Dataset Viewer
Auto-converted to Parquet
id
stringlengths
3
7
revid
stringlengths
1
8
url
stringlengths
39
43
title
stringlengths
1
182
text
stringlengths
140
247k
1161812
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161812
สงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สาม
สงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สาม หรือ สงครามดัตช์ครั้งที่สาม เป็นความขัดแย้งทางทหารทางทะเลระหว่างสาธารณรัฐดัตช์ กับอังกฤษ ซึ่งมีฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรหลัก ตั้งแต่ 7 เมษายน ค.ศ. 1672 จนถึง 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1674 และได้ลุกลามไปเป็นสงครามฝรั่งเศส-เนเธอร์แลนด์ในช่วงปีค.ศ. 1672 จนถึงค.ศ. 1678 ในปีค.ศ. 1670 พระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษได้ทำสนธิสัญญาอย่างลับๆ กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เกี่ยวกับการร่วมมือทำสงครามกับสาธารณรัฐดัตช์ โดยฟากฝรั่งเศสมีวัตถุประสงค์หลักในการยึดครองดินแดนเนเธอร์แลนด์ของสเปน ส่วนอังกฤษนั้นต้องการกอบกู้ชื่อเสียงคืนมาจากการพ่ายแพ้ในยุทธนาวีเมดเวย์ในปีค.ศ. 1667 โดยหนึ่งในสนธิสัญญานี้กล่าวถึงเงินทุนก้อนหนึ่งที่จะช่วยให้พระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษนั้นมีอิสระในการใช้จ่ายโดยไม่ต้องผ่านการเห็นชอบของรัฐสภา กองทัพเรือฝรั่งเศสเริ่มสงครามก่อนในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน ปีค.ศ. 1672 และสามารถเข้าควบคุมน่านน้ำเนเธอร์แลนด์เกือบทั้งหมด ยกเว้นบริเวณมณฑลฮอลแลนด์ ซึ่งกองทัพเรือฝรั่งเศสถูกตีแตกโดยกองทัพเรือดัตช์ แต่ต่อมาต้นเดือนมิถุนายน กองทัพเรืออังกฤษและฝรั่งเศสได้ถูกทำลายอย่างหนักโดยกองทัพเรือดัตช์ภายใต้การนำของจอมทัพเรือมิเชล เดอ รุยเทอร์ ในยุทธนาวีโซลเบย์ โดยเพื่อต้องการจะควบคุมทางเดินสินค้าทั้งหมดให้ได้
1161819
401663
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161819
กฤตย์ รัตนรักษ์
กฤตย์ รัตนรักษ์ (เกิด 19 เมษายน พ.ศ. 2489) ประธานกรรมการบริหารบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด และช่อง 7 เอชดี อดีตเจ้าของธนาคารกรุงศรีอยุธยา และอดีตสมาชิกวุฒิสภา ประวัติ. กฤตย์ เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2489 เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง 6 คน มีน้องสาว 5 คน ปัจจุบันน้องสาว 4 คนอาศัยอยู่ต่างประเทศ นิตยสารฟอบส์เคยกล่าวถึงตระกูลรัตนรักษ์ว่าเป็น "กลุ่มคนที่ลึกลับ" และบุตรชายของกฤตย์ ชัชชน รัตนรักษ์ ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "ผู้ทรงอิทธิพลที่ดำรงตนไม่ดึงดูดความสนใจ" ตระกูลรัตนรักษ์ถือเป็นตระกูลรุ่นบุกเบิกตระกูลหนึ่งของสังคมธุรกิจไทย มารดาของกฤตย์ ศศิธร รัตนรักษ์ มาจากครอบครัวพ่อค้าผู้มั่งคั่งรุ่นที่สามในฝั่งธนบุรี ส่วนบิดา ชวน รัตนรักษ์ เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ปูนซีเมนต์นครหลวง (ผู้ผลิตปูนอินทรี) และ บริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ (บีบีทีวี) ด้วยความสามารถในการสร้างอาณาจักรธุรกิจอันยิ่งใหญ่ด้วยตัวเองเช่นนี้ ทำให้ชวนได้รับการยกย่องในฐานะหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุดท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจไทย หลังจากชวนเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2536 กฤตย์จึงเข้ามารับช่วงบริหารธุรกิจต่อ การทำงาน. ตระกูลรัตนรักษ์ถือเป็นหนึ่งในตระกูลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตระกูลหนึ่งในประเทศไทย เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัทไทยหลากหลายบริษัท อาทิ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ปูนซีเมนต์นครหลวง, อลิอันซ์ อยุธยา, แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น, มีเดีย ออฟ มีเดียส์, อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน), บริษัท รักษาความปลอดภัย เอชอาร์ โปร แอนด์ เซอร์วิส และยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบีบีทีวี กฤตย์เริ่มทำงานในธนาคารกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2515 ก่อนเลื่อนขึ้นเป็นประธานในปี พ.ศ. 2525 และเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ในปี พ.ศ. 2533 ในปี พ.ศ. 2536 เขาดำรงตำแหน่งประธานและประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ประธานบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด, ประธานบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) และประธานบริษัท ศรีอยุธยา ประกันภัย ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2540 กฤตย์ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น "บุรุษผู้มีเงินมากที่สุด" ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของกลุ่มรัตนรักษ์ ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2540 กฤตย์ช่วยให้ธุรกิจที่อยู่ใต้การบริหารทั้งหมดผ่านพ้นวิกฤตต้มยำกุ้งได้สำเร็จ ส่งผลให้กลุ่มรัตนรักษ์ เป็นหนึ่งใน 8 ตระกูลนักธุรกิจชั้นนำในประเทศไทย จากที่เคยมีถึง 40 ตระกูล ให้ยังคงสามารถเป็นตระกูลมหาอำนาจทางธุรกิจตามการจัดอันดับในปี พ.ศ. 2552 ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 กลุ่มรัตนรักษ์ได้ทำการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นในปูนซีเมนต์นครหลวง โดยการขายส่วนของผู้ถือหุ้นที่กลุ่มถือหุ้นอยู่ให้แก่บริษัท Holderbank (ปัจจุบันคือบริษัท Holcim) แต่ข่าวที่เผยแพร่ผิดพลาดจากความเป็นจริงไปว่าเงินที่ได้จากขายหุ้นแก่ Holderbank นั้นใช้ระดมทุนเพื่อปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยา อย่างไรก็ดี ข้อตกลงแสดงไว้อย่างชัดเจนในเงื่อนไขการขายหุ้นดังกล่าวว่าเงินทั้งหมดจากการขายหุ้น และรวมถึงทุนส่วนที่กลุ่มรัตนรักษ์ได้ลงเพิ่มเติมนั้นต้องลงกลับเข้าไปเป็นทุนในปูนซีเมนต์นครหลวงเท่านั้น ส่วนเงินทุนที่ทางกลุ่มได้ลงไปในการปรับโครงสร้างของธนาคารกรุงศรีอยุธยามาจากทุนสำรอง ในปี พ.ศ. 2556 กลุ่มรัตนรักษ์ถือหุ้น 47% ในปูนซีเมนต์นครหลวง คิดเป็นมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐตามราคาตลาด โดยไม่มีหนี้ที่เป็นสาระสำคัญใด ๆ ส่วน Holcim ถือหุ้นอยู่ 27.5% ของหุ้นทั้งหมด ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2541 ก่อนการเข้าร่วมทุนกับ Holderbank กลุ่มรัตนรักษ์ถือหุ้นประมาณ 50% ในวิกฤติต้มยำกุ้ง ธนาคารไทยหลายแห่งต้องปิดกิจการหรือขายหุ้นให้ต่างชาติ กลุ่มรัตนรักษ์สามารถใช้กลไกการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้กลุ่มสามารถรักษากิจการไว้ได้แล้ว ยังช่วยปรับปรุงการดำเนินงานของธนาคารต่อมาภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2539 ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีมูลค่าหุ้นในตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2557 สัดส่วนการถือหุ้นในธนาคารของกลุ่มที่ลดลงจาก 35% ไปเป็น 25% ในปี พ.ศ. 2550 เพื่อดำเนินการตามกฎระเบียบการถือครองหุ้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2551 การลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยาของกลุ่ม เป็นไปโดยการเข้ามาถือหุ้นของบริษัท GE Capital ซึ่งทางกลุ่มได้มอบหมายให้ดูแลการบริหารงานธนาคารในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2556 บริษัท GE Capital ได้ขายหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยาให้แก่ธนาคาร MUFJ ธนาคารสัญชาติญี่ปุ่น เนื่องจากการขาดทุนของบริษัท GE Capital เองในช่วงวิกฤติธนาคารในปี พ.ศ. 2551 กลุ่มรัตนรักษ์ได้ผ่านวิกฤติการณ์หลายครั้งแต่ก็ยังคงสามารถดำรงสถานะหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 5 อันดับในประเทศไทย และเป็น 1 ใน 3 ตระกูลธนาคารที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศไทย ร่วมกับตระกูลโสภณพนิชของธนาคารกรุงเทพ และตระกูลล่ำซำของธนาคารกสิกรไทย ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 กลุ่มรัตนรักษ์ได้เสริมการถือหุ้นในบริษัทปูนซิเมนต์ไทยโดยการซื้อหุ้น 25.24% จากบริษัท Jardine Cycle & Carriage Ltd. ในมูลค่า 353.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อย ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นรวมของกลุ่มในบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (ซึ่งมีสินทรัพย์รวม 82,000 ล้านบาท หรือ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 79% นอกจากนี้ กลุ่มรัตนรักษ์ยังคงถือหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยาประมาณ 20% ซึ่งธนาคารมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 2.62 ล้านล้านบาท (80,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การเมือง. ในปี พ.ศ. 2524 ด้วยอายุเพียง 35 ปี กฤตย์ ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิก ซึ่งถือเป็นวุฒิสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดและดำรงตำแหน่งนาน 4 สมัย ข้อมูลส่วนตัว. กฤตย์ รัตนรักษ์ หย่า และมีบุตรชาย 1 คน คือ นายชัชชน รัตนรักษ์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2515
1161839
514480
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161839
ปัญหาสองจักรพรรดิ
ปัญหาสองจักรพรรดิ เป็นศัพท์ประวัติศาสตร์นิพนธ์ที่บรรยายถึงข้อขัดแย้งเชิงประวัติศาสตร์ระหว่างแนวคิดจักรวรรดิสากลที่มีจักรพรรดิแท้จริงเพียงองค์เดียว กับความเป็นจริงที่มักมีจักรพรรดิ 2 องค์ (หรือบางครั้งมีมากกว่า 2 องค์) อ้างสิทธิ์ในตำแหน่งเดียวกัน ปัญหาสองจักรพรรดิเป็นศัพท์ที่นิยมใช้ในสมัยกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อพิพาทระหว่างจักรพรรดิไบแซนไทน์แห่งคอนสแตนติโนเปิล กับจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนประเทศเยอรมนีและออสเตรียปัจจุบัน ที่ถกเถียงว่าฝ่ายใดเป็นตัวแทนที่ชอบธรรมของจักรพรรดิโรมัน ในมุมมองคริสตชนสมัยกลาง จักรวรรดิโรมันแบ่งแยกไม่ได้และจักรพรรดิอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจครอบคลุมไปถึงคริสตชนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในจักรวรรดิ เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายปลายสมัยโบราณ จักรวรรดิไบแซนไทน์ที่เป็นดินแดนทางตะวันออกที่ยังหลงเหลือของจักรวรรดิโรมันได้รับการยอมรับเป็นจักรวรรดิโรมันที่แท้จริงจากตนเอง พระสันตะปาปา และอาณาจักรคริสตชนที่เกิดขึ้นใหม่หลายแห่งทั่วยุโรป ปี ค.ศ. 797 สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 6 ถูกขับออกจากตำแหน่งและถูกทำให้พระเนตรบอด ก่อนจักรพรรดินีไอรีน พระราชมารดาขึ้นครองราชย์แทน ซึ่งการครองราชย์นี้ไม่ได้รับการยอมรับในยุโรปตะวันตกด้วยเหตุผลหลักคือพระองค์เป็นสตรี เช่นเดียวกับสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 3 ซึ่งเห็นว่าตำแหน่งจักรพรรดิโรมันว่างลงเนื่องจากสตรีไม่สามารถเป็นจักรพรรดิด้วยพระองค์เอง ในปี ค.ศ. 800 สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 3 จึงประกอบพิธีราชาภิเษกให้ชาร์เลอมาญ กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรแฟรงก์ที่กำลังเรืองอำนาจเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมัน ภายใต้แนวคิดการถ่ายโอนอำนาจ ("translatio imperii") จากชาวกรีกในตะวันออกสู่ชาวแฟรงก์ในตะวันตก แม้จักรวรรดิไบแซนไทน์กับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์จะมีไมตรีต่อกันและยอมรับอีกฝ่ายเป็นจักรพรรดิ แต่ทั้งสองจักรวรรดิไม่เคยยอมรับอีกฝ่ายเป็น "โรมัน" อย่างชัดเจน พระอิสริยยศที่จักรวรรดิไบแซนไทน์ใช้เรียกจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์คือ "จักรพรรดิ (หรือกษัตริย์) แห่งชาวแฟรงก์" และต่อมา "กษัตริย์แห่งเยอรมนี" ขณะที่หลักฐานทางตะวันตกมักกล่าวถึงจักรพรรดิไบแซนไทน์ว่า "จักรพรรดิแห่งชาวกรีก" หรือ "จักรพรรดิแห่งคอนสแตนติโนเปิล" ตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษหลังพิธีราชาภิเษกของชาร์เลอมาญ ปัญหาสองจักรพรรดิเป็นปัญหาหนึ่งที่มีการโต้แย้งไปมาระหว่างสองจักรวรรดิมากที่สุด แม้จักรวรรดิไบแซนไทน์กับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เผชิญหน้าทางการทหารด้วยปัญหานี้เนื่องจากที่ตั้งอยู่ไกลกัน แต่ปัญหานี้บั่นทอนความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองอย่างมาก อนึ่ง ตำแหน่งจักรพรรดิโรมันถูกอ้างสิทธิ์โดยดินแดนเพื่อนบ้านจักรวรรดิไบแซนไทน์เป็นบางคราว เช่น จักรวรรดิบัลแกเรียที่หนึ่งและจักรวรรดิเซอร์เบีย หลังจักรวรรดิไบแซนไทน์ถูกทำลายลงชั่วคราวโดยนักรบครูเสดที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกในสงครามครูเสดครั้งที่สี่เมื่อ ค.ศ. 1204 และแทนที่ด้วยจักรวรรดิละติน ปัญหานี้ดำเนินต่อไปแม้จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กับจักรพรรดิละตินจะนับถือนิกายโรมันคาทอลิกเหมือนกัน จักรพรรดิละตินนั้นยอมรับจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นจักรพรรดิโรมันที่ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันก็อ้างสิทธิ์ในตำแหน่งนี้เช่นกัน ในทางตรงข้ามจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมรับการอ้างสิทธิ์ดังกล่าวของจักรพรรดิละติน ที่สุดแล้วสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ยอมรับแนวคิดการแยกจักรวรรดิ ("divisio imperii") ทำให้อำนาจจักรพรรดิแบ่งเป็นตะวันตก (จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) กับตะวันออก (จักรวรรดิละติน) ต่อมาจักรวรรดิละตินล่มสลายหลังราชวงศ์พาลาโอโลกอสยึดคอนสแตนติโนเปิลและสถาปนาจักรวรรดิไบแซนไทน์ขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1261 จักรพรรดิไบแซนไทน์เพิกเฉยต่อปัญหานี้เพราะต้องการสานสัมพันธ์กับตะวันตกเพื่อความช่วยเหลือด้านการทหาร ปัญหาสองจักรพรรดิปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังการเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1453 สุลต่านเมห์เหม็ดผู้พิชิตอ้างสิทธิ์ในตำแหน่ง "Kayser-i Rûm" (ซีซาร์แห่งจักรวรรดิโรมัน) ด้วยมองว่าจักรวรรดิออตโตมันของพระองค์เป็น "ผู้สืบทอด" จักรวรรดิไบแซนไทน์ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ยอมรับสุลต่านออตโตมันเป็นจักรพรรดิตามสนธิสัญญาคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1533 แต่ในทางกลับกันออตโตมันไม่ยอมรับตำแหน่งจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยใช้พระอิสริยยศเพียง "กษัตริย์" กระทั่งในปี ค.ศ. 1606 สุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 ยอมรับจักรพรรดิรูด็อล์ฟที่ 2 เป็นจักรพรรดิตามสนธิสัญญาสันติภาพซิตวาตอร็อก เป็นการยอมรับแนวคิดการแยกจักรวรรดิและยุติข้อพิพาทอันยาวนานระหว่างคอนสแตนติโนเปิลกับยุโรปตะวันตก นอกจากออตโตมัน อาณาจักรซาร์รัสเซียและต่อมาจักรวรรดิรัสเซียอ้างตนเป็นผู้สืบสิทธิ์ของจักรวรรดิไบแซนไทน์และเรียกผู้ปกครองว่า "ซาร์" ด้านจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ปฏิเสธการอ้างสิทธิ์นี้จนถึงปี ค.ศ. 1726 เมื่อจักรพรรดิคาร์ลที่ 6 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ยอมรับการอ้างสิทธิ์ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพันธมิตรกับรัสเซีย แต่พระองค์ยังยืนกรานไม่ยอมรับว่าจักรพรรดิทั้งสององค์มีสถานะเท่าเทียมกัน
1161843
396583
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161843
สงครามฝรั่งเศส-เนเธอร์แลนด์
สงครามฝรั่งเศส-เนเธอร์แลนด์ ระหว่าง ค.ศ. 1672 ถึง 1678 หรือรู้จักกันในนาม สงครามดัชต์, เป็นสงครามที่มีฝรั่งเศสและสาธารณรัฐดัตช์ เป็นคู่ขัดแย้งหลัก โดยมีจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ สเปน บรันเดินบวร์ค-ปรัสเซีย และเดนมาร์ก–นอร์เวย์เป็นผู้ร่วมรบด้วย พันธมิตรฝ่ายฝรั่งเศสประกอบด้วย ราชรัฐอัครมุขนายกมึนส์เทอร์ รัฐผู้คัดเลือกโคโลญ ซึ่งถอนตัวออกไปใน ค.ศ. 1673 และราชอาณาจักรอังกฤษ ซึ่งถอนตัวออกจากสงครามในอีกหนึ่งปีให้หลัง ก่อนที่จะกลับมาเข้าร่วมใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1678 ในฐานะพันธมิตรของเนเธอร์แลนด์ สงครามเริ่มดุเดือดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1672 เมื่อฝ่ายฝรั่งเศสสามารถบดขยี้กองกำลังของสาธารณรัฐดัตช์ได้เกือบทั้งหมด ซึ่งในภายหลัง เหตุการณ์นี้กลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "รัมยาลล์" (Rampjaar) หรือ "ปีมหาวิบัติ" การรุกคืบของฝรั่งเศสมาหยุดชะงักลงที่แนวแม่น้ำไอเซล (IJssel) ในเดือนมิถุนายน และเมื่อถึงปลายเดือนกรกฎาคม ฝ่ายดัชต์ก็สามารถกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง ความกังวลถึงผลเสียที่จะตามมาหากฝรั่งเศสเป็นฝ่ายชนะสงครามนำไปสู่การลงนามพันธมิตรทางทหารระหว่างเนเธอร์แลนด์ จักรพรรดิเลโอพ็อลท์ที่ 1 สเปน และบรันเดินบวร์ค-ปรัสเซีย ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1683 โดยมีดัชชีลอแรนและเดนมาร์ก–นอร์เวย์เข้าร่วมด้วยในภายหลัง ในขณะที่อังกฤษลงนามสงบศึกและถอนตัวออกไปในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1674 เมื่อฝ่ายฝรั่งเศสเห็นว่าตนกำลังเผชิญสงครามหลายแนวรบจึงถอนกำลังออกจากสาธารณรัฐดัตช์ และคงกำลังไว้ในเมืองกราฟ (Grave) และมาสทริชท์ เท่านั้น เมื่อเห็นดังนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงทรงเบนเป้าหมายไปยังเนเธอร์แลนด์ของสเปนและไรน์ลันท์ ในขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยเจ้าชายวิลเลมแห่งออเรนจ์ ต้องการจำกัดการตักตวงผลประโยชน์ทางดินแดนของฝรั่งเศสจากสงครามครั้งนี้ หลังจากค.ศ. 1674 ฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองแคว้นฟร็องช์-กงเต และพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ติดกับเนเธอร์แลนด์ของสเปน รวมไปถึงแคว้นอาลซัส แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดสามารถเอาชนะกันได้อย่างเด็ดขาด สงครามมายุติลงในเดือนกันยายน ค.ศ. 1678 ด้วยการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพไนเมเคิน ถึงแม้เงื่อนไขในสนธิสัญญาดังกล่าวจะให้ผลประโยชน์น้อยกว่าข้อเสนอสงบศึกในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1672 แต่ก็ถือกันว่าสงครามครั้งนี้เป็นจุดสูงสุดของความสำเร็จทางด้านการทหารในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และส่งผลให้การโฆษณาชวนเชื่อของพระองค์ประสบความสำเร็จอย่างมีนัยยะสำคัญ สเปนได้เมืองชาร์เลอรัว คืนจากฝรั่งเศส แลกกับการมอบแคว้นแคว้นฟร็องช์-กงเต รวมไปพื้นที่ส่วนใหญ่ของอาร์ตัวและแอโน ก่อให้เกิดแนวพรมแดนที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับในปัจจุบัน การได้มาสทริชท์กลับคืนมาหมายความว่าเนเธอร์แลนด์ได้พื้นที่ที่เสียไปในช่วงต้นสงครามกลับคืนมาทั้งหมด ความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้อิทธิพลของเจ้าชายวิลเลมแห่งออเรนจ์มีบทบาทเด่นในกิจการภายในของสาธารณรัฐดัตช์ ซึ่งช่วยให้พระองค์สามารถต้านทานภัยคุกคามจากการขยายดินแดนของฝรั่งเศส และนำไปสู่การก่อตั้งมหาพันธมิตร ซึ่งต่อสู้ในสงครามเก้าปี
1161866
184218
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161866
เพ็กฮ้วยเกี่ยม ดาบเลือดสะท้านแผ่นดิน
เพ็กฮ้วยเกี่ยม ดาบเลือดสะท้านแผ่นดิน เป็นละครโทรทัศน์แนวย้อนยุคกำลังภายในที่ ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกัน ของ กิมย้ง ออกอากาศครั้งแรกทาง สถานีโทรทัศน์ทีวีบี ใน ฮ่องกง ในปี พ.ศ. 2528 มีจำนวนตอนทั้งสิ้น 20 ตอน
1161882
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161882
วอลเลย์บอลชายเนชันส์ลีก 2021
วอลเลย์บอลชายเนชันส์ลีก 2021 เป็นการแข่งขันครั้งที่ 3 ของวอลเลย์บอลชายเนชันส์ลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลชายระดับนานาชาติประจำปี ในปีนี้เดิมมีกำหนดเริ่มแข่งขันเร็วกว่าครั้งก่อนหน้าเนื่องจากกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 ในเดือนกรกฎาคม การแข่งขันรอบแรกมีกำหนดจัดขึ้นห้าสัปดาห์ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 23 มิถุนายน ค.ศ. 2021 และรอบสุดท้ายมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 ถึง 27 มิถุนายน ค.ศ. 2021 โดยในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันใหม่ มาเป็นการแข่งขันในรูปแบบบับเบิล (Bubble) ซึ่งการแข่งขันทั้งหมดจะจัดขึ้นในเมืองเดียว และในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2021 สหพันธ์ได้ประกาศให้เมืองรีมีนี ประเทศอิตาลี เป็นประเทศเจ้าภาพทั้งประเภททีมชายและทีมหญิง ทีมที่เข้าร่วมแข่งขัน. ในครั้งนี้มี 16 ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน โดย 12 ทีมเป็นทีมหลัก (Core) และอีก 4 ทีมเป็นทีมท้าทาย (Challenger) จะสามารถตกชั้นได้ ี่ทีมชาติสโลวีเนียในฐานะผู้ชนะแชลเลนเจอร์คัพ 2019 ได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมแข่งขันแทนที่ทีมชาติโปรตุเกสซึ่งเป็นทีมท้าทายอันดับสุดท้ายจากครั้งที่แล้ว ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ได้เข้าร่วมเข้าแข่งขันแทนทีมชาติจีนหลังจากที่ขอถอนตัวเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านงบประมาณที่จำกัด และการเดินทางภายใต้สถานการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 รูปแบบการแข่งขัน. โดย 16 ทีมที่เข้าร่วมจะแข่งขันในรูปแบบพบกันหมด ทุกทีมต้องเล่น 3 นัดในแต่ละสัปดาห์และแข่งขัน 5 สัปดาห์ทั้งหมด 120 นัด เมื่อจบการแข่งขัน 4 อันดับแรกจากรอบแรกจะผ่านเข้ารอบสุดท้าย การตกชั้นจะพิจารณาเฉพาะทีมท้าทาย 4 ทีมเท่านั้น ในปีนี้จะไม่มีการตกชั้นเนื่องจากการยกเลิกแชลเลนเจอร์คัพ 2021 ในครั้งนี้ 4 ทีมที่ดีที่สุดในรอบแรกจะผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ซึ่งรอบรองชนะเลิศทีมที่ชนะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ส่วนทีมที่แพ้จะต้องแข่งรอบชิงอันดับที่ 3 อันดับการแข่งขัน. <templatestyles src="Col-begin/styles.css"/> รางวัล. <templatestyles src="Col-begin/styles.css"/>
1161883
328795
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161883
วัดลำพยาสุทธาราม
วัดลำพยาสุทธาราม เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลลำพยา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม วัดลำพยาสุทธารามตั้งวัดเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555 โดยมีนายสมจิตต์ นางลิ้นจี่ อินหนู ได้บริจาคที่ดินเพื่อสร้างวัดเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 และได้นิมนต์พระมาจำพรรษาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 มีพระสมุห์ วินัย อตฺตสาโร เป็นหัวหน้าสำนักสงฆ์ ต่อมาปี พ.ศ. 2553 เริ่มมีการถมและปรับที่ดิน โดยมีคุณแม่ใบบุญ แซ่ตั้งพร้อมครอบครัว ได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติม ปัจจุบันวัดมีเนื้อที่ 19 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา มีพระสมุห์ วินัย อตฺตสาโร เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พี้นที่ที่ตั้งวัดเคยเป็นวัดแต่เก่าก่อน ประกอบกับมีบ่อน้ำเก่า ซึ่งเล่ากันว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ ทรงมีพระดำริให้ขุดดินจากบ่อน้ำนี้ ปั้นเป็นอิฐแล้วส่งไปเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ ภายในวัดมีอุโบสถประดิษฐาน "สมเด็จองค์ปฐมที่ 1" หรือ "หลวงพ่อใหญ่" หน้าตักกว้าง 10.7 เมตร นอกจากนั้นวัดยังมีเถียงนาหลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน ตั้งอยู่ริมบ่อน้ำ และบ่อน้ำเก่าเก่าแก่
1161888
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161888
การยกเลิกสถานะทางศาสนา
การยกเลิกสถานะทางศาสนา หรือ การกลายเป็นฆราวาส เป็นการกำจัดการอุทิศและสถานะทางศาสนาออกจากสิ่งที่เคยประกอบพิธีอุทิศโดยนักบวชหรือบุคคลของศาสนานั้น การกระทำนี้นิยมทำกับโบสถ์คริสต์หรือซิโนกอกเพื่อใช้ประโยชน์ทางอื่นนอกศาสนา (ฆราวาส) หรือเพื่อทุบทำลาย นอกจากนี้ยังปรากฏการใช้คำนี้เรียกการเปลี่ยนวิหารของเพกันเป็นของศาสนาอื่น ผ่านการกำจัดรูปเคารพของเพกัน
1161895
18549
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161895
การเปลี่ยนจากศาสนสถานนอกศาสนาอิสลามเป็นมัสยิด
การเปลี่ยนจากศาสนสถานนอกศาสนาอิสลามเป็นมัสยิด เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยช่วงชีวิตของมุฮัมมัดไปจนถึงการยึดครองดินแดนโดยจักรวรรดิมุสลิม บรรดาศาสนสถานที่ถูกเปลี่ยนกลายมีทั้งเทวสถานบองฮินดู, โบสถ์คริสต์, วิหารยิว และวิหารไฟของโซโรอัสเตอร์ ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิด การเปลี่ยนกลายนี้ในบางครั้งนำไปสู่การปะทะและความขัดแย้งระหว่างศาสนิกชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
1161899
396583
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161899
มิซากะ มิโคโตะ
มิซากะ มิโคโตะ เป็นตัวละครสมมติที่สร้างขึ้นมาโดยคาซูมะ คามาจิ และวาดเป็นครั้งแรกโดยคิโยตากะ ฮาอิมูระ เธอเป็นตัวละครสำคัญในไลท์โนเวลเรื่อง "อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม" และเป็นตัวละครหลักในสปินออฟมังงะเรื่อง "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" เธอถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงลำดับชั้นทางสังคมในโลก และรวมไปถึงแสดงให้เห็นถึงว่าตัวละครหลักมีความแข็งแกร่งอย่างไร เดิมทีแล้วเธอถูกออกแบบมาให้มีผมยาว แต่มีการเปลี่ยนแปลงในที่สุด เธอได้รับคำชื่นชมจากแฟนและนักวิจารณ์เกี่ยวกับบุคลิกภาพและความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นในเรื่อง นอกจากนี้ยังมีสินค้าเป็นจำนวนมากที่สร้างโดยใช้เธอเป็นตัวต้นแบบ การสร้างและแนวคิดของตัวละคร. คามาจิสร้างตัวละครมิโคโตะเพื่อเป็น "การแสดงให้เห็นถึงระดับชั้นของพลังที่มีอยู่ในวิธีที่เข้าใจได้ง่าย" โดยหากเจาะจงแล้วมิโคโตะถูกออกแบบมาว่าแม้จะเป็นเป็นตัวละครที่มีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งและหลากหลายแล้ว เธอยังคงด้อยกว่าคามิโจ โทมะ คามาจิยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าเขาสร้างเธอให้ "ง่ายต่อการเขียนในฉากใดก็ได้จากจริงจังถึงตลก ในช่วงของการออกแบบ เดิมวางแผนให้เธอมีผมยาว โดยยังมีแผนอีกว่าจะให้เธอยิงพลังเรลกันของเธอด้วยผมที่มัดเป็นราง อย่างไรก็ตามได้มีการทิ้งแผนการที่ว่านี้ไป เนื่องจากผมยาวจะไปคล้ายคลึงกับตัวละครอินเดกซ์ ลักษณะและการปรากฏตัว. มิโคโตะเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยศึกษาอยู่ในเกรด 8 ที่โรงเรียนมัธยมต้นโทคิวะได เธอเป็นอันดับสามของเลเวลห้า (แข็งแกร่งมากที่สุด) จากผู้ใช้พลังจิตทั้งหมด 7 คนในเมืองแห่งการศึกษา เธอมีความสามารถในการใช้ไฟฟ้าในหลายแบบ เช่น ปล่อยกระแสไฟฟ้า ใช้ไฟฟ้ายิงวัตถุอื่น (ทำให้เธอมีชื่อเล่นว่าเรลกัน) และพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ขณะที่ยังเด็กเธอถูกหลอกให้ยอมมอบแผนที่ดีเอ็นเอ อันทำให้นักวิทยาศาสตร์สร้างร่างโคลนของเธอจำนวน 20,001 คนเพื่อใช้ในการทดลอง ใน "อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม". ใน "อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม" เธอปรากฏตัวในฐานะเพื่อนของตัวละครหลักอย่างคามิโจ โทมะ โทมะมักเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ของเธอและช่วยเหลือเธอจากปัญหาหลายครั้ง รวมทั้งหยุดเธอจากการฆ่าตัวตายหนึ่งครั้ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีความรู้สึกแบบซึนเดเระต่อโทมะ เธอยังปรากฏตัวในภาพยนตร์สปินออฟเรื่อง "อินเดกซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม เดอะมูฟวี่ ปาฏิหาริย์แห่งเอนเดเมียน รวมไปถึงนิยายสปินออฟและเกมของเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ใน " เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์". ใน " เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" เธอปรากฏตัวในฐานะตัวละครหลักของเรื่อง ในเรื่องนี้เน้นไปที่ความสัมพันธ์ของเธอกับชิราอิ คุโนโกะ, อุยฮารุ คาซาริ และซาเตน รุยโกะ อย่างไรก็ตามเนื้อหามักคาบเกี่ยวกันกับเรื่องราวของ "อินเดกซ์" ซึ่งถูกเล่าอีกครั้งจากมุมมองของเธอ ทำให้ทราบภูมิหลังใหม่ ๆ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเรื่อง นอกจากนี้เธอยังปรากฏตัวในสปินออฟเรื่อง "Toaru Kagaku no Railgun Gaiden: Astral Buddy" และสื่อสปินออฟอื่น ๆ การปรากฏตัวอื่น. มิโคโตะปรากฏตัวในงานข้ามฝั่งของคามาจิหนึ่งเล่มได้แก่เรื่อง "Toaru Majutsu no Heavy na Zashiki-warashi ga Kantan na Satsujinki no Konkatsu Jijou" นอกจากนี้เธอยังปรากฏตัวในวิดีโอเกมข้ามฝั่งคือ "Dengeki Bunko: Fighting Climax" ในฐานะตัวละครที่เล่นได้ มิโคโตะยังเป็นตัวละครรับเชิญตอนที่แปดของอนิเมะเรื่อง "โอกามิซัง" โดยเป็นหนึ่งในผู้มีคุณสมบัติในการสมรสกับเศรษฐีหนุ่มอย่างเนซูมิ ชูตาโร การตอบรับ. ความนิยม. ในการสำรวจความคิดเห็นเมื่อ ค.ศ. 2010 โดยถามว่าตัวละครใดที่จะนำชื่อไปตั้งชื่อลูก ผลปรากฏว่ามิโคโตะมาเป็นอันดับหนึ่งในอันดับของชื่อผู้หญิง สินค้าและผลิตภัณฑ์จำนวนมากผลิตขึ้นโดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ เช่น คอมพิวเตอร์ เนนโดรอยด์ ตุ๊กตาผ้า ฟิกเกอร์ และเสื้อฟุตบอล ตู้จำหน่ายสินค้าที่เตะได้และเหรียญพิเศษก็ถูกสร้างขึ้นด้วย ซึ่งทั้งสองต่างเชื่อมโยงกับพฤติกรรมของมิโคโตะที่อยู่ในเรื่อง รางวัลและการตอบรับ. มิโคโตะได้รับเลือกให้เป็นตัวละครหญิงที่ดีที่สุดในหนังสือแนะนำไลต์โนเวลอย่าง "Kono Light Novel ga Sugoi!" ถึงเก้าครั้งในระยะเวลาสิบปี ซึ่งถือเป็นการชนะเลิศเป็นจำนวนครั้งที่มากกว่าทุกตัวละครหญิงในประวัติศาสตร์ของการตีพิมพ์ ในปีที่เธอไม่ชนะเลิศคือ ค.ศ. 2009 ที่เธอได้ที่ห้า, ค.ศ. 2015 ได้ที่สอง, ค.ศ. 2020 ได้ที่สาม และ ค.ศ. 2021 ได้ที่เจ็ด เธอได้รับบทวิจารณ์เชิงบวกจากนักวิจารณ์ เทรอน มาร์ตินจากอนิเมะนิวส์เน็ตเวิร์กชื่นชมตัวละครเธอและความสัมพันธ์ของเธอกับตัวละครอื่นในเรื่อง โดยกล่าวว่าเพลิดเพลินเมื่อได้ดู คริส เบเวอร์ริดจ์จากแฟนดอมโพสต์ก็กล่าวชื่นชมตัวละครเธอและความสัมพันธ์ของเธอกับตัวละครอื่นเช่นกัน ในบทวิจารณ์ของพวกเขาในไลต์โนเวลสองเล่มแรก แมททิว วอร์เนอร์จากแฟนดอมโพสต์วิจารณ์ตัวละครมาโคโตะโดยกล่าว่าเธอมีศักยภาพ แต่ด้อยพัฒนา อย่างไรก็ตามบทวิจารณ์ของพวกเขาในเล่มที่สาม พวกเขาชื่นชมมิโคโตะ โดยกล่าวว่าเธอได้รับความสนใจอย่างที่เธอสมควรได้รับ การมีส่วนร่วมของมิโคโตะในเรื่อง "อินเดกซ์" ก็ได้รับการชื่นชม คริส เบเวอร์ริดจ์จากแฟนดอมโพสต์กล่าวว่าเขาเพลิดเพลินกับการดูความสัมพันธ์ของโทมะและมิโคโตะ และเขา "ต้องการให้พวกเขาใกล้ชิดกัน" เทรอน มาร์ตินจากอนิเมะนิวส์เน็ตเวิร์กยังชื่นชมบทบาทของมิโคโตะในเรื่องอีกด้วย การพากย์เสียงมิโคโตะในเรื่องก็ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดยในบทวิจารณ์เรื่อง "เรลกัน แฟ้มลับคดีวิทยาศาสตร์" รีเบกกา ซิลเวอร์แมนจากอนิเมะนิวส์เน็ตเวิร์กได้ชื่นชมการพากย์เสียงของทั้งต้นฉบับญี่ปุ่นและเสียงภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตามเธอให้คำชื่นชมเป็นพิศษกับบริตนีย์ คาร์บาวสกี โดยกล่าวว่าคุ้มค่าที่จะฟัง แม้กับคนที่ไม่ได้ชอบการพากย์เสียง โดยจัดอันดับให้ฉบับพากย์มีคะแนนสูงกว่าต้นฉบับญี่ปุ่น เทรอน มาร์ตินจากเว็บไซต์เดียวกันก็ชื่นชมการพากย์ของคาร์บาวสกี โดยกล่าวว่า "เหมาะกับ[ตัวละคร]" ผลกระทบ. ชื่อเล่นของเธออย่าง "บิริบิริ" ถูกใช้เป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเว็บไซต์สตรีมมิงสัญชาติจีนอย่างบิลิบิลิ เว็บไซต์ดังกล่าวยังตั้งชื่อให้กับคุณสมบัติต่าง ๆ ตามเธอและตัวละครอื่นของเรื่อง รวมไปถึงฉลองวันเกิดให้เธอเป็นประจำทุกปีในวันที่ 2 พฤษภาคม นอกจากนี้หางโจว สปาร์ก ทีมอีสปอร์ตของบิลิบิลิ ยังตั้งชื่อโดยมีแรงบันดาลใจจากตัวละครเธอ รวมไปถึงสัญลักษณ์ของทีมที่ถูกออกแบบตามเธออีกด้วย
1161901
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161901
อัน แจ-ฮย็อน
อัน แจ-ฮย็อน (เกิด 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1987) เป็นนายแบบและนักแสดงชาวเกาหลีใต้ เขามีชื่อเสียงจากการรับบทในละครโทรทัศน์เช่น "สายลับน้องใหม่ สไตล์กังนัม" (2014), "เทพบุตรแวมไพร์" (2015), "ปิ๊งรักยัยซินเดอเรลล่า" (2016), "อดีตรักพัดหวน" (2017), "หัวใจไม่จำกัดร่าง" (2018) และ "Love with Flaws" (2019) อาชีพ. อัน แจ-ฮย็อนเริ่มอาชีพในวงการบันเทิงด้วยการเป็นนายแบบในปี ค.ศ. 2009 โดยปรากฏตัวบนรันเวย์ ปกนิตยสาร และโฆษณา ในปี ค.ศ. 2011 เขาเริ่มเป็นที่รู้จักจากการแสดงเป็นคนส่งของในรายการวาไรตี้ทางเคเบิลคือรายการ "Lee Soo-geun and Kim Byung-man's High Society" เขายังปรากฏตัวในมิวสิกวิดีโอหลายตัว ในปี ค.ศ. 2013 แจ-ฮย็อนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในขณะแสดงเป็นน้องชายของช็อน จี-ฮย็อนในละครยอดนิยมเรื่อง "ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว" สิ่งนี้นำไปสู่การแสดงที่มากขึ้นในปี ค.ศ. 2014 รวมถึงบทบาทในละครตลกเรื่อง "สายลับน้องใหม่ สไตล์กังนัม" และภาพยนตร์ดัดแปลงจากเว็บตูนเรื่อง "ราชาแห่งแฟชั่น" ในปีเดียวกัน เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นพิธีกรในรายการเพลง "เอ็มเคานต์ดาวน์" ของเอ็มเน็ต ในปี ค.ศ. 2015 แจ-ฮย็อนได้รับบทนำเป็นครั้งแรกในฐานะหมอแวมไพร์ในเรื่อง "เทพบุตรแวมไพร์" และปรากฏตัวในละครแฟนตาซีสองตอนเรื่อง "สโนว์โลตัส" พร้อมกับอี จี-อา ในปี ค.ศ. 2016 อันแสดงในซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง "ปิ๊งรักยัยซินเดอเรลล่า" ทางช่องทีวีเอ็น โดยรับบทเป็นทายาทมหาเศรษฐีและเพลย์บอยที่แย่งชิงหัวใจของนางเอก เขาได้รับรางวัล Top Excellence Award จากงานรางวัลละครเกาหลี ครั้งที่ 9 จากการแสดงของเขา นอกจากนี้เขายังได้เข้าร่วมรายการเรียลลิตี้เกี่ยวกับการเดินทางคือรายการ "New Journey to the West" แทนที่อี ซึง-กี ที่สมัครเป็นทหาร ในปีเดียวกัน เขาได้แสดงในภาพยนตร์โรแมนติกของจีนเรื่อง "Perfect Imperfection" ร่วมกับนักแสดงสาวชาวไต้หวัน อัน อี่เซวียน ในปี ค.ศ. 2017 อันได้รับเลือกให้แสดงเป็นพระรองในละครโรแมนติกแฟนตาซีเรื่อง "อดีตรักพัดหวน" ทางช่องเอสบีเอส ในปี ค.ศ. 2018 อันได้รับเลือกให้เป็นพระรองในละครแนวรักประโลมโลกเรื่อง "ผู้หญิงหลายหน้ากับสุดหล่อขี้ลืม" ในฐานะเพื่อนของนางเอก ในปี ค.ศ. 2019 อันกลับมาแสดงละครโทรทัศน์โดยได้รับบทพระเอกในละครโรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง "Love With Flaws" ที่แสดงประกบโอ ย็อน-ซอ ในปี ค.ศ. 2022 อันตีพิมพ์โฟโต้บุ๊คเล่มแรกของเขาคือ "List of Things to Remember" ซึ่งวางจำหน่ายในวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 2022 ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
1161906
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161906
ซอ จี-ฮุน
ซอ จี-ฮุน (เกิด 25 เมษายน พ.ศ. 2540) เป็นนักแสดงชาวเกาหลีใต้ เขาเปิดตัวด้วยการแสดงเรื่อง "สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา" ในปี 2559 ซอได้ปรากฏตัวในละครเช่น "สืบลับ โรงเรียนหลอน", "School 2017" และ "วุ่นนัก รักแรก"
1161908
396583
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161908
พย็อน อู-ซ็อก
บยอน อู-ซ็อก (เกิด 31 ตุลาคม พ.ศ. 2534) เป็นนักแสดง และนายแบบชาวเกาหลีใต้ เขามีชื่อเสียงจากการรับบทในเรื่อง "พ่อสื่อรักฉบับโชซอน", "คุณหมอสองภพ," "Search: WWW," และ "เส้นทางดาว" บยอน อู-ซ็อก เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นนายแบบสังกัดค่าย YG kplus ก่อนจะเริ่มงานแสดงเป็นครั้งแรกกับบทเล็ก ๆ ในละครเรื่อง Dear My Friends เมื่อปี 2016 ต่อมาในปี 2017 บยอน อู-ซ็อก ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับต้นสังกัดเดิม และเลือกเข้าร่วมสังกัดค่าย BH Entertainment เพื่อโฟกัสให้กับการแสดง อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน บยอน อู-ซ็อก ได้เปลี่ยนมาเซ็นสัญญากับค่าย Varo Entertainment ซึ่งก่อตั้งโดยสต๊าฟอาวุโสของค่าย BH เมื่อปี 2020 สำหรับบทบาทที่ทำให้นักแสดงหนุ่มผู้นี้เป็นที่จดจำคือบทของ พุง อุน-โฮ จากภาพยนตร์เรื่อง 20th Century Girl ซึ่งออกฉายทาง Netflix เมื่อปี 2022 และประสบความสำเร็จอย่างสูงในบท รยูซอนแจ จาก Lovely Runner ทาง TVN ชีวิตส่วนตัว บยอน อู-ซ็อก มีพี่สาว 1 คน เกิดเมื่อปี 1986 ปัจจุบันเธอทำงานเป็นลูกเรือของสายการบินแห่งหนึ่ง บยอน อู-ซ็อก เรียนจบมหาวิทยาลัย (แห่งหนึ่ง) ในสาขาการละครและภาพยนตร์ เขาเลือกเข้ากรมรับใช้ชาติในช่วงเริ่มต้นเข้าวงการและปลดประจำการในปี 2013
1161910
400142
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161910
วอเตอร์ลู (เพลงของแอ็บบา)
"วอเตอร์ลู" เป็นซิงเกิลแรกจากอัลบัมที่สอง "วอเตอร์ลู" ของวงดนตรีป็อปสัญชาติสวีเดน แอ็บบา และเป็นเพลงแรกภายใต้สังกัดเอพิก กับ แอทแลนทิค ในวันที่ 6 เมษายน 1974 เพลงซึ่งส่งเข้าประกวดจากสวีเดนนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศในยูโรวิชันปี 1974 ซึ่งได้นำไปสู่ความสำเร็จในเวลาต่อมาของแอ็บบา เพลงนี้ขึ้นเป็นที่หนึ่งของชาร์ตจำนวนมาก และเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ อันดับบนชาร์ต. <templatestyles src="Col-begin/styles.css"/>
1161915
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161915
อัชชัยค์ญัรรอห์
อัชชัยค์ญัรรอห์ เป็นย่านหนึ่งของเยรูซาเลมตะวันออกที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวปาเลสไตน์ อยู่ห่างจากเมืองเก่าเยรูซาเลมไปทางทิศเหนือ 2 กิโลเมตรตามถนนสายที่มุ่งหน้าไปยังเขาสโกปัส ย่านนี้ได้ชื่อตามสุสานสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 ของชัยค์ญัรรอห์ซึ่งเป็นแพทย์คนหนึ่งของเศาะลาฮุดดีน ตัวย่านสมัยใหม่ได้รับการก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1865 และค่อย ๆ กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงมุสลิมในเยรูซาเลมโดยเฉพาะตระกูลอัลฮุซัยนี หลังสงครามอาหรับ–อิสราเอล ค.ศ. 1948 ย่านอัชชัยค์ญัรรอห์มีอาณาเขตจรดดินแดนที่ไม่มีเจ้าของระหว่างเยรูซาเลมตะวันออกซึ่งจอร์แดนตรึงกำลังไว้กับเยรูซาเลมตะวันตกซึ่งอิสราเอลตรึงกำลังไว้ จนกระทั่งย่านนี้ถูกอิสราเอลเข้ายึดครองในช่วงสงครามหกวัน ค.ศ. 1967 กล่าวกันว่าประชากรชาวปาเลสไตน์ของย่านในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยที่ถูกขับไล่ออกจากย่านตัลบียาของเยรูซาเลมตะวันตกใน ค.ศ. 1948 ในปัจจุบันอัชชัยค์ญัรรอห์เป็นศูนย์กลางข้อพิพาทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ระหว่างชาวปาเลสไตน์กับชาวอิสราเอล ชาวอิสราเอลชาตินิยมได้ดำเนินการเพื่อเข้าไปอยู่แทนที่ประชากรชาวปาเลสไตน์ในย่านนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1967 ในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมามีการก่อสร้างนิคมชาวอิสราเอลขึ้นจำนวนหนึ่งประชิดย่านอัชชัยค์ญัรรอห์
1161921
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161921
ชิน ซึง-โฮ
ชิน ซึง-โฮ (เกิด 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538) เป็นนักแสดงและ นายแบบชาวเกาหลีใต้ ในฐานะหนึ่งในนักแสดงนำ ชินได้รับความสนใจมากที่สุดหลังจากปรากฏตัวในเรื่อง "เอทีน" (2018)
1161934
396583
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161934
แฟร์แวร์ดีน
แฟร์แวร์ดีน เป็นชื่อเดือนแรกของปฏิทินฮิจเราะห์สุริยคติ ซึ่งเป็นปฏิทินทางการของประเทศอิหร่าน และตรงกับราศีเมษในจักรราศี แฟร์แวร์ดีนมี 31 วัน เป็นเดือนแรกของฤดูใบไม้ผลิ ("แบฮอร์") และตามด้วยเดือนโอร์ดีเบเฮชต์ ชื่อในภาษาปาทานของเดือนนี้คือวเรย์
1161947
11071773
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161947
วัดบางนางบุญ
วัดบางนางบุญ เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลบางขะแยง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี มีคลองบางกระจีนผ่านทางด้านตะวันตก มีพระอธิการธานี จารุธัมโม เป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน วัดบางนางบุญ สร้างเมื่อไรไม่ปรากฏ พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งวัดบางนางบุญปัจจุบันนี้ เป็นป่ารกชัด ไม่มีวัด สันนิษฐานว่าเมื่อ พ.ศ. 2310 ครั้งกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงให้กับพม่า คนไทยที่เหลืออยู่ได้พยายามหลบซ่อน นำทรัพย์สินพากันลงเรือหามาทางใต้ มีหัวหน้าซึ่งมีเชื้อสายคนจีนพาครอบครัวหนีพม่ามาทางสามโคกหรือปทุมธานี โดยนำเอาของมีค่าฝังดินไว้หน้าวัดบ้านบางนางบุญ และพาครอบครัวไปอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร รอจนสงครามสงบจึงได้พาครอบครัวกลับมาเอาทรัพย์สมบัติคืน และปลูกบ้านสร้างบ้านอยู่ที่บ้านบางนางบุญ จากนั้นได้รวบรวมเงินทองจากญาติพี่น้องสร้างวัดขึ้น เรียกว่า วัดบางนางจีน บางคนเรียกเพี้ยนเป็น วัดบางกะจีน ในปี พ.ศ. 2483 จึงได้เปลี่ยนนามใหม่เป็น "วัดบางนางบุญ" ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2506 ในปี พ.ศ. 2475 วัดบางนางบุญได้เปิดให้มีการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม นอกจากนี้ยังได้ให้ทางราชการสร้างโรงเรียนประชาบาลสอนในระดับประถมศึกษาด้วย ชื่อโรงเรียนวัดบางนางบุญ ปัจจุบันโรงเรียนวัดบางนางบุญเปิดสอนถึงระดับมัธยมศึกษา ในปี พ.ศ. 2556 เกิดเพลิงไหม้กุฏิ และศาลาวัดบางนางบุญ
1161950
361321
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161950
องค์การบริหารส่วนตำบลท่าโพ
องค์การบริหารส่วนตำบลท่าโพ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของตำบลท่าโพและตำบลหมกแถว อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี ได้รับการจัดตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ต่อมาใน พ.ศ. 2547 กระทรวงมหาดไทยให้ยุบสภาตำบลหมกแถวรวมกับพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลท่าโพ ทำให้ในปัจจุบันองค์การบริหารส่วนตำบลท่าโพดูแลพื้นที่สองตำบล ได้แก่ ตำบลท่าโพและตำบลหมกแถว
1161952
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161952
สงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สี่
สงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สี่ (, ค.ศ. 1780-1784) เป็นความขัดแย้งทางการทหารระหว่างราชอาณาจักรบริเตนใหญ่กับสาธารณรัฐดัตช์ ซึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาเดียวกันกับสงครามประกาศอิสรภาพอเมริกา โดยมีเหตุมาจากข้อตกลงที่ไม่ลงตัวกันเกี่ยวกับความถูกต้องทางการค้าระหว่างเนเธอร์แลนด์กับศัตรูของบริเตนใหญ่ในขณะนั้น ถึงแม้ว่าฝ่ายดัตช์ยังไม่ได้เข้าเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอย่างเป็นทางการ แต่ความสัมพันธ์ทางการทูตอันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศนั้นเกิดขึ้นในระหว่างการดำรงตำแหน่งของจอห์น แอดัมส์ เอกอัครข้าราชทูตอเมริกันประจำสาธารณรัฐดัตช์ (และประธานาธิบดีในอนาคต) ทำให้สาธารณรัฐดัตช์เป็นประเทศยุโรปแห่งที่สองที่รับรองสภาแห่งภาคพื้นทวีป (Continental Congress) ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1782 ซึ่งต่อมาได้ในเดือนตุลาคมได้มีการทำสนธิสัญญามิตรภาพเป็นคู่ค้าระหว่างกัน การปะทะกันส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยเป็นการปฏิบัติการของกองทัพบริเตนใหญ่ต่อเศรษฐกิจของดินแดนอาณานิคมต่างๆ ของเนเธอร์แลนด์ และสงครามสิ้นสุดลงโดยฝ่ายดัตช์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหนัก และส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและการเมืองในสมัยนั้น ซึ่งมีผลต่อมาถึงการล่มสลายของสาธารณรัฐดัตช์ในที่สุด สงครามในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของจักรวรรดิดัตช์ และการผงาดขึ้นของบริเตนใหญ่ในฐานะของมหาอำนาจทางการค้าระหว่างประเทศ
1161955
396583
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161955
เทศบาลตำบลหนองขาหย่าง
เทศบาลตำบลหนองขาหย่าง เป็นเทศบาลตำบลซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของหมู่ที่ 2 ตำบลหนองขาหย่าง อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี เดิมมีฐานะเป็นสุขาภิบาลหนองขาหย่างที่จัดตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2499 แล้วได้รับการจัดตั้งเป็นเทศบาลตำบลใน พ.ศ. 2542 ปัจจุบันในเขตเทศบาลมีประชากร 597 คน และเป็นเทศบาลตำบลที่มีประชากรน้อยที่สุดในประเทศไทย
1161956
396583
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161956
วัดแว่นจันทร์
วัดแว่นจันทร์ เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๘๒ หมู่ที่ ๑๕ ในตำบลสวนหลวง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม วัดแว่นจันทร์ตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2340 ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง เดิมเรียกว่า วัดตาด้วง เข้าใจว่าตาด้วงคงเป็นผู้สร้าง ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "วัดแว่นจันทร์" ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2477 วัดแว่นจันทร์เคยมีสภาพทั้งเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรม เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันคือ พระครูวินัยธรบวร ขนฺติธมฺโม(อาจารย์อาท) วัดมีเสนาสะที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ตั้งแต่อุโบสถ ศาลาการเปรียญ และกุฏิสงฆ์ ซึ่งหาดูได้ยาก อุโบสถมีลักษณะทรงไทยเป็นโบสถ์มหาอุด คือ ประตูด้านหน้า ไม่มีประตูหลัง ทรวดทรงกะทัดรัดงดงามน่าชม ศาลาการเปรียญ และกุฏิสงฆ์ทรงไทย ปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ พระประธานในอุโบสถเป็นพระแกะสลักด้วยศิลาแลง ปางมารวิชัย เป็นของเก่าคู่มากับวัด นามว่า "หลวงพ่อศิลา"
1161958
396583
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161958
วัดวรภูมิราษฎร์บำรุง
วัดวรภูมิราษฎร์บำรุง เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลสวนหลวง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม วัดวรภูมิราษฎร์บำรุงเป็นวัดโบราณในคลองบางลี่ ตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2405 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2449 โดยมีบาสิกาพุ่ม เป็นผู้บริจาคที่ดินให้สร้างวัด เนื้อที่ 8 ไร่ 56 วา ต่อมาทางวัดได้ซื้อเพิ่มเติม และมีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้อีก หมื่นบริบูรณคุณสาร หรือกำนันวร ได้ดำเนินการขอวิสุงคามสีมา และแสวงหาเจ้าอาวาสมาเริ่มบริหารวัด เมื่อสร้างวัดได้มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเรือนฝากระดานถวายวัดมากกว่า 10 หลัง เป็นเรือนไม้สักทั้งหลัง อุโบสถ และศาลาการเปรียญของวัด ประชาชนร่วมกัน สร้างจากเรือนบริจาควัสดุในการก่อสร้างใช้ไม้สักทั้งหมด วัดนี้จึงมีสิ่งก่อสร้างเป็นไม้สักทั้งหลัง อุโบสถเก่าไก้ผุพังไป จึงได้สร้างอุโบสถใหม่ ก่ออิฐถือปนเป็นตึกทั้งหลัง กุฏิสงฆ์ และศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ และหอฉัน เป็นเรือนไม่สักทั้งหลัง นอกนั้นยังอนุรักษ์เป็นเรือนไม้สักทรงไทยไว้ ปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ พระประธานประจำอุโบสถ พระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย ของเก่าคู่มากับวัด
1161959
10963396
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161959
วัดอ้อน้อย
วัดอ้อน้อย เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลห้วยขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม วัดอ้อน้อยเป็นวัดในโครงการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา เดิมเป็น สำนักสงฆ์ธรรมอิสระ เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2532 และสำนักสงฆ์ธรรมอิสระได้รับพระราชทานวิสุงคามวามสีมา ยกฐานะขึ้นเป็นวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ในปี พ.ศ. 2535 โดยคุณ โยมทองห่อ วิสุทธิผล ได้บริจาคเงินซื้อที่ดินเริ่มแรก จำนวน 9 ไร่ พร้อมได้จัดการขออนุญาตสร้างวัด ต่อกรมการศาสนาให้อีกด้วย วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 ที่ดินเดิมเป็นที่ลุ่มมีน้ำท่วมขังสูงท่วมศีรษะและมีที่ดินดอนอยู่เพียง 1 ไร่เศษ ซึ่งได้เริ่มทำการก่อสร้างเมื่อต้นปี พ.ศ. 2533 โดยพุทธะอิสระได้เป็นผู้นำ พัฒนาบุกเบิกสร้างวัดขึ้น โดยวางรูปแบบตามตำราโบราณแล ตามหลักพิชัยณรงค์สงคราม การพัฒนาและจัดสร้างทุกขั้นตอน ในระยะเริ่มแรกมีพระภิกษุสองรูปและสามเณรสามรูป ทั้งได้ช่วยกันปลูกสร้างกุฏิ ปลูกต้นไม้ อาคารเสนาสนะและสิ่งน่าสนใจในวัด ได้แก่ อุโบสถรูปทรงจัตุรมุข มีคูน้ำล้อมรอบ ศาลาอเนกประสงค์ หอพระกรรมฐาน ต้นศรีมหาโพธิ์ซึ่งได้ปลูกขึ้นที่หน้าหอพระกรรมฐาน โดยพุทธะอิสระได้บรรจุอัฐิฐาตุของหลวงปู่ทวดไว้ที่โคนต้น กุฏิสงฆ์ และสวนเกษตรเพื่อชีวิต
1161962
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161962
สนธิสัญญาสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1783)
สนธิสัญญาสันติภาพปารีส ค.ศ. 1783 เป็นกลุ่มสนธิสัญญาที่ยุติสงครามปฏิวัติอเมริกา ที่ลงนามเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1783 โดยมีตัวแทนคือ พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งบริเตนใหญ่ ลงนาม ณ กรุงปารีส ร่วมกับตัวแทนจากสหรัฐอเมริกา โดยเป็นส่วนหนึ่งของ สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1783) ในขณะที่สนธิสัญญาอีกสองฉบับที่ลงนาม ณ พระราชวังแวร์ซาย ระหว่างผู้แทนพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส และพระเจ้าการ์โลสที่ 3 แห่งสเปน โดยเรียกกันว่าสนธิสัญญาแวร์ซาย (ค.ศ. 1783) โดยในวันก่อนหน้าการลงนาม ได้มีการลงนามรับรองสนธิสัญญาล่วงหน้าแล้วระหว่างตัวแทนรัฐบาลของสาธารณรัฐดัตช์ แต่สนธิสัญญาฉบับสุดท้ายที่ยุติสงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ครั้งที่สี่นั้นก็ยังไม่ได้ลงนามกันจนกระทั่งวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1784
1161964
361321
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161964
วัดเนกขัมมาราม (จังหวัดปทุมธานี)
วัดเนกขัมมาราม เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ในตำบลหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 49 ไร่ โฉนดที่ดินเลขที่ 1165-1166 ที่ธรณีสงฆ์จำนวน 4 แปลง เนื้อที่ 327 ไร่ 2 งาน 20 ตารางวา คุณเล็ก นาคสารน์ ได้รับบริจาคที่ดินให้มูลนิธิมหามงกุฏราชวิทยาลัย เนื้อที่ 327 ไร่ 2 งาน 20 ตารางวา มูลนิธิแบ่งให้เป็นที่สร้างวัด 49 ไร่ ขุนชวนระบิน เป็นผู้ดำเนินการสร้างวัด กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศการตั้งเป็นวัดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2499 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 30 เมตร ยาว 60.50 เมตร ด้านการศึกษา ทางวัดได้เปิดสอนพระปริยัติธรรมมาตั้งแต่ พ.ศ. 2494 โรงเรียนสอนเด็กก่อนเกณฑ์ เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2525 นอกจากนี้ยังให้ทางราชการสร้างโรงเรียนประชาบาลสอนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานประถมศึกษาแห่งชาติ ในที่ดินของวัด ภายในวัดมีอาคารเสนาสนะต่าง ๆ ได้แก่ อุโบสถกว้าง 7.5 เมตร ยาว 22.5 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2513 กุฏิสงฆ์จำนวน 4 หลัง หอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญ หอระฆัง ศาลาท่าน้ำ ปูชนียวัตถุมีพระประธานในอุโบสถ
1161966
38558
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161966
ทางออกสองรัฐ
ทางออกสองรัฐของความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์คำนึงถึงรัฐเอกราชสองรัฐ คือ รัฐปาเลสไตน์คู่กับรัฐอิสราเอล ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน ทั้งนี้ เขตแดนระหว่างสองรัฐยังเป็นหัวข้อพิพาทและเจรจากันอยู่ โดยผู้นำปาเลสไตน์และอาหรับยืนกราน "เขตแดน ค.ศ. 1967" ซึ่งอิสราเอลไม่ยอมรับ ดินแดนของอดีตปาเลสไตน์ในอาณัติ (รวมทั้งนครเยรูซาเล็ม) ซึ่งมิได้ประกอบขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาเลสไตน์จะเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอลต่อไป ใน ค.ศ. 1947 สหประชาชาติเสนอแผนแบ่งปาเลสไตน์ซึ่งยิวยอมรับ แต่ฝ่ายอาหรับปฏิเสธการแบ่งดินแดนและไม่ยอมให้ยิวอยู่ในพื้นที่ เกิดสงครามระหว่าง ค.ศ. 1947–49 ซึ่งยุติลงด้วยการหยุดยิงและปัญหาผู้ลี้ภัยมาจนถึงปัจจุบัน ใน ค.ศ. 1974 ข้อมติสหประชาชาติว่าด้วย "การระงับปัญหาอย่างสันติซึ่งปัญหาปาเลสไตน์" เรียกร้องให้มีรัฐสองรัฐคู่กันโดยมีเขตแดนที่ปลอดภัยและรับรอง ร่วมกันกับ "ข้อมติอย่างยุติธรรมของปัญหาผู้ลี้ภัยโดยสอดคล้องกับข้อมติยูเอ็นที่ 194"<ref name="A/RES/3236 (XXIX)"></ref> เขตแดนของรัฐปาเลสไตน์จะ "ยึดเขตแดนก่อน ค.ศ. 1967" สำหรับข้อมติล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2013 ซึ่งผ่านด้วยคะแนนเสียง 165 ต่อ 6 โดยอิสราเอลและสหรัฐออกเสียงคัดค้าน ผู้นำปาเลสไตน์น้อมรับมโนทัศน์ดังกล่าวตั้งแต่การประชุมสุดยอดอาหรับ ค.ศ. 1982 ในเฟซ ส่วนอิสราเอลมองท่าทีดังกล่าวที่ต้องการแสวงหาการรับรองรัฐปาเลสไตน์จากต่างประเทศว่าเป็นการกระทำฝ่ายเดียว และไม่สอดคล้องกับทางออกสองรัฐที่มีการเจรจากัน มีความพยายามในการทำให้ทางออกสองรัฐดังกล่าวเป็นจริงขึ้นมาหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่การประชุมมาดริด ค.ศ. 1991 ตามด้วยข้อตกลงกรุงออสโล ค.ศ. 1993 และการประชุมสุดยอดแคมป์เดวิด ค.ศ. 2000 ที่ล้มเหลว ตามด้วยการเจรจาตาบาในต้น ค.ศ. 2001 ใน ค.ศ. 2002 สันนิบาตอาหรับเสนอข้อริเริ่มสันติภาพอาหรับ และข้อริเริ่มล่าสุดได้แก่การเจรจาสันติภาพ ค.ศ. 2013–14 มีรายงานใน ค.ศ. 2009 ว่า แม้ผลสำรวจยังแสดงออกมาอยู่เรื่อย ๆ ว่าอิสราเอลและปาเลสไตน์ส่วนใหญ่เห็นชอบกับทางออกสองรัฐที่มีการเจรจา แต่มี "การตื่นขึ้นจากภาพลวงเพิ่มขึ้น" กับทางออกดังกล่าว
1161996
396583
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1161996
สิทธิในสุขภาพ
สิทธิในสุขภาพ เป็นสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (economic, social and cultural right) ว่าด้วยมาตรฐานสุขภาพขั้นต่ำสากลซึ่งทุกบุคคลพึงมีสิทธิใน แนวคิดเรื่องสิทธิในสุขภาพถูกระบุไว้ในความตกลงระหว่างประเทศหลายชุดเช่นในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน, กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities) การตีความและประยุกต์ใช้สิทธิในสุขภาพยังเป็นที่ถกเถียงกันเนื่องเพราะยังมีสิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณาอยู่ เช่นการนิยามคำว่าสุขภาพ สิทธิขั้นต่ำใดที่รวมอยู่ในสิทธิในสุขภาพ และองค์กรหรือสถาบันใดที่มีความรับผิดชอบในการรับรองสิทธิในสุขภาพ บทนิยาม. ธรรมนูญขององค์การอนามัยโลก (ค.ศ. 1946). คำปรารภ (preamble) แห่งธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกให้นิยามคำว่าสุขภาพอย่างกว้าง ๆ เป็น "สภาวะทางกาย จิต และสวัสดิภาพทางสังคมที่สมบูรณ์ มิใช่เพียงการไม่มีโรคและทุพพลภาพ" ธรรมนูญให้นิยามคำว่าสิทธิในสุขภาพเป็น "การได้รับมาตรฐานสุขภาพที่ดีที่สุดที่เป็นได้" และระบุหลักการของสิทธินี้บางหลักการเช่นพัฒนาการของเด็กที่สุขภาพดี การเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์และประโยชน์ของมันอย่างยุติธรรม และมาตรการทางสังคมที่รัฐเป็นผู้จัดหาให้เพื่อรองรับสุขภาพที่เหมาะสม แฟรงก์ พี. กราด ให้ความดีความชอบกับธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกว่า "กล่าวอ้าง ... สาธารณสุขระหว่างประเทศร่วมสมัยทั้งหมด" สถาปนาสิทธิในสุขภาพเป็น "สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่จะแยกออกจากบุคคลมิได้" ที่รัฐบาลไม่สามารถลดทอนได้แต่กลับกันจำเป็นต้องปกป้องและค้ำจุน ธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกเป็นการกำหนดอย่างเป็นทางการไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งสิทธิในสุขภาพเป็นครั้งแรก ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ค.ศ. 1948). ข้อ 25 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกล่าวไว้ว่า "ทุกคนมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอต่อสุขภาพและสวัสดิการของตัวเองและของครอบครัวซึ่งรวมไปถึงอาหาร, เสื้อผ้า, ที่อยู่อาศัย และบริการทางแพทย์กับทางสังคมที่จำเป็น" ปฏิญญาสากลเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือพิการ และกล่าวถึงเป็นพิเศษเรื่องการให้การดูแลแก่ผู้ที่อยู่ในวัยเด็กและผู้ที่เป็นมารดา ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นปฏิญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานฉบับแรก นาวี พิลเลย์ (Navi Pillay) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเขียนไว้ว่าปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน "แสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องถือสิทธิมนุษยชนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสิทธิพลเรือน, การเมือง, เศรษฐกิจ, สังคม หรือวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่แยกส่วนไม่ได้และต่างเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวมที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้และต่างพึ่งพากันและกัน" ในทำนองเดียวกัน กรัสกินและคณะกล่าวว่าธรรมชาติที่เกี่ยวพันกันของสิทธิต่าง ๆ ในปฏิญญาสากลนั้นสร้าง "ความรับผิดชอบที่ขยายไปมากกว่าเพียงแค่การจัดหาบริการทางสุขภาพที่จำเป็นแต่ยังรวมไปถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวกำหนดสุขภาพเองเช่นการศึกษา, ที่อยู่อาศัย และอาหารที่เหมาะสม และสภาพการทำงานที่พึงปรารถนา" และกล่าวเพิ่มอีกว่าการจัดหาสิ่งเหล่านี้ "เป็นสิทธิมนุษยชนในตัวมันเองและมีความจำเป็นเพื่อสุขภาพที่ดี" อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (ค.ศ. 1965). สุขภาพถูกเขียนถึงอย่างสั้น ๆ ในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination) ของสหประชาชาติซึ่งมีมติเห็นชอบในปี ค.ศ. 1965 และมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 1969 อนุสัญญานี้เรียกร้องให้รัฐห้ามปรามและขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบและรับประกันสิทธิในความเสมอภาคทางกฎหมายของทุกคนโดยไม่แยกแยะระหว่างเชื้อชาติ, สีผิว, สัญชาติ หรือชาติพันธุ์ และภายใต้บทบัญญัตินี้ก็มีการอ้างอิงถึงสิทธิในสาธารณสุข, บริการทางแพทย์, หลักประกันสังคม และบริการสังคม กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966). สหประชาชาติให้นิยามสิทธิในสุขภาพในข้อ 12 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมปี ค.ศ. 1966 ไว้ว่า: ภาคีในกติกาฯ รับรองสิทธิของทุกคนที่จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตตามมาตรฐานสูงสุดเท่าที่เป็นได้ ขั้นตอนการดำเนินการโดยภาคีในกติกาฯ เพื่อบรรลุผลให้สิทธินี้เกิดขึ้นจริงอย่างสมบูรณ์จะต้องรวมถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับ: การลดอัตราตายคลอดและภาวะการตายของทารก และเพื่อพัฒนาการของเด็กอย่างสุขภาพดี การพัฒนาสุขลักษณะทางสิ่งแวดล้อมและที่ทำงานในทุกด้าน การป้องกัน รักษา และควบคุมโรคระบาด โรคประจำถิ่น โรคเหตุอาชีพ และโรคอื่น ๆ การสร้างสภาวะที่รับประกันบริการทางแพทย์และการดุแลรักษาทั้งหมดแก่ทุกคนในเหตุการณ์ที่มีความเจ็บป่วย ข้อวินิจฉัยทั่วไป หมายเลข 14 (ค.ศ. 2000). ในปี ค.ศ. 2000 คณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (CESCR) ได้แถลงข้อวินิจฉัยทั่วไปหมายเลข 14 ซึ่งกล่าวถึงประเด็นสำคัญอันเกิดขึ้นมาจากการนำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมไปปฏิบัติใช้ ตามข้อที่ 12 และ "สิทธิในมาตรฐานสุขภาพที่สูงสุดเท่าที่เป็นไปได้" ข้อวินิจฉัยทั่วไปใช้ภาษาเชิงปฏิบัติการที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่ออธิบายถึงเสรีภาพและสิทธิที่มีภายใต้สิทธิในสุขภาพ ข้อวินิจฉัยทั่วไปอธิบายอย่างชัดเจนว่า"สิทธิในสุขภาพ"ไม่ได้หมายถึง"สิทธิที่จะมีสุขภาพดี" หากแต่เป็นชุดของเสรีภาพและสิทธิอันพึงมีที่จะอำนวยสภาวะทางชีวภาพและทางสังคมของบุคคลหนึ่งและรวมไปถึงทรัพยากรที่รัฐมี ซึ่งทั้งสองอาจขัดขวาง"สิทธิที่จะมีสุขภาพดี"ด้วยเหตุผลซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมและอิทธิพลของรัฐ ข้อที่ 12 ในกติกาฯ ให้รัฐมีหน้าที่รับรองว่าแต่ละบุคคลมีสิทธิในการเข้าถึงมาตรฐานสุขภาพที่สูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ และรายการไว้ซึ่ง 'เสรีภาพ' และ 'สิทธิ' (อย่างน้อยบางส่วน) อันพึ่งมีประกอบไปกับสิทธินั้น ๆ อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้กล่าวให้รัฐรับประกันว่าทุกบุคคลจะมีสุขภาพที่ดี หรือว่าทุกบุคคลจะยอมรับอย่างเต็มเปี่ยมในสิทธิและโอกาสซึ่งถูกระบุไว้ในสิทธิในสุขภาพ ความสัมพันธ์กับสิทธิอื่น ๆ. อย่างเช่นในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อวินิจฉัยทั่วไปอธิบายถึงธรรมชาติที่เกี่ยวพันกันของสิทธิมนุษยชนโดยกล่าวว่า "สิทธิในสุขภาพเกี่ยวข้องและพึ่งพากับการทำให้สิทธิมนุษยชนด้านอื่น ๆ เป็นจริงขึ้นมา" และดังนั้นเป็นการเน้นในความสำคัญของการพัฒนาด้านสิทธิอื่น ๆ ในทางคล้ายกันข้อวินิจฉัยทั่วไปรับรองว่า "สิทธิในสุขภาพครอบคลุมปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคมที่หลากหลายซึ่งส่งเสริมสภาพที่ทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตที่สุขภาพดีได้ และขยายรวมไปถึงตัวกำหนดสุขภาพที่อยู่เบื้องหลัง" ในแง่นี้ ข้อวินิจฉัยทั่วไปกล่าวว่าขั้นตอนซึ่งถูกระบุไว้ในข้อที่ 12 ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เท่านั้นและเป็นเพียงการให้ตัวอย่าง ความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพและสิทธิมนุษยชนซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้ ตาม โจนาธาน มันน์ (Jonathan Mann (WHO official)) สิทธิในสุขภาพกับสิทธิมนุษยชนเป็นแนวทางคู่กันสำหรับการกำหนดและพัฒนาสวัสดิภาพของมนุษย์ ในปี ค.ศ. 1994 มันน์และคณะได้ริเริ่ม "วารสารเฮลธ์แอนด์ฮิวแมนไรตส์" (Health and Human Rights) เพื่อเน้นความสำคัญของความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพและสิทธิมนุษยชนซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้ บทความซึ่งสำรวจการประสานงานกันระหว่างสุขภาพและสิทธิมนุษยชนที่เป็นไปได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารนั้นฉบับแรก ในบทความนั้น มันน์และคณะบรรยายถึงโครงร่างสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองอขอบแขตซึ่งเชื่อมโยงกัน โครงร่างนี้ถูกแบบออกเป็นความสัมพันธ์สามส่วนใหญ่ ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพและสิทธิมนุษยชนอย่างแรกเป็นความสัมพันธ์ทางการเมือง มันน์และคณะกล่าวว่านโยบาย, โครงการ และการดำเนินการด้านสุขภาพมีผลกระทบกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเมื่ออำนาจของรัฐถูกพิจารณาในขอบเขตของสาธารณสุข ส่วนที่สองคือความสัมพันธ์ผันกลับซึ่งกล่าวว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และมีการเรียกร้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพช่วยในการทำความเข้าใจผ่านการวัดและประเมินผลกระทบของการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสุขภาพและสวัสดิภาพ ส่วนที่สามนำเสนอแนวคิดว่าการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสุขภาพมีความเกี่ยวข้องกันโดยพื้นฐานผ่านความสัมพันธ์เชิงพลวัต แม้วรรณกรรมส่วนใหญ่สนับสนุนการมีอยู่ของความสัมพันธ์สองอย่างแรก สมมติฐานของความสัมพันธ์ที่สามยังไม่ถูกสำรวจถึงอย่างมากพอ บทความสนับสนุนแนวคิดนี้ด้วยการกล่าวว่าความสัมพันธ์เหล่านี้บอกเป็นนัยถึงผลกระทบเชิงปฏิบัติของปฏิสัมพันธ์ระหว่างและการดำเนินการที่เป็นอิสระจากกันของกิจกรรมทางสาธารสุขและสิทธิมนุษยชน จึงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่มีการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างขอบเขตทั้งสอง มันน์และคณะกล่าวเพิ่มว่างานวิจัย, การศึกษา, ประสบการณ์ และการสนับสนุนล้วนจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจส่วนร่วมระหว่างทั้งสองอย่างนี้ เพื่อความเข้าใจและการพัฒนาสวัสดิภาพของมนุษย์ทั่วโลก สุดท้ายแล้ว มันน์และคณะมีเจตนาบอกว่า ในขณะที่บริการทางสุขภาพและทางแพทย์ให้ความสนใจส่วนใหญ่กับสุขภาพของบุคคลโดยเฉพาะความเจ็บป่วยทางกายภาพและทุพพลภาพ "สาธารณสุข" (public health) ได้วิวัฒน์ความสนใจไปสู่วิธีการทำให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีมากกว่า ตามบทนิยามนี้ ภารกิจของสาธารณสุขคือเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีและป้องกันปัญหาทางสุขภาพเช่นโรค, ทุพพลภาพ, การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ฯลฯ ความหมายดั้งเดิมของสุขภาพของแต่ละบุคคลซึ่งถูกเข้าใจโดยบริการสุขภาพเป็นเพียง "เงื่อนไขหนึ่งสำหรับสุขภาพที่ดี" และไม่ได้มีความหมายเดียวกันกับคำว่า "สุขภาพ" พูดอีกแบบหนึ่งคือ เพียงบริการทางสุขภาพอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับสุขภาพอย่างที่แพทย์สาธารสุข (public health practitioner) เข้าใจ แต่ยังมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบเชิงบวกและลบทั้งที่ชัดเจนและเล็กน้อยต่อสุขภาพและสวัสดิภาพของประชากรมนุษย์ทั่วโลก ความเป็นธรรมทางสุขภาพ. ข้อวินิจฉัยทั่วไปยังได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องความเป็นธรรมทางสุขภาพ (Health equity) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกกล่าวถึงในกติกาฯ หมายเหตุในเอกสารว่า "กติกาฯ ห้ามไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติในการเข้าถึงบริการสุขภาพและตัวกำหนดสุขภาพเบื้องหลัง รวมถึงในวิธีการและสิทธิในการจัดหาสิ่งเหล่านั้น" มากไปกว่านั้น ความรับผิดชอบในการเยียวยาการเลือกปฏิบัติและผลกระทบของมันในด้านสุขภาพถูกมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของรัฐ: "รัฐมีหน้าที่พิเศษในการจัดหาประกันสุขภาพและสิ่งอำนายความสะดวกทางด้านบริการสุขภาพให้แก่ผู้ที่ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ และในการป้องกันการเลือกปฏิบัติในการจัดหาบริการและการดูแลสุขภาพในบริเวณซึ่งเป็นที่หวงห้ามจากนานาชาติ" และยังเน้นความสำคัญเพิ่มเติมในเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติบนฐานของเพศ, อายุ, ทุพพลภาพ หรือสมาชิกภาพในชุมชนพื้นเมือง ความรับผิดชอบของรัฐและองค์การระหว่างประเทศ. ส่วนต่อมาของข้อวินิจฉัยทั่วไปแจกแจงภาระหน้าที่ของประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศในการมุ่งสู่สิทธิในสุขภาพ โดยหน้าที่ต่าง ๆ ของประชาชาติถูกแบ่งออกเป็นสามหมวดหมู่: หน้าที่ที่จะเคารพ, หน้าที่ที่จะปกป้อง และหน้าที่ที่จะทำให้สิทธิในสุขภาพบรรลุขึ้นจริง ตัวอย่างเช่น (ไม่ใช่ทั้งหมด) การป้องกันการเลือกปฏิบัติในการได้รับหรือการจัดหาบริการสุขภาพ, การยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าถึงการคุมกำเนิดหรือการวางแผนครอบครัว, การห้ามมิให้มีมีการปฏิเสธการเช้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพ, การลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม, การห้ามมิให้มีเวชปฏิบัติที่อยู่บนฐานของวัฒนธรรมที่เป็นภัยหรือถูกบังคับ, การรับรองการเข้าถึงตัวกำหนดสุขภาพทางสังคมอย่างเป็นธรรม และการชี้แนวทางการรับรองคุณภาพสถานพยาบาล, บุคคลากร และอุปกรณ์ทางแพทย์ที่เหมาะสม ในส่วนภาระหน้าที่ของประชาคมนานาชาติประกอบไปด้วยการยอมให้สามารถใช้บริการสุขภาพในประเทศอื่นได้, การป้องกันการละเมิดทางสุขภาพในประเทศอื่น, การร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่เหตุการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติ และการหลีกเลี่ยงไม่ใช้มาตรการคว่ำมาตรสินค้าหรือบุคคลากรทางแพทย์เพื่ออิทธิพลทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ. ข้อ 12 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบปี ค.ศ. 1979 ของสหประชาชาติร่างเค้าโครงการปกป้องผู้หญิงจากการถูกเลือกปฏิบัติเมื่อเข้ารับบริการสุขภาพและสิทธิของผู้หญิงในการได้รับบริการสุขภาพเฉพาะเพศ ข้อที่ 12 ฉบับเต็มกล่าวว่า: ข้อ 12: อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก. สุขภาพถูกกล่าวถึงในหลายกรณีในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (ค.ศ. 1989) ข้อ 3 เรียกร้องให้ภาคีรับประกันให้สถาบันและสถานที่สำหรับการดูแลเด็กปฏิบัติตามมาตรฐานสุขภาพ ข้อ 17 รับรองสิทธิของเด็กในการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและสวัสดิภาพทางกายและจิตของตนเอง ข้อ 23 กล่าวถึงสิทธิของเด็กพิการโดยเฉพาะซึ่งรวมถึงบริการทางสุขภาพ, การฟื้นฟูสภาพ และการดูแลป้องกัน ข้อ 24 วางเค้าโครงสุขภาพเด็กอย่างลงรายละเอียดและกล่าวว่า "รัฐภาคียอมรับสิทธิของเด็กที่จะได้รับมาตรฐานทางสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นได้ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการรักษาความเจ็บปวดและการฟื้นฟูสุขภาพ รัฐภาคีจะพยายามดำเนินการเพื่อรับประกันว่าไม่มีเด็กคนใดที่ถูกลิดรอนสิทธิของตัวเองในการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ" มาตรการต่าง ๆ เพื่อการนำบทบัญญัติไปปฏิบัติถูกระบุไว้ในอนุสัญญาดังนี้: * ลดการเสียชีวิตของทารกและเด็ก เว็บไซต์องค์การอนามัยโลกแสดงความคิดเห็นว่า "อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็นขอบข่ายทางกฎหมายและเชิงบรรทัดฐานสำหรับงานขององค์การอนามัยโลกในขอบเขตด้านสุขภาพของเด็กและเยาวชนที่กว้าง" เจฟฟรีย์ กอลด์ฮาเกน เสนออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็น "แม่แบบสำหรับการรณรงค์ด้านเด็ก" และเสนอการนำไปใช้เป็นโครงร่างสำหรับการลดความไม่เสมอภาคและการพัฒนาผลลัพธ์ในด้านสุขภาพเด็ก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ. ข้อ 25 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities) (ค.ศ. 2006) ระบุว่า "คนพิการมีสิทธิที่จะได้รับมาตรฐานสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นได้โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติบนฐานของทุพพลภาพ" วรรคย่อยในข้อ 25 กล่าวว่ารัฐภาคีจะให้บริการสุขภาพที่มี "ความหลากหลาย, คุณภาพ และมาตรฐาน" เดียวกันกับที่ผู้อื่นได้รับแก่ผู้พิการ รวมไปถึงบริการที่จำเป็นต่อการป้องกัน, ระบุ และจัดการทุพพลภาพโดยเฉพาะ บทบัญญัติเพิ่มเติมยังระบุว่าชุมชนท้องถิ่นควรสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพของคนพิการและบริการดูแลนั้นควรได้รับอย่างเท่าเทียมกับในทางภูมิศาสตร์ และมีข้อความเพิ่มเติมซึ่งต่อต้านการปฏิเสธหรือการจัดหาแบบไม่เท่าเทียมกันของบริการทางสุขภาพ (รวมถึง "อาหารและน้ำ" กับ "ประกันชีวิต") บนฐานของทุพพลภาพ นิยามในวรรณกรรมวิชาการ. ในขณะที่สิทธิมนุษยชนส่วนใหญ่ถูกจัดเป็น"สิทธิเชิงลบ"ในเชิงทฤษฎีซึ่งมีหมายความเป็นสิทธิในบริเวณที่สังคมไม่สามารถแทรกแซงหรือจำกัดได้ผ่านการกระทำทางการเมือง เมอร์วิน ซัสเซอร์ (Mervyn Susser) กล่าวว่าสิทธิในสุขภาพเป็นสิทธิที่ท้าทายและมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษเพราะมันมักถูกกล่าวว่าเป็น"สิทธิเชิงบวก"ซึ่งเป็นสิทธิที่สังคมมีหน้าที่จัดหาทรัพยากรและโอกาสให้แก่ประชากรทั่วไป ซัสเซอร์ให้ข้อกำหนดสี่ข้อที่เขามองว่าอยู่ภายใต้สิทธิในสุขภาพ: การเข้าถึงบริการทางสุขภาพและทางแพทย์อย่างเสมอภาค, ความพยายามทางสังคมอย่าง "สุจริตใจ" ที่จะส่งเสริมสุขภาพที่เท่าทียมกันท่ามกลางกลุ่มสังคมต่าง ๆ, การมีหนทางในการวัดและประเมินความเป็นธรรมทางสุขภาพ, และการมีระบบการเมืองสังคมที่เท่าเทียมเพื่อให้ทุก ๆ ฝ่ายมีเสียงในการรณรงค์และส่งเสริมในเรื่องสุขภาพ โดยมีหมายเหตุว่าแม้สิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งมาตรฐานขั้นในการเข้าถึงทรัพยากรด้านสุขภาพระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับประกันหรือบังคับให้ทุก ๆ คนมีสุขภาวะที่เสมอกันเนื่องมาจากความแตกต่างทางชีวภาพในสถานะทางสุขภาพในตัวของแต่ละคน การแยกแยะระหว่างสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากคำวิจารณ์แนวคิด "สิทธิในสุขภาพ" ที่พบเห็นได้บ่อยนั้นมักบอกว่ามันเป็นสิทธิที่เรียกร้องหามาตรฐานทางสุขภาพที่เป็นไปไม่ได้และปรารถนาที่จะมีสถานะทางสุขภาพซึ่งเป็นนามธรรมและแปรเปลี่ยนไปตามแต่ละคนหรือแต่ละสังคม ในขณะที่ซัสเซอร์จัดว่าบริการสุขภาพเป็นสิทธิเชิงบวก พอล ฮันต์ (Paul Hunt) โต้แย้งมุมมองนี้และอ้างว่าสิทธิในสุขภาพยังรวมถึงสิทธิเชิงลบบางสิทธิด้วยเช่นการคุ้มครองจากจากการถูกเลือกปฏิบัติและสิทธิที่จะไม่การรักษาทางแพทย์โดยไม่ได้รับการยินยอมโดยสมัครใจจากผู้รับบริการ อย่างไรก็ตามฮันต์ก็ยอมรับว่าสิทธิเชิงบวกบางสิทธิเช่นความรับผิดชอบของสังคมต่อการให้ความสนใจเป็นพิเศษแก่ความต้องการทางสุขภาพของผู้ที่ไม่ได้รับการบริการที่เพียงพอหรือเปราะบางนั้นก็รวมอยู่ในสิทธิในสุขภาพด้วย พอล ฟาร์เมอร์ (Paul Farmer) เขียนถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพในบทความของเขา "The Major Infectious Diseases in the World - To Treat or Not to Treat." (แปลว่า "โรคติดเชื้อหลัก ๆ ในโลก - รักษาหรือไม่รักษา") โดยเขาพูดถึง "ช่องว่างของผลลัพธ์" (outcome gap) ระหว่างกลุ่มประชากรที่ได้รับการแทรกแซงทางสุขภาพและกลุ่มที่ไม่ได้รับ คนจนไม่ได้รับการรักษาแบบเดียวกันกับคนที่มีฐานนะทางการเงินหรือบางทีก็อาจไม่ได้รับการรักษาเลย ราคาของยาและการรักษาที่สูงทำให้เกิดปัญหาการได้รับการดูแลที่เท่าเทียมในประเทศยากจน เขากล่าวว่า "ความเป็นเลิศโดยไร้ความเสมอภาคจวนจะเป็นทวิบถ (dilemma) หลักทางด้านสิทธิมนุษยชนในด้านการบริการสุขภาพของศตวรรษที่ 21" สิทธิมนุษยชนในบริการสุขภาพ. แง่หนึ่งของสิทธิในสุขภาพสามารถมองในอีกทางหนึ่งได้เป็น "สิทธิมนุษยชนในบริการสุขภาพ" ซึ่งรวมถึงสิทธิของผู้รับและผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ โดยอย่างหลังนั้นมักถูกละเมิดโดยรัฐ สิทธิของผู้รับบริการสุขภาพมี: สิทธิในความเป็นส่วนตัว (right to privacy), ข้อมูลข่าวสาร, ชีวิต และการดูแลที่มีคุณภาพ รวมไปถึงเสรีภาพจากการเลือกปฏิบัติ, การทรมาน และ การปฏฺิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (cruel, inhumane, or degrading treatment) กลุ่มบุคคลชายขอบเช่นผู้ย้ายถิ่นหรือพลัดถิ่น, ชนกลุ่มน้อย (minority group) ทางชาติพันธุ์หรือเชื้อชาติ, ผู้หญิง, ชนกลุ่มน้อยทางเพศ (sexual minority) และผู้ติดเชื้อเอชไอวีนั้นมีความเสี่ยง (social vulnerability) โดยเฉพาะต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในบริบทของบริการสุขภาพ ตัวอย่างเช่น ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือเชื้อชาติอาจถูกแบ่งแยกออกไปให้ใช้แผนกที่มีคุณภาพต่ำกว่า ผู้พิการอาจถูกกักตัวและโดนบังคับให้รับการรักษาทางแพทย์ ผู้ใช้ยาเสพติดอาจถูกปฏิเสธการรักษาอาการเสพติด ผู้หญิงอาจถูกบังคับให้รับการตรวจภายในและถูกปฏิเสธไม่ให้รับการทำแท้งที่ช่วยชีวิต ผู้ชายที่ถูกต้องสงสัยว่ารักร่วมเพศอาจถูกบังคับให้รับการตรวจในทวารหนัก และผู้หญิงซึ่งอยู่ในกลุ่มบุคคลชายขอบและบุคคลข้ามเพศอาจถูกบังคับทำหมัน (compulsory sterilization) สิทธิของผู้ให้บริการมี: สิทธิในมาตรฐานสภาพการจ้างที่มีคุณภาพ, สิทธิที่จะสมาคมอย่างเสรี และสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนบนฐานของศีลธรรมของตนเอง ผู้ให้บริการสุขภาพมักประสบกับการถูกละเมิดสิทธิของตนเอง ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการสุขภาพมักถูกบังคับให้ปฏิบัติขั้นตอนซึ่งตรงข้ามกับศีลธรรมของตนเอง, ปฏิเสธการให้การดูแลตามมาตรฐานที่ดีที่สุดแก่กลุ่มบุคคลชายขอบ, ฝ่าฝืนการรักษาความลับของผู้ป่วย และปกปิดอาชญกรรมต่อมนุษยชาติและการทรมาน โดยเฉพาะในประเทศที่มีหลักนิติธรรมที่อ่อนแอ มากไปกว่านั้น ผู้ให้บริการที่ไม่ยอมทำตามแรงกดดันเหล่านี้ก็มักถูกกดขี่ขมเหงหรือรังแก ณ ปัจจุบันมีการพูดคุยอย่างมากมายเกี่ยวกับประเด็นเรื่อง "จิตสำนึกของผู้ให้บริการ" ซึ่งจะสงวนไว้ซึ่งสิทธิของผู้ให้บริการที่จะละเว้นจากการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ไม่เป็นไปตามหลักศีลธรรมของตนเอง เช่นการทำแท้ง กลไกการต่อสู้และป้องกันการละเมิดสิทธิขอผู้รับและผู้ให้บริการผ่านการปฏิรูปกฎหมายนั้นเป็นแนวทางที่มีอนาคตที่ดี แต่ทว่าในประเทศที่อยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน (ประเทศที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่และกำลังอยู่ระหว่างการปฏิรูป) และในสถานที่ที่มีหลักนิติธรรมซึ่งอ่อนแอ แนวทางการปฏิรูปผ่านกฎหมายนั้นจำกัด ในขณะเดียวกันก็ได้มีการจัดรูปแบบทรัพยากรและเครื่องมือสำหรับนักกฎหมาย, ผู้ให้บริการ และผู้ป่วยที่มีความสนใจในการพัฒนาสิทธิมนุษยชนในด้านการดูแลผู้ป่วยขึ้นมา สิทธิในบริการสุขภาพตามรัฐธรรมนูญ. รัฐธรรมนูญสองในสามของทั้งหมดมีบทบัญญัติซึ่งกล่าวถึงสุขภาพหรือบริการสุขภาพ ในบางกรณี สิทธิเหล่านี้สามารถดำเนินการสู่กระบวนการในศาลได้ แนวโน้มการปฏิรูปรัฐธรรมนูญรอบโลกมักมีการปกป้องสิทธิในสุขภาพ และการทำให้สามารถดำเนินคดีบนฐานของสิทธินี้ได้ ทว่าประเทศสหรัฐอเมริกาในระดับสหรัฐไม่ได้เป็นไปตามแนวโน้มเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐมีการรณรงค์เรียกร้องสนับสนุนให้มีการยอมรับสิทธิในสุขภาพอยู่ในรัฐธรรมนูญ และในที่ที่รัฐธรรมนูญยอมรับในสิทธิในสุขภาพที่สามารถนำไปพิจารณาในศาลได้ การตอบสนองจากศาลกลับมีความหลากหลาย บทวิจารณ์. ฟิลิป บาร์โลว์ (Philip Barlow) เขียนว่าบริการสุขภาพไม่ควรถูกถือเป็นสิทธิมนุษยชนเนื่องจากความยากลำบากในการจำกัดความผลที่เกิดขึ้นและ 'มาตรฐานขั้นต่ำ' ภายใต้สิทธินี้นั้นจะถูกกำหนดไว้ตรงไหน นอกจากนั้นบาร์โลว์กล่าวว่าสิทธิต่าง ๆ ก่อให้เกิดหน้าที่ที่ผู้อื่นต้องมีเพื่อปกป้องและรับรองสิทธินั้น และใครจะแบกรับความรับผิดชอบทางสังคมของสิทธิในสุขภาพนั้นก็ยังไม่ชัดเจน จอห์น เบิร์กลีย์ (John Berkeley) ได้วิจารณ์เพิ่มเติมไปในทางที่เห็นด้วยกับบาร์โลว์ว่าสิทธิในสุขภาพนั้นไม่คำนึงถึงความรับผิดชอบในการรักษาสุขภาพตัวเองของปัจเจกบุคคลอย่างเพียงพอ ริชาร์ด ดี แลมม์ (Richard D Lamm) แย้งการทำให้บริการสุขภาพเป็นสิทธิ เขาให้นิยามสิทธิว่าเป็นสิ่งที่ต้องคุ้มครองไม่ว่าอย่างไรก็ตาม และเป็นแนวคิดที่ถูกให้นิยามและตีความโดยระบบตุลาการ การทำให้บริการสุขภาพเป็นสิทธิจะทำให้รัฐบาลต้องนำทรัพยากรจำนวนมากมาใช้จ่ายเพื่อจัดหาบริการให้แก่ประชาชน เขากล่าวว่าระบบบริการสุขภาพนั้นอยู่บนสมมติฐานที่ไม่ถูกต้องว่าทรัพยากรมีไม่จำกัด ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดยับยั้งไม่ให้รัฐบาลสามารถจัดหาบริการสุขภาพที่เหมาะสมให้แก่ทุกคนได้โดยเฉพาะในระยะยาว ความพยายามที่จะให้บริการสุขภาพที่ "เป็นประโยชน์" แก่ทุกคนด้วยทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดอาจนำไปสู่การล่มสลายของเศรษฐกิจ แลมม์กล่าวว่าการเข้าถึงบริการสุขภาพเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในการสร้างสังคมที่สุขภาพดี และเพื่อสร้างสังคมที่สุขภาพดีทรัพยากรควรถูกนำไปใช้ในทางสังคมด้วย อีกหนึ่งคำวิจารณ์ของสิทธิในสุขภาพคือว่ามันเป็นไปไม่ได้ อิมแร เจ พี โลฟเฟลอร์ (Imre J.P. Loefler) อ้างว่าภาระด้านการเงินและโลจิสติกส์ที่การรับรองบริการสุขภาพสำหรับทุกคนจะสร้างขึ้นมานั้นไม่สามารถแบกรับได้ และข้อจำกัดทางด้านทรัพยากรทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิทธิซึ่งเป้าหมายคือการต่อชีวิตออกไปไม่สิ้นสุด โลฟเฟลอร์เสนอว่าเป้าหมายที่จะพัฒนาสุขภาพของประชากรนั้นจะดีกว่าถ้าหันไปสนใจเรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจสังคมแทนการมุ่งสู่การมีสิทธิในสุขภาพอย่างเป็นทางการ
1162004
361321
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162004
องค์การบริหารส่วนตำบลหนองขาหย่าง
หนองขาหย่าง เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทองค์การบริหารส่วนตำบลที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของหมู่ที่ 1, 3–8 และบางส่วนของหมู่ที่ 2 ตำบลหนองขาหย่าง (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลหนองขาหย่าง) และพื้นที่ทั้งหมดของตำบลห้วยรอบ ตำบลดอนกลอย และตำบลทุ่งพึ่ง อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี เดิมมีฐานะเป็นสภาตำบลหนองขาหย่าง ได้รับการจัดตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลเมื่อปี พ.ศ. 2542 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 กระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้เขตสภาตำบลดอนกลอยที่มีพื้นที่ 6 หมู่บ้าน และมีประชากร 1,252 คน ไม่ผ่านเงื่อนไขในการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องรวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขาหย่าง เดือนกันยายน ปีเดียวกัน กระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้ยุบสภาตำบลทุ่งพึ่งที่มีพื้นที่ 7 หมู่บ้านและประชากร 1,466 คน และสภาตำบลห้วยรอบที่มีพื้นที่ 3 หมู่บ้านและประชากร 513 คน ต้องรวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขาหย่าง เนื่องจากทั้ง 2 สภาตำบลไม่ผ่านเงื่อนไขในการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล ที่ตั้งและอาณาเขต. องค์การบริหารส่วนตำบลหนองขาหย่าง มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้
1162010
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162010
สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1783)
สนธิสัญญาปารีส ลงนามสัตยาบันที่กรุงปารีสโดยพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งบริเตนใหญ่ และผู้แทนฝั่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1783 ซึ่งมีผลทำให้สงครามปฏิวัติอเมริกาอันเป็นสิ้นสุด เนื้อหาของสนธิสัญญายังกันเขตพรมแดนของจักรวรรดิอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายได้เปรียบ โดยรายละเอียดปลีกย่อยรวมถึงสิทธิในการหาปลาในน่านน้ำต่างๆ การซ่อมแซมอาคารที่เสียหาย และเชลยศึกของทั้งสองฝ่าย สนธิสัญญาฉบับนี้ และสนธิสัญญาสันติภาพอีกฉบับหนึ่งที่ทำขึ้นระหว่างบริเตนใหญ่กับกลุ่มประเทศที่ร่วมสนับสนุนสหรัฐอเมริกาซึ่งได้แก่ ฝรั่งเศส สเปน และสาธารณรัฐดัตช์ นั้นถูกเรียกรวมกันว่า "สนธิสัญญาสันติภาพปารีส" ซึ่งในปัจจุบันนี้เหลือเพียงมาตรา 1 ที่ยังมีผลบังคับใช้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรองสถานะความเป็นประเทศเอกราชของสหรัฐอเมริกา รายละเอียด. สนธิสัญญาฉบับนี้ และสนธิสัญญาสันติภาพอีกฉบับหนึ่งที่ทำขึ้นระหว่างบริเตนใหญ่กับกลุ่มประเทศที่ร่วมสนับสนุนสหรัฐอเมริกาซึ่งได้แก่ ฝรั่งเศส สเปน และสาธารณรัฐดัตช์ นั้นถูกเรียกรวมกันว่า "สนธิสัญญาสันติภาพปารีส" ซึ่งในปัจจุบันนี้เหลือเพียงมาตรา 1 มาตราเดียวที่ยังมีผลบังคับใช้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรองสถานะความเป็นประเทศเอกราชของสหรัฐอเมริกา ส่วนมาตราอื่นๆ นั้นเกี่ยวข้องกับเขตแดนซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในเวลาต่อมา จึงถูกแทนด้วยสนธิสัญญาฉบับใหม่ฉบับอื่นๆ แทน ในอารัมภบทได้กล่าวถึงสนธิสัญญาว่า"กระทำในนามของพระตรีเอกภาพอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด" ซึ่งกล่าวถึงสัตยาบันของทั้งสองฝ่ายที่ตกลงร่วมกันเพื่อที่จะ "ลืมความขัดแย้งและความแตกต่างทั้งหมดทั้งปวงในอดีตที่ผ่านมา" และ "เพื่อนำไปสู่สันติภาพและความปรองดองซึ่งกันและกัน" ลงท้ายสนธิสัญญาว่า "ลงนามที่กรุงปารีส ในวันที่ 3 เดือนกันยายน ปีแห่งคริสต์ศักราชที่ 1783"
1162011
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162011
กระสุนสังหารพลิกโลก
กระสุนสังหารพลิกโลก เป็นภาพยนตร์สงครามซึ่งจัดฉายเมื่อ ค.ศ. 2001 ที่กำกับ, ร่วมเขียนบท และอำนวยการสร้างโดยฌ็อง-ฌัก อองโนด์ โดยอิงจากหนังสือสารคดีชื่อ"" เมื่อ ค.ศ. 1973 ของวิลเลียม เครก ซึ่งอธิบายเหตุการณ์รอบ ๆ ยุทธการที่สตาลินกราดในช่วงฤดูหนาว ค.ศ. 1942–1943 บทภาพยนตร์นี้เขียนโดยอองโนด์ และอาแล็ง กอดาร์ ตัวละครหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพลซุ่มยิงที่ชื่อวาซีลี ไซเซฟ ซึ่งเป็นวีรชนแห่งสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รวมถึงการดวลของพลซุ่มยิงระหว่างไซเซฟ และผู้อำนวยการโรงเรียนพลซุ่มยิงของ"แวร์มัคท์" พันตรี แอร์วีน เคอนิก นักแสดงประกอบไปด้วยจู๊ด ลอว์ ที่รับบทเป็นไซเซฟ, เรเชล ไวสซ์ รับบทเป็นทาเนีย เชอร์โนวา และเอ็ด แฮร์ริส รับบทเป็นเคอนิก ร่วมกับโจเซฟ ไฟนส์, บ็อบ ฮอสกินส์, รอน เพิร์ลแมน, เอฟา มัทเทส, เกเบรียล มาร์แชลล์ ทอมสัน และมัททีอัส ฮาบิช
1162040
179988
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162040
จักรวรรดิเฮติ
จักรวรรดิเฮติ อาจหมายถึง: <table id=" disambigbox" class="metadata plainlinks dmbox dmbox-disambig" style=""> <tr> <td class="mbox-image" style="padding: 2px 0 2px 0.4em;"> </td> <td class="mbox-text" style="padding: 0.25em 0.4em; font-style: italic; "> หน้านี้รวมบทความที่มีชื่อเหมือนหรือใกล้เคียงกัน </td> </tr> </table>#เปลี่ยนทาง
1162047
184218
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162047
หย่งจาง
อ้ายซิน เจว๋หลัว หย่งจาง (永璋; 15 กรกฎาคม 2278 - 26 สิงหาคม 2303) เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 3 ของ จักรพรรดิเฉียนหลง พระประวัติ. องค์ชายหย่งจางประสูติเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2278 ในปลายรัชสมัยของ จักรพรรดิยงเจิ้ง ผู้เป็นสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช เมื่อครั้งที่ จักรพรรดิเฉียนหลง พระราชบิดายังดำรงพระอิสริยยศเป็น เป่าชินหวัง ส่วนพระมารดาของพระองค์คือ ซู่ฝูจิ้น (庶福晋) เมื่อ องค์ชายหย่งจาง ประชวรหนักเมื่อพระชนมายุ 15 พรรษา จักรพรรดิเฉียนหลงมีพระราชโองการให้ ลามะ สวดมนต์ให้กับองค์ชายหย่งจาง ใน พ.ศ. 2291 พระองค์ได้รับมอบหมายให้ดูแลการไว้ทุกข์ของ จักรพรรดินีเซี่ยวเสียนฉุน องค์ชายหย่งจางถูกถอดพระนามออกจากบัญชีคัดเลือกรัชทายาทพร้อมกับพระเชษฐาต่างพระมารดา หย่งหวง จากพฤติกรรมของพระองค์ในระหว่างพิธีฝังพระศพ ใน พ.ศ. 2302 ฉุนฮุ่ยหวงกุ้ยเฟย์ พระมารดาของพระองค์ประชวรที่ สถานที่พักร้อนและหมู่วัดในเฉิงเต๋อ องค์ชายหย่งจางนำพระมารดาเสด็จกลับไป ปักกิ่ง พระองค์สิ้นพระชนม์ในปีถัดมาและได้รับพระราชทานพระอิสริยยศย้อนหลังให้เป็น ซุนชินหวัง
1162062
396583
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162062
วัดราชคฤห์ (จังหวัดพะเยา)
วัดราชคฤห์ เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลเวียง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา วัดราชคฤห์สร้างเมื่อ พ.ศ. 2443 เดิมชาวบ้านเรียกว่า วัดใหม่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2481 แต่เดิมเป็นที่ตั้งของบริเวณวัดมหาพน ร่องรอยความเก่าแก่ของซากโบราณวัตถุและองค์เจดีย์ภายในบริเวณวัดมหาพน ยังคงหลงเหลือสภาพให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความเก่าแก่ของวัดแห่งนี้ ซึ่งจากประวัติศาสตร์ที่ถูกค้นพบ เป็นวัดโบราณที่มีอายุมากกว่า 1,300 ปี มีความเกี่ยวพันกับอาณาจักรสุโขทัย ครั้งเมื่อในอดีตเคยมีการต่อสู้กับอาณาจักรสุโขทัย มีบันทึกว่า ได้นำเอาหลังคาวิหารของวัดแห่งนี้ซึ่งเป็นทองเหลือง นำมาหล่อเป็นอาวุธปืน เพื่อต่อสู้กับอาณาจักรสุโขทัยที่เข้ามารุกราน ด้านหน้าประตูทางเข้าจะเป็นประตูโขงขนาดใหญ่เป็นการก่ออิฐถือปูนมีรูปเทวดาปูนปั้น บนยอดมีรูปพรหมสี่หน้า อุโบสถกว้างราวประมาณ 20 เมตร ยาวเกือบ 40 เมตร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหินทราย ลงรักปิดทอง ด้านหลังอุโบสถเป็นองค์เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมย่อมุม มีซุ้มจรนำทั้งสี่ทิศ บนเรือนธาตุมีเจดีย์บริวารทั้งสี่ด้าน องค์ระฆังของเจดีย์ฉาบด้วยสีทอง ทางประตูเข้าของกำแพงแก้วมีรูปปั้นสิงห์คู่ทั้งสี่ด้าน
1162064
438914
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162064
การปฏิวัติบาตาเวีย
การปฏิวัติบาตาเวีย (,) เป็นเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่เป็นจุดจบของสาธารณรัฐดัตช์ และการก่อตั้งของสาธารณรัฐบาตาเวีย ในประวัติศาสตร์เนเธอร์แลนด์ได้เรียกยุคสมัยภายหลังการปฏิวัติในครั้งนี้ว่า "ยุคบาตาเวีย-ฝรั่งเศส" (ค.ศ. 1795-1813) ซึ่งกินเวลายาวนานเพียง 20 ปี รวมระยะเวลาสามปีภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในยุคของจักรพรรดินโปเลียน การปฏิวัติบาตาเวียยุติลงภายหลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐบาตาเวียในปีค.ศ. 1795 เจ้าชายวิลเลิมที่ 5 แห่งออเรนจ์ ได้เสด็จลี้ภัยไปอังกฤษ และได้เขียนเอกสารให้ดินแดนในอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ทั้งหมดตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ซึ่งได้ประกาศสงครามต่อสาธารณรัฐบาตาเวียในที่สุด ต่อมาได้มีการปฏิวัติตามมาในปีค.ศ. 1798, 1801 และ 1805 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงศูนย์อำนาจในกลุ่มผู้รักชาติ ถึงแม้ว่าฝั่งฝรั่งเศสนั้นมีท่าทีเหมือนผู้ช่วยปลดปล่อย แต่หลายฝ่ายก็มิได้เชื่อตามนั้น สาธารณรัฐบาตาเวียสิ้นสุดลงในปีค.ศ. 1806 ภายหลังจากการก่อตั้งราชอาณาจักรฮอลแลนด์โดยมีพระอนุชาของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 หลุยส์ โบนาปาร์ตเสวยราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แห่งฮอลแลนด์ ต่อมาในปีค.ศ. 1810 ได้ถูกผนวกเข้ากับจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 ในปีค.ศ. 1813 เนเธอร์แลนด์ก็ได้รับเอกราชอีกครั้งหนึ่ง โดยเจ้าชายวิลเลิม เฟรเดอริกโอรสในเจ้าชายวิลเลิมที่ 5 แห่งออเรนจ์ ขึ้นครองราชสมบัติ
1162067
288869
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162067
เหตุระเบิดในปูลีอลัม พ.ศ. 2564
เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564 เกิดเหตุระเบิดติดรถในปูลีอลัม, จังหวัดเลาการ์, ประเทศอัฟกานิสถาน โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 30 คน ไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงว่าเป็นผู้โจมตี และยังไม่ทราบผู้ก่อเหตุ ภูมิหลัง. สมาชิกกลุ่มตอลิบานได้มีแนวคิดแบบญิฮาดิสต์เป็นส่วนใหญ่ โดยกลุ่มนี้ได้ก่อเหตุโจมตีร้ายแรงหลายร้อยครั้งระหว่างช่วงการก่อความไม่สงบในประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2544 รวมถึงเหตุระเบิดติดรถในปูลีอลัม ซึ่งเป็นเมืองในจังหวัดเลาการ์ ทางตะวันออกของประเทศอัฟกานิสถาน จากเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิต 17 คน ความรุนแรงในประเทศอัฟกานิสถานทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2564 เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐ โจ ไบเดิน ประกาศว่าสหรัฐจะถอนกองกำลังติดอาวุธภายในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2564 หลังจากประจำการภายในประเทศในแถบเอเชียใต้เป็นระยะเวลา 20 ปี ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีสหรัฐ ดอนัลด์ ทรัมป์ ได้ตกลงกับกลุ่มตอลิบานว่าจะถอนกองกำลังภายในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เหตุระเบิด. เมื่อเวลาประมาณ 19.00 นาฬิกา ของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564 ได้เกิดเหตุคาร์บอมบ์ใกล้เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งในปูลีอลัม มีผู้เสียชีวิต 30 คน และผู้บาดเจ็บกว่า 90 คน พร้อมอาคารได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เหยื่อเป็นทั้งนักเรียนมัธยมตอนปลายและสมาชิกกองหนุนฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลโดยเป็นผู้พักอาศัยอยู่ที่แห่งนี้
1162069
394153
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162069
วิลเลิมที่ 5 เจ้าชายแห่งออเรนจ์
เจ้าชายวิลเลิมที่ 5 (Willem Batavus; 8 มีนาคม ค.ศ. 1748 - 9 เมษายน ค.ศ. 1806) เจ้าชายแห่งออเรนจ์ และผู้ดำรงตำแหน่งสตัดเฮาเดอร์คนสุดท้ายของสาธารณรัฐดัตช์ ซึ่งได้เสด็จลี้ภัยยังกรุงลอนดอนในปีค.ศ. 1795 นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าผู้ปกครองแห่งราชรัฐออเรนจ์-นัสเซาจนสิ้นพระชนม์ โดยมีพระโอรสวิลเลิมเป็นรัชทายาท
1162085
361321
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162085
ราชรัฐออเรนจ์-นัสเซา
ราชรัฐออเรนจ์-นัสเซา หรือ ราชรัฐนัสเซา-ออเรนจ์ (หรือ "Nassau-Oranien") เป็นราชรัฐซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเครือราชรัฐนีเดอร์ไรน์-เว็สท์ฟาเลินของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งปกครองโดยราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซาในระหว่างปีค.ศ. 1702-1815 ซึ่งมีอาณาเขตอยู่ในประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน ราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซายังคงดำรงอยู่ในปัจจุบันในฐานะราชวงศ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีรากฐานลึกซึ้งทั้งในประวัติศาสตร์ของเนเธอร์แลนด์และเยอรมนี อิทธิพลของราชวงศ์นี้แผ่ขยายตั้งแต่การประกาศเอกราชของสาธารณรัฐเนเธอร์แลนด์จนถึงระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในปัจจุบัน
1162117
184218
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162117
ฟูจิวาระ โนะ ซาเนโยริ
ฟูจิวาระ โนะ ซาเนโยริ (藤原 実頼, 1443 - 24 มิถุนายน 1513) บางทีรู้จักในฐานะ โอโนมิยะโดโนะ เป็นรัฐบุรุษชาวญี่ปุ่น ข้าราชสำนัก และขุนนางระหว่างยุคเฮอัง การงาน. เขาเป็นเสนาบดีระหว่างรัชสมัยของ จักรพรรดิเรเซ และ จักรพรรดิเอ็งยู ประวัติ. สมาชิกของ ตระกูลฟูจิวาระ ผู้นี้เป็นบุตรชายของ ฟูจิวาระ โนะ ทาดาฮิระ ซาเนโยริเป็นบุตรชายคนโต เขามีน้องชายสองคน: โมโรซูเกะ โมโรตาดะ บันทึก. <templatestyles src="รายการอ้างอิง/styles.css" />
1162121
11976254
https://th.wikipedia.org/wiki?curid=1162121
วิลเลิมที่ 4 เจ้าชายแห่งออเรนจ์
เจ้าชายวิลเลิมที่ 4 (Willem Karel Hendrik Friso; 1 กันยายน ค.ศ. 1711 - 22 ตุลาคม ค.ศ. 1751) เจ้าชายแห่งออเรนจ์ ตั้งแต่ประสูติและเป็นผู้ครองตำแหน่งสตัดเฮาเดอร์ที่สืบตระกูลเป็นพระองค์แรกแห่งสาธารณรัฐดัตช์ตั้งแต่ค.ศ. 1747 จนสิ้นพระชนม์เมื่อค.ศ. 1751 นอกจากนี้ยังทรงเป็นผู้ปกครองแห่งราชรัฐออเรนจ์-นัสเซาในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย
End of preview. Expand in Data Studio
README.md exists but content is empty.
Downloads last month
22