Dataset Viewer
Auto-converted to Parquet
id
stringlengths
1
5
revid
stringclasses
244 values
url
stringlengths
38
42
title
stringlengths
4
94
text
stringlengths
140
532k
16048
4717
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16048
สมุทรโฆสชาดก
พระศาสดาประทับอาศัยเมืองสาวัตถีอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ทรงปรารถพระนางยโสธราเทวี ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ในวันหนึ่ง พวกภิกษุนั่งสนทนาธรรมกันในโรงธรรมว่า พระศาสดาเพื่อจะได้พระนางยโสธราแล้ว ถึงกับสละรัชสมบัติของพระองค์ เสด็จไปยังพระนครอื่นแสดงศิลปะ ๖๐ อย่างที่หาผู้เสมอมิได้จนได้พระนางมา ทีนั้นพระศาสดาได้สดับถ้อยคำของพวกภิกษุ ตรัสว่ามิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ครั้งก่อนเพื่อให้ได้นางยโสธรามา ก็ละรัชสมบัติพร้อมทั้งบิดามารดาไปยังนครอื่นเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า ในอดีตในแคว้ากาสีได้มีนครชื่อว่าพรหมบุรี ในเมืองนั้นมีพระราชานามว่าวินททัตครองราชย์โดยธรรม มีอัครมเหสีพระนามว่าเทวธิดา คราวนั้นพระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระเทวี ในขณะประสูตรมหาสมุทรได้กระฉอกกระฉ่อน เพราะฉะนั้นจึงตั้งพระนามว่าสมุทรโฆษ พระสิริรูปสมบัติของพระองค์ได้แผ่ไปตลอดชมพูทวีป ในสมัยนั้นยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อรัมมบุรี มีพระเจ้าสีหนรคุตปกครอง มีพระมเหสีพระนามว่ากนกวดี พระนางมีพระธิดาพระนามว่าวินทุมดี มีสิริโฉมงดงามยิ่งนัก พระธิดาได้ฟังถึงรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ก็มีจิตปฏิพัทธ์ติดใจ ไปนมัสการเทวสถานเป็นประจำ กระทำประทักษิณบูชาแล้วอธิษฐานขอให้บันดาลให้ได้พบพระองค์ แล้วจะกระทำการบูชาถวาย คราวนั้นพราหมณ์ ๔ คน ออกเดินทางจากเมืองรัมมบุรีไปยังคามนิคมเมืองอื่นๆ ก็ลุถึงเมืองพรหมบุรี พวกพราหมณ์ได้เห็นพระกุมารก็ได้ถวายพระพร พอพระองค์ได้ประทับแล้วจึงตรัสถามพวกพราหมณ์ถึงข่าวคราวที่น่าสนใจในเมืองนั้น พวกพราหณ์ได้ทูลเรื่องราวถวายจนถึงเรื่องของพระราชธิดาที่มีสิริโฉม รุ่งขึ้นเข้าเฝ้าพระราชบิดาพระราชมารดาทูลขอลาไปยังเมืองรัมมบุรี โดยทูลถึงเรื่องราวของพระราชธิดาที่สิริโฉม จึงใคร่จะได้เห็นยิ่งนัก ฝ่ายพระบิดามารดาพอฟังคำพระโพธิสัตว์ตรัสห้าม แต่จะส่งทูตไปขอ พระโพธิสัตว์ยังทูลขอและลาพระราชบิดามารดา ก็พระองค์ยังเป็นผู้ฉลาดในการดีดพิณ จึงนำพิณออกจากนครไป คืนเดียวก็เดินทางได้ ๗ โยชน์ พอสว่างก็ถึงเมืองรัมมบุรี รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งพระธิดาวินทุมดีก็เสด็จไปยังเทวสถาน ประทับนั่งอยู่ในสำนักพระบิดา ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ประดับพระองค์พร้อมสรรพเสด็จไปยังเทวสถานเหมือนกัน พระโพธิสัตว์จึงได้ยืนข้างพระพักตร์พระราชา จึงทรงดีดพิณได้อย่างไพเราะจับใจ ทีนั้นพระเจ้าสีหนรคุตสดับเสียงพิณ แม้พระธิดาวินทุมดีพระเทวีก็ทอดพระเนตรเช่นกัน พระราชาเลื่อมใสพระโพธิสัตว์ทรงพอพระทัยมาก อภิเสก ณ เทวสถานนั้นนั่นเอง จากนั้นได้จัดเตรียมบรรณาการมากมายส่งทูตไปพรหมบุรี พระเจ้าวินททัตได้สดับเรื่องแล้วก็พอพระทับ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยสุขอย่างยิ่งดังทิพสุข หนึ่งปีผ่านไปพระโพธิสัตว์ประสงค์จะประพาสอุทยานจึงเสด็จไปกับพระเทวี คราวนั้นยังมีวิทยาธรตนหนึ่งเหาะเที่ยวเล่นกับภรรยาตนที่เขาไกรลาส เก็บดอกไม้มาประดับตนกับภรรยา คราวนั้นเองยังมีวิทยาธรอีกตนหนึ่งที่เขาสุทัศน์พร้อมกับภรรยาเที่ยวเก็บดอกมณฑารพต่างๆ ประดับตน ตนเองก็ถือพระขรรค์เหาะไป พอเห็นวิทยาธรที่อยู่เขาไกรลาสเหาะไปอย่างนั้นก็ร้องถามไปว่า เราคือมรณาปัต ท่านไม่รู้จักเราหรือ ? ฝ่ายวิทยาธรที่อยู่เขาไกรลาสก็ร้องท้าทาย ทีนั้นทั้งคู่ต่างสู้รบกันในอากาศ วิทยาธรมรณาภิมุขที่อยู่เขาไกรลาสเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มรณาปัตได้ชัยชนะจึงจับเอาภรรยาของเขาไปด้วย ทั้งตัวของมรณาภิมุขเป็นรูพรุนด้วยพระขรรค์เหมือนอาบด้วยน้ำครั่ง จึงตกลงท่ามกลางอุทยานของพระโพธิสัตว์พร้อมทั้งพระขรรค์ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ประพาสอุทยานแล้วก็ประทับอยู่ที่ปราสาทกลางอุทยาน แล้วชวนบุตรปุโรหิตและอำมาตย์ไปเล่นในป่า ก็ได้พบวิทยาธรแต่ไกล จึงให้อุ้มเขาไปปราสามเรียกหมอมารักษา พอหายแล้ววิทยาธรจึงได้ถวายพระขรรค์ พร้อมทูลว่าพระขรรค์มีอานุภาพมาก ถือพระขรรค์นี้แล้วจะเหาะได้เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วลาไป ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์จึงเรียกพระเทวีมาชวนไปเที่ยวที่ป่าหิมพานต์จากนั้นได้เผลอหลับไป ทีนั้นมีวิทยาธรตนหนึ่งเหาะมา เห็นว่านอนหลับจึงค่อยขโมยพระขรรค์หนีไป พอตื่นบรรทมไม่เห็นพระขรรค์ก็เที่ยวหาแต่ไม่พบ พระโพธิสัตว์คิดหาวิธีกลับ ตรัสว่าต้องข้ามด้วยเรือ มองหาเรือก็ไม่พบเห็นขอนไม้งิ้ว จึงจับโคน พระเทวีจับปลาย ทั้งสองพระองค์ลอยไปถึงกลางมหาสมุทร คลื่นลมแรกกระแทกขอนไม้แตกออกเป็นสองท่อน สองกษัตริย์พรัดพรากกันไป พระเทวีได้แพจึงถึงฝั่งคร่ำครวญจนสลบไป พอฟื้นมาก็เที่ยวหาร้องไห้คร่ำครวญไป พระนางตากผ้าแห้งแล้วจึงห่อเครื่องประดับเดินไปตามรอยช้างลุถึงเมืองทัททรัฐ จึงเอาเขม่าไฟทาพระองค์เข้าเมือง คราวนั้นมีหญิงชราคนหนึ่งพบพระนางจึงไต่ถามแล้วชักชวนให้มาอยู่ที่บ้านตน รุ่งขึ้นพระนางถอดธำมรงค์สีแดงให้หญิงชราไปขายแก่เศรษฐี พอเศรษฐีเห็นเข้าก็บอกว่าสิ่งนี้มีค่ามากยิ่งนัก นางบอกว่าทั้งเมืองก็ไม่พอ แต่ขอแค่ทองเต็มห้าเกวียนแล้วนำกลับมาให้พระนาง พระนางจึงซื้อทาสขายหญิง ไม้ สร้างปราสาท จากนั้นสร้างศาลาแล้วเขียนภาพตั้งแต่เทวสถาน เรื่อยมาจนถึงภาพขอนไม้งิ้วแตกเป็นสองท่อน ให้เลี้ยงสมณพราหมณ์มากมาย แล้วคอยบอกพวกนางสาวใช้ ให้สังเกตดูและบอกกิริยาของคนเหล่านั้นให้ทราบ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ถูกคลื่นซัดไปถึงกลางมหาสมุทร มีคำถามว่าทำไมพระโพธิสัตว์จึงเสวยทุกข์ขนาดนี้ ? เพราะครั้งก่อนพระองค์เป็นคนเมืองพาราณสี ฤดูร้อนชวนภรรษาไปอาบน้ำ คราวนั้นมีสามเณรรูปหนึ่งเล่นน้ำอยู พายเรือเล่นอยู่ สองสามีภรรยาช่วยกันตีฟองน้ำเกิดเป็นคลื่นทำให้เรือล่ม ทำให้สามเณรจมน้ำ กลัวร้องไห้ แต่ได้ช่วยขึ้นมา ด้วยวิบากนั้นใน ๕๐๐ ชาติจึงเกิดมาเสวยทุกข์ในทะเล พระโพธิสัตว์ถูกน้ำพัดไปอยู่อย่างนี้ คราวนั้นมีนางมณีเมขลา ไปเทวสมาคมตลอด ๗ วัน วันที่ ๗ จึงได้มาตรวจดูที่ที่ตนดูแล ได้เห็นพระมหาสัตว์ลอยอยู่ จึงไปสำนักของท้าวสักกะทูลให้ทราบ ท้าวสักกะสดับแล้วก็ตำหนินางมณีเมขลา จึงได้ไปช่วยพระโพธิสัตว์ขึ้นมาไว้บนฝั่ง นางมณีเมขลาทูลอีกว่าวิทยาธรมาขโมยพระขรรค์ของพระโพธิสัตว์ไป ท้าวสักกะจึงหยิบวชิราวุธลงจากเทวโลกขว้างให้หมุนอยู่บนกระหม่อมของวิทยาธร วิทยาธรกลัวสั้นสะท้านจึงนำพระขรรค์ไปคืนพระโพธิสัตว์ หลังจากรับพระขรรค์แล้วพระโพธิสัตว์เหาะไปที่ฝั่งมหาสมุทรถึงเมืองมัททรัฐ คิดว่าเราอดข้าวมาหลายวันควรจะพักที่เมืองนี้ก่อน จึงลงมาคิดจะถามเรื่องราวของพระเทวี แปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้าเมือง ชาวเมืองเห็นเข้าก็บอกถึงศาลาของพระนาง จึงเข้าไปกินอาหารแล้วดูรูปภาพ พอเห็นก็ร้องไห้แล้วหัวเราะอีก ทีนั้นพวกสาวใช้จึงไปบอกพระเทวี พระนางรีบเสด็จมาเห็นพระโพธิสัตว์ก็ดีพระทัยอย่างยิ่ง จากนั้น ๒-๓ วัน ก็ออกไปถึงเมืองรัมมทบุรี พระราชาก็ทรงจัดตกแต่งพระนครต้อนรับการกลับมา อภิเสกในรัชสมบัติ ส่วนพระองค์ก็เข้าป่าหิมพานต์ผนวชเป็นฤาษีทำฌานสมาบัติได้ไปเกิดในพรหมโลก ฝ่ายพระเจ้าวินททัตสดับการมาของพระโพธิสัตว์แล้วมอบรัชสมบัติให้ พระองค์เองออกไปป่าหิมพานต์ผนวชเป็นฤาษีเจริญฌานสมาบัติแล้วเกิดในพรหมโลก ฝ่ายพระโพธิสัตว์ให้สร้างศาลาโรงทานที่เมืองพรหมบุรรีบริจาคทาน แม้ที่เมืองรัมมบุรีก็ให้สร้างโรงทานบริจาค พระโพธิสัตว์ครองราชย์โดยธรรม ชาวเมืองก็ตั้งมั่นในศีล ๕ ในคราวหมดอายุขัย ก็ได้บำเพ็ญทางสวรรค์ไว้บริบูรณ์แล้ว ในตอนจบเทศนาทรงพระกาศอริยสัจ ๔ เมื่อจบอริยสัจ ๔ จึงทรงประชุมชาดกว่า วิทยาธรผู้ขโมยพระขรรค์คือเทวทัตในบัดนี้ บุตรของปุโรหิตคืออานนท์พุทธอนุชา บุตรของอำมาตย์คือราหุลโอรส พระเจ้าสีหนรคุตคือพระสารีบุตรผู้มีปัญญา พระนางกนกวดีคือพระนางมหาปชาบดีโคตมี กินรทุมราชคือพระโมคคัลลานาะผู้มีฤทธิ์ ท้าวสหัสเนตรจอมเทพคืออนุรุทธจักษุทิพย์ นางมณีเมขลาคืออุบลวรรณา นางวินทุมดีเทวีคือยโสธราเทวี ส่วนสมุทรโฆษคือเราสัมมาสัมพุทธเจ้า
16049
4717
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16049
สุธนชาดก
พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ได้พบสตรีสาวสวยนางหนึ่งเกิดปฏิพัทธ์ พอกลับจากบิณฑบาต ก็วางบาตรไว้นั่งก้มหน้าเสียใจ คราวนั้นพระสหายของท่านเห็นจึงถามว่าไม่สบายอะไร ท่านจึงเล่าเรื่องให้ทราบ พวกภิกษุจึงพาท่านไปเฝ้าพระศาสดา พอพระองค์ตรัสว่า ทำไมจึงได้ทำอย่างนี้ ทั้งที่เธอก็บวชด้วยศรัทธา ละสมบัติมาบวชในพระศาสดา ยังหวนคืนถึงเรื่องสตรีได้ และตรัสถึงเรื่องสตรีว่าเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ ดังเรื่องอดีตที่แม้บัณฑิตในครั้งก่อน เพราะสตรีจึงได้ละทิ้งบิดามารดารัชสมบัติ แม้ชีวิตตนเองก็มิได้คำนึง จนประสบทุกข์มากมาย ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า พระเจ้าอาทิจวงศ์ครองราชย์อยู่ในเมืองอุตตรปัญจาลนคร มีพระมเหสีพระนามว่าจันทาเทวี สมัยนั้นพระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของนาง พระนางก็ประสูตรพระโอรสมีพระฉวีดังพระปติมาทอง ก็ในวันที่ประสูตรทั้งสี่ด้านของปราสาทได้มีขุมทรัพย์เกิดขึ้นทั้ง ๔ ทิศ เพราะเห็นอัศจรรย์นั้นพระราชาจึงขนานพระนามว่า สุธนกุมาร ต่อมาได้เรียนศิลปธนู มีพละกำลังมาก ก็ในทิศตะวันออกของเมืองอุตตรปัญจาละ มีสระอยู่สระหนึ่ง ณ ที่นั้นเป็นที่อยู่ของพญานาคชื่อท้าวชมพูจิต เพราะฉะนั้นนครจึงมีความอุดมสมบูรณ์มาก ในครั้งนั้นทางทิศตะวันออกของเมืองอุตตรปัญจาละยังมีอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า มหาปัญจาลนครได้เกิดทุพภิกขภัยแสนสาหัส ชาวเมืองต่างขัดสนจนยาก ต่างอพยพออกไปทีละ ๑๐๐ ทีละ ๕๐๐ ทีละ ๑,๐๐๐ หนีไปเมืองอุตตรปัญจาละมากขึ้น เมือ่มหาปัญจาละจึงมีผู้คนร่อยหรอลงทุกที ในพระนครมีพระราชาพระนามว่านันทะครองราชย์อยู่ พระองค์ได้ทรงทราบข่าวความเดือนร้อนผู้คนอพยพไป จึงถามพวอำมาตย์จนได้ความแล้ว ทราบว่าเมืองอุตตรปัญจาละอุดมสมบูรณ์เพราะพญานาคชมพูจิต จึงมีความประสงค์จะฆ่าพญานาคเสีย จึงคิดหาอุบาย พวกอำมาตย์ทูลว่าจะฆ่าด้วยคนธรรมดาไม่ได้ ต้องใช้ผู้มีเวทมนต์ จึงรับสั่งให้ตีกลองป่าวประกาศให้ชุมนุมพราหมณ์ผู้ทรงเวทย์ คัดพราหมณ์จาก ๑,๐๐๐ ให้เหลือ ๕๐๐ และลดลงมาจนได้พราหมณ์ผู้ทรงเวทย์คนเดียว ทรงสั่งว่าหากฆ่าได้จะยกรัชสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง พราหมณ์เองก็มีวิชาและมีความโลภด้วยจึงรับพระดำรัส พราหมณ์ก็พอใจในความสำเร็จ สะกดมนต์ไว้แล้วนอนหลับไป รุ่งเช้าจึงเข้าป่าหายา ฝ่ายพญานาคออกจากนาคพิภพแปลงเพศเป็นพราหมณ์ยืนอยู่ริมสระน้ำ คราวนั้นยังมีพรานชื่อบุณฑริก (พรานบุญ) บังเอิญผ่านไปถึงเขตนั้น พญานาคจึงถามได้ความว่าเป็นชาวอุตตรปัญจาละ มีความเคารพในตน พญานาคจึงแสดงตนและขอร้องให้ช่วยเหลือ พรานก็เต็มใจช่วย พญานาคพอพ้นจากมนต์ก็สบายขึ้น คิดถึงการช่วยเหลือของพรานจึงนำไปชมนาคพิภพ กาลเวลาผ่านไป วันหนึ่งพราหมณ์เข้าป่าล่าสัตว์จนถึงเขตป่าหิมพานต์ พบอาศรมหลังหนึ่ง พระฤๅษีถามความเป็นมาก็บอกกล่าวเรื่องราว จากนั้นก็ลาท่านเดินทางต่อไป คราวนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงอุโบสถ ธิดาทั้ง ๗ ของพระเจ้าทุมราชแห่งเขาไกรลาสพาบริวาร ๑,๐๐๐ มาลงเล่นน้ำในสระ นายพรานเห็นนางกินรีรูปงามนางหนึ่ง เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนจึงตกตะลึง คิดจะพานางกินรีนั้นมาถวายพระสุธนกุมารหวังจะได้บรรณาการ จึงกลับไปถามพระฤาษีว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ พระดาบสตอบว่าต้องได้บ่วงนาคบาส พรานถามว่าจะได้บ่วงจากที่ใด พระฤาษีตอบว่าอยู่ที่นาคพิภพ พรานพอได้ฟังก็ดีใจ ขอลาไปยังสระน้ำแล้วระลึกถึงพญานาคชมพูจิตขอบ่วงนาคบาส พญานาคไม่อาจทานได้จึงมอบให้ไป นายพรานออกจากที่ซ่อนขว้างบ่วงไป บ่วงมิได้ไปคล้องนางอื่นๆ คล้องแต่มือของนางมโนราห์ธิดาคนโตเท่านั้น นางกินรีทั้งหมดเห็นนายพรานต่างกลัว บินหนีไป พรานคิดว่าจะพาไปถวายพระสุธนกุมาร วันนั้นพระโพธิสัตว์ทรงช้างสมุททกหัตถีที่สง่างามเสด็จออกประพาสอุทยานพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ได้ทอดพระเนตรเห็นมโนห์ราตามมาข้างหลัง พอได้เห็นเท่านั้นได้เกิดความรักขึ้นมาอย่างจับใจ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้อยู่ร่วมกับนางมโนห์ราอัครมเหสีอย่างมีความสุข เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป พราหมณ์ผู้ทรงเวทคนหนึ่งอยากจะรับใช้พระมหากษัตริย์ จึงเข้าไปเสนอตัวรับใช้ กล่าวว่าหากพระราชบิดาองพระองค์ทิวงคตแล้ว ตนเองขอเป็นปุโรหิตคนต่อไป พระมหากษัตริย์ก็รับคำ ทีนั้นปุโรหิตที่เป็นบิดาของเขา ได้ฟังเรื่องจากคนอื่น จึงผูกใจเจ็บผูกเวรในพระโพธิสัตว์ ได้ยุยงให้แตกกันกับพระบิดาว่า พระสุธนกุมารจะลอบปลงพระชนม์ยึดรัชสมบัติ พระราชามิได้ทรงเชื่อเลย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเมื่อเมืองรอบนอกเกิดกำเริบขึ้น พระราชาเสด็จไปปราบปรามด้วยพระองค์เอง แต่ไม่สามารถปราบได้ เมื่อพบปุโรหิตจึงตรัสถามวิธีที่จะจัดการให้สงบ ปุโรหิตได้ทีทูลว่าให้ส่งพระโอรสไป พระราชาทัดทานว่าพระโอรสไม่รู้เรื่องการรบ แต่ไม่อาจทานได้จึงยอมตามคำปุโรหิตส่งพระโอรสไป วันนั้นเองพระราชาอาทิจวงศ์ได้สุบินนิมิตเห็นว่า ลำไส้ของพระองค์ออกมาจากพระอุทร พันรอบชมพูทวีปสามรอบแล้วกลับเข้าไปดังเดิม ทรงสดุ้งตื่นบรรทม รับสั่งให้หาปุโรหิตแต่เช้าเล่าสุบินนิมิตให้ฟัง ปุโรหิตได้ทีคิดว่าเป็นไปตามใจมุ่งหวังของตนแล้ว วันนี้จะได้จัดการกับพระกุมารเสีย จึงทูลด้วยความกระหยิ่มใจว่า สุบินนิมิตนั้นไม่ดี จะเป็นเหตุให้พระเทวี รัชสมบัติ พระโอรส หรือพระองค์เองพินาศ พระราชาได้สดับก็กพระทับตรัสถามว่าจะทำอย่างไรดี พราหมณ์ทูลว่าควรบูชายัญด้วยสิ่งมีชีวิตทุกอย่างเคราะห์จึงจะหาย พระราชาพอได้สดับก็ให้รับสั่งให้จัดหาให้คบทุกอย่างเพื่อบูชายัญ ฝ่ายปุโรหิตว่ายังมีอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไปคือกินระ พระราชาตรัสว่ากินระหาได้ยาก ปุโรหิตทูลว่ามีอยู่ก็คือพระสุณิสาของพระองค์นั่นเอง พระราชาก็ทรงทัดทานด้วยเหตุผลว่าเป็นสิ่งที่รักของพระกุมาร พระราชาไม่สามารถทัดทานได้จึงทรงนิ่งอยู่ ปุโรหิตจึงให้ทหารไปจับนาง นางจึงให้พระเทวีช่วยบอกที่เก็บปีกให้แล้วสวมปีกบินไปยังป่าหิมพานต์ ไปหาพระกัสสปะฤาษี แจ้งเรื่องราวต่างๆ ให้ทราบ และฝากบอกพระสุธนกุมารด้วยว่า หากเสด็จตามหาให้มอบผ้ากัมพลและธำมรงค์เพชรให้เสด็จกลับเสีย เพราะว่าหนทางที่จะไปตามหานางนั้นมีอันตรายมากมาย แล้วมุ่งหน้าไปทางใต้ เดินทางถึงเขาไกรลาสเข้าเฝ้าพระบิดา คราวนั้นพระเจ้าทุมราชได้สดับการมาของธิดาดำริว่า ธิดาไปอยู่กับมนุษย์นาน จะกลับมาอยู่กับกินนรอีกไม่สมควร ควรสร้างปราสาทให้นางอยู่ต่างหาก คราวนั้นพระโพธิสัตว์ปราบปัจจันตประเทศราบคาบแล้ว พระมารดาทอดพระเนตรเห็นพระโอรสเสด็จมาต้อนรับพระโอรสสวมกอดกรรแสงร้องไห้ พอพระกุมารถามก็ได้บอกเรื่องราวให้ฟัง หลังจากได้ฟังพระมหาสัตว์ปานประหนึ่งใจจะขาด จะออกตามหานางให้ได้ แม้พระมารดาจะห้ามปรามอย่างไรก็มิอาจทัดทาน พระโพธิสัตว์ออกจากพระนครไปกับพรานป่า ได้เดินทางไปถึงที่อยู่ของกัสสปฤาษีจึงเข้าไปถาม พระฤาษีทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ และมอบผ้ากัมพลแดงธำมรงค์ให้ พระมหาสัตว์พอได้เห็นเท่านั้นก็โศกสลดพระทัยประหนึ่งว่าได้พบหน้า มโนห์ราอีกครั้ง พระดาบสทูลให้เสด็จกลับ แต่พระกุมารตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยวที่จะติดตามนางต่อไป พระดาบสเห็นถึงความรักมีพลานุภาพจึงบอกตามที่นางมโนห์ราบอกไว้ให้ทราบโดยละเอียด พระโพธิสัตว์จึงลาพระฤาษีเดินทาง ได้พบกับสิ่งต่างๆ ตามที่นางมโนห์ราบอกไว้ นางพอทราบว่าพระสวามีมาถึงแล้ว นางจึงเข้าเฝ้าพระบิดา พระบิดาจึงซักถามเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วถามว่าสวามีของนางเป็นเช่นไร นางมโนห์ราก็ทูลตามความจริงว่าสวามีเป็นบุรุษผู้มีบุญญาธิการ พระบิดาจึงว่าทำไมไม่ติดตามนางมาเล่า พระธิดาทูลว่าพระสวามีมาถึงแล้ว พระเจ้าทุมราชแปลกพระทัย เพราะหนทางมานั้นแสนยากยิ่งนัก เมื่อมาแล้วให้รีบพามา สาวใช้ไปเชิญพระกุมารเสด็จมา พอพระสุธนกุมารเสด็จมาถึง เหล่าวิทยาธรกินนรต่างจ้องมองอย่างสนใจ พระโพธิสัตว์ทูลว่าใช้เวลาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงมาถึง พระเจ้าทุมราชตรัสถามถึงความสามารถอื่น โดยเฉพาะวิชายิงธนู รับสั่งให้ทดลองด้วยการให้ยิ่งให้ทะลุต้นตาล ๗ ต้น กระดานไม้มะเดื่อ ๗ แผ่นซึ่งกว้างยาวถึง ๓ ศอก แผ่นทองแดง ๗ แผ่น เกวียนบรรทุกทราบ ๗ เล่มวางต่อกัน พระสุธนกุมารก็ยิ่งได้ทะลุ ตรัสทดสอบอีกว่านี้เป็นแผ่นหินที่คนตั้งพันจึงจะยกได้ให้พระโพธิสัตว์ยก แล้วให้พระธิดาทั้ง ๗ แต่งพระองค์เหมือนกันให้นั่งตามลำดับ พระมหาสัตว์ตรวจดูแต่จำนางไม่ได้จึงคิดหาวิธี จึงอธิษฐานว่าหากมิได้ทำผิดในภรรยาผู้อื่นในที่ไหน ขอให้เทวดาช่วยบอกให้ทราบด้วย ร้อนถึงท้าวสักกะต้องลงมาบอกให้ทราบว่า หากกินรีนางใดเป็นมโนห์รา จะแปลงเป็นผึ้งบินรอบนางนั้น พระโพธิสัตว์จึงทราบว่านางคือมโนห์รา พระเจ้าทุมราชพอพระทัยจึงจัดพิธีอภิเสกที่พระลานหลวงมอบรัชสมบัติให้ พระโพธิสัตว์จึงได้อยู่ร่วมกับมโนห์รา ต่อมาได้คิดถึงมารดาบิดา รุ่งเช้าจึงเข้าเฝ้า พระบิดามารดาแจ้งเรื่องทั้งหมด พระเจ้าทุมราชก็อำนวยตามได้พากันมายังมนุษย์โลกอยู่ได้ ๗ วันก็ลากลับ พระเจ้าอาทิจวงศ์ได้อภิเสกในรัชสมบัติ ส่วนพระองค์ออกผนวชเจริญฌานสมาบัติ ไปเกิดในพรหมโลกแล้ว พระโพธิสัตว์ทำบุญถวายทาน เลี้ยงมารดาบิดา สิ้นพระชนม์ไปเกิดในดุสิตภพแล้ว มหาชนตั้งอยู่ในพระโอวาท จนสิ้นชีพตักษัยไปบังเกิดในสวรรค์ พระศาสดาครั้นนำเทศนานี้มาแล้วประชุมชาดก ประกาศอริยสัจแล้ว พระที่กระสั้นนั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล พระศาสดาเมื่อจะประกาศความนั้นจึงตรัสว่า พระเจ้าอาทิจวงศ์ครั้งนั้นคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางจันทาเทวีคือพระนางมหามายาเทวี ทุมราชาคือพระสารีบุตร ดาบสกัสสปฤาษีคือพระมหากัสสปะ นาคราชคือพระมหาโมคคัฟลลานะ พรานบุณฑริกคือพระอานนท์ ท้าวสักกะคือพระอนุรุทธ ปุโรหิตคือพระเทวทัต มโนห์ราคือราหุลมารดา ที่เหลือคือเหล่าพุทธบริษัท สุธนกุมารคือตถาคตผู้เป็นเลิศประเสริฐในหมู่มนุษย์ ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกอย่างนี้
16080
4431
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16080
คาถาบารมี 30 ทัศ
อิติปาระมิตาติงสา (ขออำนาจแห่งบารมี 30 ทัศ) อิติสัพพัญญูมาคะตา (ขออำนาจแห่งพระสัพพัญญู) อิติโพธิมนุปปัตโต (ขออำนาจแห่งโพธิญาณ) อิติปิโสจะเตนโม (ด้วยอำนาจแห่งคำขอทั้งหมดนี้ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า) หมายเหตุ. หากภาวนาคาถาบทนี้แล้วจะทำให้จิตนิ่งเป็นสมาธิ การเห็นภาพนิมิตรจะชัดเจน
16126
9904
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16126
คำอธิษฐานขออโหสิกรรม
คำอธิษฐานอโหสิกรรม ข้าพเจ้านางสาวพัชรีรัตน์. เสนาพิทักษ์. ชื่อเดิม นางสาววัชรินทร์ เสนาพิทักษ์ ขออโหสิกรรม กรรมใดที่ทำแก่ผู้ใด ในชาติใด ๆ ก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมและนายเวรจงอโหสิกรรม ให้กับนางสาวพัชรีรัตน์ เสนาพิทักษ์ อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อไปเลย แม้แต่กรรมที่ใคร ๆ ทำกับนางสาวพัชรีรัตน์ เสนาทักษ์ก็ตาม นางสาวพัชรีรัตน์ เสนาทักษ์ ขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น และขอยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อไป ด้วยอนิสงส์แห่งอภัยทานนี้ขอให้นางสาวพัชรีรัตน์ เสนาพิทักษ์ ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจน วงสาคณาญาติและผู้มีอุปการคุณของนางสาวพัชรีรัตน์ เสนาพิทักษ์ จงมีความสุข ความเจริญ ปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีและสิ่งที่ชอบด้วยเทอญ
16147
57383
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16147
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖
คำปรารภ. "คำนำ" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระมหากรุณาต่อแม่ก๊ะและข้าพเจ้ามาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่แม่ก๊ะประชวรหนักก่อนถึงวาระสุดท้าย ครั้นแม่ก๊ะสิ้นพระชน์ลงก็พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์การพระศพอย่างสมพระเกียรติ กับทรงสละเวลาเสด็จมาเป็นองค์ประธานในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานโดยลำดับมา ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ทั้งนี้พระราชโอรสธิดาก็ได้เสด็จในการสวดพระอภิธรรมเป็นการส่วนพระองค์อยู่เป็นประจำ ในโอกาสที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดการพระราชทานเพลิงศพแม่ก๊ะในวันเสาร์ที่ ๘ มีนาคม ศกนี้ นั้น ข้าพเจ้าได้ให้จัดพิมพ์หนังสือบทเสภาเรื่อง "พญาราชวังสัน" กับ "สามัคคีเสวก" และหนังสือ "พระราชนิพนธ์โคลงสุภาษิต" ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ของทูลกระหม่อมก๊ะ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับพระราชทานเป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพแม่ก๊ะ ด้วยสำนึกในพระเมตตาของทูลกระหม่อมก๊ะและแม่ก๊ะที่มีต่อลูก เพชรรัตน ราชสุดา วังรื่นฤดี ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ พระประวัติพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖. พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี (15 เมษายน พ.ศ. 2448 — 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528) เป็นพระวรราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า เครือแก้ว อภัยวงศ์ ธิดาของพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) กับเล็ก บุนนาค ต่อมาได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า สุวัทนา ได้เข้ารับราชการฝ่ายใน ในตำแหน่งเจ้าจอมสุวัทนา และได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ตามลำดับ พระองค์ได้ให้ประสูติการแก่พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในรัชกาลคือ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี แต่หลังจากประสูติพระเจ้าลูกเธอได้เพียงหนึ่งวัน พระราชสวามีได้สวรรคตลง พระองค์และพระธิดาจึงได้เสด็จไปประทับยังสหราชอาณาจักรกว่า 20 ปี ภายหลังจึงได้เสด็จนิวัติประเทศไทยโดยพำนักในวังรื่นฤดี เป็นการถาวรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528 เนื่องจากอาการแทรกซ้อนเกี่ยวกับพระปับผาสะอักเสบ ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริพระชนมายุได้ 80 พรรษา ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระโกศทองน้อย ประดิษฐานพระศพภายใต้ฉัตรตาดทอง 5 ชั้น ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตร เมื่อถึงงานพระเมรุ ได้อันเชิญพระโกศโดยรถวอพระวิมานไปยังพระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2529 และพระราชทานเพลิงพระศพในวันเดียวกันนั้น และมีการเก็บพระอัฐิในวันที่ 9 มีนาคม และวันฉลองพระอัฐิเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งทั้งสองงานดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ปฏิบัติพระกรณียกิจแทนพระองค์ ส่วนพระอัฐิของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 ได้ประดิษฐาน ณ หอพระนากในพระบรมมหาราชวังและส่วนหนึ่งเชิญไปประดิษฐานยังวิมานพระอัฐิ วังรื่นฤดี ส่วนพระอังคารของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีได้ประดิษฐาน ณ ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม เคียงข้างพระราชสวามี ตามพระราชพินัยกรรมที่ทรงลิขิตไว้ว่า "...ส่วนเรื่องพระอัษฐินั้น, ใครจะคิดอย่างไรก็ตาม, แต่เราเห็นโดยจริงใจว่า สุวัทนาสมควรที่จะได้ตั้งคู่กับเรา" ส่วนฉัตรสุมพระอัฐินั้นเชิญไปถวายพระอภัยวงศ์ วัดแก้วพิจิตร จ.ปราจีนบุรี อันเป็นวสัดประจำสกุลอภัยวงศ์
16152
6791
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16152
คำทำนายฝัน
คำทำนายฝัน รวบรวมและเรียบเรียงโดย พระอรรถวสิษฐสุธี (ช. อิศรภักดี) ได้เก็บเห็ด ห้าวันที่แล้ว วันพุธ เห็นว่าปี2560 บ้านเมืองจะเจริญผู้คนมีความสุข ตัวอย่าง. ๑. ฝันในประถมยาม ฝันดีและร้าย ๘ เดือนจะรู้เหตุ ๒. ฝันในมัชฌิมยาม ฝันดีและร้าย ๔ เดือนจะรู้เหตุ ๓. ฝันในปัจฉิมยาม ฝันดีและร้าย ๑ เดือนจะรู้เหตุ ๑. ฝันวันอาทิตย์ จะได้แก่ชนทั้งปวง ๒. ฝันวันจันทร์ จะได้แก่ญาติที่สืบสายโลหิต ๓. ฝันวันอังคาร จะได้แก่บิดามารดา ๔. ฝันวันพุธ จะได้แก่บุตรภรรยา ๕. ฝันวันพฤหัสบดี จะได้แก่ครูบาอาจารย์ ๖. ฝันวันศุกร์ จะได้แก่วงศ์วานและสัตว์พาหนะของตน ๗. ฝันวันเสาร์ จะได้แก่ตนเอง คำทำนายฝันนี้ได้แบ่งเป็น ๑๕ หมวด ในหมวดหนึ่งมีหลายลักษณะ เช่น ว่าด้วยสวรรค์, ฟ้า, อากาศ, เมฆ, ลม เป็นต้น เพื่อให้ค้นหาคำทำนายง่าย วิธีค้นคำทำนายนั้น คือ เมื่อเราฝันว่าอย่างไร เช่น ฝันว่า "ได้ขึ้นสววรค์" เป็นต้น ก็ตรวจดูสารบาญตั้งแต่หมวด ๑ ถึงหมวด ๑๕ ถ้าลักษณะความฝันตรงกับหมวดเท่าใด เช่น ฝันว่า "ได้ขึ้นสวรรค์" ตรงกับหมวด ๑ เป็นต้น เช่นนี้ เราก็พลิกดูหมวด ๑ นั้นต่อไป แล้วดูฝอยในหมวด ๑ นั้น ฝอยละเอียดตรงกับความฝันของเราบทที่เท่าใด เช่น ฝันว่า "ขึ้นสวรรค์" ดังกล่าวมาแล้วอยู่ในหมวดที่ ๑ ตรงกับบทที่ ๘ อยู่หน้าเท่าใด แล้วก็พลิกหาหน้านั้น บทที่ ๘ แล้วอ่านคำทำนายต่อไป ก็จะได้คำทำนายตรงกับความฝัน คือในบทที่ ๘ นั่นเอง ๑. ฝันเห็น "บิดามารดา" ตรวจดูสารบาญจะพบในหมวดที่ ๕ แล้วพลิกดูในหมวดที่ ๕ บทที่ ๓๙๔ ที่ฝันว่า เห็น "บิดามารดา" ตรงกับความฝัน ดูต่อไปว่าอยู่หน้าเท่าใด แล้วก็พลิกดูคำทำนายในบทที่ ๓๙๔ ก็จะได้คำทำนายสมประสงค์ ๒. ฝันว่า "บุกป่าฝ่าหนาม" ตรวจดูในสารบาญจะพบในหมวดที่ ๑๓ แล้วพลิกดูในหมวดที่ ๑๓ ต่อไป จะพบบทที่ ๓๒๑ ฝันว่า "บุกป่าฝ่าหนาม" ตรงกับความฝัน ดูต่อไปว่าบทที่ ๓๒๑ อยู่หน้าเท่าใด แล้วก็พลิกดูหน้านั้น ก็จะได้คำทำนายสมประสงค์ ๓. ฝันว่า "ทัดดอกไม้" ตรวจดูสารบาญจะพบในหมวดที่ ๖ แล้วพลิกดูหมวดที่ ๖ ต่อไป จะพบบทที่ ๑๖๓ ฝันว่า "ทัดดอกไม้" ตรงกับความฝัน ดูต่อไปว่าบทที่ ๑๖๓ อยู่หน้าเท่าใด แล้วก็พลิกดูหน้านั้น ก็จะได้คำทำนายสมประสงค์ รายการละเอียด ข้อที่ ๔๓๕ ฝันว่า ๐๐๘ ฝันว่า ๓๔๔ ฝันว่า ๓๔๖ ฝันว่า ๓๔๕ ฝันว่า ๑๗๐ ฝันว่า ๐๕๑ ฝันว่า ๑๓๕ ฝันว่า
16166
7361
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16166
คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๓/คำพิพากษา
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู) คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๓ <br> ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคำพิพากษา <br> คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๓ <br> — "คำพิพากษา <br>"ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง #เปลี่ยนทาง #เปลี่ยนทาง คำพิพากษา <ns>10</ns> <id>16513</id> <revision> <id>39269</id> <timestamp>2010-10-01T09:03:24Z</timestamp> <contributor> <username>Octahedron80</username> <id>156</id> </contributor> <comment>escape template</comment> <origin>39269</origin> <model>wikitext</model> <format>text/x-wiki</format> ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์<br>ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง <br>วันที่ ๒๖ เดือน กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓ เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน
16167
1481
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16167
พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู) พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ รัฐบาลไทย พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑รัฐบาลไทย ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๑ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑" มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ "การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร" หมายความว่า การดำเนินการเพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข และฟื้นฟูสถานการณ์ใดที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัย อันเกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ทำลาย หรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ ให้กลับสู่สภาวะปกติ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร "ผู้อำนวยการ" หมายความว่า ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร "หน่วยงานของรัฐ" หมายความว่า ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่ไม่รวมถึงศาลและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งผู้อำนวยการแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ "จังหวัด" หมายความรวมถึง กรุงเทพมหานคร "ผู้ว่าราชการจังหวัด" หมายความรวมถึง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มาตรา ๔ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๕ ให้จัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เรียกโดยย่อว่า "กอ.รมน." ขึ้นในสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กอ.รมน. มีฐานะเป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยวิธีการปฏิบัติราชการ และการบริหารงาน การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงาน และอำนาจหน้าที่ของส่วนงาน และอัตรากำลัง ให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เรียกโดยย่อว่า "ผอ.รมน." เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างใน กอ.รมน. และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน. โดยมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการอาจแต่งตั้งผู้ช่วยผู้อำนวยการจากข้าราชการในสังกัด กอ.รมน. หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นได้ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงโครงสร้างและการแบ่งส่วนงานภายในของ กอ.รมน. ให้เสนาธิการทหารบกเป็นเลขาธิการ กอ.รมน. มีหน้าที่รับผิดชอบงานอำนวยการและธุรการของ กอ.รมน. รองผู้อำนวยการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และเลขาธิการ กอ.รมน. มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างใน กอ.รมน. รองจากผู้อำนวยการ และมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่ผู้อำนวยการกำหนด ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจทำนิติกรรม ฟ้องคดี ถูกฟ้องคดี และดำเนินการทั้งปวงเกี่ยวกับคดีอันเกี่ยวเนื่องกับอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ทั้งนี้ โดยกระทำในนามของสำนักนายกรัฐมนตรี ในการปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้รองผู้อำนวยการเป็นผู้ปฏิบัติหรือใช้อำนาจแทนก็ได้ มาตรา ๖ ให้ กอ.รมน. เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง มาตรา ๗ ให้ กอ.รมน. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินแนวโน้มของสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป (๒) อำนวยการในการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในการนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่เสนอแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานและดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามแผนและแนวทางนั้น (๓) อำนวยการ ประสานงาน และเสริมการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานตาม (๒) ในการนี้ คณะรัฐมนตรีจะมอบหมายให้ กอ.รมน. มีอำนาจในการกำกับการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดด้วยก็ได้ (๔) เสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและความสงบเรียบร้อยของสังคม (๕) ดำเนินการอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือตามที่คณะรัฐมนตรี สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย มาตรา ๘ นอกจากการมอบอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแล้ว บรรดาอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจให้ ผอ.รมน.ภาค ผอ.รมน.จังหวัด หรือผู้อำนวยการศูนย์ หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ปฏิบัติแทนก็ได้ มาตรา ๙ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้หน่วยงานของรัฐจัดส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติหน้าที่ใน กอ.รมน. ตามที่ผู้อำนวยการร้องขอ และให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลหรือองค์กรอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ทำนองเดียวกันของหน่วยงานของรัฐนั้น จัดให้หน่วยงานของรัฐที่จัดส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติหน้าที่ยัง กอ.รมน. มีอัตรากำลังแทนตามความจำเป็น แต่ไม่เกินจำนวนอัตรากำลังที่จัดส่งไป มาตรา ๑๐ ให้มีคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรคณะหนึ่ง ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อัยการสูงสุด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นกรรมการ และเลขาธิการ กอ.รมน. เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งข้าราชการใน กอ.รมน. เป็นผู้ช่วยเลขานุการไม่เกินสองคน ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่กำกับ ให้คำปรึกษา และเสนอแนะต่อ กอ.รมน. ในการปฏิบัติงานในอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. รวมตลอดทั้งอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) วางระเบียบเกี่ยวกับการอำนวยการและประสานงานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (๒) วางระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ กอ.รมน. กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด (๓) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการงบประมาณ การเงิน การคลัง การพัสดุ และการจัดการทรัพย์สินของ กอ.รมน. (๔) แต่งตั้งคณะที่ปรึกษา กอ.รมน. โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในภาคส่วนต่าง ๆ อย่างน้อยให้ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิหรือมีประสบการณ์ด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี การรักษาความมั่นคงของรัฐ สื่อมวลชน และมีหน้าที่ในการเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น และให้คำปรึกษาตามที่คณะกรรมการหารือ (๕) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย (๖) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น มาตรา ๑๑ เมื่อมีกรณีจำเป็นในอันที่จะรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่ของกองทัพภาคใด คณะกรรมการ โดยคำเสนอแนะของผู้อำนวยการ จะมีมติให้กองทัพภาคนั้นจัดให้มีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค เรียกโดยย่อว่า "กอ.รมน.ภาค" ก็ได้ ให้ กอ.รมน.ภาค เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อ กอ.รมน. โดยมีแม่ทัพภาคเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค เรียกโดยย่อว่า "ผอ.รมน.ภาค" มีหน้าที่รับผิดชอบและสนับสนุนการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในเขตพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคตามที่ผู้อำนวยการมอบหมาย เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการและลูกจ้างของกองทัพภาค รวมตลอดทั้งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในเขตพื้นที่ให้มาปฏิบัติงานประจำหรือเป็นครั้งคราวใน กอ.รมน.ภาค ได้ตามที่ ผอ.รมน.ภาค เสนอ ผอ.รมน.ภาค เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างที่ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติงานใน กอ.รมน.ภาค และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน.ภาค การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงานและอำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง และการบริหารงานของส่วนงานภายใน กอ.รมน.ภาค ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการกำหนดตามข้อเสนอของ ผอ.รมน. ภาค ให้ กอ.รมน. และกองทัพภาคพิจารณาให้การสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณ และทรัพย์สินในการปฏิบัติงานของ กอ.รมน.ภาค ตามที่ ผอ.รมน.ภาค ร้องขอ และให้นำความในมาตรา ๙ มาใช้บังคับกับ กอ.รมน.ภาค ด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๑๒ เพื่อประโยชน์ในการสร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น ผอ.รมน.ภาค อาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค ขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ประธานกรรมการและกรรมการมีจำนวนไม่เกินห้าสิบคน โดยแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนในพื้นที่ทุกภาคส่วน มีหน้าที่ในการเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น และให้คำปรึกษาตามที่ ผอ.รมน.ภาค ร้องขอ มาตรา ๑๓ เพื่อประโยชน์ในการสนับสนุน ช่วยเหลือ และปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค ตามมาตรา ๑๑ ผอ.รมน.ภาค โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้อำนวยการ จะตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด เรียกโดยย่อว่า "กอ.รมน.จังหวัด" ขึ้นในจังหวัดที่อยู่ในเขตของกองทัพภาค เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อ กอ.รมน.ภาค ก็ได้ โดยมีหน้าที่รับผิดชอบและสนับสนุนการรักษาความมั่นคงภายในเขตพื้นที่รับผิดชอบของจังหวัดนั้นตามที่ผู้อำนวยการมอบหมาย และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเรียก โดยย่อว่า "ผอ.รมน.จังหวัด" เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้าง และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน.จังหวัด การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงานและอำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง และการบริหารงานของส่วนงานภายใน กอ.รมน.จังหวัด ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการกำหนด ให้ กอ.รมน. และจังหวัดพิจารณาให้การสนับสนุนด้านบุคลากร งบประมาณและทรัพย์สินในการปฏิบัติงานของ กอ.รมน.จังหวัด ตามที่ ผอ.รมน.จังหวัด ร้องขอ และให้นำความในมาตรา ๙ มาใช้บังคับกับ กอ.รมน.จังหวัด ด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๑๔ เพื่อประโยชน์ในการสร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น ผอ.รมน.จังหวัด อาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา กอ.รมน.จังหวัด ขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยประธานกรรมการและกรรมการมีจำนวนไม่เกินสามสิบคน โดยแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนในพื้นที่ทุกภาคส่วน มีหน้าที่ในการเสนอแนะการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น และให้คำปรึกษาตามที่ ผอ.รมน.จังหวัด ร้องขอ มาตรา ๑๕ ในกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานของรัฐหลายหน่วย คณะรัฐมนตรีจะมีมติมอบหมายให้ กอ.รมน. เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้น ภายในพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนดได้ ทั้งนี้ ให้ประกาศให้ทราบโดยทั่วไป ในกรณีที่เหตุการณ์ตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง หรือสามารถดำเนินการแก้ไขได้ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบตามปกติ ให้นายกรัฐมนตรีประกาศให้อำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ที่ได้รับมอบหมายตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง และให้นายกรัฐมนตรีรายงานผลต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบโดยเร็ว มาตรา ๑๖ ในการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา ๑๕ ให้ กอ.รมน. มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย (๑) ป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา ๑๕ (๒) จัดทำแผนการดำเนินการตาม (๑) เสนอต่อคณะกรรมการเพื่อให้ความเห็นชอบ (๔) สั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีพฤติกรรมว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือเป็นอุปสรรคต่อการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ออกจากพื้นที่ที่กำหนด ในการจัดทำแผนตาม (๒) ให้ กอ.รมน. ประชุมหารือกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องด้วย และในการนี้ ให้จัดทำแผนเผชิญเหตุในแต่ละสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ในกรณีที่มีคำสั่งตาม (๔) แล้ว ให้ กอ.รมน. แจ้งให้หน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดทราบพร้อมด้วยเหตุผล และให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งได้รับคำสั่งให้ออกจากพื้นที่นั้นไปรายงานตัวยังหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัดโดยเร็ว ในการนี้ ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าสังกัดดำเนินการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ หรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ตามที่กำหนดไว้ในคำสั่งดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ถ้ามีความจำเป็นที่ กอ.รมน. ต้องใช้อำนาจหรือหน้าที่ตามกฎหมายใดที่อยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐใด ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ใน กอ.รมน. เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้น หรือมีมติให้หน่วยงานของรัฐนั้นมอบอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ให้ กอ.รมน. ดำเนินการแทนหรือมีอำนาจดำเนินการด้วย ภายในพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ต้องกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้อำนาจนั้นไว้ด้วย มาตรา ๑๗ ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ในมาตรา ๑๖ ในเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ให้ผู้อำนวยการ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มีอำนาจจัดตั้งศูนย์อำนวยการหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นเพื่อปฏิบัติภารกิจอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างเป็นการเฉพาะก็ได้ โครงสร้าง อัตรากำลัง การบริหารจัดการ อำนาจหน้าที่ การกำกับ ติดตาม หรือบังคับบัญชาศูนย์อำนวยการหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ผู้อำนวยการ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ กำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้นำความในมาตรา ๙ มาใช้บังคับกับศูนย์หรือหน่วยงานตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม โดยให้อำนาจของผู้อำนวยการเป็นอำนาจของผู้อำนวยการศูนย์หรือหัวหน้าหน่วยงานนั้น มาตรา ๑๘ เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ภายในพื้นที่ตามมาตรา ๑๕ ให้ผู้อำนวยการ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ (๑) ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด (๒) ห้ามเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนดในห้วงเวลาที่ปฏิบัติการ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้น (๓) ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด (๔) ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน (๕) ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ (๖) ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน ข้อกำหนดตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนเวลา หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ด้วยก็ได้ ทั้งนี้ การกำหนดดังกล่าวต้องไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ มาตรา ๑๙ ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๖ (๑) ให้ผู้อำนวยการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ผู้อำนวยการมอบหมาย เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และร่วมเป็นพนักงานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐ ในการใช้อำนาจของ กอ.รมน. ตามมาตรา ๑๖ (๑) ถ้าก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนผู้สุจริต ให้ กอ.รมน. จัดให้ผู้นั้นได้รับการชดเชยค่าเสียหายตามควรแก่กรณี ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มาตรา ๒๑ ภายในเขตพื้นที่ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ กอ.รมน. ดำเนินการตามมาตรา ๑๕ หากปรากฏว่า ผู้ใดต้องหาว่าได้กระทำความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด แต่กลับใจเข้ามอบตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนแล้วปรากฏว่า ผู้นั้นได้กระทำไปเพราะหลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการเปิดโอกาสให้ผู้นั้นกลับตัวจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในการนี้ ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนของผู้ต้องหานั้นพร้อมทั้งความเห็นของพนักงานสอบสวนไปให้ผู้อำนวยการ ในกรณีที่ผู้อำนวยการเห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวน ให้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นของผู้อำนวยการให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องต่อศาล หากเห็นสมควร ศาลอาจสั่งให้ส่งผู้ต้องหานั้นให้ผู้อำนวยการเพื่อเข้ารับการอบรม ณ สถานที่ที่กำหนดเป็นเวลาไม่เกินหกเดือน และปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นที่ศาลกำหนดด้วยก็ได้ การดำเนินการตามวรรคสอง ให้ศาลสั่งได้ต่อเมื่อผู้ต้องหานั้นยินยอมเข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว เมื่อผู้ต้องหาได้เข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดดังกล่าวแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องผู้ต้องหานั้นเป็นอันระงับไป มาตรา ๒๒ พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายในพื้นที่ที่กำหนดตามมาตรา ๑๕ อาจได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด พนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่งผู้ใดเจ็บป่วย เสียชีวิต ทุพพลภาพ พิการ หรือสูญเสียอวัยวะอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นนอกเหนือจากที่มีกฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มาตรา ๒๓ บรรดาข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามหมวดนี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง การดำเนินคดีใด ๆ อันเนื่องมาจากข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามหมวดนี้ ให้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ทั้งนี้ ในกรณีที่ศาลจะต้องพิจารณาเพื่อใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วแต่กรณี ให้ศาลเรียกเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งออกข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่ง หรือกระทำการนั้น มาเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง รายงาน หรือแสดงเหตุผลเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวดังกล่าวด้วย มาตรา ๒๔ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา ๑๘ (๒) (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา ๒๕ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ ข้าราชการ พนักงานลูกจ้าง และอัตรากำลังของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๕/๒๕๔๙ เรื่อง การจัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ มาเป็นของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๒๖ ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๗/๒๕๔๙ เรื่อง การบริหารราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นศูนย์อำนวยการหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีหลากหลาย มีความรุนแรง รวดเร็ว สามารถขยายตัวจนส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และมีความสลับซับซ้อน จนอาจกระทบต่อเอกราชและบูรณภาพแห่งอาณาเขต ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ และเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน ดังนั้น เพื่อให้สามารถป้องกันและระงับภัยที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จึงสมควรกำหนดให้มีหน่วยปฏิบัติงานหลักเพื่อรับผิดชอบดำเนินการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ตลอดจนบูรณาการและประสานการปฏิบัติร่วมกับทุกส่วนราชการ ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและรักษาความมั่นคง รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่นของตน เพื่อป้องกันภยันตรายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในยามปกติ และในยามที่เกิดสถานการณ์อันเป็นภัยต่อความมั่นคงในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง และกำหนดให้มีมาตรการและกลไกควบคุมการใช้อำนาจเป็นการเฉพาะตามระดับความรุนแรงของสถานการณ์ เพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
16220
9553
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16220
ไปพะม่า
"ไปพะม่า" โดย "หลวงวิจิตรวาทการ" อธิบดีกรมศิลปากร, เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน, อาจารย์ประวัติศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์, ผู้บรรยายประวัติศาสตร์การปกครอง ในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พิมพ์จำหน่ายที่โรงพิมพ์ กรุงเทพบรรณาคาร ถนนเจริญกรุง พระนคร ขุนวาทีหุรารักษ์ ผู้พิมพ์โฆษณา พ.ศ. ๒๔๗๙ คำนำ โดยอนุมัติของกระทรวงธรรมการและคณะรัฐมนตรี ความฝันของข้าพเจ้าในการไปประเทศพม่าได้เป็นความจริงขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ ข้าพเจ้าเคยสนใจในประวัติศาสตร์และความเป็นไปของประเทศนี้มากว่า ๑๐ ปี ข้าพเจ้าเคยซื้อหนังสือนำเที่ยวประเทศพะม่าอ่านมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ จนข้าพเจ้าเกือบจะจำได้เจนใจ ว่าการไปพะม่าจะควรดูควรชมอะไรบ้าง เมื่อเข้ามารับราชการในกรมศิลปากรแล้วก็ได้เคยคิดโครงการที่จะเดินบกออกทางด่านเจดีย์สามองค์ การที่ข้าพเจ้าใฝฝันใคร่เห็นประเทศพะม่าก็เพราะมีความห็นอย่างแน่นอนว่า เราจะเข้าใจประวัติศาสตร์และสภาพของบ้านเมืองเราให้ชัดเจนจริงๆ ไม่ได้ จนกว่าเราจะเข้าใจประวัติและความเป็นไปของเพื่อนบ้านที่อยู่ติดต่อกับเราด้วย เมื่อครั้งรับราชการอยู่กระทวงต่างประเทศ ข้าพเจ้าได้มีโอกาศเห็นประเทศญวนโดยตลอด และเคยลงเรือทวนแม่น้ำโขงตั้งแต่เวียงจันทร์ขึ้นไปจนถึงหลวงพระบางและเชียงแสน ขณะอยู่ในกรมศิลปากรนี้ก็ได้เดินทางในพระราชอาณาจักรจนเหลือน้อยจังหวัดที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ไป ถ้าได้เห็นพะม่าอีก ข้าพเจ้าก็พอจะอ้างได้บ้างว่าข้าพเจ้ารู้จัก "สุวรรณภูมิ" ฉะนั้นในตอนหลังๆ นี้ ความปรารถนาในการเห็นประเทศพะม่าจึงกำเริบแรงขึ้นทุกที เมื่อต้นปีนี้ข้าพเจ้าขึ้นไปจังหวัดลำพูน พบธรรมการจังหวัดซึ่งเคยอยู่แม่ฮ่องสอนและเดินบกไปพะม่า ข้าพเจ้าก็ได้ไต่ถามและขอหนังสือต่างๆ มาดู รวมความว่าการไปพะม่าเป็นความปรารถนาอยากได้อย่างยิ่งอันหนึ่งของข้าพเจ้า. สิ่งใดที่เราอยากได้จริงๆ สิ่งนั้นเราย่อมจะได้สักวันหนึ่ง. รัฐบาลได้กรุณาให้ข้าพเจ้าไปศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพะม่า ข้าพเจ้าจำต้องใช้เวลาอันจำกัดให้ได้ประโยชน์มากเท่าที่จะพึงได้ จุดหมายแห่งการศึกษาของข้าพเจ้าก็คือเมืองต่างๆ เท่าที่เราได้พบชื่ออยู่เสมอในประวัติศาสตร์สยามและพะม่า เช่น ย่างกุ้ง หงสาวดี แปร อังวะ พุกาม อมรปุระ สาแกง และมัณฑเล ข้าพเจ้าได้พยายามไปเห็นเมืองที่กล่าวนามมาข้างต้นนี้ทุกเมือง อนึ่ง เป็นความมุ่งหมายของข้าพเจ้าที่จะให้ข้าราชการกรมศิลปากร บรรดาที่ไม่เคยเห็นต่างประเทศได้มีโอกาศผลัดเปลี่ยนกันไปเห็นต่างประเทศตามที่จะมีโอกาศทำได้ ข้าราชการกรมศิลปากรมีทางที่จะได้ไปต่างประเทศอยู่ ๔ ทาง ทางที่หนึ่งคือไปดูงานตามระเบียบของ ก.พ. ทางที่สองคือสอบแข่งขันได้ทุนออกไปศึกษาในต่างประเทศ ทางที่สามคือออกไปประกอบทำหรือแสดงศิลปกรรม เช่นสร้างที่แสดงพิพิธภัณฑ์ของไทยหรือแสดงละครในต่างประเทศ และทางที่สี่ ก็คือไปกับข้าพเจ้าในเมื่อข้าพเจ้ามีโอกาศได้ไปบ้าง แต่การไปกับข้าพเจ้านั้นก็จำต้องเป็นข้าราชการผู้น้อยไม่เกินชั้นประจำแผนก เพราะจำต้องทำหน้าที่เลขานุการ ฉะนั้นในการไปพะม่าครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงได้เลือก นายกิมเลี้ยง อินทโกศัย ประจำแผนกบันทึกเหตุการณ์กรมศิลปากรไปกับข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าได้รับความกรุณาจากรัฐบาลให้ได้ไปดูไปศึกษาประเทศพะม่าถึงถิ่นที่แล้วเช่นนี้ ก็น่าจะทำอะไรไว้สักอย่างหนึ่ง ให้เป็นที่ระลึกหรือเครื่องทรงจำ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้แบ่งปันหน้าที่กับนายกิมเลี้ยง อินทโกศัย คือ ในเรื่องจดหมายเหตุและระยะทางและการพรรณนาสิ่งซึ่งได้พบเห็นโดยทั่วๆ ไปนั้น ได้มอบให้เป็นหน้าที่ของ นายกิมเลี้ยง อินทโกศัย ข้าพเจ้าจะเขียนแต่ฉะเพาะข้อความที่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาประวัติและวัฒนธรรมของพะม่า ดังที่ได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าไปพะม่าในชั่วเวลาเล็กน้อย ทำไมจึงรู้เรื่องมากมาย ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ข้าพเจ้าอ่านหนังสือต่างๆ ที่เกี่ยวกับพะม่าจนเจนใจมานานแล้ว ก่อนจะไปถึงพะม่าข้าพเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าอะไรบ้างที่ข้าพเจ้าจะต้องดูจะต้องศึกษาถ้าไปในเมืองที่มีผู้นำเที่ยวดูชม ข้าพเจ้าก็ไต่ถามแต่ฉะเพาะที่สงสัยหรือมีปัญหาอันได้เตรียมตั้งไว้แล้ว มัคคุเทศก์ไม่จำต้องเสียเวลาอธิบายกันมาก ฉะนั้นแม้ในชั่วเวลาเล็กน้อย ก็มีเรื่องที่จะเขียนได้พอสมควร ในการไปพะม่าครั้งนี้ มีบุคคลที่ข้าพเจ้าจะต้องขอบใจอยู่เป็นอันมาก ในประเทศสยาม-นายนาวาเอก หลวงสินธุสงครามชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ, ขุนสุคนธวิทศึกษาการ รัฐมนตรีช่วยราชการ, พระตีรณสารวิศวกรรม ปลัดกระทรวงธรรมการ และขุนประเจตดรุณพันธุ์ เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงธรรมการ ทั้ง ๔ ท่านได้ช่วยสนับสนุนแข็งแรงให้ข้าพเจ้าได้ไปประเทศพม่า, หลวงประดิษฐมนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้กรุณาสั่งกงสุลสยามให้ช่วยเหลือให้ความสะดวกทุกประการ ท่านเสอร์ครอสบี อัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้กรุณาสลักหลังหนังสือเดินทางให้อย่างทูต ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไปอย่างนักศึกษา และได้บอกรัฐบาลอินเดียและพะม่าให้ช่วยเหลือ หม่องลุนเผล่ กับ หม่องบะติ่น ชาวพะม่าผู้มีอาวุโสในกรุงเทพฯ ได้จัดการให้ญาติมิตรทางพะม่ารับรองให้ความสะดวกแก่ข้าพเจ้า. ในประเทศพะม่า-มิสเตอร์ไปรเออร์ กงสุลสยามที่ย่างกุ้ง ได้กรุณาช่วยหลือทุกๆ อย่างเป็นที่พอใจยิ่ง ข้าหลวงเทศาภิบาลประเทศพม่าได้สั่งเจ้าหน้าที่อังกฤษในเมืองต่างๆ ที่ข้าพเจ้ากำหนดว่จะไปนั้นให้ดูแลเพื่อความสะดวกในการเดินทางและพักอยู่ คณะหนังสือพิมพ์ New Light of Burma และคณะหนังสือพิมพ์ Sun ช่วยพาเที่ยวและอธิบายที่ต่างๆ ในย่างกุ้ง ม. บาเรตต์ ผู้จัดการห้าง บอมเบย์เบอร์ม่า ที่กรุงมัณฆเล ได้จัดที่พักรับรองข้าพเจ้าที่กรุงมัณฑเล โดยมิต้องไปพักตามโรงแรม. มองซิเออร์ ดือรัวเซลศ์ เจ้ากรมโบราณคดี และนายจิตต์ ปลัดกรมโบราณคดีประจำกรุงมัณฑเล ได้พาข้าพเจ้าดูปราสาทราชวังและตอบคำถามให้คำชี้แจงทุกๆ อย่างที่ข้าพเจ้าประสงค์ ข้าพเจ้าขอจารึกบุญคุณท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายที่ระบุมาข้างต้นนั้น ไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วย แต่หนังสือเล่มนี้อาจบกพร่อง ถ้าข้าพเจ้าจะละเลยไม่กล่าวสรรเสริญการเดินทางอากาศโดยเรือบินของบริษัท K.L.M. ฮอลันดา ความดีของเครื่องบิน ประกอบกับอัธยาศัยอันงดงามของเจ้าหน้าที่ประจำเรือ ทำให้การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปย่างกุ้งเป็นประหนึ่งความฝัน การทีข้าพเจ้าเดินทางไปพะม่าโดยเรือบินนั้น หาใช่เพราะความซุกซนหรือมักใหญ่ใฝ่สูงอันใดไม่ ข้าพเจ้าได้คำนวณค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยละเอียดแล้ว ปรากฎว่าไปเรือบินถูกกว่าการไปทางทะเล อนึ่งการไปทางทะเลนั้น ถ้าเคราะห์ดีจับเรือได้ทันทีเวลาถึงปีนัง ก็จะใช้เวลาราว ๗ วัน ถ้าพลาดเรือและต้องคอยก็ต้องเสียทั้งค่าที่พักที่ปีนังและทั้งเวลาซึ่งอาจจะกลายเป็น ๑๐ วัน ส่วนการเดินทางโดยเรือบินใช้เวลาเพียง ๒ ชั่วโมงกับ ๑๕ นาทีเท่านั้น ถ้าเราเชื่อสุภาษิตอังกฤษว่า เวลาเป็นเงิน (time is money) แล้ว ก็แปลว่าการเดินทางไปพะม่าโดยเรือบินนั้นถูกกว่าการไปทางทะเลมากทีเดียว ถ้าหากว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนร่วมชาติของข้าพเจ้าที่ต้องการทราบเรื่องของพะม่าบ้าง ข้าพเจ้าก็มีความยินดี. "วิจิตรวาทการ" กรุงเทพฯ ๑๕ ธันวาคม ๒๔๗๙
16221
1076
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16221
ลิลิตพระฦๅ
ลิลิตพระฦๅ หลวงศรีมโหสถ "ประพันธ์เมื่อ จุลศักราช ๑๒๑๘" เจ้าภาพพิมพ์เป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงนฤยุติสัณหพาท (ชาย นาควิเชตร์) ณ วัดโสมนัสวิหาร วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๐๑ คำปรารภ การที่คณะเจ้าภาพได้จัดพิมพ์หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" ชำร่วยในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงนฤยุติสัณหพาท (ชาย นาควิเชตร์) แก่ท่านที่เคารพนับถือมิตรสหายรวมตลอดถึงบรรดาญาติของท่านผู้วายชนม์ครั้งนี้ หาได้ลืมระลึกถึงการพิมพ์หนังสือพระธรรมคำสั่งสอนและคำสวดมนต์ภาวนาพระคาถาต่างๆ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้า อันเป็นประเพณีที่เจ้าภาพในการฌาปนกิจปฏิบัติกันอยู่โดยแพร่หลายแล้วนั้นเสียมิได้ และบางท่านอาจมีความคิดเห็นว่าการจัดพิมพ์หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" ที่ท่านกำลังอ่านอยู่ขณะนี้ ชำร่วยในงานอันถือว่าเป็นวาระที่ทุกท่านที่ได้กรุณามาเป็นเกียรติแก่ท่านผู้วายชนม์อยู่นั้นว่าเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าในงานนี้ก็ดี คณะเจ้าภาพผู้จัดพิมพ์ขอประทานกราบเรียนถึงมูลเหตุที่ทำให้มีการจัดพิมพ์หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" ชำร่วยครั้งนี้ด้วยความเคารพ ดังนี้ หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" เล่มนี้ เป็นบทประพันธ์ของคุณปู่ของท่านผู้วายชนม์ ได้ประพันธ์ขึ้นเมื่อครั้งรับราชการอยู่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ขณะมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงศรีมโหสถ (ชื่อเดิม มหากลัด) ส่วนคำโคลงฉบับผนวกเกี่ยวกับเรื่องรามเกียรติ์นั้นได้ประพันธ์ขึ้นเมื่อมีบรรดาศักดิ์เป็นพระราชครูพิเชต ซึ่งปรากฎหลักฐานในศิลาจารึกวัดพระศรีรัตนศาสดารามปจจุบันนี้ แต่ฉพาะ "ลิลิตพระฦๅ" นี้ นอกจากจะมีอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากรแล้ว ก็ยากที่ะหาอ่านจากที่อื่นได้ เพราะจากปีที่ได้ประพันธ์ไว้ถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา ๑๐๒ ปีแล้วประการหนึ่ง กับเมื่อท่านผู้วายชนม์ยังมีชีวิตอยู่ ได้เคยปรารภอยู่เนืองๆ ว่าหนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" ที่คุณปู่ของท่านได้เคยประพันธ์ไว้ในรัชกาลที่ ๔ นั้น เป็นบทประพันธ์ที่มีเค้าเรื่องน่าอ่านและชอบด้วยเหตุผลในสมัยนั้น แม้ในสมัยปัจจุบันนี้ก็ไม่ถึงกับขาดรสนิยมเสียทีเดียว เพราะมีทั้งเรื่องตลกขบขัน บทโศรก บทรักอันสดชื่น แต่ท่านเสียดายว่าน่าจะสูญสิ้นไปในไม่ช้านักหากไม่มีผู้ใดจัดพิมพ์ขึ้นอีก ท่านปรารภด้วยว่าหากท่านมีโอกาสพิมพ์หนังสือเป็นของชำร่วยในกรณีย์ใดๆ ก็ตาม ท่านก็จะพิมพ์หนังสือ "ลิลิตพระฦๅ" นี้ชำร่วยก่อนหนังสืออื่นอีกประการหนึ่ง
16224
4431
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16224
ประชุมเรื่องเบ็ดเตล็ด 3 เรื่อง
ประชุมเรื่องเบ็ดเตล็ด 3 เรื่อง (พ.ศ. 2470) โดย ประชุมเรื่องเบ็ดเตล็ด 3 เรื่องพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ2470 <pages index="เรื่องเบ็ดเตล็ด ๓ เรื่อง - ดำรง - ๒๔๗๐.pdf" include="1"/> สารบัญ#เปลี่ยนทาง
16237
4431
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16237
อนุโมทนาวิธี
อนุโมทนาวิธี เป็นบทสวดมนต์ของพระสงฆ์ เพื่อใช้อนุโมทนาให้พรแด่ผู้ทำบุญกุศล อนุโมทนารัมภคาถา (บทสวดมนต์กรวดน้ำ). "ผู้เป็นประธานเริ่มต้น" ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา ฯ "คำแปล" ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วในโลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ฉันนั้น ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี สามัญญานุโมทนาคาถา (บทสวดมนต์ให้พร). "รับพร้อมกัน" สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ฯ อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ฯ
16319
7930
https://th.wikisource.org/wiki?curid=16319
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ.ศ. ๒๕๐๓
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ.ศ. ๒๕๐๓ ด้วยกระทรวงศึกษาธิการเห็นสมควรปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน เพื่อส่งเสริมศีลธรรม จรรยามารยาทและฝึกอบรมให้นักเรียนมีจิตใจและนิสัยอันดีงาม ประพฤติตนในทางที่ดีที่ชอบ จึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้. ๑) ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ.ศ. ๒๕๐๓" ๒) ตั้งแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิกระเบียบข้อบังคับ หรือคำสั่งที่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ หรือที่ระเบียบนี้กำหนดไว้แล้ว ๓) ใช้ระเบียบนี้ในโรงเรียนและสถานศึกษา ในสังกัดและในความควบคุมของกระทรวง ศึกษาธิการ ๔) ให้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ หรือผู้อำนวยการ จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระเวลาเข้าแถวภายหลัง เชิญธงชาติก่อนเข้าเรียนทุกวันและตอนเลิกเรียนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ เฉพาะโรงเรียนที่มีนักเรียนประจำ ก็จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระตอนก่อนที่จะเข้านอนเป็นประจำ ทุกคืนด้วย ๕) การสวดให้ใช้แบบสวดมนต์ไหว้พระท้ายระเบียบนี้ ๖) การสวดมนต์ไหว้พระทุกครั้ง ให้ครู อาจารย์ทุกคนเข้าร่วมสวดมนต์ไหว้พระโดย พร้อมเพรียงกัน ๗) ตอนเลิกเรียนในวัดสุดท้ายของสัปดาห์ ภายหลังการสวดมนต์ไหว้พระให้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการ หรือผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้โอวาทแก่นักเรียนเสร็จแล้วให้ร้องเพลงสรรเสริญ พระบารมี ๘) ในกรณีที่มีนักเรียนที่มิได้นับถือศาสนาพุทธเรียนรวมอยู่ด้วยเวลาสวดมนต์นัก เรียนนั้นไม่ต้องสวด แต่ถ้านักเรียนที่นับถือศาสนาอื่นมีจำนวนมาก เมื่อทางโรงเรียนเห็นสมควรจะจัดให้มีการสวดมนต์ตามแบบศาสนานั้น ๆ ด้วยก็ได้ โดยแยกนักเรียนไว้ตามลัทธิศาสนา ๙) ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ ๑๐) ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นไป. สั่ง ณ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๐๓ (ลงชื่อ) ปิ่น มาลากุล (ม.ล.ปิ่น มาลากุล) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
End of preview. Expand in Data Studio
README.md exists but content is empty.
Downloads last month
19