มีการปั่นป่วนในการเมือง ต่อมา พระยาพหลฯ กับพวก ก็กลับเข้าทำการยึดอำนาจ โดยกำลังทหารเปนครั้งที่ 2 และแต่นั้นมา ความหวังที่จะให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เปนไปโดยราบรื่นก็ลดน้อยลง
เนื่องจากเหตุที่คณะผู้ก่อการ มิได้กระทำให้มีเสรีภาพในการเมืองอันแท้จริง และประชาชนไม่ได้โอกาศออกเสียง ก่อนที่จะดำเนินนโยบายอันสำคัญต่างๆ จึงเปนเหตุให้มีการกบฏขึ้น ถึงกับต้องต่อสู้ฆ่าฟันกันเองระหว่างคนไทย เมื่อข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเสียให้เข้ารูป ประชาธิปตัยอันแท้จริง เพื่อให้เปนที่พอใจแก่ประชาชน คณะรัฐบาลและพวก ซึ่งกุมอำนาจอยู่บริบูรณ์ในเวลานี้ ก็ไม่ยินยอม ข้าพเจ้าได้ร้องขอให้ราษฎรได้มีโอกาศออกเสียง ก่อนที่จะเปลี่ยนหลักการ และนโยบายอันสำคัญ มีผลได้เสียแก่พลเมือง รัฐบาลก็ไม่ยินยอม และแม้แต่การประชุมในสภาผู้แทนราษฎร ในเรื่องสำคัญ เช่น เรื่องคำร้องขอต่างๆ ของข้าพเจ้า สมาชิกก็มิได้มีโอกาสพิจารณาเรื่องโดยถ่องแท้ และละเอียดลออเสียก่อน เพราะถูกเร่งรัดให้ลงมติอย่างรีบด่วน ภายในวาระประชุมเดียว
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ออกกฎหมายใช้วิธีปราบปรามบุคคล ซึ่งถูกหาว่าทำความผิดทางการเมือง ในทางที่ผิดยุติธรรมของโลก คือไม่ให้โอกาสต่อสู้คดีในศาล มีการชำระ โดยคณะกรรมการอย่างลับไม่เปิดเผย ซึ่งเปนวิธีการที่ข้าพเจ้าไม่เคยใช้ ในเมื่ออำนาจอันสิทธิขาด ยังอยู่ในมือของข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เลิกใช้วิธีนี้ รัฐบาลก็ไม่ยอม.
ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้อง ตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล และหลักความยุติธรรม ตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใด ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้น ในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ ที่จะสละอำนาจ อันเปนของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้า ให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้า ที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียง ในนโยบายของประเทศไทยโดยแท้จริง ไม่เปนผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่า บัดนี้ เปนอันหมดหนทาง ที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือ หรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติ และออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ แต่บัดนี้เปนต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเปนของข้าพเจ้าอยู่ ในฐานะที่เปนพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวง อันเปนของข้าพเจ้าแต่เดิมมา ก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์
ข้าพเจ้า ไม่มีประสงค์ที่จะบ่งนามผู้หนึ่งผู้ใด ให้เปนผู้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไป ตามที่ข้าพเจ้ามีสิทธิจะทำได้ ตามกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์ที่จะให้ผู้ใด ก่อการไม่สงบขึ้นในประเทศ เพื่อประโยชน์ของข้าพเจ้า ถ้าหากมีใครอ้างใช้นามของข้าพเจ้า พึงเข้าใจว่า มิได้เปนไปโดยความยินยอมเห็นชอบ หรือความสนับสนุนของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้า มีความเสียใจเปนอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถจะยังประโยชน์ ให้แก่ประชาชน และประเทศชาติของข้าพเจ้าต่อไปได้ ตามความตั้งใจ และความหวัง ซึ่งรับสืบต่อกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ ยังได้แต่ตั้งสัตยอธิษฐาน ขอให้ประเทศสยามจงได้ประสบความเจริญ และขอประชาชนชาวสยาม จงได้มีความสุขสบาย.
|
16563
|
7113
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16563
|
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๕/๒๕๕๓/ฉบับไม่เป็นทางการ
|
สารบัญ.
คำวินิจฉัย (อย่างไม่เป็นทางการ)
เรื่อง นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์
ประเด็นวินิจฉัย
ประเด็นที่ ๑ กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่
ประเด็นที่ ๒ การกระทำของผู้ถูกร้องตามคำร้องอยู่ในบังคับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
ประเด็นที่ ๓ ผู้ถูกร้องใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นไปตามโครงการที่ได้รับอนุมัติ หรือไม่
ประเด็นที่ ๔ ผู้ถูกร้องจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมือง ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง หรือไม่
ประเด็นที่ ๕ กรณีมีเหตุให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคจะต้องถูกตัดสิทธิ หรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๒๗ เรื่องการแก้ไขประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๑๕ ลงวันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือไม่ อย่างไร
เพื่อให้การพิจารณาวินิจฉัยคดีเป็นไปตามลำดับที่เหมาะสม จึงเห็นควรวินิจฉัยในประเด็นที่ ๒ ก่อน
ประเด็นที่ ๒ การกระทำของผู้ถูกร้องตามคำร้องอยู่ในบังคับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
ผู้ร้องกล่าวหาว่า ผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ต้องถูกยุบพรรคในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๗ - ๒๕๔๘ ในช่วงเวลาดังกล่าว อยู่ในช่วงบังคับแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่ในขณะยื่นคำร้องได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ แทนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ ในส่วนสารบัญญัติเกี่ยวกับเหตุที่จะยุบพรรคการเมืองในคดีนี้จะต้องใช้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุเป็นหลักในการพิจารณาวินิจฉัย ทั้งนี้ ตามนัยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๗/๒๕๕๐
การนำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ มาวินิจฉัย นั้น หมายถึงการพิจารณาวินิจฉัยในส่วนที่เป็นกฎหมายสารบัญญัติเท่านั้น กล่าวคือ หมายถึงบทบัญญัติที่กำหนดว่าการกระทำใดเป็นความผิด หรือกำหนดข้อห้ามหรือข้อบังคับในการปฏิบัติ แต่ในส่วนที่เป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ จะต้องใช้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในขณะดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ประเด็นที่ ๑ กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่
การร้องขอให้ยุบพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐ มี ๒ กรณีแยกต่างหากจากกัน กล่าวคือ
(๑) กรณีพรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา ๙๔ นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีอำนาจแจ้งต่ออัยการสูงสุด ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นได้ ตามมาตรา ๙๕ วรรคสอง
(๒) กรณีพรรคการเมืองใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย หรือไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินให้ถูกต้องตามความเป็นจริงยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามมาตรา ๘๒ ประกอบมาตรา ๔๒ นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีอำนาจพิจารณายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นได้ ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง
คดีนี้ ผู้ร้องได้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคประชาธิปัตย์ผู้ถูกร้องในกรณีที่สองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ โดยอ้างว่า ผู้ถูกร้อง กระทำการฝ่าฝืนตามมาตรา ๘๒ ที่บัญญัติให้พรรคการเมืองต้องใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมาย และต้องจัดทำรายงานการใช้จ่ายนั้นให้ถูกต้อง ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งมิใช่กรณีร้องของอัยการสูงสุดที่ยื่นตามมาตรา ๙๕ วรรคหนึ่ง
การยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมือง ตามมาตรา ๙๓ กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ในวรรคสองว่า "เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน"
จากบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า เมื่อนายทะเบียนทราบว่า มีพรรคการเมืองใดกระทำการฝ่าฝืนมาตรา ๘๒ อันเป็นเหตุให้พรรคการเมืองนั้นต้องถูกยุบตามมาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง เมื่อความปรากฏต่อนายทะเบียน ไม่ว่านายทะเบียนจะทราบเองหรือบุคคลใดแจ้งให้ทราบ นายทะเบียนเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาเบื้องต้นก่อนว่า การกระทำตามที่ทราบมานั้น เป็นเหตุให้พรรคการเมืองถูกยุบหรือไม่
อำนาจในการพิจารณาเบื้องต้นว่า พรรคการเมืองใดกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๘๒ หรือไม่ นั้น เป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายทะเบียน หากนายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นว่า พรรคการเมืองใดกระทำการฝ่าฝืนมาตรา ๘๒ ย่อมเป็นกรณีที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนที่จะต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองนั้นต่อไป การที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนก็เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องสำคัญเช่นนี้ เป็นไปโดยความรอบคอบ
การที่กฎหมายให้พิจารณาเบื้องต้นว่า พรรคการเมืองใดกระทำการฝ่าฝืนมาตรา ๘๒ หรือไม่ เป็นอำนาจนายทะเบียน นั้น เนื่องจากมาตรา ๘๒ เป็นเรื่องการกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้ถูกต้อง รวมทั้งการปฏิบัติงานทางเอกสาร การจัดทำเอกสารให้ถูกต้อง การทำรายงานให้ถูกต้อง อันเป็นงานประจำตามปกติ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของนายทะเบียนที่จะต้องดูแลให้พรรคการเมืองปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด อันเป็นเรื่องอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนที่จะเป็นผู้ตรวจสอบประจำอยู่แล้ว มาตรา ๙๓ จึงบัญญัติให้นายทะเบียนเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ซึ่งต่างจากการกระทำตามมาตรา ๙๔ ที่เป็นการกระทำที่ร้ายแรงกว่า มาตรา ๙๕ จึงบัญญัติให้นายทะเบียนต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้อัยการสูงสุดซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เป็นผู้ดำเนินการ
ในการพิจารณาของนายทะเบียน กฎหมายมิได้บังคับว่า จะต้องพิจารณาด้วยตนเอง นายทะเบียนจึงมีอำนาจที่จะแต่งตั้งหรือขอความเห็นจากผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้ รวมถึงการขอความเห็นจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก็สามารถทำได้ แต่การตัดสินใจขั้นนี้ ยังคงเป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะต้องพิจารณาและมีความเห็นก่อนว่า มีเหตุที่จะยุบพรรคการเมืองหรือไม่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง แม้จะเป็นองค์กรที่ใหญ่กว่านายทะเบียน ก็ไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่า มีเหตุที่จะยุบพรรคการเมืองตามมาตรา ๘๒ หรือไม่ คงมีอำนาจเพียงให้ความเห็นชอบตามที่นายทะเบียนเสนอเท่านั้น
จากคำร้องของผู้ร้อง คำชี้แจงและคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายของผู้ถูกร้อง ประกอบกับคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมือง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๒ กรมสอบสวนคดีพิเศษและนายเกียรติ์อุดม เมนะสวัสดิ์ ได้แจ้งนายทะเบียนขอให้ตรวจสอบว่า ผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ รวม ๒ กรณี คือ (๑) การที่บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) จ่ายเงินค่าจ้างทำสื่อโฆษณาให้กับบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เป็นการอำพรางการบริจาคเงินของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ให้กับผู้ถูกร้อง และ (๒) การใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองของผู้ถูกร้องไม่เป็นไปตามกฎหมายและรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง
หลังจากได้รับแจ้งแล้ว นายอภิชาต ได้นำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนเรื่องดังกล่าวเพื่อรายงานให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ โดยมีนายอิศระ หลิมศิริวงษ์ เป็นประธาน
คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ทำการสอบสวนและตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเห็นว่าผู้ถูกร้องมิได้กระทำผิดทั้งสองประเด็น โดยมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในประเด็นที่สองซึ่งเป็นมูลกรณีของคดีนี้ และได้รายงานผลการสืบสวนให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวน แล้วมีมติด้วยเสียงข้างมากให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการตามมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่ไม่เกี่ยวกับมูลคดีนี้ ซึ่งจะต้องดำเนินการตามมาตรา ๙๓
ในการลงมติดังกล่าว นายอภิชาต ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อย มีความเห็นและลงมติ ทั้ง ๒ กรณีว่า
(๑) ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) บริจาคเงินให้ผู้ถูกร้อง และ
(๒) กรณีการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามกฎหมายและรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นกรณีตามคำร้องคดีนี้ นายอภิชาตมีความเห็นว่า "จากการตรวจสอบรายงานเอกสารการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ตามข้อมูลที่ผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัท สำนักสอบบัญชีทรัพย์อนันต์ จำกัด แล้ว ไม่พบความผิดปกติในระบบเอกสารแต่อย่างใด จึงเชื่อตามเอกสารที่ผ่านการตรวจสอบตามระบบแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์จริงประกอบกับจากพยานหลักฐานการสอบสวนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร คำให้การนายปกครอง สุนทรสุทธิ์ ที่ให้การแทนพลตำรวจเอก วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประกอบกับพยานเอกสาร รับฟังได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเงินสนับสนุนพรรคการเมืองดังกล่าว ใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยมีการขอปรับโครงการ และได้รับอนุมัติแล้ว จึงเป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้กล่าวหา จึงให้ยกคำร้องคัดค้านตามความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน"
หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติดังกล่าวแล้ว นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามมติคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียงข้างมาก โดยมีหม่อมหลวงประทีป จรูญโรจน์ เป็นประธานกรรมการ ซึ่งการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามกฎหมาย นั้น นายทะเบียนย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการได้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๖ วรรคหนึ่ง
ต่อมาวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ประธานกรรมการตรวจสอบฯ ได้สรุปข้อเท็จจริงพร้อมความเห็น เสนอต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ในวันเดียวกันนั้น นายอภิชาต ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้บันทึกความเห็นในท้ายบันทึกคณะกรรมการตรวจสอบฯ ว่า "ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่คณะทำงานของนายทะเบียน ฯ ได้รวบรวมเพิ่มเติมจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้เคยแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้รวบรวมไว้ในเบื้องต้น อาจมีการกระทำตามมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ อันควรสู่การพิจารณามีมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงให้เสนอเรื่องนี้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาด่วน โดยฝ่ายประธานกรรมการการเลือกตั้ง" และปรากฎตามเอกสารหมาย ร ๑๔ ว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นเพียงว่า อาจมีการกระทำตามมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือไม่ก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ จึงเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณามีมติ
นายอภิชาต ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง ได้เรียกประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ โดยได้นำผลตรวจสอบของคณะกรรมการดังกล่าวเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณา ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติสำหรับกรณีตามคำร้องในคดีนี้ โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ยุบพรรคการเมืองผู้ถูกร้อง และมีมติเสียงข้างมากให้นายทะเบียนแจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตามมาตรา ๙๕ นายอภิชาต ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นส่วนตนตามที่ลงมติว่า "ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคสอง"
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ประชุมกันอีกครั้ง โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง มิได้เข้าประชุมด้วย ที่ประชุมได้มีมติเอกฉันท์ เห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ โดยถือว่า ความเห็นส่วนตนของนายอภิชาต ที่ได้ลงมติไว้ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นความเห็นของนายทะเบียน
จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ความเห็นของประธานกรรมการการเลือกตั้งที่ลงมติไว้เป็นคำวินิจฉัยส่วนตน ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นั้น เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง หรือไม่
เห็นว่า ถึงแม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๖ วรรคหนึ่ง จะบัญญัติให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่พระราชบัญญัติดังกล่าวก็บัญญัติแยกอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ต่างหากจากกัน และบางกรณีจะบัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมืองใช้อำนาจหน้าที่ลักษณะร่วมมือหรือถ่วงดุลกัน กรณีที่บัญญัติให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เช่น ตามมาตรา ๗๔ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจและหน้าที่ในการจัดสรรเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ควบคุมดูแลการใช้จ่ายเงินทุนหมุนเวียน และพัฒนาพรรคการเมือง กรณีตามมาตรา ๘๑ คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจกำหนดให้พรรคการเมืองได้รับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ เป็นต้น ส่วนกรณีที่บัญญัติให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองผู้เดียว เช่น ตามมาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓ ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจหน้าที่ในการรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง หรือมาตรา ๔๑ ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจหน้าที่พิจารณาหนังสือแจ้งเปลี่ยนแปลงนโยบายพรรคการเมือง และข้อบังคับพรรคการเมือง เป็นต้น สำหรับกรณีที่บัญญัติให้ คณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนมีอำนาจลักษณะร่วมกันหรือถ่วงดุลกัน เช่น ตามมาตรา ๙๒ ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีพรรคการเมืองมีเหตุต้องเลิก ถ้าเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองจริง ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง สั่งเลิกพรรคการเมืองนั้น หรือตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง กรณีดำเนินการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองเนื่องจากพรรคการเมืองไม่ดำเนินการตามมาตรา ๔๒ วรรคสองหรือมาตรา ๘๒ เป็นต้น
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แบ่งแยกอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ต่างหากจากประธานกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง การดำรงตำแหน่งที่ต่างกัน จึงมีภาระหน้าที่แตกต่างกันด้วย ปัจจัยที่จะนำมาใช้หลักเกณฑ์วินิจฉัยปัญหาใด ๆ ย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหน้าที่ที่ดำรงอยู่ในขณะนั้นว่า มีภาระหน้าที่อย่างไร การที่กฎหมายบัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้วินิจฉัยว่า มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๘๒ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือไม่ ก็เนื่องมาจากนายทะเบียนพรรคพรรคการเมืองมีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติของพรรคการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด และเป็นผู้ที่ทราบรายละเอียดการปฏิบัติของพรรคการเมืองเป็นอย่างดี ส่วนประธานกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการการเลือกตั้ง มิได้มีหน้าที่ควบคุมดูแลกสนปฏิบัติหน้าที่ของพรรคการเมือง คงมีอำนาจเพียงตรวจสอบว่าความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองมีเหตุผลสมควรหรือไม่ ประเด็นวินิจฉัยจึงต่างกันในสาระสำคัญ
ถึงแม้ว่าในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นายอภิชาต ได้ทำความเห็นไว้ ๒ ความเห็น คือ ความเห็นตามที่เกษียณสั่งให้นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามเอกสารหมาย ร ๑๓ และ ร ๑๔ ส่วนความเห็นในการลงมติในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง นั้น เป็นการออกความเห็นในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งความเห็นของนายอภิชาตในการลงมติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมติที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะร่วมลงมติในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง การลงมติดังกล่าวจึงแตกต่างจากการเกษียณสั่งที่ให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ได้มีความเห็นเช่นนั้นก่อนแล้ว จึงเสนอความเห็นให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบ ความเห็นของนายอภิชาต ในการลงมติ ในฐานะประธานกรรมการการลืเอกตั้ง เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ จึงมิอาจถือได้ว่า เป็นความเห็นนายทะเบียนพรรคการเมือง เพราะหากจะถือเช่นนั้นก็ปรากฎข้อเท็จจริงว่านายอภิชาตได้เคยลงมติในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งไปก่อนหน้านั้นแล้วในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ว่า ผู้ถูกร้องได้นำเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการโดยมีการขอปรับโครงการและได้รับอนุมัติแล้ว ซึ่งได้ถือว่าความเห็นของประธานกรรมการการลืเอกตั้งดังกล่าว เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่ประการใดไม่
อนึ่ง การที่กฎหมายบัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นคำร้องคดีนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมหมายความว่า ประธานกรรมการการเลือกตั้งไม่มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้ฉันใด การทำความเห็นส่วนตนของนายอภิชาตในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ จึงมิใช่การทำความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองฉันนั้น
นอกจากนี้การเกษียณสั่งของนายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองตามที่ปรากฎในบันทึกข้อความเอกสาร หมาย ร ๑๓ นั้น ก็มิได้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดหรือเป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า ผู้ถูกร้องได้กระทำการอันเป็นเหตุให้ถูกยุบพรรคหรือไม่ แต่เป็นเพียงการเสนอเรื่องให้คณะกรรมการการเกลือตั้งพิจารณาว่า อาจมีการกระทำตามมาตรา ๙๔ หรือไม่ก็ได้เท่านั้น ทั้งการกระทำตามมาตรา ๙๔ ก็มิได้เกี่ยวกับการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองผิดกฎหมาย หรือการรายงานไม่ตรงตามความเป็นจริงอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๘๒ ที่เป็นเหตุให้ยุบพรรคตามมาตรา ๙๓ แต่อย่างใดเมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองยังมิได้มีความเห็นให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องตามมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ การให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ จึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนของกฎหมายในส่วนสาระสำคัญ จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะมีผลให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องได้
อนึ่ง มีเหตุผลในการวินิจฉัยอีกทางหนึ่งว่า เนื่องจากเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มุ่งประสงค์ให้การปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการตรวจสอบภายในองค์กรด้วยกันเอง อันเป็นกฎหมายในส่วนวิธีสบัญญัติของกระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคการเมืองไว้แล้ว ประกอบกับคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์กรที่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง และมีวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดจากการกระทำ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองด้วย ทั้งนี้ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๓๖ คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีอำนาจควบคุม และกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง ตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดเป็นกระบวนการไว้ ในส่วนของกฎหมายวิธีสบัญญัติที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคสอง และมาตรา ๙๕
กรณีข้อกล่าวหาตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙๓ วรรคสอง มิได้บัญญัติให้นายทะเบียนต้องเสนอความเห็นด้วยว่า พรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ต่างกับกรณีข้อกล่าวหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๔ ที่มาตรา ๙๕ บัญญัติว่า เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนและนายทะเบียนได้ตรวจสอบแล้ว กล่าวคือนายทะเบียนต้องตรวจสอบกรณีนั้นด้วยอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนก่อน แล้วจึงเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งพร้อมความเห็นว่าพรรคการเมืองใดกระทำตามมาตรา ๙๔ หรือไม่ โดยไม่ต้องคำนึงว่าเป็นความเห็นให้เสนอยุบพรรคการเมืองนั้นหรือไม่ อันเป็นการสอดคล้องเจตนารมณ์กฎหมาย เพื่อให้การใช้ดุลพินิจของนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้รับการตรวจสอบกลั่นกรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน ทั้งในกรณีเสนอให้ยุบหรือไม่ยุบพรรคการเมืองนั้น
ฉะนั้นกรณีตามคำร้องคดีนี้นายทะเบียนจะเสนอความเห็นด้วยว่า พรรคผู้ถูกร้องมีเหตุตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง ต่อคณะกรรมการการเกลือตั้งหรือไม่ก็ได้ เมื่อผู้ร้องได้รับหนังสือขอให้ตรวจสอบพรรคผู้ถูกร้องของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และของนายเกียรติ์อุดม เมนะสวัสดิ์ แล้ว ต่อมาวันที่ ๓๐ เมษายน๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๔๘/๒๕๕๒ ด้วยเหตุผลว่า เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณียังมิใช่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยมีเหตุอันสมควรว่าการกระทำใดอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ตามข้อกล่าวหาดังกล่าวทั้งสองข้อกล่าวหา จึงมีมติแต่งตั้งกรรมการชุดที่มีนายอิศระ หลิมศิริวงษ์ เป็นประธานคณะกรรมการสืบสอนสอบสวนเรื่องดังกล่าว
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งที่ ๑๔๔/๒๕๕๒ ได้พิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนทั้งสองข้อกล่าวหาแล้ว มีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากส่งเรื่องให้ผู้ร้องพิจารณาดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๕ ทั้งสองข้อกล่าวหา โดยผู้ร้อง ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง ได้ลงความเห็นเสียงข้างน้อย ให้ยกคำร้องที่ให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องทั้งสองข้อกล่าวหา เพราะไม่พบการกระทำผิดนั้น ความเห็นของผู้ร้องไม่ผูกพันคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพราะผู้ร้องต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมติเสียงข้างมาก แต่โดยที่มติของคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียงข้างมาก เป็นการพิจารณารวมกันไปสองข้อกล่าว ซึ่งเป็นกรณีต้องแยกพิจารณาแต่ละข้อกล่าวหาให้ชัดเจน เฉพาะมติกรณีข้อกล่าวหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๕ ถือได้ว่าเป็นมติเสียงข้างมากสั่งการให้ผู้ร้องมีความเห็นก่อน แล้วจึงเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อพิจารณาต่อไป เป็นข้อกล่าวหาที่นายทะเบียนชอบที่จะตั้งกรรมการช่วยตรวจสอบก่อนเสนอความเห็นได้ ส่วนกรณีข้อกล่าวหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง การที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากสั่งการรวมกันไปว่า ให้ผู้ร้องพิจารณามีความเห็นก่อนแล้วจึงเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เป็นความไม่ชัดเจนในการปรับบทบังคับใช้กฎหมายในองค์กรขณะนั้นเท่านั้น ต่อมาในการประชุมครั้งที่ ๔๑/๒๕๕๓ วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ความเห็นของเสียงข้างมากให้เหตุผลว่าข้อเท็จจริงทั้งสองข้อกล่าวหาเกี่ยวพันกัน จึงยังคงมีมติให้แจ้งผู้ร้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๕ เช่นเดิม โดยผู้ร้องและนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กรรมการการเลือกตั้งมีความเห็น ให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคสอง และต่อมาในการประชุมครั้งที่ ๔๓/๒๕๕๓ วันทื่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมติเอกฉันท์ที่ชัดเจน ยืนยันเห็นชอบให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคสองแสดงให้เห็นว่ามติเสียงข้างมากของคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เห็นชอบให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคสอง ตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ แล้ว โดยผู้ร้องไม่จำเป็นต้องเสนอความเห็นก่อนอย่างใด กรณีถือได้ว่าคดีนี้ความได้ปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคผู้ถูกร้องมีกรณีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง แล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้แล้ว ระยะเวลาที่ต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันจึงต้องเริ่มนั้บตั้งแต่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ อันเป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติดังกล่าว
การที่ผู้ร้องมีคำสั่งที่ ๙/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เพื่อตรวจสอบสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดนายอิศระ หลิมศิริวงษ์ เป็นประธานอีก แล้วผู้ร้องเสนอโดยมิได้มีความเห็นให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องหรือไม่ประการใดเช่นเดิม และคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากในการประชุมครั้งที่ ๔๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เห็นชอบให้ผู้ร้องแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๔ (๓) (๔)และมาตรา ๙๕ ทั้งสองข้อกล่าวหาอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าต่อมาวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งจะมีมติเอกฉันท์ในการประชุมครั้งที่ ๔๓/๒๕๕๓ เห็นชอบให้ผู้ร้องในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ นั้น กระบวนการดังกล่าวข้างต้นเป็นการตรวจสอบภายในองค์กรและเป็นเพียงการยืนยันการปรับบทบังคับใช้กฎหมายให้ชัดเจนภายในองค์กรที่ยังคงต้องอยู่ในบังคับตามระยะเวลาที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคสอง กำหนด เป็นกรณีต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ อันเป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากในการพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสืบสวนชุดที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติแต่งตั้งนายอิศระ หลิมศิริวงษ์ เป็นประธานในครั้งแรก และถือเป็นวันที่ความปรากฎต่อผู้ร้องในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วย เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้ในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ จึงพ้นระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ชอบที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องในประเด็นอื่นอีกต่อไป
ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยโดยเสียงข้างมาก (๔ ต่อ ๒) ว่า กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นอีกต่อไป
ให้ยกคำร้อง
|
16588
|
2132
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16588
|
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒
|
โดยที่คณะปฏิวัติพิจารณาเห็นว่า นักเรียนและนักศึกษาเป็นเยาวชนที่ กำลังสร้างสมคุณสมบัติทั้งในด้านความรู้ ความคิดและคุณธรรม พร้อมที่จะรับ มรดกตกทอดจากผู้ใหญ่เป็นพลเมืองดีมีประโยชน์แก่ประเทศชาติในอนาคต นักเรียนและนักศึกษาควรจะได้รับการอบรมดูแลใกล้ชิดจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ เพื่อเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครู อยู่ ในโอวาทคำสั่งสอนรวมทั้งอยู่ในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง เป็น การสมควรจะส่งเสริมและคุ้มครองความประพฤติ การแต่งกาย และจรรยามารยาท ให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน หัวหน้าคณะ ปฏิวัติจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมเด็กและนักเรียน พุทธศักราช 2481 และบรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ๆ ที่มีกำหนดไว้แล้วในประกาศของคณะ ปฏิวัติฉบับนี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ และให้ ใช้ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้แทน
ข้อ 2 ในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้
" นักเรียน " หมายความว่า บุคคลซึ่งกำลังรับการศึกษาระดับประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษา ทั้งสายสามัญและสายอาชีพ อยู่ในโรงเรียนของรัฐบาล โรงเรียนเทศบาล โรงเรียนประชาบาล หรือโรงเรียนราษฎร์
" นักศึกษา " หมายความว่า บุคคลซึ่งกำลังรับการศึกษาระดับที่สูงกว่า ระดับมัธยมศึกษา อยู่ในสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมิได้ตั้ง ขึ้นโดยมีกฎหมายเฉพาะของสถานศึกษานั้น
" ผู้ปกครอง " หมายความว่า บุคคลซึ่งรับนักเรียนหรือนักศึกษาไว้ใน ความปกครองหรืออุปการะเลี้ยงดู หรือบุคคลที่นักเรียนหรือนักศึกษานั้น อาศัยอยู่
" สารวัตรนักเรียนและนักศึกษา " หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้ง ให้ปฏิบัติการตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้
" แต่งกาย " หมายความรวมถึงการแต่งผมหรือส่วนอื่นของร่างกายด้วย
" รัฐมนตรี " หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามประกาศของคณะ ปฏิวัติฉบับนี้
ข้อ 3 ให้รัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายมีอำนาจแต่งตั้งสารวัตร นักเรียนและนักศึกษาเพื่อปฏิบัติการตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ และให้ ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
การปฏิบัติการของสารวัตรนักเรียนและนักศึกษา ให้เป็นไปตามระเบียบที่ รัฐมนตรีกำหนด
ข้อ 4 นักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัยของ โรงเรียนหรือสถานศึกษาที่ตนสังกัดอยู่ และต้องแต่งกายหรือแต่งเครื่องแบบ ตามระเบียบข้อบังคับของโรงเรียนและสถานศึกษา หรือตามที่กฎหมายกำหนด นักเรียนและนักศึกษาต้องไม่แต่งกายหรือประพฤติตนไม่สมควรแก่วัย หรือไม่ เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียนและนักศึกษา ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ข้อ 5 นักเรียนหรือนักศึกษาผู้ใดแต่งกายหรือประพฤติตนฝ่าฝืนข้อ 4 ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือสารวัตรนักเรียนและนักศึกษามีอำนาจปฏิบัติการตาม ระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด และมีอำนาจนำตัวไปมอบแก่ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการหรือหัวหน้าของโรงเรียนหรือสถานศึกษาของนักเรียนหรือนักศึกษา นั้น เพื่อดำเนินการสอบสวนและอบรมสั่งสอนหรือลงโทษตามระเบียบหรือข้อบังคับ
ในกรณีที่ไม่สามารถนำตัวไปมอบได้ จะแจ้งด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้
เมื่อได้อบรมสั่งสอนหรือลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาแล้วให้โรงเรียน หรือสถานศึกษาแจ้งให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองว่ากล่าวตักเตือนอีกชั้นหนึ่ง
การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกระเบียบหรือข้อ บังคับเพื่อให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาปฏิบัติตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน
ข้อ 6 นักเรียนหรือนักศึกษาผู้ใดฝ่าฝืนข้อ 4 เป็นครั้งที่สอง ให้ โรงเรียนหรือสถานศึกษาสั่งลงโทษตามระเบียบหรือข้อบังคับ และแจ้งให้บิดา มารดาหรือผู้ปกครองมาให้สัญญาว่าจะอบรมสั่งสอนและควบคุมนักเรียนหรือนัก ศึกษานั้นมิให้ฝ่าฝืนเช่นนั้นอีก
ข้อ 7 ถ้าบิดามารดาหรือผู้ปกครองไม่มาหรือไม่ให้สัญญาว่าจะอบรม สั่งสอนและควบคุมนักเรียนหรือนักศึกษาตามข้อ 6 หรือนักเรียนหรือนักศึกษา ผู้ใดฝ่าฝืนข้อ 4 เป็นครั้งที่สาม ให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาส่งตัว นักเรียนหรือนักศึกษาพร้อมทั้งรายงานการลงโทษที่แล้วมา ไปยังสถานีตำรวจ ในท้องที่ที่โรงเรียนหรือสถานศึกษานั้นตั้งอยู่ และให้ข้าราชการตำรวจซึ่ง มียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีขึ้นไปมีอำนาจออกหมายเรียกบิดามารดาหรือผู้ปกครอง
มาว่ากล่าวตักเตือนหรือเรียกประกันทัณฑ์บนว่าจะปกครองดูแลมิให้นักเรียน หรือนักศึกษาฝ่าฝืนเช่นนั้นอีก โดยอาจจะกำหนดระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปี หาก ผิดทัณฑ์บนให้ปรับได้ไม่เกินห้าร้อยบาท
ข้อ 8 นักเรียนหรือนักศึกษาผู้ใดฝ่าฝืนข้อ 4 เป็นครั้งที่สี่ให้ โรงเรียนหรือสถานศึกษาส่งตัวไปยังคณะกรรมการควบคุมความประพฤตินักเรียน และนักศึกษาซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง เพื่อพิจารณาส่งตัวไปยังโรงเรียนหรือ สถานศึกษาที่จัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะเพื่ออบรมศึกษา หรือในกรณีที่นักเรียน หรือนักศึกษานั้นมีอายุไม่ครบสิบแปดปีบริบูรณ์ คณะกรรมการควบคุมความ ประพฤตินักเรียนและนักศึกษาจะส่งตัวไปยังสถานแรกรับเด็กเพื่อให้การ สงเคราะห์หรือคุ้มครองสวัสดิภาพที่เหมาะสมตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง สวัสดิภาพและการสงเคราะห์เด็กต่อไปก็ได้
ข้อ 9 ถ้าการฝ่าฝืนข้อ 4 เกิดขึ้นในบริเวณโรงเรียนหรือสถานศึกษาซึ่ง นักเรียนหรือนักศึกษานั้นศึกษาอยู่ ให้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการ หรือหัวหน้าของโรงเรียนหรือสถานศึกษาดำเนินการตามข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 หรือ ข้อ 8 ตามลำดับแล้วแต่กรณี
ข้อ 10 บิดามารดาหรือผู้ปกครองไม่ยอมทำทัณฑ์บนตามข้อ 7 มีความผิด ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
ข้อ 11 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามประกาศของคณะ ปฏิวัติฉบับนี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้
กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ข้อ 12 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวัน ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 22 เมษายน พุทธศักราช 2515
จอมพล ถ. กิตติขจร
หัวหน้าคณะปฏิวัติ
|
16589
|
6791
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16589
|
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๑๕) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒
|
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๑๕)
ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒
ลงวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๓ และข้อ ๑๑ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒ ลงวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การแต่งกาย และความประพฤติดังต่อไปนี้ถือว่าไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียนตาม ความในข้อ ๔ แห่งประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ ๑๓๒
(๑) นักเรียนชายไว้ผมยาว โดยไว้ผมข้างหน้าและกลางศีรษะยาวเกิน ๕ เซนติเมตร และ ชายผมรอบศีรษะไม่ตัดเกรียนชิดผิวหนัง หรือไว้หนวดหรือเครา
นักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาต ให้ไว้ยาวเกินกว่านั้นก็ให้รวบให้เรียบร้อย
นักเรียนใช้เครื่องสำอาง หรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวย
(๒) เที่ยวเร่ร่อนอยู่ในที่สาธารณะสถาน หรือทำลายสมบัติของโรงเรียนหรือสถานศึกษา หรือสาธารณสมบัติ
(๓) แสดงกิริยา วาจา หรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่สุภาพ
(๔) มั่วสุมและก่อความเดือดร้อนรำคาญอย่างหนึ่งอย่างใด
(๕) เล่นการพนันซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายการพนัน
(๖) เที่ยวเตร่เวลากลางคืนระหว่าง ๒๒.๐๐ นาฬิกา ถึง ๐๔.๐๐ นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น เว้นไว้แต่ไปกับบิดามารดาหรือผู้ปกครอง หรือได้รับอนุญาตจากโรงเรียนหรือสถานศึกษา
(๗) สูบบุหรี่ สูบกัญชา หรือเสพสุรา ยาเสพติด หรือของมึนเมาอย่างอื่น
(๘) เข้าไปในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการหรือสถานอื่นใดซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โรงรับจำนำ หรือสถานการณ์พนันในระหว่างเวลาที่มีการเล่นการพนัน เว้นแต่จะเป็นผู้อาศัยอยู่หรือเยี่ยมญาติสถานที่นั้น
(๙) เข้าไปในงานหรืองานร่วมสังสรรค์ และงานนั้นมีการเต้นรำหรือการแสดงซึ่งไม่สมควร แก่สภาพของนักเรียน เว้นแต่ไปกับบิดามารดาหรือผู้ปกครอง หรืองานนั้นบิดามารดาผู้ปกครอง หรือสถานศึกษาของนักเรียนคนหนึ่งคนใดเป็นผู้จัด
(๑๐) เข้าไปในสถานค้าประเวณี เว้นแต่จะเป็นผู้อาศัยอยู่ในที่นั้นหรือเข้าไปเยี่ยมญาติ ซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่นั้น
(๑๑) คบค้าสมาคมกับหญิงที่ประพฤติตนเพื่อการค้าประเวณี เว้นแต่จะเป็นญาติใกล้ชิด กับหญิงนั้น
(๑๒) ประพฤติตนในทำนองชู้สาว
(๑๓) มีวัตถุระเบิดก็ดี หรือมีอาวุธติดตัวหรือซ่อนเร้นไว้เพื่อใช้ในการประทุษร้ายก็ดี
(๑๔) หลบหนีโรงเรียน
ข้อ ๒ การแต่งกายและความประพฤติดังต่อไปนี้ถือว่าไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักศึกษาตาม ความในข้อ ๔ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒
(๑) นักศึกษาชายตัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลังยาวเลยตีนผมหรือไว้หนวด ไว้เครา
นักศึกษาหญิงนุ่งประโปรงสั้นจนชายกระโปรงสูงกว่ากึ่งกลางสะบ้าหัวเขาเกิน ๕ เซนติเมตร ขอบกระโปรงต่ำกว่าระดับสะดือ คาดเข็มขัดหลวมต่ำกว่าระดับขอบกระโปรงหรือแต่งกายไม่เหมาะสมกับ สภาพกุลสตรีไทย
นักศึกษาใช้เครื่องสำอาง หรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวย
(๒) สูบกัญชาหรือเสพสุรา ยาเสพติด หรือของมึนเมาอย่างอื่น
(๓) กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจบริหารของโรงเรียนหรือสถานศึกษาหรือบังคับขู่เข็ญ ยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนให้นักเรียนหรือนักศึกษากระทำการเช่นว่านั้น และ
(๔) ความประพฤติตามข้อ ๑ (๒) (๓) (๔) (๕)(๘) (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓)
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๕
บุญถิ่น อัตถากร
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ผู้ใช้อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
หมายเหตุ: กฎกระทรวงฉบับนี้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมใน กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๘) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒
|
16590
|
6791
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16590
|
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๘) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒
|
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๘)
ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒
ลงวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔ และข้อ ๑๑ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒ ลงวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงไว้ดังต่อไปนี้
ให้ยกเลิกความในข้อ (๑) ของข้อ ๑ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๑๕) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๓๒ ลงวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(๑) นักเรียนชายตัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลังยาวเลยตีนผมหรือไว้หนวด ไว้เครา
นักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ยาวเกินกว่านั้นก็ให้รวบให้เรียบร้อย
นักเรียนใช้เครื่องสำอาง หรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวย”
ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๘
เกรียง กีรติกร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
|
16593
|
11687
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16593
|
ประกาศพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดต่าง ๆ รัชกาลที่ 6/เล่ม 15/เรื่อง 11
|
← 10.
ประกาศพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดต่าง ๆ รัชกาลที่ 6: เล่ม 15
(พ.ศ. 2467)
11. กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467
12.
ประกาศพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดต่าง ๆ รัชกาลที่ 6: เล่ม 15
— "11. กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467"2467
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
กฎมณเฑียรบาล
คำปรารภ
หมวด
# ว่าด้วยนามและกำหนดใช้กฎมณเฑียรบาลนี้
# บรรยายศัพท์
# ว่าด้วยการทรงสมมตและทรงถอนพระรัชทายาท
# ว่าด้วยลำดับชั้นผู้ควรสืบราชสันตติวงศ์
# ว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสันตติวงศ์
# ว่าด้วยเวลาที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์
# ว่าด้วยการแก้กฎมณเฑียรบาลนี้
# ว่าด้วยผู้เปนน่าที่รักษากฎมณเฑียรบาลนี้
#เปลี่ยนทาง
<pages index="กม ร ๖ - ๒๔๖๗.pdf" from="196" to="213"/>
|
16604
|
6791
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16604
|
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๒-๑๓/๒๕๕๑
|
"plainSister" class="noprint" style="display:inline-block; font-size:93%; line-height:normal; list-style-type:none; list-style-image:none; list-style-position:outside; border:1px solid #AAA; float:right; clear:right; margin:0.5ex 0.5ex 0.5ex 0.5ex; padding:0.0ex 0.0ex 0.0ex 0.0ex; background:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF;"></ul>
= แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๒-๑๓/๒๕๕๑ ศาลรัฐธรรมนูญในคดีระหว่างเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา และพวก รวมยี่สิบเก้าคน ผู้ร้อง กับสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง <br> เรื่อง ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี <br> และคดีระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง กับสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง <br> เรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี <br> ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๑ <br>
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๒-๑๓/๒๕๕๑ — "ในคดีระหว่างเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา และพวก รวมยี่สิบเก้าคน ผู้ร้อง กับสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง <br> เรื่อง ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี <br> และคดีระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง กับสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง <br> เรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี <br> ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๑ <br>"ศาลรัฐธรรมนูญ
|
16606
|
1481
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16606
|
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๒-๑๓/๒๕๕๑/ชัช ชลวร
|
"plainSister" class="noprint" style="display:inline-block; font-size:93%; line-height:normal; list-style-type:none; list-style-image:none; list-style-position:outside; border:1px solid #AAA; float:right; clear:right; margin:0.5ex 0.5ex 0.5ex 0.5ex; padding:0.0ex 0.0ex 0.0ex 0.0ex; background:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF;"></ul>
= แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๒-๑๓/๒๕๕๑ ศาลรัฐธรรมนูญในคดีระหว่างเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา และพวก รวมยี่สิบเก้าคน ผู้ร้อง กับสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง <br> เรื่อง ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี <br> และคดีระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง กับสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง <br> เรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี <br> ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๑ <br>
จรัญ ภักดีธนากุล
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๒-๑๓/๒๕๕๑ — "ในคดีระหว่างเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา และพวก รวมยี่สิบเก้าคน ผู้ร้อง กับสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง <br> เรื่อง ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี <br> และคดีระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง กับสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง <br> เรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี <br> ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๑ <br>"ศาลรัฐธรรมนูญ
#เปลี่ยนทาง
<ns>10</ns>
<id>16513</id>
<revision>
<id>39269</id>
<timestamp>2010-10-01T09:03:24Z</timestamp>
<contributor>
<username>Octahedron80</username>
<id>156</id>
</contributor>
<comment>escape template</comment>
<origin>39269</origin>
<model>wikitext</model>
<format>text/x-wiki</format>
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
เชิงอรรถ.
1. #เปลี่ยนทาง <templatestyles src="Citation/styles.css"/>^[1] ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๑๒๒ ก/หน้า ๑๘/๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
|
16615
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16615
|
ประชุมกฎหมายประจำศก/เล่มเพิ่มเติม/เรื่อง 1
|
ดูฉบับอื่นของงานนี้ที่ สนธิสัญญาเบอร์นี
← หน้ารวม
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่มเพิ่มเติม
(พ.ศ. 2479)
1. หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีแลการค้าขาย ลงวันอังคาร เดือน 7 แรมค่ำ 1 จ.ศ. 1188 ปีจอ อัฐศก
2.
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่มเพิ่มเติม
— "1. หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีแลการค้าขาย ลงวันอังคาร เดือน 7 แรมค่ำ 1 จ.ศ. 1188 ปีจอ อัฐศก"2479
<pages index="Prachum Kotmai Pracham Sok 71.djvu" from="13" to="20" tosection="20-1"/>
|
16621
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16621
|
หนังสือสัญญากรุงเทพมหานครกับกรุงอังกริษเปนทางไมตรีค้าขายกัน
|
ดูฉบับอื่นของงานนี้ที่ สนธิสัญญาเบาว์ริง
หนังสือสัญญากรุงเทพมหานครกับกรุงอังกริษเปนทางไมตรีค้าขายกัน (พ.ศ. 2399)
หนังสือสัญญากรุงเทพมหานครกับกรุงอังกริษเปนทางไมตรีค้าขายกัน2399
<pages index="สัญญากรุงเทพฯ กับกรุงอังกฤษเป็นทางไมตรีค้าขายกัน (๒๓๓๙).pdf" include="1"/>
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
|
16639
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16639
|
พจนานุกรมกฎหมาย/ก
|
← หน้าต้น
../
(พ.ศ. 2474)
โดย หมวด ก
../ข/
— "หมวด ก"ขุนสมาหารหิตะคดี (โป๊ โปรคุปต์)2474
<pages index="Photchananukrom Kotmai 2474.djvu" from="6" to="31"/>
|
16664
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16664
|
พจนานุกรมกฎหมาย/ฌ
|
← ../ซ/
../
(พ.ศ. 2474)
โดย หมวด ฌ
../ญ/
— "หมวด ฌ"ขุนสมาหารหิตะคดี (โป๊ โปรคุปต์)2474
<pages index="Photchananukrom Kotmai 2474.djvu" include="122" onlysection="122-1"/>
|
16675
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16675
|
พจนานุกรมกฎหมาย/ข
|
← ../ก/
../
(พ.ศ. 2474)
โดย หมวด ข
../ค/
— "หมวด ข"ขุนสมาหารหิตะคดี (โป๊ โปรคุปต์)2474
<pages index="Photchananukrom Kotmai 2474.djvu" from="32" to="42"/>
|
16678
|
156
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16678
|
ประกาศมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ข้อกำหนดในการให้บริการรถตู้โดยสาร
|
เพื่อให้การบริการรถตู้โดยสาร เอกชนที่มีสถานีรับส่งผู้โดยสาร ภายใน หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเห็นสมควรกำหนดข้อปฏิบัติในการให้และรับการบริการเพิ่มเติมจากข้อกำหนดตามสัญญาการอนุญาตให้ใช้พื้นที่จอดรถรับส่งฯ ดังนี้
1.ผู้โดยสารทุกคนจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ที่มีประจำอยู่ทุกที่นั่ง โดยมอบหมายให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ควบคุมการปล่อยรถ (นายท่า) เป็นผู้ตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนปล่อยรถออกจากสถานีรับส่งผู้โดยสาร ทุกครั้ง หากผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยไม่ครบทุกคนจะไม่อนุญาตให้ปล่อยรถออกจากสถานีรับส่งผู้โดยสาร โดยเด็ดขาด
2.กำหนดให้พนักงานขับรถตู้โดยสาร ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดและในกรณีจำเป็นใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และต้องใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับสภาพถนน สภาพอากาศ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ
3.ห้ามพนักงานขับรถตู้โดยสาร นำรถออกนอกเส้นทางวิ่ง ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเนื่องจากเส้นทางจราจรถูกปิด และจะต้องได้รับอนุญาตจาก มหาวิทยาลัยเท่านั้น
4.ให้บริษัทผู้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่จอดรถรับส่งฯ ติดประกาศ หมายเลขโทรศัพท์ ผู้ควบคุมรถของบริษัท เจ้าหน้าที่งานยานพาหนะฯ และรองอธิการบดีฝ่ายบริหารทั่วไป ไว้ในรถทุกคัน ให้เห็นเด่นชัด เพื่อให้ผู้โดยสาร สามารถติดต่อแจ้งข้อร้องเรียนจากภายในรถถึงผู้รับผิดชอบได้ทันทีและผู้รับผิดชอบจะต้องโทรศัพท์ แจ้งพนักงานขับรถ ให้แก้ไขโดยทันที ไม่ใช่ภายหลังการเดินทางถึงปลายทาง
5.ห้ามพนักงานขับรถ ที่มีอาการมึนเมา หรือ มีลักษณะเมาค้าง หรือ สภาพอ่อนเพลีย หรือ สภาพร่างกายไม่พร้อมที่จะขับรถยนต์ เช่น เพิ่งหายป่วย อดนอน เป็นต้น ทำหน้าที่ขับรถตู้โดยสารโดยเด็ดขาด
6.ให้บริษัทผู้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่จอดรถรับส่งฯ ติดตั้งสัญญาณเตือนเมื่อรถมีอัตราความเร็วเกินกว่า 100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ในรถทุกคัน โดยให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน วันที่ 31 มกราคม 2554
ทั้งนี้ให้ถือปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และมอบหมายให้ งานยานพาหนะและขนส่งมวลชน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ กำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามประกาศนี้อย่างเคร่งครัด
ประกาศ ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2553
รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทั่วไปปฏิบัติราชการแทนอธิการบดี
ดูเพิ่ม.
#เปลี่ยนทาง [[แม่แบบ:สี]]
|
16686
|
7361
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16686
|
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๘-๑๒๙/๒๕๔๑
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๘-๑๒๙/๒๕๔๑ ศาลฎีกา
ในคดีระหว่างอรปวีณา บุตรขุนทอง กับพวก โจทก์ และนิกร ยศคำจู จำเลย<br>เรื่อง ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑<br>
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๘-๑๒๙/๒๕๔๑ — "ในคดีระหว่างอรปวีณา บุตรขุนทอง กับพวก โจทก์ และนิกร ยศคำจู จำเลย<br>เรื่อง ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๑<br>"ศาลฎีกา
#เปลี่ยนทาง
คำพิพากษา
<ns>10</ns>
<id>16513</id>
<revision>
<id>39269</id>
<timestamp>2010-10-01T09:03:24Z</timestamp>
<contributor>
<username>Octahedron80</username>
<id>156</id>
</contributor>
<comment>escape template</comment>
<origin>39269</origin>
<model>wikitext</model>
<format>text/x-wiki</format>
<br>ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ศาลฎีกา
เรื่อง #เปลี่ยนทาง ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม
เรื่อง #เปลี่ยนทาง ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม
จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๑๓ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙ ศาลฎีการับวันที่ ๗ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๐
คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ สำนวนแรก ว่า โจทก์ที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ และเรียกโจทก์ที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ สำนวนหลัง ว่า โจทก์ที่ ๕, ที่ ๖, ที่ ๗ และที่ ๘ ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง มีใจความว่า เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๓ เวลากลางวัน จำเลย ซึ่งขณะนั้นครองสมณเพศเป็นพระครูนิกร ธรรมวาที ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพันตำรวจโทพิทักษ์ สุวรรณ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง ว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๓ เวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา ขณะที่จำเลยจะเดินทางไปต่างประเทศ โจทก์ทั้งแปดยึดเอาหนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน กระเป๋าเดินทาง และข่มขู่ให้ไปด้วย มิฉะนั้นจะทำร้าย แล้วพาจำเลยไปกักขังไว้ที่บ้านเลขที่ ๑๖๖๙/๖๖๕ หมู่บ้านปิ่นเจริญ ๒ โจทก์ทั้งแปดข่มขู่บังคับจะเอาเงินห้าล้านบาท ใช้อาวุธปืนบังคับให้จำเลยถอดจีวรออก แต่งกายแบบฆราวาส กระทำพิธีผูกข้อมือแต่งงานกับโจทก์ที่ ๑ ถ่ายภาพ และขู่ว่า หากไม่จ่ายเงิน จะนำภาพไปเปิดเผยทางสื่อมวลชน จำเลยกลัว จึงสั่งจ่ายเช็คธนาคากรุงเทพ จำกัด สาขาประตูช้างเผือก ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๓ จำนวนเงินห้าล้านบาท โจทก์ทั้งแปดได้กักขังจำเลยไว้ถึงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๓ เวลา ๑๔ นาฬิกา จึงนำจำเลยไปจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเบิกเงินธนาคาร ถึงจังหวัดเชียงใหม่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๓ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา เพื่อจะแกล้งให้โจทก์ทั้งแปดต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น ในข้อซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไป การแจ้งความดังกล่าวทำให้โจทก์ทั้งแปดถูกพนักงานสอบสวนควบคุมตัว ได้รับความเสียหาย ความจริงเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๓ ถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๓ ไม่ได้มีการกระทำความผิดในข้อหากรรโชกและทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพเกิดขึ้นตามที่จำเลยกล่าวหา ต่อมา วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๓ เวลากลางวัน จำเลยนำเอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จดังกล่าวมาฟ้องโจทก์ทั้งแปดว่าร่วมกันกระทำความผิดดังกล่าว ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๖๖๐๙/๒๕๓๓ ของศาลชั้นต้น ความจริงโจทก์ทั้งแปดไม่ได้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าว ทำให้โจทก์ทั้งแปดได้รับความเสียหาย และวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๓๔ เวลากลางวัน จำเลยเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวว่า ในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๓ จำเลยกับคณะเดินทางไปสนามบินดอนเมือง เวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา จำเลยจะเข้าไปทำการตรวจเอกสาร โจทก์ที่ ๕ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้อำนวยความสะดวกไม่ต้องเข้าคิว โดยขอหนังสือเดินทางไปประทับตรา และเชิญจำเลยเข้าไปนั่งรอในห้องรับรอง จนกระทั่งเวลาเครื่องบินใกล้จะออก โจทก์ที่ ๕ ได้เชิญจำเลยเพื่อไปขึ้นเครื่องบิน โดยมีเจ้าพนักงานตำรวจช่วยยกสัมภาระของจำเลยไปที่รถยนต์ โจทก์ที่ ๕ อ้างว่าผู้โดยสารจะต้องขึ้นรถยนต์ไปขึ้นเครื่องบิน จำเลยจึงขึ้นไปนั่งอยู่ข้างหลัง โดยโจทก์ที่ ๕ นั่งอยู่ข้างหน้า และมีชายอีกสองคนนั่งไปด้วย จำเลยเข้าใจว่า โจทก์ที่ ๕ จะพาจำเลยไปขึ้นเครื่องบิน แต่ปรากฏว่า รถยนต์คันดังกล่าวแล่นออกจากสนามบินดอนเมือง เข้าถนนวิภาวดีรังสิต และมีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นตามไปในลักษณะคุ้มกัน ชายสองคนดังกล่าวได้จับแขนจำเลยทั้งสองข้าง โจทก์ที่ ๕ ได้ชักอาวุธปืนจี้จำเลยให้อยู่นิ่ง มิเช่นนั้นจะยิงให้ตาย ชายสองคนดังกล่าว คือ โจทก์ที่ ๓ และที่ ๘ หลังจากนั้น โจทก์ที่ ๓, ที่ ๕ และที่ ๘ ได้คุมตัวจำเลยไปที่บ้านเลขที่ ๑๖๖๙/๖๖๕ หมู่บ้านปิ่นเจริญ ๒ จำเลยเห็นโจทก์ที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๔ และที่ ๖ ลงจากรถยนต์ที่แล่นตามไป จำเลยไม่เต็มใจเดินทางไปบ้านดังกล่าว แต่ถูกบังคับให้ขึ้นไปบนห้องชั้นสอง หลังจากนั้น โจทก์ที่ ๕, ที่ ๗ และที่ ๘ ช่วยกันจับมือจำเลยไว้ แล้วเปลื้องผ้าสบงจีวรออก โจทก์ที่ ๕ ใช้อาวุธปืนจี้บังคับจำเลยตลอดเวลา โจทก์ที่ ๖ นำชุดนอนสีขาวมาใส่ให้จำเลย และบังคับให้ขึ้นไปนั่งอยู่บนที่นอน แล้วนำโจทก์ที่ ๑ มานั่งเคียงคู่กัน โจทก์ที่ ๒ นำด้ายมาผูกข้อมือจำเลยติดกับข้อมือโจทก์ที่ ๑ ทำลักษณะคล้ายพิธีแต่งงาน ซึ่งจำเลยไม่เต็มใจที่จะกระทำการดังกล่าว ขณะนั้น เวลา ๒ นาฬิกาของวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๓๓ โจทก์ที่ ๔ และที่ ๗ ช่วยกันถ่ายภาพจำเลยกับโจทก์ที่ ๑ หลังจากนั้น โจทก์ทั้งแปดช่วยกันบังคับขู่เข็ญให้จำเลยเขียนโปสการ์ดติดต่อกับโจกท์ที่ ๑ และให้บันทึกเสียงเกี้ยวพาราสีทำนองชู้สาวกับโจทก์ที่ ๑ หลักฐานที่โจทก์ทั้งแปดบังคับให้จำเลยเขียนและบันทึกเสียงไว้นั้น ถ้าบุคคลอื่นเห็น จะเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ซึ่งทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย อีกทั้งจะทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง หลังจากโจทก์ทั้งแปดทำหลักฐานดังกล่าวเสร็จ ก็เรียกร้องให้จำเลยจ่ายเงินจำนวนห้าล้านบาท โจทก์ทั้งแปดบังคับขู่เข็ญว่า หากจำเลยไม่จ่ายเงินให้ตามที่เรียกร้อง จะนำหลักฐานดังกล่าวเปิดเผยต่อสาธารณชน นำไปฟ้องต่อมหาเถรสมาคมและกรรมการศาสนา กับขู่เข็ญว่าจะทำร้ายและฆ่าจำเลย และจำเลยยังเบิกความต่อไปว่า ขณะที่โจทก์ที่ ๕ นำสัมภาระของจำเลยออกมาตรวจค้น ได้พบสมุดเช็คของวัดสันปง จึงบังคับให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวนดังกล่าว แล้วโจทก์ที่ ๑ รับเช็คไป จำเลยถูกกักขังอยู่ที่บ้านดังกล่าวสามวัน จนถึงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๓๓ ระหว่างนั้น โจทก์ทั้งแปดได้ร่วมกันยึดบัญชีรายชื่อลูกศิษ์และซองฎีกาที่มีผู้บริจาคไป ความจริงเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๓ ถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๓๓ ต่อเนื่องกัน ไม่ได้มีการกระทำความผิดตามที่จำเลยเบิกความ และโจทก์ทั้งแปดมิได้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าว ข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นความเท็จ และเป็นข้อสำคัญในคดี ทำให้โจทก์ทั้งแปดได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่แขวางตลาดบางเขน เขตบางเขน และแขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๔ วรรคท้าย, ๑๗๕, ๑๗๗, ๑๘๑ (๑), ๙๐ และมาตรา ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณา แล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๔ วรรคสอง, ๑๗๕, ๑๗๗ วรรคสอง, ๑๘๑ (๑) ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานแจ้งความเท็จ จำคุกหนึ่งปี ฐานฟ้องเท็จ จำคุกสองปี ฐานเบิกความเท็จ จำคุกสองปี รวมจำคุกห้าปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ จำคุกหกเดือน ฐานฟ้องเท็จ จำคุกแปดเดือน และฐานเบิกความเท็จ จำคุกแปดเดือน รวมจำคุกยี่สิบสองเดือน นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีการตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ในขณะที่จำเลยกระทำความผิด จำเลยเป็นพระภิกษุ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีชื่อเสียง เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป และเป็นผู้ที่อบรมสั่งสอนประชาชนให้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี แต่จำเลยกลับมากระทำความผิดเสียเองเช่นนี้ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป การกระทำของจำเลยจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลย โดยไม่รอการลงโทษนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
สมคิด ไตรโสรัส
เสริมศักดิ์ ผลัดธุระ
อัธยา ดิษยบุตร
|
16700
|
11687
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16700
|
ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 จุลศักราช 1166 พิมพ์ตามฉะบับหลวงตรา 3 ดวง/เล่ม 1/ส่วนที่ 11
|
← #เปลี่ยนทาง
#เปลี่ยนทาง
(พ.ศ. 2482)
11. พระไอยการลักษณภญาน
#เปลี่ยนทาง
#เปลี่ยนทาง
— "11. พระไอยการลักษณภญาน"2482
<pages index="Prachum Kotmai Ratchakan Thi Nueng 2482 (1).djvu" from="342" to="371"/>
|
16703
|
2135
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16703
|
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ พ.ศ. ๒๕๓๒
|
อารัมภบท
๑ นามพระราชบัญญัติ
๒ ใช้พระราชบัญญัติ
๓ จัดตั้งศาล
๔ เขตอำนาจศาล
๕ คดีค้าง
๖ ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
หมายเหตุ
สารบัญ.
<br>พระราชบัญญัติ
<br>จัดตั้งศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้<br><br>
พ.ศ. ๒๕๓๒<br><br>
_______________<br><br><br>
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.<br><br><br>
ให้ไว้ ณ วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒<br><br>
เป็นปีที่ ๔๔ ในรัชกาลปัจจุบัน<br><br>
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ขึ้นในกรุงเทพมหานคร
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้ เรียกว่า “พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ พ.ศ. ๒๕๓๒”
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้จัดตั้ง
(๑) ศาลแพ่งขึ้นในกรุงเทพมหานคร เรียกว่า “ศาลแพ่งกรุงเทพใต้”
(๒) ศาลอาญาขึ้นในกรุงเทพมหานคร เรียกว่า “ศาลอาญากรุงเทพใต้”
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ จะจัดตั้งในเขตใดของกรุงเทพมหานคร และจะเปิดทำการเมื่อใด ให้ประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๔
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลอาญากรุงเทพใต้ มีเขตตลอดท้องที่ของเขตบางคอแหลม เขตบางรัก เขตยานนาวา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร
ในระหว่างที่ยังไม่ได้เปิดทำการศาลแพ่งกรุงเทพใต้ หรือศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา ๓ ให้ศาลแพ่งและศาลอาญามีเขตอำนาจตลอดถึงเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ด้วย แล้วแต่กรณี
มาตรา ๕
บรรดาคดีของเขตท้องที่เขตบางรัก เขตปทุมวัน เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตพระโขนง เขตยานนาวา และเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลแพ่ง หรือศาลอาญา ในวันเปิดทำการศาลแพ่งกรุงเทพใต้ หรือศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามมาตรา ๓ ให้คงพิจารณาพิพากษาในศาลแพ่ง หรือศาลอาญา แล้วแต่กรณี
มาตรา ๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br><br>
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ<br><br>
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ประชาชนในกรุงเทพมหานครมีจำนวนมากขึ้น และมีคดีความมาสู่การพิจารณาพิพากษาของศาลแพ่งและศาลอาญาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แม้จะได้มีการตั้งศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรีขึ้นเพื่อแบ่งเบาจำนวนคดีจากศาลแพ่งและศาลอาญาแล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่ายังไม่เพียงพอกับจำนวนคดีที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการคมนาคมในกรุงเทพมหานครก็ไม่คล่องตัว ทำให้ประชาชนผู้มีอรรถคดีและผู้เกี่ยวข้องไม่ได้รับความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางไปติดต่อกับศาล สมควรจัดตั้งศาลแพ่งกรุงเทพใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้เพิ่มขึ้น เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดขึ้นในเขตบางรัก เขตปทุมวัน เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตพระโขนง เขตยานนาวา และเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร และโดยที่มาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติว่า บรรดาศาลทั้งหลายจะตั้งขึ้นได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุการแก้ไขเพิ่มเติม.
<br>
พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี และศาลอาญาธนบุรี พ.ศ. ๒๕๔๙
มาตรา ๔
บรรดาคดีของท้องที่เขตคลองเตย เขตบางนา เขตปทุมวัน เขตประเวศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตวัฒนา เขตพระโขนง เขตสัมพันธวงศ์ และเขตสวนหลวง ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลแพ่งกรุงเทพใต้ หรือศาลอาญากรุงเทพใต้ ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงพิจารณาพิพากษาต่อไปในศาลแพ่งกรุงเทพใต้หรือศาลอาญากรุงเทพใต้ แล้วแต่กรณี
บรรดาคดีของท้องที่ตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างที่ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งขังผู้ต้องหาไว้ระหว่างสอบสวน ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ศาลอาญากรุงเทพใต้มีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับการขังระหว่างสอบสวนนั้นต่อไป
หมายเหตุ
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากมีการยกฐานะศาลแขวงดุสิต ศาลแขวงตลิ่งชัน ศาลแขวงปทุมวัน และศาลแขวงพระโขนง เป็นศาลจังหวัด โดยแบ่งท้องที่ในเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลอาญากรุงเทพใต้บางส่วนไปอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดดุสิต ศาลจังหวัดปทุมวัน และศาลจังหวัดพระโขนง และแบ่งท้องที่ในเขตอำนาจศาลแพ่งธนบุรีและศาลอาญาธนบุรีบางส่วนไปอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดตลิ่งชัน ดังนั้น สมควรเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี และศาลอาญาธนบุรีเพื่อให้สอดคล้องกับการแบ่งท้องที่ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
|
16708
|
40157
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16708
|
โคลงสี่สุภาพ
|
๏ มวลมนุษย์ผู้เปรื่อง ปรีชา เชี่ยวแฮ
เพราะใคร่ใฝ่ศึกษา สิ่งรู้
รู้กิจผิดชอบหา เหตุสอด ส่องนา
นี่แหละบุคคลผู้ เพียบด้วยความเจริญ
กาพย์ยานี ๑๑
มวลผู้ชูปรีชา
เสาะวิทยาไม่ห่างเหิน
ผิดชอบกอบไม่เกิน
รู้ดำเนินตามเหตุผล
ชื่อว่าปรีชาดี
ผิดชอบมีพิจารณ์ยล
ผู้นั้นจักพลันดล
พิพัฒน์พ้นจักพรรณนา
ควรเราผู้เยาว์วัย
จงใฝ่ใจการศึกษา
อบรมบ่มวิทยา
ปรุงปรีชาให้เชี่ยวชาญ
ขั้นนี้จักชี้ว่า
มีปัญญาไม่สมฐาน
ต้องหัดดัดสันดาน
กอบวิจารณ์ใช้ปัญญา
สังเกตตามเหตุผล
ผิดชอบยลด้วยปรีชา
ดังนี้จึงชี้ว่า
มีปัญญาอย่างเพียบเพ็ญ
มีดพร้าถาหินให้
มีดคมได้มิยากเย็น
ถ้าใช้มีดไม่เป็น
ฟันคนเล่นโทษมหันต์
เมื่อใดใช้มีดเป็น
กอบกิจเห็นคุณอนันต์
ปัญญากล่าวมานั้น
เปรียบได้กันกับศัสตรา
รับข้อมูลจาก "http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D"
|
16709
|
40162
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16709
|
สัตตธนุชาดก
|
พระศาสดาประทับอยู่ที่พระเชตวัน ทรงปรารถการทรมานมารและเสนามาร ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในธรรมสภายกเรื่องขึ้นกล่าวว่า พระตถาคตทรงละทิ้งจักรพรรดิราชย์ที่กำลังจะได้ ออกมหาภิเนษกรมพระองค์เดียว ประทับนั่งเหนือวชิรบัลลังก์ ทรงชำนะมารและพลมารประมาณ ๓๐ โยชน์ มิได้ตรัสอะไรเลย รบชนะมารซึ่งเนรมิตแขน ๑,๐๐๐ กับทั้งหมู่มารอันมีรูปร่างต่างน่าสะพรึงกลัว มีมือถืออาวุธต่างๆ ทุกตัวตน พระศาสดาช่างมีพลานุภาพมาก พระศาสดาสดับถ้อยคำจึงตรัสว่า มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้นที่เราบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศน์ แล้วดำรงในพุทธภาวะถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แม้ในครั้งก่อนในคราวที่มีญาณยังไม่สุกงอดเต็มที่ ก็ได้ทรมานฆันตารยักษ์ถึงชัยชนะเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า
ในเมืองพาราณสีพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ พระองค์มีพระมเหสีพระนามว่าเกศินี เป็นประธานนางสนม ๑๖,๐๐๐ ทั้งหมดไม่มีพระโอรสพระธิดาเลย ชาวนครจึงเข้าเฝ้าพระราชาแล้วทูลว่า ขอให้รีบได้พระโอรสสืบต่อรัชสมบัติเถิด พระราชาทรงรับคำ ตรัสเรียกเหล่าพระเทวีและนางนักฟ้อนรำ ประกาศว่าหากใครได้พระโอรสจะมอบรัชสมบัติให้กึ่งหนึ่ง หญิงเหล่านั้นต่างรับพระดำรส อ้อนวอนเทวดาที่ตนนับถือทำพลีกรรม บรรดานางสนมทั้งหลายก็ยังมิได้มีใครได้ราชโอรสเลย ฝ่ายพระเทวีเป็นคนฉลาด ในวันอุโบสถทรงตื่นบรรทมแต่เช้าสมาทานศีล บริจาคทรัพย์ ๑,๐๐๐ บริจาคทานแก่วณิพกยาจกเข็ญใจ แล้วเสด็จขึ้นปราสาท ระลึกถึงศีลอธิษฐานให้ได้พระโอรสแล้วบรรทมหลับไป ขณะนั้นด้วยเดชศีล ภพของท้าวสักกะก็ร้อนขึ้นมา ท้าวสักกะทราบเหตุการณ์โดยละเอียด จึงดำริที่จะประทานพระโอรส เห็นพระโพธิสัตว์ที่หมดอายุขัยจะไปบังเกิดในเทวโลกสูงขึ้น จึงเสด็จไปสู่สำนักขอให้ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางเกศินี ทราบว่าพระโพธิสัตว์รับคำจึงมามนุษย์โลกเสด็จเข้าห้องของพระนางกระซิบว่า ให้พระเทวีตื่นแต่เช้าสรงพระกายแล้วยืนที่หน้าต่างหันหน้าไปทางประตู จะมีเหยี่ยวคาบผลพุทรามาทิ้งต่อหน้าพระพักตร์ ให้เสวยผลไม้นั้นแล้วโยนเมล็ดลงที่พื้นล่าง ก็จะได้พระโอรส พระนางตื่นบรรทมตกพระทัย ดำริถึงสุบินแล้วทรงทำตามที่สุบิน จนถึงเสวยผลไม้แล้วโยนเมล็ดลงที่พื้นล่าง ในขณะนั้นแม้ม้าแก่เดินอยู่ข้างล่างจึงกินเมล็ดพุทราเสียและตั้งท้อง พระเทวีก้ทรงตั้งครรภ์จึงทูลให้พระราชาทราบ แม้ม้าได้ตกลูกก่อน เพราะมีตาสีเขียวเหมือนแก้วมณีจึงตั้งชื่อลูกม้าว่า มณีกักขิ ฝ่ายพระเทวีก็ได้ประสูติพระโอรส ในวันที่พระสูติพระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้นได้นำบรรณาการมากมายมาถวาย พระราชาจึงให้หมอทำนายนิมิตพยากรณ์พระลักษณะ พระกุมารมีศิลปธนูไม่มีใครในชมพูทวีปเทียมถึง พระราชาจึงทรงตั้งพระนามพระโอรสว่าสุธนู คราวนั้นบุตรของพระมาตุลานามว่าเศวตกุมาร ซึ่งมีน้องสาวชื่อกเรณุวดีมีสิริโฉมงดงาม สมควรแก่พระโพธิสัตว์เท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป คราวพระโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าพรหมทัตสิ้นพระชนม์ ชาวนครต้องการจะอภิเสกพระกุมารจึงน้อมถวายม้าสินธพที่ประดับประดาแล้ว พระโพธิสัตว์มิได้ทรงรับ แต่ได้เห็นม้ามณีกักขิก็ให้อำมาตย์นำไปประดับแล้วนำมาถวาย พอพระโพธิสัตว์ทรงม้าเท่านั้น ม้าพาพระกุมารไปจนถึงเมืองเศวตนคร ซึ่งมีพระเจ้าเศวตครองราชย์ มีพระนางปทุมคัพภาเป็นพระมเหสี พระธิดาพระนามว่าจิรปภามีพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก มีหญิงค่อมสาวใช้ชื่อนางปทุมา ก็พระราชามีประสงค์จะถวายแก่เทวินทเทพ จึงให้สร้างปราสาท ๗ ชั้นให้พระธิดาอยู พระมหาบุรุษเปลี่ยนเพศเป็นพราหมณ์เข้านคร พวกชาวบ้านที่คุยกันเป็นกลุ่มพูดถึงนางจิรปานั้นทำกรรมใดจึงมีสิริโฉมงดงาม พระโพธิสัตว์ได้ฟังก็คิดหาวิธีที่จะได้เห็นนาง ตกกลางคืนจึงคิดถึงม้า ให้นำไปหานางจิรปภา โดยได้นำเอามาลัยและของหอมไปด้วยจนถึงประตูห้องของนาง แลดูทางช่องกุญแจ ทอดพระเนตรเห็นพระนางบรรทมอยู่กับสาวใช้ เมื่อได้ทราบว่าคือพระนางจึงได้เปิดประตูเข้าไป ทอดพระเนตรตั้งแต่พระเศียรจนพระบาทก็มิได้อิ่มเลย จึงลูบไล้พระวรกายด้วยสุคนธชาติ สวมกุสุมมาลัยและจารึกเป็นปริศนาไว้ที่หลังนางปทุมาสาวใช้ ประดับด้วยมาลัยที่เหลือ
พอสว่างพระนางตื่นบรรทม เห็นรูปปริศนาที่หลังของสาวใช้ และมาลัยเครื่องลูบไล้ คิดว่อมรินทราธิบดีคงเสด็จมา จึงนัดแนะกับสาวใช้ให้คอยกำหนดจับให้ได้ พระโพธิสัตว์ได้ทำเหมือนในวันก่อนและออกไปได้ แต่ในวันที่ ๔ พระนางได้กระซิบกับสาวใช้ให้จับไว้ พระนางลุกจับที่เอวจึงบอกไปตามความจริงว่า พระองค์เป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสีนามว่าสุธนุกุมาร พระธิดาได้สดับคำนั้นมีพระทัยยินดีจึงได้อภิรมย์กับพระกุมาร
พระธิดาจึงตกลงพระทับกราบทูลให้พระบิดามารดาฟัง พระราชาทรงพิโรธจึงอยากทดลองให้ประชุมพระราชาน้อยใหญ่ พระราชาจึงตรัสว่าอยากชมศิลปของพระ พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็ยิ่งได้ทะลุหมด พระเจ้าเสตราชลุกจากที่นั่งจุมพิตศีรษะและกระทำวิวาหมงคลให้ในที่นั้น
ก็เมื่อกาลผ่านไป วันหนึ่งพระโพธิสัตว์บรรทมอยู่กับพระชายา ใกล้รุ่งทรงระลึกถึงพระมารดา จึงทูลลาพระบิดามารดาไป วันเดียวเท่านั้นก็เดินทางได้ ๗๐๐ โยชน์ คราวนั้นพระเทวีเพราะกำลังความเร็วของม้าและลมแดด พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นบอกให้ม้าหยุด ม้าบอกว่าหยุดไม่ได้ เพราะดินแดนนี้เป็นเขตของฆันตารยักษ์ ซึ่งเดิมทียักษ์นี้ได้บำรุงท้าวเวสวรรณด้วยการตักน้ำถวายถึง ๓ ปี เมื่อครบกำหนดจึงได้ทูลขอพรให้ได้โอกาสรักษาเขตนี้และสามารถกินมนุษย์ที่เข้ามาได้ จึงสร้างบรรณศาลาอยู่ ใครเข้าไปก็จะถาม ๓ ครั้ง หากได้คำตอบก็จะไม่กิน หากไม่ได้คำตอบครบ ๓ ครั้งจึงจับกิน ยักษ์นี้มีน้องสาวชื่อนางอัญชนวดี ยักษ์สร้างปราสาทให้นางอยู่แล้วไปชิงพระธิดาจากเมืองต่างๆ มาเป็นข้ารับใช้ ถึงนางกเรณุวดีก็ถูกชิงมาอยู่ในที่นั้นด้วย ส่วนตนสร้างปราสาทอยู่ไม่ไกลนัก พระองค์อย่าอยู่ที่นี้เลย พระโพธิสัตว์เห็นศาลาแล้ว ถามได้ความ ตรัสว่า ยักษ์กินได้ทุกคนหรือ ม้าตอบว่ามิได้ทุกคน พระโพธิสัตว์ตรัสว่า พักที่นี่เถิด หากไปต่อพระเทวีต้องสิ้นพระชนม์แน่ ม้าไม่สามารถทัดทานได้จึงลงมาเข้าไปที่นั้น พระโพธิสัตว์ก็ได้ให้คำตอบเป็นระยะทุกครั้ง
คราวนั้นในปัจฉิมยาม พระเทวีตื่นบรรทมทูลขอให้พระโพธิสัตว์บรรทม พระองค์จะรักษาเวรยามต่อ พระเทวีก็ทรงถูกความง่วงครอบงำอย่างหนัก จึงตอบเสียงค่อยลงและหลับไป ครั้งที่สามยักษ์มาถามอีกไม่ได้ยินคำตอบจึงคิดว่าหลับหมดแล้ว จึงส่งเสียงดังถามว่าใคร แล้วผลักประตูเข้าไปยืนอยู่ และได้ออกไปสู้กับยักษ์บนอากาศ พระกุมารและพระเทวีตื่นบรรทมต่างตกพระทัย พระมหาสัตว์จึงตรัสให้ม้าระวังบังเหียนไว้ให้ดี ยักษ์ได้ยินคิดว่าบังเหียนเป็นเหล็ก จึงจับที่บังเหียนอย่างแน่นหนา ฝ่ายม้าแม้พยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่หลุดพ้น กลับหมดกำลังลง ขณะนั้นยักษ์จึงขี่ม้าไปส่งให้บริวารรักษาไว้อย่างดี สองกษัตริย์ไม่ได้ยินเสียง ก็ร้องเรียกหาแต่ไม่พบ พบแต่รอบเลือดจึงคิดว่าม้าถูกจับได้แล้ว พระโพธิสัตว์ปลอดพระเทวี ตั้งสติเล็งเห็นหมู่ไม้เบื้องหน้าเขียวทึบเป็นสีเมฆ อาจจะมีมหาสมุทรอยู่ จึงไปที่นั้น ผูกธงผ้าที่ปลายไม้ให้สัญญาณแก่พวกพ่อค้าวาณิชจะได้ไปด้วยกัน ครานั้นพ่อค้า ๕๐๐ แล่นเรือมาพร้อมด้วยภัณฑสินค้าพบพระโพธิสัตว์จึงถาม และให้อาศัยเรือไปด้วย เมื่อคราวที่ทั้งสองกษัตริย์ขึ้นเรือ เรือได้แล่นไปด้วยกำลังลมแรง ๗ วัน พ่อค้าควบคุมเรือไม่ได้คิดว่าต้องตายแน่นอน ต่างอ้อนวอนเทวดาที่ตนนับถือให้ช่วยรักษา พระโพธิสัตว์กับพระเทววีเห็นเหตุการณ์แล้ว ก็เสวยเนยใสน้ำกรวดจนพอประมาณแล้ว เอาผ้าสาฎกชุบน้ำมันพันกาย ขึ้นเสากระโดงเรือเอาผ้าผูกสะเอวพระเทวีผูกติดกับแผ่นกระดานอย่างแน่นหนา เมื่อเรือเริ่มจม พระโพธิสัตว์เห็นมหาสมุทรแดงฉาน กำหนดทิศที่เมืองพาราณสีตั้งอยู่ และพระมารดา กระโดดจากเสากระโดงเรือเลยปลาเต่า ตกในที่ประมาณอุสภพหนึ่ง แต่ด้วยผลกรรมที่สองกษัตริย์ได้ทำมา แผ่นกระดานกลับแตกเป็นสองเสี่ยง แต่ละคนได้แผ่นกระดานคนละครึ่งลอยไป ถูกกระแสน้ำพักไปได้รับทุกขเวทนาอย่างหนักท่ามกลางสมุทร
เพราะทำกรรมอะไรจึงได้เสวยทุกข์อย่างนี้ ตอบว่าในอดีตกาลในเมืองพาราณสี ทั้งสองพระองค์เป็นสามีภรรยากัน วันหนึ่งไปฝั่งน้ำเล่นน้ำ ตอนนั้นมีสามเณรหนุ่มรูปหนึ่งพายเรือเล่นน้ำ สองสามีภรรยาเห็นเข้าอยากจะแกล้งเล่น จึงตีฟอกระลอกคลื่นใส่เรือสามเณรจนสามเณรจมน้ำ แต่ได้ช่วยขึ้นฝั่งได้ เพราะทำกรรมประมาณนี้จึงได้เสวยทุกข์ใน ๕๐๐ อัตภาพ พระเทวีจิรปภาถูกน้ำพักไปถึงฝั่งด้านหนึ่ง พอข้ามขึ้นได้ได้เดินไปพระองค์เดียว คิดถึงพระโพธิสัตว์พลางร้องไห้คร่ำครวญ พระนางค่อยคลายความโศกลงจึงเอาภูษาชุบน้ำให้ชุ่ม ถอดพระธำมรงค์ผูกที่ชายผ้าเดินไป ทั้งที่ไม่รู้ทิศทางเดินไป ๒-๓ วันก็ถึงเมืองอินทปัตถ์ เข้าไปภายในเมืองแปลงเพศเป็นหญิงเข็ญใจ ในเมืองนั้นมีเศรษฐีถึงคราวตกยากถือกระเบื้องขอทานเลี้ยงชีพ พระนางถึงบ้านของเขาขออยู่ด้วย เมื่อได้โอกาสอยู่รุ่งขึ้นจึงถอดพระธำมรงค์วงหนึ่ง ให้แก่ผู้เฒ่านำไปขาย ซื้อทาสทาสีสิ่งของเครื่องใช้และไม้สร้างศาลา เมื่อสร้างเสร็จให้เขียนรูปอันวิจิตรไว้ท่ามกลางถนน ๔ แพร่ง อันดับแรกนางให้วาดรูปพระราชาทรงม้าเหาะ เปิดประตูห้องทอดพระเนตรจนถึงรูปที่เรือแตก แล้วตั้งทานวัตรบริจาคทานแก่บุคคลที่สัญจรผ่านไปมา เมื่อเลี้ยงดูจนอิ่มหนำแล้วให้ดูรูปจิตรกรรมนั้น จึงตั้งชื่อศาลาว่า ศาลานางอุมมาทยันตี ถวายทานบริจาคทานรอฟังข่าวของพระโพธิสัตว์อยู่
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ถูกคลื่นซัดไปกับแผ่นกระดาน ก็ลุถึงท่าอัญชนวดีตามลำดับ เมื่อขึ้นฝั่งได้ก็คิดถึงพระชายา ครั้งนั้นนางอัญชนวดียักษิณีเรียกนางกเรณุวดีมาบอกว่า ให้ไปท่าน้ำตักน้ำสรงมา นางพร้อมกับขัตติยานีสิบหกนางจึงไปท่าน้ำ ตนเองเดินตามหลังพระโพธิสัตว์พอเห็นนางจำได้ ในเวลาที่นางอาบน้ำเสร็จกำลังจะไป จึงออกจากดงกล้วยมาเรียกนาง นางมองหาดูเห็นจึงถามได้ความแล้วจึงร้องไห้ พระกุมารบอกให้นางอย่าบอกใคร นางกลับไปเข้าปราสาท กลิ่นมนุษย์ได้ติดกายนางไป จึงถูกคาดคั้นให้บอกเรื่องราว พอได้ฟังว่าพระสุธนูเสด็จมา นางอัญชนวดียักษิณีถึงกับเกิดความรักอยากจะได้พบหน้า จึงเขียนหนังสือให้นางกเรณุวดีไปว่าหากพระกุมารฉลาด ก็จะเข้าใจความและเสด็จมา หากไม่รู้จะเป็นภักษาต่อไป นางกเรณุวดีรับหนังสือส่งให้พระกุมาร พระกุมารเข้าพระทัยจึงตรัสกะนางกเรณุวดีว่าไม่มีอะไรน่ากลัว จึงเขียนรูปตนจับที่พระศอของนางยักษิณี ส่งให้นางกเรณุวดีไป พอนางได้รับก็ดีใจตระเตรียมการต้อนรับ และได้อภิรมย์สังวาสกันและกัน เมื่อกาลผ่านไป วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ก็ระลึกถึงพระมารดา จึงออกอุบายที่จะไป แต่ไม่มีช้างม้าที่เป็นพาหนะจึงถามนางกเรณุวดี นางตอบว่าฆันตารยักษ์มีม้าอยู่ พระโพธิสัตว์จึงหาอุบายให้นางอัญชนวดีทูลขอม้ากับพระยายักษ์ นางอัญชนวดีจึงทนรบเร้ามิได้จึงส่งนางกเรณุวดีไปขอ นางกเรณุวดีจึงบอกม้าว่าพระสุธนูมาถึงแล้ว ม้าดีใจจึงยินยอมไปกับนาง พอได้พบกันพระสุธนูกับม้าต่างดีใจและถามถึงพระเทวีจิรปภา และปรึกษากันจะออกตามหา จึงปรึกษากับนางกเรณุวดีได้ความว่า จะหลอกมอมเมานางอัญชนวดีในอุทยานแล้วหนีไปและได้ทำอย่างนั้นแล้ว หนีไปถึงเมืองอินทรปัตถ์ ในคราวนั้นจึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้าเมืองไปพักม้าภายนอกพระนคร เที่ยวถามชาวนครว่า พวกสมณพราหมณ์บัณฑิตประชุมกันที่ไหน ได้ความว่าประชุมกันที่ศาลาอุมมารยันตีของนางปริพพาชิกานางหนึ่ง จึงเสด็จไปที่นั้น ได้ทำตามวัตรธรรมเนียมของที่นั้น เสวยแล้วได้ทอดพระเนตรรูปเขียนต่างๆ แล้วร้องไห้หัวเราะ พวกนางสาวใช้เห็นกิริยานั้นจึงนำเรื่องไปบอกนางปริพพาชิกา นางรีบมาดูจำได้ว่าเป็นพระสวามี ก็เข้าไปกราบแทบพระบาทร้องไห้คร่ำครวญนานาประการ ในคราวที่พระมหาสัตว์เสด็จไปพระมารดามิได้มีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์ พระโพธิสัตว์มาถึงจึงเข้าไปถวายบังคมแทบบาทมูลพระมารดากรรแสง พระมารดาก็สวมกอดพิไรรำพันว่ามิได้มีความสุข ทั้งเดินยืนนั่งบรรทม น้ำตาไหลพรากตลอดเวลา บัดนี้กลับมาแล้วจึงคลายโศกได้ และได้อภิเสกในกองในรัตนะแก้ว
กาลต่อมาพระโพธิสัตว์หวนระลึกถึงนางอัญชนวดีและนางกเรณุวดี จึงเสด็จไปลุถึงเมืองฆันตารยักษ์ ตรัสกับฆันตารยักษ์ว่า นางอัญชนวดีนั้นได้เป็นพระชายาของพระองค์ แล้วจงมอบให้มา ถ้าไม่ให้ก็เป็นการทำผิดศีลธรรมด้วย จึงให้ยักษ์ตั้งอยู่ในศีลธรรมต่อไปว่า หากรักษาศีลจะไปเกิดในพรหมโลก ตรัสกะยักษ์ว่า พระยายักษ์ ท่านนั้นครั้งก่อนเป็นมนุษย์ แต่เพราะทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต บัดนี้จึงเกิดเป็นยักษ์ ดุร้าย หยาบคาบ จากนี้ไปขอท่านได้สมาทานสุจริต รักษาศีล ๕ ข้อ มหายักษ์ฟังธรรมของพระมหาสัตว์ เลื่อมใสอย่างยิ่ง พระมหาสัตว์จึงได้ทรมานยักษ์จนหมดพยศ ให้สมาทานศีล ๕ พานางอัญชนวดีนางกเรณุวดีกลับเมืองพาราณสีให้ดำรงตำแหน่งใหญ่ ทำสักการะแม่ม้ามณีกักขิ จากนั้นได้เสวยสมบัติครองราชย์ จนสิ้นอายุขัยได้เกิดในพรหมโลก
พระศาสดาครั้นนำอดีตนิทานมา ทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าพรหมทัตคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระเกศินีเทวีคือพระมหามายาเทวี พระเจ้าเสตราชคือพระมหาโมคลลัานะ ท้าวสักกะคือพระอนุรุธ พระเจ้ามหาปนาทคือพระสารีบุตร ปทุมคัพภาเทวีคือพระนางปชาบดีโคตมี จิรปภาเทวีคือพระยางยโสธรา หญิงค่อมสาวใช้คืออุบลวรรณาเถรี ม้ามณีกักขิคือม้ากัณฐกะ นางอัญชนวดียักษิณีคือจันทเถรี นางกเรณุวดีคือสุนทรีภิกษุณี ฆันตารยักษ์คือกาลาวิรยักษ์ (มาราธิราช) ส่วนสุตธนุราชาคือพระโลกนาถสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกอย่างนี้
|
16710
|
40163
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16710
|
รัตนปโชตชาดก
|
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดาเป็นเหตุ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ภิกษุนั้นอุปสมบทแล้วเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงมารดา ภิกษุทั้งหลายพากันติเตียนว่า การที่บรรพชิตเลี้ยงคฤหัสถ์เป็นของไม่ควร เรื่องนั้นมีความพิสดารเหมือนกับสุวรรณสามชาดกในคัมภีร์ทศชาดก ในที่นี้มีความย่อดังต่อไปนี้
พระบรมศาสดามีดำรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายอย่าติเตียนภิกษุผู้เลี้ยงมารดานี้เลย นักปราชญ์แต่ก่อนก็ได้เคยบำรุงเลี้ยงมารดาด้วยเพศบรรพชาเหมือนกันอย่างนี้ จึงนำเรื่องราวที่ล่วงแล้วมาอ้างดังต่อไนปี้ว่า
ยังมีพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่ามหารถ ณ พระนครชื่อว่าเมฆวตี พระอัครมเหศีทรงพระนามว่าสิริรัตนอาภา คราวนั้นพระบรมโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสี เมื่อพระอัครมเหสีทรงพระครรภ์บริบูรณ์แล้ว บังเอิญให้พอพระทัยจะใคร่ประพาสชมสวนราชอุทยาน พระมหารถราชกับพระราชเทวีพร้อมด้วยเสวกามาตย์ราชบริพารเสด็จไปประพาสยังราชอุทยาน ตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงเวลาค่ำ พระราชากับพระราชเทวีก็ไม่สามารถจะเสด็จกลับคืนเข้ายังพระนครได้ จึงประทับแรมอยู่ ณ อุทยานนั้นสิ้นราตรีหนึ่ง
คืนวันนั้นพระราชากับพระราชเทวีบรรทม พระราชเทวีทรงพระสุบินนิมิตว่า มีบุรุษผู้หนึ่งผิวกายดำผมแดงนุ่มห่มผ้าสีแดงมือถือดาบอันคมกล้า วิ่งมาแต่ทิศปราจีน ตรงเข้าไปถึงที่บรรทมพระราชเทวี รวบรัดมวยพระเกศีฉุดกระชาดลากพระเทวีให้ล้มลง ตรงเข้าควักพระเนตรทั้งสองซ้ายขวา แล้วเอาดาบฟันทักขิณพาหาให้ขาดวิ่น แล้วรองรับโลหิตที่ไหลรินออกไป มิหนำซ้ำเชื่อดพระอุระทรวงล้วงเอาหฤทัยได้แล้ว ก็บ่ายหน้าไปยังปัจฉิมทิศ มีหฤทัยหวาดหวั่นสะดุ้งตื่นจึงกราบทูลให้พระราชสามีทรงทราบ พระเจ้ามหารถะได้ทรงฟังดังนั้น จึงดำรัสสั่งให้โหรผู้ทำนาบสุบินพิจารณา เมื่อโหรพิจารณาแล้วจึงกราบทูลว่า ด้วยพระองค์กับพระราชเวทีจักพลัดพรากจากกัน เวลาเย็นวันนี้มหาเมฆจะตั้งขึ้น ฝนจะตกใหญ่น้ำท่วมขึ้นมา ทีแรกเพียงข้อเท้าและเพียงเข่าและสะเอวเพียงนอเพียงคอเพียงศีรษะ และท่วมทวีขึ้นไป ๗ ชั่วลำตาล มหาชนทั้งหลายเห็นน้ำท่วมขึ้นมาดังนั้นพากันตกใจกลัวต่อมรณภัย ลูกระลอกก็พัดพานาวีให้ลอยไปตามกระแสน้ำ พระราชเทวีที่ทรงพระครรภ์แก่และเป็นหญิงขลาดไม่อาจจะดำรงกายอยู่ได้ ทรงกรแสงน้ำพระเนตรไหลโทรมพระพักตรา
เมื่อพระเจ้ามหารถราชให้โอวาทปลอบพระราชเทวี ที่นั้นลูกคลื่นใหญ่พัดกระหน่ำเข้ามา นาวาก็แตกแยกออกเป็นสองภาค พระราชเทวีมีความกลัวต่อมรณะเป็นอันมากร้องไห้พระราชสามีช่วย สมเด็จพระมหารถราชจึงเปลื้องพระภูษาเฉียงพระองสา ออกผูกองค์พระราชเทวีให้มั่นกับพระองค์ คราวนั้นพระภูษาก็หลุดออกจากกัน เป็นประหนึ่งแสดงให้เห็นซึ่งกรรมก่อนของพระองค์ที่ได้ทำไว้ พระราชากับพระราชเทวีทั้งสองต่างก็พลัดลอยไปตามคลื่นแต่ลำพังพระองค์เดียว
พระราชากับพระราชเทวีได้ทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องพลัดพรากจากกันดังนี้ คือในชาติก่อนพระราชากับพระราชเทวีเสด็จสรงน้ำอยู่ ณ ฝั่งคงคาแห่งหนึ่ง มีสามเณรองค์หนึ่งพายเรือจะจอดขึ้ยฝั่งที่ตรงนั้น พระราชากับพระราชเทวีก็สักยอกโคลงเรือสามเณรเล่น สามเณรกลัวเรือจะล่ม ก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง ด้วยผลกรรมซึ่งพระราชากับพระราชเทวีทรงทำแก่สามเณรเท่านี้ ติดตามมาให้พระราชากับพระราชเทวีต้องพลัดพรากจากกัน
พระราชเทวีพลัดพรากจากราชสามี ถูกคลื่นซัดลอยไปถึงเชิงภูเขาจันทบรรพต พระนางเธอก็เสด็จขึ้นจากน้ำได้ทรงทอดพระเนตรไม่เห็นมีผู้ใดในที่นั้น จึงทรงขยายพระภูษาทรงออกตากครึ่งหนึ่ง ทรงคลุมพระองค์ไว้ครึ่งหนึ่ง เมื่อแห้งหมดแล้วก็ทรงตามปรกติและประทับนั่งอยู่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง ด้วยอำนาจบุญญาธิการของพระมหาสัตว์เจ้า ซึ่งเสด็จอยู่ในพระครรภ์ของพระราชเทวี บันดาลให้พิภพท้าวโกสีย์เร่าร้อนขึ้นทันใด ท้าวสหัสนัยน์ใคร่ครวญไปก็ทราบเหตุนั้นทุกประการ มีเทวโองการตรัสหาตัววิสสกรรมมาสั่งว่าจงไปที่ภูเขาจันทบรรพตจงเนรมิตรสระน้ำทำให้มีบัวพร้อมทั้งห้า กับเนรมิตรบรรณศาลาหนึ่งหลังพร้อมทั้งเครื่องบริขาร ตบแต่งสถานที่ให้วิจรควรเป็นที่รื่นรมย์ยินดี วิสสุกรรมเทพบุตรรับเทพยบัญชาแล้ว จึงลงมาเนรมิตรสระกับบรรณศาลา และจารึกอักษรไว้ที่บานประตูบรรณศาลาว่า ผู้ใดต้องการบวชจงถือเอาเครื่องบรรพชิตบริขาร จงอยู่ให้สำราญในศาลานรี้เทอญ พระเจ้ามหารถราชเมื่อคลื่นลมระดมพัดให้ลอยไป ได้เสวยทุกข์ลำบากอันยิ่งใหญ่ลอยไปประมาณเจ็ดวัน จึงกลับคืนมายังพระนครของพระองค์ได้ ฝ่ายพระราชเทวีนั้นเล่าต้องทนทุกข์อยู่ ณ จันทบรรพต พระนางทรงโศกถึงพระราชาเป็นกำลัง วันหนึ่งพระเทวีเสด็จไปตามมรรคตาทอดพระเนตรเห็นบรรณศาลา ทรงอ่านพระอักษรแล้ว ทราบว่าท้าวโกสีย์ทรงสร้างให้ จึงเสด็จเข้าอาศัยบรรณศาลาทรงบรรพชาเป็นดาบสินีอยู่ ณ ที่นั้น
วันหนึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืน พระราชเทวีทรงประสูติพระโอรสงามปรากฎเหมือนทองคำ ครั้นรุ่งเช้าพระนางสรงน้ำชำระองค์พระมหาสัตว์แล้วให้เสวยกษิรธารา เมื่อจะขนานพระนามพระโพธิสัตว์เจ้าจึงถือเอานิมิต คืนวันประสูตรที่มีแสงแก้วสว่างทั่วไปในป่าหิมวันต์ ถือเอาเหตุนั้นเป็นพระนามว่ารัตนปโชต ครั้นถึงเวลาเช้าพระราชเทวีเจ้าให้พระบรมโพธิสัตว์อยู่ในบรรณศาลา เสด็จสู่ป่าแสวงหาผลไมม้ได้แล้วก็กลับมา แต่ทรงประพฤติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้จนพระโพธิสัตว์มีพระชนมายุได้ ๕ ปี
วันหนึ่งพระบรมโพธิสัตว์ตรัสถามพระชนนีว่าบิดาของตนคือใคร พระราชเทวีจึงเล่าความเบื้องหลังให้พระมหาสัตว์ฟัง พระมหาสัตว์ไม่อาจกลั้นอยู่ได้ด้วยอานุภาพความกตัญญู จึงทูลพระมารดาว่า ตั้งแต่วันนี้ต่อไปขอให้พระมารดาอยู่เฝ้าศาลา ลูกจะรับอาสาไปหาผลไม้มาเลี้ยงพระมารดาเอง เวลาเช้าพระราชเทวีเจ้าเคยเสด็จป่าเพื่อหาผลาผลไม้ทุกๆ วัน พระมหาสัตว์นั้นออกจากบรรณศาลาค่อยดำเนินตามรอยพระบาทพระมารดาไปจนจำมรรคาและทิศที่พระมารดาเสด็จไปได้แม่นยำ วันหนึ่งพระราชเทวีเสด็จไปป่าแต่เช้า เก็บผลไม้ได้เต็มกระเช้า แล้วคิดจะกลับยังบรรณศาลาจึงทรงหยุดอยู่ใต้ต้นไทรแห่งหนึ่ง พอหายเหนื่อยแล้วจะดำเนินต่อไป ขณะนั้นมียักษ์ตนหนึ่งชื่อพลาหกะสิงสู่อยู่ ณ ต้นไท้นั้น ตรงเข้าจับข้อพระหัตถ์พระราชเทวีไว้ พระราชเทวีทอดพระเนตรเห็นรูปยักษ์ก็ตกพระทัยกลัวตัวสั่นคิดถึงมรณภัย และคิดถึงพระมหาสัตว์ขึ้นมาก็ทรงโศการ่ำไร คราวนั้นพระบรมโพธิสัตว์เจ้านั่งคอยท่าพระมารดาอยู่ในบรรณศาลา แต่เวลาเช้าจนถึงเวลาเย็นไม่เห็นพระมารดากลับมาจึงรำพึงว่าคงจะมีเหตุเป็นแน่ คิดแล้วก็รีบออกจากบรรณศาลาเดินเรียกหาพระชนนี เดินร้องไห้ไปจนบรรลุถึงต้นไทรที่ยักษ์จับพระมารดาไว้
ส่วนพระราชเทวีทรงทราบว่าพระมหาสัตว์ตามมาหา จึงส่งสำเนียงบอกออกไป เมื่อพระมหาสัตว์แวะเข้าไป จึงเห็นพระมารดานั่งอยู่ใกล้มหายักษ์ พระมหาสัตว์เจ้าเข้าไปนั่งใกล้มหายักษ์แล้ว อ้อนวอนว่าขอเชิญท่านกินเลือดเนื้อและหัวใจของข้าพเจ้าเถิด ขอได้โปรดปล่อยมารดาของข้าพเจ้า มหายักษ์ตอบว่า ถ้าว่าท่านพูดจริงกระนั้น ท่านจงผ่าทรวงล้วงหัวใจมาให้เรากินเดี๋ยวนี้ พระมหาสัตว์จึงดำริว่าเราจักได้มีดที่ไหนเล่า คิดแล้วก็ตั้งสติระลึกถึงบารมีแหงนหน้าขึ้นเพ่งดูอากาศ แล้วจึงตรัสว่า ข้าพเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายหน้าด้วยอำนาจความกตัญญู เดชอำนาจความสัจจริงของข้าพเจ้า ขอให้ศัสตราวุธอันคมกล้า จงบันดาลตกลงมาตรงหน้าข้าพเจ้าบัดนี้
ศัสตราอันคมกล้าลอยมาแต่อากาศตกลงมาเบื้องหน้าพระมหาบุรุษชาติ แล้วจึงตรัสว่า ถ้าเราจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในกาล เราขอกราบไหว้พระมารดาไปกว่าจะสิ้นชีพ ท่านจงให้ชีวิตแก่มารดาเราด้วย แล้วพระโพธิสัตว์ก็ผ่าอกของพระองค์ด้วยศัสตราควักหัวใจออกมาวางไว้ ณ หัตถ์เบื้องซ้าย ดูกรมหายักษ์เชิญท่านกินหัวใจของเราและขอชีวิตของข้าพเจ้าอย่าเพิ่งดับสิ้นไปก่อนเลย เมื่อตรัสแล้วพระองค์ก็ประสงค์จะให้หัวใจแก่ยักษ์โดยเคารพ จึงยกหัตถ์ขึ้นจบแล้ววางไว้บนฝ่ามือยักษ์ประกาศว่า เราให้เนื้อหัวใจแก่ท่านนี้ ใช่จะปรารถนาสมบัติบรมจักรหรือสมบัติอินทรพรหมและพระปัจเจกพุทธ ก็หามิได้ ด้วยผลที่ให้เนื้อหัวใจนี้ ขอให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลภายหน้า เราจะรื้อขนนิกรชนให้เต็มนาวาคือสัทธรรม พระมหาสัตว์ตรัสดังนี้แล้ว ก็บอกให้มหายักษ์กินเนื้อหัวใจตามแต่จะประสงค์ มหายักษ์ก็ยินดีจึงนำพระชนนีมาส่งให้แก่พระมหาสัตว์
ส่วนพระราชเทวีทอดพระเนตรเห็นพระมหาสัตว์สลบไปตกพระทับลุกขึ้นประคองพระหัตถ์เข้าไว้กับพระอุระ ทรงโศการ่ำไห้ดุจประหนึ่งดวงฤทัยจะแตกออกเป็น ๒ ภาค
คราวนั้นพิภพแห่งท้าวโกสีห์ก็แสดงอาการร้อน ด้วยอำนาจความกตัญญูของพระมหาบุรุษเจ้า ท้าวสหัสสนัยน์ใคร่คราญดูก็รู้เหตุ จึงรีบเสด็จจากทิพยวิมาน มาประดิษฐานอยู่บนอากาศที่ตรงมหายักษ์อยู่ ทรงขู่ตวาดว่าวลาหกยักษ์เจ้าทำกรรมหยาบหนักหนา ถ้าหากว่าพระมหาบุรุษจึกไม่เป็นขึ้นได้ ณ บัดนี้ เราจักตีศีรษะเจ้าให้แตกออกเป็น ๗ ภาคด้วยวชิราวุธ วลาหกยักษ์ได้ฟังดังนั้น ก็ตกใจกลัวตัวสั่น จึงประคองพระมหาสัตว์แล้วชะโลมด้วยทิพยโอสถ พระมหาสัตว์ก็ฟื้นขึ้นทันที
สมเด็จพระราชเทวีดำริว่า เราจะตั้งความสัตย์ขึ้น ณ บัดนี้ จึงมีพระเสาวณีย์ว่า โอรสของข้าพเจ้านั้น ตั้งมั่นอยู่ในความกตัญญูจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลภายหน้าจริงๆ ด้วยอานุภาพความจริงของข้าพเจ้า ขอให้โอรสได้ชีวิตกลับคืนขึ้นมาโดยพลัน เมื่อจบคำสัจจาธิษฐานของราชเทวีครั้งที่หนึ่ง พระมหาบุรุษก็มีผิวพรรณผ่องใสคล้ายกับสีทอง ครั้นจบคำสัจจาธิษฐานคำรบสอง พระมหาบุรุษก็หายใจเข้าออกได้คล่อง พลิกพระองค์กลับไปมาเบื้องซ้ายขวา ครั้นจบคำสัจจาธฺษฐานคำรบสาม พระมหาสัตว์ก็ได้สติลุกขึ้นนั่งแล้ว
เทพยดาทั้งหลายมีสมเด็จท้าวสักเทวราชเป็นประธาน จึงนฤมิตคานหามทองอัญเชิงพระราชเทวีกับพระมหาบุรุษ ให้ประทับนั่ง ณ คานหามทองนำไปส่งถึงเมืองเมฆวดี
พระเจ้ามหารถราช เสด็จมาได้ทอดพระเนตรทรงจำและรำลึกได้ ทรงพระโสมนัสอภิเษกพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติต่อไป พระมหาสัตว์ครั้นได้ราชาภิเษกเสวยเบญจกามคุณตามสมควรแล้ว ทรงบำเพ็ญทานสิ้น ๑ เดือน จึงถวายคืนราชสมบัติแก่พระบิดา และถวายบังคมลาไปยังป่าพระหิมพานต์เพื่อทรงผนวชเป็นฤาษี
พระศาสดาทรงนำอดีตนิทานมาแล้วจึงประกาศอริยสัจ ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุผู้เลี้ยงมารดาได้โสดาปัตติผล จึงทรงประชุมชาดกว่า พระชนนีก็คือพระนางมหามายา พระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะ ท้าวสักกเทวราชคือพระอนุรุทธะ วลาหกยักษ์คือองคุลีมาล พระมหาสัตว์รัตนปโชคคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกอย่างนี้
|
16711
|
4614
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16711
|
สิริวิบุลกิตติชาดก
|
พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุเลี้ยงมารดา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ตรัสอีกว่า เธอได้ตั้งอยู่ในทางที่ตถาคตดำเนินมาแล้ว เพราะการเลี้ยงบิดามารดาเป็นวงศ์ของนักปราชญ์ ที่สละชีพให้บิดามารดาได้ จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า
พระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่ายศกิตติ ได้ดำรงราชสมบัติ ณ จัปปากนคร พระองค์มีพระอัครมเหสีมีนามว่าสิริมดี เป็นยิ่งใหญ่กว่าสนมนารี ๑๖,๐๐๐ พระเจ้ายศกิตติราชจึงตรัสกับพวกสนมว่า ให้ช่วยกันปรารถนาหาบุตรจงได้ทุกๆ คน สนมทั้งหมดก็พากันทำบวงสรวงแก่สิ่งที่นับถือ ตั้งแต่นั้นมาพระนางสิริมดีจึงสมาทานอุโบสถศีลตั้งพระหฤทัยปรารถนาซึ่งบุตร พระนางพิจารณาดูศีลของพระองค์แล้วทรงทำความสัจว่า ถ้าศีลของข้าพเจ้าไม่ขาดไซร้ ขอให้ข้าพเจ้าได้บุตรสมปรารถนา ด้วยอำนาจศีลของพระนางสิริมดี จึงทำให้ท้าวโกสีย์ได้นิมนต์พระโพธิสัตว์ซึ่งจวนจะสิ้นอายุแต่ต้องการจะเกิดในเทวโลกชั้นบนต่อไปให้ไปถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระสิริมดีราชเทวี
คราวนั้น พระนางสิริมดีบรรทมหลับในราตรีทรงสุบินดังนี้ว่า มีดาบสองค์หนึ่ง มาแต่วิบุลบรรพตโดยทางอากาศ หยิบเอาแก้วมณีวางไว้ ณ ฝ่าพระหัตถ์ เมื่อพระนางตื่นบรรทมก็ทรงเล่าให้พระสวามีฟัง พระเจ้ายศกิตติจึงรับสั่งให้พราหมณ์ทำนายพระสุบินนี้ ซึ่งพราหมณ์ถวายพยากรณ์ว่า พระนางสิริมดีจักได้พระราชโอรสกอปรด้วยบุญลักษณะ ครั้นต่อมาพระนางสิริมดีก็ทรงพระครรภ์
ในระหว่างแห่งกาลนั้นมีพระราชาองค์หนึ่งนามว่าพาเหียรอยู่ต่างรัฐประเทศของพระเจ้ายศกิตติซึ่งต้องการได้เมืองของพระเจ้ายศกิตติ ได้ยกพลเสนาไปตั้งอยู่ใกล้เมืองจัมปาก แล้วส่งทูตให้ไปทูลพระเจ้ายศกิตติว่า ถ้าพระเจ้ายศกิตติจะใคร่รบกันก็ให้ออกมารบกันนอกเมือง ถ้าไม่คิดจะรบก็มอบเมืองมา เมื่อนั้นพระเจ้ายศกิตติไม่อยากให้เกิดสงครามจึงได้หนีออกจากเมืองไปอยู่ป่ากันพระนางสิริมดี เมื่อเสด็จออกจากเมืองจัมปากไปจนบรรลุถึงไพรสนณ์ใกล้ภูเขาเวปุลบรรพต มีบรรณศาลาอันฤาษีองค์ก่อนทิ้งร้างไว้ จึงทรงพาพระราชเทวีเข้าไปอาศัยอยู่ในบรรณศาลานั้น แล้วจึงพร้อมกับพระราชเทวีทรงผนวชถือเพศเป็นฤาษี
คราวเมื่อพระราชาพาเหียรวิลุปราชยกกองทัพมาติดเมืองจัมปาก ครั้นเมื่อยึดครองเมืองได้ และทราบว่าพระเจ้ายศกิตติหนีไปแล้ว จึงประกาศให้ทราบว่า ถ้าผู้ใดนำศีรษะพระเจ้ายศกิตติมาให้เราได้ จะให้รางวัลแก่ผู้นั้น คราวนั้นมีพรานป่าผู้หนึ่ง ได้ฟังคำประกาศนั้นแล้ว วันหนึ่งจึงไปแสวงหาเนื้อในป่า เดินหาไปไกลจนหลงทางไปประมาณ ๗ วัน จนไปพบที่อยู่ของพระราชฤาษียศกิตติเข้าก็จำได้ เข้าไปขออาศัยอยู่ ณ ที่นั้นประมาณ ๗ วัน เมื่อจะกลับไปเมืองจึงขอให้พระราชฤาษีชี้ทางกลับให้ พระราชฤาษียศกิตติจึงชี้ทางให้แต่บอกกับพรานป่าว่าอย่าบอกใครว่าตัวเองอยู่ที่นี่ พรานป่าก็รับคำ เมื่อกลับถึงเมืองด้วยความโลภและความอกตัญญู พรานป่าจึงนำที่อยู่ของพระเจ้ายศกิตติไปกราบทูลแก่พระเจ้าพาเหียรเพื่อขอรับรางวัล พระเจ้าพาเหียรจึงประทานทรัพย์ให้นายพราน พระองค์พร้อมด้วยเสนาทวยหาญให้นายพรานนำเสด็จเพื่อไปตามลำดับ จนบรรลุถึงที่อยู่แห่งพระราชฤาษียศกิตติ
คราวนั้น พระราชฤาษียศกิตติได้ทรงสดับเสียงโกลาหล และทอดพระเนตรพลเสนามามากมาย จึงรู้ว่าพรานป่าได้นำพระเจ้าพาเหียรมาจับตน ตรัสสั่งให้พระนางดาบสินีสิริมดีอยู่ที่อาศรมนี้ และมอบผ้ากัมพลกับธำมรงค์ไว้ให้ ส่วนตัวพระองค์จะยอมถูกจับ
เมื่อพระราชฤาษียศกิตติถูกจับไปแล้ว ฝ่ายพระนางดาบสินีสิริมดีทรงพระครรภ์แก่ พอครบกำหนด พระนางจึงประสูติพระราชโอรสในเวลาเที่ยงคืนวันนั้นเอง พระนางถือเอาพระนามมารดาและพระบิดาประสมกันเข้า จึงให้พระนามพระลูกเจ้าว่าสิริวิบุลกิตติ
พระบรมโพธิสัตว์ เมื่อเจริญวัยขึ้นตามลำดับ พระองค์ทรงทำอุปการแก่พระมารดาโดยเต็มกำลัง คราวหนึ่งพระนางสิริมดีทรงสุบินว่าพระนางทรงสรวลเล่นกับพระเจ้ายศกิตติ ครั้นตื่นบรรทมแล้วก็ทราบว่าฝัน มิได้เห็นหน้าพระสวามีดังในสุบิน จึงกลับพูนเพิ่มความโศกศัลและโทมนัสมากขึ้น จึงได้พร่ำพรรณนาถึงความเศร้าโศก
พระมหาสัตว์เจ้าได้ฟังพระมารดาพรรณนาถ้อยคำต่างๆ ดังนั้นจึงเข้าไปกราบไหว้แล้วถามพระมารดาร้องไห้ทำไม พระนางจึงเล่าเรื่องเมื่อครั้งก่อนเก่าให้พระโพธิสัตว์ฟัง พระมหาสัตว์สดับเรื่องราวพระมารดาเล่าให้ฟังดังนั้น จึงบอกพระมารดาว่าจะขอไปช่วยพระบิดาที่ถูกจับอยู่ พระนางสิริมดีจึงได้มอบผ้ากัมพลกับพระธำมรงค์ให้แก่พระบรมโพธิสัตว์ ๆ รับเอาสิ่งของแล้วจึงกราบลาพระมารดาออกจากป่าหิมพานต์ คราวนั้นเป็นเวลาเช้า พระมหาบุรุษเจ้าผู้อาบสได้เดินตรงเข้าไปยังนคร เห็นพระราชบิดาอันต้องอธิฐานโทษดังนั้น จึงกระซิบถามมหาชนว่า คนที่ต้องโทษทัณฑ์นั้นคือใคร มหาชนเขาบอกว่า ท่านผู้นี้เดิมเป็นเข้าของปกครองเมืองนี้ พระมหาบุรุษเจ้า ได้ฟังมหาชนบอกเล่าดังนั้น ก็มั่นใจว่าเป็นบิดาของเราแน่ แท้จริงพระมหาบุรุษทรงพละกำลังมากเท่ากำลังเจ็ดช้าง แต่ทรงจินตนาการว่าถ้ากำจัดชิงเอาซึ่งสมบัติเมืองนี้กับทั้งพระราชา ก็สามารถทำได้ไม่ข้องขัด แต่ว่าศีลของเราจักพิบัติไป ถ้าเราทำลายศีลเสียแล้ว ก็จะไม่ถึงพระสัพพัญญุตญาณ ซึ่งเราปรารถนามานานแล้ว แสดงตนขอตายแทนพระราชบิดาโดยแสดงตัวเป็นพระราชโอรสของพระองค์โดยแสดงพระธำมรงค์และผ้ากัมพล
เมื่อพระเจ้ายศกิตติทรงทราบชัดว่าพระมหาสัตว์เป็นพระราชโอรสของพระองค์แน่นอน เมื่อทรงสอนและห้ามปรามพระมหาสัตว์ แต่ไม่สามารถห้ามพระมหาสัตว์ที่จะตายแทนได้ไม่ พระมหาบุรุษเจ้าจึงไปเฝ้าพระราชาโกงนั้น เพื่อจะทูลขอเปลี่ยนชีวิตของตนกับพระราชบิดา พระราชาโกงทรงอนุญาต พระมหาบุรุษดีใจ จึงกลับมายังสำนักพระราชบิดาเพื่อจะให้ปล่อยพระราชบิดา เมื่อเพชฌฆาตปล่อยพระบิดาแล้วจึงนำพระโพธิสัตว์ไป เพื่อจะประหารเสียที่ป่าช้าสำหรับฆ่าคน ด้วยอำนาจความเมตตาและความกตัญญูของพระโพธิสัตว์นั้น ดาบของเพชฌฆาตจะตัดศีรษะก็หักเป็นจุณไปทันที พวกเพชณฆาตก็ประหลาดใจ ไปกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาทรงพิโรธเป็นกำลัง จึงรับสั่งให้ช้างไปเหยียบเสียบัดนี้ พวกเพชฌฆาตก็พากันไปทำตามรับสั่งนั้น แต่ช้างทำเสียงโกญจนาทแล้วหนีไป พระราชาทรงทราบแล้วจึงรับสั่งว่า ถ้ากระนั้นพวกเจ้าจงเอามันโยนลงไปในหลุมถ่านเพลิง แต่น่าอัศจรรย์ใจดอกปทุมทองอันใหญ่ประมาณเท่ากงเกวียน แหวนแผ่นดินผุดขึ้นมารับพระมหาสัตว์ไว้ ไฟก็มิได้ไหม้พระมหาสัตว์แต่อย่างไร พระเจ้ากูฏราชทรงทราบแล้ว ทรงพิโรธเป็นกำลังรับสั่งว่าจงทิ้งในเหวที่ฆ่าโจต พวกเพชฌฆาตก็เอาพระมหาสัตว์ไปทิ้งในเหวตามรับสั่ง ครั้งนั้นนาคราชขึ้นมาแต่นาคพิภพ ในขณะนั้นแผ่นดินใหญ่ก็แยกออกไปให้ช่องแก่พระเจ้ากูฏราช พระเจ้ากูฏราชก็จมลงไปเกิดในนรกใหญ่ ในลำดับนั้นนาคราชนำพระมหาสัตว์ขึ้นจากนาคพิภพ จึงอภิเษกพระมหาสัตว์ให้ดำรงราชสมบัติในเมืองจัมปากเสร็จแล้ว ก็กลับไปยังนาคพิภพของตน
เมื่อพระมหาสัตว์ผ่านราชสมบัติแล้ว จึงพร้อมด้วยพระราชบิดาแวดล้อมไปด้วยเสนาพลนิกาย เสด็จออกไปยังที่ประทับของพระราชมารดา คราวนั้นพระราชมารดาพระมหาสัตว์เสวยทุกข์โทมนัส เพราะพลัดพรากจากพระราชสามี และทั้งมิได้เห็นปิยราชโอรส ทรงพระรันทดจนสิ้นชีพตักษัยอยู่ในบรรณศาลานั้น
พระมหาสัตว์เจ้าเสด็จไปเบื้องหน้า ทอดพระเนตรเห็นบรรณศาลาอันเงียบสงัด พระองค์รีบทรงเข้าไปในบรรณศาลา เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระมารดาสิ้นชีพตักษัยแล้วก็ทรงเสียพระทับมากจะขอตายตามพระมารดาไป พระเจ้ายศกิตติผู้บิดาจึงทรงห้ามปรามแต่ไม่เป็นผล ด้วยกำลังพระกตัญญูหากเตือนพระทัย จึงเข้าไปนอนหงายอยู่ภายในจิตกาธาร ให้เขายกหีบพระศพพระมารดาขึ้นวางทับ ณ พระอุระ แล้วให้เขาประชุมเพลิงพร้อมกัน คราวนั้นด้วยอานุภาพความกตัญญูกตเวทิตาคุณพระมหาสัตว์ เป็นบุพนิมิตว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณแน่ในภายหน้า คราวร้อนหน่อยหนึ่งจะต้องกายก็หาไม่ พระบรมโพธิสัตว์จึงพร้อมกับถวายพระเพลิงพระศพพระมารดาด้วยเครื่องสักการะอันยิ่งใหญ่
เมื่อพระมหาบุรุษทำฌาปนกิจเสร็จแล้ว เสด็จไปสร้างบ้านหมู่หนึ่งไว้ไกล้บรรณศาลา ณ เชิงภูเขาเวปุลบรรพต กำหนดเป็นที่อนุสาวรีย์และทรงให้มีการมหรสพเสมอทุกปี บ้านตำบลนั้นครั้นนานมาจึงปรากฏว่าธัมมนิคม พระโพธิสัตว์ดำรงราชสมบัติครบอายุขัย ก็เสด็จไปยังโลกสวรรค์
พระศาสดาทรงนำอดีตนิทานมาแล้วประกาศอริยสัจ เมื่อจบอริยสัจ ภิกษุผู้เลี้ยงมารดาได้โสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระนางสิริมดีคือพระนางมหามายา พระเจ้ายศกิตติคือพระเจ้าสุโธทนะ พระเจ้ากุฏราช (พระราชาโกง) คือพระเทวทัต นายโจรฆาฏคือสุนักขัตภิกษุ บริษัทครั้งนั้นคือเหล่าบริษัทในครั้งนี้ พระสิริวิบุลกิตติคือพระโลกนาถเจ้าตถาคต
|
16712
|
40165
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16712
|
วิบุลราชชาดก
|
พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภทานบารมีของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ได้ยินว่า ในวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรมว่า พระตถาคตมีบุญญาธิการมาก มีปัญญามาก บำเพ็ญบารมีครบแล้ว ครานั้นพระศาสดาสดับเรื่องนั้นด้วยพระโสตธาตุอันเป็นทิพย์เสด็จมาประทับนั่งแล้ว ตรัสถามได้ความว่าตรัสว่า ไม่น่าอัศจรรย์เลย มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตบำเพ็ญทานบารมี ไม่คำนึงถึงบุตรภรรยาสละให้เป็นทาสของผู้อื่น แม้ครั้งก่อนก็เหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึงทรงนำพระอดีตนิทานมาตรัสเล่าว่า
อดีตกาลในเมืองสุจิรวดี ยังมีพระราชาพระนามว่าวิบุลราชครองราชย์อยู่ พระองค์มีพระเทวีพระนามว่าสุนทรี มีพระราชบุตรีพระนามว่าสุจี พระองค์ให้สร้างศาลาโรงทาน ๕ แห่ง ทุกวันจะพระราชทานทรัพย์ ๕๐๐,๐๐๐ ถวายทาน พวกมนุษย์ในชมพูทวีปทั้งสิ้นจึงไม่ต้องทำวาณิชกรรมกสิกรรมเลย เสวยโภคสมบัติ รื่นเริงบันเทิงทั่วไป พระมหาสัตว์มีพระสุจริตธรรม ทั้งที่ถวายทานแล้วยังมิได้พอพระทัยเพียงแค่นั้น วันหนึ่งดำริว่าได้บำเพ็ญทานภายนอกแล้ว ควรจะบำเพ็ญทานภายใน หากใครมาขอศีรษะก็จะตัดให้ ขอดวงตาก็จะควักให้ ขอหัวใจก็จะควักให้ทั้งหยดเลือก ขอเนื้อก็จะตัดให้ หากใคร่จะฆ่า หรือขอให้เป็นทาส ก็จะยอมตัวเป็นทาส เมื่อดำริอย่างนี้ ด้วยอานุภาพ มหาปฐพีก็กระหึ่งดุจพระยาช้างสาร เขาสิเนรุโอนเอน มหาสมุทรกระฉอกกระฉ่อน มหาเมฆตั้งเค้า ให้ฝนลูกเห็บตก สายฟ้ามิใช่ฤดูกาลก็ฟาดฟัน เทวดาให้สาธุการจนถึงพรหมโลก เกิดโกลาหลเป็นอันเดียว ภพของท้าวสักกะก็ร้อนระอุ พระองค์ทรงตรวจสอบดูทราบเหตุ ดำริว่าพระราชาเป็นหน่อพุทธางกูรอยากจะถวายทานภายใน เราจักทำให้สมพระทัย จึงนิรมิตเป็นเพศพราหมณ์หนุ่มมายังโรงทาน พระราชาเสด็จมาแต่เช้าถวายทาน ท้าวสักกะจึงประคองอัญชลีทูลขอพระเทวี พระราชาได้สดับทรงปีติโสมนัสจึงเต็มพระทัยให้แก่พราหมณ์ ตรัสเรียกพระเทวีมาแจ้งเรื่องราวให้ทราบว่าพราหมณ์ขอพระเทวี และพระองค์ก็ปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณจะสะสมบารมี พระเทวีฟังดำรัสแล้วก็พอพระทัยมิได้ขัดข้อง มีแต่จะส่งเสริมให้ได้บำเพ็ญบารมี พระราชาจับพระเต้าทองจับพระหัตถ์พระเทวี หลั่งน้ำทักษิโณทกให้ปฐพีเป็นพยาน ประทานพระชายาให้แม้จะเป็นที่รักมากเพียงใด แต่มิเท่าพระสัพพัญญุตญาณร้อยพันแสนเท่า และมิได้หวัมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ อินทสมบัติ พรหมสมบัติ สาวกสมบัติ ปัจเจกพุทธสมบัติ แต่หวังพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น จากนั้มหาปฐพีได้สะเทือนเลื่อนสั่น ท้าวสักกะนำพระเทวีมาซ่อนด้วยอานุภาพ ขณะนั้นจึงเปลี่ยนเพศเป็นพราหมณ์ไปถวายพระพร ทูลขอราชบุตรี พระเจ้าวิบุลราชก็มิได้คัดค้าน เรียกพระธิดามาแจ้งให้ทราบแล้วได้ประทนให้ไป ด้วยประการฉะนี้ ด้ยยเดชแห่งทานจึงมีอัศจรรย์มากมายเกิดขึ้น พระมหาสัตว์ครั้งประทานแล้วก็เกิดปีติปรามทย์ คราวนั้นท้าวสักกะได้นำพระธิดาไปซ่อนไว้ด้วยอานุภาพ และได้เนรมิตรตนเป็นพราหมณ์อีกคน ถือไม้เท้า ผมหงอก หนวดเครายาวรุงรัง ไปประตูพระราชวัง พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นได้ทรงไต่ถาม จึงทูลว่ามาทูลขอพระนคร พระมหาสัตว์ทรงปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงประทานให้ไป ขณะนั้นได้จับพระเต้าทอง หลั่งน้ำทักษิโณทกถวายทานด้วยความเต็มพระทัย
ท้าวสักกะเห็นอัศจรรย์นั้น จึงดำริว่าจักเป็นหน่อพุทธางกูร จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน จึงทูลว่ามิใช่พราหมณ์ เป็นท้าวสักกะ มาทดลองดูสุจริตกรรมของท่าน ดังนี้แล้วได้ประทานพระชายาพระธิดาคืน แล้วประกาศคุณความดีของพระราชาในท่ามกลางอากาศแล้วหายไป คราวนั้นพระราชาทรงครองราชย์ด้วยทศพิธราชธรรม บำเพ็ญทานเป็นต้น ในคราวสิ้นพระชนมายุ ได้เกิดในโลกสวรรค์
พระศาสดาครั้นทรงนำอดีตนิทานมาตรัสแล้ว ตรัสว่า มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน ตถาคตก็ได้ถวานทานแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้วได้ทรงประกาศสัจจะ ๔ ในคราวจบสัจจะ ทรงประชุมชาดกว่า ท้าวสักกะในคราวนั้นได้เป็นพระอนุรุธ พระเทวีสุนทรีเป็นพระนางยโสธรา พระธิดาสุจีเป็นกุณฑกเถรี บริษัทครั้งนั้นเป็นพุทธบริษัทครั้งนี้ พระเจ้าวิบุลเป็นพระโลกนาถเจ้า ท่านทั้งหลายจงจำชาดกอย่างนี้
|
16713
|
40166
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16713
|
สิริจุฑามณชาดก
|
พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภทานบารมีของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ความย่อว่า ในวันหนึ่งพวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภาว่า พระศาสดาของเราทั้งหลาย ไม่ทรงพอพระทัยในทาน ยังถวายทานในคราวเป็นพระโพธิสัตว์ มิได้คำนึงถึงชีวิตของพระองค์ ถวายทานอย่างอุกกฤษฐ์ ในคราวเป็นพระพุทธเจ้า ยังได้ประทานอริยมรรคด้วย พระศาสดาเสด็จมาตรัสว่า มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน ในคราวเป็นโพธิสัตว์ก็ได้ประทานพระกายครึ่งหนึ่งให้เป็นทานเหมือนกัน จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า
ในอดีตกาลในเมืองพาราณสี พระเจ้าสิริจุฑามณีครองราชย์ พระองค์มีพระอัครมเหสีพระนามว่าอทุมาวดี มีพระราชโอรสพระนามว่าจันทกุมาร พระราชาครองราชย์โดยธรรม ในประตูนครทั้ง ๔ ในกลางพระนครและในประตูพระราชนิเวศน์ รวมเป็น ๖ แห่ง ได้ให้สร้างศาลาโรงทานขึ้น ทุกวันพระองค์จะเสด็จถวายมหาทานวันละ ๖๐๐,๐๐๐ ได้ยังฝนคือมหาทานให้เป็นไป พระราชาได้ประทานโอวาทแต่เช้าแก่เหล่าอำมาตย์ราชบริพารว่า ให้ถวายทานตามสบาย รักษาศีล จนถึงอุโบสถศีล วันหนึ่งใกล้รุ่งพระองค์ตื่นบรรทมดำริว่าอยากถวายทานภายใน หากมียาจกเข็ญใจมาขอทานภายในเป็นพระเนตร เศียร หทัย มังสา โลหิต พระกายครึ่งซีกหรือทั้งหมด เพื่อพระสัพพัญญุตญาณแล้วจะประทานให้เขาไป เมื่อดำริอย่างนี้ มหาปฐพีที่หนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ได้กระหึ่ม ประดุจพระยาช้างสารคำราม เขาสิเนรุโอนอ่อนหันหน้าไปทางเมืองพาราณสี ดุจหน่อหวายถูกไฟลน มหาสาครกระฉอกกระฉ่อน ฝนลูกเห็บตก สายฟ้ามิใช่ฤดูกาลคะนองร้องลั่น ท้าวสักกเทวราชทรงปรบพระหัตถ์เทวดาให้สาธรุการ มหาพรหมให้สาธุการ แต่ปฐพีจนถึงพรหมโลกได้อึงคนึงเป็นอันเดียวกัน
คราวนั้นภพพิมานของท้าวสักกะร้อนขึ้น ทรงทราบเหตุ ทรงพอพระทัยว่า พระเจ้าสิริจุฑามณีนี้เป็นหน่อพุทธางกูร อยากจะถวายทานภายใน อนาคตจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเสด็จไปแปลงเพศเป็นพราหมณ์มีกายครึ่งซีกเข้าไปนครไปหา จากนั้นพราหมณ์ได้ทูลว่า มาถึงเมืองนี้เพื่อขอพระวรกายครึ่งซีกเพื่อมาประกอบเข้ากับของตน พระมหาสัตว์ได้สดับดังนั้น ก็ทรงโสมนัส สำคัญเหมือนว่าเป็นเหมือนความเป็นพุทธภาวะ ประกาศไปทั้งนครที่จะสละพระวรกาย ดังนี้แล้วจึงประชุมอำมาตย์ชาวนคร ตรัสเรียกพระเทวีพระกุมารมาแล้วประทานโอวาท ให้ถวายทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพราะว่าวันนี้จะถวายสรีระเป็นทาน อภิเสกพระโอรสแล้วจึงเสด็จไปสำนักพราหมณ์ พราหมณ์ก็เร่งเร้าให้รีบประทานพระองค์จึงประกาศให้เทวดาทั้งหลายทราบ ได้มีเลื่อยตกลงมาจากนภากาศดังอธิษฐาน
ขณะที่ทรงอธิษฐาน ได้มียักษ์สองตนมีเขี้ยวแดง ตาแดง ขนตัวแดง คิ้วหนวดแดงแทรกแผ่นดินขึ้นมา มีเขี้ยวเหมือนหมูป่า รูปร่างน่ากลัว ถือเลื่อยคมกริบปรากฎตัวขึ้นมา พวกมนุษย์เห็นเข้าต่างตกใจกลัวหนีไป ทีนั้นพระราชาทอดพระเนตรแล้วตรัสว่า เราจะประทานกายครึ่งหนึ่งแก่พราหมณ์ จงตัดตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงเท้าเถิด ที่เหลือก็จงกินเสีย ครานั้นยักษ์ทั้งสองรับพระดำรัสเข้าไปใกล้ พระโพธิสัตว์จับเลื่อยลูบเลื่อยแล้วประกาศให้เทวดาทราบ แหงนดูท้องฟ้าประกาศว่าการบริจาคนี้ มิได้ปรารถนามนุษย์สมบัติ เทพสมบัติ พรหมสมบัติ จักรวัตติสมบัติ ปัจเจกพุทธสมบัติ สาวกสมบัติ แต่ปรารถนาให้เป็นปัจจัยการบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ จะได้ช่วยสรรพสัตว์ข้ามพ้นสงสารได้ คราวนั้นมหาชนต่างหมอบลงพร้อมกัน สยายผมร้องไห้คร่ำครวญ ลำดับนั้นยักษ์จึงผ่าพระเศียร ในเวลานั้นพระเทวีปทุมาวดีสดับเรื่องได้เสด็จมาร้องไห้คร่ำครวญ จันทกุมารเสด็จมาจับพระบาทพระบิดาร้องไห้ เลื่อยตกลงมาถึงพระนลาฏ โลหิตไหล พอถึงพระนลาฏ พระโอษฐ์ พระมหาสัตว์ตรัสกับประชาชนว่า อย่าเศร้าใจไปเลย ฝ่ายพระนางปทุมาวดีกับเหล่านางใน หมอบแทบบาทมูลปริเวทนาการ คราวนั้นพระโพธิสัตว์ เมื่อเลื่อยมาถึงพระศอ ก็ประสบกับเวทนาอย่างแรงกล้า ตรัสว่า สิริจุฑามณีราชาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นสัตว์ประสบทุกข์ ต้องพยายามทำสิ่งที่ได้ยากด้วยความกรุณาให้ได้ ทีนั้นยักษ์ ๒ ตนเอาเลื่อยทองผ่ามาจนถึงหัวใจ พระองค์ก็เสวยเวทนายิ่งนักตรัสว่า ท่านยักษ์ตัดต่อไป คราวนั้นพระโลหิตก็ไหลออกจากพระวรกาย เลื่อยถึงท้อง ส่วนล่าง พระนางปทุมาวดี พระโอรส ปุโรหิต อำมาตย์ มหาชน ทุกคนต่างหมอบสิ้นสติไม่สมประดี จากนั้นพระราชาทอดพระเนตรเห็นพระวรกายครึ่งหนึ่งของพระองค์ประทานให้พราหมณ์ พราหมณ์รับไปประกอบกับสรีระของตน ท้าวสักกเทวราชได้เนรมิตรให้พระกายของพระโพธิสัตว์เป็นปกติคล้ายพระปฏิมาทอง ครานั้นท้าวสักกะทรงทราบว่าพระองค์มีอัธยาศัยปราณีตแล้วทรงชมเชยและตรัสว่า ขอให้พระองค์อย่าได้ยินดีทาทานเพียงแค่นี้ให้ทำต่อไป พระโพธิสัตว์ได้ชีวิตแล้ว ท้าวสักกะประทานสาธุการแล้วเสด็จกลับเทวโลก ครานั้นพระโพธิสัตว์ได้ถวายทานเจริญฌาน ในคราวสิ้นพระชนมายุ ได้บังเกิดในพรหมโลก
พระศาสดาครั้นทรงนำนิทานมาแล้ว ตรัสว่า มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ครั้งก่อนก็ได้ถวายทานเหมือนกัน แล้วประชุมชาดกว่า พระนางปทุมาวดีเป็นพระนางยโสธรา จันทกุมารเป็นพระราหุล ท้าวสักกเทวราชเป็นพระอนุรุธ ที่เหลือเป็นพุทธบริษัท ส่วนสิริจุฑามณีราชาเป็นพระโลกนาถ จงทรงจำชาดกไว้อย่างนี้
|
16714
|
40167
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16714
|
จันทราชชาดก
|
จันทกุมารโพธิสัตว์เป็นบุตรของหัวหน้าพ่อค้าในเมืองพาราณสี ได้ลาบิดามารดาไปค้าขายกับพวกพ่อค้าที่เมืองสุวรรณภูมิ ในระหว่างทางได้แวะซ้อพวก หนู ค่าง ตะกวด และงู ไว้เป็นจำนวนมากเพื่อจะนำไปปล่อย ถูกพวกพ่อค้าด้วยกันห้าม แต่ก็ไม่เชื่อฟัง พอเรือเดินทางไปถึงภูเขาลูกหนึ่งอยู่ริ่งฝั่งมหาสมุทร จึงคิดว่าภูเขาอาจจะมีสมณะผู้ทรงศีลอยู่จึงให้จอดเรือ นำเอาสัตว์ขึ้นภูเขา เห็นพระเถระรูปหนึ่งกำลังนั่งเจริญภาวนาอยู่ จึงเข้าไปกราบเรียนถามและรับใช้ด้วยการตักน้ำฉันน้ำใช้และหาของเคี้ยวของฉันมาถวาย จากนั้นจึงได้ปล่อยสัตว์ที่นำไปด้วยคิดว่า ชีวิตของสัตว์เหล่านั้นจะปลอดภัยเพราะอยู่ใกล้ผู้มีศีล ต่อมาเมื่อเรือแล่นไปถึงกลางสมุทรก็เกิดพายุขึ้นพัดเรือจนเรือแตก พวกพ่อค้าทั้งหลายจมน้ำตายกลายเป็นอาหารของพวกปลาและเต่าไป ส่วนจันทกุมารได้ปีกขึ้นไปบนเสากระโดงเรือแล้วกระโดดไปจนข้ามพ้นฝูงปลา แล้วว่ายน้ำต่อไป พอดีในวันที่เรือแตกนั้นเป็นวันอุโบสถศีล จันทกุมารจึงทำการสมาทานอุโบสถศีลขณะที่ว่ายน้ำอยู่นั้น
ในวันนั้นนางเทพธิดามณีเมขลา มาตรวจดูมหาสมุทรตามหน้าที่ ได้เห็นพระโพธิสัตว์กำลังว่ายน้ำอยู่จึงได้ช่วยเหลือไว้แล้วนำไปไว้ในอุทยานของชาวสุวรรณภูมิ วันนั้นเป็นวันที่พวกอำมาตย์และเสนาบดีทั้งหลายในเมืองสุวรรณภูมิได้ถวายพระเพลิงพระศพพระเจ้าสุวรรณภูมิตามราชประเพณีเสร็จแล้ว หลังจากที่พระองค์ได้สวรรคตลงตั้งแต่วันที่เรือของจันทกุมารอับปางลง พระราชาองค์นั้นไม่มีพระราชโอรสมีแต่พระราชธิดาพระนามว่าสิมพลี พวกอำมาตย์จึงได้ปรึกษากันถึงเรื่องผู้จะมาสืบทอดพระราชสมบัติ จึงได้ทำการเสี่ยงปุสสรถ (ราชรถที่ใช้เทียมม้าแล้วปล่อยไป ถ้าม้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนไหน ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีบุญสมควร เป็นกษัตริย์ครองพระนครนั้นแทนกษัตริย์องค์ก่อน) เพื่อหาผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นกษัตริย์ ปุสสรถได้ไปจอดในอุทยานที่จันทกุมารพักอยู่ พวกอำมาตย์จึงได้ตรวจลักษณะของพระโพธิสัตว์แล้วจึงเชิญเข้าสู่พระนครแล้วทำพิธีราชาภิเษกและเชิญพระนางสิมพลีราชธิดามาแต่งตั้งให้เป็นอัครมเหสีของพระจันทราช ให้อยู่ครองราชสมบัติในสุวรรณภูมิสืบต่อไป จำเดิมแต่กาลที่มหาสัตว์ได้เสวยราชสมบัติ ก็ได้ทรงบำเพ็ญมหาทานทุกวัน พระเจ้าจันทราชนั้น ให้ราชบุรุษไปรับบิดามารดามาจากเมืองพาราณสี ทรงปฏิบัติบิดามารดาเป็นนิตย์ทุกวันไปมิได้ขาด พระจันทราชทรงระลึกถึงการกุศลที่พระองค์ได้ปล่อยสัตว์แล้วก็เกิดปีติโสมนัสว่า โอ้น่าอัศจรรย์ใจ บุญที่เราทำย่อมให้ผลสำเร็จในทันตาเห็นเทียวหนอ
|
16715
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16715
|
สุภมิตตชาดก
|
เรื่องย่อว่าพระเจ้าสุภมิตรครองราชสมบัติอยู่ในนครจัมปากะ มีพระมเหสีพระนามว่าเกสินี มีพระราชโอรสสองพระองค์ มีพระนามว่าไชยเสน และไชยทัต อยู่มาวันหนึ่งเจ้าอสุภมิตรผู้เป็นพระกนิษฐาของพระเจ้าสุภมิตร ที่ดำรงตำแหน่งอุปราช คิดกบฎจะแย่งบัลลังก์ พระเจ้าสุภมิตรกลัวจะเกิดสงครามสร้างความเดือดร้อนให้พสกนิกรทั้งหลายจึงได้พาพระมเหสีพและพระราชโอรสทั้ง ๒ ไว้ที่ฝั่งข้างนี้ก่อน นำเอาพระนางเกสินีข้ามไปฝั่งตรงข้าม เสร็จแล้วจึงกลับมารับเอาพระโอรสทั้ง ๒ ในระหว่างที่พายเรือกลับมานั่นเองได้มีชาวประมง ๒ คนผ่านมาเห็นพระกุมารทั้ง ๒ จึงได้แบ่งกันเอาพระกุมารไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม และที่ฝั่งที่พระนางเกสินีพักอยู่ก็มีพ่อค้าสำเภอพร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ ผ่านมาพบเข้าจึงได้เชิญพระนางไปอยู่ด้วยในฐานะภรรยาแต่ด้วยความจงรักภักดีต่อพระสวามี ชาวประมงจึงไม่สามารถเข้าใกล้ตัวพระนางได้
ฝ่ายเจ้าสุภมิตรเมื่อได้พลัดพรากจากพระมเหสีและพระราชโอรสทั้ง ๒ แล้วก็เสด็จไปด้วยความเศร้าพระทัยจนไปถึงเมืองตักกสิบาเข้าพักอยู่ในพระราชอุทยาน คราวนั้นพระเจ้าตักกสิลา สวรรคตล่วงไปได้เจ็ดวันพอดี พวกอำมาตย์พากันถวายพระเพลิงพระศพแล้วจึงได้ปรึกษากันเพื่อหาพระราชาองค์ใหม่เพราะพระราชาของตนไม่มีพระราชโอรส จึงได้ตกแต่งปุสสรถแล้วปล่อยออกไป ถ้าปุสสรถไปหยุดอยู่หน้าผู้ใดผู้นั้นจึงจะสามารถเป็นพระราชาได้ ปุสสรถดังก่าวได้ไปหยุดอยู่ที่แผ่นมงคลศิลาที่พระเจ้าสุภมิตรพักอยู่ เมื่อปุโรหิตได้เห็นลักษณะของพระเจ้าสุภมิตรแล้วจึงเชิญให้เป็นพระราชาในเมืองตักกสิลา
ฝ่ายพระกุมารทั้ง ๒ ที่ชาวประมงพาไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมก็เจริญวัยขึ้น ชาวประมงจึงพาราชกุมารทั้ง ๒ ไปเมืองตักกสิลาเพื่อถวายเป็นช้าราชเสวกของพระราชา พระเจ้าตักกสิลาจำพระกุมารทั้ง ๒ ไม่ได้ แต่ก็เกิดความสงสัยอยู่ในพระทัยว่าลูกของชาวประมง ๒ คนนี้หน้าตาไม่เหมือนเขาเลยจึงทรงดำริไปว่า เจ้าสองคนนี้เหมือนลูกของเรา ถ้าลูกของเรายังอยู่ บัดนี้ก็จักโตเท่ากับเจ้าทั้ง ๒ คนนี้
ฝ่ายพระนางเกสินีไปอยู่กับนายสำเภาจนเวลาล่วงไปได้เจ็ดปี เป็นด้วยแรงอธิษฐานของพระนางจึงทำให้นายสำเภอพาพระนางไปเมืองตักกสิลา กษัตริย์ทั้ง ๔ จึงได้มาพบกันอีกที่เมืองตักกสิลานี้
|
16716
|
2651
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16716
|
สิริธรชาดก
|
เริ่มเรื่องด้วยการอาราธนาของอุบาสกอุบาสิกา สองสามีภรรยาที่เคยเป็นจนยากจนมาก่อนแต่มีความศรัทธาได้ทำบุญให้ทานมาตลอดและขยันทำการงานจนทำให้มีฐานะดีขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเรื่องสิริธรเศรษฐีชาวเมืองพาราณสีในอดีตมาเล่าให้ฟังว่า เศรษฐีนั้นเป็นผู้มีศรัทธาตั้งอยู่ในศีล ๕ เป็นนิตย์ ได้ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ออกจากสมาบัติใหม่ๆ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าหลีกไปแล้วพระโพธิสัตว์จึงเข้าไปเรือน ระลึกถึงทานของตนแล้วจึงอธิษฐานว่า หากอานิสงส์ทานของเรามีจริงแล้วไซร้ ขอให้ลาภเกิดปรากฎแก่เราในชาตินี้เทอญ ทันใดนั้นด้ายอานุภาพแห่งทาน เรือนเก่าก็หายไปปราสาททองก็เกิดขึ้นแก่เขาพร้อมกับทรัพย์สินเงินทองเป็นจำนวนมาก พวกมนุษย์ทั้งหลายพากันมาดูปราสาททองของพระโพธิสัตว์ ๆ เมื่อจะสรรเสริญทานของตนจึงได้กล่าวเป็นคาถาว่า ทานที่ให้แล้วด้วยศรัทธา ย่อมนำมาซึ่งผลเห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ผลทานนั้นอาจนำมาซึ่งคุณ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยสะ กิตติ (เกียรติ) ในภพนี้และภพหน้า เมื่อนำเรื่องในอดีตมาแสดงแล้ว พระบรมศาสดาจึงตรัสพระคาถาว่า
ทานเป็นสิ่งประเสริฐสุดในโลกนี้ ทานอันบุคคลให้แล้วย่อมนำมาซึ่งลาภเป็นที่พึ่ง ทานที่บุคคลให้แล้วย่อมมีอานิสงส์ คือ ให้เกียรติคุณเจริญยิ่งขึ้นไป
|
16717
|
40170
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16717
|
ทุลกบัณฑิตชาดก
|
เรื่องทุลกบัณฑิตชาดกมีเนื้อความย่อว่า เมื่อสมัยที่พระพุทธเจ้าพระนามว่ามหากัสสปะ ปรินิพพานได้ไม่นานมีภิกษุ ๓๓ รูป มีอิริยาบถน่าเลื่อมใสเดินทางไปสู่จินนคร ปุโรหิตของพระเจ้าจินราชเห็นจึงพวกภิกษุเหล่านั้นจึงคิดว่า ถ้าภิกษุเหล่านี้อยู่ในพระนคร ลาภสักการะของตนจะเสื่อมลง จึงเข้าไปกราบทูลพระราชาว่า ภิกษุเหล่านั้นเป็นโจรปลอมตัวมา ทำให้พระเจ้าจินราชเข้าพระทัยผิด และรับสั่งให้จับภิกษุทั้ง ๓๓ รูปมาประหารชีวิต พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเศรษฐี ชื่อว่าทุลกบัณฑิต เมื่อทุลกบัณฑิตทราบเรื่องนั้นแล้วจึงขอเข้าเฝ้าพระราชาเพื่อขอไถ่ตัวภิกษุ พระราชาทรงอนุญาตแต่ต้องเอาทองคำมาจำนวนเท่าตัวคนที่จะไถ่ ทุลกบัณฑิตรับราชโองการแล้วไปนำเอาทองมาไถ่ภิกษุได้ จำนวน ๓๒ รูป เหลือสามเณรอยู่รูปหนึ่งทองคำไม่พอ ทุลกบัณฑิตจึงยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อไถ่ชีวิตของสามเณร ขณะที่นายเพชฌฆาตกำลังจะประหารชีวิตของพระโพธิสัตว์นั้น บิดาก็กลับจากไปค้าขายมาถึงพอดีจึงได้นำทองคำไปไถ่ตัวลูกชายไว้
เมื่อพระภิกษุทั้งหมดที่ทุลกบัณฑิตไถ่ชีวิตก็ได้เจริญสมณธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงพากันเหาะขึ้นไปเดินจงกรมอยู่ในอากาศ พระราชาทอดพระเนตรก็ตกพระทัยกลัวว่าพวกโจรจะมาฆ่าตนเอง จึงรับสั่งให้ไปตามทุลกบัณฑิตให้นิมนต์ท่านลงมา เมื่อทุลกบัณฑิตกราบทูลให้ทราบว่าภิกษุเหล่านั้นไม่ได้เป็นโจร พระราชาจึงเข้าพระทัย เมื่อได้ฟังพระธรราเทศนาของพระนาคทีปเถระผู้เป็นพระมุขของสงฆ์แล้วจึงเลื่อมใสและให้ความเคารพนับถือ
|
16718
|
40171
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16718
|
อาทิตชาดก
|
อนุสนธิในเรื่องนี้ว่า วันหนึ่งพระภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรมสภา พากันสรรเสริญบามีของพระศาสดาว่า พระองค์ไม่อิ่มไม่เบื่อในทาน พระองค์จึงเสด็จมาแล้วตรัสถามถึงเรื่องที่ภิกษุสนทนากัน เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทราบแล้วจึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสว่า
ในอดีตพระเจ้าอาทิตราชผู้ครองนครเชตุดรดำริจะถวายวัตถุทานตลอดจนอวัยวะภายในของพระองค์เองให้แก่ยาจกที่มาขอ พระอินทร์ได้ทราบความดำริของพระโพธิสัตว์จึงได้แปลงตัวเป็นพราหมณ์แก่มาขออาหารก่อน เมื่อได้อาหารแล้วก็เททิ้งเสียต่อหน้าพระที่นั่งพูดว่า พระเจ้าอาทิตราชทำไมจึงให้โภชนาหารหยาบๆ ฉะนี้เล่า อินทรพราหมณ์ก็ทำเสแสร้งโกรธทูลตัดพ้อด้วยถ้อยคำต่างๆ แล้วก็ลุกไปเสีย พระเจ้าอาทิตราชทอดพระเนตรเห็นโภชนะซึ่งอินทรพราหมณ์เททิ้ง และทรงฟังคำตัดพ้อนั้นก็ไม่โกรธ อินทรพราหมณ์เดินไปสักครู่หนึ่งก็แปลงตัวเป็นพราหมณ์หนุ่มกลับมาขอเอาพระนางสังขเทวี พระเจ้าอาทิตราชจึงพระราชทานให้ด้วยตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ๆ ขอสิ่งใดกรับเรา ๆ จะยอมยกให้มิได้ย่อท้อ สิ่งอื่นๆ ที่มีอยู่พราหมณ์ต้องการเราจะให้มิได้ปิดบังไว้เลย แล้วจึงตรัสกับพระราชเทวีว่า พระนางผู้เจริญ พี่ต้องการพระโพธิญาณนักทำไฉนดีจึงจะได้เล่า พระนางสังขเทวีได้สดับพระราชโองการดังนั้นแล้วก็ไม่ได้สะดุ้งหวาดหวั่นอะไร ได้ตรัสว่า ขออย่าได้เกรงใจ พระองค์ประสงค์จะให้ปันแก่ผู้ใดก็จงให้เถิด และขอให้พระสวามีอดโทษให้ด้วย พราหมณ์หนุ่มทำทีเป็นโกรธฉุดกระชากพระนางต่อหน้าพระโพธิสัตว์ แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่โกรธ ในที่สุดพระอินทร์จึงแสดงตนแล้วคืนพระราชเทวีให้พระโพธิสัตว์เหมือนเดิม แล้วจึงถวายโอวาทแก่พระเจ้าอาทิตราชว่า
ขอพระองค์จงประพฤติธรรมปฏิบัติในพระราชชนกและพระชนนี จงประพฤติธรรมสังคหวิธีในหมู่พาหนะและพลนิกาย จงประทานอภัยในหมู่สัตว์มีเนื้อและนกเป็นต้น จงบำเพ็ญเทวตาพลี และเกื้อกูลสมณพราหมณ์เนืองนิตย์เถิด
|
16719
|
40172
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16719
|
ทุกัมมานิกชาดก
|
เรื่องทุกัมมานิกชาดก พระโพธิสัตว์เกิดเป็นบุตรกุฎุมพีอยู่ในชนบทในนครพาราณสี มีชื่อว่าทุกัมมานิกะ ก่อนตายบิดาได้สอนไว้ว่า ห้ามนำเอาหญิงที่มีผัว ๓ คนแล้วมาเป็นภรรยา ห้ามคบเป็นเพื่อนกับบุรุษที่บวชสึก ๓ หนแล้ว และห้ามอยู่รับใช้พระราชาที่ตัดสินคดีที่ยังไม่ได้ทำการวินิจฉัยให้ดีก่อน ต่อมาพระโพธิสัตว์เมื่อจะทดลองคำสอนของบิดา จึงได้คบกับหญิงคนหนึ่งที่เคยมีผัวมา ๓ คนแล้วเป็นภรรยา และได้คบกับบุรุษที่บวชแล้วสึก ๓ หนเป็นเพื่อน เมื่อจะลองใจภรรยา พระโพธิสัตว์จึงไปนำเอาหงส์ทองของพระราชามาขังไว้ในหลุมใต้ดินเอากระเบื้องปิดไว้ทำเป็นช่องพอหายใจได้ แล้วเอาหงส์ตัวอื่นมาทำเป็นอาหารไว้รอภรรยา พอภรรยากลับมา จึงแกล้งพูดว่า ตนได้นำเอาหงส์ทองของพระราชามาฆ่าทำอาหาร ต่อมาพระราชาจึงประกาศให้ประชาชนทราบว่าหงส์ของพระองค์หายไป ถ้าใครจับขโมยได้จะได้รับพระราชทานกหาปณะ ๑,๐๐๐ ภรรยาของทุกัมมานิกะอยากได้ทรัพย์ พร้อมกับตัวเองก็มีใจให้กับชายอื่นอยู่ จึงไปบอกพวกอำมาตย์ว่า ตนเองรู้จักคนขโมยหงส์ของพระราชาแล้วรับเอากหาปณะไป พวกอำมาตย์ไปจับตัวพระโพธิสัตว์มาแสดงแก่พระราชา ในขณะที่ถูกทหารจองจำมานั้น เพื่อของพระโพธิสัตว์ที่เคยบวชแล้วสึก ๓ หนก็มาเป็นเข้าก็ไม่มีความปรานี กลับอ้อนวอนขอเสื้อผ้าของทุกัมมานิกะ พระโพธิสัตว์ก็ให้ เมื่อพวกอำมาตย์นำไปถึงท้องพระโรง พระราชาทอดพระเนตรเห็นจับรับสั่งให้เอาไปฆ่าเสียนอกพระนคร
ในตอนนั้นเป็นเวลาเย็น ทหารผู้รักษาประตูจึงไม่เปิดประตูให้และติเตียนพระราชาว่า เป็นคนสะเพร่า ยังไม่ได้วินิจฉัยไต่ส่วนความจริงก็สั่งให้นำคนไปฆ่าเสียแล้ว จากนั้นจึงเล่านิทานให้พวกอำมาตยืฟัง นายประตูทั้ง ๔ ทิศก็พูดทำนองเดียวกันจนสว่าง พระราชาทอดพระเนตรเห็นว่าพวกอำมาตย์ยังไม่ได้นำคนร้ายไปฆ่าจึงตรัสเรียกมาสอบถามถึงสาเหตุแล้วได้สอบถามทุกัมมานิกะว่า ทำไมจึงฆ่าหงส์ของพระองค์ ทุกัมมานิกะทูลตอบว่าไม่ได้ฆ่า แล้วบอกความจริงทุกอย่างให้ทรงทราบ เมื่อพระราชาทรงทราบความจริงแล้วทรงขอให้ทุกัมมานิกะอยู่รับใช้ในพระราชวัง แต่ทุกัมมานิกะไม่อยู่โดยให้เหตุผลว่า กลัวจะถูกพระราชาสั่งฆ่าอีกเพราะที่ผ่านมาพระราชายังไม่ได้ไต่สวนสอบถามความผิดถูกก็สั่งให้เอาไปประหารเสียแล้ว
|
16720
|
40175
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16720
|
มหาสุรเสนชาดก
|
เรื่องมหาสุรเสนชาดก เริ่มแรกปรารภการถวายทานของพระเถระรูปหนึ่งที่บวชในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมน์ เมื่อให้ทานแก่หมู่ภิกษุแล้วท่านจึงเข้าไปบำเพ็ญธุดงค์อยู่ในป่าเจริญวิปัสสนา ไม่นานท่านก็มรณภาพไปอุบัติในพรหมโลก พระพุทธเจ้าพระนามว่โกนาคมน์จึงทรงดำริว่า เพราะพรรณนาคุณการถวายอัฏฐบริขาร เธอจึงได้ความโสมนัสฉะนี้แล้วตรัสว่า ธรรมดาทานควรให้เพื่อหวังประโยชน์แก่ยาจกที่มาขอ แม้โบราณบัณฑิตทั้งหลาย ก็ได้ให้ศีรษะของตนเองเป็นทาน ตรัสแล้วก็ทรงดุษณีภาพอยู่ พวกภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา จึงได้ทรงนำอดีตนิทานมาว่า
ในอดีตกาลพระเจ้ามหาสุรเสนครองราชย์ในพระนครพาราณสี มีพระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางวิชุลตาเทวี ได้มีพระบรมราโชวาทกับมหาชนทั้งเวลาเช้าเวลาเย็นว่า พวกท่านอย่าได้ประมาท จงพากันทำบุญรักษาศีลบำเพ็ญทานแม้พระองค์เองรับสั่งให้ปลูกโรงทานเสร็จแล้ว ก็ได้บำเพ็ญทานเป็นจำนวนพระราชทรัพย์หลายแสนทุกวัน ถึงวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ทรงรักษาอุโบสถ ต่อมาพระองค์ทรงคำนึงถึงการบำเพ็ญทานของพระองค์ว่า ได้ทรงบำเพ็ญแต่พาหิรกทานอย่างเดียว ยังไม่พอพระทัยในทานนั้น จึงอยากจะบำเพ็ญอัชฌัตติกทานบ้าง เมื่อทรงคำนึงอยู่นั้น พิภพของท้าวสักกะก็แสดงอาการร้อนขึ้น ท้าวสักกะจึงทรงตรวจดูเหตุการณ์ ครั้นทราบแล้วจึงลงจากเทวโลกแปลงเป็นมาณพคอขาดมาปรากฎตัวขึ้นแล้วทูลขอศีรษะกับพระเจ้าสุรเสน ๆ ตัดศีรษะของตนเป็นทานแก่คนคอขาดซึ่งเป็นพระอินทร์ที่แปลงเพศลงมา ภายหลังพระอินทร์ก็ปรากฎตัวและประทานพรให้พระโพธิสัตว์มีศีรษะกลับคืนเหมือนเดิมแล้วก็อันตรธานไป
พระผู้มีพระภาคจึงมีพระพุทธดำรัสว่า เพราะถวายบาตร นรชนย่อมเป็นผู้มีปัญญา มีกำลังใหญ่ที่จะก้าวไปสู่คุณเบื้องหน้าหาเวรมิได้ ถึงพร้อมด้วยอิทธิฤทธิ์ มีเดชานุภาพมากเป็นที่รักของหมู่ชน ถวายผ้าสังฆาฏิ ย่อมเป็นผู้ย่ำยีมารและเสนามารได้ ถวายผ้าอุตตราสงค์ พึงชนะข้าศึกในสงคราม เป็นหัวหน้าของปวงชน ภายหลังจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ถวายผ้าอันตรวาสกพึงเป็นผู้กล่าวซึ่งวินัยฉลาด ชนะหมู่มารได้เป็นนิตย์ เป็นต้น
|
16721
|
40176
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16721
|
สุวรรณกุมารชาดก
|
เรื่องสุวรรณกุมารชาดก พระโพธิสัตว์เกิดเป็นโอรสของพระเจ้ามหาภัตราชในเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีผิวพรรณดุจทอง พระชนกและพระชนนีพร้อมด้วยพระประยูรญาติจึงได้ขนานพระนามว่าสุวรรณกุมาร พระกุมารเมื่ออายุได้ ๑๖ พรรษาก็สำเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขา ต่อมาพระโพธิสัตว์ได้ทูลลาพระราชบิดาและพระราชมารดาไปเที่ยวชมมหาสมุทรพร้อมกับบริวาร ด้วยอานุภาพแห่งบุญบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ได้อธิษฐาน น้ำในมหาสมุทรก็แข็งเหมือนแผ่นดิน พระโพธิสัตว์และบริวารสามารถเดินเที่ยวไปในมหาสมุทรได้ตามชอบใจ และแม่น้ำก็แหวกออกทั้งสองฟากเพื่อเป็นทางให้พระสุวรรณกุมารเดินเที่ยวชมใต้ท้องมหาสมุทร พวกนาคและเทพยดาทั้งหลายที่รักษามหาสมุทรก็พากันมาบูชาและป้องกันอันตรายต่างๆ ให้พระกุมารและบริวาร เมื่อเที่ยวชมมหาสมุทรจนพอพระทัยแล้ว จึงพาบริวารเสด็จกลับขึ้นฝั่ง
พระผู้มีพระภาคได้แสดงบุรพชาติของพระโพธิสัตว์ว่า พระสุวรรณกุมารได้เกิดเป็นบุตรของเศรษฐีในเมืองพาราณสี มีจิตยินดีในการจำแนกแจกทานและได้ถวายบิณฑบาตแก่พระภิกษุรูปหนึ่งที่เป็นสาวกของพระเจ้าวิปัสสีตลอดอายุ เมื่อสิ้นอายุแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์เสวยสมบัติทิพย์ เมื่อสิ้นอายุบนสวรรค์ก็ลงมาบังเกิดในมนุษยโลกท่องเที่ยวอยู่อย่างนี้จนได้มาบังเกิดเป็นพระสุวรรณกุมารในชาตินี้ เกียรติคุณของพระกุมารขจรกระจายไปจนรู้ไปถึงพระเจ้าสิงหล พระเจ้าสิงหลมีความอิจฉาและถูกความโลภครอบงำอยากได้สมบัติของพระกุมารจึงได้ยกทัพมาทำสงครามแต่ก็สู้พระโพธิสัตว์ไม่ได้ ในที่สุดก็ตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์เป็นมิตรที่ดีต่อกันตลอดไป
|
16722
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16722
|
กนกวรรณราชชาดก
|
เรื่องกนกราชชาดก พระเจ้ากนกราชได้ปกครองราชสมบัติอยู่ในนครกนกวดี ในชมพูทวีป อยู่มาสมัยหนึ่งเกิดฝนแล้งติดต่อกัน ประชาชนถูกทุพภิกขภัยเบียดเบียนอดอยากอาหารล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำให้พื้นชมพูทวีปฟุ้งตระหลบไปด้วยกลิ่นซากศพของมนุาย์ประดุจดังว่าสุสานป่าช้าอั้นน่าสะพึงกลัว พระเจ้ากนกราชก็พระราชทานข้าวหลวงให้แก่พวกอำมาตย์และมหาชนทั้งหลายทุกวัน ประมาณได้ ๔ เดือน ข้าวเปลือกของหลวงก็หมด แม้ข้าวสารสำหรับเป็นพระกระยาหารของพระราชาก็หมดเหลืออยู่เพียงอาหารมื้อสุดท้าย พระองค์ได้ถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ด้วยอานุภาพบุญที่พระราชาได้ถวายบิณฑบาตทำให้เกิดฝนตกลงมาชะล้างซากศพทั้งหลายบนภาคพื้นจนสะอาดแล้วฝนดอกไม้ก็ตกลงมาประพรมภาคพื้นให้มีกลิ่นหอม จากนั้นฝนโภชนาหารต่างๆ ก็ตกลงมา ถัดจากนั้นฝนเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆ ก็ตกลง และฝนเงินฝนทองก็ตกลงมาตามลำดับทำให้นครกนกวดีอุดมสมบูรณ์ขึ้นเหมือนเดิม ชาวแว่นแคว้นก็มีความเป็นอยู่อย่างมีความสงบสุขตลอดมา
ในที่สุดพระศาสดาจึงประกาศผลทานเป็นคาถาว่า การให้การบริจาค มีศรัทธาเป็นบุรพภาคเบื้องต้น ผู้ที่บำเพ็ญทานการกุศลนั้น เมื่อมีศรัทธาความเลื่อมใสในกาลทั้ง ๓ คือ กาลก่อนเมื่อจะบริจาค ขณะเมื่อจะบริจาคอยู่ ครั้นบริจาคให้แล้ว ผู้บำเพ็ญทานนั้นย่อมได้สุขสมบัติ ๓ ประการ คือสุขสมบัติในมนุษย์ สุขสมบัติในสวรรค์ สุขสมบัติอย่างยิ่งคือพระนิพพาน
|
16723
|
40178
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16723
|
วิริยบัณฑิตชาดก
|
เรื่องวิริยบัณฑิตชาดก พูดถึงพระราชาสองพระองค์เป็นสหายกันคือพระเจ้าปัญจาละในนครปัญจาละ และพระเจ้ามหารัฏฐราช ในนครมหารัฏฐ์ ครั้งแรกพระเจ้าปัญจาละได้ส่งผ้ากัมพลสีแดงผืนหนึ่งไปถวายเป็นเครื่องบรรณาการแก่พระเจ้ามหารัฏฐราช พระเจ้ามหารัฏฐราชจึงคิดหาสิ่งที่จะส่งไปถวายตอบแทนพระสหาย จึงดำริว่าจะส่งรัตนะอย่างใดอย่างหนึ่งไปถวาย แล้วดำริว่ารัตนอันไหนจะมีค่ามากกว่ากัน ได้ทราบว่ารัตนอันใดก็ไม่มีค่าเท่ากับพุทธรัตนะ จึงรับสั่งให้เขียนพระพุทธรูปลงบนแผ่นทองคำส่งไปถวายแก่พระสหาย ปกติพระเจ้าปัญจาละ เป็นมิจฉาทิฏฐิไม่นับถือพระรัตนตรัย พอได้เห็นปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูปก็เกิดความเลื่อมใส ได้รับสั่งให้สร้างพระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์แดงขึ้นอีกหนึ่งองค์ เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงให้ป่าวประกาศให้ชาวพระนครพากันเอาทองมาปิดพระพุทธรูป สมัยนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นคนยากจนชื่อว่าวิริยบัณฑิต มีภรรยาชื่อว่าสุชาดา และบุตรชื่อว่เรวัตตกุมาร เมื่อวิริยบัณฑิตได้ฟังประกาศ ดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใสอยากจะปิดทองพระ จึงได้ไปปรึกษากับภรรยา ด้วยความจน วิริยบัณฑิตจึงลาภรรยาและบุตรไปเพื่อจะขายตัวเองให้เป็นทานแก่คนอื่นเพื่อนำเงินมาซื้อทองคำเปลวปิดพระพุทธปฏิมา ภรรยาพอได้ฟังดังนั้นก็สลดใจจึงขอขายตัวเองกับบุตรแทน เมื่อวิริยบัณฑิตได้่ทองคำแล้วจึงเข้าไปขอปิดทอง แต่ถูกพวกอำมาตย์ห้ามไว้แล้วบอกให้วิริยบัณฑิตไปขออนุญาตจากพระราชา พระโพธิสัตว์จึงเข้าไปเฝ้าพระราชาๆ รับสั่งกับวิริยบัณฑิตว่า ถ้าพระพุทธปฏิมาพูดกับเจ้าๆ ก็จงปิดทองเถิด ในขณะที่วิริยบัณฑิตตั้งจิตอธิษฐานอยู่ต่อพระพักตร์ของพระปฏิมานั้น พวกเทพยดาทั้งหลายที่รักษาพื้นดินไม่สามารถจะทนอยู่ได้ ก็เข้าสิงอยู่ในพระพุทธปฏิมา บันดาลให้พระพุทธปฏิมาโยกคลอนหวั่นไหวประดุจว่าทรงพระชนม์อยู่ เปล่งพระฉัพพรรณรังสีอันโอภาสแล้วตรัสว่า
ดูก่อนวิริยบัณฑิต ท่านจงทำกิจที่ควรแก่ความสุขของท่านเถิด เสียงที่พระพุทธปฏิมาตรัสได้แผ่ไปทั่งทั้งเมืองปัญจาลนคร พระโพธิสัตว์ก็ได้ปิดทองสมความปรารถนา เมื่อแผ่นทองไม่พอจึงได้ประกาศว่าถ้าใครสามารถทำเนื้องของเขาให้เป็นทองได้เขาจะมอบให้แก่ผู้นั้น ด้วยแรงอธิษฐานของพระโพธิสัตว์ ภพของท้าวสักกะก็ร้อน ท้าวสักกะจึงเสด็จแปลงเพศเป็นนายช่างทองเดินมาใกล้วิริยบัณฑิตๆ จึงได้ยอมให้นายช่างทองตัดเนื้อของตนทำเป็นทองคำปิดพระพุทธรูป และได้ตั้งความปรารถนา เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
|
16724
|
40179
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16724
|
ธรรมโสณฑกชาดก
|
เรื่องพระเจ้าธรรมโสณฑกราช เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าธรรมโสณฑกราชดำริอยากฟังธรรมว่า ถ้าประเทศในมณฑลแว่นแคว้นของเราปราศจากธรรมแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร จึงให้ตีกลองประกาศผาผู้รู้ธรรรมและสามารถแสดงธรรมได้ โดยจะพระราชทานทรัพย์จำนวน ๑,๐๐๐ ตำลึงเป็นเครื่องบรรณาการ เมื่อไม่ได้ผู้แสดงธรรมจึงเพิ่มทรัพย์ขึ้นตามลำดับคือ ๒,๐๐๐ ตำลึง ๓,๐๐๐ ตำลึง ๔,๐๐๐ ตำลึง จนถึงพันโกฏิตำลึง และเศวรฉัตรและตัวของพระองค์เอง ก็ยังไม่มีใครจะสามารถแสดงธรรมได้ พระองค์จึงสละราชสมบัติให้แก่อุปราชแล้วเข้าไปสู่ป่าเพื่อแสวงหาผู้แสดงธรรม ขณะที่พระเจ้าธรรมโสณฑกราชเสด็จเข้าไปในป่านั้นอาสนะของท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการร้อน เมื่อท้าวสักกะตรวจดูรู้สาเหตุแล้วจึงดำริว่าจะทำให้พระเจ้าธรรมโสณฑกราชมีความเบื่อหน่ายในสรีรร่างกายว่ามีแต่ชาติชราพยาธิมรณะเบียดเบียน ให้เห็นเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงมีความแปรปรวนไปอยู่เป็นนิตย์แล้วจึงจะแสดงธรรมให้ฟัง จึงได้แปลงเพศเป็นยักษ์มายืนอยู่ตรงหน้าของพระเจ้าธรรมโสณฑกราช
พระเจ้าธรรมโสณฑกราช เมื่อเห็นยักษ์ไม่สะดุ้งกลัวเดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่าท่านสามารถแสดงธรรมให้ข้าพเจ้าฟังได้ไหม ยักษ์แปลงจึงตอบว่า ได้แต่ต้องให้กินเนื้อของท่านก่อนเพราะมีความหิวมา พระเจ้าธรรมโสณฑกราชจึงตอบว่า ถ้าท่านกินเนื้อของเราแล้วใครจะฟังธรรมของท่าน การฟังธรรมเป็นลากของเรา การได้กินเนื้อของเราเป็นลาภของท่าน ท่านจงทำให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเถิด ยักษ์แปลงจึงได้เนรมิตภูเขาขึ้นให้พระเจ้าธรรมโสณฑกราชขึ้นไป แล้วกระโดดลงมาให้ตรงปากของเขาๆ จะแสดงธรรมให้ฟังในขณะที่พระเจ้าธรรมโสณฑกราชอยู่ในอากาศนั่นเอง เมื่อตกลงกันแล้วพระเจ้าธรรมโสณฑกราชจึงขึ้นไปบนภูเชากระโดดลงมา ยักษ์ไม่สามารถจะทรงอยู่ในเพศยักษ์ได้ จึงแสดงตนเป็นท้าวสักกะเหาะขึ้นไปรับเอาพระเจ้าธรรมโสณฑกราชแล้วพาเหาะขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจึงแสดงธรรมให้ฟังโดยตรัสเป็นคาถาว่า
สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นเป็นรูปกายแล้วก็ดับไปความระงับสังขารเสียได้นั้นเป็นความสุข บุคคลพิจารณาเห็นว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยงด้วยปัญญาในกานใด ผู้พิจารณาเห็นนั้น ก็ย่อมเหนื่อยหน่ายในทุกข์เมื่อนั้น การที่มีความหน่ายในทุกข์นี้เป็นหนทางแห่งความบริสุทธิ์
เมื่อแสดงธรรมให้ฟังแล้วจึงแสดงทิพย์สมบัติในเทวโลกให้พระเจ้าธรรมโสณฑกราชทอดพระเนตร แล้วจึงประทานพรให้พระองค์ได้เสวยราชย์รักษาแว่นแคว้นตลอดกาล แล้วนำมาส่งที่เมืองมนุษย์
|
16725
|
40180
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16725
|
สุทัสนชาดก
|
เรื่องสุทัสสนชาดก เริ่มต้นเรื่องตั้งแต่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นบุตรของเศรษฐีในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะยังทรงพระชนม์อยู่ พระโพธิสัตว์ได้เห็นพระเถระรูปหนึ่งเข้าไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าเกิดความเลื่อมใสจึงได้สร้างบรรณศาลา ที่เดินจงกรม ขุดบ่อน้ำ ขนทรายมาถมบริเวณและหาธูปเทียนดอกไม้มาถวาย ตั้งแต่นั้นมาก็ได้จัดเครื่องบริขารต่างๆ เช่น ไตรจีวร บิณฑบาต เป็นต้น ไปถวายอยู่เป็นประจำ ต่อมาก็ไปรักษาศีลอุโบสถในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ อยู่เป็นนิตย์ ครั้งถึงคราวสิ้นอายุจุติจากมนุษย์โลกแล้วจึงไปเกิดในเมืองสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติ ครั้นจุติจากสวรรค์แล้วได้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ทรงพระนามว่าพระเจ้าสุทัสสนมหาราช เสวยราชสมบัติอยู่ในกุสาวดีราชธานี พระเจ้าสุทัสสนมหาราช บริบูรณ์ไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ เหมือนกับพระเจ้าจักรพรรดิ์องค์อื่นๆ คือ จักกรัตน (จักรแก้ว) หัตถีรัตน (ช้างแก้ว) อัสสรัตน (ม้าแก้ว) อิตถีรัตน (นางแก้ว) มณิรัตน (ดวงแก้วมณี) คหบดีรัตน (ขุนคลังแก้ว) ปรินายกรัตน (ขุนพลแก้ว)
ด้วยผลพระกุศลที่พระเจ้าสุทัสนมหาราชได้สร้างวิหารถวายตั้งแต่ชาติปางก่อน ทำให้พระเจ้าสุทัสสนมหาราช มีอายุยืนนานและได้เป็นอุปราช เป็นกษัตริย์ และเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ตามลำดับหลายภพหลายชาติ
|
16726
|
6791
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16726
|
วัฏฏังคุลีราชชาดก
|
เรื่องวัฏฏังคุลีราชชาดก กล่าวถึงการสร้างพระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์แดงของพระเจ้าปัสเสนทิโกศลว่า สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยหมู่ภิกษุเสด็จจาริกไปเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ที่มาเข้าข่ายคือพระญาณของพระองค์ พระเจ้าปัสเสนทิโกศลเสด็จไปสู่พระเชตวัน ไม่เห็นพระศาสดาและภิกษุสงฆ์จึงเกิดความสลดพระทัยว่า ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคไม่ประทับอยู่เราจะได้อะไรเป็นตัวแทนของพระองค์เอาไว้กราบไหว้ เมื่อกลับมาจึงดำริว่าจะสร้างพระพุทธปฏิมา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกลับมาแล้วจึงเข้าไปกราบทูลขออนุญาต พระผู้มีพระภาคก็ทรงอนุญาต เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็มาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปชมพระพุทธปฏิมา แล้วทูลถามว่าผู้ได้สร้างพระพุทธปฏิมาจะได้ผลอานิสงส์อย่างไร พระศาสดาจึงตรัสบอกอานิสงส์โดยประการต่างๆ ว่า
ผู้ที่ได้สร้างพระพุทธปฏิมา จะเป็นบุรุษก็ตามสตรีก็ตาม สร้างด้วยดินเหนียวหรือศิลาก็ตาม สร้างด้วยโลหะและทองแดงก็ตาม สร้างด้วยไม้และสังกะสีดีบุกก็ตาม สร้างด้วยรัตนะและเงินทองก็ตาม ผู้นั้นจักได้อานิสงส์พ้นที่จะนับจะประมาณ เมื่อพระพุทธปฏิมาประดิษฐานอยู่ในโลกตราบใด โลกก็ชื่อว่าไม่ว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้าตราบนั้น พระพุทธปฏิมานี้ได้ชื่อว่ายังพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นถาวร ผู้ที่ได้สร้างก็จะมีแต่ความสุขเป็นเบื้องหน้า แม้รารถนาผลอันใดก็จะสำเร็จสมปรารถนา แม้แต่พระองค์เองครั้งเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ทำพระหัตถ์ของพระพุทธปฏิมาที่หักให้บริบูรณ์ด้วยดินเหนียว อานิสงส์อันนั้นทำให้ไปเกิดในเทวโลกเมื่อจุติจากเทวโลกแล้วมาเกิดในเมืองมนุษย์มีพระองคุลีเป็นอาวุธชี้ไปทางข้าศึกศัตรูๆ ก็ล้มเซซสนไปไม่สามารถจะสู้รบได้ เมื่อตรัสดังนี้แล้วจึงทรงนำเอาอดีตนิทานมาแสด
นิ้วพระหัตถือันวิเศษสามารถเอาชนะข้าศึกได้ด้วยการใช้นิ้วพระหัตถ์ชี้ใส่ข้าศึก
|
16727
|
40182
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16727
|
โปราณกบิลราชชาดก
|
เรื่องโบราณกบิลราชชาดก เป็นเรื่องการแสดงอานิสงส์ของการสร้างพระไตรปิฎกว่า ผู้สร้างจะได้ผลอะไรบ้าง เริ่มเรื่มกล่าวถึงพระสารีบุตรเถรี ทูลถามพระผู้มีพระภาค พระองค์พรรณนาคุณของพระไตรปิฎกว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วพระไตรปิฎกจะเป็นศาสดาของพุทธศาสนิกชนแทนพระองค์ คำสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์จะไม่เลอะเลือนหายไปเพราะได้จารึกไว้เหมือนคนฉลาดฝีงขุมทรัพย์ไว้แล้วจารึกอักษรบนเสาศิลาเพื่อเป็นเครื่องหมายให้รู้ที่ฝังขุมทรัพย์ ถ้าเสาไม่หายไป ขุมทรัพย์ก็ไม่หายไปเหมือนกัน จากนั้นก็เป็นการบอกอานิสงส์ว่า ผู้ที่ได้สร้างพระไตรปิฎกไว้ จะเขียนเองหรือใช้ให้คนอื่นเขียนก็ตาม จะได้บุญมากเช่นกัน เกิดเป็นพระราชาหลายชาติ เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์หลายชาติ เมื่อจากสวรรค์แล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาในชั้นต่างๆ บนเทวโลกชั้นละหลายชาติ จะไม่พิกลพิการด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคง่อยเปลี้ย หูหนวก เตี้ย ค่อม จะมีสรีรกายดุจสีทองคำ เป็นคนว่าง่าย ถ้าเป็นสตรีก็จะมีผิวพรรณดี รูปร่างงดงามจะได้เกิดเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ์หลายชาติ
เมื่อได้พรรณนาอานิสงส์อย่างนี้แล้วจึงเป็นการนำเอาเรื่องในอดีตมาเล่าซ้ำอีก ในเรื่องนี้บุคคลในเรื่องมีชื่อตรงกับชื่อของพระญาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทุกคน เช่น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปุราณโคดม แต่ก่อนเป็นพระราชกุมารพระนามว่าสิทธัตถะ พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชมารดา พระชายาของพระราชกุมารก็มีชื่อเหมือนกันส่วนพระโพธิสัตว์เป็นอำมาตย์ แต่ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างพระไตรปิฎกแล้วได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้นจุติจากนั้นแล้วมาบังเกิดในราชสกุลของพระเจ้าอินทรราชในกรุงปุราณกบิลพัสดุ์ มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่กว่าคนในพระนคร บริบูรณ์ไปด้วยทรัพย์และบริวารมากมาย
|
16728
|
40183
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16728
|
ธรรมิกบัณฑิตราชชาดก
|
เรื่องธรรมิกบัณฑิตราชชาดก กล่าวถึงการบริจาคทานของพระเจ้าธรรมิกบัณฑิตราช จนท้าวสักกเทวราชต้องเอาวิมานเสด็จลงมาเชิญขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะพาเที่ยวชมเมืองสวรรค์จนเป็นทีพอพระทัยของพระเจ้าธรรมิกบัณฑิตฯ ได้ตรัสถามถึงผลบุญที่เทพยดาทั้งหลายบนสวรรค์ว่า ในบุรพชาติได้สร้างบุญอะไรไว้ ท้าวสักกเทวราชจึงบอกว่ เทพยดาทั้งหลายที่ได้วิมานแก้วนั้น บากพวกได้สร้างพระพุทธรูป เจดีย์ วิหาร ศาลา ขุดบ่อ ปลูกต้นโพธิ์ สร้างสะพาน ถวายข้าวและน้ำแก่พระภิกษุสงฆ์ ก่อเจดีย์ทราย ถวายน้ำมันจุดประทีป เป็นต้น แล้วจึงเชิญพระเจ้าธรรมิกบัณฑิตราชอยู่ครองทิพย์สมบัติในเทวโลก แต่พระเจ้าธรรมิกบัณฑิตราชทรงปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า เป็นวิมานของคนอื่นเหมือนกับการได้ของยืมเขามา จึงอำลาท้าวสักกะให้ท้าวักกะนำมาส่งในมนุษยโลก เมื่อมหาชนทราบว่าพระเจ้าธรรมิกบัณฑิตราชเสด็จมาถึงแล้วจึงพากันไปทูลถามถึงลักษณะของเทวโลกว่าเป็นอย่างไร พระเจ้าธรรมิกบัณฑิตราชเมื่อจะบอกจึงตรัสเป็นคาถาว่า ในดาวดึงส์เทวโลกนั้นมีวิมานที่ประดับด้วยแก้วมุกดา วิมานที่ประดับด้วยแก้วไพฑูริย์ แก้วมณี เป็นต้น ในรัตนวิมานนั้นๆ มีหมู่นางเทพอัปสรอยู่มากมาย เทพบุตรที่มีกุศลที่ได้กระทำไว้จึงได้รัตนวิมานนั้นๆ
เมื่อพระเจ้าธรรมิกบัณฑิตราชได้พรรณนาทิพยสมบัติในสวรรค์ให้มหาชนฟังโดยประการทั้งปวงแล้ว จึงประทานโอวาทสั่งสอน ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท ให้พากันถวายทานรักษาศีลและเจริญเมตตาภาวนาทุกวัน ส่วนพระองค์ก็ดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ บำเพ็ญกุศลอยู่จนสิ้นพระชนมชีพ
|
16729
|
2651
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16729
|
จาคทานชาดก
|
เรื่องจาคทานชาดก กล่าวถึงการถวายผ้าของพระเจ้าอชิตมหาราช ผู้ครองอชิตบุรนคร เริ่มแรกพระราชาพระราชทานผ้าแก่พระนางกาญจนเทวี อัครมเหสี และนางราชกัญญาทั้ง ๑๖,๐๐๐ นาง แต่พระเทวีและนางราชกัญญา ได้เอาผ้าเหล่านั้นถวายพระโมคคัลลานเถระ เพื่อเป็นเครื่องบูชาพระธรรมเทศนา ฝ่ายพระเจ้าอชิตราชเมื่อได้พระราชทานผ้าแก่พระราชเทวีและนางราชกัญญาแล้วก็เสด็จไปปราบพระราชอาณาเขตเพื่อทำยุทธสงครามกับเสนาของพระราชาผู้เป็นข้าศึก เมื่อศึกสงบแล้วจึงเสด็จกลับสู่พระนคร พระราชเทวีและนางราชกัญญาทั้งหลายเมื่อทราบข่าวว่าพระราชาเสด็จกลับมาแล้วจึงเสด็จไปเฝ้า พระเจ้าอชิตราชไม่เห็นผ้าของพระเทวีและนางราชกัญญาทั้งหลายจึงตรัสถามว่า ผ้าของท่านทั้งหลายไปอยู่ที่ไหน พระราชเทวีทูลตอบว่า ได้เอาบูชาธรรมของพระเถรเจ้าแล้ว พระเจ้าอชิตราชเมื่อได้สดับดังนั้นก็เกิดปีติโสมนัส มีพระประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาค จึงให้อำมาตย์ไปนิมนต์พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคจึงเสด็จมาสู่พระราชนิเวศน์พร้อมกั้บหมู่ภิกษุ พระเจ้าอชิตมหาราชถวายนมัสการพระผู้มีพระภาคแล้วจึงกราบทูลว่า การถวายทาน การบริจาค ควรจะให้อะไร จึงสมควรและมีอานิสงส์มาก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า การให้ทานและการบริจาคควรให้ทรัพย์บ้าง เงินทองบ้า ผ้านุ่งห่มบ้าง จากนั้นพระองค์จึงตรัสถึงอานิสงส์ของการให้ทานโดยประการต่างๆ เมื่อได้สดับพระธรรมของพระผู้มีพระภาคแล้ว มีจิตเลื่อมใสทรงรำพึงว่า ชื่อว่าทานย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์มีชีวิตทั้งปวง แล้วโปรดให้เปิดพระคลังผ้าออกแล้วถวายคู่ผ้า ๑,๐๐๐ คู่แก่พระศาสดา พระราชทานแก่พระเทวี ๑๐ คู่ แก่นางราชกัญญา ๑๖,๐๐๐ คู่ พระนางทั้งหลายก็ได้ถวายพระผู้มีพระภาคอีก เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จถึงพระเชตวันแล้วพวกภิกษุพากันสนทนากันเรื่องความอัศจรรย์ที่ผ้าลอยตามพระองค์มาถึงพระวิหารแล้วพระองค์เสด็จไปตรัสถามเมื่อทราบเหตุแล้ว พระองค์จึงตรัสเรื่องในอดีตให้ภิกษุทราบโดยย่อแล้วทรงนิ่ง พวกภิกษุต้องการรู้รายละเอียดจึงทูลให้พระองค์ตรัสต่อไป พระองค์จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงว่า
ในอดีตพระโพธิสัตว์เกิดเป็นมาณพเลี้ยงมารดาอยู่ในกมลนคร ของพระเจ้ากมลราช วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ไปป่าเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าถูกโจรชิงเอาจีวร จึงเอาผ้าสาฎกของตน ๒ ผืนให้เป็นผ้านุ่งห่มถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วได้ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้ไปบังเกิดในตระกูลที่ยากจนขัดสนเลย ขอให้ผ้าทิพย์จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าทั้งในชาตินี้และชาติหน้า พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงได้อนุโมทนา ในขณะนั้นด้วยอานุภาพแห่งผลทาน ใบไม้ที่ลมพัดมา ก็เป็นผ้าทิพย์บังเกิดขึ้น มาตกลงใกล้เท้าของพระโพธิสัตว์เป็นผ้าหลายแสนคู่ พระโพธิสัตว์ก็เอาผ้าทิพย์เหล่านั้นถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าอีกจนหมดทำให้เกิดแผ่นดินไหว มีเสียงบันลือลั่นขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ท้าวสักกะก็ทรงโยนผ้าทิพย์ลงมาถวายทำสักการบูชาผืนหนึ่ง
|
16731
|
40186
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16731
|
นรชีวชาดก
|
เรื่องนรชีวชาดก เป็นเรื่องเกี่ยวกับความกตัญญูของภิกษุที่เลี้ยงบิดามารดาทำให้ภิกษุทั้งหลายที่ไม่รู้ตำหนิแล้วไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระองค์จึงตรัสเรียกภิกษุรูปนั้นมาถาม เมื่อรู้ว่าคฤหัสถ์ที่เลี้ยงนั้นเป็นบิดามารดา จึงประทานสาธุการพร้อมกับตรัสว่า พระองค์ไม่ห้ามภิกษุที่เลี้ยงบิดามารดา เพราะบัณฑิตในอดีตก็เคยทำมาก่อน จากนั้นพระองค์จึงนำอดีตนิทานมาแสดงว่า
ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นคนจนในเมืองพาราณสี ได้ชื่อว่านรชีวะ ครั้นเจริญวัยขึ้นได้เลี้ยงบิดามารดาโดยชอบในกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ ต่อมาบิดาเสียชีวิตลง เจ้านรชีวะจึงเลี้ยงแต่มารดา ต่อมาพระโพธิสัตว์ได้ไปทำนาอยู่กับพวกคนงานของเศรษฐีคนหนึ่ง เพื่อนำค่าข้างมาเป็นค่าเลี้ยงดูมารดา เมื่อถึงเวลาข้าวกล้าออกรวงจึงชวนมารดาไปดูนา เมื่อไปถึงแล้วจึงบอกให้มารดาพักอยู่บนโรงนา ส่วนตัวเองก็ไปเกี่ยวข้าวในนา ที่ใกล้โรงนามีจอมปลวกอยู่แห่งหนึ่ง ในจอมปลวกมีงูพิษอาศัยตัวหนึ่ง มันเลื้อยออกมาเพื่อไปหาอาหาร ได้ขึ้นไปบนโรงนาที่มารดาของเจ้านรชีวะพักอยู่ มารดาของเจ้านรชีวะเหยียดเท้าไปถูกมันจึงถูกงูกัด นางทนพิษไม่ไหวจึงร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีใครมาช่วย นางจึงเสียชีวิตในที่นั้น รุ่งเช้าเจ้านรชีวะมาที่โรงนาเพื่อเลี้ยงมารดาตามปรกติ เห็นมารดานิ่งเฉยจึงตรวจดูตามร่างกายบีบนวดที่เท้าเห็นรอยเขียวช้ำก็รู้ว่าถูกงูกัดจึงถือเอาไม้ค้อนจะไปตีงู เดินดูใกล้ๆ เห็นงูนอนอยู่ในกองฟ้ามีท่อนไม้ล้อมอยู่ จึงพูดกับงูว่า ถ้าข้าจะฆ่าเจ้าก็จะเสียศีล ขอให้เจ้าเลื้อยไปตามสบายเถิด เจ้าได้ชีวิตฉันใด ขอให้มารดาของข้าจงได้ชีวิตฉันนั้นเถิด ว่าแล้วก็กลับไปหามารดาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ใกล้กับศพของมารดา พร้อมกับคำอ้อนวอนเทพยดาและมนุาย์ทั้งหลายให้มาช่วยเหลือ
ท้าวสักกะ จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ทำทีเป็นคนหลงทางมาที่โรงนาของเจ้านรชีวะ แล้วถามทางจะไปเมืองพาราณสี ก่อนจะจากไปจึงได้ถามว่าทำไมจึงร้องไห้ เมื่อเจ้านรชีวะบอกให้ทราบแล้วได้ทำทีเดินไป เจ้านรชีวะนึกขึ้นได้ว่า ธรรมดาพวกพราหมณ์จะรู้จักมนต์ดีจึงถามว่าท่านรู้จักมนต์ไหม ช่วยบอกยาที่จะช่วยให้แม่ฉันฟื้นด้วย พราหมณ์แปลงบอกว่ารู้จักมนต์ แต่ไม่รู้จักยาที่จะทำให้มีชีวิตคืน เจ้านรชีวะจึงถามต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ยา พราหมณ์บอกว่า ถ้าได้หัวใจมนุษย์มาทำยาจึงจะช่วยได้ เจ้านรชีวะจึงบอกว่าจะสละชีวิตของตนแก่มารดา ในขณะที่หาศาสตราเอามาเชือดหัวใจนั้น หมู่เทวดาได้โยนศาสตราลงมาตรงหน้าของเจ้านรชีวะๆ เมื่อจะเชือดเอาหัวใจจึงได้ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเพื่อจะได้นำสัตว์ให้ข้ามพ้นจากวัฏฏสงสาร เมื่อเชือดเอาหัวใจออกมาแล้วจึงทำพิธีตามที่พราหมณ์บอกคือเอาหัวใจให้เข้าไปในปากของมารดา ในขณะเดียวกันพราหมณ์ก็ร่ายมนต์ มารดาของเจ้านรชีวะก็ได้ชีวิตคืนมา เจ้านรชีวะเห็นมารดาฟื้นคืนมาก็ดีใจจึงได้กล่าวคำลามารดาแล้วตัวเองก็สิ้นชีวิต นางเห็นลูกชายตายอย่างนั้นก็สงสารลูกร้องไห้คร่ำครวญแล้วได้ตั้งสัจอธิษฐานขอชีวิตลูกชายคืน
พอจบคำอธิษฐานเจ้านรชีวะก็ฟื้นคืนมาเหมือนนอนหลับแล้วตื่น คนทั้งสองก็มีปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ท้าวสักกะจึงได้ปรากฎตัวในอากาศได้ให้สาธุการแก่พระโพธิสัตว์ว่า อีกไม่นานท่านสัตบุรุษจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วให้โอวาทว่า ท่านเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณมีความกตัญญูเป็นต้น ท่านเป็นเนื้อหน่อพระพุทธเจ้า โลกคือหมู่สัตว์นี้ ไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีที่ซ่อนเร้น ไม่มีสรณะที่พึ่ง ท่านจงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกนี้เถิด
|
16732
|
40187
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16732
|
สุรูปชาดก
|
เรื่องสุรูปชาดก เริ่มเรื่องด้วยการสนทนาของพวกภิกษุว่าพระองค์ไม่อิ่ม ไม่เบื่อในทาน ถึงแม้เสด็จออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าแล้วได้บวชวักกลิไม่นานก็ให้ตั้งอยู่ในพระอรหัต พระองค์เสด็จจากที่สีหไสยาสน์แล้วเสด็จไปยังธรรมสภา ตรัสถามภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุกราบทูลเรื่องที่สนทนากันแล้ว จึงตรัสว่าไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์เพราะพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ส่วนในอดีตที่เป็นปุถุชนได้ให้ทานบุตร ภรรยา และตนเอง แก่ผู้แสดงธรรมเป็นเรื่องอัศจรรย์กว่า แล้วนำเรื่องในอดีตมาตรัสว่า
ในอดีตกาลล่วงมามีพระราชาพระนามว่าสุรูปราชครองราชย์สมบัติอยู่ในนครอินทปัตถ์ มีพระมเหสีพระนามว่าสุนทรีราชเทวี พระราชบุตรพระนามว่าสุนทรราชกุมาร วันหนึ่งพระองค์ทรงรำพึงว่ สรีรร่างกายนี้คล้ายคล้ายกันกับแสงสว่างแห่งพยับแดด ไม่มีแก่นสารเปรียบเหมือนต้นกล้วย ทำไฉนจึงจะได้ฟังธรรม จึงได้ปรึกษากับพวกอำมาตย์ พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ตั้งแต่เกิดมาก็เคยได้ยินแต่คำว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แต่ยังไม่เคยเห็นเลยแล้วพระองค์จะได้ฟังธรรมแต่ที่ไหน พระเจ้าสุรูปราชทรงท้อพระทัยจึงหาอุบายเพื่อจะได้ฟังธรรมด่้วยการใช้ราชบุรุษป่าวประกาศว่า ผู้ใดสามารถจะกล่าวธรรมถวายพระเจ้าอยู่หัวได้ เราจะให้ทองคำ ๑,๐๐๐ ตำลึงและผอบแก้วกับช้าง พวกราชบุรุษทั้งหลายก็ทำตาม ป่าวร้องอยู่จนถึง ๗ ปีก็หาคนแสดงธรรมไม่ได้ พระเจ้าสุรูปราชทรงสลดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงหมดหวังที่จะได้ฟังธรรมจึงประกาศว่า เราจักให้ทรัพย์ทุกสิ่งที่ผู้แสดงธรรมต้องการ เป็นต้นว่าภรรยา บุตร เงิน ทอง ทาสทาสี ช้าง ม้า โค กระบือ ขอแต่ได้ฟังธรรม ด้วยแรงอธิษฐานของพระโพธิสัตว์ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาโอนอ่อนลงมาประดุจหน่อหวายที่ถูกไฟลวก ท้าวสักกเทวราชทรงปรบพระหัตถ์กึกก้อง เสียงโกลาหลดังไปถึงพรหมโลก ท้าวสักกะจึงแปลงเป็นยักษ์ลงมายืนอยู่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์ มหาชนเมื่อเห็นยักษ์ก็วิ่งหนีเพราะกลัว แต่พระโพธิสัตว์เข้าไปหาแล้วตรัสถามถึงสาเหตุที่ยักษ์มา ยักษ์ตอบว่า มาเพื่อจะแสดงธรรมให้ฟัง พระเจ้าสุรูปราชทรงปีตีโสมนัสมากจึงได้ตรัสบอกให้ยักษ์แสดงธรรมให้ฟัง แต่ยักษ์บอกว่า เดินทางมาไกลและหิวมากขอให้ได้กินอาหารก่อนจึงจะแสดงธรรมได้ พระเจ้าสุรูปราชจึงสั่งให้จัดอาหารให้ แต่ยักษ์ไม่กินบอกว่า ธรรมดายักษ์ต้องได้กินเนื้อมนุษย์พร้อมทั้งเลือดถึงจะถูกใจ ถ้าพระราชาให้มนุษย์ที่มีชีวิตได้ จึงจะแสดงธรรมให้ฟังได้ พระโพธิสัตวเจ้าจึงตรัสตอบว่าได้ จงแสดงธรรมก่อนเถิด เมื่อแสดงจบแล้วพระองค์จะมอบพระองค์ให้
ฝ่ายพระราชเทวีได้สดับคำนั้นแล้ว ทรงรำพึงว่า จะทำให้ความปรารถนาของสวามีให้สำเร็จ แล้วเสด็จเข้าไปหาพระราชากราบทูลว่า พระนางจะสละชีวิตของตนแก่ยักษ์ พระราชาก็ทรงอนุญาต ฝ่ายยักษ์ก็ตกลง แล้วทำทีเหมือนเคี้ยวกินพระเทวีแต่เอามาซ่อนไว้ด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ เมื่อเห็นยักษ์ได้กินเนื้อมนุษย์สมใจแล้ืวพระเจ้าสุรูปราชจึงบอกให้ยักษ์แสดงธรรมให้ฟัง ยักษ์บอกว่ายังไม่อิ่มแล้วขอกินพระราชกุมารอีกองค์หนึ่ง พระราชาก็ทรงให้ ยักษ์ทำทีกินพระกุมารแล้วก็ซ่อนไว้อีก พวกประชาชนพากันวิ่งหนีเพราะกลัว ยกเว้นพระราชาองค์เดียว พระราชาสั่งให้ยักษ์แสดงธรรมแต่ยักษ์บอกว่ายังไม่อิ่มขอกินอีก พระราชาจึงรักปากว่าจะมอบพระองค์เองให้ ยักษ์รับคำแล้วแสดงธรรมให้ฟังตามพระพุทธลีลา ว่า
ความเศร้าโศกและความกลัวย่อมบังเกิด เพราะความรัก เมื่อบุคคลพ้นไปเสียจากความรักแล้ว ความเศร้าโสกและความกลัวแต่ที่ไหนๆ ก็ไม่มี ความเศร้าโศกและความกลัวย่อมเกิดแต่ตัณหา เมื่อบุคคลพ้นไปเสียจากตัณหาแล้ว ความเศร้าโศกและความกลัวแต่ที่ไหนๆ ก็ไม่มี ความเศร้าโศกและความกลัวย่อมเกิดแต่ความยินดี เมื่อบุคคลพ้นไปจากความยินดีแล้ว ความเศร้าโศกและความกลัวแต่ที่ไหนๆ ก็ไม่มี ความเศร้าโศกและความกลัวย่อมบังเกิดเพราะความใคร่ปรารถนา เมื่อบุคคลพ้นไปจากความใคร่ปรารถนาแล้ว ความเศร้าโศกและความกลัวแต่ที่ไหนๆ ก็ไม่มี
เมื่อได้ฟังธรรมจบพระราชาก็ได้มอบพระองค์เองแก่ยักษ์ ยักษ์แปลงกล่าวชมเชยพระราชาแล้วกล่าวว่า พระองค์อยากได้พระราชเทวีและพระราชกุมารคืนหรือไม่ พระราชาตรัสตอบว่าอยากได้คืน ยักษ์จึงนำเอาพระราชเวที และพระราชกุมารมาถวายให้แก่พระราชา แล้วเหาะขึ้นไปบนอากาศประกาศตนเองว่าเป็นท้าวสักกเทวราช
|
16734
|
40189
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16734
|
ภัณฑาคารชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภกำลังพระปัญญาของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า สุณาหิ เม ตํ มหาราช ดังนี้
ความมีอยู่วา วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันอยู่ในโรงธรรมว่า ผู้มีอายุทั้งหลายน่าอัศจรรย์ พระศาสดามีพระปัญญามาก แน่นหนา ว่องไว้ เป็นที่ร่าเริง สอดส่อง คมกล้า ควรแก่การบูชาสักการะของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงให้เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ศีลห้า โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรต อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรต ดังนี้
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นด้วยทิพยโสต เสด็จออกจากพระคันธกุฎีมายังโรงธรรม ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ถึงในกาลก่อน ตถาคตก็แก้ปัญหาด้วยปัญญาของตน เหล่าเทพยดาและมนุษย์พากันกระทำสักการะบูชาดังนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่ อันภิกษุทั้งหลายกราบทูลวิงวอน จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงว่า
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่าโกรพยราช ครองราชย์อยู่ในมิถิลานคร ในแคว้นวิเทหรัฐ มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่าสุมนราชเทวี พระเจ้าโกรพยราชนั้น ทรงตั้งอยู่ในธรรม บำเพ็ญทานรักษาศีล ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์เทวโลก มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุมนเทวี จำเดิมแต่พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิแล้วจนครบทศมาส ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาประทับอยู่ในอากาศ ใต้เศวตฉัตรในราตรี ถามปัญหากับพระเจ้าโกรพยราชว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์จงทรงฟังปัญหาของข้าพเจ้า หนึ่งไม่มีสอง สองไม่มีสาม สามไม่มีสี่ สี่ไม่มีห้า ห้าไม่มีหก หกไม่มีเจ็ด เจ็ดไม่มีแปด แปดไม่มีเก้า เก้าไม่มีสิบ และสิบไม่มีสิบเอ็ดได้แก่อะไร ปัญหาที่ข้าพเจ้าถาม พระองค์จงแก้โดยเร็วภายในกำหนดเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน ถ้าพระองค์ไม่ทราบปัญหาของข้าพเจ้า พระองค์ก็จักสิ้นพระชนม์ ดังนี้แล้ว ก็เสด็จกลับยังทิพยสถานของพระองค์ในทันใดนั่นเอง
ฝ่ายพระเจ้าโกรพยาช แม้พระราชดำริอยู่จนสว่าง ก็ยังไม่ทรงทราบความหมายของปัญหานั้น ครั้นเวลาเช้า จึงตรัสถามอำมาตย์ ผู้รักษาเรือนคลัง และผู้รักษาพระทวารพระราชมณเฑียร ชนเหล่านั้นแม้สักคนเดียวก็ไม่ทราบ
พระเจ้าโกรพยราชทรงหวาดหวั่นว่า ความตายจะพึงมีแก่เรา ตรัสเรียกพระเทวีมาตรัสถามว่า ดูกรเจ้าผู้เจริญ เราไม่ทราบปัญหาที่เทวดามาถาม เจ้าจงพิจารณาปัญหานั้นเถิด พระเทวีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่เทวราชเจ้า ไฉนเลย มนุษย์ทั้งหลายจะวิสัชนาปัญหาของเทพยดาได้ พระเจ้าโกรพยราชได้สดับถ้อยคำของพระเทวีแล้ว ทรงพิโรธ ตรัสเรียกภัณฑาคาริกอำมาตย์มาสั่งบังคับว่า แน่ะภัณฑาคาริก ท่านจงจับพระเทวีไปประหารชีวิตเสีย
ภัณฑาคาริกอำมาตย์คิดว่า เวลานี้สมควรที่เราจะบำรุงพระเทวีไว้ก่อน จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวีผู้เจริญ จำเดิมแต่นี้ไป ขอพระเทวีจงรักษาชีวิตไว้ก่อน ในวันรุ่งขึ้น พระราชเทวีทรงประสูตรเป็นพระราชโอรส พระราชกุมาร มีพระกายดังสีทอง ภัณฑาคาริกอำมาตย์ได้เห็นพระราชกุมารแล้ว ให้ตั้งอยู่ในฐานะบุตร ช่วยอุปถัมภ์พระเทวีและพระราชกุมารด้วยข้าวและน้ำเป็นต้น พระราชเทวีนั้น เพราะอาศัยภัณฑาคาริกอำมาตย์นั้นเลี้ยงพระกุมารจนเติบโต จึงขนานพระนามคล้ายกับภัณฑาคาริกอำมาตย์นั้นว่า ภัณฑาคาริกกุมาร
พระราชกุมารีมีชันษาได้เจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวัน ในคราวนั้น ท้าวสักกเทวราชลงมราจากเทวโลก ทวงถามปัญหากับพระเจ้าโกรพยราช พระเจ้าโกรพยราชจึงตรัสว่า ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เจริญ ตั้งแต่ที่ท่านได้ถามปัญหากะข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าได้ถามข้าราชบริพารทั้งปวงแล้ว พวกเขาก็พากันไม่ทราบทั้งนั้น พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจักถามปัญหากะภัณฑาคาริกอำมาตย์แต่เช้าทีเดียว
ครั้นยามเช้า พระเจ้าโกรพยราช จึงตรัสถามภัณฑาคาริกอำมาตย์ว่า ดูกรภัณฑาคาริกอำมาตย์ ท่านเป็นที่พึ่งของเรา เพราะท่านรู้จักคนผู่้มีปัญญามาก ท่านจงให้เขาแก้ปัญหา เราจักให้เงินทอง แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ แก้วมณี นารีที่ตกแต่งเครื่องประดับพร้อมช้างร้อยช้าง ม้าร้อยม้า รถร้อยรถ โคร้อยโค ทองคำแสนตำลึงแก่ท่าน และจะให้ท่านเสวยราชสมบัติกึ่งหนึ่ง ภัณฑาคาริกอำมาตย์ จึงกราบทูลว่า บุตรของหญิงคนหนึ่ง มีรูปร่างงดงามในเรือนของข้าพระองค์ เป็นเด็กฉลาด พระเจ้าโกรพยราชมีพระทัยยินดีตรัสว่า ท่านจงไปถามบุตรของท่านว่าสามารถจะแก้ปัญหาของเทพยดาได้หรือไม่ ภัณฑาคาริกอำมาตย์ถวายบังคมลาพระเจ้าโกรพยราช แล้วรีบไปยังเรือนแล้วถามบุตร
พระโพธิสัตว์ได้ฟังคำของบิดาแล้ว มีจิตยินดีรับว่า ตกลง ดังนี้ ฝ่ายมารดากล่าวกะบุตรว่า ดูกรลูกรัก เจ้ายังเด็กอยู่ จะรู้จักอะไร ถ้าเจ้าไม่รู้ ภัยก็จะมีพึงมีแก่เจ้า พระโพธิสัตว์จึงพูดกับมารดาว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าพเจ้าทราบอยู่ แล้วทูลลาพระมารดา ขึ้นหลังคชาธารตัวประเสริฐ มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม มหาชนทั้งหลาย ก็ประโคมดนตรีขึ้นพร้อมกัน มหาชนทั้งปวงมีจตุรงคเสนากองช้างกองม้ากองรถกองเดินเท้า เดินไปตามมรรคาด้านข้างหน้าของพระมหาโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์เสด็จขึ้นคอช้างดำเนินไป
ส่วนพระเจ้าโกรพยราช ทอดพระเนตรหนทางที่พระมหาโพธิสัตว์นั้นจะเสด็จมา เปรียบเหมือนนักเลงสุรากระหายสุรานั่งคอยแต่ว่าจะดื่มอยู่ ฉะนั้น ครั้งนั้น พระมหาโพธิสัตว์เสด็จมาถึงพระทวารพระราชวัง ก็ลงจากหลังช้าง ทูลถามพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ปัญหาที่ท้าวสักกะถามอย่างไร พระเจ้าโกรพยราชตรัสว่า ดูกรกุมาร เทพยดาถามว่า หนึ่งไม่มีสอง สองไม่มีสาม สามไม่มีสี่ สี่ไม่มีห้า ห้าไม่มีหก หกไม่มีเจ็ด เจ็ดไม่มีแปด แปดไม่มีเก้า เก้าไม่มีสิบ และสิบไม่มีสิบเอ็ดได้แก่อะไร
พระมหาโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงสดับคำของข้าพระบาท สิ่งซึ่งมีอยู่ในโลกนี้จะเสนอด้วยภูเขาสิเนรุราชไม่มีเลย เหราะเหตุนั้น หนึ่งไม่มีสองนั้ จึงได้แก่ ภูเขาสิเนรุราช สิ่งที่มีเพียงสอง คือพระจันทร์และพระอาทิตย์ สิ่งที่จะเสมอด้วยพระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่มี เหราะเหตุนั้นสองไม่มีสามนั้น จึงได้แก่ พระจันทร์และพระอาทิตย์ สิ่งที่ชื่อว่าสาม คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่จะเสมอด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มี เพราะเหตุนั้น สามไม่มีสี่นั้น จึงได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทวีปทั้งหลายซึ่งจะเสมอด้วยสิ่งทั้งสี่ คือ ชมพูทวีป ปุพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป และอุตตรกุรุทวีปไม่มี เพราะเหตุนั้น สามไม่มีสี่นั้น จึงได้แก่ ทวีปสี่ ห้าไม่มีหกที่เทพยดาถามนั้น คือ ศีลห้า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะเปรียบปานได้ ชนทั้งปวงมีศีลห้าประการไว้ ครั้นจุติจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ด้วยอานุภาพของศีลห้าจะได้ไปเกิดเป็นเทพยดาในดาวดึงส์พิภพ เหราะเหตุนั้น ห้าไม่มีหกนั้น จึงได้แก่ ศีลมีองค์ห้าประการ หกไม่มีเจ็ด คือ กามาพจรเทวโลกทั้งหกชั้น คือ ชั้นจาตุมหาราชิดา ดาวดึงสา ยามา ดุสิตา นิมมานรดี และปรนิมมิตรวสวัตตี ไม่มีสิ่งใดจะเสมอเหมือน เพราะเหตุนั้น หกไม่มีเจ็ดนั้นจึงได้แก่ กามาพจรหกชั้น ภูเขาที่วงรอเขาพระสุเมรุมีอยู่เจ็ดชั้น ไม่มีสิ่งใดจะเสมอเหมือน เพราะเห็นนั้น เจ็ดไม่มีแปด จึงได้แก่ เขาสัตตบริภัณฑ์ซึ่งวงรอบแวดล้อมเขาพระสุเมรุอยู่เจ็ดชั้นนั้น แปดไม่มีเก้า คือ ศีลมีองค์แปดประการ ไม่มีสิ่งใดจะเสมอเหมือน เพราะเหตุนั้น แปดไม่มีเก้านั้น จึงได้แก่ ศีลแปดประการ เก้าไม่มีสิบ คือ สภาวธรรมอันใดในโลกนี้ซึ่งจะเสมอเหมือนด้วยพระโลกุตตรธรรมเก้าประการไม่มี เพราะเหตุนั้น เก้าไม่มีสิบนั้น จึงได้แก่ พระนพโลกกุตตรธรรม สิบไม่มีสิบเด็ด คือ ศีลสิบประการ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะเสมอเหมือน เพราะเหตุนั้น สิบไม่มีสิบเอ็ดนั้น จึงได้แก่ ศีลสิบประการ
พระเจ้าโกรพยราช ได้เห็นอัศจรรย์ดังนั้นแล้ว มีพระทัยยินดี พระราชทานราชสมบัติทั้งสิ้นให้เป็นธรรมบูชาแก่พระโพธิสัตว์ กษัตริย์ทั้งปวง นำพระธิดาของตนมาถวายพระโพธิสัตว์ กระทำให้เป็นธรรมบูชา เสนาอำมาตย์ นางสีวิกัญญาและพวกพลนิกายทั้งปวง ก็ถวายเครื่องประดับทอง เงิน แก้วมุกดา แก้วมณี และผ้านุ่งห่มมีประการต่างๆ แล้วก็ยกท่อนผ้าขึ้นโบกไปมาเสียงกึกก้องไปด้วยเสียงดนตรี ตะโพนบัณเฑาะว์กลองเล็กใหญ่ เอิกเกริกได้มีแล้ว ในขณะนั่นเอง มหาปฐพีเป็นประหนึ่งว่าจะแตก ฉะนั้น ชนเหล่านั้นทั้งหมด ทำสาธุการด้วยข้าวตอกและดอกไม้ห้าสีแก่พระโพธิสัตว์แล้ว กระทำอัญชลีกรนมัสการ ร้องถวายชัยมงคลกึกก้อง
ท้าวเทวินทเทวราช ได้สดับคำวิสัชนาของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ตรัสว่า ดูกรกุมาร แต่นี้ไปไม่ช้าเลย พระราชบิดาก็จะอภิเษกพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ ท้าวสุชัมบดีมัฆวานเทวราชครั้นตรัสดังนี้แล้ว ประทานพรให้แก่พระราชกุมารแล้ว เสด็จกลับยังเทวสถานเทวโลกแล
ในคราวนั้น พระเจ้าโกรพยราช มีรับสั่งให้ตระเตรียมพลช้างพลม้า พลรถ พลเดินเท้า ให้ไปรับพระราชเทวีเข้ามายังพระราชวัง แล้วรอคอยซึ่งการเสด็จมาของพระราชเทวี ครั้นได้เห็นพระราชเทวีเจ้าเสด็จมาถึงแล้ว ก็มีพระทัยโสมนัส เพราะเหตุที่จะได้สังผัสถูกต้องพระสรีรวรกาย ของพระเทวีซึ่งเป็นสตรีรัตน์ จึงเสด็จลุกขึ้นจากราชอาสน์เสด็จไปต้อนรับพระเทวี แล้วตั้งไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสีดังเดิม แล้วทรงแต่งตั้งภัณฑาคาริกราชกุมารในตำแหน่งกษัตริย์ ครั้นเสด็จพระราชพิธีราชาภิเษกแล้ว พระมหาโพธิสัตว์พระราชทานมหาสมบัติแก่ภัณฑาคาริกอำมาตย์จำเดิมแต่นั้นมา พระมหาโพธิสัตว์ทรงบันเทิงอยู่ในทศพิธราชธรรม ทรงบำรุงราษฎร เสวยราชสมบัติอยู่โดยธรรม กษัตริย์ทั้งปวงถวายราชสมบัติของตนแก่พระโพธิสัตว์ ตกแต่งธิดาของตนด้วยเครื่องประดับทั้งปวงมาถวายแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ประทานโอวาทแก่กษัตริย์เหล่านั้นว่า จำเดิมแต่นี้ไป พวกท่านอย่าได้ประมาท จงรักษาศีลห้า เจริญภาวนา สั่งสมบุญกุศล อย่าเบียดเบียนสัตว์มีชีวิต อย่าถือเอาทรัพย์ของผู้อื่น อย่าเจรจาเท็จ อย่าประพฤติล่วงภรรยาผู้อื่น อย่าดื่มสุราเมรัย จงให้ทานสืบๆ ไป ดังนี้ ครั้นสิ้นพระชนมายุแล้ว ไปบังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติอันประเสริฐ
พระศาลดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจะได้เป็นผู้มีปัญญามาก แต่ในอัตภาพนี้เท่านั้นหามิได้ ถึงในกาลก่อน ตถาคตย่อมเป็นผู้มีปัญญามากแล้วทรงประกาศอริยสัจสี่ประการ ครั้นจบอริยสัจสี่ประการ แล้วทรงประมวลชาดกว่า นางสุมนเทวีในกาลนั้ กลับชาติมาเป็นนางมหามายาในกาลนี้ พระเจ้าโกรพยราชในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นท้าวสุทโธทนมหาราชพุทธบิดาในกาลนี้ ท้าวสักกเทวราชในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นพระอนุรุทธะผู้มีจักษุทิพย์ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งกว่าในกาลนี้ ส่วนภัณฑาคาริกอำมาตย์ในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นพระอานนท์ในกาลนี้ เสนาอำมาตย์ราชบริวารในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นพุทธบริษัทในกาลนี้ ภัณฑาคาริกกุมารโพธิสัตว์ผู้มีพระบารมีมากกว่าชนทั้งปวงในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นพระสัพพัญญูโลกนาถในกาลนี้ ท่านทั้งหลาย จงทรงจำชาดกนี้ไว้ ด้วยประการฉะนี้
|
16735
|
40190
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16735
|
พหลาคาวีชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภความกตัญญูในพระมารดา จึงตรัสคำว่า นตฺถิ สจฺจํ สมํ ปุญฺญํ ดังนี้
ความมีอยู่ว่า วันหนึ่งภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญความกตัญญูของพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ในโรงธรรม พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจะได้เป็นกตัญญูบุคคลแต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ ถึงในกาลก่อน เราก็ได้เป็นกตัญญูบุคคลเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่ อันภิกษุทั้งหลายกราบทูลวิงวอน จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ในโกศลรัฐ กุฎุมพีคนหนึ่งมีแม่โคตัวหนึ่ง ชื่อพหลาคาวี นางโคพหลาคาวีนั้น มีลูกน้อยอยู่ตัวหนึ่ง ในคราวหนึ่ง นางพหลาคาวีนั้นออกจากคอกโคไปแสวงหาหญิงกับลูกน้อยของตนกับฝูงโคทั้งหลาย นางโคพหลาคาวีนั้น เข้าไปในป่าแต่ตัวเดียว ส่วนลูกโคไปกับฝูงโค ในกาลนั้น ในป่านั้น มีเสือโคร่งอยู่ตัวหนึ่ง เสือโคร่งนั้น ได้เห็นนางโคกินหญ้าอยู่ คิดว่า เราจักจับนางโคตัวนี้กิน จึงเข้าไปใกล้นางโคนั้น นางโคนั้นเงยหน้าขึ้นแลเห็นเสือโคร่งแล้วจึงพูดว่า ข้าแต่เสือโคร่งผู้เป็นใหญ่ ท่านมาเพื่อต้องการอะไร เสือโคร่งตอบว่า ข้าจะมาจับเจ้ากินเป็นอาหาร นางโคจึงตอบว่า ข้าแต่เสือโคร่งผู้เป็นใหญ่ ท่นจงงดกินข้าพเจ้าไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้ามีลูกน้อยอยู่ตัวหนึ่ง จะไปให้ลูกกินนมก่อนแล้วจะมาให้ท่านกินเป็นอาหาร เสือโคร่งจึงกล่าวว่า ถ้ำคำของเจ้าจักเป็นจริงไซร้ ข้าจะงดโทษให้เจ้า นางพหลาคาวีลาเสือโคร่งไปหาลูก พูดกับลูกว่า ลูกรัก เจ้าจงรีบกินนมแม่เร็วๆ เถิด แม่จะไปให้เสือโคร่งกินเป็นอาหาร ลูกโคน้อย จึงถามว่า เหตุไฉน แม่จึงมาพูดอย่างนี้ แม่อย่าไปให้เสือโคร่งกินเลย ลูกจะไปให้เสือโคร่งกินแทนคุณแม่ แม่โคพูดว่า ลูกรัก แม่ได้ให้ปฏิญาณแก่เสือโคร่งไว้ว่าจะให้เสือโคร่งกินแล้วจึงมา คำของแม่เป็นคำจริง ถึงร่างกายของแม่จะพินาศไป แม่ก็จะไม่ละทิ้งสัจธรรมคำจริง
เวลานั้น ลูกโคน้อยเดินร้องไห้ตามแม่ไปยืนอยู่ข้างหลัง ได้พูดกับเสือโคร่งว่า ท่านเสือโคร่งผู้เป็นใหญ่ ท่านจงอนุเคราะห์กินตัว้า จงให้ชีวิตแก่แม่ข้าเถิด เสือโคร่งพูดว่า ข้างดโทษให้เจ้า ข้าไม่กินเจ้าทั้งสองแล้ว ด้วยเดชานุภาพแห่งสัจจะขันติและกตัญญู ภพของท้าวสักกเทวราชจึงแสดงอาการร้อนขึ้น ท้าวสักกเทวราชทรงอาวัชนาการ ครั้นทราบเหตุนั้นแล้ว จึงลงมาจากสวรรค์ เข้าไปใกล้สัตว์ทั้งสามนั้น แล้วพาสัตว์ทั้งสามนั้นไปยังเทวโลก ประทานทิพยพิมานอันเดียรดาษไปด้วยนางเทพอัปสรพันหนึ่ง พรั่งพร้อมไปด้วยโภคสมบัติทิพย์ กึกก้องไปด้วยการฟ้อนรำขับร้อง กึกก้องดุริยางดนตรีมีองค์ห้าประการ เกลื่อนกลาดไปด้วยธงชายและธงปฎากเป็นอันมาก สำเร็จไปด้วยกามคุณเป็นของทิพย์ให้แก่สัตว์ทั้งสามนั้น สัตว์ทั้งสามนั้น ก็สละอัตาพของตนเสีย แล้วได้อัตภาพเป็นเทวบุตรในสำนักท้าวสักกเทวราชแล้วก็เสวยทิพยสุขอยู่ในเทวโลก
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระดำรัสเป็นต้นว่า บุญกุศลส่วนดีงามซึ่งจะเสมอด้วยสัจจะความจริง ขันติความอดทน และกตัญญูความรูัจักคุณที่ผู้อื่นกระทำไว้แก่ตนทั้งสามประการนี้ เป็นบุญราศีอย่างสูงสุดอย่างประเสริฐ นี้เป็นผลของสัจจะขันติและกตัญญตา
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ประมวลชาดกว่า ท้าวสักกเทวราชกลับชาติมาเป็นพระอนุรุทธะในกาลนี้ เสือโคร่งผู้เป็นใหญ่ที่เที่ยวไปในป่า กลับชาติมาเป็นพระเจ้าสุทโธทนมหาราชพุทธบิดาในกาลนี้ นางพหลาคาวีกลับชาติมาเป็นพระนางสิริมหามายาพุทธมารดาในกาลนี้ ลูกโคกลับชาติมาเป็นพระบรมโลกนาถในกาลนี้ ท่านทั้งหลาย จงทรงจำชาดกนี้ไว้ ด้วยประการฉะนี้
|
16736
|
40191
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16736
|
เสตบัณฑิตชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยพระนครกบิลพัสดุื ประทับอยู่ในนิโครธาราม ทรงปรารถถึงทานบารมี ศีลบารมี กล่าวคือการสละชีวิตของพระองค์เพื่อประโยชน์ให้แก่พระอานนท์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อหํ สกฺโกมิ โมเจตุํ ดังนี้
ความมีอยู่ว่า ในกาลนั้น มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่าธรรมบาล อยู่ในนครพาราณสี เลี้ยงหนูเผือกโพธิสัตว์ไว้ตัวหนึ่ง มีสีเหมือนสังข์ หนูเผือกโพธิสัตว์นั้นรักษาศีลห้า บางวันรักษาศีลตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงเวลาเที่ยง บางวันรักษาศีลตั้งแต่เวลาเที่ยงไปจนถึงเวลาเย็น พราหมณ์ธรรมบาลนั้น เดิมเป็นทาสของมหาเศรษฐี พราหมณ์ได้อาศัยหนูเผือกโพธิสัตว์นั้นจึงได้ทรัพย์เป็นอันมาก มีทั้งทาสทาสีเงินทองบริบูรณ์มั่งคั่งในกาลนั้น มหาเศรษฐีเวลาไปสู่ที่บำรุงของกษัตริย์ ได้แวะมาเล่นกันหนูเผือกโพธิสัตว์ที่รักษาศีลห้านั้น เล่นอยู่ตั้งแต่เวลาเช้าจนเวลากลางวันบ้าง ตั้งแต่เวลากลางวันจนถึงเวลาเย็นบ้างเป็นนิจนิรันดร์มา เมื่อมหาเศรษฐีเล่นอยู่ได้จับที่ตัวหนูเผือกนั้นแล้วเอามือลูกศีรษะของหนูเผือกนั้นหยอกเล่นอยู่
หนูเผือกโพธิสัตว์นั้น คิดว่า วันนี้ท่านเศรษฐีมาเล่นกับเรา จะทำลายศีลเรา การที่ท่านเศรษฐีมาเล่นกับเรา ไม่สมควร เป็นบาป ท่านเศรษฐีมาจับเราไว้มั่นคง ความเวทนาจะมีแก่เรา บาปจะมีแก่มหาเศรษฐีนั้น ท่านมหาเศรษฐีจะทุบ จะขว้างไป ให้ตกเหนือภาคพื้น ความเวทนาจะเกิดแก่เรา บาปจะมีแก่เศรษฐีนั้น เพราะเหตุนั้น ขอท่านมหาเศรษฐีอย่ามาเล่นกับเราเลย เราก็จะไม่เล่นกับท่านมหาเศรษฐี
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านมหาเศรษฐีมาจากที่เฝ้าบรมกษัตริย์ พระมหาโพธิสัตว์จึงเข้าไปใกล้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้ารักษาศีลห้า วันนี้ ท่านก็ดี พราหมณ์ก็ดี อย่าได้เล่นกับข้าพเจ้าเลย ถ้าท่านเล่นกับข้าพเจ้าแล้ว บาปเป็นอันมากก็จะหลั่งไหลมาถึงท่าน ถ้าท่านไม่เล่นกับข้าพเจ้าแล้ว บุญกุศลเป็นอันมากก็จะหลั่งไหลมาถึงท่าน ท่านก็จะได้ประสบหนทางที่จะไปยังสวรรค์ พราหมณ์ ได้ฟังวาจานั้นแล้ว บันดาลความโกรธหนูเผือกโพธิสัตว์นั้น จึงบังคับทาสกรรมกรว่า เจ้าจงจับหนูไปทุบศีรษะ โยนทิ้งเสียที่พื้นดิน
แต่ท่านมหาเศรษฐีกลับได้คิดว่า การที่เราจะเอาหนูไปขายถึงจะได้ทรัพย์มามาก สักร้อยตำลึง พันตำลึง ก็ไม่สมควร เราก็ดี พราหมณ์ก็ดี ได้เป็นผู้มีโภคสมบัติมากก็เพราะอาศียหนูนี้ เพราะเหตุนั้น อุปัทวะอันตราย จักบังเกิดมีแก่เรา เราจะต้องไปยังทุคติ ถ้าเราจะไม่กระทำอันตรายแก่หนู เราจักได้ไปสวรรค์ จึงรีบลุกขึ้นไปชิงเอาหนูได้แล้ว ออกจากเรือนของพราหมณ์ ไปได้ไม่ไกลก็ล้มลง ได้รับทุกขเวทนามาก หนูเผือกนั้นหลุดไปจากมือท่านมหาเศรษฐีแล้วก็หนีเข้าป่าหิมพานต์ไป ส่วนพราหมณ์ได้ยินเสียงร้องครวญครางของท่านมหาเศรษฐีแล้ว ออกจากเรือนไปดู ได้เห็นมหาเศรษฐี ก็ตกใจ จึงได้เอาน้ำไปรดให้ท่านมหาเศรษฐี จนท่านมหาเศรษฐีได้สติลุกขึ้นนั่งได้ ก็พาเข้าไปพักในเรือน
ตั้งแต่วันที่หนูออกจากเรือนไปแล้ว พราหมณ์ก็ใช้ทรัพย์สินไป ต้องขายทาส ขายทาสี ขายบุตรธิดา ขายภรรยา ขายเรือน ขายผ้านุ่งห่ม ต้องนุ่งผ้าห่มขาด ถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน ได้ความขัดสน เลี้ยงชีวิตด้วยความลำบาก ครั้นล่วงไปได้ปีหนึ่ง พระมหาโพธิสัตว์คิดถึงำพราหมณ์ผู้เป็นนายผู้อยู่ในพระนคร จึงออกจากป่ามาไม่เห็นเรือนของพราหมณ์ ได้เห็นพราหมณ์ผู้มีกลิ่นตัวเหม็น มีกระเบื้องสำหรับขอทาน นอนอยู่ใต้รถคร่ำคร่า ในเรือนของคนอื่น ก็มีน้ำตาหลั่งไหลเข้าไปจูบเท้าพราหมณ์ แล้วปลุกว่า ข้าแต่เจ้านาย ท่านจงลุกขึ้นเถิด พราหมณ์ได้ยินดังนั้นแล้วจึงถามว่าใคร หนูจึงพูดว่า เจ้านาย ข้าพเจ้าชื่อว่าเสตะ พราหมณ์ลุกขึ้น เห็นหนูเผือก ก็จำได้ แล้วระลึกขึ้นมาได้ถึงสมบัติของตนก็ร้องไห้
หนูเผือกจึงปลอบว่า ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์ ท่านอย่าคิดไปเลย ท่านพึงขายข้าพเจ้า แต่อย่าขายแก่เศรษฐี ท่านพึงพาข้าพเจ้าไปขายในราชสำนักเถิด พอแสงอรุณขึ้นมา พราหมณ์ก็อุ้มหนูเผือกนั้น เข้าไปยังพระราชนิเวศน์ พระราชาทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์แล้ว ตรัสถามพราหมณ์ว่า ท่านอยู่ถึงแว่นแคว้นไหน จึงได้เอาหนูมาจนถึงที่นี่ ท่านอยากจะได้ทรัพย์สักหมื่นกหาปณะ หรือสักแสนกหาปณะ หรือสักเท่าไรหนอ พราหมณ์จึงกราบทูลว่า ข้าพระบาทอยากได้โค ๑๐๐ ตัว ช้าง ๑๐๐ เชือก นางทาสีร้อยนาง ทาสร้อยคน นางกัญญาร้อยนาง เรือนร้อยหลัง และสมบัติทั้งปวงอย่างละร้อยๆ พระพุทธเจ้าข้า
พระราชา ทอดพระเนตรเห็นหนูเผือกนั้นแล้ว ทรงบันเทิงพระทัย แล้วทรงรับเอาหนูไว้โดยเคารพ ทรงจุมพิตที่ท้องหนูบ้าง ที่ศีรษะหนูบ้าง จึงพระราชทานสรรพสมบัติอย่างละร้อยกับทั้งเครื่องประดับทั้งปวงแก่พราหมณ์ แล้วกระทำสักการะใหญ่แก่หนูนั้น ลำดับนั้น พราหมณ์ได้รับสมบัติทั้งปวงไปแล้ว ก็เป็นผู้มียศใหญ่ดังแต่ก่อน หนูนั้นแสดงธรรมสั่งสอนบรมกษัตริย์กับหมู่มหาชนให้ตั้งอยู่ในธรรม ส่วนบรมกษัตริย์กับทั้งชาวพระนครทั้งปวงตั้งอยู่ในโอวาท บำเพ็ญมหาทานรักษาศีล เพราะเหตุนั้น พระราชาและมหาชน จึงพากันขนานนามหนูเผือกโพธิสัตว์นั้นว่า ธรรมเสตบัณฑิต
หนูเผือกโพธิสัตว์นั้น แสดงธรรมอยู่ในพระราชสำนักมาสิ้นกาลนาน ส่วนกษัตริย์กับทั้งมหาชน ตั้งอยู่ในโอวาทของพระมหาโพธิสัตว์ ครั้นกระทำกาลกิริยา ไปยังเกิดในเทวโลก ส่วนพระมหาโพธิสัตว์ ออกจากพระนครไปอยู่ในหิมวันตประเทศ รักษาศีลห้าประการอยู่ในที่รัมณียสถาน ครั้นสิ้นอายุแล้วก็ไปยังเกิดในเทวโลก
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในกาลนั้น กลับชาติมาเกิดเป็นพระสารีบุตรในกาลนี้ ท้าวสักกเทวราชในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นพระอนุรุทธะในกาลนี้ ธรรมปาลพราหมณ์ในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นพระมหากัสสปะในกาลนี้ มหาเศรษฐที่ได้ขนหนูไว้ในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นพระอัมพัตถเถระในกาลนี้ เทพยดาทั้งหลายในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นพุทธสาวก หนูผู้ทรงศีลชื่อธรรมเสตะในกาลนั้น กลับชาติมาเป็นพระสัพพัญญูอุดมกว่าสัตว์สองเท้า ดังนี้
|
16737
|
40192
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16737
|
ปุปผชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหาร ซึ่งเป็นอารามของเศรษฐีชื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐี ทรงปรารภทานบารมีของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อิมินา ตุยฺหํ เป็นต้น
ความมีอยู่ว่า ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยธูปเทียนดอกไม้และของหอมเป็นต้น แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ กษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี คฤหบดีก็ดี แพศย์ก็ดี ศูทรก็ดี มีจิตเลื่อมใส นิมนต์พระสงฆ์ให้สรงน้ำแล้ว กระทำสักการบูชาจักได้ผลอย่างไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงเป็นอุทาหรณ์ว่า
ในอดีตกาล มีพระราชาทรงพระนามว่าวิชัย ครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรมในวิสาลนคร วันหนึ่ง พระเจ้าวิชัยนั้น เสด็จไปยังมณฑลที่โรงธรรม ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสรณังกร บังเกิดขึ้นในโลก ในกาลนั้น มีพระภิกษุนามว่าอุสภะ พร้อมด้วยบริวารของท่านไปถึงวิสาลนคร พระเจ้าวิชัยทรงเลื่อมใส เสด็จไปต้อนรับกับทั้งบริวารของพระองคื ถวายนมัสการแล้ว จึงนิมนต์พระเถรเจ้าให้สรงน้ำด้วยน้ำหอมสี่หม้อ เมื่อพระเถรเจ้าสรงน้ำแล้ว พระราชาทรงชำระเท้าพระเถรเจ้าแล้ว ถวายผ้าคู่ของพระองค์ ถวายเครื่องสักการบูชาทั้งปวง ทรงนิมนต์ให้พระเณรเจ้านั่งเหนืออาสน์ แล้วบูชาด้วยเครื่องสักการะบูชา แล้วมอบพระกายถวายตนแล้วกระทำความปรารถนาว่า ข้าพระเถรเจ้าผู้เจริญ ด้วยเดชแห่งบุญนี้ ขอให้สรรพสัตว์ในภพทั้งปวง เมื่อได้เห็นข้าพเจ้าแล้ว จงมีจิตเลื่อมใส ทำการบูชามอบกายถวายชีวิต ตั้งอยู่ในโอวาทของข้าพเจ้าเถิด พระเถรเจ้า ได้กระทำอนุโมทนาแล้ว
พระเจ้าวิชยราชได้สดับธรรมเทศนาของอุสภเถระแล้ว ก็เกิดพระปีติโสมนัส ถวายนมัสการที่เท้าพระเถรเจ้าแล้ว ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ได้ไปบังเกิดในวิมานทองอันกว้างใหญ่ถึงสิบสองโยชน์ อันกึกก้องไปด้วยนางเทพอัปสรนับแสน เสวยทิพยสมบัติอยู่ในดาวดึงส์เทวโลก ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว ลงมาถือเอาปฏิสนธิในพระครรภ์พระนางสิริพันธี พระมเหสีของพระเจ้าสิริพันธราชในสิริพันธนคร เทพยเจ้าทั้งหลายก็น้อมนำเอาน้ำสำหรับสนานเป็นของหอมสี่หม้อเข่้าไปถวายพระราชเทวีเจ้า ด้วยบุญญานุภาพของพระโพธิสัตว์เจ้าที่ได้สรงน้ำพระภิกษุสงฆ์กษัตริย์ร้อยเอ็ดพระองค์ ส่งราชบรรณาการมาถวายพระเจ้าสิริพันธราช ครั้นถ้วนทศมาส พระราชเทวีเจ้าก็ประสูติพระราชบุตร เทพยดาทั้งหลายก็ให้สาธุการสักการบูชาพระโพธิสัตว์เจ้าด้วยทิพพสุคนธวารีและทิพพบุบผา ให้สาธุการด้วยทิพพภูษาพวงดอกไม้ทองพวกดอกไม้แก้วเจ็ด (ไม่สมบูรณ์)
|
16738
|
4614
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16738
|
พาราณสิราชชาดก
|
ในพาราณสีราชชาดกนี้ ไม่มีคำปรารภความเบื้องต้น ไม่มีเรื่องที่เป็นปัจจุบัน มีแต่เรื่องที่เป็นอดีต ดังจะกล่าวต่อไปนี้
ความมีอยู่ว่า ได้สดับมาว่า สมัยหนึ่ง ในศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ในภัทรกัลป์นี้ คราวนั้น มีสตรีผู้หนึ่งมีจิตรักใคร่กับสามี มีจิตบริสุทธิ์ด้วยอำนาจความสิเนหาในสามีอย่างยิ่ง วันหนึ่ง สตรีผู้นั้นบูชาและถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุสงส์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วตั้งความปรารถนาว่า ข้าพเจ้าจะเกิดไปในสรรพภพใด ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากความเป็นสตรี สามีนั้นขอให้ได้เป็นพี่ชาย รักสนิทชิดชมกับข้าพเจ้า อนึ่งเล่า ถ้าหากว่า ข้าพเจ้าทั้งสองจะไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานไซร้ ขอให้ข้าพเจ้ามีกายติดเนื่องเป็นอันเดียว แต่ศีรษะนั้นขอให้เป็นสองหัว ดังนี้ พระศาสดาทรงทำอนุโมทนาแล้ว จึงเสด็จกลับยังพระวิหารพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
แต่นั้นมา สตรีผู้นั้นกับสามีดำรงชีพอยู่ในมนุษยโลกสิ้นกาลนาน ครั้นสิ่้นอายุแล้ว ด้วยบุญกรรมนำไปให้เกิดเป็นหงส์ทอง อาศัยอยู่ที่สระประทุม ณ หิมวันตประเทศ หงส์ทองนั้นมีกายติดกัน แต่ศีรษะนั้นเป็นสองหัว หงส์สองหัวนั้นปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะไปหากินที่ถิ่นใดก็พร้อมใจกันไป
อยู่มาวันหนึ่ง นายพรานผู้หนึ่งเที่ยวไปถึงที่หงส์ทองอยู่นั้น เห็นหงส์ทองสองหัวติดกัน นึกอัศจรรย์ใจ แล้วกลับมาทูลพระเจ้าพาราณสีให้ทรงทราบ คราวนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชาพาราณสี พระเจ้าพาราณสีได้ทรงสดับทราบความแล้ว ทรงประทานทรัพย์และเสบียงอาหารแก่นายพรานแล้ว ตรัสอย่างนี้ว่า ถ้าหากว่า เจ้าจักไปนำหงส์นั้นมาให้เราได้ เราจักให้สมบัติแก่เจ้ามากยิ่งกว่านี้ นายพรานถวายบังคมลา ถือเอาเมณฑุสิงคธนูออกจากพระนคร เข้าไปในหิมวันตประเทศ จับหงส์ทองสองหัวน้นได้ด้วยอุบายของตน แล้วนำมาถวายเป็นบรรณาการแด่พระเจ้าพาราณสี พระเจ้าพาราณสี ครั้นเห็นหงส์ทองนั้นแล้ว ทรงยินดีพระหฤทัยประทานทรัพย์และบ้านส่วยให้แก่นายพราน ท้าวเธอทรงรับหงส์ทองด้วยพระหัตถ์ พระอัครมเหสีอุ้มด้วยพระหัตถ์อันอ่อนนุ่มประทับยืนอยู่ ขณะนั้น หัวทั้งสองของหงส์ เปล่งรัศมีดุจทองคำและบันลือสำเนียงไพเราะจับใจ พระนางทรงพอพระทัย ฝ่ายพระราชเทวีสดับเสียงอันไพเราะ รับสั่งให้ใส่ไว้ในกรงทอง พระราชทานข้าวตอกกับน้ำผึ้งใส่ถาดทอง
ต่อมา พระอัครมเหสีกราบทูลพระเจ้าพาราณสีว่า ถ้าหากว่า ใครสามารถพรากหงส์ทองออกเป็นสองตัวได้ไซร้ ตัวหนึ่งจะได้เลี้ยงไว้ในราชนิเวศน์ ตัวหนึ่งจะให้ไปเลี้ยงไว้ที่สวนประสมสัตว์ พระเจ้าพาราณสีทรงมีรับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งผู้ฉลาดนำหงส์ทองนั้นไปยังเรือนของตนเลี้ยงไว้ อยู่มาวันหนึ่ง อำมาตย์ผู้นั้นเข้าไปเฝ้าพระราชา กลับจากราชนิเวศน์เข้าไปใกล้หงส์ทองนั้น เอียงคอของตนเข้าไปให้ใกล้หัวหงส์ทองหัวหนึ่ง ประหนึ่งว่าจะกระซิบที่หู ไม่กล่าวคำอะไรเลย วางนกนั้นแล้วผละไปเสีย ฝ่ายอำมาตย์ผู้นั้นรอเวลาอยู่สองสามวัน จึงไปเลี้ยงหงส์อีกหัวหนึ่ง ทำเหมือนที่ทำแล้วแก่หงส์หัวที่หนึ่งนั้น เพราะเหตุเพียงเท่านี้ หงส์ทองทั้งสองหัวนั้นจึงเกิดทะเลาะกัน ไม่สนทนากัน ด่าว่ากันกระพือปีกจิกกัน ด้วยอำนาจความโกรธแรงกล้า สรีระแยกออกไปเป็นสองส่วน
อำมาตย์ผู้นั้น นำหงส์ทองสองหัวไปถวายพระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นนกสองตัวแล้ว ทรงพระโสมนัส ประทานทรัพย์และบ้านส่วนให้แก่อำมาตย์ แล้วมีรับสั่งให้นำหงส์ตัวหนึ่งไปเลี้ยงไว้ภายในราชนิเวศน์ แล้วให้นำหงส์อีกตัวหนึ่งไปเลี้ยงไว้ในสวนประสมสัตว์ ตรัสถามว่า ท่านทำอุบายอย่างใด จึงให้หงส์แยกจากกันออกเป็นสองตัวได้ พระเจ้าพาราณสีทรงสดับทราบความที่อำมาตย์กราบทูลนั้นแล้ว ได้ความสลดจิต จึงตรัสว่า โอ น่าใจหาย หงส์ทองสองหัวติดกัน เป็นสหายรักสนิทมั่นถึงเพียงนี้ เมื่อถูกคนอื่นเขายุให้แตกกันเข้า มาถือเอาโทษที่เขายุให้แตกนั้นเป็นอารมณ์ แล้วไม่เอื้อเฟื้อซึ่งความรักใคร่กันมานานถึงการแตกกันได้จะกล่าวไปใยถึงอย่างอื่นๆ เล่า แม้ประชาชนทั้งมวลถือเอาโทษที่จะแตกร้าวกันไว้ ไม่พิจารณาแล้ว ทำไปอาจแตกร้าวกันได้เหมือนกัน
พระราชา ทำความสลดจิตให้เกิดขึ้นแล้วด้วยประการฉะนี้ ตั้งแต่นั้นมา พระราชาให้จับคนยุแหย่ ให้ไล่ออกไปเสียจากรัฐของพระองค์ แต่โปรดให้ยกโทษเสีย ทรงสอนเหล่าราชบุรุษว่า ถึงแม้ชีวิตจะพรากจากกาย บุคคลอย่าจึงทำความแตกร้าวฉาน พึงสำรวมกายวาจาพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วจึงทำ นักปราชญ์ทั้งหลาย ใคร่ครวญแล้วจึงทำ ยังไม่ได้ใคร่ครวญก่อนแล้วจะไม่ทำ บุคคลไม่ใคร่ครวญไต่สวนแล้วทำลงไป ย่อมจะเดือดร้อนในภายหลัง เหมือนหงส์ทองสองหัวติดกัน ถูกอำมาตย์ผู้หนึ่งยุให้แตกกัน ต่างถือเอาคำของอำมาตย์คนยุ เลยแตกจากกันและกันหงส์ตัวหนึ่ง ได้ให้เลี้ยงไว้ภายในวัง หงส์ตัวหนึ่งให้ไปอยู่นอกวัง ต่างแยกกันไปได้ประจักษ์แล้ว
ต่อแต่นั้นมา พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ ชาวพระนครได้อยู่ด้วยความปรองดองกัน มนุษย์ผู้อยู่ในสกลรัฐ ระงับกายวาจาจิตเรียบร้อยดี พระเจ้าพาราณสีตั้งพระทัยบำเพ็ญสมติงสบารมีเป็นเบื้องหน้า เสด็จไปตามกรรมที่ทำไว้ เคลื่อนจากชาตินั้นแล้วดำรงอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ทรงบบำเพ็ญสัตตสดกมหาทานเสร็จ แล้วเสด็จไปอุบัติในดุสิตบุรีเทพยดาในหมื่นจักรวาฬวิงวอนให้จุติ ทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะ ถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระมหามายา โดยล่วงไปสิบเดือน ก็ประสูติจากพระครรภ์แล้ว ถึงความเป็นหนุ่มตามลำดับ ครองฆราวาสได้ยี่สิบเก้าพรรษา ได้พระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ในสมัยเที่ยงคืนวันหนึ่ง มีหมู่เทพยดาหมื่นจักรวาฬกับนายฉันนท์เป็นสหายแวดล้อม เสด็จออกสู่มหาภิเนกษกรมณ์ ทรงบำเพ็ญมหาปธานวิริยะอยู่ในป่าอันน่ารื่นรมย์ถึงหกพรรษา ต่อนั้น ได้เสวยมธุปายาสอันนางสุชาดานำมาถวาย แล้วเสด็จขึ้นโพธิบัลลังก์ ตั้งพระพักตร์ต่อบุรพทิศดำรงจิตโดยสมาธิวัตร ทรงกำจัดพระยามารทั้งมารพลแล้ว ได้ตรัสรู้พระสัพพัญุตญาณเป็นอนันตบริวาร ทรงประทานธรรมเทศนาแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พระศาสดาครั้นทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประมวลชาดกว่า นายพรานเนื้อผู้เที่ยวไปในป่าในกาลนั้น กลับชาติมาคือพระฉันนเถระคนเลี้ยงม้า หงส์ทองตัวหนึ่งในกาลนั้น กลับชาติมาคือพระคิริมานนทเถระ หงส์ทองตัวหนึ่งในกาลนั้น กลับชาติมาคือพระกาลุทายีเถระผู้แสดงหนทาง อำมาตย์ผู้ฉลาดในกาลนั้น กลับชาติมาคือพระสารีบุตรเถระผู้มีญาณปรากฏแล้ว บริษัททั้งหลายแม้ที่เหลือในกาลนั้น กลับชาติมาคือพุทธบริษัท พระเจ้าพาราณสีในกาลนั้น กลับชาติมาคือเราพระอภิสัมพุทโธ ขอท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกไว้ด้วย ด้วยประการฉะนี้
|
16739
|
40194
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16739
|
พรหมโฆสราชชาดก
|
ในพรหมโฆสราชชาดกนี้ ไม่มีคำปรารภความเบื้องต้น ไม่มีเรื่องที่เป็นปัจจุบัน มีแต่เรื่องที่เป็นอดีต ดังจะกล่าวต่อไปนี้
ความมีอยู่ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งนามว่ากุสุมภบุรี เป็นเช่นไร? เป็นเมืองกว้างขวางประมาณหลายพันโยชน์ มีสวนและสระโบกขรณีต่างๆ เป็นที่สำราญรื่นรมย์ อุดมไปด้วยหัยรถคชพาหนะและประกอบด้วยนานารัตนะ พระราชาทรงพระนามว่าพรหมโฆส ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองกุสุมภบุรีนั้น พระอัครมเหสีของพระราชาพระนามว่าสุนันทาเทวี
สมัยหนึ่ง พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ได้อุบัติแล้วในโลก ทรงประทับอยู่ในเมืองกุสุมภบุรี พระเจ้าพรหมโฆส ทรงอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์ด้วยโชนียาหารและปานียาหารประมาณได้สิบหกพรรษา และทรงพระเมตตาชุบเลี้ยงมหาชนด้วยสังควัตถุสี่ประการ ประชาชนทั้งปวง ไม่มีโรคภัย เป็นสุข พระราชาสมบูรณ์ด้วยอเนกธนและธัญญาหาร เวลานั้น พระราชา ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงแสดงธรรมเป็นนิรันดร์เถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนธรรมาสน์ แสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะ ปีติธรรมได้เกิดขึ้นแล้วแก่หมู่นางสนม เพราะได้ฟังธรรม ครั้นจบธรรมเทศนา เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายแปดสิบพันโกฎิได้บรรลุธรรมภิสมัย
ขณะนั้น ภพแห่งท้าวโกสีย์แสดงอาการร้อน ท้าวสักกเทวราช สอดส่องดูก็รู้เหตุนั้น คิดว่า พระเจ้าพรหมโฆสนี้ ครองราสมบัติอยู่ เราจักไปทดลองดู ตรัสเรียกพระมาตลีมาสั่งว่า ท่านจงแปลงกายให้เหมือนรูปสุนัข ลงไปมนุษยโลกก่อน แล้วเราจักตามไปภายหลัง พระมาตลีรับเทวบัญชาแล้วลงมาจากเทวโลก ไปถึงเมืองกุสุมภบุรี คนเหล่านั้น ยืนอยู่ในท่ามกลางพระนคร ส่วนมาตลีเทพบุตรบันลือเสียงดังก้องกังวานขึ้นสามครั้ง แผ่นดินไหว ชาวนครตกใจ พากันวิ่งหนีไปทางโน้นทางนี้ มนุษย์บางพวกหนีไปซ่อนอยู่ตามภูเขาพุ่มไม้บ้าง ตามชายฝั่งแม่น้ำบ้าง ลำดับนั้น พระราชาสดับศัพทโฆาแล้ว ตกพระทัย เสด็จขึ้นไปประทับอยู่บนปราสาทเจ็ดชั้น แล้วตรัสถามว่า นั่นเสียงอะไร มาตลีเทพบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ สุนัขของข้าพระบาทหิว ขอพระองค์จงประทานข้าวสุกเถิด
พระราชา สดับเรื่องนั้นแล้ว บังคับพวกมนุษย์แล้ว มนุษย์ทั้งหลาย กระทำตามพระดำรัสของพระราชาแล้ว สุนัขกัดกินข้าวสุกนั้นคราวเดียวนั้นเอง ยังไม่อิ่ม สุนัขได้ทำเสียงอุโฆษขึ้น จนครั้งที่สาม มาตลีเทพบุตรทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ สุนับของข้าพระบาทหิว เคี้ยวกินข้าวสุกแล้วยังไม่อิ่ม ในเมืองนี้ มีคนพวกอธรรมอยู่มาก พระองค์จงประทานคนพวกอธรรมเหล่านี้ คือ คนผู้ทำลายกุฎีวิหารและเทวสถาน คนอกตัญญู คนไม่เคารพรักมารดาบิดาครูและพี่น้องของตน และไม่ปกครองบุตร ภรรยา คนผู้เบียดเบียนสัว์มีชีวิต และตัดหัวคนเดินดงชิงเอาทรัพย์ คนที่นินทาว่าร้ายสมณพราหมณ์ คนที่ไม่คบพวกชอทาน สตรีมีครรภ์ทำให้ลูกตนไป คนที่เต็มใจยกที่ดินให้เขาแล้วภายหลังกลับคำเรียกคืนเข้าครอบครองเสียเอง คนผู้ให้โภชนะแก่ภิกษุแล้วเอามาบริโภคเสียเอง คนผู้ขับไล่ภิกษุไปเสียจากอาสนะ พวกพ่อค้าพาณิชที่รับเอาทรัพย์ของเขาไว้ขายของชำรุงเสียหายให้เขา คนไม่ยินดีฟังธรรม ไปคิดนึกการอะๆ อื่นเสีย พระองค์จงประทานให้คนพวกนั้นทั้งหมดแก่สุนัขกินเสียเถิด พระเจ้าข้า พระราชาทรงทำเช่นนั้นแล้ว
จำเดิมแต่นั้นมา พระมหาโพธิสัต์บำเพ็ญบุญมีทานและศีลเป็นต้น ประทานโอวามแก่มหาชน ทรงครองราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เมื่อสิ้นพระชนมายุแล้ว มีสวรรค์เป็นที่ดำเนินไปข้างหน้า ชนชาวนครตั้งอยู่ในโอวาทพระโพธิสัตว์แล้ว ได้ไปเกิดในเทวโลก
พระศาสดาครั้นทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงประกาศจตุราริยสัจกถาทั้งปวงแล้วประชุมชาดกว่า ท้าวสักกเทวราชในกาลนั้น กลับชาติมาคือพระอนุรุทธะ มาตลีเทวบุตรในกาลนั้นกลับชาติมาคือพระอานนทเถระ นางสุนันทาเทวีในกาลนั้น กลับชาติมาคือนางอุบลวรรณาเถรี มหาชนในกาลนั้น กลับชาติมาคือพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าพรหมโฆสในกาลนั้น กลับชาติมาคือเราเอง สัมมาสัมพุทธเจ้า โลกนาถ ขอท่านทั้งหลาย จงทรงจำชาดกไว้ ด้วยประการฉะนี้
|
16740
|
40195
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16740
|
เทวรุกขกุมารชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภทานบารมีของพระองค์ ตรัสคำนี้ว่า อิมินา จ ปน ภนฺเต ดังนี้
ความมีอยู่ว่า ครั้งนั้น บุรุษคนหนึ่งออกจากบ้าน ถือเอาดอกไม้ธงและอาหารเช้าไปสู่พระเชตวัน ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้่า ยืนอยู่ที่ควรข้างหนึ่ง บูชาพระธรรมด้วยดอกไม้ธงและอาหาร ขณะนั้น ดอกไม้ธงและอาหารแตกกระจายออกไปตั้งพน เกิดขึ้นขึ้นบูชาพระธรรมตรงพระพักตร์ของพระศาสดา ด้วยเดชและด้วยกำลังแห่งการบูชา บุรุษนั้นเห็นอัศจรรย์แล้วเกิดโสมนัส สรรพรัตนะปรากฎขึ้นแล้วในบ้านของตน จึงถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิต
ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรม พรรณนาอยู่ว่า ชื่อว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทรงไว้ซึ่งกำลังคุณมากมาย สัตว์ทั้งหลายมีเทวดามนุษย์คนธรรพ์ครุฑนาคกินนรและพรหมเป็นต้น ทำการบูชารัตนตรัยด้วยกำลังศรัทธา สมบัติทั้งหลายได้ปรากฏเห็นประจักษ์อย่างนี้ สัมปรายภพเป็นอย่างไร ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับด้วยทิพยโสตเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า ชื่อว่าทานอันบุคคลให้แล้วด้วยศรัทธาจิต ผลอันอุกฤษฏ์ย่อมปรากฏในปัจจุบันทีเดียว ผลทานเป็นของอัศจรรย์ นักปราชญ์แต่ปางก่อน ได้บูชาพระพุทธรูปซึ่งมีญาณยังไม่แก่กล้า ย่อมได้สมบัติในปัจจุบัน ด้วยกำลังแห่งผลบูชา ดังนี้แล้ว ทรงนิ่งไป อันพระภิกษุทั้งหลายทูลขอ จึงทรงนำอดีตนิทานแสดงว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตการ มีพระราชาองค์หนึ่ง ครองราชสมบัติอยู่ในปุรินทนคร คราวนั้น พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลคนเข็ญใจ ชื่อว่าเทวรุกขกุมาร วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ ลุกขึ้นแต่เช้า เกี่ยวหญ้าและหาฟืนมาขาย ได้ทรัพย์มาเลี้ยงชีพ พระโพธิสัตว์นั้น รักษาปัญจศีลสมาทานอุโบสถ วันต่อมา เข้าไปสู่ป่า ได้เห็นต้นรัง ส่งรัศมี ประหนึ่งแสงสุริโยทัย พระโพธิสัตว์นึกไปว่า ไม้รังต้นนี้สวยงาม ชะรอยอะไรจะมีในที่นี้ จึงเดินเข้าไปใช้ต้นรังนั้น มองดูที่นั้น ได้เห็นพระพุทธรูป ตบอก ไว้พระพุทธรูป กล่าวว่า ข้าแต่พระโลกนาถผู้เจริญ ผู้เป็นที่พ่งกรุณาของโลก ก็แล ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นำดอกไม้ทั้งหลายมาบูชาพระพุทธรูป ฉีกผ้าห่มของตนออกทำเป็นวิชนี ปัดกวาดภายใต้ต้นรัง ฉีกผ้าซึ่งไม่มีค่าของตนออกทำเป็นแผ่นธงบูชาพระพุทธรูปไหว้โดยเคารพ ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ทำความปรารถนาว่า ด้วยบุญกรรมอันนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพึงได้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดกว่าสรรพสัตว์ ในกาลหน้า ก็ถ้าเมื่อยังเที่ยวอยู่ในสงสารวัฏ พึงไปเกิดในอุดมตระกูล บริบูรณ์ด้วยกำลัง รูปงาม มีปัญญา ประเสริฐสุดกว่าเหล่ามนุษย์ พวกปัจจามิตรมีโจรเป็นต้น อย่าได้มีมาเฉพาะหน้าของข้าพเจ้า ขอให้ข้าล่วงพ้นเวรภัยทั้งมวลเป็นบรมสุข
คราวนั้น มีหญิงหม้ายคนจนผู้หนึ่ง รักษาศีลห้า มีอาชีพเกี่ยวหญ้าหาฟืนขายเลี้ยงมารดา ในเวลาต่อมาหญิงนั้นกลับจากป่าเดินมาพบพระพุทธรูป ได้เข้าไปนมัสการฉีกผ้าโพกศีรษะตรงกลางออก บูชาพระพุทธรูปท่อนหนึ่ง ตั้งความปรารถนาว่า ด้วยการบูชาด้วยผ้านี้ ขอให้ข้าพเจ้าพึงไปเกิดเป็นหญิงมีรูปทรงผิวพรรณงาม ดังเทพกัญญา จงได้เป็นอัครชายาของชายคนนั้น ขออย่าให้ข้าเป็นคนเข็ญใจ นับได้แสนแห่งชาติ ขอให้ไปเกิดในสกุลพราหมณ์หรือกษัตริย์เป็นใหญ่กว่านรชนทั้งมวล อันมนุษย์และเทพยดาทั้งหลายบูชาแล้ว ผ้าอาภรณ์พึงให้เกิดมีร่ำไป กว่าข้าพเจ้าจะได้ถึงพระนิพพาน ดังนี้แล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ลุกออกจากอาสนะมานั่งอยู่ในที่นั้นนั่นเอง ลำดับนั้น ด้วยเดชแห่งบุญแห่งชนทั้งสองที่ได้ทำไว้แล้วในปางก่อน และด้วยอานุภาพกุศลที่ชนทั้งสองได้สร้างในปัจจุบัน ชนทั้งสองก็ได้เป็นสามีภรรยากัน ตามปรารถนา
พระศาสดาทรงหมายเอาเรื่องนี้ จึงตรัสสอนพุทธบริษัทสี่อย่างนี้ว่า ชนเหล่าใด แม้จะเป็นเด็กหนุ่มสาว สูงอายุ คนพาล บัณฑิต ผู้มั่งมีหรือยากจนทั้งมวล ย่อมมีความตายเป็นไปในเบื้องหน้า ชนทั้งปวงนั้น สมาทานศีลห้า รักษาไม่ให้ขาด เว้นจากปาณาติบาต งดเว้นสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ทุกวันข้างขึ้น ข้างแรม สิบห้าค่ำ แปดค่ำ สิบสี่ค่ำ ชนเหล่าใด ทำพุทธบูชา ชนเหล่านั้น ย่อมยินดีในเทวโลก ชนเหล่าใด ถวายผ้าทำเพดานพระพุทธเจดีย์เป็นต้น ชนเหล่านั้น ย่อมจะได้รื่นรมย์ในเทววิมาน ด้วยผลแห่งบุญที่บำเพ็ญแล้วนั้น ชนเหล่าใด ได้ทำเพ็ญทศทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องยานพาหนะ ที่นั่ง ที่นอน ประทีป สิบอย่างนี้หรือบริจาคแต่อย่างหนึ่งก็ดี ชนเหล่านั้น ครั้นทำลายขันธ์แล้ว จะได้ไปรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก จะได้เป็นพระอินทร์เจ็ดชาติ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชและประเทศราชถึงพันชาติ จะไม่เกิดในอบายภูมิสี่ จะเกิดในมนุษยโลก จะไม่เกิดในตระกูลต่ำมีทาสทาสีเป็นต้น ย่อมจะเกิดในตระกูลกษัตริย์และพราหมณ์ ด้วยอำนาจแห่งผลบุญนั้น
ถ้าสัตว์เดียรัจฉานปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ เมื่อได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว จะบริบูรณ์ด้วยลักษณ์ ๓๒ ประการ ประกอบด้วยวิสารทญาณเฉียบแหลม ถ้าบุญนั้นบกพร่อมไป จะได้ผลติดต่อก่อขึ้นใหม่ในปัจจุบัน บุญเก่านั้นยังไม่สิ้นไปตราบใด อันตรายจักวินาศไปตราบนั้น โรค ๙๖ ชนิดภายในมีวรรณโรคเป็นต้นจักพินาศไป ภัย ๑๐๘ ชนิดมีราชภัยเป็นต้น จักไม่มีมาพ้องพาน จะเป็นอิสรภาพทั่วทุกสถาน ชนทั้งหลาย อันมนุษย์และเทพยดาจะบูชาเป็นนิตย์ จะมีความสุขสบายจิตทุกๆ อิริยาบถ ด้วยผลแห่งบุญนั้น
|
16741
|
2651
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16741
|
สลภชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภซึ่งปัญหาที่พระองค์ทรงแก้แก่กาและหนอน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อหํ ชาติโก หุตฺวา ดังนี้
ความมีอยู่วา ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรม นั่งพรรณนาคุณของพระศาสดาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระตถาคต มีพระปัญญามาก หนักแน่น ลึกซึ้ง ว่องไว แก่กล้า เบิกบาน โดยที่สุด แม้แต่ปัญหาของสัตว์เดียรัจฉานพระองค์ทรงพยากรณ์ได้ พระตถาคตมีพระปัญญามากเทียวหนอ พระศาสดา เสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจะได้วิสัชนาติรัจฉานปัญหาในชาตินี้เท่านั้นก็หาไม่ ถึงในกาลก่อน ติรัจฉานปัญหาเช่นนี้ก็ได้เคยมีมาแล้ว ดังนี้แล้ว อันภิกษุทั้งหลายทูลวิงวอน ทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่าพรหมทัต ครองราชสมบัติในพาราณสีนคร ก็ในคราวนั้น พระโพธิสัตว์อุบัติในกุฎุมพิกสกุล เมื่อถ้วนทศมาส ก็คลอดจากครรภ์มารดา พระโพธิสัตว์เจริญวัยขึ้นโดยลำดับ กาลต่อมา เมื่อบิดาตายไปแล้ว ได้ทรัพย์สมบัติมาก คิดว่า เราจะบริจาคทางให้เป็นทางไปสู่สวรรค์ แล้วบริจาคทานแก่ยาจกทั้งหลาย ถึงเจ็ดวันแบ่งทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดเป็นสองส่วน แบ่งถวายพระราชาส่วนหนึ่ง มอบให้แก่หมู่ญาติทั้งปวงเสียส่วนหนึ่ง แม้พระองค์เองเข้าสู่ป่าหิมพานต์ แล้วไปบวชเป็นดาบสอยู่ในอาศรมในป่าหิมพานต์นั้น เลี้ยงชีวิตด้วยรากไม้และผลไม้ บำเพ็ญกสิณบริกรรมได้ฌานอยู่สิ้นกาลนาน
คราวนั้น มีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ตั้งอยู่ด้านปราจีนทิศแห่งอาศรมมีตั๊กแตนตัวใหญ่ตัวหนึ่งตัวใหญ่เท่าลูกฟัก อาศัยอยู่ที่ต้นไทรใหญ่นั้น ในคราวนั้น มีนกครุฑตัวหนึ่ง ออกจากภพเที่ยวไปในสรรพทิศ ไม่ได้อาหารกินถึงเจ็ดวัน บินมาถึงมหานิโครธ นั่งจับเจ่าอยู่ เห็นตั๊กแตนตัวใหญ่ตัวหนึ่งแล้วคิดว่า โอหนอ วันนี้เราได้กินอาหารหละ ดังนี้แล้ว พูดกะตั๊กแตนตัวใหญ่ว่า แนะตั๊กแตนตัวใหญ่ เราจะกินตัวท่านละ ตั๊กแตนตัวใหญ่ได้ฟังนกครุฑแล้วตกใจ คิดว่า เราจักทำอุบายอย่างไร นกครุฑตัวนี้มีกำลังมาก จักกินเรา ชีวิตของเราย่อมไม่มี ตั๊กแตนตัวใหญ่พูดกะนกครุฑว่า แน่ะท่านมหานกครุฑผู้เจริญ ท่านรู้จักสิ่งใดจึงจะกินเรา ลำดับนั้น นกครุฑได้กล่าวกะตั๊กแตนตัวใหญ่ว่า แน่ะตั๊กแตนตัวใหญ่ ตัวท่านรู้จักธรรมหรือ ตั๊กแตนตัวใหญ่กล่าวว่า แน่ะนกครุฑ เรารู้จักธรรม นกครุฑกล่าวว่า แน่ะตั๊กแตนตัวใหญ่ ท่านรู้ จงบอกเรา ตั๊กแตนตัวใหญ่ขู่นกครุฑว่า นกครุฑผู้เจริญ เราจะถามปัญหาสี่ข้อ ถ้าว่า ท่านรู้ จงกินเราเถอะ ถ้าว่า ท่านไม่รู้ จะกินเราศีรษะของท่านจัจกแตกเจ็ดภาค ดังนี้แล้ว จึงถามปัญหา นกครุฑได้วิสัชนาแล้ว ครั้งนั้นแล ตั๊กแตนตัวใหญ่กล่าวว่า นกครุฑผู้เจริญ ท่านไม่รู้ความหมายหรืออธิบาย แม้แต่สักข้อหนึ่งเลย ท่านจะกินเรายังไม่ได้ ถ้าว่า ท่านจะขืนกินเรา ศีรษะของท่านจักแตกออกเจ็ดชิ้น ถ่้าว่า ท่านจะกินเราให้ได้ เรามาพากันไปถามพระดาบส พระดาบสพยากรณ์สมคำของท่าน ท่านจงกินเราเถิด ลำดับนั้น นกครุฑตอบว่า ดีแล้ว นกครุฑผู้เจริญ เราจักไป ดังนี้แล้วก็พากันบินไปยังสำนักพระดาบส ยืนอยู่ที่ควรข้างหนึ่ง ตั๊กแตนได้กล่าวกะดาบสว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า นกครุฑตัวนี้จะกินข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าถามปัญหาสี่ข้อ นกครุฑไม่สามารถแก้ได้แม้สักข้อเดียว ข้าพเจ้าทั้งสองจึงพากันมา ขอท่านช่วยวิสัชนาปัญหา ทำเนื้อความปัญหาให้แจ่มแจ้งแก่ข้าพเจ้าทั้งสองด้วยเถิด
พระดาบสถามว่า แน่ะตั๊กแตนตัวใหญ่ ปัญหาสี่ข้อนั้นท่านถามว่ากระไร นกครุฑเขาแก้ปัญหาได้ความว่าอย่างไร ตั๊กแตนตัวใหญ่จึงบอกอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สภาวะสิ่งหนึ่งงามยิ่ง ได้แก่ สิ่งอะไร นกครุฑพยากรณ์ว่า สภาวะสิ่งหนึ่งชื่อว่างามยิ่งนั้น ได้แก่ พระจันทร์ วันเพ็ญสิบห้าค่ำ ดาบสถามว่า จริงหรือ เจ้าครุฑ นกครุฑตอบว่า จริง ท่านผู้เจริญ พระดาบสพูดกะนกครุฑว่า แน่ะนกครุฑ ท่านหารู้จักพยากรณ์ปัญหาให้ถูกได้ไม่ แล้วพยากรณ์ว่า แน่ะนกครุฑ สภาพอันหนึ่งชื่อว่างามยิ่งนั้น ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๕ ศีล ๘ เหล่านี้ มีอยู่แก่มนุษย์พวกใด มนุษย์พวกนั้น ชื่อว่างามยิ่งในโลกนี้และโลกหน้า ตั๊กแตนตัวใหญ่ให้สาธุการว่า ดีละ กล่าวอีกว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถามว่า สภาพอีนหนึ่งชื่อว่ายาวยิ่ง ได้แก่ สิ่งอะไร นกครุฑพยากรณ์ว่า สภาพอันหนึ่งชื่อว่ายาวยิ่งนั้น ได้แก่ หนทางที่มหาชนเดินไปมาทุกๆ วัน พระดาบสถามว่า จริงหรือเจ้านกครุฑ นกครุฑตอบว่า จริง ท่านผู้เจริญ แล้วเฉลยว่า แน่ะนกครุฑ ท่านหารู้จักพยากรณ์ปัญหาให้ถูกได้ไม่ แล้วพยากรณ์ว่า ท่านจงฟัง สภาพอันหนึ่งชื่อว่ายาวยิ่งนั้น ได้แก่ ธรรม ๒ ประการ คือ สัปปุริสธรรม และอสัปปุริสธรรม ธรรม ๒ ประการนี้ ชื่อว่ายาวและไกลกัน เหมือนดั่งฝั่งสมุทร หรือแผ่นดินกับฟ้า ฉะนั้น ชื่อว่า สัปบุรุษไกลจากพวกอสัปบุรุษด้วยคุณร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า แน่ะนกครุฑ ท่านพูดว่า สภาพอันหนึ่งชื่อว่ายาวยิ่ง ได้แก่ หนทาง ข้อนั้นผิด ตั๊กแตนตัวใหญ่ให้สาธุการ แล้วกล่าวอีกว่า ท่านดาบสผู้เจริญ ข้าพเจ้าถามว่า สภาพอันหนึ่งชื่อว่าละเอียดอ่อนยิ่งนั้น ได้แก่ สิ่งอะไร นกครุฑพยากรณ์ว่า สภาพอันหนึ่งชื่อว่าละเอียดอ่อนยิ่งนั้นได้แก่ นุ่นสำลีใย ดาบสถามว่า จริงหรือ เจ้านกครุฑ นกครุฑตอบว่า จริง ท่านผู้เจริญ ดาบสกล่าวว่า ท่านจงฟัง สภาพอันหนึ่งชื่อว่าละเอียดอ่อนยิ่งนั้น ได้แก่ พระโลกุตรธรรมกับปริยัติธรรม พระโลกุตรธรรมกับพระปริยัติธรรม สุขุมละเอียดยิ่งกว่าสิ่งอื่นทั้งมวล ตั๊กแตนตัวใหญ่ให้สาธุการ แล้วกล่าวอีกว่า ท่านดาบสผู้เจริญ ข้าพเจ้าถามว่า สภาพอันหนึ่งชื่อว่าไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า ได้แก่ สิ่งอะไร นกครุฑพยากรณ์ว่า ได้แก่ มรณธรรมคือความตาย อัสสะปัสสาสะของสัตว์โลกชื่อว่า ไม่มีสภาพอื่นยิ่งกว่า ดาบสถามว่า จริงหรือ เจ้านกครุฑ นกครุฑตอบว่า จริง ท่านผู้เจริญ ดาบสกล่าวว่า แน่ะนกครุฑ ท่านย่อมไม่รู้ สภาพอันหนึ่งชื่อว่าไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่านั้น ได้แก่ พระอริยสาวกทั้งหลายๆ แรกทำวิปัสสนาให้เจริญแล้ว บรรลุฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ แล้วบรรลุโสดาปัตติผล สกทามิผล อนาคามิผล และอรหัตผล แล้วดับกิเลสได้สิ้นเชิง ส่วนนี้เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ปัญจขันธ์ ๕ คือ กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ ย่อมดับไป อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอาทิ ย่อมดับไป พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธสาวกทั้งหลายท่านย่อมดับปัญจขันธ์ ๕ อย่างนี้ เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน อันนี้แหละชื่อว่าสภาพไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า แน่ะนกครุฑ คำที่กล่าวว่ามรณธรรมนั้น ผิด หาถูกไม่ ลำดับนั้นแล ตั๊กแตนตัวใหญ่ ได้ให้สาธุการ เทพยดาในไพรสณฑ์ก็ให้สาธุการ ในขณะนั้น ตั๊กแตนตัวใหญ่กล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะนกครุฑผู้เจริญ ปัญหาสี่ข้อที่เราถามท่าน ท่านแก้หาถูกไม่ อันพระดาบสพยากรณ์ก็หาสมคำท่านไม่ ท่านยังจะกินเราอีกหรือ นกครุฑจึงตอบว่า เราไม่กินท่านละ ลำดับนั้น พระดาบสให้โอวาทแก่นกครุฑว่า ตั้งแต่นี้ไป ท่านจงกินอาหารที่ควรกิน อย่ากินอาหารที่ไม่ควรกิน ดังนี้แล้วจึงแสดงศีลห้าให้ฟัง นกครุฑและตั๊กแตนตัวใหญ่ นมัสการพระดาบส กระทำประทักษิณ ลากลับไปยังที่อยู่ของตนแล้วแล
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนามีมาแล้ว ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้พยากรณ์ปัญหาแก่สัตว์เดียรัจฉานแต่ในบัดนี้ก็หาไม่ แม้ในกาลก่อน การพยากรณ์ดิรัจฉานปัญหา ได้มีมาเหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า มารดาพระโพธิสัตว์ในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระมหามายา บิดาพระโพธิสัตว์ในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระอานนท์ผู้เป็นพระอนุชา ตั๊กแตนตัวใหญ่ในครั้งนั้นกลับชาติมาคือพระสารีบุตร นกครุฑในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพุทธบริษัท พระดาบสผู้มีผัญญามากในครั้งนั้น กลับชาติมาคือพระตถาคต ดังนี้
|
16742
|
40197
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16742
|
สิทธิสารชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ทรงพระปรารถพระธรรมจักร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ตโต โส สิทฺธิสาโร จ ดังนี้
ความมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย นั่งประชุมพรรณนาโพธิสมภารของพระผู้มีพระภาคอยู่ในโรงธรรมว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่า พระศาสดา มีพุทธสมภารอันสำเร็จด้วยผลแห่งพระกุศลพระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎี มายังโรงธรรม ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลว่ ด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ในกาลที่ตถาคตยังเป็นโพธิสัตว์เคยมีสมบัติบริบูรณ์ด้วยกุศลวิบากมาแล้ว ดังนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่ อันภิกษุทั้งหลายกราบทูลวิงวอน จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่าพรหมทัต ครองราชสมบัติสนเมืองพาราณสี พระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตนั้นพระนามว่าวิมาลาราชเทวี พระโพธิสัตว์จุติจากดุสิตพิภพมาปฏิสนธิในพระครรภ์ของวิมาลาเทวี เมื่อครบกำหนดทศมาสแล้ว พระนางวิมาลาก็ประสูตรพระโอรสผู้มีผิวพรรณวรรณะเป็นสิริ พระราชบิดามารดาทรงประทานนามว่า สิทธิสาร
พระโพธิสัตว์มีบริวารพันหนึ่ง มีปัญญามาก กล้าหาญ หากลัวผู้อื่นไม่ เล่นอยู่กับหมู่กุมารื้งหลาย ด่าว่าทุบตีเขาเหล่านั้น พวกกุมารเหล่านั้นร้องไห้ไปบอกแก่มารดาบิดา มารดาบิดาแห่งกุมารเหล่านั้น พากันไปเฝ้าพระราชากราบทูลให้ทรงทราบ พระราชาทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว ทรงกริ้วมากต่อสองกุมารนั้น รับสั่งให้ขับไล่เสีย พระนางวิมาลาเทวีทรงสดับเรื่องนั้น ทรงกรรแสงไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมทูลวิงวอนว่า ข้าแต่สมมติเทพ ราชสมบัติของพระองค์จักพินาศ พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว มิได้โปรดประภาษประการใดกับพระเทวี พระสิทธิสารกุมารอภิวันทนาบิดามารดาแล้ว จึงออกจากพระนคร พวกบริวารของพระมหาโพธิสัตว์ก็ตามออกไปส่งสองกุมารนั้น
พระสิทธิสารมหาโพธิสัตว์ ทรงประทานโอวาทแก้บริวารของพระองค์ แล้วตรัสว่า ตั้งแต่นี้ ขอท่านทั้งหลายจงกลับเถิด ชนเหล่านั้น ไหว้พระมหาโพธิสัตว์ กลับยังพระนคร มีใจโทมนัส จำเดิมแต่นั้น พระสิทธิสารก็คมนาการไปตามลำดับ สิ้นทางได้โยชน์หนึ่ง ก็ถึงเมืองมิถิลา ในวันนั้น พระราชาประชวรพระโรค เสด็จทิวงคตไปได้เจ็ดวัน มหาชนมีอำมาตย์เป็นต้น ได้ทำการปลงพระศพแล้ว ในวันนั้น พระสิทธิสาร ไปยังพระราชอุทยาน นอนเอาผ้าคลุมศีรษะจนถึงเท้าบนหินดาด ลำดับนั้น ชนทั้งปวง ประชุมกัน ถามปุโรหิตว่า ท่านอาจารย์ผู้เจริญ พระราชโอรสและราชธิดาของพระราชาพวกเราหามีไม่ ก็ใครจักเป็นพระราชาของพวกเรา ปุโรหิตจึงพูดขึ้นว่า เราทั้งหลายจักแต่งปุสสรถให้งามวิจิตร ยกเอาปัญจราชกกุธภัณฑ์ใส่ไว้แล้วปล่อยไป อำมาตย์ทั้วปวงฟังคำนั้นแล้ว จึงประดับปุสสรถด้วยสรพาภรณ์วิภูสิต เมื่อไหว้อยู่ กล่าวอธิษฐานว่า แน่ะปุสสรถผู้เจริญ ใครเป็นเจ้านายของพวกเรา มีอยู่ในสกลนคร ปุสสรถ จงไป อำมาตย์ทั้งปวงปล่อยปุสสรถไป พวกพนักงานก็ประโคมดนตรีตามไปเบื้องหลัง ปุสสรถนั้น ทำปทักษิณนครแล้ว ออกจากนครตรงไปสู่ราชอุทยาน ทำปทักษิณมงคลศิลาบัฏแล้ว ทำอาการเหมือนจะเกยทับพระมหาโพธิสัตว์ ปุโรหิต เห็นปุสสรถหยุดอยู่ จึงดำริว่า บุรุษผู้นี้ ไม่มีบุญ จักหนีไป ถ้าว่า มีบุญ จักไม่หนีไป เราจักทดลองดู พนักงานประโคมดนตรีขึ้นพร้อมกัน
พระมหาโพธิสัตว์สดับเสียงดนตรี แล้วเลิกผ้าคลุมศีรษะออกแลดูแล้วก็นอนทางเบื้องซ้ายอีกต่อไป ปุโรหิตเดินเข้าไปใกล้พระมหาโพธิสัตว์ เลิกผ้าคลุมเท้าออก ตรวจดูปาทลักษณะ เห็นปาทลักษณะแล้ว จึงพูดว่า ทวีปหนึ่งจงยกไว้ บุรุษผู้นี้ มีบุญอาจจะครองราชสมบัติในทวีปทั้งสี่ได้ แล้วจึงปลุกให้พระโพธิสัตว์ตื่นขึ้นแจ้งว่า ข้าแต่นาย ราชสมบัติมาถึงแก่ท่าน ท่านจงเป็นอิสระของพวกเราเถิด พระมหาโพธิสัตว์ ถามว่า พระราชโอรสและราชธิดาของพระราชาไม่มีหรือ ปุโรหิตตอบว่า สมมุติเทพ พระราชโอรสและราชธิดาของพระราชาหามีไม่ พระมหาโพธิสัตว์ประสงค์จะครองราช์จึงรับว่า ดีละ ดังนี้ อำมาตย์ทั้งปวงกับพลนิกายทั้งหลาย พากันอุ้มพระโพธิสัตว์นั้นขึ้นรถนำไปถึงพระนคร ให้นั่งบนบรรลังก์ พร้อมกับอภิเษกพระมหาโพธิสัตว์ถวายพระนามว่า พระเจ้าจักรพรรดิราช ลำดับนั้น ยศใหญ่ได้มีแก่พระโพธิสัตว์แล้ว สถานที่ที่พระโพธิสัตว์นั้นแลดูหวั่นไหวแล้ว พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชแล้วทรงครองราชสมบัติโดยยุติธรรม
พระศาสดา เมื่อจะประกาศความนั้น จึงตรัสว่า ตั้งแต่พระสิทธิสารได้เป็นพระราชาจักรพรรดิแล้ว บริบูรณ์ด้วยแก้วเจ็ดประการ ทรงอิทธิใหญ่ มีบุญมาก มีปัญญามาก มีลาภและยศมาก มีกำลังและเดชมาก ย่อมได้สำเร็จผลด้วยบุญกรรมที่ทรงทำไว้ บุคคลใด ทรงบุยไว้ประเสริฐกว่านรชน บุคคลนั้น ครองราชย์อันไพบูลย์โดยธรรม ยินดีสุขที่ยิ่งกว่าสุขทั้งปวง ด้วยวิบากสมภารที่มีผลไพบูลย์ ลำดับนั้น สิทธิสารประเสริฐยิ่งกว่าราชาทั้งหลาย เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ที่เป็นภุมมเทวดา มีสารถ วรรณะดังทอง มีสุขะ มีพละ มีอายุยืนแสนปี ต่อกาลนานมา พระเจ้าจักรพรรดิ สิ้นพระชนมายุแล้ว ก็เสด็จไปอุบัติในดุสิตสวรรค์
|
16743
|
2651
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16743
|
นรชีวกฐินทานชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงพระปรารภกฐินทานแห่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสธรรมเทศนานี้ว่า เย ชนา สุขมิจฺฉนฺตา ดังนี้
ความมีอยู่ว่า คราวเมื่อถึงฤดูฝน ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศล มีรับสั่งให้พนักงานเภรีเอากลองไปตีประกาศป่าวร้องทั่วไปในพระนครว่า ดูกรชาวนครทั้งหลายผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจงช่วยกันปฏิบัต้พระภิกษุซึ่งจำพรรษาในระหว่างไตรมาส ด้วยจตุปัจจัยตามที่ได้มา ส่วนพระองค์ทรงนิมนต์พระกัจจายนเถระ ให้มาจำพรรษาเป็นประธานแก่พระสงฆ์ในพรอาราม ครั้นสิ้นไตรมาสแล้วทรงซื้อผ้าขาวบริสุทธิ์ผืนหนึ่ง เพื่อจะถวายเป็นผ้ากฐินแล้ว เตรียมเครื่องอุปกรณ์มีเข็มเย็บผ้าเป็นอาทิ และรับสั่งให้จัดแจงเครื่องบริโภคมียาคูและภัตรเป็นต้น และให้ปริชนขนเครื่องสักการะมีประทีปธูปและคันธมาลาเป็นอาทิแล้วนำผ้าผืนนั้นไปยังพระวิหารมอบถวายเป็นกฐินจีวรแก่ภิกษุสงส์มีพระกัจจายนะเป็นประมุข
ขณะนั้น ภิกษุสงส์ประชุมกัน เปล่งกรรมวาจา มอบให้พระกัจจายนเถระเพื่อครองและกราลผ้ากฐิน ในครั้งนั้น ฝ่ายพระกัจจายนเถระรับผ้านั้นไว้ จึงฉีกและยัอมเสร็จในวันนั้น แล้ทำกัปปพินทุ ถอนผ้าจีวรเก่า อธิษฐานผ้าใหม่ ห่มออกมานั่งอยู่บนอลงกตมัญจอาสนะ ในคราวนั้น แม้พระราชากับราชบริษัท บังเกิดโสมนันสยิ่ง คราวนั้น พระเถระ แสดงธรรมแก่พระราชาและมหาชน เมื่อจบธรรมเทศนาของพระเถระนั้น แม้ราชบริษัททั้งปวง ได้บรรลุมรรคผลมีพระโสตาปัตติผลเป็นต้น เว้นแต่พระเจ้าปเสนทิโกศล
มีคำถามว่า เพราะเหตุไร พระราชสจึงหาได้บรรลุอัครธรรมไม่ มีคำตอบว่า พระราชาทรงปรารถนาเฉพาะพระโพธิธญาณไว้ เพราะเหตุนั้น จึงมิได้อัครธรรม
คราวนั้น ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย น่าสรรเสริญจริง ได้ยินว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงพระราชทานผ้าพระกฐินแก่พระกัจจายนเถระ ฝ่ายราชบริษัททั้งปวง ได้ฟังอานิสงส์กฐินจากพระกัจจายนเถระแล้ว ได้เป็นโสดาบันบุคคล พระศาสดา ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว เสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ ตรัสว่า ชื่อกฐินทาน จะได้มีแต่เดี๋ยวนี้ก็หาไม่ ถึงในกาลก่อน เมื่อตถาคตยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ได้ชักชวนนายกุฎุมพีผู้หนึ่ง ให้ถวายพระกฐินแก่ภิกษุสงฆ์มีองค์พระปทุมุตรพุทธเจ้าเป็นประธาน จึงได้พระสัพพัญญุตญาณในกาลบัดนี้ แล้วก็ทรงนิ่งอยู่ อันภิกษุทั้งหลายกราบทูลวิงวอน จึงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่าอานันทะ ครองราชสมบัติอยู่ในนครหงสาวดี คราวนั้น แม้พระโพธิสัตว์ได้อุบัติในสกุลคนเข็ญใจ ปรากฎนามว่า นรชีวะ เลี้ยงดูมารดา คราวนั้นแม้พระโพธิสัตว์เที่ยวทำการรับจ้างคนอื่นเขาเลี้ยงชีพ เที่ยวไปถึงบ้านตำบลนั้น ได้รับจ้างเฝ้าไร่ข้าวของกุฎุมพี และอาศัยอยู่ที่บ้านของกุฎุมพีนั้น ครั้นกาลนานมา พระโพธิสัตว์จึงตักเตือนกุฎุมพีผู้เป็นนายว่า คนมั่งมีทรัพย์เสมือนเช่นตัวท่านนี้ ทานอันใดที่มีผลมาก ท่านควรบริจาคทานนั้นไว้ในพระศาสนาของพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝ่ายกุฎุมพีผู้เป็นนาย ได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้วถามว่า ทานอะไรจะมีผลมากกว่า พระโพธิสัตว์จึงตอบว่ ชื่อว่าทานอันบุคคลถวายแก่พระศาสดา มีผลมากยิ่ง ฝ่ายกุฎุมพีใคร่จะถวายผ้ากฐินทาน จึงจัดหาเครื่องสมณบริขารมีฟูกหมอนเป็นอาทิซึ่งสมควรแก่พระภิกษุสงฆ์ ลำดับนั้นแล กุฎุมพีผู้เป็นนายนั้น พร้อมด้วยนรชีวะและบริษัทของตน ช่วยกันขนเครื่องกฐินออกไปยังสำนักของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า แล้วถวายกฐินทานแก่พระองค์
ฝ่ายว่านรชีวะ จึงหมอบลงแทบบาทมูลแห่งพระปทุมุตตรสัมพุทธเจ้า แล้วทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าพระองค์ได้ชักนำกุฎุมพีให้ถวายผ้ากฐินนี้ ขอให้ข้าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในกาลภายหน้า แม้ข้าพระองค์ ยังไม่ไปถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ตราบใด ชื่อความเข็ญใจอย่าได้มีแก่ข้าพระองค์เลย พระเจ้าข้า ลำดับนั้นแล ฝ่ายพระปทุมุตตรโลกนาถเจ้า ทรงพยากรณ์แก่นรชีวกุฎุมพีนั้นว่า ก็ด้วยผลแห่งกฐินทานนี้ ท่านจักเป็นพระศากยมุนีในอนาคตกาล ความหวังของท่านจักสำเร็จสมปรารถนาแล
|
16744
|
104593
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16744
|
อติเทวราชชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยเมืองราชคฤห์จำพรรษาอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภบุรพจริยาของพระองค์ ตรัสพระคาถานี้ว่า สุจิปิ ตสฺมึ นคเร จ ดังนี้
ความมีอยู่ว่า แท้จริง พระศาสดา เมื่อทรงอนุญาตผ้าเพื่อกฐินแก่ภิกษุทั้งหลายซึ่งมีจีวรอันคร่ำคร่า ผู้มีพรรษาอันอยู่แล้วถ้วนไตรมาส แล้วบัญญัติสิกขาบทไว้ โดยนัยที่พระสังคีติกาจารย์ได้กล่าวแล้วในคัมภีร์มหาวรรค ครั้นพระองค์ ทรงพิจารณาด้วยทิพยจักษุญาณอันบริสุทธิ์ ล่วงมนุษย์ได้เห็นทายกผู้ถวายกฐินทานในพระพุทธเจ้าแต่ก่อน อันได้ซึ่งอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จึงแสดงผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่
พระนารถเถรเจ้า ได้ฟังพระพุทธดำรัสอันพรรณนาอานิสงส์ผลาแห่งกฐินทานนั้น มีจิตอันเต็มไปด้วยปีติแรงกล้า จึงดำริว่า เราจักถวายผ้ากฐินแก่พระภิกษุสงฆ์ ก็แลเมื่อดำริอยู่ ได้ลุกจากอาสนะตรงไปสู่ตระกูลญาติ เล่าเรื่องนั้นแล้ว ชักชวนจัดหาเครื่องอุปการะทั้งหลายทั้งปวง มีเครือญาติแวดล้อมไปยังพระอาราม วางผ้ากฐินลงแทบบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถวายผ้าเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เพื่อประโยชน์ให้เป็นผ้ากฐิน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็เริ่มทำบุรพกิจมีเย็บย้อมเป็นต้นให้ผ้านั้นสำเร็จกิจเป็นผ้ากฐิน
วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย ประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พระนารถเถรเจ้า เป็นผู้ดำรงตนอยู่ในสมณเพศ เป็นผู้มีอัธยาศัยในทานบริจาค ได้สดับว่ากฐินทานมีผลานิสงส์มาก ถวายกฐินทานแก่พระภิกษุสงฆ์มีองค์พระตถาคตเป็นประธาน อันนี้เป็นเหตุควรอัศจรรย์หนอ พระศาสดา ประทับอยู่ในพระคันธกุฎี ได้สดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นด้วยทิพยโสตญาณ เสด็จออกจากพระคันธกุฎีมานั่งในโรงธรรม แล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลาย นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย การที่นารถภิกษุถวายผ้ากฐินทานในกาลนี้ เป็นเรื่องไม่น่าอัศจรรย์ โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ในกาลก่อน ได้บำเพ็ญทานกระทำมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารให้เป็นที่ดอนแล้วถวายกฐินทานแก่พระภิกษุหมู่ใหญ่ในครั้งนั้น อัศจรรย์มากกว่า ดังนี้แล้ว ก็ทรงดุษณีภาพอันพระภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าโกณฑัญญะ ได้อุบัติแล้วในเมืองรัมมวดีในสารกัป พระพุทธบิดาของพระองค์ทรงพระนามว่าอานันทะ พระพุทธมารดาทรงพระนามว่าสุชาดา พระอัครมเหสีทรงนามว่าสุบินเทวี พระพุทธโกณฑัญญะนั้นครองเรือนอยู่หมื่นปี แล้วเสด็จออกมหาวิเนษกรมณ์ด้วยรถ ทรงบำเพ็ญมหาปธานวิริยะอยู่ ๑๐ เดือน ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณที่โคนต้นไม้ขานาง ปรากฏแล้วในโลก มีภิกษุสงฆ์ประมาณแสนโกฏิเป็นบริวาร โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ถึงเมืองอัญญวดีนคร ในเมืองอัญญวดีนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย ได้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงพระนามว่าวิจิตรราช เป็นอิสระ มีอำนาจแผ่ไปในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร ครั้นได้ทรงทราบว่าพระพุทธโกณฑัญญะนั้นเสด็จคมนาการมาถึงพระนครของพระองค์ มีพระหฤทัยประกอบด้วยปีติโสมนัส เสด็จออกไปต้อนรับด้วยราชบริษัทอันยิ่งใหญ่ ถวายอภิวาทด้วยปัญจางคประดิษฐ์แล้ว เชิญเสด็จให้เข้าสู่พระราชนิเวศน์ของพระองค์ แล้วทรงถวายมหาทาน เมื่อพระตถาคตเสด็จภัตตกิจแล้ว ทรงถือพระเต้าทอง หลั่งน้ำให้ตกที่ฝ่าพระหัตถ์ ถวายอัญชนราชอุทยานให้เป็นนิวาสนสถานแหมู่ภิกษุสงฆ์ ลำดับนั้น พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ทรงจำพรรษากับด้วยพระภิกษุสงฆ์แสนโกฏฺ พระเจ้าจักรพรรดิ ทรงถวายทานเป็นนิจนิรันดร์ ครั้นกำหนดถ้วนไตรมาส พระโกณฑัญญะพุทธองค์ ทรงปวารณาพรรษา พระเจ้าวิจิตรราชจักรพรรดิ มีพระราชประสงค์จะทรงบริจาคามหาทานอันยิ่งใหญ่ จึงมีพระราชดำรัสให้ป่าวร้องชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ที่อยู่ในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ แล้วให้ประดับพระนครที่อยู่ของพระองค์ ด้วยอลังการอันวิจิตรต่างๆ และให้ประดับตกแต่งหนทางที่จะไปยังพระราชอุทยานด้วยธงชายและธงแผ่นผ้าและปลูกต้นกล้วย ต้นอ้อย ทั้งสองข้างทาง ตรวบเท่าถึงพระนคร อันเป็นพระราชนิเวศน์สถาน
ครั้นวันรุ่งขึ้นแต่เช้าทีเดียว เสด็จสรงสนานพระเศียร ทรงประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ทรงวางคู่ผ้าลงในสมุกทองคำ แล้วทูนสมุกด้วยพระเศียรของพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินไปโดยมรรคาที่ให้ประทับแล้วนั้น แล้วให้ราชบริพารเป็นอันมากถือเอาคู่ผ้าทั้งหลายคนละคู่ๆ และเครื่องบูชาสักการะคนละสำรับๆ ได้ถึงพระอารามอันชื่อว่าอัญชนอุทยาน ถวายคู่ผ้าเพื่อกฐินทางแก่หมู่ภิกษุสงฆ์ มีพระโกณฑัญญะพุทธองค์เป็นประมุข แล้วทรงเปล่งวจีเภทว่า ข้าพเจ้า ขอถวายผ้ากฐินนี้แก่หมู่พระภิกษุสงฆ์ ก็แลครั้นทรงเปล่งวจีเภท ดังนี้แล้ว ประทีบยืนอยู่ที่อันสมควรข้างหนึ่ง อังคาสข้าวต้นและข้าวสวยเป็นต้น แก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประธาน
ลำดับนั้น พระโกณฑัญญะทศพลพุทธเจ้า เสด็จประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุสงฆ์พระเถรเจ้าผู้เป็นเสนาบดีในพระภัททาธิกรรม ย่อมกราลผ้ากฐิน ครั้นเสร็จสรรพกิจแล้ว พระโกณฑัญญะทศพลเสด็จประทับบนธรรมาสน์ ในท่ามกลางบริษัท ๔ นั่นเอง ลำดับนั้น พระเจ้าจักรพรรดิวิจิตรราช เสด็จเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคแล้วถวายอภิวาทด้วยปัญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลี แล้วทรงตั้งความปรารถนาว่า ด้วยการถวายผ้ากฐินนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ถ้าข้าพเจ้าได้ตรัสรู้พระสัพพัญญตญาณในกาลใด จักขนสัตว์ให้พ้นไปจากวัฏฏสงสาร ในกาลนั้น
ครั้งนั้นแล พระโกณฑัญญะพุทธองค์ ทรงพิจารณาดูอนาคต ก็ทรงทราบด้วยพุทธจักษุญารปรีชาว่าความปรารถนาของบรมกษัตริย์นั้นจักสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่า ภิกษุทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสามอสงไขยแสนกัลป์ นับแต่กัลป์นี้ไปในอนาคต พระเจ้าจักรพรรดิองค์นี้ จักได้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่โคดม พระนครที่ประสูติของพระองค์นั้น จักมีนามว่ากบิลพัสดุ์ พระพุทธบิดาทรงพระนามว่าสุทโธทนมหาราช พระพุทธมารดาจักทรงพระนามว่ามหามายา รพะมเหสีจักมีนามว่ายสุนทรา จักมีพระโอรสชื่อว่าราหุลกุมาร จักเป็นฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี แล้วจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ดวยกัณฐกอสสยาน ทรงกระทำมหาปธานทุกกกิริยาอยู่ ๖ ปี ก็จักได้ตรัสรู้ปรากฎในโลกในวันวิสาขปุณณมีเพ็ญเดือน ๖ จักมีอัครสาวกสององค์ชื่อว่าโกลิตและอุปติสสะ จักมีพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าอานนท์ จักมีภิกษุนีทั้งสอง คือเขมาและอุบลวรรณาภิกษุณีเป็นอัครสาวิกา จักมีอุบาสกมีนามว่าอนานถบิณฑิกเศรษฐี จักมีมหาอุบาสิกาชื่อว่าวิสาขา พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพยากรณ์สรรพกิริยาของพระเจ้าจักรพรรดิราชแล้ว ด้วยประการฉะนี้
ครั้งนั้นแล ฝ่ายพระเจ้าวิจิตรราชโพธิสัตว์ ดำรงพระชนม์อยู่สิ้นกาลนาน ทรงบำเพ็ญมหาทานบริจาคอันยิ่งใหญ่ เสวยจักรพรรดิสมบัติอยู่ ครั้นสิ้นพระชนมายุ ขึ้นไปบังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติโดยอนุโลมปฏิโลมในกามาพจรภพทั้ง ๖ ชั้น บริบูรณ์ด้วยสังคีตและดนตรีอันเป็นทิพย์และประกอบด้วจยที่นั่งที่นอนและยศอันเป็นทิพย์เป็นต้น ด้วยอานิสงส์ผลแห่งทานบริจาคนั้น ครั้นสิ้นพระชนมายุ จุติจากเทวโลกนั้น มาบังเกิดในมหานครชื่อว่า กุสาวดี ได้เป็นบรมจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่าอติเทวกษัตริย์ ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองกุสาวดี โดยยาวได้ ๑๒ โยชน์ และกว้างได้ ๗ โยชน์เป็นประมาณ ก็พระเจ้าอติเทวบรมกษัตริย์นั้น บริบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ รัตนะ ๗ ประการนั้นคือ จักรแก้ว ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ ขุนคลังแก้ว ๑ ขุนพลแก้ว ๑ รวม ๗ ประการด้วยกัน
มีคำถามว่า ก็พระเจ้าจักรอันกรรมอะไรให้แก้วรัตนะ ๗ ประการ มีจักรแก้วเป็นต้น มาบังเกิดขึ้นมีขึ้นแก่พระอติเทวบรมจักรนั้น เพราะอานิสงส์ผลแห่งกรรมอะไร
มีคำวิสัชนาว่า พระเจ้าอติเทวราชย่อมได้สมบัติแห่งพระเจ้าจักรพรรดิด้วยเหตุอื่นไม่ ย่อมได้เพราะอานิสงส์ผลที่ได้ถวายผ้ากฐินทานแก่พระภิกษุสงฆ์มีพระโกณฑัญญะพุทธองค์เป็นประธาน
|
16745
|
40200
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16745
|
ปาจิตตกุมารชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยเมืองไพสาลี ปรารภพระนางพิมพาซึ่งออกบรรพชา จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ตว ภควา ภูมิปาโล ดังนี้
ความมีอยู่ว่า แท้จริงวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พระนางพิมพาเทวี ครั้นบรรพชาเป็นนางภิกษุณีแล้ว ย่อมงามกว่าผู้อื่น ขณะนั้นพระศาสดา ได้สดับคำของพระภิกษุทั้งหลายด้วยทิพโสตญาณ จึงเสด็จคมนาการไปสู่โรงธรรม แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย นางพิมพาเทวี จะได้งามด้วยเพศบรรพชาแต่ในกาลบัดนี้ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน นางได้ถือเพศบรรพชา ก็งามเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ก็ทรงดุษณีภาพ อันภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล มีพระราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่ามหาธรรมราชา ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพรหมพันธุนคร มีพระอัครมเหสีพระนามว่าสุวรรณเทวี ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ ถือปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีนั้น ครั้นถ้วนทศมาส พระนางก็ประสูติพระราชโอรส พระประยูรญาติทั้งหลาย ขนานพระนามว่า ปาจิตตกุมาร ดังนี้ ครั้นพระราชกุมารโพธิสัตว์มีพระชนม์ได้ ๑๖ ปี พระเจ้ามหาธรรมราชา ในคราวอภิเษก ทรงส่งพระราชสาสน์ไปยังกษัตริย์ทั้งร้อยเอ็ดพระนครว่า ควรที่จะส่งพระธิดาของพวกท่านมาถวายพระโอรสของเรา พระโพธิสัตว์ไม่แลดู จึงไปแสวงหาภรรยาด้วยตนเอง พระโพธิสัตว์ปาจิตตกุมาร ออกจากพระนครไปถึงเมืองพาราณสี ได้อรพิมพกุมาริกา วัย ๑๖ ปี เป็นภรรยา อยู่เพลิดเพลินเจริญใจกับด้วยนางอรพิมพกุมาริกา
อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ระลึกถึงพระราชมารดาของตน เดินไปโดยลำดับมรรคาวิถี ก็ถึงเมืองพรหมพันธุนครโดยสุขสวัสดิ์ ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์กลับจากเมืองพรหมพันธุนครมาถามว่า นางอนพิมพ์เทวีไปที่ไหน มารดาของนางอรพิมพาตอบว่า นางอรพิมพ์ภรรยาของท่าน ถูกพรหมทัตถุมารนำนางไปแล้ว พระโพธิสัตว์ตามไปได้พบนางพรพิมพ์เทวีนั้น นางอรพิมพ์เทวี รินสุราถวายพรหมทัตกุมาร ครั้นพรหมทัตกุมารเมาหลับอยู่ นางจึงเอาดาบตัดพระศอพรหมทัตกุมารจนสวรรคต แล้วพระโพธิสัตว์และนางอรพิมพ์ก็เสด็จพากันหนีไป
สองภริยาสามีก็พากันเดินไปโดยลำดับ ครั้งถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์พูดกับอรพิมพ์ภรรยาว่า ดูกรเจ้าผู้มีพักตร์อันเจริญ เรือของเรามิได้มี เราทั้งสองจักข้ามแม่น้ำอย่างไรได้ ดังนี้แล้ว เห็นสามเณรน้อยองค์หนึ่ง พายเรือข้ามฟากแม่น้ำ กล่าวว่า พ่อเณรช่วยสงเคราะห์ส่งให้ข้าพเจ้าทั้งสองไปถึงฝั่งด้วยเถิด สามเณรกล่าวว่า ดูกรอุปาสก เรือของเราเล็กเท่านี้ ข้าพเจ้าส่งท่านข้ามทีละคน แล้วก็พายเรือพาพระโพธิสัตว์ข้ามฝั่ง แล้วก็กลับมารับนางอรพิมพ์ นางอรพิมพ์เทวีได้ลงเรือ แต่สามเณรไม่ส่งนางอรพิมพ์ข้ามฝั่ง นางอรพิมพ์จึงถามว่า พ่อเณรจะพาข้าพเจ้าไปข้างไหน สามเณรตอบว่า ดูกรอุบาสิกา เราจะพาไปเป็นภรรยาของเรา ฝ่ายพระโพธิสัตว์มิได้เห็นภรรยา จึงปริเทวนาการเหมือนคนบ้า
นางอรพิมพ์เทวีนั้น ต้องพลัดพรากจากสามี เราร้องไห้ตามหาสามี เดินไปจนถึงเมืองจัมปากนคร เข้าไปวิหารหลังหนึ่ง ประคองอัญชลี ตั้งสัตยาธิษฐานว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ขอให้นมทั้งสองของข้าพเจ้าจงหายไป แล้วเพศชายจงบังเกิดมี
ด้วยอานุภาพแห่งคำอธิษฐานของนางนั้น นมทั้งสองข้างก็หายไป เพศชายก็บังเกิดปรากฎขึ้นแก่นาง นางจึงเปลี่ยนแปลงชื่อตน ให้ชื่อใหม่ว่ ปาจิตตกุมาร ต่อมา ได้บรรพชาอุปสมบท แล้วประกอบด้วยความอุตสาหะอย่างยิ่ง ได้เป็นพระสังฆราชาปรากฎแล้วในทิศทั้งปวง พระปาจิตตสังฆราชา ให้สร้างศาลางาม แล้วให้จิตกรเขียนรูปภาพไว้
พระสังฆราชา จัดคนสี่คนให้รักษาศาลา แล้วสั่งว่า ถ้าผู้ใด จะเป็นบุรุษก็ตาม สตรีก็ตาม เมื่อได้เห็นรูปภาพที่เขียนไว้แล้วและร้องไห้ ท่านทั้งหลายจงรีบมาบอกเรา ในคราวนั้นพระโพธิสัตว์ เศร้าโศกอยู่สิ้นกาลนาน มาถึงศาลาในเมืองจัมปากนครนั้น เข้าไปยังศาลา เห็นรูปภาพที่เขียนไว้แล้ว เห็นรูปภาพที่สามีพลัดพรากจากภรรยา หทัยของพระโพธิสัตว์ก็หวั่นไหว
ในกาลนั้น ชนทั้งสี่คนนำความไปบอกพระสังฆราชา พระสังฆราชาให้พาตัวพระโพธิสัตว์เข้าไปถามว่า ดูกรอุบาสก ท่านมาร้องไห้ทำไม พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าพลัดกันกับภริยา ครั้นมาเห็นรูปภาพที่เขียนไว้เป็นเรื่องเหมือนกันกับเรื่องที่ข้าพเจ้าพลัดกันมา เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงร้องให้ถึงภรรยา พระสังฆราชาจึงว่า ดูกรอุบาสก ถ้าท่านปรารถนาจะพบภรรยา ท่านจงบวชในพระพุทธศาสนา บุคคลผู้บวชแล้ว ด้วยความโศก ย่อมสำเร็จประโยชน์ พระโพธิสัตว์บวชแล้ว บรรพชิตทั้งสอง คือ พระโพธิสัตว์และพระสังฆราชามีรูปเปรียบปานดุจรูปทองคำ จำเดิมแต่นั้น บรรพชิตทั้งสอง ก็มีความรื่นเริงบันเทิงใจอยู่ด้วยกัน
พระสังฆราชาพูดแก่พระโพธิสัตว์นั้นว่า ท่านจงฟังคำของเรา ตัวเราคืออรพิมพ์เทวี ซึ่งเป็นภรรยาของท่านในกาลก่อน เรามาบวชอยู่เมืองนี้ก็นานแล้ว บัดนี้ เราทั้งสอง พากันลาสิกขาบท พระโพธิสัตว์รับแล้ว พระสังฆราชา เดินเข้าไปสู่วิหาร ไหว้พระพุทธรูป ทำการอธิษฐานว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอให้นมทั้งสองของข้าพเจ้า จงปรากฎมีขึ้นดุจกาลก่อน เพศหญิงของข้าพเจ้า จงปรากฏในกาลนี้
ด้วยอานุภาพแห่งคำอธิษฐานของสังฆราชแล้ว นมทั้งสองของนางก็กลับมีขึ้นอีก ฝ่ายพระโพธิสัตว์ จึงลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์ จำเดิมแต่นั้น พระปาจิตตกุมารโพธิสัตว์ ดำรงราชอาณาจักรโดยทศพิธราชธรรมแล้ว ทรงบำเพ็ญบุญญาภิสมภารมีทานเป็นต้น ครั้นสิ้นพระชนม์ จุติจากอัตภาพนั้น ขึ้นไปบังเกิดในเทวโลก
|
16747
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16747
|
สังขปัตตชาดก
|
พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภทานบารมีของพระองค์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า มหาพฺรหฺมา มหิทฺธิกา ดังนี้
ความมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย ประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พระตถาคตเจ้า บำเพ็ญพระบารมีมีปฐมทานเป็นอาทิ ได้ตรัสรู้บรมสัมโพธิญาณ น่าอัศจรรย์ ทานบารมี ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้ซึ่งสัพพัญญุตญาณอย่างยอดเยี่ยม พระศาสดา เสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตมีอัธยาศัยยินดีในทานมิได้เบื่อหน่าย เมื่อยังแสวงหาโพธิญาณอยู่นั้น ถึงว่าจะต้องทุกข์ยากอย่างไร ย่อมไม่ละเสียซึ่งทานเลย ดังนี้แล้ว ทรงนิ่งอยู่ อันภิกษุทั้งหลายใคร่จะฟังทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดงว่า
ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่ายสะ ผ่านราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอในโปตบุรีในอสุกรัฐ สมบูรณ์ด้วยพลพาหนะ มั่งคั่งไปด้วยนานารัตนะ พระราชเทวีมีนามว่าสุตตกิตตี ได้เป็นอัครมเหสีแห่งพระเจ้ายสราช คราวนั้น ยังมีพระมหาราชาพระนามว่าอังกุระ ครองราชสมบัติในโลมานทวีปใกล้ฝั่งสมุทร พระอัครมเหสีของพระเจ้าอังกุระมีนามว่าอนังคเสนา พระเจ้ายสราชและพระเจ้าอังกุรมหาราชสองพระองค์นั้น เป็นทองแผ่นเดียวกัน ด้วยว่า สุตตกิตตีราชเทวี เป็นกนิษฐภคินีของพระเจ้าอังกุรมหาราช มีรูปสิริวิลาสทรงปัญจกัลยาณีมีศีล พระเจ้าอังกุรมหาราชา ได้ส่งพระกนิษฐภคินีไปถวายพระเจ้ายสราชพร้อมด้วยนาวาพันหนึ่งอันบรรทุกเต็มไปด้วยสัตตรัตนะ กับราชบริวารเป็นอันมาก พระสุตตกิตตีราชเทวีนั้น ได้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้ายสราชยิ่งนัก พระเจ้ายสราช ทรงเสวยสิริราชสมบัติกับพระสุตตกิตตีเทวีนั้น
ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายจุติจากเทวโลก มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้ายสราช ขณะเมื่อพระโพธิสัตว์ปฏิสนธินั้น พระราชเทวี มีประสงค์จะบริจาคทรัพย์บำเพ็ญทานวั้นละหกแสน พระเจ้ายสราชจึงรับสั่งให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่หน้าพระลานหลวง ๑ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ใกล้พระทวารนคร ๔ แห่ง พระราชเทวีทรงบริจาคทรัพย์วันละ ๖ แสน บำเพ็ญทานเป็นนิตย์ พระราชเทวี ทรงพระครรภ์ถ้วนกำหนดทศมาสแล้ว ก็ประสูติพระราชโอรสผู้สมบูรณ์ด้วยธัญญบุญลักษณะ ผู้มีฝ่าพระหัตถ์ปรากฎเหมือนรูปสังข์ จึงพระราชทานนามว่า มหาสังขปัตตกุมาร
ฝ่ายพระเจ้าอังกุรมหาราช ซึ่งเสวยราชสมบัติในโลมานทวีปกับด้วยอนังคเสนาราชเทวี ทรงมีพระราชธิดาองค์หนึ่งพระนามว่ารัตนวดี เป็นปัญจกัลยาณี มีศีล งามดังเทพอัปสรสวรรค์ พระเจ้าอังกุรราชบิดา ทอดพระเนตรพระราชธิดานั้นเจริญวัย ใคร่จักประทานแก่พระมหาโพธิสัตว์ จึงให้ช่างเขียนวาดรูปพระราชธิดาลงในแผ่นทองคำ แล้วให้ทำธำมรงค์ ๒ วง ประดับด้วยปัทมราชวง ๑ ประดับด้วยอินทนิลวง ๑ ให้จารึกพระนามพระโพธิสัตว์ลงไว้ แล้วให้จารึกสุภอักษรโดยรีบด่วนว่า หม่อมฉัน จักถวายพระราชธิดากับราชสมบัติแด่พระราชโอรสของพระองค์ ดังนี้แล้ว ก็มอบให้ราชทูตนำไปถวายพระเจ้ายสราช
พระเจ้ายสมหาราช ทรงอ่านราชสาส์นและสดับคำที่ราชทูตกราบทูลและทรงทอดพระเนตรรูปสิริแห่งรัตนวดีเสร็จแล้ว ทรงมีพระหฤทัยผ่องแผ้ว แล้วประทานพระธำมรงค์ทั้งคู่กับรูปแผ่นทองคำแด่พระโพธิสัตว์ แล้วให้วาดรูปพระโพธิสัตว์ลงในพระสุพรรณบัฏ แล้วส่งให้แก่ราชทูตของพระเจ้าโลมานทวีปพร้อมด้วยพันอเนกราชบรรณาการ กาลต่อมา พระเจ้ายสราชมีรับสั่งให้พระโพธิสัตว์พร้อมด้วยมหาชนบริวาร ออกจากนครด้วยราชสัมภาระยิ่งใหญ่ ไปยังเมืองโลมานทวีป
พระเจ้าอังกุรราช ทรงทำมงคลวิธีทั้งปวงมีประการมากอย่าง แล้วเชิญพระมหาโพธิสัตว์ให้ประทับเหนือกองแก้ว แล้วอภิเษกให้ครองราชสมบัติในโลมานทวีปกับพระรัตนวดี เมื่อเสร็จการราชาภิเษกแล้ว เทพยดาจึงนำพระเจ้ายสราช ไปส่งยังโปตปุรนคร ด้วยปุบผวิมานอีก พระมหาโพธิสัตว์ครองราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น ครั้นสิ้นพระชนม์แล้วมีสวรรค์เป็นไปเบื้องหน้า
|
17324
|
1481
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17324
|
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔ ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔
|
<br>ประกาศของคณะปฏิวัติ
<br>ฉบับที่ ๔<br><br>
_______________<br><br><br>
ตามที่ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ เวลา ๒๐.๑๑ นาฬิกา เป็นต้นไปแล้ว
จึงห้ามมิให้มั่วสุมประชุมกันในทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ มีจำนวนตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๔
จอมพล ถ. กิตติขจร<br><br>
หัวหน้าคณะปฏิวัติ
|
17326
|
1481
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17326
|
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔ ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๒๐
|
<br>ประกาศของคณะปฏิวัติ
<br>ฉบับที่ ๔<br><br>
_______________<br><br><br>
เพื่อให้การรักษาความสงบในเขตกรุงเทพมหานครเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงห้ามมิให้ประชาชนในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา ๐๑:๐๐ นาฬิกา ถึง ๐๔:๓๐ นาฬิกา ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐
พลเรือเอกสงัด ชลออยู่<br><br>
หัวหน้าคณะปฏิวัติ
ดูเพิ่ม.
๔
|
17331
|
1481
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17331
|
ประกาศเลิกใช้กฎอัยยการศึก ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๗๖
|
<br>ประกาศ
<br>เลิกใช้กฎอัยยการศึก<br><br>
_______________<br><br><br>
ด้วยตามที่ผู้บัญชาการทหารบกได้ประกาศใช้กฎอัยยการศึกในท้องที่มณฑลกรุงเทพฯ กับมณฑลอยุธยา เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖ นั้น บัดนี้ เหตุการณ์เป็นที่สงบเรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการทหารบกได้รายงานขอเลิกใช้กฎอัยยการศึกในท้องที่ที่กล่าวแล้ว
จึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เลิกใช้กฎอัยยการศึกในท้องที่มณฑลกรุงเทพฯ กับมณฑลอยุธยา ตามประกาศลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ เป็นต้นไป
ประกาศมา ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๖
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br><br>
นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา<br><br>
นายกรัฐมนตรี
|
17334
|
3628
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17334
|
ประกาศเลิกใช้กฎอัยยการศึก ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๘๔
|
<br>ประกาศ
<br>เลิกใช้กฎอัยการศึก<br>
_______________<br><br><br>
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล<br><br>
คณะผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์<br><br>
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร<br><br>ลงวันที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๐)<br><br><br>
อาทิตย์ทิพอาภา<br><br>
พล.อ.พิชเยนทรโยธิน<br><br>
ด้วยทรงพระราชดำริว่า ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้กฎอัยยการศึกในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน จังหวัดอุตตรดิตถ์ จังหวัดเลย จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดอุดร จังหวัดหนองคาย จังหวัดขอนแก่น จังหวัดนครพนม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดสกลนคร จังหวัดนครราชสิมา จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดนครนายก จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด รวม ๒๔ จังหวัด เมื่อวันที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ และเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ เวลา ๖:๐๐ นาฬิกา เป็นต้นไปนั้น บัดนี้ พื้นที่ต่าง ๆ เหล่านั้นกลับคืนเข้าสู่ภาวะอันสมควรเลิกใช้กฎอัยยการศึกแล้ว
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยยการศึก พุทธศักราช ๒๔๕๗ มาตรา ๕ จึ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศยกเลิกประกาศใช้กฎอัยยการศึกในพื้นที่ต่าง ๆ ดั่งกล่าวข้างต้นนั้นเสีย ตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ เวลา ๖:๐๐ นาฬิกา เป็นต้นไป
ประกาศมา ณ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ เป็นปีที่ ๘ ในรัชชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br><br>
ป. พิบูลสงคราม<br><br>
นายกรัฐมนตรี
|
17336
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17336
|
พระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. 2546
|
พระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. 2546 โดย
พระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. 2546รัฐสภาไทย
<pages index="พรบ ยกเลิกกฎหมาย ๒๕๔๖.pdf" include="1"/>
#เปลี่ยนทาง
<pages index="พรบ ยกเลิกกฎหมาย ๒๕๔๖.pdf" from="2" to="3"/>
#เปลี่ยนทาง
<pages index="พรบ ยกเลิกกฎหมาย ๒๕๔๖.pdf" include="4"/>
|
17338
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17338
|
ประกาศพระราชบัญญัติแลพระราชกำหนดต่าง ๆ รัชกาลที่ 5/เล่ม 7/เรื่อง 17
|
← ../เรื่อง 16/
ประกาศพระราชบัญญัติแลพระราชกำหนดต่าง ๆ รัชกาลที่ 5: เล่ม 7
(พ.ศ. 2444)
17. ประกาศยกเลิกกฎหมายเบ็จเสร็จ 2 มาตรา รัตนโกสินทรศก 120 (พ.ศ. 2444)
../เรื่อง 18/
ประกาศพระราชบัญญัติแลพระราชกำหนดต่าง ๆ รัชกาลที่ 5: เล่ม 7
— "17. ประกาศยกเลิกกฎหมายเบ็จเสร็จ 2 มาตรา รัตนโกสินทรศก 120 (พ.ศ. 2444)"2444
<pages index="กม ร ๕ - ๒๔๔๔.pdf" from="42" to="43" fromsection="42-2" tosection="43-1"/>
|
17340
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17340
|
ประกาศยกเลิกกฎหมายลักษณะมฤดก มาตรา 21 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2473
|
ประกาศยกเลิกกฎหมายลักษณะมฤดก มาตรา 21 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2473 โดย
ประกาศยกเลิกกฎหมายลักษณะมฤดก มาตรา 21 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2473พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
<pages index="ประกาศยกเลิกกฎหมายลักษณะมฤดก มาตรา ๒๑ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๓.pdf" include=1/>
|
17342
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17342
|
ประชุมกฎหมายประจำศก/เล่ม 56/ภาค 1/เรื่อง 38
|
← 37.
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 56<templatestyles src="nowrap/core.css"/>ภาค 1
(พ.ศ. 2497)
38. พระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายว่าด้วยเครื่องแต่งกายผู้มีตำแหน่งเฝ้า พุทธศักราช 2486
39.
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 56<templatestyles src="nowrap/core.css"/>ภาค 1
— "38. พระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายว่าด้วยเครื่องแต่งกายผู้มีตำแหน่งเฝ้า พุทธศักราช 2486"2497
<pages index="Prachum Kotmai Pracham Sok 56-1.djvu" from="676" tosection="677-1" to="677"/>
|
17344
|
6791
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17344
|
ข่าวประหารชีวิตรผู้ร้าย ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม จ.ศ. ๑๒๔๖
|
<br>ข่าวประหารชีวิตรผู้ร้าย
ด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ อธิบดีกรมพระนครบาล นำคำลูกขุน ณ ศาลหลวงปฤกษาวางบทปรับโทษอ้ายลี ยิงพระกราน วัดบางอ้อ ตาย อ้ายอินเอาขวานฟันฅออำแดงเกบ นายเงิน ฅอขาดตาย รวม ๒ เรื่อง ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ทำตามคำลูกขุนผู้ปรับปฤกษา
ครั้น ณ วันจันทร เดือนแปด บุรพาสาธ แรมสิบค่ำ ปีรกา สัปตศก เจ้าพนักงานพร้อมกันเอาตัวอ้ายลี อ้ายอิน ลงพระราชอาญา ๓ ยก คนละ ๙๐ ที แล้วเอาตัวอ้ายลี อ้ายอิน ไปประหารชีวิตรที่วัดพลับพลาไชย
|
17346
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17346
|
ประกาศผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๙๕
|
<br>ประกาศผู้ว่าราชการจังหวัดเลย
<br>เรื่อง ห้ามทำการโฆษณา ขาย จ่าย แจก คำนำหนังสือธรรมยุติกประหาร ในท้องที่จังหวัดเลย<br><br>
_______________<br><br><br>
ด้วยได้มีผู้พิมพ์สิ่งพิมพ์ชื่อ “คำนำหนังสือธรรมยุติกประหาร” ซึ่งนายกี ฐานิสสร เป็นผู้ประพันธ์ ออกโฆษณาในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วมีผู้นำไปโฆษณาตามท้องที่อื่น ๆ ในราชอาณาจักร สิ่งพิมพ์นี้มีข้อความประณามพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกาย และประณามองค์พระมหากษัตริย์ผู้ริเริ่มให้มีนิกายนี้ขึ้น นับว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีอย่างร้ายแรง
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ เจ้าพนักงานการพิมพ์จังหวัดเลยจึงออกประกาศห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดนำ “คำนำหนังสือธรรมยุติกประหาร” ซึ่งนายกี ฐานิสสร เป็นผู้ประพันธ์ เข้าไปทำการโฆษณา เสนอขาย จ่าย แจก ในท้องที่จังหวัดเลย ไม่ว่าการนั้นจะเป็นการให้เปล่าหรือไม่ก็ตาม หากผู้ใดฝ่าฝืน เจ้าพนักงานการพิมพ์จังหวัดเลยจะได้ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายทันที
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๙๕
ร.ต.ท. ขุนนพการบำรุง
ปลัดจังหวัด รักษาราชการแทน
ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย
|
17348
|
1481
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17348
|
ประกาศผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๙๕
|
<br>ประกาศผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ
<br>เรื่อง ห้ามขายหรือจ่ายแจกและให้ยึดสิ่งพิมพ์ชื่อ “คำนำหนังสือธรรมยุติกประหาร”<br><br>
_______________<br><br><br>
ด้วยปรากฏว่า ได้มีผู้พิมพ์สิ่งพิมพ์ชื่อ “คำนำหนังสือธรรมยุติกประหาร” ซึ่งนายกี ฐานิสสร เป็นผู้ประพันธ์ ออกโฆษณาในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วมีผู้นำไปโฆษณาตามท้องที่อื่น ๆ ในราชอาณาจักร สิ่งพิมพ์นี้มีข้อความประณามพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกาย และประณามองค์พระมหากษัตริย์ผู้ริเริ่มให้มีนิกายนี้ขึ้น นับว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีอย่างร้ายแรง
เจ้าพนักงานการพิมพ์สำหรับจังหวัดศรีสะเกษ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ จึงห้ามการขายหรือจ่ายแจกและให้ยึดสิ่งพิมพ์ชื่อ “คำนำหนังสือธรรมยุติกประหาร” ในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๙๕
ก. จิยะพันธุ์
ปลัดจังหวัด รักษาราชการแทน
เจ้าพนักงานการพิมพ์จังหวัดศรีสะเกษ
|
17350
|
1481
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17350
|
ประกาศผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๙๕
|
<br>ประกาศผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง
<br>เรื่อง ห้ามขายหรือจ่ายแจกและให้ยึดสิ่งพิมพ์ชื่อ “คำนำหนังสือธรรมยุติกประหาร”<br><br>
_______________<br><br><br>
ด้วยปรากฏว่า สิ่งพิมพ์ชื่อ “คำนำหนังสือธรรมยุติกประหาร” ซึ่งนายกี ฐานิสสร เป็นผู้ประพันธ์ ออกโฆษณาในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วมีผู้นำไปโฆษณาตามท้องที่อื่น ๆ ในราชอาณาจักร สิ่งพิมพ์นี้มีข้อความประณามพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกาย และประณามองค์พระมหากษัตริย์ผู้ริเริ่มให้มีนิกายนี้ขึ้น นับว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย
ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะเจ้าพนักงานการพิมพ์สำหรับจังหวัดระนอง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ และตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๔๘๙ จึงสั่งห้ามการขายหรือจ่ายแจกและให้ยึดสิ่งพิมพ์ชื่อ “คำนำหนังสือธรรมยุติกประหาร” ในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๙๕
คีรีรัฐนิคม
ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง
|
17356
|
6791
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17356
|
ข่าวเพลิงไหม้ ลงวันที่ ๙ มิถุนายน จ.ศ. ๑๒๕๐
|
<br>ข่าวเพลิงไหม้
ณ วันที่ ๖ เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เวลาบ่ายโมงเสศ เกิดเพลิงไหม้ที่สนนสีลม ที่โรงแขกฆ่าโค เพลิงไหม้โรงยาวห้าห้อง ๒ หลัง กับเรือนฝากระดาน ๓ ห้อง ๒ หลัง เพลิงเกิดขึ้นจากแขกกลิง สัปเยกตอังกฤษ เปนต้นเพลิง เจ้าพนักงานทหารดับเพลิงแลโปลิศได้ช่วยกันดับ เพลิงหาได้ไหม้ต่อไปไม่
|
17358
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17358
|
กฎหมายไทยฯ/เล่ม 6/เรื่อง 28
|
← ../เรื่อง 27/
กฎหมายไทยฯ: เล่ม 6
(พ.ศ. 2441)
28. พระราชบัญญัติยกเลิกวิธีพิจารณาโจรผู้ร้ายตามจารีตนครบาล ร.ศ. 115 (พ.ศ. 2439)
../เรื่อง 29/
กฎหมายไทยฯ: เล่ม 6
— "28. พระราชบัญญัติยกเลิกวิธีพิจารณาโจรผู้ร้ายตามจารีตนครบาล ร.ศ. 115 (พ.ศ. 2439)"2441
<pages index="กม ร ๕ (๖) - ๒๔๔๑.pdf" include="195" onlysection="195-2"/>
<pages index="กม ร ๕ (๖) - ๒๔๔๑.pdf" include="196,198"/>
<pages index="กม ร ๕ (๖) - ๒๔๔๑.pdf" include="197" onlysection="197-1"/>
<pages index="กม ร ๕ (๖) - ๒๔๔๑.pdf" include="199" onlysection="199-1"/>
|
17360
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17360
|
ประชุมกฎหมายประจำศก/เล่ม 52/ภาค 1/เรื่อง 232
|
← 231.
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 52<templatestyles src="nowrap/core.css"/>ภาค 1
(พ.ศ. 2483)
232. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยรัฐนิยม ใช้ชื่อประเทศ, ประชาชน และสัญชาติ ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2482
233.
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 52<templatestyles src="nowrap/core.css"/>ภาค 1
— "232. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยรัฐนิยม ใช้ชื่อประเทศ, ประชาชน และสัญชาติ ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2482"2483
ฉบับที่ 1
ฉบับที่ 2
<pages index="Prachum Kotmai Pracham Sok 52-1.djvu" from="507" to="508" fromsection="507-2" tosection="508-1"/>
|
17373
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17373
|
คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๔๘
|
"plainSister" class="noprint" style="display:inline-block; font-size:93%; line-height:normal; list-style-type:none; list-style-image:none; list-style-position:outside; border:1px solid #AAA; float:right; clear:right; margin:0.5ex 0.5ex 0.5ex 0.5ex; padding:0.0ex 0.0ex 0.0ex 0.0ex; background:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF;"></ul>
= แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๔๘ ศาลฎีการะหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ กับพลตำรวจเอก วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ และพวก จำเลย<br>เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘<br>
คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๔๘ — "ระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ กับพลตำรวจเอก วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ และพวก จำเลย<br>เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘<br>"ศาลฎีกา
#เปลี่ยนทาง
คำพิพากษา
<ns>10</ns>
<id>16513</id>
<revision>
<id>39269</id>
<timestamp>2010-10-01T09:03:24Z</timestamp>
<contributor>
<username>Octahedron80</username>
<id>156</id>
</contributor>
<comment>escape template</comment>
<origin>39269</origin>
<model>wikitext</model>
<format>text/x-wiki</format>
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เรื่อง #เปลี่ยนทาง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
โจทก์ฟ้องว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ เรียกโดยย่อว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๗ พลตำรวจเอก ประทิน สันติประภพ กับพวก ประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาหนึ่งร้อยแปดสิบคน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเก้าสิบห้าคน รวมสองร้อยสามคน มากกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ทั้งสองสภา ได้เข้าชื่อร้องขอต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กล่าวหาว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะประธานกรรมการ ป.ป.ช. และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ในฐานะกรรมการ ป.ป.ช. กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยยื่นผ่านประธานวุฒิสภา องค์คณะผู้พิพากษาได้แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนขึ้นจำนวนเจ็ดคน โดยมีนายสมศักดิ์ เนตรมัย เป็นประธานกรรมการไต่สวน ทำหน้าที่ไต่สวนข้อเท็จจริงและทำความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินคดีตามคำร้องดังกล่าว คณะกรรมการไต่สวนทำการไต่สวน แล้วมีมติว่า ข้อกล่าวหาตามคำร้องไม่มีมูล แต่องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า คดีมีมูลตามข้อกล่าวหา โดยเมื่อระหว่างวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๗ ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งเก้าดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กล่าวคือ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เวลากลางวัน จำเลยทั้งเก้าได้ร่วมกันประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. และมีมติเห็นชอบให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะประธานกรรมการ ป.ป.ช. ออกระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยอ้างว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ และมาตรา ๑๐๗ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่ายให้แก่จำเลยที่ ๑ เดือนละสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาท และให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ เดือนละสี่หมื่นสองพันห้าร้อยบาท ในวันนั้นเอง จำเลยที่ ๑ ได้ลงนามในระเบียบ และนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๗ ต่อมา วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ และวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๗ จำเลยทั้งเก้าได้อาศัยระเบียบดังกล่าวรับเงินค่าตอบแทนไปจากสำนักงาน ป.ป.ช. โดยบทบัญญัติตามมาตรา ๕ และมาตรา ๑๐๗ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ใช้บังคับกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดของสำนักงาน ป.ป.ช. มิได้ใช้บังคับกับจำเลยทั้งเก้าซึ่งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่อย่างใด การออกระเบียบดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าใช้จ่ายตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่ายแก่จำเลยทั้งเก้าให้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษตามลักษณะงานควบกับเงินเดือนเท่ากับเงินประจำตำแหน่งที่มีอยู่เดิม ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๘ และพระราชบัญญัติเงินเดือนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยผ่านกระบวนการจากคณะรัฐมนตรีเข้าสู่รัฐสภา เพื่อออกเป็นกฎหมายใช้บังคับ การที่จำเลยทั้งเก้าได้อาศัยระเบียบดังกล่าวรับเงินค่าตอบแทนที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายไปดังกล่าวข้างต้น เป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงาน ป.ป.ช. กระทรวงการคลัง และประชาชน เหตุเกิดที่แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โจทก์มี พลตำรวจเอก ประทิน สันติประภพ กับพวก และพยานบุคคล รวมทั้งพยานเอกสาร ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ความผิดของจำเลยทั้งเก้า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๘๓ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๕
จำเลยทั้งเก้าให้การปฏิเสธ
ศาลให้โจทก์และจำเลยทั้งเก้าแถลงการณ์เปิดคดีด้วยวาจา ก่อนที่จะมีคำสั่งให้ไต่สวนพยานหลักฐาน
ทางไต่สวนพยานหลักฐาน จากการพิจารณา และการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการไต่สวน ได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. โดยจำเลยทั้งเก้าเข้าปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ ต่อมาวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๔๗ จำเลยทั้งเก้าได้มีมติในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของสำนักงาน ป.ป.ช. ครั้งที่ ๕/๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ โดยมีจำเลยที่ ๘ เป็นประธานอนุกรรมการ ตามคำสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ ๑๔๗/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๗ ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๒๒๑ ถึง ๒๒๒ และเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งเก้ามีมติในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของสำนักงาน ป.ป.ช. ครั้งที่ ๓๓/๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจช่วยปฏิบัติงานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย นายชัยยศ สินธุประสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นหัวหน้าคณะอนุกรรมการ ตามคำสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ ๑๕๗/๒๕๔๗ ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๒๑๙ ถึง ๒๒๐ ต่อมาวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๗ นายปรีชา เลิศกมลมาศ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำบันทึกถึงผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน คือ นายชัยยศ ว่าได้รับทราบจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. หลายคนว่าประสงค์ให้สำนักงาน ป.ป.ช. ศึกษาและออกระเบียบเช่นเดียวกับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอื่นซึ่งได้จัดทำระเบียบเกี่ยวกับเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน และเงินเพิ่มพิเศษ เช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญตามสำเนาเอกสารแนบมาด้วย นายชัยยศมอบให้หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการและกฎหมายดำเนินการ และนายสุทธินันท์ สาริมาน เจ้าพนักงาน ป.ป.ช. ได้รับมอบหมายให้ยกร่างระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษของจำเลยทั้งเก้า เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจช่วยปฏิบัติงานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ดำเนินการต่อไป ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๒๐๘ วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ นายสุทธินันท์เสนอร่างระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษตามภารกิจและลักษณะงานของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยร่างระเบียบดังกล่าวข้อ ๕ มีข้อความให้จำเลยทั้งเก้าได้รับเงินเพิ่มพิเศษตามภารกิจและลักษณะงานเท่ากับอัตราเงินประจำตำแหน่งที่ได้รับอยู่เดิม ตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ตามเอกสารหมาย จ. ๓ แผ่นที่ ๑๐๔ถึง ๑๐๗ แต่ในการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจช่วยปฏิบัติงานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๑๖/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ที่ประชุมได้พิจารณาร่างระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษตามภารกิจและลักษณะงานของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่นายสุทธินันท์ยกร่างแล้วเห็นว่า เป็นเรื่องที่น่าจะทำไม่ได้ จึงมีมติมอบหมายนายสุทธินันท์นำร่างระเบียบดังกล่าวกลับไปพิจารณาแก้ไขปรับปรุง โดยนำหลักการที่กำหนดให้จำเลยทั้งเก้าได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์กรกลางเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ป.ป.ช. โดยกำหนดค่าตอบแทนให้เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่าย ทั้งนี้ ให้เทียบเคียงกับระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๑๒ ตามรายงานการประชุม เอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๑๙๖ ถึง ๒๐๒ ต่อมาวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗ นายสุทธินันท์ ทำบันทึกถึงนายชัยยศพร้อมกับเสนอร่างระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่ายในอัตรา ดังนี้ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เดือนละสองหมื่นห้าพันบาท กรรมการ ป.ป.ช. เดือนละสองหมื่นบาท ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๑๙๑ ถึง ๑๙๕ ซึ่งในการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๔๗ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ที่ประชุมได้พิจารณาร่างระเบียบดังกล่าว แล้วมีมติเห็นชอบในหลักการ แต่มีข้อสังเกตว่าควรจัดทำอัตราเปรียบเทียบ เพื่อเป็นทางเลือกให้คณะกรรมการพิจารณา ตามรายงานการประชุม เอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๑๘๓ ถึง ๑๙๐ ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗ มีการเสนอร่างระเบียบตามที่คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ เห็นชอบในหลักการต่อจำเลยที่ ๑ เพื่อนำเสนอร่างระเบียบต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาต่อไปในวันเดียวกัน จำเลยที่ ๘ ได้ลงนามในบันทึกข้อความเสนอจำเลยที่ ๑ โดยมีข้อพิจารณาตอนหนึ่งว่า คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ได้ศึกษาและพิจารณาเทียบเคียงกัน ระหว่าง ร่างระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษตามลักษณะงานของประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ... กับ ระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗ แล้ว มีความเห็นว่า การกำหนดเงินเพิ่มพิเศษในลักษณะการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษตามลักษณะงานของประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ... ซึ่งกำหนดให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับเงินเพิ่มพิเศษตามลักษณะงานควบกับเงินเดือน ในอัตราเท่ากับเงินประจำตำแหน่งที่ได้รับอยู่เดิม น่าจะถูกกำหนดโดยกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการจากคณะรัฐมนตรี เข้าสู่รัฐสภาเพื่อพิจารณาออกเป็นกฎหมายใช้บังคับ การกำหนดเงินเพิ่มพิเศษในลักษณะดังกล่าว จึงไม่น่าอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะพิจารณากำหนดเป็นระเบียบได้ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาเทียบเคียงกับระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๑๒ ซึ่งกำหนดให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล ฯลฯ แล้ว การกำหนดค่าตอบแทนในลักษณะดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็น่าที่จะมีอำนาจในการกำหนดระเบียบเกี่ยวกับค่าตอบแทนในภารกิจลักษณะนี้เช่นเดียวกัน และได้ดำเนินการยกร่างระเบียบมาเพื่อประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว ตามบันทึกข้อความ เอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๑๖๒ ถึง ๑๖๗ ต่อ มาวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ มีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของสำนักงาน ป.ป.ช. ครั้งที่ ๑๐/๒๕๔๗ วาระที่ ๒ ได้พิจารณาร่างระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ... แล้ว จำเลยทั้งเก้ามีมติเห็นชอบร่างระเบียบดังกล่าว โดยให้แก้ไขชื่อร่างระเบียบเป็น ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ... และกำหนดอัตราค่าตอบแทนประธานกรรมการ ป.ป.ช. เดือนละสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาท กรรมการ ป.ป.ช. เดือนละสี่หมื่นสองพันห้าร้อยบาท ตามรายงานการประชุม เอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๑๕๑ ถึง ๑๕๗ ในวันเดียวกัน จำเลยที่ ๑ ได้ลงนามในระเบียบดังกล่าว และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๔๒ ถึง ๔๓ และกองคลังสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๗ ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๗ จากงบรายจ่ายด้านบุคลากร ต่อมา วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งเก้าได้มีมติในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของสำนักงาน ป.ป.ช. ครั้งที่ ๑๕/๒๕๔๗ วาระพิเศษว่า เนื่องจากได้มีสมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาตามมาตรา ๓๐๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่า จำเลยทั้งเก้ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่กรณีออกระเบียบดังกล่าวเพื่อส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดำเนินการ จึงเห็นสมควรให้สำนักงาน ป.ป.ช. ระงับการจ่ายเงินค่าตอบแทนดังกล่าวไว้ก่อน และให้จำเลยทั้งเก้าส่งเงินที่ได้รับไปแล้วคืนสำนักงาน ป.ป.ช. ตามเอกสารหมาย จ. ๓ แผ่นที่ ๓๐๒ ต่อมา วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๗ นางณัชชา เกิดศรี เจ้าพนักงาน ป.ป.ช. รักษาราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการกองคลัง ทำบันทึกเสนอเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า ร่างระเบียบดังกล่าว มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๗ เป็นต้นไป คลาดเคลื่อนจากที่เริ่มจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ไปสี่วัน จึงหักคืนจากเงินค่าตอบแทนที่จ่ายในเดือนกันยายน๒๕๔๗ ตามบันทึกข้อความ เอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๔๐๔ นอกจากนี้ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือด่วนมาก ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอถอนระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นระเบียบที่จำเลยทั้งเก้าออก แทนระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยค่าตอบแทนอนุกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่ได้ยกเลิกไป โดยระเบียบใหม่ที่ขอถอนเรื่องกลับคืนดังกล่าวได้กำหนดให้รับเบี้ยประชุมแต่ละครั้งและเพดานสูงสุดของจำนวนเบี้ยประชุมต่อเดือนสูงกว่าระเบียบที่ถูกยกเลิก หนังสือขอถอนเรื่องกลับคืน แจ้งว่า เพื่อนำระเบียบกลับมาแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำให้สมบูรณ์ ตามสำเนาหนังสือด่วนมาก เอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๓๐๐
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดเดิมซึ่งมีนายโอภาส อรุณินท์ เป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช. ครบวาระการดำรงตำแหน่งสมัยแรกเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ แต่รักษาการต่อมาจนกระทั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ มีจำเลยที่ ๑ เป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ ต่อมา วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ จำเลยที่ ๑ โดยความเห็นชอบของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ได้ร่วมกันออกระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๓๙ ก วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๗ ใช้บังคับตั้งแต่ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป โดยระเบียบดังกล่าวระบุว่า ข้อ ๓ ในการปฏิบัติหน้าที่ของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือประกาศ ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่าย ในอัตราดังนี้
๑. #เปลี่ยนทาง ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เดือนละสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาท
๒. #เปลี่ยนทาง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เดือนละสี่หมื่นสองพันห้าร้อยบาท และ
ข้อ ๔ ระบุว่า ให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และลงชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ประกาศ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ หลังจากนั้นได้มีการเบิกจ่ายเงินให้แก่จำเลยทั้งเก้าตามระเบียบดังกล่าวแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ต่อมา เจ้าหน้าที่กองคลังของสำนักงาน ป.ป.ช. ทราบภายหลังว่า ระเบียบดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๗ และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๗ ไม่ใช่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๗ จึงได้หักเงินค่าตอบแทนในส่วนที่จ่ายเกินไปสี่วันออกจากเงินที่จ่ายให้แก่จำเลยทั้งเก้าในเดือนกันยายน ๒๕๔๗ ต่อมา วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๗ พลตำรวจเอก ประทิน สันติประภพ กับพวก ได้ร่วมกันทำคำร้องกล่าวหาจำเลยทั้งเก้าว่ากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ โดยยื่นต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งคำร้องมาให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาพิพากษา หลังจากนั้นวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๗ จำเลยทั้งเก้าได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๔๗ ให้สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระงับการจ่ายเงินค่าตอบแทนแก่จำเลยทั้งเก้าตามระเบียบดังกล่าวไว้ก่อน และจำเลยทั้งเก้าได้ส่งเงินที่รับไปแล้วคืนแล้ว
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ตามปัญหานี้จำเลยที่ ๔ ที่ ๗ และที่ ๙ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งเก้ามีหน้าที่อย่างไร และร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร เป็นการบรรยายฟ้องไม่ชัดเจน และเป็นการบรรยายฟ้องระคนกันระหว่างอำนาจกับหน้าที่ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันและแตกต่างกัน จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยกล่าวหาว่า จำเลยทั้งเก้ามีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือกฎหมายอื่นที่กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำเลยที่ ๑ ในฐานะประธานกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจออกประกาศหรือระเบียบ กับแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่โดยความเห็นชอบของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าว จำเลยทั้งเก้ามีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา กับทั้งได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งเก้าร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยได้ร่วมกันประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. และมีมติเห็นชอบให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะประธานกรรมการ ป.ป.ช. ออกระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ กำหนดเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่ายให้แก่จำเลยที่ ๑ เดือนละสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาท และให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ เดือนละสี่หมื่นสองพันห้าร้อยบาท อันเป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีเจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์หรือเพื่อให้ได้รับประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕ และมาตรา ๑๐๗ ที่จำเลยทั้งเก้าอ้างเพื่อออกระเบียบดังกล่าว เป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดของสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อให้การดำเนินการไปได้ด้วยดี มิได้ใช้บังคับกับจำเลยทั้งเก้า ทั้งการออกระเบียบดังกล่าวเป็นการกำหนดเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่ายแก่จำเลยทั้งเก้าให้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษตามลักษณะงานควบกับเงินเดือนเท่ากับเงินประจำตำแหน่งที่มีอยู่เดิม จึงต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๕๓ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๘ และพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นฯ โดยผ่านกระบวนการจากคณะรัฐมนตรีเข้าสู่รัฐสภาเพื่อออกเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป ดังนี้ เห็นว่า ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งเก้าได้กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ครบถ้วนชัดแจ้ง การที่ออกระเบียบเป็นการทำหน้าที่โดยใช้อำนาจนั่นเอง และโจทก์ยังบรรยายว่าการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงาน ป.ป.ช. กระทรวงการคลัง และประชาชน ทั้งการรับเงินค่าตอบแทนตามระเบียบดังกล่าวไป เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฟ้องโจทก์จึงบรรยายถึงการกระทำความผิด ข้อเท็จจริง และรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วย พอสมควรที่จะทำให้จำเลยทั้งเก้าเข้าใจข้อหาได้ดี ทั้งอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) (๖) แล้ว นอกจากระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาแล้ว ยังชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปได้ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๘ วรรคสอง และข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๘ วรรคหนึ่ง แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า จำเลยทั้งเก้าได้กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ แยกความผิดเป็นสองลักษณะ ลักษณะที่หนึ่ง เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และลักษณะที่สอง เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แต่ความผิดทั้งสองลักษณะนี้ เริ่มต้นจากการที่ผู้กระทำเป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งจะวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า จำเลยทั้งเก้าเป็นเจ้าพนักงานหรือไม่ ปัญหานี้ จำเลยทั้งเก้าให้การต่อสู้ว่า จำเลยทั้งเก้าจะมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายต่อเมื่อได้ปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตามมาตรา ๑๙ ถึงมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐๑ เท่านั้น ทั้งการออกระเบียบที่เป็นปัญหาในคดีนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕ และมาตรา ๑๐๗ บัญญัติให้เป็นอำนาจของจำเลยทั้งเก้า ไม่ใช่บัญญัติให้เป็นหน้าที่ การออกระเบียบคดีนี้ จึงไม่ใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การกระทำของจำเลยทั้งเก้าจึงไม่ครบองค์ประกอบของความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานตามที่โจทก์ฟ้องนั้น เห็นว่า การเป็นเจ้าพนักงานเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ บุคคลที่เป็นเจ้าพนักงานจะต้องมีอำนาจหน้าที่ ซึ่งกฎหมายต้องคุ้มครองและควบคุมเจ้าพนักงานมิให้ใช้อำนาจหน้าที่นั้นเกินขอบเขต จึงต้องตีความอย่างเคร่งครัดว่า เจ้าพนักงาน หมายถึง ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งโดยกฎหมาย ซึ่งอาจจะเป็นกฎหมายเฉพาะ หรือกฎหมายทั่วไปให้เป็นเจ้าพนักงาน และการแต่งตั้งดังกล่าวต้องเป็นการแต่งตั้งให้ปฏิบัติราชการ ซึ่งการปฏิบัติราชการก็ต้องมีกฎหมายกำหนดไว้เช่นกัน คดีนี้ จำเลยทั้งเก้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงาน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๑ ที่บัญญัติว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งก็มิระบุว่าเป็นเจ้าพนักงานเฉพาะการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐๑ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ ถึงมาตรา ๑๐๓ เท่านั้น การใช้อำนาจควบคุมดูแลสำนักงาน ป.ป.ช. ตามมาตรา ๑๐๔ ถึงมาตรา ๑๑๐ เป็นกิจการที่เกี่ยวเนื่องกันไป โดยมีสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานธุรการสนับสนุนงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเมื่อจำเลยทั้งเก้าได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติราชการ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐๑ บัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ตาม (๖) คือดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๑๓) บัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการอื่นตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้บัญญัติหรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และมาตรา ๒๕ บัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๔) วางระเบียบเกี่ยวกับ หลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทาง และค่าตอบแทนของพยานบุคคล และเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเรื่องอื่นใด เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ (๕) วางระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนตามมาตรา ๓๐ ซึ่งจากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ได้บัญญัติถึงเรื่องอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งเก้า ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะในมาตรา ๒๕ ได้บัญญัติให้การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งเก้า ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งเก้าจะใช้อำนาจต่าง ๆ ได้ จำเลยทั้งเก้าจะต้องมีหน้าที่ที่จะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ควบคู่ไปด้วย หาใช่มีแต่เพียงอำนาจ แต่ไม่มีหน้าที่แต่อย่างใด แม้มาตรา ๕ และมาตรา ๑๐๗ จะบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ป.ป.ช. ก็ตาม แต่การใช้อำนาจของจำเลยทั้งเก้าดังกล่าว ก็เพื่อปฏิบัติราชการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งเก้า ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙ (๑๓) การออกระเบียบที่เป็นปัญหานี้ของจำเลยทั้งเก้า จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามที่โจทก์ฟ้องแล้ว หาใช่เป็นเรื่องการใช้อำนาจทางนิติบัญญัติเกี่ยวกับการบริหาร ดังที่จำเลยทั้งเก้าต่อสู้ไม่ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งเก้าร่วมกันออกระเบียบที่เป็นปัญหานี้โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕ และมาตรา ๑๐๗ เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๑ แล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งเก้าฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยทั้งเก้ามีอำนาจออกระเบียบดังกล่าวหรือไม่ จำเลยทั้งเก้าให้การต่อสู้ว่า จำเลยทั้งเก้ามีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ โดยมีสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระ สนับสนุนงานธุรการ การปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ จำเลยทั้งเก้ามีสิทธิได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๕๓ และตามพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ประโยชน์ตอบแทนอื่นฯ มาตรา ๔ และมาตรา ๕ ให้ประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ช. มีสิทธิได้รับประโยชน์ตอบแทนอื่น คือ (๑) การประกันสุขภาพ (๒) ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส่วนระเบียบที่จำเลยทั้งเก้าออก ก็โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕ และมาตรา ๑๐๗ โดยมาตรา ๕ เป็นการให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ออกระเบียบทั่ว ๆ ไป เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ทั้งนี้ โดยไม่มีข้อจำกัดว่าเป็นระเบียบประเภทใด หรือมีบทกฎหมายใดให้ออกระเบียบอีก ส่วนมาตรา ๑๐๗ เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการออกระเบียบเกี่ยวกับบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สินและการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะ (๑) ถึง (๑๑) เท่านั้น ทั้งการออกระเบียบดังกล่าวเป็นการจ่ายเงินค่าตอบแทน ซึ่งเป็นเบี้ยประชุมให้แก่ประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ช. มิใช่เงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่ง จึงไม่ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ ระเบียบที่เป็นปัญหานี้จึงไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๕๓ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๘ และพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นฯ ระเบียบที่เป็นปัญหาจึงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ข้อนี้ ต้องพิจารณาถึงหลักการตามบทบัญญัติของกฎหมาย และการใช้อำนาจในกฎหมายให้ชัดเจน เห็นว่า ในการตีความการบัญญัติกฎหมาย และการใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ต้องให้สอดคล้องและเป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญและระบบกฎหมายที่ถูกต้องตามคลองธรรม กล่าวคือ ในการตีความบทบัญญัติกฎหมาย รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเหนือกฎหมายทั้งปวง กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเป็นส่วนขยายของรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่สูงกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป และพระราชบัญญัติทั่วไปจะต้องมีฐานะสูงกว่าระเบียบข้อบังคับ เพราะระเบียบข้อบังคับจะเป็นเครื่องมือของกฎหมายนั้น ๆ รัฐธรรมนูญแบ่งอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยมีองค์กรผู้ใช้อำนาจ คือ รัฐสภาใช้อำนาจนิติบัญญัติ คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจบริหาร และศาลใช้อำนาจตุลาการ นอกจากนั้นก็มีองค์กรอิสระตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เพื่อให้ใช้อำนาจกึ่งนิติบัญญัติ กึ่งบริหาร หรือกึ่งตุลาการ เพื่อตรวจสอบหรือส่งเสริมการใช้อำนาจรัฐดังกล่าว โดยเฉพาะคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ในหมวด ๑๐ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ ๒ บัญญัติถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้โดยเฉพาะในมาตรา ๒๙๗ ถึงมาตรา ๓๐๒ โดยมาตรา ๒๙๗ บัญญัติถึงองค์ประกอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. การสรรหา การเลือกกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา ๒๙๘ บัญญัติถึงวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา ๒๙๙ บัญญัติถึงการร้องขอให้กรรมการ ป.ป.ช. พ้นจากตำแหน่ง มาตรา ๓๐๐ บัญญัติถึงการร้องขอให้ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องที่กล่าวหาว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการมาให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาพิพากษา มาตรา ๓๐๑ บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา ๓๐๒ บัญญัติถึงหน่วยงานธุรการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เป็นอิสระโดยมีเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานกรรมการ ป.ป.ช. จึงเห็นได้ว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้น บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๐๑ ว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) #เปลี่ยนทาง ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนพร้อมทั้งทำความเห็นเสนอต่อวุฒิสภา ตามมาตรา ๓๐๕
(๒) #เปลี่ยนทาง ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนพร้อมทั้งทำความเห็นส่งไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา ๓๐๘
(๓) #เปลี่ยนทาง ไต่สวนและวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพื่อดำเนินการต่อไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(๔) #เปลี่ยนทาง ตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง รวมทั้งความเปลี่ยนแปลง ของทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่ง ตามมาตรา ๒๙๑ และมาตรา ๒๙๖ ตามบัญชีและเอกสารประกอบที่ได้ยื่นไว้
(๕) #เปลี่ยนทาง รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมข้อสังเกต ต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ทุกปี และนำรายงานนั้นออกพิมพ์เผยแพร่ต่อไป
(๖) #เปลี่ยนทาง ดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
สำหรับมาตรา ๓๐๑ (๖) นั้น หมายถึง การดำเนินการตามที่กฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ และพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๓ และดำเนินการอื่นตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดไว้ ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติไว้ชัดในมาตรา ๑๙ ว่ามีอะไรบ้าง โดยเฉพาะมาตรา ๑๙ (๑๓) บัญญัติว่า ดำเนินการอื่นตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้บัญญัติหรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งจะเห็นได้ว่าตั้งแต่มาตรา ๒๕ ถึงมาตรา ๙๙ เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งสิ้น และกฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ออกระเบียบได้ เช่น ในมาตรา ๒๕ (๔) วางระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงค่าเดินทาง และค่าตอบแทนของพยานบุคคล และเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเรื่องอื่นใด เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ (๕) วางระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบน ตามมาตรา ๓๐ ส่วนหมวด ๑๐ ตั้งแต่มาตรา ๑๐๔ ถึง ๑๑๗ เป็นบทบัญญัติว่าด้วยสำนักงาน ป.ป.ช. ไว้โดยเฉพาะ สำหรับมาตรา ๑๐๗ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๐๒ ซึ่งบัญญัติว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีหน่วยธุรการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่เป็นอิสระ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้บังคับบัญชา ขึ้นตรงต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ การแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และวุฒิสภา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ สำนักงาน ป.ป.ช. จึงเป็นหน่วยงานสนับสนุนงานธุรการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำเร็จลุล่วงไป โดยมีอิสระในการบริหารงานบุคคล การเงิน และงบประมาณ โดยปราศจากการแทรกแซงจากฝ่ายใด การออกระเบียบตามมาตรา ๑๐๗ จึงจำกัดเฉพาะข้าราชการและลูกจ้างของสำนักงาน ป.ป.ช. เท่านั้น เช่น ออกระเบียบค่าตอบแทนพิเศษแก่ข้าราชการและลูกจ้างสำนักงาน แต่จำเลยทั้งเก้ากลับอ้างถึงอำนาจออกระเบียบตามมาตรา ๑๐๗ อันเป็นระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณการเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ป.ป.ช. โดยเฉพาะ (๑) ถึง (๑๑) ซึ่งจำเลยทั้งเก้าเข้ามาใช้อำนาจในการบริหารงานบุคคลและบริหารงานองค์กรสำนักงาน ป.ป.ช. โดยให้เหตุผลที่จำเลยทั้งเก้าออกระเบียบที่เป็นปัญหาว่า “โดยที่เป็นการสมควรกำหนดเงินค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติให้เหมาะสมกับภารกิจ ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือประกาศระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการที่เกี่ยวข้อง... ข้อ ๓ ในการปฏิบัติหน้าที่ของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือประกาศระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ ของทางราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ได้รับเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่าย ในอัตราดังนี้ (๑) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เดือนละสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาท (๒) กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เดือนละสี่หมื่นสองพันห้าร้อยบาท...” จึงแสดงให้เห็นว่า การออกระเบียบดังกล่าว เป็นการกำหนดเงินค่าตอบแทนเพิ่มเติมเป็นรายเดือน ในทำนองเดียวกับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่ง ให้แก่จำเลยทั้งเก้า ซึ่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะ โดยอ้างว่าเพื่อให้เหมาะสมกับภารกิจในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งหมด ไม่ว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามหน้าที่หลัก หรือการบริหารองค์กร หรือบริหารงานบุคคล ซึ่งหน้าที่ทั้งสองอย่างนี้ต้องควบคู่กันไป โดยงานธุรการช่วยสนับสนุนงานตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ จึงจะทำให้ภารกิจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. สัมฤทธิ์ผลตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งบัญญัติไว้ในหมวด ๑๐ ส่วนที่ ๒ และในหมายเหตุท้ายประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ จำเลยทั้งเก้าจึงไม่มีอำนาจที่จะออกระเบียบที่เป็นปัญหานี้ได้
ที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่า เงินค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่าย ตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังกล่าว เป็นเบี้ยประชุมเหมาจ่ายเกี่ยวกับการบริหารงานองค์กร ในฐานะที่เป็นคณะกรรมการกลางบริหารองค์กร และการบริหารงานบุคคลของสำนักงาน ป.ป.ช. เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๑๐ ให้นำกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน ในส่วนที่เกี่ยวกับพลเรือนสามัญ มาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยคำว่า “ก.พ.” หรือ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ให้หมายถึง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งเก้าใช้อำนาจด้านการบริหารสำนักงานดังกล่าวในลักษณะการประชุมของคณะกรรมการบริหาร ก็ชอบที่จะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนประเภทเบี้ยประชุมได้เหมือนกับคณะกรรมการบริหารองค์กรอิสระอื่น เช่น คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) คณะกรรมการบริหารข้าราชการศาลยุติธรรม (ก.ศ.) คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศ.ป.) คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง และคณะกรรมการบริหารองค์กรภาครัฐทั่วไป เช่น คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) คณะกรรมการข้าราชการอัยการ (ก.อ.) คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ต.ร.) เป็นต้น นั้น เห็นว่า ข้ออ้างตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าว ขัดกับเหตุผลในการออกระเบียบที่เป็นปัญหาดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ทั้งระเบียบดังกล่าวก็มิได้ระบุว่าเงินค่าตอบแทนตามระเบียบที่เป็นปัญหาเป็นเบี้ยประชุม แต่ระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่าย นอกจากนี้ คณะกรรมการซึ่งมีหน้าที่บริหารองค์กรต่าง ๆ ตามที่จำเลยทั้งเก้าอ้างนั้น เมื่อพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว จะเห็นว่า เป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับข้าราชการฝ่ายนั้น ๆ โดยเฉพาะ โดยกำหนดถึงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าวในการบริหารองค์กรของตน ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่นอกเหนือจากภารกิจหรือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติประจำ ทั้งข้าราชการตามกฎหมายเหล่านั้นอาจเป็นกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ดังกล่าวได้บางคน ซึ่งจะกำหนดคุณสมบัติและที่มาของกรรมการดังกล่าวไว้แตกต่างกัน ซึ่งอาจจะเป็นโดยตำแหน่ง หรือโดยได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกในองค์กรดังกล่าว หรือได้รับคัดเลือกหรือแต่งตั้งจากองค์กรอื่นเข้ามาร่วมเป็นกรรมการตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ได้ความคิดที่หลากหลายและรอบคอบ และมีกำหนดระยะเวลาในการเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวไว้ด้วย แตกต่างจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งประกอบด้วยบุคคลเก้าคน ทั้งพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นฯ มิได้ใช้แก่ผู้พิพากษา ศาลยุติธรรม และตุลาการศาลปกครอง ซึ่งมีพระราชบัญญัติพิเศษแยกออกไป จะนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของจำเลยทั้งเก้าไม่ได้ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ในการออกระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหน่วยงานธุรการของตนไว้โดยเฉพาะแล้ว จำเลยทั้งเก้า ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่อาจออกระเบียบที่เป็นปัญหาได้ เพราะจำเลยทั้งเก้าได้รับเงินเดือนเงินประจำตำแหน่ง และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นในการปฏิบัติหน้าที่โดยเฉพาะแล้ว หากจำเลยทั้งเก้าเห็นว่า ภารกิจและหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มีจำนวนมาก ค่าตอบแทนที่เป็นเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่กฎหมายกำหนด ไม่เหมาะสม ก็ควรเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นฯ ก็ชอบที่จะทำได้ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งเก้าร่วมกันออกระเบียบที่เป็นปัญหาโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๗ อันเป็นฐานของอำนาจในการออกระเบียบที่เป็นปัญหา จึงไม่ชอบ สำหรับการออกระเบียบตามมาตรา ๕ เป็นระเบียบทั่ว ๆ ไป เพื่อเป็นเครื่องมือของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการใช้อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ เท่านั้น ส่วนพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๕ ว่า “ประโยชน์ตอบแทน” อื่นมีเพียง ๑. การประกันสุขภาพ และ ๒. ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เท่านั้น จะแปลความโดยขยายความไม่ได้ แม้ตามร่างฯ ของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ ๔ พิจารณายกร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นฯ พ.ศ. ๒๕๔๑ จะระบุว่า องค์กรอิสระต่าง ๆ สามารถออกระเบียบได้อยู่แล้ว ก็เป็นเพียงความคิดเห็นของกรรมการร่างกฎหมายในขณะนั้น แต่ต่อมาภายหลัง กฎหมายที่มีผลใช้บังคับได้บัญญัติไว้เพียงสองประการดังกล่าวเท่านั้น ที่จำเลยทั้งเก้าอ้างว่าได้เปรียบเทียบโดยคัดลอกมาจากระเบียบของศาลรัฐธรรมนูญ ก็แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่า ได้ใช้อำนาจโดยไม่รอบคอบ เพราะระเบียบศาลรัฐธรรมนูญที่จำเลยทั้งเก้าอ้างว่าน่าจะทำได้ หากองค์กรอื่นทำบ้างก็จะไม่ผิด ก็เป็นความเข้าใจของจำเลยทั้งเก้าเอง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งเก้ามีเจตนากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตหรือไม่ เห็นว่า ก่อนจำเลยทั้งเก้าเข้าดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่เคยมีการออกระเบียบดังเช่นระเบียบที่เป็นปัญหามาก่อน ที่นายศราวุธ เมนะเศวต และนายประสิทธิ์ ดำรงชัย เบิกความว่า มีกรรมการ ป.ป.ช. บางคนเคยหารือในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่มีนายโอภาส อรุณินท์ เป็นประธาน และบอกให้นายศราวุธไปศึกษาเรื่องนี้ แต่นายโอภาสเบิกความว่า ไม่เคยมีการพูดเรื่องนี้ในการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และไม่มีการบันทึกให้ปรากฏในรายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คำเบิกความของนายศราวุธและนายประสิทธิ์จึงเลื่อนลอย ไม่น่าเชื่อว่า การออกระเบียบที่เป็นปัญหา เริ่มต้นมาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่มีนายโอภาสเป็นประธานกรรมการ เมื่อจำเลยทั้งเก้าเข้าดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ ๕/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๔๗ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ โดยมีจำเลยที่ ๘ เป็นประธานอนุกรรมการ และวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจช่วยปฏิบัติงานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ มีนายชัยยศ สินธุประสิทธิ์ เป็นหัวหน้าคณะอนุกรรมการ เห็นได้ว่า คณะอนุกรรมการดังกล่าวทั้งสองคณะที่ดำเนินการให้จำเลยทั้งเก้าออกระเบียบที่เป็นปัญหา ได้รับแต่งตั้งจากจำเลยทั้งเก้า และได้ความจากนายศราวุธว่า การออกระเบียบโดยเสนอร่างระเบียบผ่านคณะอนุกรรมการทั้งสองคณะดังกล่าวก่อนเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาเพิ่งใช้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้ เดิมกองกฎหมายเป็นผู้จัดทำร่างระเบียบ และเสนอผ่านสายงานตามปกติ ประกอบกับนายปรีชา เลิศกมลมาศ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ทำบันทึกถึงนายชัยยศว่า ได้รับทราบจากกรรมการ ป.ป.ช. หลายคนว่า มีความประสงค์ให้สำนักงาน ป.ป.ช. ศึกษาและออกระเบียบที่เป็นปัญหา ดังนี้ แม้การออกระเบียบดังกล่าวจะเป็นไปตามลำดับขั้นตอน ตามที่จำเลยทั้งเก้าอ้างก็ตาม แต่เป็นการริเริ่มมาจากพวกจำเลยเอง การพิจารณาร่างระเบียบที่เป็นปัญหาของคณะอนุกรรมการทั้งสองคณะ จึงไม่อาจชี้แสดงว่าจำเลยทั้งเก้าไม่ได้ดำเนินการให้มีการออกระเบียบดังกล่าวมาก่อน อีกทั้งในการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจช่วยปฏิบัติงานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๑๖/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ได้พิจารณาร่างระเบียบที่เป็นปัญหาโดยใช้ชื่อ ร่างระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษตามภารกิจและลักษณะงานของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยกำหนดอัตราเงินเพิ่มพิเศษแก่ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เดือนละสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาท และกรรมการ ป.ป.ช. เดือนละสี่หมื่นสองพันห้าร้อยบาท ตามที่นายสุทธินันท์ สาริมาน ยกร่างเสนอให้พิจารณา ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าจะกระทำไม่ได้ จึงมีมติไม่เห็นชอบ ตามหลักการของร่างระเบียบฉบับดังกล่าว ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๑๙๖ ถึง ๒๐๒ ต่อมา นายสุทธินันท์เสนอร่างระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มีข้อความในข้อ ๔ ว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน ฯลฯ และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ป.ป.ช. รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่เป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่าย ในอัตราดังนี้ ๑) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เดือนละสองหมื่นห้าพันบาท ๒) กรรมการ ป.ป.ช. เดือนละสองหมื่นบาท ทั้งนี้ สำ นักงาน ป.ป.ช. อาจกำหนดการเบิกจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้ ต่อมา นายชัยยศเสนอคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ พิจารณา ตามเอกสารหมาย จ.๑ แผ่นที่ ๑๙๑ ถึง ๑๙๕ ซึ่งจำเลยที่ ๘ ได้บันทึกข้อความเสนอประธานกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีความเห็นว่า คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามแผนยุทธศาสตร์ได้ศึกษาและพิจารณาเทียบเคียงกัน ระหว่าง ร่างระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษตามลักษณะงานของประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ... กับ ระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการและอนุกรรมการ และค่าตอบแทนบุคคลหรือคณะบุคคล พ.ศ. ๒๕๔๗ แล้ว มีความเห็นว่า การกำหนดเงินเพิ่มพิเศษในลักษณะการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ ตามลักษณะงานของประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ... ซึ่งกำหนดให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับเงินเพิ่มพิเศษตามลักษณะงานควบกับเงินเดือนในอัตราเท่ากับเงินประจำตำแหน่งที่ได้รับอยู่แต่เดิม น่าจะถูกกำหนดโดยกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่น ของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการจากคณะรัฐมนตรี เข้าสู่รัฐสภาเพื่อพิจารณาออกเป็นกฎหมายใช้บังคับ การกำหนดเงินเพิ่มพิเศษในลักษณะดังกล่าว จึงไม่น่าอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะพิจารณากำหนดเป็นระเบียบได้ ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แผ่นที่ ๑๖๒ ถึง ๑๖๗ แสดงว่า คณะอนุกรรมการดังกล่าวข้างต้นทั้งสองคณะเห็นตรงกันว่า ไม่สามารถออกระเบียบเพื่อจ่ายเงินเพิ่มพิเศษตามลักษณะงานควบกับเงินเดือนเท่ากับเงินประจำตำแหน่งที่มีอยู่เดิม และได้ความจากนายศราวุธว่า ได้เสนอบันทึกรายละเอียดความเห็นของคณะอนุกรรมการทั้งสองคณะดังกล่าวต่อจำเลยทั้งเก้า ประกอบการพิจารณาออกระเบียบที่เป็นปัญหาแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ยอมรับต่อคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ว่า มีการเสนอบันทึกข้อความของจำเลยที่ ๘ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่อ้างว่าไม่ได้หยิบยกขึ้นขณะประชุม ตามเอกสารหมาย จ. ๕ แผ่นที่ ๕๙ แสดงว่า จำเลยทั้งเก้าทราบเรื่องที่คณะอนุกรรมการทั้งสองคณะมีความเห็นว่าไม่สามารถออกระเบียบเพื่อจ่ายเงินเพิ่มพิเศษตามลักษณะงานควบกับเงินเดือนเท่ากับเงินประจำตำแหน่งที่มีอยู่เดิม แต่จำเลยทั้งเก้ายังคงเห็นชอบกับร่างระเบียบที่เป็นปัญหา และจำเลยที่ ๑ ได้ลงนามประกาศใช้ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗ เมื่อจำเลยทั้งเก้าเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่ในการรักษาดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติให้เป็นไปตามกฎหมาย มีประสบการณ์จากการปฏิบัติหน้าที่อย่างดี จำเลยทั้งเก้าย่อมต้องใช้ความระมัดระวังในการออกระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระเบียบที่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันถึงจำเลยทั้งเก้าโดยตรง ย่อมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยศึกษาอำนาจในการออกระเบียบที่เป็นปัญหาให้ถ่องแท้เสียก่อน เมื่อมีข้อน่าสงสัย สมควรสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับเงินงบประมาณจากกระทรวงการคลังให้แน่ชัด แต่จำเลยทั้งเก้ามิได้ดำเนินการ กลับออกระเบียบที่เป็นปัญหา โดยประชุมพิจารณาเพียงครั้งเดียว ก็มีมติให้ออกระเบียบดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่า จำเลยทั้งเก้าทราบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจออกระเบียบที่เป็นปัญหา และจำนวนเงินค่าตอบแทนที่ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับ เดือนละสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาท ส่วนกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับ เดือนละสี่หมื่นสองพันห้าร้อยบาท จำเลยทั้งเก้าได้ถือโอกาสกำหนดใช้อัตราสูงสุดเท่ากับเงินประจำตำแหน่ง ตามที่ร่างระเบียบดังกล่าวเสนอเปรียบเทียบเข้ามา โดยไม่มีเหตุสมควร ไม่สอดคล้องกับการทำหน้าที่บริหารงานองค์กร ที่เป็นงานนอกเหนือจากงานตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่หลัก ส่วนงานตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและตรวจสอบทรัพย์สิน ที่จำเลยทั้งเก้าอ้างว่ามีจำนวนมากนั้น เป็นงานในหน้าที่ของจำเลยทั้งเก้าที่ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง เป็นคนละส่วนกับเงินค่าตอบแทนตามระเบียบที่เป็นปัญหา พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า จำเลยทั้งเก้าแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองตามอำเภอใจ โดยมิได้ยึดถือหลักเกณฑ์ใด ๆ แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๑๐ บัญญัติให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าที่เช่นเดียวกับ ก.พ. ก็เพียงให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับข้าราชการและพนักงานของสำนักงาน ป.ป.ช. เช่นเดียวกับ ก.พ. ไม่อาจถือว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีภาระหน้าที่ในส่วนนี้เทียบเท่ากับ ก.พ. ซึ่งดูแลข้าราชการพลเรือนจำนวนมาก จากข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งเก้าทราบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจออกระเบียบที่เป็นปัญหา แล้วยังเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของสำนักงาน ป.ป.ช. และมีมติเห็นชอบกับร่างระเบียบดังกล่าวทุกคน โดยไม่มีการโต้แย้งคัดค้าน ทั้งได้รับเงินตามระเบียบดังกล่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. แล้ว แม้ภายหลังจำเลยทั้งเก้าได้นำเงินที่ได้รับมาคืนสำนักงาน ป.ป.ช. แล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้การกระทำความผิดของจำเลยทั้งเก้าที่สำเร็จไปแล้วจะกลับไม่เป็นความผิด พฤติการณ์ดังกล่าวรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งเก้าเป็นเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงาน ป.ป.ช. และเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติ ด้วยคะแนนเสียง ๖ ต่อ ๓ ว่า พยานหลักฐานที่ไต่สวนมารับฟังได้ว่า จำเลยทั้งเก้าร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยทั้งเก้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๘๓ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๕ ให้จำคุกจำเลยทั้งเก้า มีกำหนดคนละสองปี เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีทั้งปวงและประวัติการทำงานของจำเลยทั้งเก้าแล้ว เห็นว่ามีเหตุอันควรปรานี ให้รอการลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ มีกำหนดสองปี
ประพันธ์ ทรัพย์แสง
ศิริชัย สวัสดิ์มงคล
กำพล ภู่สุดแสวง
ชาญชัย ลิขิตจิตถะ
วิรัช ลิ้มวิชัย
ทองหล่อ โฉมงาม
สมชาย พงษธา
ชวลิต ยอดเณร
สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
|
17390
|
10079
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17390
|
กลอนเพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ และพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
|
กลอนเพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ และพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ (พ.ศ. 2507)
กลอนเพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ และพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ2507
<pages index="หม่อมเป็ดสวรรค์ และพระอาการประชวรฯ - ๒๕๐๗.pdf" include="1"/>
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
โดย
ไม่ปรากฏผู้สร้างสรรค์
<pages index="หม่อมเป็ดสวรรค์ และพระอาการประชวรฯ - ๒๕๐๗.pdf" include="82"/>
|
17419
|
7930
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=17419
|
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาฯ พ.ศ. ๒๕๒๐
|
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาในสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๒๐
ด้วยกระทรวงศึกษาเห็นสมควรปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐบาล สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เสียใหม่ให้เหมาะสม และเป็นประโยชน์แก่การศึกษามากยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๒๓ แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๖ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ กระทรวงศึกษาธิการจึงวางระเบียบขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาในสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๒๐"
ข้อ ๒ ให้ยกเลิก
(๑) ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ค่าธรรมเนียมในโรงเรียนอนุบาล พ.ศ. ๒๔๙๗
(๒) ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๐๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๙
(๓) ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาในโรงเรียนผู้ใหญ่และหน่วยอาชีวศึกษาผู้ใหญ่เคลื่อนที่ พ.ศ. ๒๕๑๓
(๔) ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเก็บค่าภาคปฏิบัติในโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา พ.ศ. ๒๕๑๗
(๕) ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาในโรงเรียนผู้ใหญ่สายสามัญ พ.ศ. ๒๕๑๙
(๖) ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาในโรงเรียนสังกัดกรมอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๐
บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งอื่นใดที่ได้กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
ข้อ ๓ ระเบียบนี้ใช้บังคับแก่สถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการทุกระดับ ทุกประเภท ยกเว้นสถานศึกษาสังกัดกรมการฝึกหัดครู และวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา
ข้อ ๔ เงินบำรุงการศึกษาตามระเบียบนี้ คือ เงินที่สถานศึกษาเรียกเก็บจากนักเรียนนักศึกษาเป็นค่าบำรุงการศึกษา และอื่น ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้
ข้อ ๕ ให้สถานศึกษาเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามประเภท และจำนวนเงิน ดังนี้
(๑) ค่าระเบียบการและใบสมัคร ๕ บาท
ถ้ามีแต่ใบสมัครอย่างเดียวให้เก็บ ๒ บาท
(๒) ค่าสมัครเข้าเรียนให้เก็บในอัตรา ๑๐-๒๐-๓๐-๔๐-๕๐ บาท
(๓) สำหรับการศึกษาหรือชั้นที่ไม่ได้จัดการสอบในระบบหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียน ให้เก็บค่าบำรุงการศึกษา รวมทั้งค่าบำรุงสุขภาพ หรือห้องพยาบาล ห้องสมุด ตลอดจนค่าภาคปฏิบัติหรือวัสดุฝึกหัดหรืออุปกรณ์การศึกษา ในอัตราภาคเรียนหรือรุ่นละ ๕๐-๑๐๐-๑๕๐-๒๐๐-๒๕๐-๓๐๐-๕๐๐ บาท
(๔) ค่าขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา สำหรับสถานศึกษาหรือชั้นที่จัดการสอนในระบบหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียน ให้เก็บในอัตราปีละ ๑๐-๒๐-๓๐-๔๐-๕๐-๑๐๐ บาท
(๕) ค่าบำรุงสุขภาพหรือห้องพยาบาล สำหรับสถานศึกษาหรือชั้นที่จัดการสอนในระบบหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียน ให้เก็บในอัตราปีละ ๑๐-๒๐-๓๐-๔๐-๕๐-๑๐๐ บาท
(๖) ค่าบำรุงห้องสมุด สำหรับสถานศึกษาหรือชั้นที่จัดการสอนในระบบหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียน ให้เก็บในอัตราปีละ ๑๐-๒๐-๓๐-๔๐-๕๐-๑๐๐ บาท
(๗) ค่าภาคปฏิบัติหรือวัสดุฝึกหัดหรืออุปกรณ์การศึกษา สำหรับสถานศึกษาหรือชั้นที่จัดการสอนในระบบหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียน ให้เก็บในอัตราหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียนละ ๕-๑๐-๒๐-๓๐-๔๐-๕๐ บาท
(๘) ค่าลงทะเบียนรายวิชา สำหรับสถานศึกษาหรือชั้นที่จัดการสอนในระบบหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียน ให้เก็บในอัตราหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียนละ ๕-๑๐-๒๐-๓๐-๔๐-๕๐ บาท
(๙) ค่าปรับการลงทะเบียนรายวิชา สำหรับกรณีที่มีการลงทะเบียนรายวิชาล่าช้ากว่ากำหนด ให้เก็บในอัตรา ๑๐-๒๐-๓๐-๔๐-๕๐ บาท
(๑๐) ค่าออกใบรับรอง ใบรายงานต่าง ๆ ชุดแรกไม่เรียกเก็บ ชุดต่อไปให้เก็บฉบับละ ๕ บาท
(๑๑) ค่าสอบแก้ตัว สำหรับสถานศึกษาหรือชั้นที่จัดการสอนในระบบหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียน ให้เก็บในอัตราหน่วยกิตหรือหน่วยการเรียนละ ๕ บาท
ข้อ ๖ การเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามข้อ ๕ ให้เลือกเก็บในประเภทและอัตราใดอัตราหนึ่งตามความเหมาะสมแก่สภาพท้องถิ่นและฐานะทางเศรษฐกิจ
สถานศึกษาใดจะเก็บเงินบำรุงการศึกษาประเภทใด ในอัตราใด ให้อธิบดีเจ้าสังกัดเป็นผู้อนุมัติและรายงานให้กระทรวงศึกษาธิการรับทราบ
ข้อ ๗ สถานศึกษาใดจะไม่เก็บหรือเก็บเงินบำรุงการศึกษาแตกต่างไปจากประเภทและอัตราที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีเจ้าสังกัด โดยความเห็นชอบของปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ข้อ ๘ ให้เก็บเงินบำรุงการศึกษาในภาคเรียนหรือเป็นรุ่น และให้สถานศึกษากำหนดเวลาการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาตามความเหมาะสม แต่ต้องประกาศให้นักเรียนนักศึกษาทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน
ข้อ ๙ การรับ จ่าย และจัดทำบัญชีเงินบำรุงการศึกษา ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเงินบำรุงการศึกษา
ข้อ ๑๐ สถานศึกษาต้องใช้จ่ายเงินบำรุงการศึกษาที่เรียกเก็บให้เกิดประโยชน์ต่อกิจการของสถานศึกษานั้น โดยให้อธิบดีเจ้าสังกัดพิจารณากำหนดวิธีการให้สถานศึกษาจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินบำรุงการศึกษาประจำปีไว้เป็นแนวทางดำเนินงานด้วย
ข้อ ๑๑ ถ้านักเรียนนักศึกษาคนใดลาออก หรือถูกจำหน่ายออกจากสถานศึกษา ไม่ว่ากรณีใด ๆ ภายใน ๗ วันทำการ นับตั้งแต่วันเปิดภาคเรียนไม่ต้องชำระเงินบำรุงการศึกษา สำหรับภาคเรียนหรือรุ่นนั้น และไม่ถือว่าเป็นผู้ค้างชำระเงินบำรุงการศึกษา
ข้อ ๑๒ ถ้านักเรียนนักศึกษาคนใดย้ายสถานศึกษา ให้ปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาดังนี้
(๑) ถ้านักเรียนนักศึกษาได้ชำระเงินบำรุงการศึกษาทางสถานศึกษาเดิมถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องชำระเงินบำรุงการศึกษาในสถานศึกษาแห่งใหม่อีก สำหรับภาคเรียนที่ได้ชำระไปแล้ว เว้นแต่ค่าขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนนักศึกษาต้องชำระใหม่อีก
(๒) ในกรณีที่ประเภทและอัตราค่าบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาแตกต่างกัน
ก. นักเรียนนักศึกษาไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเงินบำรุงการศึกษาส่วนที่ได้ชำระไว้แล้วคืน ไม่ว่ากรณีใด ๆ
ข. ถ้าสถานศึกษาแห่งใหม่เรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาต่างประเทศ และอัตราที่สูงกว่าสถานที่ศึกษาเดิม นักเรียนนักศึกษาต้องชำระเพิ่มให้ครบตามประเภทและอัตราของสถานศึกษาแห่งใหม่
ข้อ ๑๓ การยกเว้นเงินบำรุงการศึกษาให้แก่นักเรียนนักศึกษา ให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
ข้อ ๑๔ กรณีนักเรียนนักศึกษาคนใดค้างชำระเงินบำรุงการศึกษา ให้สถานศึกษาเร่งรัดและทวงถามไปยังผู้ปกครองสองครั้ง ถ้ายังชำระไม่เสร็จสิ้นภายในเวลาที่สถานศึกษากำหนดให้ อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าสถานศึกษาที่จะพิจารณาตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๑๕ ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
ข้อ ๑๖ ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่ ปีการศึกษา ๒๕๒๑ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๒๐
"บุญสม มาร์ติน"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.