id
stringlengths 1
5
| revid
stringclasses 244
values | url
stringlengths 38
42
| title
stringlengths 4
94
| text
stringlengths 140
532k
|
|---|---|---|---|---|
13655
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13655
|
ประมวลกฎหมายอาญา
|
<pages index="พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา ๒๔๙๙.pdf" from="5" to="11"/>
#เปลี่ยนทาง
<pages index="พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา ๒๔๙๙.pdf" from="12" to="170"/>
|
13656
|
5239
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13656
|
ฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน
|
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2549 กลุ่มนักวิชาการ วุฒิสมาชิก ราชนิกูล แพทย์อาวุโส นักบริหาร นักวิชาการ ศิลปินแห่งชาติ นำโดย ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้บังคับการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ได้ร่วมกันลงนามถวายฎีกา ขอพระราชทานรัฐบาลชั่วคราว และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบริหารประเทศเป็นการชั่วคราว จนกว่าการเลือกตั้งจะแล้วเสร็จ โดยอ้างอิงความตาม มาตรา 7 ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
รายละเอียด ของฎีกา มีดังนี้.
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ตามที่ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำการยุบสภา โดยมิได้มีเหตุอันควรที่ถือธรรมเนียมปฏิบัติ ตามครรลองของระบบรัฐสภา การกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นการทำลายระบบรัฐสภาแล้ว ยังทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ประชาชนได้มาชุมนุมมากขึ้นเป็นลำดับ กลุ่มบุคคลผู้หวังดีต่อประเทศชาติหลายกลุ่มเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก แต่ก็ไม่เป็นผล นายกรัฐมนตรีกลับสั่งให้มีการระดมประชาชนเพื่อมาสนับสนุนตนเอง โดยไม่ใส่ใจต่อคำเรียกร้องของประชาชน
บัดนี้ พรรคฝ่ายค้านได้ตกลงร่วมกันไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะทำให้พรรคไทยรักไทยกลายเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวในสภา การต่อต้านของประชาชนจะมีมากขึ้นทั้งก่อนระหว่างและหลังการเลือกตั้งนำไปสู่สภาวการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ
ข้าพระพุทธเจ้าไม่เห็นทางออกใด นอกจากการขอพระราชทานพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ขอพระมหากรุณาเป็นที่พึ่ง ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย นำจารีตประเพณีการปกครอง ตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีรัฐบาลชั่วคราว ทำหน้าที่แก้ไขรัฐธรรมนูญ และดูแลเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นการเริ่มต้นกิจกรรมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยใหม่ โดยพรรคการเมืองทุกพรรคมีโอกาสในการแข่งขันอย่างเท่าเทียมและบริสุทธิ์ยุติธรรม
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า
ขอเดชะ
รายนามผู้ขอพระมหากรุณาเป็นที่พึ่งพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย.
รายนามผู้ขอพระมหากรุณาเป็นที่พึ่งพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย จารีตประเพณีการปกครอง ตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
|
13679
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13679
|
ข่าวอสัญกรรมนายควง อภัยวงศ์
|
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
ควง อภัยวงศ์
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ลงข่าวเกี่ยวกับการถึงแก่อสัญกรรมของ พันตรีควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี ๔ สมัย ไว้ ในฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑
อสัญกรรมนายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์
นายกรัฐมนตรีของไทยท่านหนึ่ง ซึ่งได้อุทิศเวลาเกือบตลอดชีวิตเพื่อจรรโลงไว้ซึ่งระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขคือพันตรีควง อภัยวงศ์ ซึ่งได้ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๑๕ เดือนนี้ นับได้ว่าเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญทางการเมืองและรัฐบุรุษท่านหนึ่ง ซึ่งได้มีส่วนรับผิดชอบต่อการบริหารประเทศชาติมาตั้งแต่สมัยก่อนสงคราม ระหว่างสงครามและแม้แต่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่แล้ว โดยเฉพาะครั้งหลังสุด อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในหลายรัฐบาลท่านนี้ยังได้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าสมัครแข่งขันเลือกตั้งเมื่อปี ๒๕๐๐ และชนะการเลือกตั้งในที่สุด
ชีวิตการเมืองของพันตรีควง อภัยวงศ์ เริ่มต้นเมื่อ ๓๖ ปีมาแล้ว ที่ได้ร่วมปฏิวัตินำเอาระบอบประชาธิปไตยมาใช้เมื่อปี ๒๔๗๕ จากนั้นมา พันตรีควง อภัยวงศ์ก็ได้เข้าร่วมรัฐบาลเกือบจะทุกรัฐบาล จนในที่สุดเข้ารับตำแหน่งสูงสุดคือดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างสงครามโลก ซึ่งเป็นหัวต่อหัวเลี้ยวสำคัญของประเทศชาติเมื่อวิถีทางการเมืองได้เปลี่ยนไป อดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้ได้ลาออก แล้วกลายเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านคนสำคัญในรัฐสภาตลอดมา โดยเฉพาะภาระหน้าที่ของฝ่ายค้านคนสำคัญในรัฐสภาตลอดมา โดยเฉพาะภาระหน้าที่ของฝ่ายค้านในรัฐสภาเยี่ยงประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย ท่านได้แสดงให้เห็นถึงวิถีทางการเมืองที่ต้องเล่นการเมืองด้วยความสุจริตใจ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ดังนั้นนอกจากเป็นการสร้างแบบอย่างที่ดีของระบอบประชาธิปไตยด้วยแล้ว ในทางส่วนตัวไม่เคยมีข้อด่างพร้อยใดที่จะถูกโจมตีได้ เมื่อปรากฏว่าแนวนโยบายของรัฐบาลที่ท่านรับผิดชอบอยู่ได้ถูกคัดค้าน และแพ้คะแนนเสียงจากสมาชิกรัฐสภาไปก็ลาออกตามมารยาททางการเมือง
พันตรีควง อภัยวงศ์ มีแนวความคิดแบบเสรีนิยม ก่อนหน้าที่จะถึงแก่อสัญกรรมไม่นานนัก ท่านยังให้ความคิดเห็นต่อภาวะบ้านเมืองของไทยเราที่ถูกคุกคามจากภัยคอมมิวนิสต์ เคยเตือนถึงความรับผิดชอบอย่างสูงต่อรัฐบาล และเจ้าหน้าที่บริหารโดยเฉพาะท่านได้เคยแสดงความเห็นต่อสาธารณะว่าเมืองไทยจะไปรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายที่จะสมัครสมานสามัคคีต่อกัน รวมทั้งการปราบปรามคอรัปชั่นให้หมดไป นอกจากนี้ยังคิดหวังว่าจะได้กลับมารับใช้ประเทศชาติในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งในบั้นปลายของชีวิต หากได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้น แต่ท่านได้ถึงอสัญกรรมเสียก่อนเมื่อตอนเช้าของวันที่ ๑๕ นี้
การสูญเสียของพันตรีควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ที่มีส่วนสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติและเป็นรัฐบุรุษคนสำคัญคนหนึ่งของไทยเราครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นการสูญเสียนำความเศร้าสลดมาสู่ชาวไทยอีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกับรัฐบุรุษที่ประกอบคุณงามความดีบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมาแล้วในอดีต
|
13685
|
606
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13685
|
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดชื่อเอกสารและสิ่งพิมพ์ที่ห้ามผู้ใดมีไว้ครอบครอง/๑
|
<br>ประกาศกระทรวงมหาดไทย
<br>เรื่อง กำหนดชื่อเอกสารและสิ่งพิมพ์<br>ที่ห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครอง<br><br>
_______________<br><br><br>
ด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเอกสารสิ่งพิมพ์ดังต่อไปนี้ เป็นเอกสารสิ่งพิมพ์ซึ่งเสนอข่าวสาร บทความ และข้อเขียนแสดงความคิดเห็นอันส่อไปในทางก่อให้เกิดความแตกแยกความสามัคคีในชาติ หรือชี้นำผู้อ่านให้เกิดความนิยมเลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน หรือให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน คือ
๑. การเมืองเรื่องของประชาชน เขียนโดย
แนวร่วมประชาชาติกันทรารมย์
๒. เกาอี้เป่า เขียนโดย
เกาอี้เป่า
๓. การ์ตูนปฏิวัติจากจีนใหม่ กองทหารหญิงแดง จดหมายขนไก่ เขียนโดย
หวาซาน หลิวจี้อิ่ว
๔. การปฏิวัติของจีน เขียนโดย
กองบรรณาธิการสังคมศาสตร์ปริทัศน์
๕. การศึกษาปฏิวัติประชาชนลาว เขียนโดย
ไกรสร พรหมวิหาร
๖. ก่อนไปสู่ภูเขา แปลโดย
สถาพร ศรีสัจจัง
๗. กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง แปลโดย
ประไพ วิเศษธานี
๘. เข้าโรงเรียน เขียนโดย
กวั่นหวา
๙. ข้อขัดแย้งระหว่างสหภาพโซเวียต กับ จีน เขียนโดย
กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เหยินหมินยึเป้า และกองบรรณาธิการนิตยสารหงฉี
๑๐. คติพจน์ประธานเหมาเจ๋อตุง ไม่ปรากฏ
ชื่อผู้เขียน แต่พิมพ์ที่สำนักพิมพ์ต่างประเทศ ปักกิ่ง และสุนทรการพิมพ์ หจก. จรัลสนิทวงศ์ บางพลัด กรุงเทพมหานคร
๑๑. คัมภีร์นักปฏิวัติ เขียนโดย
กลุ่มอีสานปฏิวัติ
๑๒. คาร์ล มาร์กซ์ ผู้สร้างทฤษฎีนิรันดร เขียนโดย
วิตาลี ไวกอดสกี
๑๓. ความจัดเจนทางประวัติศาสตร์ของเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ ไม่ปรากฏ
ผู้เขียน แต่พิมพ์ที่สุวิทย์การพิมพ์ ซอยอรรถสิทธ์ สาทรใต้ กรุงเทพฯ
๑๔. เคียงข้างกันสร้างสรรค์โลก เขียนโดย
แสงเสรี
๑๕. ความคิดของเหมาเจ๋อตุง เขียนโดย
สุรัฐ โรจนวรรณ
๑๖. โจวเอินไหล ไม่ปรากฏ
ชื่อผู้เขียน แต่พิมพ์ที่วัชรินทร์การพิมพ์ ๓๖๔ ถนนพระสุเมรุ กรุงเทพฯ
๑๗. จะวิเคราะห์ชนชั้นในชนบทอย่างไร เขียนโดย
กลุ่มเยาวชนรับใช้ชาติ
๑๘. จากโฮจิมินห์ ถึง เปลื้อง วรรณศรี เขียนโดย
สุชาติ สวัสดิ์ศรี
๑๙. จรยุทธ-ใต้ดิน เขียนโดย
ตะวันฉาย
๒๐. จีนคอมมิวนิสต์ เขียนโดย
สนอง วิริยะผล
๒๑. จิตใจปฏิวัติ ไม่ปรากฏ
ชื่อผู้เขียน แต่พิมพ์ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน
๒๒. จีนแผ่นดินแห่งการปฏิวัติตลอดกาล เขียนโดย
Jan Myrdal & Gun Kessle
๒๓. ลัทธิสังคมนิยมแบบเพ้อฝันและแบบวิทยาศาสตร์ แปลโดย
อุทิศ และ โยธิน
๒๔. ลัทธิวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ เขียนโดย
ตะวันฉาย
๒๕. ลัทธิเลนิน กับ ลัทธิแก้สมัยใหม่ เขียนโดย
ชมรม ๑๓
๒๖. ลัทธิเลนินจงเจริญ เขียนโดย
กองบรรณาธิการนิตยสารหงฉี
๒๗. ลัทธิมาร์กซ์–เลนิน ว่าด้วยทฤษฎีสังคมนิยมที่เป็นวิทยาศาสตร์ แปลโดย
ศูทร ศรีประชา
๒๘. ว่าด้วยรากฐานทางสังคมกลุ่มหลินเปียวที่ค้านพรรค เขียนโดย
เหยาเหวินหยวน
๒๙. วิจารณ์คำแถลงของพรรคคอมมิวนิสต์ อเมริกา กระจกส่องพวกลัทธิแก้ ไม่ปรากฏ
ชื่อผู้เขียน แต่พิมพ์ที่ธเนศวรการพิมพ์ ๑๘๙ ถนนบำรุงเมือง กรุงเทพฯ
๓๐. วิพากษ์ลัทธิแก้ ไม่ปรากฏ
ชื่อผู้เขียน แต่พิมพ์ที่สมชายการพิมพ์ ๒๗๐/๗๗ ซอยวิมลสรกิจ บางยี่ขัน กรุงเทพมหานคร
๓๑. วัฒนาการความคิดสังคมนิยม เขียนโดย
ชาญ กรัสนัยปุระ
๓๒. ว่าด้วยรัฐบาลรวม เขียนโดย
เหมาเจ๋อตุง
๓๓. วิเคราะห์การต่อสู้ของพรรคลาวด๋อง เขียนโดย
ธีรยุทธ บุญมี
๓๔. วิวัฒนาการของมาร์กซ์ซิสม์ เขียนโดย
น.ชญานุตม์
๓๕. วัฒนธรรมจีนใหม่ เขียนโดย
ไจ๋เปียน
๓๖. วี.ไอ. เลนิน–รัฐ เขียนโดย
ชมรมหนังสือแสงดาว
๓๗. วีรบุรุษสู้รบ เขียนโดย
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาอีสานแห่งประเทศไทย
๓๘. ว่าด้วยประชาธิปไตยรวมศูนย์ แปลโดย
เศรษฐวัฒน์ ผดุงรัฐ
๓๙. ลัทธิวัตถุนิยมวิภาษ และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ เขียนโดย
โจเซฟ สตาลิน ประกาย สุชีวิน แปล
๔๐. ภาวะของศิลปะใต้ระบอบเผด็จการฟาสซีสม์ เขียนโดย
จิตติน ธรรมชาติ
๔๑. หลักลัทธิเลนิน เขียนโดย
บำรุง ไพรัชวาที
๔๒. หนทางการปฏิวัติไทย ไม่ปรากฏ
ผู้แต่ง และไม่ปรากฏสถานที่พิมพ์
๔๓. ๕๐ ปีพรรคคอมมิวนิสต์คิวบา ๕๐ ปีสหพันธ์สตรีคิวบา ไม่ปรากฏ
ชื่อผู้แต่ง แต่พิมพ์ที่ประจักษ์การพิมพ์ กรุงเทพมหานคร
๔๔. เดินทางทัพทางไกลไปกับประธานเหมา เขียนโดย
เฉินชางเฟิ่ง
๔๕. เดินทัพทางไกลครั้งที่ ๒ เขียนโดย
เหยิน จาง – หลิน
๔๖. หยางกึนซือวีรชนอมตะ เขียนโดย
ว่างเฮ่า
๔๗. เหมาเจ๋อตุง ผู้นำจีนใหม่ เขียนโดย
เทอด ประชาธรรม
๔๘. นอร์แมน เบทูน แปลโดย
ศรีนรา
๔๙. บนเส้นทางไปสู่สังคมนิยมจีน เขียนโดย
ธีรยุทธ บุญมี
๕๐. บทกวีเพื่อผู้ถูกกดขี่ เขียนโดย
วิทยากร เชียงกูล
๕๑. คาร์ลม าร์กซ์ ค่าจ้างราคาและกำไร แปลโดย
ประสาท ลีลาเธียร
๕๒. บันทึกของไพ่ฉวิน ม่านเทียนเสื่อ แปลโดย
แจ่ม จรัสแสง
๕๓.ประวัติศาสตร์ ๓๐ ปี ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขียนโดย
หูเฉียวมุ เจิดจำรัส แปล
๕๔. ถังเหล่ยเวียดนาม เขียนโดย
อุดร ทองน้อย
๕๕. ทหารน้อยจางก่า เขียนโดย
สีกวงเย่า
๕๖. แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ เขียนโดย
คาร์ล มาร์กซ์ เฟรเดอริค เองเกลส์
๕๗. บทวิเคราะห์วรรณกรรมยุคศักดินา เขียนโดย
จิตร ภูมิศักดิ์
๕๘. ปัญหาลัทธิเลนินในยุคของเรา เขียนโดย
ชมรมดาวรุ่ง
๕๙. แนวร่วมปลดแอกของโฮจิมินห์ เขียนโดย
บัณฑูร เวชสาร
๖๐. นิพนธ์ปรัชญา ๔ เรื่องของประธานเหมาเจ๋อตุง แปลโดย
ชมรมหนังสือรวงข้าว
๖๑. แนวทางแห่งการต่อสู้ แนวทางแห่งชัยชนะ เขียนโดย
กลุ่มพลังชน
๖๒. นักศึกษาจีน แนวหน้าขบวนการปฏิวัติสังคม แปลโดย
เทอด ธงธรรม วรรณา พรประเสริฐ
๖๓. ด้วยเลือดและชีวิต เขียนโดย
จิตร ภูมิศักดิ์
๖๔. แนวร่วมเอกภาพเพื่อการปลดแอกแห่งชาติ เขียนโดย
ชมรมหนังสืออิสรภาพ
๖๕. ทฤษฎีการเมืองว่าด้วยเศรษฐศาสตร์การเมือง สำหรับชนชั้นกรรมาชีพ แปลโดย
เมธี เอี่ยมเจริญ
๖๖. ชีวทัศน์หนุ่มสาว ไม่ปรากฏ
ชื่อผู้เขียน แต่พิมพ์ที่บริษัทบพิธการพิมพ์ ๗๐ ถนนราชบพิธ กรุงเทพมหานคร
๖๗. ชีวทัศน์เยาวชน ไม่ปรากฏ
ชื่อผู้เขียน และไม่ปรากฏที่พิมพ์
๖๘. ชาวนาไทยกับการเปลี่ยนแปลง แปลโดย
สุเทพ สุนทรเภสัช
๖๙. เช กูวารา นายแพทย์นักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่ เขียนโดย
ศรีอุบล
๗๐. ชีวิตในคอมมูน เขียนโดย
สันติสุข
๗๑. ชนกรรมาชีพทั่วโลก จงสามัคคีกันคัดค้านศัตรูร่วมกับเรา เขียนโดย
สำนักพิมพ์เข็มทิศ
๗๒. ซ้ายทารก เขียนโดย
วี. ไอ. เลนิน
๗๓. สืบทอดภารกิจปฏิวัติ เขียนโดย
ชมรมดาวรุ่ง
๗๔. สุนทรพจน์ของประธานเหมาเจ๋อตุง ไม่ปรากฏ
ผู้เขียน แต่พิมพ์ที่ศรีเพ็ชรการพิมพ์ ๑๖๙/๑๒๐ ตรอกวัดดีดวด บางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
๗๕. สงครามปฏิวัติ เขียนโดย
ชมรมดาวรุ่ง
๗๖. สงครามกองโจรของ เช กูวารา แปลโดย
ฤตินันทน์
๗๗. สรรนิพนธ์ โฮจิมินห์ แปลโดย
วารินทร์ สินสูงสุด ปารวดี วรุณจิต
๗๘. เสียงร้องของประชาชน แปลโดย
จิรนันท์ พิตรปรีชา
๗๙. สงครามยืดเยื้อ เขียนโดย
เหมาเจ๋อตุง
๘๐. สรรนิพนธ์เลนิน คอมมิวนิสต์ ปีกซ้าย โรคไร้เดียงสา แปลโดย
นพคุณ ศิริประเสริฐ
๘๑. สรรนิพนธ์เลนิน เพื่อคนจนในชนบท แปลโดย
พัลลภา ปั้นงาม
๘๒. สงครามอุโมงค์ เขียนโดย
เจ๋อเหมย ปี้เหลย
๘๓. สตรีกับภาระกิจแห่งการปฏิวัติ เขียนโดย
จินดา ไชยโยทยาน
๘๔. ยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่ ต่อสู้กับคลื่นลม ไม่ปรากฏ
ผู้เขียน และไม่ปรากฏที่พิมพ์
๘๕. ระลึกคอมมูนปารีสครบร้อยปี เขียนโดย
ชมรมหนังสือตะวันแดง
๘๖. ศัพทานุกรมปรัชญา เขียนโดย
เมธี เอี่ยมเจริญ
๘๗. สาธารณรัฐประชาชนจีน แปลโดย
ถ่องแท้ รจนาสัณห์
๘๘. เมาเซตุง เขียนโดย
ศิรวิทย์
๘๙. ยูโกสลาเวีย เป็นสังคมนิยมจริงหรือ ไม่ปรากฏ
ผู้เขียน แต่พิมพ์ในสาธารณรัฐประชาชนจีน
๙๐. ปัญหาปฏิวัติประเทศไทย เขียนโดย
กลุ่มชนภูเขา
๙๑. เอกสารสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ ๑๐ ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เขียนโดย
กลุ่มเยาวชนรักชาติ
๙๒. โฉมหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ไทย เขียนโดย
สายใย เทอดชูธรรม
๙๓. พระเจ้าอยู่ที่ไหน เขียนโดย
นายผี
๙๔. พระสงฆ์ลาวกับการปฏิวัติ เขียนโดย
คำตัน
๙๕. แล้วเราก็ปฏิวัติ ไม่ปรากฏ
ผู้เขียน แต่พิมพ์ที่เจริญวิทย์การพิมพ์ บ้านพานถม กรุงเทพมหานคร
๙๖. รัฐกับการปฏิวัติ เขียนโดย
วี. ไอ. เลนิน
๙๗. เลนินจักรวรรดิ์นิยมชั้นสูงสุดของทุนนิยม แปลโดย
ประสาท ลีลาเธียร
๙๘. ว่าด้วยปัญหาที่ดินและชาวนาของประธานเหมาเจ๋อตุง ไม่ปรากฏ
ผู้เขียน และไม่ปรากฏที่พิมพ์
๙๙. วีรสตรีจีนปฏิวัติหลิวหูหลาน แปลโดย
วีรจิตร
๑๐๐. อัลเยนเด้วีรชนปฏิวัติ เขียนโดย
สูรย์ พลังไทย
อาศัยอำนาจตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๓ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ข้อ ๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่าเอกสารสิ่งพิมพ์ รวม ๑๐๐ ฉบับ ตามรายชื่อข้างต้นนี้ เป็นเอกสารสิ่งพิมพ์ซึ่งต้องห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ครอบครอง
ประกาศมา ณ วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๒๐
สมัคร สุนทรเวช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เชิงอรรถ.
|
13686
|
9593
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13686
|
พระราชบัญญัติธง พ.ศ. ๒๕๒๒
|
← พระราชบัญญัติธง พุทธศักราช ๒๔๗๙
พระราชบัญญัติธง พ.ศ. ๒๕๒๒ (พ.ศ. 2522)
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย)
พระราชบัญญัติธง พ.ศ. ๒๕๒๒สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ประเทศไทย)2522
พระราชบัญญัติธงพ.ศ. ๒๕๒๒
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยธง
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติธง พ.ศ. ๒๕๒๒”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิก
(๑) พระราชบัญญัติธง พุทธศักราช ๒๔๗๙
(๒) พระราชบัญญัติธง (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๘๑
(๓) พระราชบัญญัติธง (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๘๓
(๔) พระราชบัญญัติธง (ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๔๘๕
บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา ๔ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
ธงที่มีความหมายถึงประเทศไทยและชาติไทย
มาตรา ๕ ธงที่มีความหมายถึงประเทศไทยและชาติไทย ได้แก่
(๑) ธงชาติ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๖ ส่วน ยาว ๙ ส่วน ด้านกว้างแบ่งเป็น ๕ แถบตลอดความยาวของผืนธง ตรงกลางเป็นแถบสีน้ำเงินแก่ กว้าง ๒ ส่วน ต่อจากแถบสีน้ำเงินแก่ออกไปทั้งสองข้างเป็นแถบสีขาวกว้างข้างละ ๑ ส่วน ต่อจากแถบสีขาวออกไปทั้งสองข้างเป็นแถบสีแดงกว้างข้างละ ๑ ส่วน ธงชาตินี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ธงไตรรงค์”
(๒) ธงราชนาวี มีลักษณะอย่างเดียวกับธงชาติ แต่ตรงกลางของผืนธงมีดวงกลมสีแดง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๔ ใน ๖ ส่วนของความกว้างของผืนธง โดยให้ขอบของดวงกลมจดขอบแถบสีแดงของผืนธง ภายในดวงกลมมีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นหันหน้าเข้าหาเสาธงหรือคันธง
หมวด ๒
ธงพระอิสริยยศ
มาตรา ๖ ธงสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ ได้แก่
(๑) ธงมหาราชใหญ่ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นธงสีเหลือง มีรูปครุฑพ่าห์สีแดงอยู่ตรงกลาง
(๒) ธงมหาราชน้อย แบ่งตามความยาวออกเป็นสองตอน ตอนต้นมีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงมหาราชใหญ่ แต่กว้างไม่เกิน ๖๐ เซนติเมตร ตอนปลายมีลักษณะเป็นชายต่อสีขาวแปลงเป็นรูปธงยาวเรียวโดยให้ปลายสุดกว้างครึ่งหนึ่งของตอนต้น ปลายธงตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซว ลึก ๓ ใน ๘ ส่วนของความยาวของผืนธง ความยาวของผืนธงเป็น ๘ เท่าของความกว้างของตอนต้น ธงนี้ถ้าชักขึ้นแทนธงมหาราชใหญ่ หมายความว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้งดการยิงสลุตถวายคำนับ
มาตรา ๗ ธงสำหรับองค์สมเด็จพระราชินี ได้แก่
(๑) ธงราชินีใหญ่ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน พื้นธงสีเหลือง ตอนต้น ๒ ใน ๓ ส่วนของความยาวของผืนธงเหมือนธงมหาราชใหญ่ ตอนปลายตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซว ลึก ๑ ใน ๓ ส่วนของความยาวของผืนธง
(๒) ธงราชินีน้อย มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงมหาราชน้อย เว้นแต่ชายต่อเป็นสีแดง ธงนี้ถ้าชักขึ้นแทนธงราชินีใหญ่ หมายความว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้งดการยิงสลุตถวายคำนับ
มาตรา ๘ ธงสำหรับองค์สมเด็จพระบรมราชชนนี ได้แก่
(๑) ธงบรมราชวงศ์ใหญ่ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน พื้นธงสีเหลือง ปลายธงตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซว ลึก ๑ ใน ๓ ส่วนของความยาวของผืนธง ที่ตรงกลางตอนต้น ๒ ใน ๓ ส่วนของผืนธง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาบ มีขนาดกว้างยาวครึ่งหนึ่งของความกว้างของผืนธง ภายในรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาบมีรูปมงกุฎขัตติยราชนารีประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า ๒ ชั้นเหนือตั่ง และมีตั่งลดตั้งฉัตรกลีบบัว ๕ ชั้น อยู่สองข้าง รูปเหล่านี้เป็นสีเหลืองเข้ม
(๒) ธงบรมราชวงศ์น้อย แบ่งตามความยาวออกเป็นสองตอน ตอนต้นมีลักษณะและสีอย่างเดียวกับตอนต้นของธงบรมราชวงศ์ใหญ่ แต่กว้างไม่เกิน ๖๐ เซนติเมตร ตอนปลายมีลักษณะเป็นชายต่อสีแดงแปลงเป็นรูปธงยาวเรียว โดยให้ปลายสุดกว้างครึ่งหนึ่งของตอนต้น ปลายธงตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซว ลึก ๓ ใน ๘ ส่วนของความยาวของผืนธง ความยาวของผืนธงเป็น ๘ เท่าของความกว้างของตอนต้น ธงนี้ถ้าชักขึ้นแทนธงบรมราชวงศ์ใหญ่ หมายความว่า โปรดเกล้าฯ ให้งดการยิงสลุตถวายคำนับ
มาตรา ๙ ธงสำหรับองค์สมเด็จพระยุพราช ได้แก่
(๑) ธงเยาวราชใหญ่ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นธงมีสองสี รอบนอกสีขาบ รอบในสีเหลืองกว้างยาวครึ่งหนึ่งของรอบนอกมีรูปครุฑพ่าห์สีแดงอยู่ตรงกลาง
(๒) ธงเยาวราชน้อย แบ่งตามความยาวออกเป็นสองตอน ตอนต้นมีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงเยาวราชใหญ่ แต่กว้างไม่เกิน ๖๐ เซนติเมตร ตอนปลายมีลักษณะเป็นชายต่อสีขาวแปลงเป็นรูปธงยาวเรียวโดยให้ปลายสุดกว้างครึ่งหนึ่งของตอนต้น ปลายธงตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซวลึก ๓ ใน ๘ ส่วนของความยาวของผืนธง ความยาวของผืนธงเป็น ๘ เท่าของความกว้างของตอนต้น ธงนี้ถ้าชักขึ้นแทนธงเยาวราชใหญ่ หมายความว่าโปรดเกล้าฯ ให้งดการยิงสลุตถวายคำนับ
มาตรา ๑๐ ธงสำหรับองค์พระวรชายาแห่งสมเด็จพระยุพราช ได้แก่
(๑) ธงเยาวราชใหญ่ฝ่ายใน มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน ตอนต้น ๒ ใน ๓ ส่วนของความยาวของผืนธงเหมือนธงเยาวราชใหญ่ ตอนปลายเป็นสีขาบตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซวลึก ๑ ใน ๓ ส่วนของความยาวของผืนธง
(๒) ธงเยาวราชน้อยฝ่ายใน มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงเยาวราชน้อย เว้นแต่ชายต่อเป็นสีแดง ธงนี้ถ้าชักขึ้นแทนธงเยาวราชใหญ่ฝ่ายใน หมายความว่า โปรดให้งดการยิงสลุตถวายคำนับ
มาตรา ๑๑ ธงสำหรับองค์พระราชโอรส สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอหรือสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ แห่งพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาล ได้แก่
(๑) ธงราชวงศ์ใหญ่ฝ่ายหน้า มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นธงสีขาบ มีดวงกลมสีเหลือง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวครึ่งหนึ่งของความกว้างของผืนธงอยู่ตรงกลางของผืนธง ภายในดวงกลมมีรูปครุฑพ่าห์สีแดง
(๒) ธงราชวงศ์น้อยฝ่ายหน้า แบ่งตามความยาวออกเป็นสองตอน ตอนต้นมีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงราชวงศ์ใหญ่ฝ่ายหน้า แต่กว้างไม่เกิน ๖๐ เซนติเมตรตอนปลายมีลักษณะเป็นชายต่อสีขาวแปลงเป็นรูปธงยาวเรียว โดยให้ปลายสุดกว้างครึ่งหนึ่งของตอนต้น ปลายธงตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซวลึก ๓ ใน ๘ ส่วนของความยาวของผืนธง ความยาวของผืนธงเป็น๘ เท่า ของความกว้างของตอนต้น ธงนี้ถ้าชักขึ้นแทนธงราชวงศ์ใหญ่ฝ่ายหน้า หมายความว่า โปรดให้งดการยิงสลุตถวายคำนับ
มาตรา ๑๒ ธงสำหรับองค์พระราชธิดา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ หรือสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ แห่งพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาล ได้แก่
(๑) ธงราชวงศ์ใหญ่ฝ่ายใน มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน ตอนต้น ๒ ใน ๓ ส่วนของความยาวของผืนธงเหมือนธงราชวงศ์ใหญ่ฝ่ายหน้า ตอนปลายเป็นสีขาบตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซวลึก ๑ ใน ๓ ส่วนของความยาวของผืนธง
(๒) ธงราชวงศ์น้อยฝ่ายใน มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงราชวงศ์น้อยฝ่ายหน้า เว้นแต่ชายต่อเป็นสีแดง ธงนี้ถ้าชักขึ้นแทนธงราชวงศ์ใหญ่ฝ่ายใน หมายความว่า โปรดให้งดการยิงสลุตถวายคำนับ
หมวด ๓
ธงทหาร
มาตรา ๑๓ ธงทหาร ได้แก่
(๑) ธงชัยเฉลิมพล เป็นธงประจำหน่วยทหารที่ได้รับพระราชทานมี ๓ ชนิด คือ ธงชัยเฉลิมพลของทหารบก ธงชัยเฉลิมพลของทหารเรือ และธงชัยเฉลิมพลของทหารอากาศ
(๒) ธงราชการทหาร มี ๔ ชนิด คือ ธงฉาน ธงประจำกองทัพบก ธงประจำกองทัพเรือ และธงประจำกองทัพอากาศ
(๓) ธงแสดงยศ ตำแหน่ง และหน่วยทหาร
มาตรา ๑๔ ธงชัยเฉลิมพลของทหารบก มีลักษณะอย่างเดียวกับธงชาติ แต่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ ๗๐ เซนติเมตร ตรงกลางของผืนธงมีอุณาโลมทหารบกและมีชื่อหน่วยทหารสีแดงขลิบริมสีเหลือง เป็นแถวโค้งโอบใต้อุณาโลมทหารบก ผืนธงมุมบนด้านที่ติดกับคันธงมีรูปพระมหามงกุฎและเลขหมายประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์ที่พระราชทานเป็นตัวเลขไทยสีเหลือง ภายใต้พระมหามงกุฎมีพระปรมาภิไธยย่อสีแดงขลิบริมสีเหลืองรัศมีสีฟ้า ขอบธงด้านที่ติดกับคันธงมีเกลียวเชือกสีแดงสลับดำ ด้านอื่นมีแถบจีบสีเหลือง กว้าง ๒ เซนติเมตร
หน่วยทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ซึ่งมีธงชัยเฉลิมพลของทหารบกแล้ว จะมีธงชัยเฉลิมพลของหน่วยทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งธงก็ได้ ธงนี้มีลักษณะอย่างเดียวกับธงชาติ แต่กว้าง ๗๐ เซนติเมตร ยาว ๑๐๕ เซนติเมตร ตรงกลางของผืนธงมีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดง กว้าง ๓๕ เซนติเมตร ยาว ๕๒.๕ เซนติเมตร ภายในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้มีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นหันหน้าเข้าหาคันธง ผืนธงมุมบนด้านที่ติดกับคันธงมีรูปพระมหามงกุฎและเลขหมายประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์ที่พระราชทานเป็นตัวเลขไทยสีเหลือง ภายใต้พระมหามงกุฎมีพระปรมาภิไธยย่อสีเหลือง และมีชื่อหน่วยทหารสีเหลืองเป็นแถวโค้งโอบใต้พระปรมาภิไธยย่อ ขอบธงด้านที่ติดกับคันธงมีเกลียวเชือกสีแดงสลับดำ ด้านอื่นมีแถบจีบสีเหลืองกว้าง ๒ เซนติเมตร
ธงชัยเฉลิมพลของหน่วยทหารในกองบัญชาการทหารสูงสุด มีลักษณะอย่างเดียวกับธงชัยเฉลิมพลของทหารบกตามวรรคหนึ่ง
มาตรา ๑๕ ธงชัยเฉลิมพลของทหารเรือ มีลักษณะอย่างเดียวกับธงชาติ แต่ตรงกลางของผืนธงมีรูปจักรแปดแฉก แฉกของจักรเวียนไปทางซ้ายและมีสมอสอดวงจักร ภายใต้พระมหามงกุฎ รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง ขอบธงด้านที่ติดกับคันธง มีเกลียวเชือกสีแดง
มาตรา ๑๖ ธงชัยเฉลิมพลของทหารอากาศ มีลักษณะอย่างเดียวกับธงชาติ แต่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ ๗๐ เซนติเมตร ตรงกลางของผืนธงมีดวงกลมสีฟ้าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๒ ใน ๓ ส่วนของความกว้างของผืนธง ภายในดวงกลมมีอุณาโลมทหารอากาศ และมีชื่อหน่วยทหารสีแดงขลิบริมสีเหลืองเป็นแถวโค้งโอบใต้ดวงกลมสีฟ้า ผืนธงมุมบนด้านที่ติดกับคันธงมีรูปพระมหามงกุฎและเลขหมายประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์ที่พระราชทานเป็นตัวเลขไทยสีเหลือง ภายใต้พระมหามงกุฎมีพระปรมาภิไธยย่อสีแดงขลิบริมสีเหลืองรัศมีสีฟ้าขอบธงด้านที่ติดกับคันธงมีเกลียวเชือกสีแดงสลับดำ ด้านอื่นมีแถบจีบสีเหลืองกว้าง ๒ เซนติเมตร
มาตรา ๑๗ ธงชัยเฉลิมพลตามมาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ หรือมาตรา ๑๖ จะกำหนดวัตถุที่เป็นผืนธง ลวดลายในผืนธง หรือส่วนประกอบของธงก็ได้ โดยให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๘ ในกรณีที่หน่วยทหารที่ได้รับพระราชทานธงชัยเฉลิมพลแล้วได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ หรือได้รับอิสริยาภรณ์หรือเครื่องหมายเชิดชูเกียรติจากต่างประเทศ จะประดับเครื่องหมายนั้นที่ผืนธงหรือส่วนประกอบของธงก็ให้กระทำได้
มาตรา ๑๙ ธงฉาน มีลักษณะอย่างเดียวกับธงชาติ แต่ตรงกลางของผืนธงมีรูปจักรแปดแฉก แฉกของจักรเวียนไปทางซ้ายและมีสมอสอดวงจักรภายใต้พระมหามงกุฎ รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง
ธงนี้เป็นธงที่ใช้ในเรือพระที่นั่งและเรือหลวง หรือเป็นธงสำหรับหน่วยทหารเรือที่ยกพลขึ้นบกซึ่งหน่วยทหารนั้นไม่ได้รับพระราชทานธงชัยเฉลิมพล
มาตรา ๒๐ ธงประจำกองทัพบก มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน พื้นธงสีแดง ตรงกลางของผืนธงมีรูปเครื่องหมายกองทัพบกเป็นสีเหลือง
มาตรา ๒๑ ธงประจำกองทัพเรือ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๖ ส่วน ยาว ๙ ส่วน พื้นธงสีขาบ ตรงกลางของผืนธงมีดวงกลมสีขาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๔ ใน ๖ ส่วนของความกว้างของผืนธง ภายในดวงกลมมีรูปจักรแปดแฉก แฉกของจักรเวียนไปทางซ้ายและมีสมอสอดวงจักรภายใต้พระมหามงกุฎ รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง
มาตรา ๒๒ ธงประจำกองทัพอากาศ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน พื้นธงสีฟ้า ตรงกลางของผืนธงมีรูปเครื่องหมายกองทัพอากาศเป็นสีเหลือง
มาตรา ๒๓ ธงแสดงยศ ได้แก่
(๑) ธงแสดงยศสำหรับทหารบก
(๒) ธงแสดงยศสำหรับทหารเรือ
(๓) ธงแสดงยศสำหรับทหารอากาศ
มาตรา ๒๔ ธงแสดงยศสำหรับทหารบก มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน พื้นธงสีแดง มี ๕ ชั้น คือ
(๑) ธงจอมพล มีรูปคทากับกระบี่ไขว้เหนือช่อชัยพฤกษ์อยู่ตรงกลางของกลุ่มดาวห้าแฉก ๕ ดวง เรียงเป็นรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ตรงกลางของผืนธง ให้ด้านหนึ่งของรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ด้านล่างขนานกับขอบล่างของผืนธง รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง
(๒) ธงพลเอก มีรูปดาวห้าแฉกสีเหลือง ๔ ดวง เรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนอยู่ตรงกลางของผืนธง ให้มุมแหลมวางตามความยาวของผืนธง
(๓) ธงพลโท มีรูปดาวห้าแฉกสีเหลือง ๓ ดวง เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ตรงกลางของผืนธง ให้ด้านฐานของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ด้านล่างขนานกับขอบล่างของผืนธง
(๔) ธงพลตรี มีรูปดาวห้าแฉกสีเหลือง ๒ ดวง เรียงตามความยาวอยู่ตรงกลางของผืนธง
(๕) ธงพลจัตวา มีรูปดาวห้าแฉกสีเหลือง ๑ ดวง อยู่ตรงกลางของผืนธง
มาตรา ๒๕ ธงแสดงยศสำหรับทหารเรือ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นธงสีขาบมีรูปจักรสีขาวเป็นจักรแปดแฉก แฉกของจักรเวียนไปทางซ้าย มี ๕ ชั้น คือ
(๑) ธงจอมพลเรือ มีรูปจักร ๕ จักร อยู่ที่มุมธงทั้งสี่มุม มุมละ ๑ จักร และอยู่ตรงกลางของผืนธงอีก ๑ จักร
(๒) ธงพลเรือเอก มีรูปจักร ๔ จักร อยู่ที่มุมธงทั้งสี่มุม มุมละ ๑ จักร
(๓) ธงพลเรือโท มีรูปจักร ๓ จักร เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ตรงกลางของผืนธง ให้ด้านฐานของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ด้านล่างขนานกับขอบล่างของผืนธง
(๔) ธงพลเรือตรี มีรูปจักร ๒ จักร เรียงกันในแนวดิ่งอยู่ตรงกลางของผืนธง
(๕) ธงพลเรือจัตวา มีรูปจักร ๑ จักร อยู่ตรงกลางของผืนธง
มาตรา ๒๖ ธงแสดงยศสำหรับทหารอากาศ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๕ ส่วน ยาว ๖ ส่วน พื้นธงสีฟ้า มี ๕ ชั้น คือ
(๑) ธงจอมพลอากาศ มีรูปคทากับกระบี่ไขว้เหนือช่อชัยพฤกษ์อยู่ตรงกลางของกลุ่มดาวห้าแฉก ๕ ดวง เรียงเป็นรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ตรงกลางของผืนธง ให้ด้านหนึ่งของรูปห้าเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ด้านล่างขนานกับขอบล่างของผืนธง รูปเหล่านี้เป็นสีขาว
(๒) ธงพลอากาศเอก มีรูปดาวห้าแฉกสีขาว ๔ ดวง เรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนอยู่ตรงกลางของผืนธง ให้มุมแหลมวางตามความยาวของผืนธง
(๓) ธงพลอากาศโท มีรูปดาวห้าแฉกสีขาว ๓ ดวง เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ตรงกลางของผืนธง ให้ด้านฐานของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าอยู่ด้านล่างขนานกับขอบล่างของผืนธง
(๔) ธงพลอากาศตรี มีรูปดาวห้าแฉกสีขาว ๒ ดวง เรียงตามความยาวอยู่ตรงกลางของผืนธง
(๕) ธงพลอากาศจัตวา มีรูปดาวห้าแฉกสีขาว ๑ ดวง อยู่ตรงกลางของผืนธง
มาตรา ๒๗ ธงแสดงตำแหน่ง ได้แก่
(๑) ธงผู้บัญชาการทหารสูงสุด
(๒) ธงแสดงตำแหน่งสำหรับทหารบก
(๓) ธงแสดงตำแหน่งสำหรับทหารเรือ
(๔) ธงผู้บัญชาการทหารอากาศ
มาตรา ๒๘ ธงผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน ด้านยาวของผืนธงแบ่งเป็นสามตอนเท่ากัน ตอนต้นของผืนธงสีแดง ตอนกลางสีขาบและตอนปลายสีฟ้า ตรงกลางของผืนธงมีรูปจักรแปดแฉก แฉกของจักรเวียนไปทางขวา และมีสมอสอดวงจักร ด้านซ้ายและด้านขวาของรูปจักรมีรูปปีกนกกางล้อมรอบด้วยช่อชัยพฤกษ์ ภายใต้ช่อชัยพฤกษ์มีรูปดาวห้าแฉก ๕ ดวง อยู่ตรงกลาง ๑ ดวง และโอบขึ้นไปทางซ้ายและขวาของดวงที่อยู่ตรงกลางอีกข้างละ ๒ ดวง รูปเหล่านี้เป็นสีเหลืองเว้นแต่สมอเป็นสีเงินและดาวเป็นสีทอง ขอบธงมีแถบจีบสีเหลืองนอกจากด้านที่ติดกับคันธง
มาตรา ๒๙ ธงแสดงตำแหน่งสำหรับทหารบก ได้แก่
(๑) ธงผู้บัญชาการทหารบก มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน พื้นธงสีแดง ตรงกลางของผืนธงมีรูปเครื่องหมายกองทัพบก ภายใต้เครื่องหมายกองทัพบกมีรูปดาวห้าแฉก ๕ ดวง อยู่ตรงกลาง ๑ ดวง และโอบขึ้นไปทางซ้ายและขวาของดวงที่อยู่ตรงกลางอีกข้างละ ๒ ดวง รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง
(๒) ธงแม่ทัพ มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงผู้บัญชาการทหารบก เว้นแต่มีรูปดาวห้าแฉก ๓ ดวง อยู่ตรงกลางภายใต้เครื่องหมายกองทัพบก ๑ ดวง และอยู่ทางซ้ายและขวาของเครื่องหมายนั้นข้างละ ๑ ดวง
(๓) ธงผู้บัญชาการกองพล มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงผู้บัญชาการทหารบก เว้นแต่มีรูปดาวห้าแฉก ๒ ดวง อยู่ทางซ้ายและขวาของเครื่องหมายกองทัพบกข้างละ ๑ ดวง
มาตรา ๓๐ ธงแสดงตำแหน่งสำหรับทหารเรือ ได้แก่
(๑) ธงผู้บัญชาการทหารเรือ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน พื้นธงสีขาบ ตรงกลางของผืนธงมีรูปจักรแปดแฉก แฉกของจักรเวียนไปทางซ้าย และมีสมอสอดวงจักรภายใต้พระมหามงกุฎ รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง
(๒) ธงผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงผู้บัญชาการทหารเรือ แต่ตอนต้น ๒ ใน ๓ ส่วนของความยาวมีรูปจักรแปดแฉก แฉกของจักรเวียนไปทางซ้าย และมีสมอสอดวงจักรภายใต้พระมหามงกุฎอยู่ตรงกลาง และปลายธงตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซวลึก ๑ ใน ๓ ส่วนของความยาวของผืนธง
(๓) ธงผู้บังคับการกองเรือ มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ แต่ปลายธงที่เป็นแฉกรูปหางนกแซงแซวเป็นสีขาว
(๔) ธงผู้บังคับหมวดเรือ มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ด้านฐานที่อยู่ทางคันธง กว้าง ๒ ส่วน ผืนธงยาว ๕ ส่วน พื้นธงสีขาบตอนต้น ๒ ใน ๕ ส่วนของผืนธงมีสมอสีเหลืองอยู่ตรงกลาง
(๕) ธงผู้บังคับหมู่เรือ มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงผู้บังคับหมวดเรือ แต่ตอนปลาย ๓ ใน ๕ ส่วนของผืนธงเป็นสีขาว
(๖) ธงหัวหน้าชั่วคราว มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงผู้บังคับหมวดเรือ แต่ตอนต้น ๒ ใน ๕ ส่วนของผืนธงเป็นสีขาว มีสมอสีขาบอยู่ตรงกลาง
(๗) ธงผู้บังคับการเรือ มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ด้านฐานที่อยู่ทางคันธง กว้างไม่เกิน ๒๐ เซนติเมตร ผืนธงยาว ๓๐ เท่าของด้านฐาน ตอนต้น ๑ ใน ๓ ส่วนของผืนธงเป็นสีแดง ตอนปลาย ๒ ใน ๓ ส่วนของผืนธงเป็นสีขาบ
(๘) ธงผู้บัญชาการฐานทัพเรือ มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ แต่ปลายธงที่เป็นแฉกรูปหางนกแซงแซวเป็นสีฟ้า
(๙) ธงผู้บังคับการสถานีทหารเรือ มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ แต่ปลายธงที่เป็นแฉกรูปหางนกแซงแซวเป็นสีแดง
(๑๐) ธงผู้บัญชาการกรมนาวิกโยธิน มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ แต่ปลายธงที่เป็นแฉกรูปหางนกแซงแซวเป็นสีเหลือง
มาตรา ๓๑ ธงผู้บัญชาการทหารอากาศ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน พื้นธงสีฟ้า ขอบธงขลิบริมสีเหลืองทั้ง ๔ ด้าน และตรงกลางของผืนธงมีรูปปีกนกสีเหลือง ๒ ปีก ระหว่างหัวปีกมีรูปธงชาติเฉียงอยู่ในอาร์ม เหนืออาร์มมีอุณาโลมสีขาวภายใต้พระมหามงกุฎเปล่งรัศมีมีสีเหลือง
มาตรา ๓๒ ธงแสดงหน่วยทหารบก ได้แก่
(๑) ธงแสดงหน่วยกองทัพ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน แบ่งสีเป็น ๒ ส่วน ส่วนบนคือส่วนจากมุมล่างทางด้านคันธงตัดเฉียงขึ้นไปถึงมุมบนเป็นสีแดง ส่วนล่างคือส่วนที่เหลือ เป็นสีบานเย็น ในส่วนที่เป็นสีแดงตอนมุมบนของผืนธงด้านที่ติดกับคันธงมีเครื่องหมายกองทัพบก ใต้เครื่องหมายกองทัพบกมีดาวห้าแฉกสีเหลือง ๓ ดวง เรียงตามความยาวของผืนธง
(๒) ธงแสดงหน่วยกองพล มีลักษณะอย่างเดียวกับธงแสดงหน่วยกองทัพ แต่ใต้เครื่องหมายกองทัพบกมีดาวห้าแฉกสีเหลือง ๒ ดวง เรียงตามความยาวของผืนธง
(๓) ธงแสดงหน่วยกรม มีลักษณะอย่างเดียวกับธงแสดงหน่วยกองพล แต่ใต้เครื่องหมายกองทัพบกไม่มีดาว สำหรับธงแสดงหน่วยกรมนักเรียนนายร้อย ผืนธงส่วนล่างเป็นสีเหลือง มุมบนของผืนธงด้านที่ติดกับคันธงมีตราแผ่นดินในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแทนเครื่องหมายกองทัพบก และมีแถบโอบใต้ตราแผ่นดิน รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง ภายในแถบมีความว่า “กรมนักเรียนนายร้อย” เป็นอักษรสีแดงสำหรับหน่วยรบพิเศษซึ่งอยู่ในระดับเทียบเท่าหน่วยกรม ตรงกลางของผืนธงส่วนล่างมีเครื่องหมายนักโดดร่มสีเหลืองขนาดพองาม และสำหรับหน่วยบินซึ่งอยู่ในระดับเทียบเท่าหน่วยกรม ตรงกลางของผืนธงส่วนล่างมีเครื่องหมายแสดงความสามารถในการบินสีขาวขนาดพองาม
(๔) ธงแสดงหน่วยกองพัน มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน แบ่งสีเป็น ๒ ส่วน ส่วนบนคือส่วนจากมุมล่างทางด้านคันธงตัดเฉียงไปถึงมุมบนเป็นสีแดง ส่วนล่างคือส่วนที่เหลือแบ่งออกไปอีกเป็นสองตอน โดยแบ่งจากจุดกึ่งกลางของเส้นทแยงมุมตัดเฉียงลงถึงมุมล่างด้านนอก ตอนต้นทางด้านที่ติดกับคันธงเป็นสีตามสีของหน่วยทหาร ตอนปลายเป็นสีขาว มุมบนของผืนธงด้านที่ติดกับคันธงมีเครื่องหมายกองทัพบก สำหรับธงแสดงหน่วยกองพันทหารราบ ให้มีแถบสีแดงทับรอยต่อเส้นทแยงตัดเฉียง สำหรับกองพันนักเรียนนายร้อย ส่วนล่างของผืนธงด้านที่ติดกับคันธงเป็นสีเหลือง มุมบนของผืนธงด้านที่ติดกับคันธงมีตราแผ่นดินและมีแถบอย่างเดียวกับธงแสดงหน่วยกรมนักเรียนนายร้อย สำหรับหน่วยรบพิเศษซึ่งอยู่ในระดับเทียบเท่าหน่วยกองพัน ตรงกลางของผืนธงส่วนล่างมีเครื่องหมายนักโดดร่มสีเหลืองขนาดพองาม และสำหรับหน่วยบินซึ่งอยู่ในระดับเทียบเท่าหน่วยกองพันตรงกลางของผืนธงส่วนล่างมีเครื่องหมายแสดงความสามารถในการบินสีขาวขนาดพองาม
ผืนธงส่วนล่างของธงแสดงหน่วยทหารตาม (๒) (๓) และ (๔) เป็นสีตามสีของหน่วยทหาร ดังต่อไปนี้
<table border="0" cellpadding="5" style="width:90%" id="iii-p0.3">
<tr id="iii-p0.4">
<th class="tdl" id="iii-p0.5"> </th>
<th class="tdr" id="iii-p0.6"> </th>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(ก) ทหารราบ และหน่วยรบพิเศษ</td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9">สีขาว</td>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(ข) ทหารม้า</td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9">สีฟ้าหม่น</td>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(ค) ทหารปืนใหญ่ และนักเรียนนายร้อย </td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9"> สีเหลือง</td>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(ง) ทหารช่าง</td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9">สีดำ</td>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(จ) ทหารสื่อสาร</td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9">สีม่วง</td>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(ฉ) ทหารขนส่ง</td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9">สีเลือดหมู</td>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(ช) ทหารแพทย์ </td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9">สีเขียว</td>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(ซ) ทหารสารวัตร </td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9">สีน้ำเงิน</td>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(ฌ) ทหารสรรพาวุธ</td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9">สีแสด</td>
</tr>
<tr id="iii-p0.7">
<td class="tdl" id="iii-p0.8">
<td class="tdr" id="iii-p0.9">(ญ) หน่วยบิน </td>
<td class="tdr" id="iii-p0.9">สีฟ้าอ่อน</td>
</tr>
</table>
ธงแสดงหน่วยทหารตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔) ถ้ามีหน่วยที่เป็นเหล่าและอยู่ในระดับเดียวกันตั้งแต่ ๒ หน่วยขึ้นไป ให้มีอักษรย่อชื่อหน่วยหรือเลขหมายหน่วยเป็นตัวเลขไทยอยู่ตรงกลางของส่วนล่างของผืนธง
นอกจากที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ทหารบกจะมีธงแสดงหน่วยทหารอื่นอีกหรือจะมีธงแสดงหน่วยทหารสำหรับหน่วยทหารที่อยู่ในระดับเทียบเท่าหน่วยกองทัพ หน่วยกองพล หน่วยกรม หน่วยกองพันอื่นอีกก็ได้โดยให้กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๓๓ ธงแสดงหน่วยทหารอากาศ มี
(๑) ธงแสดงหน่วยที่เป็นส่วนกำลังรบ ตั้งแต่ระดับฝูงบินหรือกองพันขึ้นไป มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน พื้นธงสีฟ้า ตรงกลางของผืนธงมีรูปเครื่องหมายกองทัพอากาศเป็นสีเหลือง และมีชื่อหน่วยทหารนั้น ๆ เป็นสีน้ำเงินดำเป็นแถวโค้งโอบใต้รูปเครื่องหมายกองทัพอากาศ
(๒) ธงแสดงหน่วยแยกอิสระที่เป็นส่วนกำลังรบ ตามที่กองทัพอากาศกำหนดมีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงแสดงหน่วยที่เป็นส่วนกำลังรบตั้งแต่ระดับฝูงบินหรือกองพันขึ้นไป
หมวด ๔
ธงพิทักษ์สันติราษฎร์
มาตรา ๓๔ ธงพิทักษ์สันติราษฎร์ของกรมตำรวจ มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ แต่ที่ตรงกลางของผืนธงมีรูปตราแผ่นดินในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วยความว่า “พิทักษ์สันติราษฎร์” ปักด้วยดิ้นเงินโอบใต้ตราแผ่นดิน
ธงพิทักษ์สันติราษฎร์ตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดวัตถุที่ทำเป็นลวดลายในผืนธงหรือจะกำหนดส่วนประกอบของธงก็ได้ โดยให้กำหนดในกฎกระทรวง
หมวด ๕
ธงกองอาสารักษาดินแดนและกองอาสารักษาดินแดนจังหวัด
มาตรา ๓๕ ธงกองอาสารักษาดินแดน มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ แต่ผืนธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ ๗๒ เซนติเมตร ด้านหน้าของผืนธงมุมบนด้านที่ติดกับคันธงมีรูปพระมหามงกุฎและเลขหมายประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์ที่พระราชทานเป็นตัวเลขไทยสีเหลือง ภายใต้พระมหามงกุฎมีพระปรมาภิไธยย่อเป็นสีทองขลิบริมสีเหลืองรัศมีสีทอง และที่ตรงกลางของผืนธงมีดวงกลมสีแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๓๔ เซนติเมตร ขอบรอบวงกลมเป็นสีเหลือง มีรูปพระนเรศวรทรงช้างอยู่ภายในดวงกลมและมีความว่า “กองอาสารักษาดินแดน” ปักด้วยดิ้นทองเป็นแถวโค้งโอบใต้ดวงกลมนั้น ด้านหลังที่ตรงกลางของผืนธงมีรูปช่อชัยพฤกษ์และอุณาโลมอยู่ตรงกลางภายใต้พระมหามงกุฎ ปักด้วยดิ้นทอง ขอบธงด้านที่ติดกับคันธงเป็นสีแดง ด้านอื่นเป็นกรุยสีเหลือง
มาตรา ๓๖ ธงกองอาสารักษาดินแดนจังหวัด มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงกองอาสารักษาดินแดน แต่ด้านหน้าของผืนธงที่ใต้ความว่า “กองอาสารักษาดินแดน” ให้มีชื่อจังหวัดที่กองอาสารักษาดินแดนตั้งอยู่ ปักด้วยดิ้นทอง
มาตรา ๓๗ ธงตามมาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๖ จะกำหนดวัตถุที่ทำเป็นลวดลายในผืนธงหรือจะกำหนดส่วนประกอบของธงก็ได้ โดยให้กำหนดในกฎกระทรวง
หมวด ๖
ธงคณะลูกเสือแห่งชาติและธงลูกเสือจังหวัด
มาตรา ๓๘ ธงคณะลูกเสือแห่งชาติ มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ แต่ผืนธงกว้าง ๕๐ เซนติเมตร ยาว ๕๒ เซนติเมตร ตรงกลางของผืนธงมีตราธรรมจักรสีเหลืองขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๓๒ เซนติเมตร
มาตรา ๓๙ ธงลูกเสือจังหวัด มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ แต่ผืนธงกว้าง ๔๐ เซนติเมตร ยาว ๖๐ เซนติเมตร ตรงกลางของผืนธงมีดวงกลมสีเหลืองขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๒๗ เซนติเมตร มีขอบรอบดวงกลมเป็นสีดำ ๒ ขอบซ้อนกัน ขอบนอกกว้าง ๒ มิลลิเมตร ขอบในกว้าง ๑ มิลลิเมตร ระยะระหว่างขอบนอกกับขอบในห่างกัน ๒ มิลลิเมตร ตรงกลางของดวงกลมมีตราคณะลูกเสือแห่งชาติเป็นสีเหลือง และใต้ตรานั้นให้มีชื่อจังหวัดเป็นอักษรสีดำ
หมวด ๗
ธงราชการทั่วไป
มาตรา ๔๐ ให้ใช้ธงชาติเป็นธงแสดงตำแหน่งราชการหรือส่วนราชการที่พระราชบัญญัตินี้มิได้กำหนดลักษณะของธงไว้โดยเฉพาะ
มาตรา ๔๑ ธงดังต่อไปนี้ ให้ใช้เป็นธงราชการที่ชักขึ้นในเรือเฉพาะเวลาปฏิบัติการตามหน้าที่
(๑) ธงเจ้าพนักงานนำร่อง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๘ ส่วน ยาว ๑๒ ส่วน ขอบผืนธงเป็นแถบสีขาว กว้าง ๑ ใน ๘ ส่วนของความกว้างของผืนธง ภายในแถบสีขาวมีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ
(๒) ธงเจ้าพนักงานตรวจท่า มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ด้านฐานที่อยู่ติดกับคันธง กว้าง ๑ ส่วน ผืนธงยาว ๒ ส่วน ตอนต้น ๑ ใน ๓ ส่วนของผืนธงมีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ และตอนปลาย ๒ ใน ๓ ส่วนของผืนธงเป็นสีขาว
(๓) ธงพนักงานการสื่อสารแห่งประเทศไทย มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธง เจ้าพนักงานตรวจท่า เว้นแต่ตอนปลายของผืนธงเป็นสีแดง ที่ตรงกลางของผืนธงที่เป็นสีแดงมีรูปแตรงอนในแนวนอนเหนือแตรงอนมีอุณาโลมในพระมหามงกุฎเปล่งรัศมี รูปเหล่านี้เป็นสีเหลือง
(๔) ธงเจ้าพนักงานศุลกากร มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงเจ้าพนักงานตรวจท่า เว้นแต่ตอนปลายของผืนธงเป็นสีเขียวใบไม้
(๕) ธงเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงเจ้าพนักงานตรวจท่า เว้นแต่ตอนปลายของผืนธงเป็นสีเหลือง ที่ตรงกลางของผืนธงที่เป็นสีเหลืองมีรูปพระแสงดาบเขนและโล่สีเลือดหมู
(๖) ธงเจ้าพนักงานตำรวจน้ำ มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ด้านฐานที่อยู่ติดกับคันธงกว้าง ๑ ส่วน ผืนธงยาว ๓ ส่วน ตอนต้น ๑ ใน ๓ ส่วนของผืนธงมีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ และตอนปลาย ๒ ใน ๓ ส่วนของผืนธงเป็นสีเลือดหมู ที่ตรงกลางของผืนธงมีรูปพระแสงดาบเขนและโล่สีเหลือง
มาตรา ๔๒ ธงเรือยนต์หลวง มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว พื้นธงสีแดง ด้านฐานที่อยู่ติดกับคันธงกว้าง ๑ ส่วน ผืนธงยาว ๒ ส่วน ตอนต้นของผืนธงมีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาบ ขนาดกว้าง ๑ ใน ๒ ส่วนของความกว้างของผืนธง ตอนกลางของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีรูปพระมหามงกุฎสีเหลือง
หมวด ๘
ธงแสดงตำแหน่งทั่วไป
มาตรา ๔๓ ธงแสดงตำแหน่งทั่วไป มี
(๑) ธงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นธงสีขาว ตรงกลางของผืนธงมีอาร์มสีเหลือง กว้าง ๑ ใน ๓ ส่วนของความกว้างของผืนธง ภายในอาร์มสีเหลืองมีอาร์มสีธงชาติกว้าง ๓ ใน ๕ ส่วนของความกว้างของอาร์มสีเหลือง เหนืออาร์มมีครุฑพ่าห์สีแดงขนาดเท่าอาร์มสีเหลือง
(๒) ธงประธานรัฐสภา มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๕ ส่วน ยาว ๖ ส่วน พื้นธงสีขาว ตรงกลางของผืนธงมีรูปรัฐธรรมนูญประดิษฐานอยู่บนพาน ๒ ชั้นสีทอง ภายใต้พระมหามงกุฎสีเหลือง รูปนี้อยู่ระหว่างกลางลายกระหนกสีแดง
(๓) ธงนายกรัฐมนตรี มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๕ ส่วน ยาว ๖ ส่วน พื้นธงสีขาว ตรงกลางของผืนธงมีรูปวงกลมมีเส้นรอบวงเป็นเส้นคู่ ตรงกลางของวงกลมมีรูปรัฐธรรมนูญมีรัศมีประดิษฐานอยู่บนพาน ๒ ชั้นเหนือตั่ง มีรูปราชสีห์กับคชสีห์ยืนในท่าเผ่นหันหน้าเข้าหากันอยู่ ๒ ข้าง รูปเหล่านี้เป็นสีแดงอยู่ภายใต้พระมหามงกุฎสีเหลือง
(๔) ธงประธานศาลฎีกา มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๕ ส่วน ยาว ๖ ส่วน พื้นธงสีขาว ตรงกลางของผืนธงมีรูปวงกลมมีเส้นรอบวงเป็นเส้นคู่ ตรงกลางของวงกลมมีรูปพระแสงขรรค์เป็นหลักมีดุลเกี่ยวขัดไว้ที่ด้ามพระแสงขรรค์ รูปเหล่านี้เป็นสีแดงอยู่ภายใต้พระมหามงกุฎสีเหลือง
(๕) ธงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๕ ส่วน ยาว ๖ ส่วน พื้นธงสีขาว ตรงกลางของผืนธงมีรูปจักรสีแดงแปดแฉก แฉกของจักรเวียนไปทางขวาและมีสมอสีขาบสอดวงจักร ด้านซ้ายและด้านขวาของรูปจักรมีรูปปีกนกกางเป็นสีฟ้า อยู่ภายใต้พระมหามงกุฎสีเหลือง
(๖) ธงราชทูต มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ ตรงกลางของผืนธงมีดวงกลมสีขาบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๒ ใน ๓ ส่วนของความกว้างของผืนธง ภายในดวงกลมมีช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นหันหน้าเข้าหาคันธง ธงนี้ให้ใช้สำหรับหัวหน้าคณะผู้แทนทางทูตซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโดยมีพระราชสาส์นตราตั้ง
(๗) ธงกงสุล มีลักษณะและสีอย่างเดียวกับธงชาติ ตรงกลางของผืนธงมีดวงกลมสีขาบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๒ ใน ๓ ส่วนของความกว้างของผืนธง ภายในดวงกลมมีช้างเผือกหันหน้าเข้าหาคันธง ธงนี้ให้ใช้สำหรับหัวหน้าสถานที่ทำการทางกงสุลซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโดยมีพระบรมราชโองการ
มาตรา ๔๔ ให้นายกรัฐมนตรีหรือส่วนราชการที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายจัดทำรูปธงให้ถูกต้องตามลักษณะที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ไว้เป็นตัวอย่าง
หมวด ๙
การใช้ ชัก หรือแสดงธง
มาตรา ๔๕ การใช้ ชัก หรือแสดงธงที่มีความหมายถึงประเทศไทยหรือชาติไทยตามมาตรา ๕ ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
มาตรา ๔๖ การใช้ ชัก หรือแสดงธงของต่างประเทศในราชอาณาจักร ให้กระทำได้เฉพาะธงชาติ ธงราชนาวี หรือธงประจำกองทัพเรือ ธงสำหรับองค์ราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท ธงแสดงตำแหน่งประมุขของรัฐ หรือหัวหน้ารัฐบาล ธงแสดงตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้แทนทางทูต ธงแสดงตำแหน่งหัวหน้าสถานที่ทำการทางกงสุล ธงของรัฐต่างประเทศ ธงขององค์การระหว่างประเทศที่รัฐบาลไทยเป็นสมาชิกและธงอื่นของต่างประเทศซึ่งได้รับอนุญาตจากนายกรัฐมนตรี
การใช้ ชัก หรือแสดงธงของต่างประเทศตามวรรคหนึ่งให้กระทำได้ ณ ที่ ดังต่อไปนี้
(๑) สถานที่พักอาศัยหรือยานพาหนะสำหรับองค์ราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท ประมุขของรัฐหรือผู้แทน หรือหัวหน้ารัฐบาลในโอกาสที่มาเยือนประเทศไทย
(๒) สถานที่ทำการของคณะผู้แทนทางทูต สถานที่ทำการทางกงสุล หรือสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศ และรวมถึงหน่วยงานขององค์การระหว่างประเทศ
(๓) สถานที่อยู่ ที่พักอาศัยหรือยานพาหนะสำหรับหัวหน้าคณะผู้แทนทางทูต หัวหน้าสถานที่ทำการทางกงสุล หรือหัวหน้าสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศ และรวมถึงหัวหน้าหน่วยงานขององค์การระหว่างประเทศ
(๔) เรือหรืออากาศยานต่างประเทศหรือขององค์การระหว่างประเทศ
(๕) เรือหรืออากาศยานของรัฐต่างประเทศ หรือ
(๖) สถานที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศให้ใช้ ชัก หรือแสดงธงได้ หรือตามที่ได้รับอนุญาตจากนายกรัฐมนตรี
การใช้ ชัก หรือแสดงธงตาม (๑) ถึง (๔) ให้เป็นไปตามขนบธรรมเนียมระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ หรือความตกลงกับรัฐบาลไทย
การใช้ ชัก หรือแสดงธงตาม (๕) และ (๖) ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
มาตรา ๔๗ บทบัญญัติมาตรา ๔๖ มิให้ใช้บังคับแก่การใช้ ชัก หรือแสดงธงของต่างประเทศภายในห้องของอาคาร
หมวด ๑๐
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๔๘ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๙ ผู้ใดใช้ ชัก หรือแสดงธงอื่นของต่างประเทศนอกจากธงที่กำหนดให้ใช้ ชัก หรือแสดงได้ตามมาตรา ๔๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๕๐ ผู้ใดใช้ ชัก หรือแสดงธงต่างประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๖ วรรคสอง วรรคสาม หรือวรรคสี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๕๑ ผู้ใดใช้ ชัก หรือแสดงธงอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ได้บัญญัติกำหนดลักษณะไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้โดยไม่มีสิทธิ หรือใช้ ชัก หรือแสดงธงที่คล้ายคลึงกับธงดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๕๒ ผู้ใดใช้หรือแสดงธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงที่ได้กำหนดลักษณะไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ไว้ที่สิ่งบรรจุ หีบห่อ สิ่งหุ้มห่อ สิ่งผูกมัด หรือสิ่งใด ๆ ทั้งนี้ โดยไม่สมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๕๓ ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อธงตามมาตรา ๕ หรือมาตรา ๖ ดังต่อไปนี้
(๑) ประดิษฐ์รูป ตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายอื่นใดในผืนธง รูปจำลองของธง หรือในแถบสีธง นอกจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น
(๓) ใช้ ชัก หรือแสดงธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงไว้ ณ ที่หรือโดยวิธีอันไม่สมควร
(๔) ประดิษฐ์ธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงไว้ ณ ที่หรือสิ่งใด ๆ โดยไม่สมควร
(๕) แสดงหรือใช้สิ่งใด ๆ ที่มีรูปธง รูปจำลองของธง หรือมีแถบสีธงอันมีลักษณะตาม (๔) โดยไม่สมควร
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๕๔ ผู้ใดกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงที่ได้บัญญัติกำหนดลักษณะไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๕๕ ธงชัยเฉลิมพลหรือธงประจำกองทหารบก ธงประจำกองทหารเรือ และธงประจำกองทหารอากาศ ที่ใช้อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นธงชัยเฉลิมพลตามพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะได้รับพระราชทานธงชัยเฉลิมพลใหม่
มาตรา ๕๖ ในระหว่างที่ยังมิได้ออกกฎกระทรวงหรือประกาศตามพระราชบัญญัตินี้ให้บรรดากฎกระทรวงและประกาศที่ได้ออกตามพระราชบัญญัติธง พุทธศักราช ๒๔๗๙ และใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
|
13687
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13687
|
พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
|
= พระราชบัญญัติ<br>ข้อมูลข่าวสารของราชการ<br>พ.ศ. 2540 =
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.<br>
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐<br>
เป็นปีที่ ๕๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐"
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ บรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่บัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
" ข้อมูลข่าวสาร " หมายความว่า สิ่งที่สื่อความหมายให้รู้เรื่องราวข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือสิ่งใด ๆ ไม่ว่าการสื่อความหมายนั้นจะทำได้โดยสภาพของสิ่งนั้นเองหรือโดยผ่านวิธีการ ใด ๆ และไม่ว่าจะได้จัดทำไว้ในรูปของเอกสาร แฟ้ม รายงาน หนังสือ แผนผัง แผนที่ ภาพวาด ภาพถ่าย พิล์ม การบันทึกภาพ หรือเสียง การบันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือวิธีอื่นใดที่ทำให้สิ่งที่บันทึกไว้ปรากฏได้
" ข้อมูลข่าวสารของราชการ " หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครอง หรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐ หรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเอกชน " หน่วยงานของรัฐ " หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ศาลเฉพาะในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดี องค์กรควบคุมการประกอบวิชาชีพ หน่วยงานอิสระของรัฐและหน่วยงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
" เจ้าหน้าที่ของรัฐ " หมายความว่า ผู้ซึ่งปฏิบัติงานให้แก่หน่วยงานของรัฐ
" ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล " หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งเฉพาะตัวของบุคคล เช่น การศึกษา ฐานะการเงิน ประวัติสุขภาพ ประวัติอาชญากรรม หรือประวัติการทำงาน บรรดาที่มีชื่อของผู้นั้นหรือมีเลขหมายรหัส หรือสิ่งบอกลักษณะอื่นที่ทำให้รู้ตัวผู้นั้นได้ เช่น ลายพิมพ์นิ้วมือ แผ่นบันทึกลักษณะเสียงของคนหรือรูปถ่าย และให้หมายความรวมถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งเฉพาะตัวของผู้ที่ถึงแก่ กรรมแล้วด้วย
" คณะกรรมการ " หมายความว่า คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
" คนต่างด้าว " หมายความว่า บุคคลธรรมดาที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยและนิติบุคคลดังต่อไปนี้
(๑) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่มีทุนเกินกึ่งหนึ่งเป็นของคนต่างด้าว ใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ให้ถือว่าใบหุ้นนั้นคนต่างด้าวเป็นผู้ถือ
(๒) สมาคมที่มีสมาชิกเกินกึ่งหนึ่งเป็นคนต่างด้าว
(๓) สมาคมหรือมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของคนต่างด้าว
(๔) นิติบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) หรือนิติบุคคลอื่นใดที่มีผู้จัดการหรือกรรมการเกินกึ่งหนึ่งเป็นคนต่างด้าว นิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง ถ้าเข้าไปเป็นผู้จัดการหรือกรรมการ สมาชิก หรือมีทุนในนิติบุคคลอื่นให้ถือว่าผู้จัดการหรือกรรมการ หรือสมาชิก หรือเจ้าของทุนดังกล่าวเป็นคนต่างด้าว มาตรา ๕ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา ๖ ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการขึ้นในสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานด้านวิชาการและธุรการให้แก่คณะกรรมการและ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ และให้คำปรึกษาแก่เอกชนเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
หมวด ๑<br>การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร.
มาตรา ๗ หน่วยงานของรัฐต้องส่งข้อมูลข่าวสารของราชการอย่างน้อยดังต่อไปนี้ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา
(๑) โครงสร้างและการจัดองค์การในการดำเนินงาน
(๒) สรุปอำนาจหน้าที่ที่สำคัญและวิธีการดำเนินงาน
(๓)สถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสารหรือคำแนะนำในการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ
(๔) กฎ มติคณะรัฐมนตรี ข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือเวียน ระเบียบ แบบแผน นโยบายหรือ การตีความ ทั้งนี้ เฉพาะที่จัดให้มีขึ้นโดยมีสภาพอย่างกฎ เพื่อให้มีผลการทั่วไปต่อเอกชนที่เกี่ยวข้อง
(๕) ข้อมูลข่าวสารอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด
ข้อมูลข่าวสารใดที่ได้มีการจัดพิมพ์เพื่อให้แพร่หลายตามจำนวนพอสมควรแล้ว ถ้ามีการลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาโดยอ้างอิงสิ่งพิมพ์นั้นก็ให้ถือว่าเป็น การปฏิบัติตามบทบัญญัติวรรคหนึ่งแล้วให้หน่วยงานของรัฐรวบรวมและจัดให้มี ข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งไว้เผยแพร่เพื่อขายหรือจำหน่ายจ่ายแจก ณ ที่ทำการของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นตามที่เห็นสมควร
มาตรา ๘ ข้อมูลข่าวสารที่ต้องลงพิมพ์ตามมาตรา ๗ (๔) ถ้ายังไม่ได้ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา จะนำมาใช้บังคับในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ผู้ใดไม่ได้ เว้นแต่ผู้นั้นจะได้รู้ถึงข้อมูลข่าวสารนั้นตามความเป็นจริงมาก่อนแล้วเป็น เวลาพอสมควร
มาตรา ๙ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีข้อมูลข่าวสารของราชการอย่างน้อยดังต่อไปนี้ไว้ ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
(๑) ผลการพิจารณาหรือคำวินิจฉัยที่มีผลโดยตรงต่อเอกชน รวมทั้งความเห็นแย้งและคำสั่งที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาวินิจฉัยดังกล่าว
(๓) แผนงาน โครงการ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีของปีที่กำลังดำเนินการ
(๔) คู่มือหรือคำสั่งเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีผลกระทบถึงสิทธิหน้าที่ของเอกชน
(๕) สิ่งพิมพ์ที่ได้มีการอ้างอิงถึงมาตรา ๗ วรรคสอง
(๖) สัญญาสัมปทาน สัญญาที่มีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอนหรือสัญญาร่วมทุนกับเอกชนในการจัดทำบริการสาธารณะ
(๗) มติคณะรัฐมนตรี หรือมติคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยกฎหมาย หรือโดยมติคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้ระบุรายชื่อรายงานทางวิชาการ รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อมูลข่าวสารที่นำมาใช้ในการพิจารณาไว้ด้วย
(๘) ข้อมูลข่าวสารอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด
ข้อมูลข่าวสารที่จัดให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ตามวรรคหนึ่งถ้ามีส่วนที่ต้องห้ามมิให้เปิดเผยตามมาตรา ๑๔ หรือ มาตรา ๑๕ อยู่ด้วย ให้ลบหรือตัดทอนหรือทำโดยประการอื่นใดที่ไม่เป็นการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนนั้น
บุคคลไม่ว่าจะมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม ย่อมมีสิทธิ์เข้าตรวจดู ขอสำเนาหรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งได้ ในกรณีที่สมควรหน่วยงานของรัฐ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการจะวางหลักเกณฑ์เรียกค่าธรรมเนียมในการนั้นก็ได้ ในการนี้
ให้คำนึงถึงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยประกอบ ทั้งนี้ เว้นแต่จะมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
คนต่างด้าวจะมีสิทธิตามมาตรานี้เพียงใดให้เป็นไปตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง
มาตรา ๑๐ บทบัญญัติมาตรา ๗ และมาตรา ๙ ไม่กระทบถึงข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีกฎหมายเฉพาะกำหนดให้มีการเผยแพร่ หรือเปิดเผย ด้วยวิธีการอย่างอื่น
มาตรา ๑๑ นอกจากข้อมูลข่าวสารของราชการที่ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว หรือที่จัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้แล้ว หรือที่มีการจัดให้ประชาชนได้ค้นคว้าตามมาตรา ๒๖ แล้ว ถ้าบุคคลใดขอข้อมูลข่าวสารอื่นใดของราชการ และคำขอของผู้นั้นระบุข้อมูลข่าวสารที่ต้องการในลักษณะที่อาจเข้าใจได้ตาม ควร ให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบจัดหาข้อมูลข่าวสารนั้นให้แก่ผู้ขอภายในเวลา อันสมควร เว้นแต่ผู้นั้นขอจำนวนมากหรือบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ข้อมูลข่าวสารของราชการใดมีสภาพที่อาจบุบสลายง่าย หน่วยงานของรัฐจะขอขยายเวลาในการจัดหาให้หรือจะจัดทำสำเนาให้ในสภาพอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ข้อมูลข่าวสารนั้นก็ได้
ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐจัดหาให้ตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่แล้วในสภาพที่พร้อมจะให้ได้ มิใช่เป็นการต้องไปจัดทำ วิเคราะห์ จำแนก รวบรวม หรือจัดให้มีขึ้นใหม่ เว้นแต่เป็นการแปรสภาพเป็นเอกสารจากข้อมูลข่าวสารที่บันทึกไว้ในระบบการบันทึกภาพหรือเสียง ระบบคอมพิวเตอร์ หรือระบบอื่นใด ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการกำหนด แต่ถ้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่ากรณีที่ขอนั้นมิใช่การแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้า และเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพสำหรับผู้นั้น หรือเป็นเรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่สาธารณะ หน่วยงานของรัฐจะจัดหาข้อมูลข่าวสารนั้นให้ก็ได้
บทบัญญัติวรรคสามไม่เป็นการห้ามหน่วยงานของรัฐที่จะจัดให้มีข้อมูลข่าวสารของราชการใดขึ้นใหม่ให้แก่ผู้ร้องขอ หากเป็นการสอดคล้องด้วยอำนาจหน้าที่ตามปกติของหน่วยงานของรัฐนั้นอยู่แล้ว ให้นำความในมาตรา ๙ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาให้บังคับแก่การจัดหาข้อมูลข่าวสารให้ตามมาตรานี้ โดยอนุโลม
มาตรา ๑๒ ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำขอข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา ๑๑ แม้ว่าข้อมูลข่าวสารที่ขอจะอยู่ในความควบคุมดูแลของหน่วยงานส่วนกลางหรือส่วนสาขาของหน่วยงานแห่งนั้น หรือจะอยู่ในความควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นก็ตาม ให้หน่วยงานของรัฐที่รับคำขอให้คำแนะนำเพื่อไปยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้นโดยไม่ชักช้า ถ้าหน่วยงานของรัฐผู้รับคำขอเห็นว่าข้อมูลข่าวสารที่มีคำขอเป็นข้อมูลข่าวสารที่จัดทำโดยหน่วยงานของรัฐแห่งอื่น และได้ระบุห้ามการเปิดเผยไว้ตามระเบียบที่กำหนดตามมาตรา ๑๖ ให้ส่งคำขอนั้นให้หน่วยงานของรัฐผู้จัดทำข้อมูลข่าวสารนั้นพิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป
มาตรา ๑๓ ผู้ใดเห็นว่าหน่วยงานของรัฐไม่จัดพิมพ์ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๗ หรือไม่จัดข้อมูลข่าวสารไว้ให้ประชาชนตรวจดูได้ตามมาตรา ๙ หรือไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารให้แก่ตนตามมาตรา ๑๑ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า หรือเห็นว่าตนไม่ได้รับความสะดวกโดยไม่มีเหตุอันสมควร ผู้นั้นมีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการ เว้นแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีคำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕ หรือคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้านตามมาตรา ๑๗ หรือคำสั่งไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามมาตรา ๒๕
ในกรณีที่มีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องเรียน ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ขยายเวลาออกไปได้ แต่ต้องแสดงเหตุผลและรวมเวลาทั้งหมดแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน
หมวด ๒<br>ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ต้องเปิดเผย.
มาตรา ๑๔ ข้อมูลข่าวสารของราชการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จะเปิดเผยมิได้
มาตรา ๑๕ ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้ โดยคำนึงถือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน
(๑) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
(๒) การเปิดเผยจะทำให้การบังคับให้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการฟ้องคดี การป้องกัน การปราบปราม การทดสอบ การตรวจสอบ หรือการรู้แหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสารหรือไม่ก็ตาม
(๓) ความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงรายงานทางวิชาการ รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อมูลข่าวสารที่นำมาให้ในการทำความเห็นหรือคำแนะนำภายในดังกล่าว
(๔) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือความปลอดภัยของบุคคลหนึ่งบุคคลใด
(๕) รายงานการแพทย์หรือข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ซึ่งการเปิดเผยจะเป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควร
(๖) ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผย หรือข้อมูลข่าวสารที่มีผู้ให้มาโดยไม่ประสงค์ให้ทางราชการนำไปเปิดเผยต่อผู้อื่น
(๗) กรณีอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดก็ได้ แต่ต้องระบุไว้ด้วยว่าที่เปิดเผยไม่ได้เพราะเป็นข้อมูลข่าวสารประเภทใดและเพราะเหตุใด และให้ถือว่าการมีคำสั่งเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการเป็นดุลพินิจ โดยเฉพาะของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามลำดับสายการบังคับบัญชา แต่ผู้ขออาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติ
มาตรา ๑๖ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติว่าข้อมูลข่าวสารของราชการจะเปิดเผยต่อบุคคลใดได้หรือไม่ภายใต้เงื่อนไขเช่นใด และสมควรมีวิธีรักษามิให้รั่วไหลให้หน่วยงานของรัฐกำหนดวิธีการคุ้มครองข้อมูลข่าวสารนั้น ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนดว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ
มาตรา ๑๗ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของผู้ใด ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแจ้งให้ผู้นั้นเสนอคำคัดค้านภายในเวลาที่กำหนด แต่ต้องให้เวลาอันสมควรที่ผู้นั้นอาจเสนอคำคัดค้านได้ ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
ผู้ที่ได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง หรือผู้ที่ทราบว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการใดอาจกระทบถึงประโยชน์ ได้เสียของตนมีสิทธิคัดค้านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นได้โดยทำเป็นหนังสือ ถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบ
ในกรณีที่มีการคัดค้าน เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องพิจารณาคำคัดค้านและแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้คัดค้านทราบโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่มีคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้าน เจ้าหน้าที่ของรัฐจะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นมิได้จนกว่าจะล่วงพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๘ หรือจนกว่าคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้มีคำวินิจฉัยให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นได้ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๘ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีคำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใดตามมาตรา ๑๔ หรือ มาตรา ๑๕ หรือมีคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้านของผู้มีประโยชน์ได้เสียตามมาตรา ๑๗ ผู้นั้นอาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัย การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งนั้น โดยยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ
มาตรา ๑๙ การพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผยนั้นไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารหรือศาลก็ตาม จะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาลับหลังคู่กรณีหรือคู่ความฝ่ายใดก็ได้
มาตรา ๒๐ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารใดแม้จะเข้าข่ายต้องมีความรับผิดตามกฎหมายใดให้ถือ ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ต้องรับผิดหากเป็นการกระทำโดยสุจริตในกรณีดังต่อไป นี้
(๑) ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕ ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดำเนินการโดยถูกต้องตามระเบียบตามมาตรา ๑๖
(๒) ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕ ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับตามที่กำหนดในกฎกระทรวงมีคำสั่งให้เปิดเผยเป็น การทั่วไปหรือเฉพาะแก่บุคคลใดเพื่อประโยชน์อันสำคัญยิ่งกว่าที่เกี่ยวกับ ประโยชน์สาธารณะ หรือชีวิตร่างกาย สุขภาพ หรือประโยชน์อื่นของบุคคล และคำสั่งนั้นได้กระทำโดยสมควรแก่เหตุ ในการนี้จะมีการกำหนดข้อจำกัดหรือเงื่อนไขการใช้ข้อมูลข่าวสารนั้นตามความ เหมาะสมก็ได้ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งไม่เป็นเหตุให้หน่วยงานของรัฐพ้นจาก ความรับผิดตามกฎหมายหากจะพึงมีในกรณีดังกล่าว
หมวด ๓<br>ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล.
มาตรา ๒๑ เพื่อประโยชน์แห่งหมวดนี้ "บุคคล" หมายความว่า บุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยและบุคคลธรรมดาที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
มาตรา ๒๒ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง อาจออกระเบียบโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่มีให้นำบทบัญญัติวรรคหนึ่ง (๓) ของมาตรา ๒๓ มาใช้บังคับกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของหน่วยงานดังกล่าวก็ได้ หน่วยงานของรัฐแห่งอื่นที่จะกำหนดในกฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งนั้น ต้องเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งการเปิดเผยประเภทข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง (๓) จะเป็นอุปสรรคร้ายแรงต่อการดำเนินการของหน่วยงานดังกล่าว
มาตรา ๒๓ หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลดังต่อไปนี้
(๑) ต้องจัดให้มีระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลเพียงเท่าที่เกี่ยวข้องและจำเป็น เพื่อการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐให้สำเร็จตามวัถุประสงค์เท่านั้น และยกเลิกการจัดให้มีระบบดังกล่าวเมื่อหมดความจำเป็น
(๒) พยายามเก็บข้อมูลข่าวสารโดยตรงจากเจ้าของข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่จะกระทบถึงประโยชน์ได้เสียโดยตรงของบุคคลนั้น
(๓) จัดให้มีการพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาและตรวจสอบแก้ไขให้ถูกต้องอยู่เสมอเกี่ยวกับสิ่งดังต่อไปนี้
1. ประเภทของบุคคลที่มีการเก็บข้อมูลไว้<br>
2. ประเภทของระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล<br>
3. ลักษณะการใช้ข้อมูลตามปกติ<br>
4. วิธีการขอตรวจดูข้อมูลข่าวสารของเจ้าของข้อมูล<br>
5. วิธีการขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล<br>
6. แหล่งที่มาของข้อมูล<br>
(๔) ตรวจสอบแก้ไขข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลในความรับผิดชอบให้ถูกต้องอยู่เสมอ
(๕) จัดระบบรักษาความปลอดภัยให้แก่ระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันมิให้มีการนำไปใช้โดยไม่เหมาะสมหรือเป็นผลร้ายต่อเจ้าของข้อมูล
ในกรณีที่เก็บข้อมูลข่าวสารโดยตรงจากเจ้าของข้อมูล หน่วยงานของรัฐต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบล่วงหน้าหรือพร้อมกับการขอ ข้อมูลถึงวัตถุประสงค์ที่จะนำข้อมูลมาใช้ ลักษณะการใช้ข้อมูลตามปกติ และกรณีที่ขอข้อมูลนั้นเป็นกรณีที่อาจให้ข้อมูลได้โดยความสมัครใจหรือเป็น กรณีมีกฏหมายบังคับ หน่วยงานของรัฐต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบในกรณีมีการให้จัดส่งข้อมูล ข่าวสารส่วนบุคคลไปยังที่ใดซึ่งจะเป็นผลให้บุคคลทั่วไปทราบข้อมูลข่าวสาร นั้นได้ เว้นแต่เป็นไปตามลักษณะการใช้ข้อมูลตามปกติ
มาตรา ๒๔ หน่วยงานของรัฐจะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของ ตนต่อหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นหรือผู้อื่นโดยปราศจากความยินยอมเป็นหนังสือของ เจ้าของข้อมูลที่ให้ไว้ล่วงหน้าหรือในขณะนั้นมิได้เว้นแต่เป็นการเปิดเผย ดังต่อไปนี้
(๑) ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานของตนเพื่อการนำไปใช้ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้น
(๒) เป็นการใช้ข้อมูลตามปกติภายในวัตถุประสงค์ของการจัดให้มีระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลนั้น
(๓) ต่อหน่วยงานของรัฐที่ทำงานด้านการวางแผนหรือการสถิติหรือสำมะโนต่าง ๆ ซึ่งมีหน้าที่ต้องรักษาข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลไว้ไม่ให้เปิดเผยต่อไปยังผู้อื่น
(๔) เป็นการให้เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัยโดยไม่ระบุชื่อหรือส่วนที่ทำให้รู้ว่าเป็นข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับบุคคลใด
(๕) ต่อหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร หรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามมาตรา ๒๖ วรรคหนึ่งเพื่อการตรวจดูคุณค่าในการเก็บรักษา
(๖) ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อการป้องกันการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย การสืบสวน การสอบสวน หรือการฟ้องคดี ไม่ว่าเป็นคดีประเภทใดก็ตาม
(๗) เป็นการให้ซึ่งจำเป็นเพื่อการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิตหรือสุขภาพของบุคคล
(๘) ต่อศาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่มีอำนาจตามกฏหมายที่จะขอข้อเท็จจริงดังกล่าว
(๙) กรณีอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามวรรคหนึ่ง (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) ให้มีการจัดทำบัญชีแสดงการเปิดเผยกำกับไว้กับข้อมูลข่าวสารนั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รู้ถึงข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน และเมื่อบุคคลนั้นมีคำขอเป็นหนังสือ หน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้นจะต้องให้บุคคลนั้นหรือผู้ กระทำการแทนบุคคลนั้นได้ตรวจดูหรือได้รับสำเนาข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลส่วน ที่เกี่ยวกับบุคคลนั้นและให้นำมาตรา ๙ วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
การเปิดเผยรายงานการแพทย์ที่เกี่ยวกับบุคคลใด ถ้ากรณีมีเหตุอันควรเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเปิดเผยต่อเฉพาะแพทย์ที่บุคคลนั้น มอบหมายก็ได้ถ้าบุคคลใดเห็นว่าข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนส่วนใด ไม่ถูกต้องตามที่เป็นจริง ให้มีสิทธิยื่นคำขอเป็นหนังสือในหน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสาร แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนนั้นได้ซึ่งหน่วยงานของรัฐจะต้อง พิจารณาคำขอดังกล่าว และแจ้งให้บุคคลนั้นทราบโดยไม่ชักช้า
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารให้ตรงตาม ที่มีคำขอ ให้ผู้นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งคำสั่งไม่ยินยอมแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบ ข้อมูลข่าวสาร โดยยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ และไม่ว่ากรณีใด ๆ ให้เจ้าของข้อมูลมีสิทธิร้องขอให้หน่วยงานของรัฐหมายเหตุคำขอของตนแนบไว้กับ ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องได้
ให้บุคคลตามที่กำหนดในกฎกระทรวงมีสิทธิดำเนินการตามมาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ และมาตรานี้แทนผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ หรือเจ้าของข้อมูลที่ถึงแก่กรรมแล้วได้
= หมวด ๔<br>เอกสารประวัติศาสตร์ =
มาตรา ๒๖ ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะเก็บรักษาหรือมีอายุ ครบกำหนดตามวรรคสองนับแต่วันที่เสร็จสิ้นการจัดให้มีข้อมูลข่าวสารนั้น ให้หน่วยงานของรัฐส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติกรมศิลปากรหรือหน่วยงาน อื่นของรัฐตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาเพื่อคัดเลือกไว้ให้ประชาชนได้ศึกษา ค้นคว้า กำหนดเวลาต้องส่งข้อมูลข่าวสารของราชการตามวรรคหนึ่งให้แยกตามประเภท ดังนี้
(๑) ข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา ๑๔ เมื่อครบเจ็ดสิบห้าปี
(๒) ข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา ๑๕ เมื่อครบยี่สิบปี กำหนดเวลาตามวรรคสอง อาจขยายออกไปได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) หน่วยงานของรัฐยังจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารของราชการไว้เองเพื่อ ประโยชน์ในการใช้สอยโดยต้องจัดเก็บและจัดให้ประชาชนได้ศึกษาค้นคว้าตามที่จะ ตกลงกับหอจดหมายเหตุแห่งชาติกรมศิลปากร<br>
(๒) หน่วยงานของรัฐเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารของราชการนั้น ยังไม่ควรเปิดเผยโดยมีคำสั่งขยายเวลากำกับไว้เป็นการเฉพาะราย คำสั่งการขยายเวลานั้นให้กำหนดระยะเวลาไว้ด้วย แต่จะกำหนดเกินคราวละห้าปีไม่ได้
การตรวจสอบหรือทบทวนมิให้มีการขยายระยะเวลาไม่เปิดเผยจนเกินความจำเป็นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฏกระทรวง
บทบัญญัติตามมาตรานี้มิให้ใช้บังคับกับข้อมูลข่าวสารของราชการตามที่คณะ รัฐมนตรีออกระเบียบกำหนดให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องทำลาย หรืออาจทำลายได้โดยไม่ต้องเก็บรักษา
หมวด ๕<br>คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ.
มาตรา ๒๗ ให้มีคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประกอบด้วยรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกเก้าคนเป็นกรรมการ ให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งข้าราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายก รัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นเลขานุการและอีกสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
มาตรา ๒๘ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) สอดส่องดูแลและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
(๒) ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ตามที่ได้รับคำขอ
(๓) เสนอแนะในการตราพระราชกฤษฎีกาและการออกกฏกระทรวงหรือระเบียบของคณะรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัตินี้
(๔) พิจารณาและให้ความเห็นเรื่องร้องเรียนตามมาตรา ๑๓
(๕) จัดทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้เสนอคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม แต่อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
(๖) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
(๗) ดำเนินการเรื่องอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๒๙ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๒๗ มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งแล้วอาจได้รับแต่งตั้งใหม่ได้
มาตรา ๓๐ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๒๗ พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) คณะรัฐมนตรีให้ออกเพราะมีความประพฤติเสื่อมเสีย บกพร่อง หรือไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถ
(๔) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
มาตรา ๓๑ การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ให้ประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๓๒ ให้คณะกรรมการมีอำนาจเรียกให้บุคคลใดมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งวัตถุ เอกสารหรือพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาได้
มาตรา ๓๓ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลข่าวสารตามที่มีคำขอไม่ว่าจะเป็นกรณีตามมาตรา ๑๑ หรือมาตรา ๒๕ ถ้าผู้มีคำขอไม่เชื่อว่าเป็นความจริงและร้องเรียนต่อคณะกรรมการตามมาตรา ๑๓ ให้คณะกรรมการมีอำนาจเข้าดำเนินการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารของราชการที่เกี่ยวข้องได้และแจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้ร้องเรียนทราบ
หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องยินยอมให้คณะกรรมการหรือผู้ซึ่งคณะ กรรมการมอบหมายเข้าตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองของตนได้ไม่ ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้หรือไม่ก็ตาม
มาตรา ๓๔ คณะกรรมการจะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายก็ได้ และให้นำความในมาตรา ๓๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๖<br>คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร.
มาตรา ๓๕ ให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งตามข้อเสนอของคณะกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๔ หรือมาตรา ๑๕ หรือคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้านตามมาตรา ๑๗ และคำสั่งไม่แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามมาตรา ๒๕
การแต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่ง ให้แต่งตั้งตามสาขาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของข้อมูลข่าวสารของราชการ เช่น ความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจและการคลังของประเทศหรือการบังคับใช้กฎหมาย
มาตรา ๓๖ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารคณะหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยบุคคลตามความจำเป็น แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามคน และให้ข้าราชการที่คณะกรรมการแต่งตั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขานุการและผู้ ช่วยเลขานุการในกรณีพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐแห่งใด กรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารซึ่งมาจากหน่วย งานของรัฐแห่งนั้นจะเข้าร่วมพิจารณาด้วยไม่ได้ กรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารจะเป็นเลขานุการหรือผู้ช่วย เลขานุการไม่ได้
มาตรา ๓๗ ให้คณะกรรมการพิจารณาส่งคำอุทธรณ์ให้คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารโดยคำนึงถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารแต่ละสาขาภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่คณะกรรมการได้รับคำอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยแยกการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้เป็นที่สุด และในการมีคำวินิจฉัยจะมีข้อสังเกตเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีใดตามที่เห็นสมควรก็ได้ ให้นำความในมาตรา ๑๓ วรรคสอง มาใช้บังคับแก่การพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารโดยอนุโลม
มาตรา ๓๘ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแต่ละสาขา วิธีพิจารณาและวินิจฉัย และองค์คณะในการพิจารณาและวินิจฉัยให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๓๙ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๒ และบทกำหนดโทษที่ประกอบกับบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับกับคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยอนุโลม
หมวด ๗<br>บทกำหนดโทษ.
มาตรา ๔๐ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการที่สั่งตามมาตรา ๓๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๑ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดหรือเงื่อนไขที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกำหนดตามมาตรา ๒๐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทเฉพาะกาล.
มาตรา 42 บทบัญญัติมาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มิให้ใช้บังคับกับข้อมูลข่าวสารของราชการที่เกิดขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ให้หน่วยงานของรัฐจัดพิมพ์ข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่ง หรือจัดให้มีข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งไว้เพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการจะได้กำหนด
มาตรา 43 ให้ระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2517 ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของราชการยังคงใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ไม่ ขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา 16 จะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br>
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ<br>
นายกรัฐมนตรี<br>
|
13693
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13693
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 1 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
<ns>0</ns>
<revision>
<parentid>68190</parentid>
<timestamp>2016-02-27T06:03:42Z</timestamp>
<contributor>
<username>Pitpisit</username>
</contributor>
<comment>/* ดูเพิ่ม */</comment>
<origin>68191</origin>
<model>wikitext</model>
<format>text/x-wiki</format>
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อเวลา 21.15 น. วันที่ 25 ตุลาคม สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 1 ความว่า
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงมีพระอาการผิดปกติเกี่ยวกับพระนาภี(ท้อง) คณะแพทย์ได้ถวายการตรวจพระวรกาย และเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ พบมะเร็ง จึงกราบทูลเชิญให้ประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยถวายการรักษาด้วยพระโอสถ พระอาการโดยรวมดีขึ้นบางระยะ ทรงและทรุดลงบางช่วงเวลา
เช้าวันนี้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระวรกายด้านขวาอ่อนแรง คณะแพทย์ได้ถวายตรวจพระสมองด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ พบว่า มีเนื้อสมองด้านซ้ายตายเป็นวงกว้าง จากเส้นเลือดสมองอุดตัน จึงได้ถวายพระโอสถรักษา และเฝ้าติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิด จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันสำนักพระราชวัง 25 ตุลาคม พุทธศักราช 2550 (21.15 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13695
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13695
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 2 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม เวลา 18.10 น. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 2 ความว่า
วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรู้พระองค์ พระวรกายด้านขวายังคงอ่อนแรง ทรงเคลื่อนไหวพระวรกายด้านซ้ายได้ตามพระประสงค์ คณะแพทย์ฯ จะถวายพระโอสถรักษาต่อเนื่อง และเฝ้าติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป
อนึ่ง สำนักพระราชวังขอแจ้งให้ทราบว่า คณะแพทย์ฯ ได้รายงานเพิ่มเติมว่า มะเร็งที่ตรวจพบในช่องพระนาภีเป็นชนิดเดียวกับมะเร็งพระถัน ที่ทรงเคยได้รับการถวายตรวจรักษาเมื่อ 10 ปีก่อน ระหว่างช่วงเวลาหลังการถวายรักษาดังกล่าวทรงมีพระสุขภาพดี ในการถวายตรวจติดตามพระสุขภาพได้ตรวจพบมะเร็งเกิดขึ้นใหม่เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งคณะแพทย์ได้ถวายการตรวจรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดมา จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันสำนักพระราชวัง 26 ตุลาคม พุทธศักราช 2550 (18.10 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13696
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13696
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 3 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๔
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เวลา 17.40 น. สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 เกี่ยวกับพระอาการของสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ความว่า
วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการดีขึ้น พระวรกายด้านขวาที่อ่อนแรงเริ่มมีพละกำลังเพิ่มขึ้น ทรงขยับพระหัตถ์และพระกรขวาได้บ้าง ไม่มีพระอาการไข้ ความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ คณะแพทย์เริ่มรักษาทางกายภาพบำบัดในวันนี้ ร่วมกับถวายพระโอสถรักษา และเฝ้าติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 27 ตุลาคม พุทธศักราช 2550 (17.40 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13697
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13697
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 4 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๔
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๔ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๕
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๔ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม เวลา 18.40 น. สำนักพระราชวังยังได้ออกแถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่องสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 4 ความว่า
วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเคลื่อนไหวพระหัตถ์และพระกรขวาได้มากขึ้น ทรงขยับพระเพลาข้างขวาได้บ้าง ทรงรู้พระองค์ดีขึ้น และทรงบริหารพระวรกายตามแบบแผนกายภาพบำบัดได้ดี ในการถวายตรวจพระสมองติดตามผลการรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็ก พบว่ามีพระอาการสมองบวมเล็กน้อย คณะแพทย์ฯ คงถวายการรักษาทางพระโอสถ ทางกายภาพบำบัด และเฝ้าติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 28 ตุลาคม พุทธศักราช 2550 (18.40 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13698
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13698
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 5 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๔
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๕ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๖
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๕ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม เวลา 20.10 น. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 5 ความว่า
วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเคลื่อนไหวพระเพลา (ขา) ขวาได้มากขึ้น คณะแพทย์ได้ขอพระราชทานให้ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถในท่าประทับ (นั่ง) บนพระแท่น (เตียง) บางช่วงเวลาความดันพระโลหิตสูงขึ้นบ้าง คณะแพทย์ได้ถวายพระโอสถรักษาความดันพระโลหิตสูงด้วย รวมทั้งถวายการรักษาทางกายภาพบำบัด และเฝ้าติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 29 ตุลาคม พุทธศักราช (20.10 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13699
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13699
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 6 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๕
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๖ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๗
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๖ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม เวลา 18.28 น. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 6 ความว่า
วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า พระอาการทั่วไปคงเดิม ความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ คณะแพทย์ได้ถวายพระโอสถรักษา กายภาพบำบัด และเฝ้าติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 30 ตุลาคม พุทธศักราช 2550 (18.28 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13700
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13700
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 7 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๖
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๗ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๘
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๗ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม เวลา 18.35 น. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ เรื่องสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงพระประชวร ฉบับที่ 7ความว่า
วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า พระวรกายด้านขวาที่อ่อนแรงมีพละกำลังเท่าวันวาน ในการตรวจพระโลหิตและเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์เกี่ยวกับมะเร็งในช่องพระนาภี ปรากฏผลว่า ยังไม่มีการตอบสนองต่อพระโอสถเคมีบำบัดอย่างชัดเจนนัก นอกจากนี้ คณะแพทย์ได้ถวายอาหารทางหลอดพระโลหิตเพิ่มขึ้น จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 31 ตุลาคม พุทธศักราช 2550 (18.35 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13721
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13721
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 8 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๗
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๘ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๙
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๘ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน เวลา 18.30 น. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ เรื่องสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงพระประชวร ฉบับที่ 8 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ รายงานว่า พระอาการโดยทั่วไปคงที่ เริ่มเสวยพระกระยาหารได้บ้าง คณะแพทย์ฯ จะยังคงถวายอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตร่วมกับพระโอสถรักษา และถวายการรักษาทางกายภาพบำบัดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 1 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550 (18.30 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13722
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13722
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 9 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๘
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๙ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๐
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๙ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน เวลา 18.56 น. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ เรื่องสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงพระประชวร ฉบับที่ 9 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ รายงานว่า ทรงรู้พระองค์ดีขึ้น เสวยพระกระยาหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ความดันพระโลหิตปกติ คณะแพทย์ฯ ถวายการบริหารพระวรกายตามแบบแผนกายภาพบำบัด และยังคงถวายการรักษาตามแนวทางเดิมต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 2 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550 (18.56 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13723
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13723
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 10 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๙
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๐ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๑
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๐ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน เวลา 18.20 น. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ เรื่องสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 10 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ที่ถวายการรักษาสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เริ่มรับสั่งได้ชัดขึ้น ทรงเคลื่อนไหวพระหัตถ์ขวาได้ดีขึ้น แพทย์ได้ถวายการรักษาทางกายภาพบำบัด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตเพิ่มขึ้น จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 3 พฤศจิกายน 2550 (18.20 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13724
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13724
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 11 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๐
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๑ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๒
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๑ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน เวลา 18.35 น. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 11 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า พระอาการโดยทั่วไปคงที่ คณะแพทย์ฯ ได้ขอพระราชทานให้เปลี่ยนพระอิริยาบถเป็นท่าประทับ(นั่ง) บนพระแท่น(เตียง) ให้นานขึ้น และได้ถวายพระโอสถรักษา อาหารเสริมทางหลอดพระโลหิต และกายภาพบำบัดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 4 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550 (18.35 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13725
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13725
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 12 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๑
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๒ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๓
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๒ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน เวลา 18.25 น. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 12 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า ทรงมีพระอาการไข้ คณะแพทย์ฯ ได้ทำการตรวจหาสาเหตุ และได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะรักษา จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550 (18.25 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13726
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13726
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 13 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๒
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๓ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๔
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๓ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน เวลา 18.30 น. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 13 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า พระอาการไข้ลดลง ทรงรู้พระองค์มากขึ้น ประทับ (นั่ง) บนพระแท่น และประทับรถเข็นได้บ้าง คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะ และกายภาพบำบัดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 6 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550 (18.30 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13727
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13727
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 14 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๓
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๔ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๕
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๔ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน เวลา 15.57 น. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 14 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า พระอาการทั่วไปคงที่ คณะแพทย์ถวายการรักษาทางกายภาพบำบัดเพิ่มขึ้น และคงถวายพระโอสถรักษา ตลอดจนเฝ้าติดตามพระอาการ และการตรวจพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 7พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550 (15.57 น.)
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13728
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13728
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 15 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๔
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๕ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๖
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๕ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 15 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า ทรงรู้พระองค์ดี ไม่มีพระอาการไข้ คณะแพทย์ได้หยุดถวายพระโอสถปฏิชีวนะ และยังคงถวายพระโอสถอื่นๆ ร่วมด้วยอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิต และกายภาพบำบัด สำนักพระราชวัง 8 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13729
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13729
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 16 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๕
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๖ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๗
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๖ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 16 ความว่า วันนี้คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า ในระยะนี้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการโดยทั่วไปคงที่ คณะแพทย์จะถวายพระโอสถรักษา กายภาพบำบัด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป ต่อจากนี้ สำนักพระราชวัง จะประกาศให้ทราบเป็นระยะ เมื่อมีพระอาการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 9 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13730
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13730
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 17 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๖
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๗ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๘
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๗ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 17ความว่า วันนี้คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ มีพระอาการไข้ ทรงรู้พระองค์ เสวยพระกระยาหารได้บ้าง ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ คณะแพทย์ได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะรักษาเพิ่มเติมจากพระโอสถอื่น ถวายการรักษาทางกายภาพบำบัด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 14 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13759
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13759
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 18 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๗
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๘ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๑๙
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๘ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 18 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า พระอาการทั่วไปคงเดิม ประทับ(นั่ง) บนพระแท่น (เตียง) ได้ดีขึ้น และประทับรถเข็น เสด็จออกนอกห้องประทับ คณะแพทย์ฯ ยังคงถวายพระโอสถรักษา ถวายการรักษาทางกายภาพบำบัด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 16 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13760
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13760
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 19 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๘
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๑๙ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๐
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๑๙ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 19 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการปวดพระนาภีเป็นพักๆ รู้พระองค์ดี ไม่มีพระอาการไข้ คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถบรรเทาพระอาการปวด และยังคงถวายพระโอสถอื่น การรักษาทางกายภาพบำบัด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 19 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13761
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13761
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 20 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๑๙
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๐ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๑
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๐ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 20 ความว่า วันนี้คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ รายงานว่า พระอาการปวดพระนาภีทุเลาลง พระอาการอื่นคงเดิมประทับบนพระแท่น ทอดพระเนตรรายการโทรทัศน์ได้นานขึ้น ขณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถรักษา ถวายการรักษาทางกายภาพบำบัดและอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 22 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13762
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13762
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 21 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๐
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๑ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๒
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๑ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 21 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า พระอาการทางสมองของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ คงเดิม รู้พระองค์ดี ทรงมีพระอาการแน่นพระนาภี และปวดพระนาภีเป็นครั้งคราว คณะแพทย์ฯ คงถวายพระโอสถรักษา การรักษาทางกายภาพบำบัดและอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่ว สำนักพระราชวัง 27 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13763
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13763
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 22 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๑
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๒ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๓
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๒ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 22 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงปวดพระนาภีน้อยลง แต่ยังมีพระอาการแน่นพระนาภีอยู่บ้าง ส่วนพระอาการอื่นๆคงที่ คณะแพทย์ฯ ยังคงถวายพระโอสถรักษา ถวายการรักษาทางกายภาพบำบัด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 30พฤศจิกายน พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13764
|
5239
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13764
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 23 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๒
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๓ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๔
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๓ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 23 ความว่าวันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรู้พระองค์ดี มีพระอาการเหนื่อยและแน่นพระนาภีมากขึ้น คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถเคมีบำบัดรักษาร่วมด้วยพระโอสถรักษาอื่น ถวายการรักษาทางกายภาพบำบัด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 8 ธันวาคม พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13765
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13765
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 24 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๓
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๔ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๕
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๔ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 24 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ยังคงมีพระอาการเหนื่อยและแน่นพระนาภี มีพระอาการไข้และบรรทมเป็นส่วนใหญ่ คณะแพทย์ฯ ได้ถวายการรักษาด้านระบบทางเดินหายใจร่วมกับการถวายพระโอสถอย่างอื่น กับถวายการักษาทางกายภาพบำบัด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง12 ธันวาคม พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13766
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13766
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 25 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๔
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๕ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๖
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๕ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 25 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการเหนื่อยมากขึ้น รู้พระองค์น้อยลง และมีพระอาการกระตุกเฉพาะที่พระกรข้างซ้าย คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถควบคุมการกระตุก ถวายการรักษาด้านระบบทางเดินหายใจอย่างใกล้ชิด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 14 ธันวาคม พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13767
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13767
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 26 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๕
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๖ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๗
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๖ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 26 วันนี้ (16 ธ.ค.) คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการเหนื่อยน้อยลง รู้พระองค์เป็นครั้งคราว คณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถควบคุมการกระตุก ร่วมกับถวายการรักษาด้านระบบทางเดินหายใจอย่างใกล้ชิดและอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13768
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13768
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 27 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๖
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๗ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๘
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๗ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 27 วันนี้ (18 ธ.ค.) คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงมีพระอาการเหนื่อยและพระอาการกระตุกมากขึ้น คณะแพทย์จึงต้องถวายพระโอสถควบคุมการกระตุกทางหลอดพระโลหิตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้รู้พระองค์น้อยลง นอกจากนี้ ยังคงถวายการรักษาด้านระบบทางเดินหายใจและระบบอื่นๆ อย่างใกล้ชิด รวมทั้งถวายอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13769
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13769
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 28 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๗
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๘ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๒๙
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๘ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 28 วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ยังคงมีพระอาการเหนื่อย พระอาการกระตุกและรู้พระองค์น้อยลงเหมือนเดิม นอกจากนี้ ทรงมีพระอาการไข้ คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะ พระโอสถควบคุมการกระตุกและอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิต รวมทั้งถวายการรักษาด้านระบบทางเดินหายใจและระบบอื่นๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 20 ธันวาคม พุทธศักราช 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13770
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13770
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 29 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๘
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๒๙ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๐
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๒๙ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 29 วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการไข้ลดลง พระอาการเหนื่อยและพระอาการกระตุกน้อยลง ส่วนการรู้พระองค์คงเดิม คณะแพทย์ฯ สามารถลดปริมาณพระโอสถควบคุมการกระตุกลงได้ และยังคงถวายอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิต ตลอดจนถวายการรักษาด้านระบบทางเดินหายใจและระบบอื่นๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13771
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13771
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 30 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๒๙
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓๐ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๑
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓๐ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 30 วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไม่มีพระอาการไข้ และไม่มีพระอาการกระตุก มีพระอาการเหนื่อยและรู้พระองค์น้อยเหมือนเดิม คณะแพทย์ฯ ยังคงถวายพระโอสถควบคุมการกระตุก อาหารเสริม ทางหลอดพระโลหิต และถวายการรักษาด้านระบบทางเดินหายใจและระบบอื่น ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13772
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13772
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 31 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๓๐
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓๑ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๒
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓๑ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 31 วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรู้พระองค์น้อยลงอีก มีพระอาการเหนื่อยมากขึ้น ทรงหายพระทัยลำบากและเร็วขึ้น คณะแพทย์ ฯ ได้ถวายการรักษาแบบประคับประคองทุกระบบอย่างใกล้ชิด จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13773
|
556
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13773
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 32 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๓๐
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓๒ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๓
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓๒ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 32 ความว่า วันนี้คณะแพทย์ที่ถวายการรักษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า ในรอบ 24 ชม.ที่ผ่านมา เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ไม่มีพระอาการเปลี่ยนแปลง คณะแพทย์ยังคงถวายการรักษาแบบประคับประคองทุกระบบอย่างใกล้ชิดต่อไป สำนักพระราชวัง
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13774
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13774
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 33 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๓๒
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓๓ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๔
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓๓ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 33 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ยังรู้พระองค์น้อย มีพระอาการเหนื่อยและหายพระทัยลำบากเหมือนเดิม การทำงานของพระวักกะ (ไต) ลดลง คณะแพทย์ฯ ยังคงถวายการรักษาแบบประคับประคองทุกระบบอย่างต่อเนื่อง จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13775
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13775
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 34 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๓๓
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓๔ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๕
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓๔ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 34 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการทั่วไปคงที่ หายพระทัยสม่ำเสมอ ไม่มีพระอาการกระตุก คณะแพทย์ฯ ยังคงถวายพระโอสถควบคุมการกระตุก อาหารเสริมทางหลอดพระโลหิต และถวายการรักษาแบบประคับประคองต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13776
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13776
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 35 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๓๔
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓๕ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๖
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓๕ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 35 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการไข้ และพระอาการเหนื่อยเป็นครั้งคราว ส่วนพระอาการอื่นคงเดิม คณะแพทย์ฯ ยังคงถวายการรักษาแบบประคับประคองทุกระบบอย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13777
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13777
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 36 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๓๕
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓๖ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๗
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓๖ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 36 วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงาน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการเหนื่อยมากขึ้น ไม่มีพระอาการไข้ คณะแพทย์ ฯ ได้ถวายการรักษาด้วยการเจาะน้ำในช่องเยื่อหุ้มพระปัปผาสะ (ปอด) ออก ทำให้พระอาการดีขึ้นบ้าง และยังคงถวายการรักษาแบบประคับประคองทุกระบบอย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง วันที่ 30 ธันวาคม 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13778
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13778
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 37 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๓๖
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓๗ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๘
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓๗ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 37 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ยังคงมีพระอาการเหนื่อย หายพระทัยลำบาก การทำงานของพระวักกะ (ไต) ลดลงอีก และมีการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะ ร่วมกับถวายการรักษาแบบประคับประคองทุกระบบอย่างใกล้ชิดต่อไป จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง วันที่ 31 ธันวาคม 2550
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13779
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13779
|
แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 38 สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ฉบับที่ ๓๗
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สำนักพระราชวังฉบับที่ ๓๘ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร
ฉบับที่ ๓๙
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง — "ฉบับที่ ๓๘ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงประชวร"สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงประชวร ฉบับที่ 38 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ไม่รู้สึกพระองค์ หายพระทัยอ่อนลง พระวักกะ (ไต) ไม่ทำงาน คณะแพทย์ฯ ได้ถวายการรักษาตามพระอาการอย่างใกล้ชิด จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สำนักพระราชวัง 1 มกราคม 2551
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
|
13859
|
7930
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13859
|
ขอเชิญท่านผู้วางใจ
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←เพลงระฆัง
เพลงคริสต์มาส
"' จอหน์ ฟรานซิส เวด (ละติน)ขอเชิญท่านผู้วางใจ ("O Come All Ye Faithful")
O, Christmas Tree
เพลงคริสต์มาส
— "ขอเชิญท่านผู้วางใจ ("O Come All Ye Faithful")"จอหน์ ฟรานซิส เวด (ละติน)
<poem>
ขอเชิญท่านผู้วางใจ
ชื่นใจยินดีมีชัย
เชิญมาเชิญมาไว สู่บ้านเบธเลแฮม
มาเฝ้าพระกุมาร
องค์ราชาแห่งชาวเรา
รับ:
เชิญมาสาธุการพระองค์
เชิญมาสาธุการพระองค์
เชิญมาสาธุการ
องค์พระคริสตเจ้า
โอ้แสงสว่างแห่งธรรม
เป็นแสงแห่งนิรันดร์กาล
แม้เราชั่วช้าสามานย์ท่านยังทรงเมตตา
พระบุตรพระบิดา พระดำรัสทรงดำรง
("รับ")
เชิญท่านร้องเพลงอวยชัย
เชิญเหล่าเทพในวิมาน
บรรเลงเพลงกังวานไปทั่วแหล่งหล้าสากล
รังสีอันรุ่งเรือง จงมีแด่พระมหาไถ่
("รับ")
อาแมนขอถวายชัย องค์พระผู้ทรงช่วยไถ่
พระนามพระเยซู เป็นที่ข้าบูชา
พระวาทะพระเจ้า มาปรากฏเป็นชาวโลกา
("รับ")
</poem>
|
13864
|
5763
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13864
|
แมวเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟัน
|
บทอาขยาน บทหลัก ระดับประถมศึกษา
โดย แมวเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟัน
รักเมืองไทย
บทอาขยาน บทหลัก ระดับประถมศึกษา
— "แมวเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟัน"นายทัด เปรียญ
← เด็กน้อย
ดอกสร้อยสุภาษิต
โดย แมวเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟัน
ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน
ดอกสร้อยสุภาษิต
— "แมวเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟัน"นายทัด เปรียญ
<poem>
แมวเอ๋ยแมวเหมียว
รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา
ร้องเรียกเหมียวเหมียวเดี๋ยวก็มา
เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู
รู้จักเอารักเข้าต่อตั้ง
ค่ำค่ำซ้ำนั่งระวังหนู
ควรนับว่ามันกตัญญู
พอดูอย่างไว้ใส่ใจเอย ฯ
</poem>
|
13871
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13871
|
กาดำ
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←จ้ำจี้
ดอกสร้อยสุภาษิต
แก้วกาดำ
แมงมุม
ดอกสร้อยสุภาษิต
— "กาดำ"แก้ว
<poem>
กาเอ๋ยกาดำ
รู้จำรู้จักรักเพื่อน
ได้เหยื่อเผื่อแผ่ไม่แชเชือน
รีบเตือนพวกพ้องร้องเรียกมา
เกลื่อนกลุ่มรุมล้อมพร้อมพรัก
น่้ารักน้ำใจกระไรหนา
การเผื่อแผ่แน่ะพ่อหนูจงดูกา
มันโอบอ้อมอารีรักดีนักเอยฯ
</poem>
|
13873
|
265727
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13873
|
วิชาเหมือนสินค้า
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน
บทอาขยาน บทหลัก ระดับประถมศึกษา
หมื่นพรหมสมพัตสร (มี)วิชาเหมือนสินค้า
ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ
บทอาขยาน บทหลัก ระดับประถมศึกษา
— "วิชาเหมือนสินค้า"หมื่นพรหมสมพัตสร (มี)
<poem>
วิชาเหมือนสินค้า
อันมีค่าอยู่เมืองไกล
ต้องยากลำบากไป
จึงจะได้สินค้ามา
จงตั้งเอากายเจ้า
เป็นสำเภาอันโสภา
ความเพียรเป็นโยธา
แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบ
นิ้วเป็นสายระยาง
สองเท้าต่างสมอใหญ่
ปากเป็นนายงานไป
อัชฌาสัยเป็นเสบียง
สติเป็นหางเสือ
ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง
ถือไว้อย่าให้เอียง
ตัดแล่นเลี่ยงข้ามคงคา
ปัญญาเป็นกล้องแก้ว
ส่องดูแถวแนวหินผา
เจ้าจงเอาหูตา
เป็นล้าต้าฟังดูลม
ขึ้เกียจคือปลาร้าย
จะทำลายให้เรือจม
เอาใจเป็นปืนคม
ยิงระดมให้จมไป
จึงจะได้สินค้ามา
คือวิชาอันพิสมัย
จงหมั่นมั่นหมายใจ
อย่าได้คร้านการวิชา .
</poem>
|
13880
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13880
|
ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←วิชาเหมือนสินค้า
บทอาขยาน บทหลัก ระดับประถมศึกษา
โดย ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ
ผู้ชนะ
บทอาขยาน บทหลัก ระดับประถมศึกษา
— "ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ"พระยาอุปกิตศิลปสาร
|
13903
|
101514
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13903
|
สักวาดาวจรเข้
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
บทอาขยาน
โดย
บทอาขยาน
พระสุนทรโวหาร (ภู่)
<poem>
สักวาดาวจรเข้ก็เหหก
ศีรษะตกหันหางขึ้นกลางหาว
เป็นวันแรมแจ่มแจ้งด้วยแสงดาว
น้ำค้างพราวปรายโปรยโรยละออง
ลมเรื่อยเรื่อยเฉื่อยฉิวต้องผิวเนื้อ
ความหนาวเหลือทานทนกมลหมอง
สกุณาดุเหว่าก็เร่าร้อง
พอแสงทองส่องฟ้าขอลาเอย
</poem>
|
13904
|
49673
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13904
|
ตะล็อกต๊อกแต๊ก
|
<templatestyles src="nowrap/core.css"/>ตะล็อกต๊อกแต๊ก<templatestyles src="nowrap/core.css"/>มาทำไม
มาซื้อดอกไม้<templatestyles src="nowrap/core.css"/>ดอกอะไร
ดอกจำปี<templatestyles src="nowrap/core.css"/> ไม่มี
ดอกจำปา<templatestyles src="nowrap/core.css"/> ไม่มา
ดอกยี่โถ<templatestyles src="nowrap/core.css"/> ไม่โต
ดอกแก้ว<templatestyles src="nowrap/core.css"/> หมดแล้ว
|
13905
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13905
|
พระธรรมปฐมกาล
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์) (เชื่อกันว่า) โมเสส<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
อพยพ
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)(เชื่อกันว่า) โมเสสKing James Version (KJV)
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมปฐมกาล
พระธรรมปฐมกาล หรือ หนังสือปฐมกาล
แปลจาก อังกฤษ: Book of Genesis ต้นฉบับคือ ฮีบรู: בראשית ניקוד (Bərēšīṯ)
หรือเรียกย่อว่า ปฐมกาล (Genesis) ใช้อักษรย่อว่า "ปฐก"
เป็นคัมภีร์ลำดับแรก ในพระธรรมโตราห์
และเป็นลำดับแรก ในพระคริสตธรรม ภาคพันธสัญญาเดิม
โดยเป็นลำดับแรก ในหมวดปัญจบรรพ
พระธรรมปฐมกาล มีทั้งหมด 50 บท อาจสรุปตามเนื้อหาออกเป็นช่วง
ตั้งแต่ การทรงสร้าง จนถึง หลังน้ำท่วมโลกลดลง
ตั้งแต่ การสร้างบาเบล จนถึง อับราฮัมลวงอาบีเมเลค
ตั้งแต่ อิสอัคเกิด จนถึง ยาโคบทำงานสิบสี่ปี
|
13914
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13914
|
พระธรรมโรม
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระธรรมโรม (พระคริสตธรรมคัมภีร์) นักบุญเปาโล<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
พระธรรมโรม (พระคริสตธรรมคัมภีร์)นักบุญเปาโลKing James Version (KJV)
พระธรรมโรม หรือ จดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม (The letter of St. Paul to the Romans)
หรือเรียกย่อว่า โรม (Romans) ใช้อักษรย่อว่า "รม"
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมโรม
เป็นคัมภีร์ลำดับที่ 6 ในพระคริสตธรรม ภาคพันธสัญญาใหม่
และเป็นลำดับแรก ในหมวดจดหมาย
นักบุญเปาโลเขียนขึ้นที่เมืองโครินธ์ นำส่งโดย เฟบี ผู้รับใช้จากคริสตจักรเมืองเคนเครีย ส่งถึงคริสตจักรชาวโรม
12.
คริสเตียนทุกคนเป็นอวัยวะของร่างกายเดียวกัน
คริสเตียนมีความรักและสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน
การปฏิบัติต่อบุคคลภายนอก
13.
"เราจะรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง" ได้อย่างไร
14.
เพราะเห็นแก่ความรักคริสเตียนจึงยอมชนะตนเอง
15.
คริสเตียนจงยอมรับซึ่งกันและกัน
การรับใช้ของเปาโลและแผนการเดินทาง
|
13915
|
1467
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13915
|
พระธรรมโครินธ์ฉบับที่หนึ่ง
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระธรรมโครินธ์ฉบับที่หนึ่ง (พระคริสตธรรมคัมภีร์) นักบุญเปาโล<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
พระธรรมโครินธ์ฉบับที่หนึ่ง (พระคริสตธรรมคัมภีร์)นักบุญเปาโลKing James Version (KJV)
พระธรรมโครินธ์ฉบับที่หนึ่ง หรือ จดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ฉบับที่หนึ่ง (The first letter of St. Paul to the Corinthians)
หรือเรียกย่อว่า 1 โครินธ์ (Corinthians) ใช้อักษรย่อว่า "1 คร"
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมโครินธ์
เป็นคัมภีร์ลำดับที่ 7 ในพระคริสตธรรม ภาคพันธสัญญาใหม่
และเป็นลำดับที่ 2 ในหมวดจดหมาย
นักบุญเปาโลเขียนขึ้นที่เมืองฟีลิปปี นำส่งโดย สเทฟานัส ฟอร์ทูนาทัส อาคายคัส และทิโมธี ส่งถึงคริสตจักรชาวโครินธ์ เป็นจดหมายฉบับแรก จากสองฉบับที่ส่งถึงชาวโครินธ์
10.
พิธีศีลมหาสนิทเพื่อระลึกสำหรับผู้เชื่อเท่านั้น
จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
11.
ธรรมเนียมที่ถูกต้องในพิธีศีลมหาสนิท
12.
คริสเตียนเป็นอวัยวะต่างๆ ของกายเดียวกัน
|
13916
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13916
|
พระธรรมปฐมกาล/1
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
(เชื่อกันว่า) โมเสส<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
อพยพ
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←หน้าหลัก
บทที่ 1 - 10
11 - 20
บทที่ 1 - 10
10.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมปฐมกาล
|
13917
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13917
|
พระธรรมปฐมกาล/2
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
(เชื่อกันว่า) โมเสส<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
อพยพ
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←1 - 10
บทที่ 11 - 20
21 - 29
บทที่ 11 - 20
20.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมปฐมกาล
|
13918
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13918
|
พระธรรมปฐมกาล/3
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
(เชื่อกันว่า) โมเสส<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
อพยพ
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←11 - 20
บทที่ 21 - 29
30 - 36
บทที่ 21 - 29
29.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมปฐมกาล
|
13919
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13919
|
พระธรรมปฐมกาล/4
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
(เชื่อกันว่า) โมเสส<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
อพยพ
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←21 - 29
บทที่ 30 - 36
37 - 42
บทที่ 30 - 36
36.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมปฐมกาล
|
13920
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13920
|
พระธรรมปฐมกาล/5
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
(เชื่อกันว่า) โมเสส<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
อพยพ
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←30 - 36
บทที่ 37 - 42
43 - 50
บทที่ 37 - 42
42.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมปฐมกาล
|
13921
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13921
|
พระธรรมปฐมกาล/6
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
(เชื่อกันว่า) โมเสส<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
อพยพ
พระธรรมปฐมกาล (พระคริสตธรรมคัมภีร์)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←37 - 42
บทที่ 43 - 50
บทที่ 43 - 50
50.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมปฐมกาล
|
13924
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13924
|
พระธรรมอิสยาห์
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←บุตรสิรา (คาทอลิก)<br>< เพลงซาโลมอน (โปรเตสแตนต์)
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์) อิสยาห์<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
เยเรมีย์
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์)อิสยาห์King James Version (KJV)
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมอิสยาห์
พระธรรมอิสยาห์ หรือ หนังสืออิสยาห์ (Book of Isaias)
หรือเรียกย่อว่า อิสยาห์ (Isaias) ใช้อักษรย่อว่า "อสย"
เป็นคัมภีร์ลำดับที่ 29 (โรมันคาทอลิก) หรือ 23 (โปรเตสแตนต์) ในพระคริสตธรรม ภาคพันธสัญญาเดิม
และเป็นลำดับแรก ในหมวดประกาศกใหญ่
พระธรรมอิสยาห์ มีทั้งหมด 66 บท เนื้อหาว่าด้วยคำพยากรณ์
อาจสรุปแบ่งเนื้อหาออกโดยมี 2 วิธี
วิธีแรก แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ การล่มสลาย กับ ฟื้นฟู และ
อีกวิธี แบ่งเป็น 3 ช่วง ตามโครงสร้างรูปศัพท์สำนวนที่บ่งชี้ (มุมมองฉันทามติทางวิชาการตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 20)
ในที่นี้ประยุกต์ดัดแปลงจากทั้ง 2 วิธี
|
13925
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13925
|
พระธรรมอิสยาห์/1
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←บุตรสิรา (คาทอลิก)<br>< เพลงซาโลมอน (โปรเตสแตนต์)
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์) อิสยาห์<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
เยเรมีย์
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์)อิสยาห์King James Version (KJV)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←หน้าหลัก
บทที่ 1 - 12
13 - 27
บทที่ 1 - 12
(ตรงกับ 2 พศด 28: 1-20)
(ตรงกับ วว 16: 14, 19: 11)
12.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมอิสยาห์
|
13927
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13927
|
พระธรรมอิสยาห์/2
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←บุตรสิรา (คาทอลิก)<br>< เพลงซาโลมอน (โปรเตสแตนต์)
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์) อิสยาห์<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
เยเรมีย์
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์)อิสยาห์King James Version (KJV)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←1 - 12
บทที่ 13 - 27
28 - 39
บทที่ 13 - 27
(ตรงกับ ดนล 7:8 , วว 19:20)
(ตรงกับ สดด 2:5 , วว 7:14)
(ตรงกับ วว 12:14)
27.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมอิสยาห์
|
13928
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13928
|
พระธรรมอิสยาห์/3
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←บุตรสิรา (คาทอลิก)<br>< เพลงซาโลมอน (โปรเตสแตนต์)
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์) อิสยาห์<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
เยเรมีย์
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์)อิสยาห์King James Version (KJV)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←14 - 27
บทที่ 28 - 39
40 - 51
บทที่ 28 - 39
(ตรงกับ 2 พกษ 17:3-18)
(ตรงกับ 2 พกษ 20:12)
39.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมอิสยาห์
|
13929
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13929
|
พระธรรมอิสยาห์/4
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←บุตรสิรา (คาทอลิก)<br>< เพลงซาโลมอน (โปรเตสแตนต์)
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์) อิสยาห์<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
เยเรมีย์
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์)อิสยาห์King James Version (KJV)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←28 - 39
บทที่ 40 - 54
55 - 66
บทที่ 40 - 54
(ตรงกับ มธ 3:3)
(ตรงกับ อสย 41)
(ตรงกับ มธ 12: 18-21 , ฟป 2: 5-8)
54.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมอิสยาห์
|
13930
|
76
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13930
|
พระธรรมอิสยาห์/5
|
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←บุตรสิรา (คาทอลิก)<br>< เพลงซาโลมอน (โปรเตสแตนต์)
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์) อิสยาห์<templatestyles src="nowrap/core.css"/>•<templatestyles src="nowrap/core.css"/>แปลโดย
เยเรมีย์
พระธรรมอิสยาห์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์)อิสยาห์King James Version (KJV)
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
←40 - 54
บทที่ 55 - 66
บทที่ 55 - 66
(ตรงกับ อสย 2:10-22 , วว 19:11-21)
66.
ดูเพิ่ม.
วิกิพีเดีย มีบทความเรื่อง:
พระธรรมอิสยาห์
|
13952
|
4431
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13952
|
ไตรภูมิพระร่วง
|
"plainSister" class="noprint" style="display:inline-block; font-size:93%; line-height:normal; list-style-type:none; list-style-image:none; list-style-position:outside; border:1px solid #AAA; float:right; clear:right; margin:0.5ex 0.5ex 0.5ex 0.5ex; padding:0.0ex 0.0ex 0.0ex 0.0ex; background:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF;"></ul>
= แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดู)
ไตรภูมิพระร่วง พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท)ไตรภูมิกถา, เตภูมิกถา, ไตรภูมิโลกวินิจฉัย หรือ เตภูมิโลกวินิจฉัย
ไตรภูมิพระร่วง — "ไตรภูมิกถา, เตภูมิกถา, ไตรภูมิโลกวินิจฉัย หรือ เตภูมิโลกวินิจฉัย"พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท)
ไตรภูมิพระร่วง หรือ ไตรภูมิกถา
พระราชนิพนธ์ใน
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท)
_______________
สำนักพิมพ์บรรณาคาร จัดพิมพ์จำหน่าย
พุทธศักราช ๒๕๔๓
#เปลี่ยนทาง
คำนำ
_______________
สำนักพิมพ์บรรณาคารได้มาแจ้งกองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ว่า มีความประสงค์จะขออนุญาตจัดพิมพ์หนังสือเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง หรือ ไตรภูมิกถา พระราชนิพนธ์ในพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สุโขทัย เพื่อจำหน่ายเผยแพร่ กรมศิลปากรพิจารณาแล้ว ยินดีอนุญาตให้จัดพิมพ์ได้ตามประสงค์
ไตรภูมิพระร่วง หรือไตรภูมิกถา เป็นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญมากเล่มหนึ่งของไทย ที่แสดงข้อคิดเห็นเต็มไปด้วยสารัตถประโยชน์เกี่ยวกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงผลบาปและผลบุญที่คนทั้งหลายได้กระทำไว้ในชีวิต
หนังสือเรื่องไตรภูมิพระร่วง หรือไตรภูมิกถานี้ เป็นผลงานที่แสดงพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) บูรพกษัตริย์ไทย ในการพระราชนิพนธ์วรรณคดีเรื่องนี้ และผู้ที่ได้ศึกษางานพระราชนิพนธ์นี้จะได้เข้าใจสภาพสังคมสมัยเมื่อเริ่มตั้งอาณาจักรเป็นปึกแผ่นในแผ่นดินไทยว่า พระมหากษัตริย์ไทยในครั้งนั้นต้องทรงมีจิตวิทยาสูงเพียงใด เพราะการก่อตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ จะต้องรวบรวมพลังไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน หากประชาชนตั้งอยู่ในศีลธรรม มีระเบียบวินัย รู้บาปบุญคุณโทษ และมีจิตยึดมั่นในหลักคำสอนทางศาสนา ก็จะสามารถดำรงความมั่นคงและสามารถต่อสู้ศัตรูที่คอยคุกคามความดำรงอยู่ของชาติได้
ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณคดีที่น้อมนำจิตใจประชาชนให้ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมความดีตามหลักธรรม ทั้งยังแสดงความรู้สึกสอดคล้องกับหลักธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ เช่น ตอนพรรณนาถึงกำเนิดของมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่ในสมัยสุโขทัย วิทยศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้าหรือเป็นที่รู้จักกว้างขวางอย่างในปัจจุบัน แต่หนังสือไตรภูมิพระร่วงเกิดขึ้นและกล่าวถึงเรื่องที่ใกล้เคียงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์มานับร้อยปีแล้ว คุณค่าสาระของหนังสือเรื่องนี้จึงน่าศึกษาค้นคว้าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความรู้ทางศาสนา ทางอักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ จารีตประเพณี และวัฒนธรรม ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดของคนไทยโดยทั่วไป
หนังสือไตรภูมิพระร่วงนี้ ได้มีผู้คัดลอกกันต่อ ๆ มา และได้ตีพิมพ์มาแล้วหลายครั้ง มีที่วิปลาสคลาดเคลื่อนอยู่มาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ว่า “หนังสือไตรภูมิฉบับนี้...เมื่ออ่านตรวจดู เห็นได้ว่า หนังสือเรื่องนี้เป็นหนังสือเก่ามาก มีศัพท์เก่า ๆ ที่ไม่เข้าใจ และเป็นศัพท์อันเคยพบแต่ในศิลาจารึกครั้งกรุงสุโขทัยหลายศัพท์ น่าเชื่อว่า หนังสือไตรภูมินี้ฉบับเดิมจะได้แต่งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยจริง แต่คัดลอกสืบกันมาหลายชั้นหลายต่อจนวิปลาสคลาดเคลื่อน หรือบางทีจะได้มีผู้ดัดแปลงสำนวนและแทรกเติมข้อความเข้าเมื่อครั้งกรุงเก่าบ้าง ก็อาจจะเป็นได้ ถึงกระนั้น โวหารหนังสือเรื่องนี้ยังเห็นได้ว่าเก่ากว่าหนังสือเรื่องใด ๆ ในภาษาไทย นอกจากศิลาจารึกที่ได้เคยพบมา จึงนับว่าเป็นหนังสือเรื่องดีด้วยอายุประการหนึ่ง”
กรมศิลปากรเห็นความสำคัญและคุณค่าของหนังสือ จึงได้มอบให้นายพิทูร มลิวัลย์ เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประจำแผนกกองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ภายหลังโอนไปรับราชการตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ หัวหน้าฝ่ายปริยัติปกรณ์ กรมการศาสนา เป็นผู้ตรวจสอบชำระ โดยพยายามรักษาส่วนที่เป็นของเดิมไว้ให้มากที่สุด ส่วนที่ชำรุดหรือวิปลาสไป ก็หาต้นฉบับใส่ไว้ให้สมบูรณ์ ทั้งนี้ ได้นำคำชี้แจงของผู้ตรวจสอบชำระ และพระราชประวัติพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ผู้พระราชนิพนธ์หนังสือเรื่องนี้มาพิมพ์ไว้ต่อจากคำนำนี้ และได้จัดทำเชิงอรรถเพิ่มเติม พร้อมทั้งได้รวบรวมคำโบราณ สำนวนโวหารในไตรภูมิพระร่วง จัดทำคำแปล อีกทั้งได้บอกชื่อคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ไว้เป็นภาคผนวกอีกด้วย
กรมศิลปากรหวังว่า หนังสือเรื่องไตรภูมิพระร่วง หรือไตรภูมิกถานี้ คงจะอำนวยประโยชน์ในด้านการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจศึกษาค้นคว้าตามสมควร
นาวาอากาศเอกอาวุธ เงินชูกลิ่น
อธิบดีกรมศิลปากร
กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๓
#เปลี่ยนทาง
สารบัญ
_______________
บานแพนก
เตภูมิกถา
คาถานมัสการ
บานแพนกเดิม
(อารัมภบท)
กามภพ
นรกภูมิ
ติรัจภูมิ
อสุรกายภูมิ
มนุสสภูมิ
ฉกามาพจรภูมิ
รูปภพ
อรูปภพ
เถิงอวินิพโภครูป
(ปัจฉิมบท)
|
13953
|
57535
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13953
|
ไตรภูมิพระร่วง/นรกภูมิ
|
นรกภูมิ.
สัตว์อันเกิดในนรกภูมินั้น เป็นด้วยอุปปาติกโยนิ ภูลเป็นรูปได้ ๒๘ คาบสิ้นคาบเดียว รูป ๒๘ นั้นคืออันใดบ้าง คือ ปถวี อาโป เตโช วาโย จักขุ โสต ฆาน ชิวหาร กาย มน รูป สัทท คันธรส โผฏฐัพพ อิตถีภาว บุรุษภาว หทย ชีวิตินทรีย อาหาร ปริจเฉท กายวิญญัต์ติ วจีวิญญัต์ติ สหุตา กัม์มัญ์ญตา อุปัจ์จโย สัน์ติ รูปปัส์ส ชรโตฯ อันว่าปถวีรูปนั้นคือกระดูกและหนังแลฯ อาโปรูปนั้นคือน้ำอันไหลไปมาในตนนั้นแลฯ เตโชรูปนั้นคือว่าไฟอันร้อนและเกิดเป็นเลือดในตนแลฯ อันว่าวาโยรูปนั้น คือลมอันทรงสกลและให้ติงเนื้อติงตนแลฯ จักษุรูปนั้นคือตาอันแต่งดูฯ โสตรูปนั้นคือหูอันได้ฟังนั้นฯ ฆานรูปนั้น คือจมูกอันแต่งดมให้รู้รสทั้งหลายฯ ชิวหารูปนั้นคือลิ้น อันรู้จักรสส้มและฝากและรสทั้งลายนั้น ๆ กายรูปนั้น คือ รูปอันรู้เจ็บรู้ปวดอันถูกต้องฯ รูปารูปนั้น คือรูปอันเห็นแก่ตาฯ สัททารูป คือรูปอันได้ยินดีฯ คันธารูปนั้น คือรูปอันเป็นกลิ่นเป็นคันธอันหอมฯ รสารูปนั้นเป็นรสฯ โผฎฐัพพารูปนั้น คือรูปอันถูกต้องฯ อิตถีรูป คือรูปเป็นผู้หญิงฯ บุรุษรูปนั้น คือรูปอันเป็นผู้ชายฯ หทยรูปนั้น คือรูปอันเป็นต้นแก่รูปทั้งหลายอันอยู่ภายในฯ ชีวิตินทรียรูปนั้น คือชีวิตอันอยู่ในรูปทั้งหลายฯ อาหารรูปนั้น คืออาหารอันกินฯ ปริจเฉทรูปนั้น คือรูปที่ต่อที่ติดกันฯ กายวิญญัติรูปนั้น คือรูปอันรู้แต้ตนฯ วจีวิญญัติรูปนั้น คือ รูปอันรู้แต่ปากฯ รูปัสสรูปลุตารูปนั้น คือรูปอันรู้พลันฯ รูปัสสมุทุตารูปนั้น คือรูปอันอ่อนฯ รูปัสสกัมมัญญตารูปนั้น คือรูปอันควรรูปฯ รูปัสสอุปัจจโยรูปนั้น คือรูปอันให้เป็นอีกฯ รูปัสสสันตติรูปนั้น คือรูปอันสืบอันแท่งดังฤๅจึงว่าสืบว่าแท่งนั้นสืบหลากวันคืนนั้นแลฯ รูปัสสชรตารูปนั้นคือรูปอันแก่อันเฒ่าฯ รูปัสสอนิจจาตารูปนั้น คือรูปอันยินดีรูปอันจะใกล้ตายนั้น และรูปทั้ง ๒๘ รูปนี้มีแก่สัตว์ในนรกแลฯ ฝุงสัตว์อันไปเกิดในที่ร้ายที่เป็นทุกขลำบากใจเขานั้นเพื่อใจเขาร้าย และทำบาปด้วยใจอันร้ายมี ๑๒ อันแลฯ อนึ่งคือ
โสมนัสสสหคตทิฏฐิคตสัมปยุตตอสังขาริเมกํ ใจนี้มิรู้ว่าบาปและกระทำบาปด้วยใจอันกล้าและยินดีฯ อนึ่งคือโสมนัสสสหคตทิฏฐิคตสสังขาริกเมกํ ใจอันหนึ่งมิรู้ว่าบาปและยินดีและกระทำบาปนั้น เพื่อมีผู้ชักชวนฯ อนึ่งคือ โสมนัสสสหคตทิฏฐิคตวิปปยุตตอสังขาริกเมกํ ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและกระทำด้วยใจของตนเองอันกล้าแข็งและยินดีฯ อนึ่งคือโสมนัสสสหคตทิฏฐิคตวิปปยุตตสสังขาริก ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและยินดีกระทำบาป เพื่อมีผู้ชักชวนฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตทิฏฐิคตสัมปยุตตอสังขาริก ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและกระทำเพื่อมีผู้ชักชวน และกระทำด้วยใจอันร้ายใจกล้าบมิยินดียินร้ายฯ หนึ่งคืออุเบกขาสหคตทิฏฐิคตสัมปยุตตสสังขาริก ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและกระทำเพื่อมีผู้ชวนและกระทำด้วยใจอันร้ายและใจกล้าฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตทิฏฐิคตวิปปยุตตอสังขาริก ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปและกระทำเองกับด้วยใจอันร้ายอันกล้าฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตทิฏฐิคตสสังขาริก ใจอนึ่งรู้ว่าบาปมีผู้ชวนและกระทำด้วยใจอันกล้าฯ อนึ่งคือโทมนัสสสหคตปฏิฆสัมปยุตตอสังขาริก ใจอนึ่งประกอบไปด้วยโกรธขึ้งเคียดกระทำบาปด้วยใจอันกล้าแข็งเองและร้ายฯ อนึ่งคือโทมนัสสสหคตปฏิฆสัมปยุตตสสังขาริก อนึ่งกอบไปด้วยโกรธขึ้งเคียดกระทำบาปเพื่อเหตุมีผู้ชวนฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตวิจิกิจฉาสัมปยุตตํ ใจอนึ่งบมิเชื่อบุญและกระทำบาปด้วยใจประกลายฯ อนึ่งคืออุเบกขาสหคตอุทธัจจสัมปยุตต ใจอันหนึ่งย่อมขึ้นไปฟุ้งดังก้อนเถ้าและเอาก้อนเส้าทอดลงย่อมปาลงทุกเมื่อ และกระทำบาปด้วยใจปกลายฯ ใจร้ายทั้ง ๑๒ นี้ผิและมีแก่คนผู้ใดผู้นั้นได้ไปเกิดในที่ร้ายเป็นต้นว่าจตุราบายแลฯ เหตุการเท่าใดและมีใจร้ายฝูงนี้แก่สัตว์ทั้งลาย เหตุการนั้นยังมี ๓ อัน อนึ่งชื่อว่า โลโภเหตุ อนึ่งชื่อว่โทโสเหตุ อนึ่งชื่อว่าโมโหเหตุฯ อันชื่อว่าโลโภเหตุนั้น เพื่อมักได้สินท่าน มักฆ่ามักตีท่านเพื่อจะเอาสินท่านและใจนั้นชวนกระทำบาปฯ อันชื่อว่าโทโสเหตุนั้นเพื่อตู่ท่านถูกใจ ขึ้งเคียดหิงษาแก่ท่าน มักคุมนุคุมโทษชวนใจกระทำบาปฯ อันชื่อว่าโมโหเหตุนั้น บมิรู้บุญธรรมใจพาลใจหลงไปกระทำบาปไปชวนพบทุกเมื่อแลฯ เพราะเหตุ ๓ อันนี้แหากพาสัตว์ทั้งหลายไปเกิดในที่ร้ายคือจตุราบายแลฯ ด้วยสุภาวกระทำบาปฝูงนั้นมี ๑๐ จำพวกโสด กาเยนติวิธํ กัม์มํปาณาติปาตา อทิน์นาทานา กาเมสุมิจ์ฉาจาราฯ วาจากัม์ม จตุพ์พิธํ มุสาวาทา อสุสวาจาร เปสุญ์ญาวาจา สัมผัป์ปลาปาวาจาฯ มนสาติวิธัญ์เจว มิจ์ฉาทิฏ์ฐิพ์ยาปาทวิหิษา ทสกัม์มปถาอิเมฯ สุภาวอันกระทำบาปด้วยตน ๓ จำพวกฯ สุภาวพดอันกระทำบาปดด้วยปาก ๔ จำพวกฯ สุภาวอันกระทำบาปด้วยใจ ๓ จำพวกฯ ผสมเข้าด้วยกันเป็น ๑๐ จำพวกแลฯ อันว่ากระทำบาปด้วยตัวมี ๓ จำพวกนั้นฉันนี้ คือว่าฆ่าคนและฆ่าสัตว์ อันรู้ติงด้วยมือด้วยตีนตนฯ อนึ่งคือว่าลักเอาสินท่านอันท่านมิได้ให้แก่ตนและเอาด้วยตีนมือตนฯ อนึ่งคือทำชู้ด้วยเมียท่านผู้อื่นฯ อันว่าทำบาป ด้วยปากมี ๔ จำพวกนั้นฉันนี้ อนึ่งคือว่ากล่าวถ้อยคำมุสาวาทและส่อเสียดเอาทรัพย์สิ่งสินของท่าน ๑ ฯ อนึ่งคือว่ากล่าวถ้อยคำอันท่านบมิพึงเอาเอานั้น ๑ อนึ่งคือว่ากล่าวถ้อยคำติเตียนนินทาท่านและกล่าวคำอันบาดเนื้อผิดใจท่าน กล่าวถภ้อยคำอันหยาบช้าและยุยงให้ท่านผิดใจกัน อนึ่งคือกล่าวด่าประหลกหยอกเล่นอันมิควรกล่าว และกล่าวอันเป็นถ้อยคำติรัจฉานกถานัะนแลฯ อันว่าเกิดบาปด้วยใจนั้นมี ๓ จำพวก อนึ่งคือมิจฉาหิงษาทิฏฐิถือมั่นบมิชอบบมิพอและว่าขอบว่าพอ อันชอบพอและว่าบมิชอบบมิพอนั้น อนึ่งคือว่าเคียดฟูนแก่ผู้ใดและถือมั่นว่าเป็นข้าศึกตนต่อตายสู้ความโทษใร้ายและคุมความเคียดนั้นไว้มั่นึงฯ อนึ่งคือว่าปองจะทำโทษโภยท่านจะใคร่ฆ่าฟันเอาทรัพย์สินท่านฯ สุภาวอันเป็นบาปนั้นมี ๑๐ จำพวกดังกล่าวมานี้แลฯ และแต่ใจบาปทั้งหลายดังกล่าวมานี้แลยังมีเพื่อใจอันเป็นเจตสิกแต่งมายังใจให้กระทำบาปนั้น ๒๗ นั้นคือ ผัสโส เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินท์รียํ มนสิกาโร วิตัก์โก วิจาโร อธิโมก์โข วิริยํ ปีติฉัน์โท โมโห อหิริกํ อโนต์ตัป์ปํ อุท์ธัจ์จํ โลโภ ทิฏ์ฐิ มาโน โทโส อิส์สา มัจ์ฉิริยํ กุก์กุจ์จํ ถีนํ มิท์ธํ วิจิกิจ์ฉา อันนี้ฯ ผัส์โส มาให้ต้องใจฯ เวทนามาให้เสวยฯ สัญญาให้รู้ฯ เจตนาให้รำพึงฯ เอกัค์คตาให้ถือมั่นฯ ชีวิติน์ทริยํแต่ให้เป็นเจตสิกฯ มนสิการมัวมูนไปฯ วิตักกแต่ตริบริทำนำบาปฯ วิจารใพิจารณาแก่บาปฯ อธิโม์กโขนั้นให้จำเตุเฉพาะแก่บาปฯ วิริยํให้พยายามทำบาปฯ ปีตินั้นให้ชื่นชนยินดีกระทำบาปฯ ฉันทะนั้นเหนี่ยวแก่บาปฯ โมโหนั้นให้หลงแก่บาปฯ อหิริกฺนั้นให้บมีความละอายแก่บาปฯ อโนต์ตัปปํนั้น บมิให้กลัวแก่บาปฯ อุท์ธัจ์จํให้ขึ้นฟุ้งฯ โลโภนั้นให้โลภฯ ทิฏ์ฐินั้นให้ถืดบาปมั่นฯ มานะนั้นให้ดุดันเยียสำหาวฯ โทโสนั้นให้เคียดฟูนฯ อิส์สานั้นให้ริษยาหิงษาเบียดเบียนหวงแหนฯ มัจ์ฉิริยํนั้นให้ตระหนี่ฯ กุก์กุจ์จํนั้นให้สนเท่ห์ฯ ถีนํนั้นให้เหงาเหงียบบมิให้รู้สึกตนฯ มิท์ธํนั้นให้หลับฯ วิจิกิจ์ฉานั้นท่านว่าชอบว่าพอก็ดีบมิให้ยินดีฯ เพราะใจนั้นฟุ้งซ่านชวนทำบาปนั้นได้ ๒๗ ดังกล่าวมานี้แลฯ ฝูงสัตว์ทั้งหลายอันได้กระทำบาปด้วยปากด้วยใจดังกล่าวแล้วนี้ ย่อมได้ไปเกิดในจตุราบายมีอาทิคือนรกใหญ่ ๘ ชุมนั้น ๆ ฯ สัญ์ชีโวกาล สุต์โตจ สังฆาโฏ โรรุโวตถา มหาโรรุวตาโปจ มหาราโปจาติ วีจิโยฯ อนึ่งชื่อสัญชีพนรก อนึ่งชื่อโรรุพนรก อนึ่งชื่อดาปนรก อนึ่งชื่อมหาอวิจีนรก ฝูงนรกใหญ่ ๘ อันนี้อยู่ใต้แผ่นดินอันเราอยู่นี้และถัดกันลงไป และนรกอันชื่อว่าอวิจีนรกนั้นอยู่ใต้นรกทั้งหลาย และนรกอันชื่อว่าสัญชีพนรกนั้นอยู่เหนือนรกทั้ง ๗ อันนั้น ฝูงสัตว์อันเกิดในนรกอันชื่อว่าสัญชีพนรกนั้นยืนได้ ๕๐๐ ปีด้วยปีในนรก และเป็นวัน ๑ คืน ๑ ในนรกได้ ๙ ล้านปีในเมืองมนุษย์นี้ ๕๐๐ ปีในสัญชีพนรกได้ล้าน ๖ แสนล้านหยิบหมื่นปี ในเมืองคนนี้ ๑,๖๒๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในกาลสูตตนรกนั้นยืนได้ ๑,๐๐๐ ปี ในนรกนั้น วัน ๑ คืน ๑ ในกาลสูตตนรกนั้นได้ ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีในมนุษย์ ๑,๐๐๐ ปี ในนรกได้มหาปทุมปทุมประติทธ ๑๒,๙๖๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีในมนุษย์ฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในสังฆาฎนรกนั้นยืนได้ ๒,๐๐๐ ปี ในสังฆาฎนรกวัน ๑ คืน ๑ ได้ ๑๔๕,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์ ๒,๐๐๐ ปี ในสังฆาฏนรกนั้นเป็นปีนั้นได้ ๑๐๓,๖๘๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ เป็นปีในมนุษย์แลฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในโรรุพนรกยืนได้ ๔,๐๐๐ ปี ในโรรุพนรกวัน ๑ คืน ๑ ได้ ๕๗๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีในมนุษย์นี้ ทั้ง ๔,๐๐๐ ปี ในโรรุพนรกนั้นได้ปี ๘๒๙,๔๔๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์เรานี้แลฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในมหาโรรุพนรกนั้นยืนได้ ๘,๐๐๐ ปีในนรก วัน ๑ คืน ๑ ในนรกนั้นได้ ๒๓๐,๕๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์นี้ ทั้ง ๘,๐๐๐ ปีในนรกนั้นได้ ๖,๖๓๕,๕๒๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์เรานี้แลฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในดาปนรกนั้นยืนได้ ๑๖,๐๐๐ ปี ในนรก วัน ๑ คืน ๑ ในดาบนรกนั้นได้ ๙,๒๑๖,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์ ทั้ง ๑๖,๐๐๐ ปี ในดาบนรก ๕๓,๐๘๔,๑๖๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี ในมนุษย์เรานี้แลฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในนรกอันชื่อว่ามหาดาปนรกนั้นแลฯ จะนับปีและเดือนอันเสวยทุกข์ในนรกนั้นบมิถ้วนย่อมนับด้วยกัลป ๑ แลฯ ฝูงนรกใหญ่ ๘ อันนี้ย่อมเป็น ๔ มุมและมีประตูอยู่ ๔ ทิศ พื้นหนต่ำก้อนเหล็กแดง และฝาอันปิดเบื้องบนก้อนเหล็กแดง และนรกฝูงนั้นโดยกว้างและสูงเท่ากันเป็นจตุรัส และด้านละ ๑,๐๐๐ โยชน์ด้วยโยชน์ ๘,๐๐๐ วา โดยหนาทั้ง ๔ ด้านก็ดี พื้นเบื้องต่ำก็ดี ฝาเบื้องบนก็ดี ย่อมหนาได้ละ ๙ โยชน์ และนรกนั้นบมีที่เปล่าสักแห่ง เทียรย่อมฝูงสัตว์นรกทั้งลายหากเบียดเสียดกันอยู่เต็มนรกนั้น และไฟนรกนั้นบมิดับเลยสักคาบแล ไหม้อยู่รอดชั่วต่อสิ้นกัลปแล กรรมบาปคนฝูงนั้นหากไปเป็นไฟลุกในตัวตนนั้นเป็นฟืนลุกเองไหม้ไฟนั้นแลบมิแล้วสักคาบเพื่อดังนั้นแล นรกใหญ่ ๘ อันนั้นมีนรกใหญ่อยู่รอบแล ๑๖ อันอยู่ทุกอันแลอยู่ละด้าน ๔ อันแล นรกบ่าว ๔ ฝูงนั้นยังมีนรกเล็กน้อยอยู่รอยนั้นมากนักจะนับบมิถ้วนได้เลย ประดุจที่บ้าน ๆ นอกและในเมือง ๆ มนุษย์เรานี้แลฯ ฝูงนรกบ่าวนั้นโดยกว่างได้แล ๑๐ โยชน์ทุกอันแล ฝูงนรกบ่าวนั้นอีกนรกหลวงได้ ๑๓ อัน แต่นรกใหญ่ ๔๘ อันนั้นหายมบาลอยู่นั้นบมิได้ไส้ ที่ยมบาลอยู่นั้นแต่ฝูงนรกบ่าวและนรกเล็กทั้งหลายฯ หากมียมบาลอยู่ไส้ แต่ฝูงนรกบ่าวมียมบาลอยู่ดังนั้นแลเรียกชื่อว่าอุสุทธนรกผู้ ๔ อันเป็นบมบาลดังนั้น เมื่ออยนู่เมืองคนบาปเขาก็ได้ทำบุญ เขาก็ได้ทำ ปางเมื่อตายก็ได้ไปเกิดในนรกนั้น ๑และมียมบาลฝูงอื่นมาฆ่าฟันพุ่งแทงกว่าจะถ้วน ๑๕ วันนั้นแล้วจึงคืนมาเป็นบมบาล ๑๕ วัน เวียนไปเล่าวียนมาเล่าดังนั้งหึงนานนัก เพราะว่าไป่มิสิ้นบาปอันเขากระทำนั้นดุจว่ามานี้ก็เป็นจำพวกหนึ่ง อันนี้ชื่อว่าเปรตวิมานนั้นแลฯ ลางคนนั้นกลางวันเป็นเปรต ครั้งกลางคืนเป็นเทวดา ฯ ลางคนกลางวันเป็นเทวดา ครั้นกลางคืนเป็นเปรตฯ ลางคนเดือนขึ้นเป็นเปรต เดือนแรมเป็นเทวดาฯ ลางคนเดือนขึ้นเป็นเทวดาเดือนแรมเป็นเปรต ด้วยบาปกรรมเขาฝูงนี้ไป่บมิสิ้นเป็นดังนี้ทุกเดือนหลายปีนักแลฯ ฝูงเปรตฝูงนั้นและยมบาลตูคู่กันแลยังไป่บมิสิ้นกรรมดังนั้น ยังเวียนไปมาเป็นคนนรกเป็นยมบาลทุกเมื่อบมิได้อยู่สักคาบผิว่าสิ้นกรรมนั้น จึงเป็นยมบาลแล้วก็ตายไปเกิดเป็นแห่งอื่นแลฯ แลมีเมืองพระญายมราชนั้นใหญ่นักและอ้อมรอบประตูนรกทั้ง ๔ ประตูนรกนั้นแล พระญายมราชนั้นทรงธรรมนักหนาพิจารณาถ้อยความอันใด ๆ และบังคับโจทก์และจำเลยนั้นด้วนสัจซื่อและชอบธรรมทุกอันทุกเมื่อ ผู้ใดตายย่อมไปไหว้พระญายมราชก่อนฯ พระญายมราชจึงถามผู้นั้นยังมึงได้กระทำบาปฉันใด แลมึงเร่งคำนึงดูแลมึงว่าโดยสัจโดยจริงฯ เมื่อดังนั้นเทวดาทั้ง ๔ องค์อันแต่งมาซึ่งบาญชีบุญและบาปแห่งคนทั้งหลายก็ได้ไปอยู่ในแห่งนั้นด้วย แลถือบาญชีอยู่แห่งนั้นผู้ใดกระทำบุญอันใดไส้ เทพยดานั้นเขียนชื่อผู้นั้นใส่แผ่นทองสุกแล้วทูนใส่เหนือหัว ไปถึงพระญายมราช ๆ ก็จบใส่หัวแล้วก็สาธุการอนุโมทนายินดีแล้ว ก็วางไว้แท่นทอง อันประดับนี้ด้วยแก้วสัตตพิธรัตนะ และมีอันเรืองงามแล ผู้ใดอันกระทำบาปไส้ เทวดานั้นก็ตราบาญชีลงในแผ่นหนังหมาแลเอาไว้แง ๑ เมื่อพระญายมราชถามดังนั้น ผู้ใดกระทำบุญด้ยอำนาจบุญผู้นั้นหากรำพึงรู้ทุกอันแลกล่าวแก่พระญายมราชว่า ข้าได้ทำบุญธรรมดังนั้นเทพยดาถือบาญชีนั้น ก็หมายบาญชีในแผ่นทองนั้นก็ดุจความอันเจ้าตัวกล่าวนั้น พระญายมราชก็ชี้ให้ขึ้นไปสู่สวรรค์อันมีวิมานทองอันประดับนี้ด้วยแก้ว ๗ ประการ แลมีนางฟ้าเป็นบริวารแลมีบริโภคเทียรย่อมทิพย์ แลจะกล่าวเถิงความสุขนั้นบมิได้เลยฯ ผิแลผู้ใดกระทำบาปนั้นบันดาลตู่ตนมันเองนั้นแลมันมิอาจบอกบาปได้เลย จึงเทพยดานั้นเอาบาญชีในแผ่นหนังหมามาอ่านให้มันฟัง มันจึงสารภาพว่าจริงแล้วพระญายมราชและเทพยดานั้น ก็บังคับแก่ฝูงยมบาลให้เอามันไปโดยบาปกรรมมันอันหนาและเบานั้นแลฯ บังคับอันควรในนรกอันหนังและเบานั้นแล ความทุกขเวทนาแห่งเขานั้นจะกล่าวบมิถ้วนได้เลยฯ ผู้กระทำบุยก็ได้กระทำบาปก็ได้กระทำ เทพยดานั้นจะชักบุยและบาปนั้นมาดูทั้งสองฝ่าย ๆ ใดหนักก็ไปฝ่ายนั้น แล้วแม้นว่าผู้บุญหนักแลไปสวรรค์ก็ดี เมื่อภายหลังยังจะมาใช้บาปตนนั้นเล่าบมิอย่าเลยฯ ผู้ส่วนผู้บาปหนักและไปในนรกก่อนแล เมื่อภายหลังนั้นจึงจะได้เสวยบุญแห่งตนนั้นบมิอย่าแลฯ อันว่าคนผู้กระทำบุญกระทำบาปเสมอกันนั้นไส้ พระญายมราชและเทพยดาถือบาญชีนั้นบังคับให้เป็นยมราช เป็นยมบาล ๑๕ วันมีสมบัติทิพยดุจเทพยดา และตกนรก ๑๕ วันนั้น ต่อสิ้นบาปมันนั้นแลฯ คนผู้ใดเกิดมาและมิรู้จักความบุญและมิรู้จักคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ และมิได้ให้ทานตระหนี่ทรัพย์และเมื่อท่านจะอวยทานไส้ มันห้ามปรามท่าน อนึ่งมันมิรู้รักพี่รักน้องบมิรู้เอ็นดูกรุณาเทียรย่อมฆ่าสิ่งสัตว์อันรู้ติงและลักเอาสินท่านอันท่านเจ้าสินมิได้ให้แก่ตน มักทำชู้ด้วยเมียท่านและลอบรักเมียท่านผู้อื่นและเจรจาเลาะและลู่ยล่ายมักกล่าวความร้ายส่อเสียดเบียดเบียนท่าน กล่าวความสระประมาทท่านและกล่าวความหยาบช้ากล้าแข็ง ให้ท่านบาดเนื้อผิดใจ ให้ท่านได้ความเจ็บอายและกล่าวความมุสาวาทโลเลอันมิได้เป็นประโยชน์เป็นติรัจฉานกถา และมักกินเหล้าเมามายและมิได้ยำเกรงผู้เม๋าผู้แก่สมณะพราหมณาจารย์ อันว่าคนผู้กระทำร้ายฉันนี้ไส้ ครั้นว่าตายไปก็ได้ไปเกิดในนรกอันใหญ่ ๘ อันนั้นแล อันว่าความอันเขาเจ็บปวดทนทุกขเวทนาแห่งเขานั้นจะกล่าวบมิได้เลยฯ ในฝูงนรกเล็กอันอยู่เป็นบริวารนรกบ่าวนั้นมากนั้น เรามิอาจกล่าวได้เลย แต่จะกล่าวแต่ฝูงนรกบ่าว ๑๖ อัน อยู่ล้อมรอบสัญชีพนรก อันอยู่บนนรกทั้งหลายอันพระมาตะลีนำพระเจ้าเนมีราชไปทอดพระเนตรนั้น เมื่อธไปดูสัญชีพนรกอันใหญ่อันอยู่ท่ามกลางนั้นให้ดูแต่นรก ๑๖๙ อันอยู่รอบสัญชีพนรกนั้นชื่ออุสุทธนรก แลนรกอันเป็นอาทิชื่อไพตรณีนรก คนหมู่อยู่ในแผ่นดินนี้แม้นเป็นดีมีข้างของมากไพร่ฟ้าข้าไทยมากหลายนั้น มากหลายนั้นมักกระทำร้ายแก่ผู้อื่น ชิงเอาทรัพย์ข้าวของ ๆ ท่านผู้อื่นด้วยตนมีกำลังกว่า ครั้นว่าตายได้ไปเกิดในนรกอันชื่อเวตรณีนั้นยมบาลอยู่ในเวตรณีนั้นเทียรย่อมถือไม้ค้อน มีดพร้า หอกดาบ หลาวแหลน เครื่องฆ่า เครื่องแทง เครื่องยิง เครื่องตีทั้งหลาย ฝูงนั้นย่อมเหล็กแดงและมีเปลวพุ่งขึ้นไปดังไฟฟ้าลุกดังนั้นบมิวายแล ยมบาลจึงถือเครื่องทั้งนั้นไล่แทง ไล่ตีฝูงคนนรกด้วยสิ่งนั้น เขาก็เจ็บปวดเวทนานักหนาอดทนบมิได้เลย ในนรกนั้นมีแม่น้ำใหญ่อันชื่อว่าไพตรณีและน้ำนั้นเค็มนักหนา ครั้งว่าเขาแล่นหนีน้ำนั้นเล่าหวายเครือหวายดาสไปมา แลหวายนั้นมีหนามอันใหญ่เท่าจอมเทียรย่อมเหล็กแดงเป็นเปลวไฟลุกทุกเมื่อแล ลงน้ำนั้นก็ขาดดังท่านเอามีดกรดอันคมมาแล่มากันเขาทุกแห่ง แลเครือหวายเทียรย่อมขวากใญ่ แลยาวย่อมเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟไปไหม้ตัวเขาดังไฟไหม้ต้นไม้ในกลางป่า ครั้งว่าตัวเขาตรลอดตกลงหนามหวายนั้น ลงไปยอกขวากเล็กอันอยู่ใต้นั้น ตัวเขานั้นก็ขาดห้อย ณ ทุกแง เมื่อขวากเล็กนั้นยอกตัวเข้าดังท่านเสียบปลานั้นแล บัดเดี๋ยวหนึ่งเปลวไฟไหม้ขาวขึ้นมาแล้ว ลุกขึ้นเป็นไฟไหม้ตนเขาหึงนานนักแล ตนเขานั้นสุก เน่าเปื่อยไปสิ้น ใต้ขวากเหล็กในน้ำเวตรณีนั้น มีใบบัวหลวงและใบบัวนั้นเทียรย่อมเหล็กเป็นคมรอบนั้นดังคมมีด และใบบัวนั้นเป็นเปลวลุกอยู่บมิดับเลยสักคาบ ครั้นว่าตนเขานั้นตรลอดจากขวากเหล็กนั้นตกลงเหนือใบบัวเหล็กแดงนั้น ใบบัวเหล็กแดงอันคมนั้น ก็บาดขาดวิ่นทุกแงดังท่านกันขวางกันยาวนั้นไส้ เขาตกอยู่ในใบบัวเหล็กแดงนั้นช้านานแล้ว จึงตรลอดตกลงไปในน้ำ ๆ นั้นเค็มนักหนาแล แสบเนื้อแสบตัวเขาสาหัสดังปลาอันคนตีที่บนบกนั้น บัดเดี๋ยวแม่น้ำนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟไหม้ตนเขานั้น ดูควันฟุ้งขึ้นทุกแห่งรุ่งเรืองเทียรย่อมเปลวไฟในพื้นแม่น้ำเวตรณีนั้น เทียรย่อมคมมีดหงายขึ้นทุกแห่งคมนักหนา เมื่อคนนรกนั้นร้อนด้วยเปลวไฟไหม้ดังนั้น เขาจึงคำนึงในใจว่า มากูจะดำน้ำนี้ลงไปชะรอยจะพบน้ำเย็นภายใต้โพ้น แลจะอยู่ได้แรงใจสะน้อยเขาจึงดำลงไปในพื้นน้ำนั้น จึงถูกคมมีดอันหงายอยู่ใต้น้ำนั้น ตัวเขาก็ขาดทุกแห่งดังท่านแสร้งกันเขานั้นยิ่งแสบสาหัส แลร้องล้มร้องตายเสียงแรงแข็งนักหนา บางคาบน้ำพัดตัวเขาพุ่งขึ้น ลางคาบพัดตัวเขาดำลงนั้นเองเทียรย่อมทุกขเวทนานักหนา ฝูงอันเกิดในนรกอันชื่อว่าเวตรณีนั้นเป็นทุกข์เจ็บปวดดังกล่าวมานี้แลฯ นรกอันเป็นคำรบ ๒ นั้นชื่อว่าสุนักขนรก คนผู้ใดกล่าวคำร้ายแก่สมณพราหมณ์ผู้มีศีล และพ่อแม่และผู้เฒ่าผู้แก่ครูบาทยาย คนผู้นั้นตายไปเกิดในนรกอันชื่อว่าสุนักขนรกนั้นแล ในสุนักขนรกนั้นมีหมา ๔ สิ่ง หมาจำพวก ๑ นั้นขาว หมาจำพวก ๑ นั้นแดง หมาจำพวก ๑ นั้นดำ หมาจำพวก ๑ นั้นเหลือง แลตัวหมาผู้นั้นใหญ่เท่าช้างสารทุกตัว ฝูงแร้งและกาอันอยู่ในนรกนั้นใหญ่เท่าเกวียนทุก ๆ ตัว ปากแร้งและกาและตีนนั้น เทียรย่อมเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟอยู่บ่อมิได้เหือดสักคาย แร้งแลกาหมาฝูงนั้นเทียรย่อมจิกแหกหัวอกขบตอดคนทั้งหลายในนรกนั้นด้วยกรรมบาปของเขานั้นแล มิให้เขาอยู่สบาย แลให้เขาทนเจ็บปวดสาหัส ได้เวทนาพ้นประมาณทนอยู่ในนรกอันชื่อสุนักขนรกนั้นแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นไปเป็นคำรบ ๓ ชื่อว่าโสรชตินรก คือผู้ได้กล่าวร้ายแก่ท่านผู้มีศีล อันท่านบมิได้ให้ความผิดแก่ตนแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย แลมากล่าวร้ายแก่ท่านดุจดังเอาหอกมาแทงหัวใจท่านให้ได้ความเจ็บอาย คนผู้นั้นครั้งว่าตายก็ได้ไปเกิดในนรกนั้นแล ในพื้นนรกนั้นย่อมเล็กแดงเป็นเลวไฟลุกอยู่บมิเหือดเลยสักคาบ ฝูงนรกนั้นไส้เหยียบเหนือแผ่นเหล็กแดงนั้น แลฝุงยมบาลถือค้อนเหล็กแดงอันใหญ่เท่าลำตาลไล่ตีฝูงนนรกนั้น ๆ ก็แล่นไปบนแผ่นเหล็กแดง ๆ ลุกเป็นไฟเร่งไหม้ตีนเขาแลร้อนเวทนานักหนาแล ยมบาลไล่ตีคนนรกนั้นเนื้อและตนเขาก็แหลกเป็นภัสมะไปสิ้น บัดเดี๋ยวไส้ ก็เกิดเป็นตนเขาคืนมาดังเดียวนั้นเล่า เพราะว่าบาปกรรมแห่งเขาไป่มิสิ้นตราบใดแล ทนเวทนาไปในนรกอันชื่อว่โสรชตินรกตราบนั้นแลฯ นรกบ่าวอันเป็นคำรบ ๔ นั้น ชื่อว่อังคารกาสุมนรก คนผู้ใดแลชักชวนท่านผู้อื่นว่าจะกระทำบุญและทานเอาทรัพย์มาให้แก่ตนว่าให้ทำบุญ แลตนมิได้กระทำบุญและลวงเอาทรัพย์ของท่านมาไว้เป็นอนาประโยชน์แก่ตน คนผู้นั้นตายไปได้เกิดในนรกอันชื่อว่าอังคารกาสุมนรกนั้น แลฝูงยมบาลอันอยู่รักษานรกนั้นบ้างก็ถือหอกดาบ บ้างถือค้อนเหล็กแดงลุกเป็นเปลวไฟขับต้อนบ้าง แทงบ้าง ฟันบ้าง ตีบ้าาง ไล่ผลักไล่ให้ตกลงไปในหลุมถ่านไฟอันแดง แลถ่านไฟอันแรงนั้นไหม้ตนเขา ๆ ร้อน ๆ ทนเวทนานักหนา ฝูงยมบาลจึงเอาจะหวักเหล็กอันใหญ่ตักเอาถ่านไฟแดงหล่อรดเหนือหัวเขาลง เขาก็มิอาจจะอดร้อนได้ เขาก็ร้องไห้ด้วยเสียงอันแข็งนักหนา แลกรรมบาปแห่งเขานั้นจึงมิให้เขาตาย ครั้งเขาตายจากขุนถ่านไฟนั้น ๆ ฯ อันดับนั้นเป็นคำรบ ๕ ชื่อว่าโลหกุมภีนรก แลคนผู้ใดอันตีสมณพราหมณ์ผู้มีศีลไส้ คนผู้นั้นตายได้ไปเกิดในโลหกุมภีนรก ๆ มีเหล็กแดงอันใหญ่เท่าหม้ออันใหญ่นั้น แลเต็มด้วยเหล็กแแดงเชื่อมเป็นน้ำอยู่ฝูงยมบาลจับ ๒ ตีนคนนรก ผันตีนขึ้นแลหย่อนหัวเบื้องต่ำแล้วและพุ่งตัวคนนั้นลงในหม้ออันใหญ่นั้น แลสัตว์นั้นร้อนนักหนาดิ้นไปมาอยู่ในหม้อนั้น ทนเวทนาอยู่ดังนั้นหลายคาบหลายคราแลทนอยู่กว่าจะสิ้นอายุสัตว์ในนรกอันชื่อว่โลหกุมภีนรกนั้นแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๖ ชื่อว่าโลหกุมภนรก แลคนผู้ใดฆ่าสัตว์อันมีชีวิต เชือดคอสัตว์นั้นให้ตายไส้ คนผู้นั้นครั้นว่าตายไปเกิดในนรกนั้น แลสัตว์นรกนั้นมีตัวอันใหญ่และสูงได้ ๖ พันวา ในนรกนั้นมีหม้อเหล็กแดงใหญ่เท่าภูเขาอันใหญ่ แลฝูงยมบาลเอาเชือกเหล็กแดงอันลุกเป็นเปลวไฟไล่กระวัดรัดคอเข้าแล้วตระบิด ให้คอเขานั้น ขาดออกแล้ว ๆ เอาหัวเขาทอดลงในหม้อเหล็กแดงนั้น เมื่อแลหัวเขาด้วนอยู่ดังนั้นไส้ บัดเดี๋ยวก็บังเกิดหัวอันหนึ่งขึ้นมาแทนเล่า ฝูงยมบาลจึงเอาเชือกเหล็กแดงบิดคอให้ขาด แล้วเอาหัวทอดลงไปหม้อเหล็กแดงอีกเล่า แต่ทำอยู่ดังนี้หลายคาบหลายครานัก ตราบเท่าสิ้นอายุ แลบาปกรรมแห่งเขานั้นแลฯ นรกบ่าวอันดับถัดนั้นเป็นคำรบ ๗ ชื่อว่าถูสปลาจนรก แลคนฝูงใดเอาข้าวลีบก็ดีแกลบก็ดี ฟางก็ดี มาระคนปนด้วยข้าวเปลือกแลเอาไปพรางขายแก่ท่านว่าข้าวดี คนฝูงนั้นตายได้ไปเกิดในนรกนั้น ๆ มีแม่น้ำอันหนึ่งเล็งเห็นมานั้นไส้ งามดีไหลไปบมิขาดสักคาบ ในพื้นน้ำนรกนั้นดาษไปด้วยเหล็กแดงเป็นเปลวไฟลุกไหม้ตนคนนั้น เขาร้อนเนื้อตนเขานักหนา แลเขากระหายอยากน้ำนักหนาเพียงไส้จะขาดออก เขาจึงเอามือทั้ง ๒ พาดเหนือหัวเขาแล้วร้องไห้แล่นไปเหนือเหล็กแดงดังไฟก็เร่งไหม้ตีนเขา ๆ แล่นไปสู่แม่น้ำอันใสงามนั้น เขาโจนลงในน้ำนั้น บัดเดี๋ยวน้ำนั้นก็กลายเป็นไฟขึ้นทั้ง ๒ ฟากนั้นมาไหม้ตนเขากลายเป็นข้าวลีบ แลแกลบก็เป็นไฟมาไหม้ตัวเขาลุกนักหนาแลฯ เขานั้นให้อยากน้ำนักหนา อดบมิได้เขาก็ร้องไห้แล้วเขากำเอาข้าวลีบและแกลบนั้นให้กิน เมื่อกินครั้นว่ากลืนข้าวลีบและแกลบนั้นเขาไปเถงท้องแล้วดังนั้น ก็กลายเป็นไฟออกเบื้องทวารภายต่ำ แลเป็นไฟข้าวลีบและแกลบพุ่งออกจากตัวเขานั้น เขาก็ร้องไห้นักหนา อดบมิได้จึงเอามือมาพาดเหนือหัวแล้วร้องไห้ด้วยเสียงแรงนักหนา สิ้นกาลหึงนานนักฯ แลนรกบ่าวอันเป็นคำรบ ๘ นั้นชื่อลคติหสลนรกนั้น คนฝูงใดเร่งลักสินท่าน แลคนฝูงกล่าวร้ายแก่เขา ผู้เป็นโจรแลให้เจ้าของแพ้แรงพรางเอาของท่านสิ้นบมิได้เขาโสด คนฝูงนั้นตายได้ไปเกิดในนรกนั้น แลยมบาลฝู่งรักษานรกนั้นยืนอยู่รอบคนทั้งหลายหมู่ตกนรกนั้น ๆ ระแวดระวังขับเนื้อทั้งหลายในกลางป่าทุกแห่งทุกพายแลมิให้หนีรอดได้นั้น ฝูงยมบาลเอาหอกชนักไล่แท ไล่พุ่งเขาทั้งหลาย ๆ ที่ก็ถูกบาดเจ็บทั่วตัวคนฝูงนั้น หลายแห่งนั้นดุจดังใบตองแห้ง อันท่านเอามาสับให้แหลกนั้นแล ฝูงคนนรกทั้งหลายนั้นก็แหลกไปดุจดังนั้นแลฯ นรกบ่าวอันดับเป็นคำรบ ๙ นั้นชื่อสีลกัตตนรก คนฝูงใดฆ่าปลาแลหาบมาขายในกลางตลาดไส้ ตายได้ไปเกิดในนรกนั้น ฝูงยมบาลเอาเชือกเหล็กแดงคล้องคอ แล้วลากเอาไปทอดลงเหนือแผ่นเหล็กแดงแล้วจึงแทงด้วยหอกชนัก แล้วจึงฟันด้วยพร้า แล่เอาเนื้อเขาออกเรียงขาย ดังท่านเรียงชื้นเนื้อชิ้นปลาขายกลางตลาดนั้นแล แล้วก็คืนเข้าเป็นตัวดังเก่าเล่าแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๑๐ นั้นชื่อว่า โมราปมิลหนรก คนฝูงท่านท้ายพระญาใช้ให้ไปสิ่งสารากรแก่ไพร่ฟ้าราษฎรกรมทั้งหลาย แลเรียกเอามากกว่ากำหนดท่าน แลกล่าวร้ายแก่ท่านเป็นต้นว่าาท่านตีท่านผู้มีไมตรีรักตน แลเป็นมิตรโทษทรหดดังนั้น ครั้นตายไปเกิดในนรกนั้น บาปกรรมอันกระทำคุกคามคำรามแก่เขาว่าจะใส่ชื่อและคาผูกตีนและมือเขา ทำข่มเหงเอาแก่เขา แลคนหมู่กระทำร้ายแก่ผู้รักตน และกระทำแก่ท่านเป็นต้นว่าฆ่าท่านตีท่านผุ้มีไมตรีและเป็นมิตร โทษดังนั้น ครั้นว่าตายไปเกิดในนรก คนนรกนั้นอยุ่ในแม่น้ำใหญ่อันหนึ่ง แลเต็มไปด้วยลามกอาจมและเหม็นนักหนา แม้นว่าอยู่ไกลได้ ๑๐๐ โยชน์ ๑ ก็ดียังเหม็นอยู่เลย เขายืนอยู่นักหนา เขาอดบมิได้ เขาก็กินอาจมนั้นต่างข้าวต่างน้ำทุกวารแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๑๑ ชื่อโลหิตบุพนรกนั้น คนฝูงกระทำร้ายแก่พ่อแม่และสงฆ์ และคนผู้มีคุณและท่านผู้มีศีลก็ดี คนฝูงนั้นตายไปเกิดในนรกนั้เน คนในนรกนั้นอยู่ในแม่น้ำอันใหญ่อัน ๑ เทียรย่อมเต็มไปด้วยเลือดและหนองทั้งหลาย แบเขานั้นหาอันจะกินบมิได้ แลร้อนใจเพื่ออยกานั้นนักหนา คนนรกนั้นจึงกินเลือดและหนองนั้น เมื่อเขากินเลือดและหนองนั้นเข้าไปเถิงท้องเขาไส้ ก็กลายเป็นไฟไหม้แลลอดลงไปใต้ท้ายทวารหนต่ำเป็นไฟพุ่งออกฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๑๒ ชื่อโลหพลิสนรก คนฝูงอันเจรจาซื้อสิ่งสินท่านแลไปพรางว่าจะให้เบี้ยให้เงินท่าน แลตนใส่กลเอาสินท่านด้วยตราชั่งก็ดี ด้วยทะนานก็ดี ก็ใส่กลให้เขาพลั้งพลาดแลประบัดสิ่งสินเขา แลบมิได้ให้เงินแก่เขา ครั้นว่าตายได้ไปเกิดในนรก ฝูงยมบาลเอาคีมคาบลิ้นเขาชักออกแล้วเขาเอาเบ็ดเกี่ยวลิ้นเขา ลำเบ็ดนั้นใหญ่เท่าลำตาล เทียรย่อมเหล็กแดงลุกบมิเหือดสักเมื่อ ฝูงยมบาลเขาลากไปผลักไป ให้ล้มหงายเหนือแผ่นเหล็กแดงเป็นเปลวพุ่งไหม้ตนเขาโสด ฝูงยมบาลเถือเอาหนังเขาออกแลขึงดังขึงหนังวัว ฝูงคนนรกอดเจ็บบมิได้ร้องไห้นักหนา แลมีคนอันสั่นระทดดังปลาอันหักคอนั้นแลขึ้นเหนือบกนั้น เขาย่อมรากเลือดออกดังนั้นหลายคาบแก่เขาแลฯ นรกบ่าวอันดับนั้นเป็นคำรบ ๑๓ ชื่อว่าสังาฏนรกผู้ชายแรงทำชู้ด้วยเมียท่าน ผู้หญิงทำชู้จากผัวตน ครั้นว่าตายไปเกิดในนรกนั้น ๆ มีผู้หญิงก็หลายมีผู้ชายก็มาก ฝูงยมบาลเอาหอกแทงตนเขาบาดขาดวิ่นนักหนา มีเลือดและน้ำหนองย้อยนักหนา ดุจดังวัวอันท่านเอาหอกแทงเป็นหลายแง แลมีเลือดอันย้อยเต็มตัวทุกแห่ง แลคนนรกนั้นจมอยู่ในแผ่นเหล็กแดงจมลงครึ่งตน เขาทุกคนเทียรย่อมเอามือพาดเหนือหัวเขาร้องไห้อยู่นักนา ตนเขาฝังอยู่ในนั้นดังคนแสร้งฝังไว้แล ยังมีเขาเหล็กแดงอัน ๑ ลุกเป็นเปลวไฟแลกลิ้งเข้ามาแลมีเสียงอันดัง เสียงฟ้าแลกลิ้งมาทั้งสองข้างหนีบตนเขาดังท่านหนีบอ้อยดังนั้นเป็นหลายคาบแลฯ นรกบ่าวถัดนั้นเป็นคำรบ ๑๔ ชื่อวสิรนรก คนฝูงอันกระทำชู้ด้วยเมียท่านตายไปเกิดในนรกนั้นแลฯ นรกนั้นเทียรย่อมผู้หญิงทั้งหลายผู้ชายก็หลายนัก ยมบาลจบ ๒ ตีนเข้า แลหย่อนหัวลงในขุมนรกนั้นแล้วจึงเอาค้อนเหล็กแดงตีตนเขาให้ยับย่อยไปเล่าแลฯ นรกบ่าวถัดนั้นอันคำรบ ๑๕ ชื่อโลหสิมพลีนรก ฝูงคนอันทำชู้ด้วยเมียท่านก็ดี และผู้หญิงอันมีผัวแล้วแลทำชู้จากผัวก็ดี คนฝูงนั้นตายไปเกิดในนรกนั้น ๆ มีป่าไม้งิ้วป่า ๑ หลายต้นนัก แลต้นงิ้วนั้นสูงได้แลโยชน์ แลหนามงิ้นนั้นเทียรย่อมเหล็กแดงเป็นเปลวลุกอยู่ แลหนามงิ้วนั้นยาวได้ ๑๖ นิ้วมือเป็นเปลวไฟลุกอยู่บห่อนจะรู้ดับสักคาบแล ในนรกนั้นเทียรย่อมฝูงหญิงฝูงชายหลาดแลคนฝูงนั้นเขาได้รักใคร่กันดังกล่าวมาดุจก่อนนั้นแล ลางคาบผู้หญิงอยู่บนปลายงิ้วผู้ชายอยู่ภายต่ำ ฝูงยมบาลเขาก็เอาหอกดาบแหลนหลาวอันคมเทียมย่อมเหล็กแดงแทงตีนผู้ชายนั้น จำให้ขึ้นไปหาผู้หญิงชู้ของสูอันอยู่บนปลายงิ้วโพ้นเร็วอย่าอยู่ แลฝูงผู้ชายทนเจ็บบมิได้จึงปีนขึ้นไปบนต้นงิ้วนั้น ครั้นว่าขึ้นไปไส้หนามงิ้วนั้นบาดทั่วตนเขาขาดทุกแห่งแล้วเป็นเปลวไฟไหม้ตนเขา ๆ อดบมิได้ จึงบ่ายหัวลงมา ฝูงยมบาลก็เอาอกแทงซ้ำเล่า ร้องว่าสูเร่งขึ้นไปหาชู้สูที่อยู่บนปลายงิ้วโพ้นสูจะลงมาเยียใดเล่า เขาอดเจ็บบมิได้ เขาเถียงยมบาลว่า ตูมิขึ้นไปเขาก็มิขึ้นไป แลหนามงิ้วบาดทั่วทั้งตัวเขา ๆ เจ็บปวดนักหนาดังใจเขาจะขาดตาย แลเขากลัวฝูงยมบาลเขาจึงขึ้นไปเถิงปลายงิ้วนั้น ครั้นจะใกล้เถิงผู้หญิงนั้นไส้ ก็แลเห็นผู้หญิงนั้นกลับลงมาอยู่ภายต่ำเล่า ยมบาลหมู่ ๑ แทงตีนผู้หญิงให้ขึ้นไปหาผู้ชายผู้เป็นชู้สูอันอยู่บนปลายงิ้วนั้นเล่า แลว่าเมื่อเขาขึ้น เขาลงหากันอยู่ฉันนั้น เขาบมิได้พบกัน ยมบาลขับผู้หญิง ผู้ชายจำให้ขึ้นให้ลงหากันดังนั้นหลายคาบหลายครา ลำบาดนักหนาแลฯ นรกบ่าวถัดนั้นเป็นคำรบ ๑๖ ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐินรกแล ฝูงใดอันอยู่ในเมืองมนุษย์นี้ย่อมถือมิจฉาทิฏฐิ ๆ มีสองประการ ๆ หนึ่งชื่อเหตุทิฏฐิ อนึ่งชื่อรสาทิฏฐิ หมู่มิจฉาทิฏฐินี้บุญเขาบมิรู้จักบาปเขากระทำ ฝูงคนนรกนั้นโสดความเขาร้ายในนรกนั้น และมียมบาลนั้นใหญ่นักหนาเทียรย่อมถืออกดาบและหลาวแหลน และค้อนเหล็กแดงเทียรย่อมลุกเป็นเปลวไฟอยู่ทุกคาบ เขขาทิ่มเขาแทงเขาฆ่าฟัน และงคนนรกนั้นเจ็บปวดเวทนากว่าตนพ้นประมาณ ดูลำบากนัก เทียรย่อมทนทุกข์มากกว่านรกทั้งหลายอันกล่าวแล้วนั้นแลฯ อันกล่าวแล้วนี้ คือนรกบ่าว ๑๖ อัน ๆ อยู่รอบสัญชีพนรกอันอยู่บนนรกทั้งหลายนั้นไส้ และนรกบ่าวทั้งหลายซึ่งอยู่รอบนรกใหญ่ ๗ อันนั้นซึ่งอยู่ใต้สัญชีพนรกลงไปภายใต้นั้น เราบมิกล่าวเถิงได้เลยร้ายกว่านี้ยิ่งนักหนาแลฯ
อันว่าโลกันตนรกนั้นมีดังนี้ ฝูงจะกล่าวพาลหลงทั้งหลายนี้แล ๓ อันอยู่ใกล้กันดังเกวียน ๓ อัน แลวางไว้ข้างกันดังบาตร ๓ ลูกอันไว้ใกล้กันนั้นหว่างจักรวาล ๓ อัน และมีนรกชื่อว่าโลกันตนรกแล อันแลอันในโลกันตนรกนั้นกว้างได้ ๘,๐๐๐ โยชน์ด้วยหลายนักหนาและจะนับบมิได้ มีคูลึกวงรีหาพื้นน้ำบมิได้ หาฝาเบื้องบนบมิได้ไส้ เมื่อใต้น้ำอันชูแผ่นดินนี้หากเป็นพื้นขึ้นชื่อว่าโลกันตนรกนั้น และเบื้องบนเป็นปล่องขึ้นไปถึงพรหมโลกย์ อันว่าจะมีวิมานอยู่ตรงบนโลกันตนรกขึ้นไปนั้นหามิได้ เนตรแลในโลกันตนรกนั้นมืนักหนา ฝูงสัตว์ซึ่งได้ไปเกิดในโลกันตนรกนั้นดังหลับตาอยู่เมื่อเดือนดับนั้นแล เมื่อดาวเดือนแลตระวันอันไปส่องให้คนทั้งหลาย ๔ แผ่นดินนี้ให้เห็นหนทุกแห่ง ดังนั้นก็มิอาส่องให้เห็นหนในโลกันตนรกนั้นได้ เพราะว่าเดือนและตระวันอันเป็นไฟและส่องให้คนทั้งหลาย ๔ แผ่นดินนี้ไปส่องสว่างกลางหาวแต่เพียงปลายเขายุคุนธรไส้ และส่องสว่างไปแต่ในกำแพงจักรวาล และโลกันตนรกนั้นอยู่นอกกำแพงจักรวาลไส้ อยู่หว่างเขาจักรวาลภายนอกเรานี้จึงบมิได้เห็นหนไส้ เพื่อดังนั้นแลฯ เพราะว่าเดือนแลตระวันมิได้ส่องได้ เพราะว่าปลายเขากำแพงจักรวาลนั้นสิ สูงกว่าปลายเขายุคุนธร อันเพียงหนทางเดือนตระวันส่องไปนั้นแลฯ ถ้าและว่าต่อเมื่อใดโพธิสัตว์ผู้จะลงมาอุบัติตรัสแก่สัพพัญญุตญาณ และเมื่อท่านเสด็จลงไปเอาปฏิสนธิในครรภ์พระมารดานั้นก็ดี แลเมื่อท่านสมภพจาตุโกรธรนั้นก็ดีแล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแก่สัพพัญญุตญาณนั้นก็ดีแล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาพระธรรมจักรนั้นก็ดีแล เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่นิพพานนั้นก็ดี ในกาล ๕ ที่นี้ในโลกันตนรกนั้นจึงได้เห็นหนแท้นักหนา คนซึ่งอยู่ในนรกนั้นจึงได้เห็นกัน และสัตว์ในฦดลกันตนรกก็คือว่าฉันนี้กูเดียว ว่าแต่กูมาอยู่ที่นี้คนเดียวแลหรือฯ อันว่าเขาและบ่อนกันดังนั้นก็ดีบมิได้เห็นอยู่นาน เห็นเร็วประมาณดีดนิ้วมือเดียวไส้ เห็นปานดังสายฟ้าแมลบคาบเดียวไส้ เมื่อดังนั้นเขาทั้งหลายนั้นมิได้ว่าอันใด ครั้นเขาว่าแต่เท่านั้นแล้วไส้ก็กลับมืดไปดังเก่าเล่าแลฯ ผิเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเทศนาธรรมจักรนั้น ยังค่อยเรืองอยู่เว้นนานกว่าทุกคาบสะน้อยแสนสายจึงวายเรือง คนฝูงใดอันกระทำร้ายแก่พ่อและแม่และสมณพราหมณาจารย์ผู้มีศีล และยุยงพระสงฆ์ให้ผิดกัน ครั้นว่าตายไปเกิดในนนรกอันชื่อว่าโลกันตนรกนั้นและเขานั้นใหญ่หนักหนาโดยสูงได้ ๖,๐๐๐ วา เล็บตีนเล็บมือเขานั้นดังคั้งคาวและใหญ่ยาวนักหนา สมควรด้วยตัวอันใหญ่นั้นเล็บนั้นสมนักหนา ผิละเกาะแห่งใดก็ติดอยู่แห่งนั้น เขาเอาเล็บเขานั้นเกาะกำแพงจักรวาลมั่นหน่วงอยู่ และเขาห้อยตนเขาอยู่ดังคั้งคาวนั้นแล เมื่อเขาอยากอาหารไส้ เขามิได้ไปาเพื่อจะหากิน ครั้นได้ต้องมือกันเข้าไส้ ใจเขานึกว่าเขากินก็จับกุมกันกิน คนผู้นึ่งก็นึกว่าเขากิน จึงคนทั้งสองนั้นก็จับกุมกันกิน ต่างคนต่างตระครุบกันกินก็รัดเอาด้วยกันทั้งสองคนในน้ำอันชูแผ่นดิน เมื่อเขาตกลงในน้ำนั้นดุจลูกไม้อันใหญ่แลหล่นลงในน้ำนั้น และใต้น้ำนั้นโสดแต่แรกตั้งแผ่นดินแดดบห่อนจะไปต้องน้ำนั้นบัดเดี๋ยวใจไส้ ตนเขาก็เปื่อยแหลกออกไปสิ้นดังก้อนอาจมซึ่งตกลงในน้ำนั้นก็ตายบัดใจ แล้วจึงกลายเป็นตนเขาขึ้นอีกเล่าโสด เขาจึงปีนขึ้นไปเกาะกำแพงจักรวาลภายนอกนั้นอยู่ดังก่อนเล่าแล แต่เขาตายเขาเป็นอยู่ดังนั้นหลายคาบหลายครานักหนาแล แต่เขาทนทุกขเวทนาอยู่ที่นั้นช้าหึงนานนักชั่วพุทธันดรกัลปหนึ่งแลฯ
ฝูงสัตว์อันเกิดในมหาอวิจีนรกนั้น ทนทุกขเวทนาคาบหึงนานสิ้นกัลป ๑ จึงพ้นแล กัลป ๑ นั้นช้าหึงนานประมาณเท่าใดเล่า และจะนับด้วยปีและเดือนไส้ บมิอาจนับได้เท่าเว้นไว้แต่อุประมาให้รู้ฯ ว่ายังมีภูเขาอันหนึ่งโดยสูงไส้ได้ โยชน์ ๑ โดยรอบเขานั้นไส้ได้ ๓ โยชน์แล ถึงร้อยปีเอาผ้าทิพย์อันอ่อนดังควันไฟมากวาดภูเขาแต่แลคาบ เมื่อใดภูเขานั้นราบเพียงแผ่นดินจึงเรียกว่าสิ้นกัลป ๑ แล ฯ
ผิแลมีผู้โจทนาว่าดังนี้ ว่าคนอันที่ได้กระทำบาปอันเป็นปัญจานันตริยกรรมแลได้ไปตกในนรกอันชื่อว่ามหาอวิจีนรกนั้นดังฤๅและจะนับถ้วนกัลปดังกล่าวนั้นเลย เพราะว่ากัลปหนึ่งพ้นไปแล้ว ๓ ส่วน และยังส่วนเดียวไส้ และไฟจักไหม้กัลปฯ ท่านผู้เฉลยว่าฉันนี้ ฝูงที่ไปตกในมหาอวิจีนรกตราบใด แลไปบมิถ้วนกัลปดังกล่าวนั้น ผิแลไฟกัลปมาก็ดีบมิไหม้คนนรกนั้นได้เพื่อดังฤๅไส้ ครั้นว่าไฟกัลปไหม้มาเถิงมหาอวิจีนรกนั้นและว่ายังมีลมอันหนึ่งเป็นบาปก็พัดเอาตัวสัตว์อันอยู่ในอวิจีแลไปบมิถ้วนกัลปนั้นก็พัดเอาสัตว์นั้นไปไว้มหาอวิจีนรก อันมีในจักรวาลอันอื่นที่ไฟไหม้ไปบมิเถิงนั้น ลมพัดเอาเขาไปพลันนัก ผิจะอุปมาดุจนกตัว ๑ จับต้นไม้อันสูงและสูงเท่าใดก็ดี ครั้นว่านกนั้นบมิไปจากต้นไม้นั้นตราบใดยังเห็นเงานกตกอยู่ที่กลางดินนั้น พร้อมกับบมิทันรู้ว่าอันก่อนอันหลังนั้นและมีฉันใดคนอันจากอวิจีอยู่ในจักรวาลอันไฟไหม้นั้น แลไปอยู่ในอวิจีอันอื่นในจักรวาลอันอื่นอันไฟไหม้บมิเถิงนั้นดุจดังเงานก สัตว์คนนรกนั้นตราบได้บมิถ้วนกัลปดังกล่าวมานั้นบมิพ้น บาปอันใดและบาปแห่งพระเทวทัตอันได้ไปไหม้อยู่ในมหาอวิจีนรกนั้น ไกลแต่เราอยู่นี้ไปเถิงยมโลกย์ได้ ๑๕๐ โยชน์ แต่ยมโลกย์ลงไปถึงอวิจีได้พันโยชน์ ลมอันจรดได้โยชน์ และแผ่นดินอันเราอยู่นี้ โดยกว้างได้หมื่นโยชน์ โดยหนาได้ ๒๔,๐๐๐ โยชน์ และน้ำอันทรงแผ่นดินไว้หนาได้ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์ ลมอันทรงน้ำและแผ่นดินบมิให้จมบมิให้ไหว โดยหนาได้ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ ฝูงนรกทั้งหลายนั้นย่อมอยู่ใต้แผ่นดินที่เราอยู่นี้แลฯ กล่าวเถิงฝูงสัตว์อันเกิดในนรกภูมิ อันเป็นปถมกัณฑ์โดยสังเขปกถาเท่านี้แลฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไตรภูมิพระร่วง_-_คลังปัญญาไทย
|
13954
|
57533
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13954
|
ไตรภูมิพระร่วง/มนุสสภูมิ
|
มนุสสภูมิ.
ฝูงสัตว์อันเกิดในมนุษย์ภูมินี้ย่อมเกิดในโยนิ ๔ อันนั้นทุกอัน โยนิ ๓ อัน ครากาลจึงเกิดไส้ ย่อมเกิดในชลามพุชโยนิกว่าทุกอันไส้ ที่ท้องคนทั้งหลายอันมีผู้มาเกิดเอาปฏิสนธิมีดังนี้ หญิงทั้งหลายอันยังหนุ่มแล จะควรมีลูกนั้นที่ใต้ท้องน้อยภายในแห่งคนแร่งมาเกิดนั้น มีก้อนเลือดอันหนึ่งซึ่งหนักอันนั้นผิบุตรนั้นแร่งมาบุตรนั้นแร่งใหญ่แลแดงดังลูกผักปลัง ผิเมื่อใดผู้หญิงนั้นเถิงรดูโดยเดือนแล้วแลเลือดไหลออกจากท้องที่นั้นแล้ว แต่นั้นไปเมื่อหน้า ๗ วัน ชื่อเชตุผู้มีสิ่งอันมาเกิดเอาปฏิสนธิไส้ แต่นั้นไปเลือบมิได้ไหลออกจากท้องที่เคยปรกติดังก่อนเลย แต่ฝูงหญิงทั้งหลายอันไปมิเฒ่ามิแก่นั้นไส้ควรมีลูกทุกคนแลฯ ผู้หญิงอันหาลูกบมิได้นั้นไส้เพราะว่บาปกรรมของคนผู้มาเกิดนั้น แลให้บังเกิดเป็นลมในท้องผู้หญิงนั้นแลลมนั้นหากพัดต้องครรภ์นั้นก็แท้งก็ตายฯ ลางคาบมีตืดมีเอือนในท้องนั้น แลติฃืดแลเดือนนั้นหากไปกินครรภ์นั้นก็ตาย ทว่าผู้หญิงอันหาลูกบมิได้เพื่อดังนั้น ผู้หญิงอันมีครรภ์ด้วยชลามพชโยนิ เมื่อแรกก่อเป็นนั้นน้อยนักหนาเรียกชื่อว่ากัลละหัวปีมีเท่านี้ เอาผมคนในแผ่นดินเราอยู่นี้มาผ่าออกเป็น ๘ คาบ เอาแต่คาบเดียวมาเปรียบเท่าผมคนในแผ่นดินอันชื่อว่าอุตตรกุรุนั้น แลเอาเส้นผมของชาวอุตตรกุรุนั้นแต่เส้นหนึ่งขุบน้ำมันงาอันใสงามนั้นเอามาสลัดได้ ๗ คาบแล้วจึงถืออยู่ น้ำมันนั้นย้อยลงมาปลายผมนั้นท่านว่ายังใหญ่กว่ากัลละนั้นเลยฯ ทรายอันชื่อชาติอุนนาโลมอันอยู่ในตีนเขาพระหิมพานต์ แลเส้นขนนั้นยังน้อยกว่าเส้นผมชาวอุตตรกุรุทวีปนั้นเล่า ให้เอาชนทรายอันชื่อชาติอุนนาโลมเส้นหนึ่งชุบน้ำมันงาอันใสงามเอาออกมาสะลัดเสียได้ ๗ คาบ แล้วจึงถืออยู่ น้ำมันนั้นย้อยลงมาในปลายขนทรายนั้น จึงเท่ากัลลละนั้นไส้ กัลลละนั้นไสงามนักหนาดังน้ำมันงาอันพึ่งตักใหม่ งามดังเปรียงประโคอันแรกออกใหม่ แต่นั้นจึงก่อเป็นลม ๕ สิ่งอันถือตีนคนนี้ให้แร่งก็มาอยู่กลนั้น ลมทั้งหลาย ๕ สิ่งนั้นมาพร้อมกันทีเดียวแล เมื่อแรกจะก่อเป็นกัลลละนั้น มีรูป ๘ อันแล รูป ๘ อันนั้นคือรูปอันหนึ่งชื่อว่าปถวีรูป อันหนึ่งนั้นเป็นน้ำชื่อว่าอาโปรูป อันหนึ่งเป็นตัวชื่อกายรูป อันหนึ่งให้เป็นผู้หญ้งผู้ชายชื่อภาวรูป รูปอันเป็นไปชื่อหทัยรูป รูปอันหนึ่งให้ตั้งรูปทั้งหลายชื่อชีวิตรูป ในรูปฝูงนั้นมีผิชีวิตอันให้เป็น ๓ ก้อนอันเกิดด้วยชีวิตอันให้เป็น ๓ อันนั้นเกิดรูปคืออันใดเล่าชีวิตอันเกิดในกายรูป ชีวิตอันหนึ่งเกิดในหทัยรูปมีรูป ๓ อีนนั้นมีองค์แล ๙ แล ๙ เป็นบริวารโสด อันใดสิ้นคือปถวี อาโป เตโช วาโย วัณโณ คันโธ รโส โอชา องค์ฝูงนี้ผสมเข้าด้วยกาย เอากายใส่อีกเป็นคำรบ ๙ ผิเลเข้าในภาวเอาภาวอีกเป็นคำรบ ๙ ผิเข้าในหทัยเอาหทัยเป็นคำรบ ๙ เพื่อดังนั้นจึงว่ามีแล ๙ แล ๘ เป็นองค์แก่ชีวิต เพื่อดังนั้นได้ ๓ เกิดด้วยเมื่อเอาปฏิสนธิแต่อาทิพร้อมกันทีเดียวแลฯ ฝูงสัตว์อันเกิดในท้องแม่ เมื่ออาทิมีรูปเท่าดังกล่าวแล้วนั้นแลฯ อันว่าจักษุรูปแลโสตรูป ฆานรูป ชิวหารูป รูป ๕ อันนี้จึงเกิดโดยอันดับกันชอบกาล แลรูปอันเกิดแต่กรรมชรูปไส้อาศัยแก่สันตติจึงเกิดฯ ถัดนั้นรูปอันเกิดแต่อาหารชรูปนั้น อาศัยแก่อาหารอันแม่กินจึงบังเกิดรูป รูปฝูงนี้เกิดเมื่อภายหลังเป็นโดยอันดับกันถ้วน ๒ โดยดังกล่าวมานี้แลฯ เมื่อรูปอันเกิดแต่ใหม่อันใสแก่ท์วิติยจึงเกิดนั้น รูปได้ ๘ อันรูปนั้นชื่อจิตรสมุฏฐานกลาปแลฯ เมื่อรูปอันเกิดแต่รูปนั้นอาศัยแก่สันตติจึงเกิดรูปนั้น เกิดรูปได้ ๘ อันโสด รูปอันนั้นชื่ออุตุสมุฏฐานกลาปแลฯ เมื่อรูปอันเกิดแต่อาหารนั้น อาศัยแก่โอชารสอันแม่ตนเกิดข้าวน้ำนั้นเกิดรูปได้ ๘ อันโสด รูปชื่ออาหารสมุฏฐานกลาปแลฯ ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดีเกิดมีอาทิต่เกิดเป็นกัลลละนั้น โดยใหญ่แต่วันละวันแลน้อย ครั้งเถิง ๗ วันตั้งแต่น้ำล้างเนื้อนั้นเรียกว่าอัมพุทธ ๆ นั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไส้ ครั้นได้เถิง ๗ วารข้นเป็นดังตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อตยกชื่อว่าเป็นเปสิ ๆ นั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้งเถิง ๗ วันแข็งเป็นก้อนดังไข่ไก่เรียกว่า ฆณะ ๆ นั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นเถิง ๗ วันเป็นต่มออกได้ ๕ แห่งดังหูดนั้นเรียกว่าเบญจสาขาหูด ๆ นั้นเป็นมือ ๒ อันเป็นตีน ๒ อัน หูดเป็นหัวนั้นอันหนึ่ง แลแต่นั้นค่อยไปเบื้องหน้าทุกวัน ครั้ง ๗ วันเป็นฝ่ามือเป็นนิ้วมือ แต่ไป ๓๒ จึงเป็นขนเป็ฯเล็บตีนเล็บมือเป็นเครื่องสำหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันแลฯ แต่รูปอันมีกลางตนไส้ ๕๐ แต่รูปอันมีหัวได้ ๘๔ แต่รูปอันมีเบื้องต่ำได้ ๕๐ ผสมรูปทั้งหลายอันเกิดเป็นสัตว์อันอยู่ในท้องแม่ได้ ๑๘๔ แลกุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่แลเอาหลังมาต่อหนังท้องแม่ อาหารอันแม่กินเข้าไปแต่ก่อนนั้นอยู่ใต้กุมารนั้น อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารนั้น เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดแลเอือนอันได้ ๘๐ ครอกซึ่งอยู่ในท้องแม่เป็นที่เหม็น แลที่ออกลูกออกเต้าที่เฒ่าที่ตายที่เร้ว ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเอือนฝูงนั้นเริ่มตัวกุมารนั้นไส้ ดุจดังหนอนอันอยู่ในปลาเน่าแลหนอนอันอยู่ในลามกอาจมนั้นแลฯ อันว่าสายไส้ดือแห่งกุมารนั้นกลวงดังสายก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แลข้าวน้ำอาหารอันใดแม่กินไส้แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือนั้นแลเข้าไปในท้องกุมารนั้นและน้อย ๆ แลน้อยนั้น ก็ได้กินค่ำเช้าทุกวัน แม่จะพึงกินเข้าไปอยู่เหนือกระหม่อมทับหัวกุมารนั้นอยู่ แลลำบากนักหนาแต่อาหารอันแม่กินก่อนไส้แลกุมารนั้นอยู่เหนืออาหารนั้นเบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่แลกำมือทั้งสอง คู้ตัวต่อหัวเข้าทั้งสองเอาหัวไว้เหนือหัวเข่า เมื่อนั่งอยู่ดังนั้นเลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนหยดทุกเมื่อแลทุกเมื่อ ดฃแลดุจดังลิงเมื่อฝนตกแลนั่งกำมือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้นั้นแล ในท้องแม่นั้นร้อนหนักหนาดุจดังเราเอาใบตองเข้าจะต้มแลต้นในหม้อนั้นไส้ สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้แลย่อยลงด้วยอำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัวกุมารนั้นบมิไหม้เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแลยมิไหม้ตายเพื่อดังนั้นแล แต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่บห่อนได้หายใจเข้าออกเลย บห่อนได้เหยียดตีนเหยียดมือออก ดังเราท่านทั้งหลายนี้สักคาบหนึ่งเลย แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดังคน อันท่านขันไว้ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจแลเดือดเนื้อร้อนใจนักหนา เหยียดตีนมือบมิได้ดับงท่านเอาใส่ไว้ในที่คับฯ ผิแลว่าเมื่อแม่เดินไปก็ดีนอนก็ฟื้นตนก็ดี กุมารอยู่ในท้องแม่นั้นให้เจ็บเพียงจะตายแลดุจดังลูกทรายอันพึ่งออกแลอยู่ธรห้อย ผิบมีดุจดังคนอันเมาเล่า ผีบมีดุจดังลูกงูอันหมองูเอาไปเล่นนั้นแลฯ อันอยู่ลำบากยากใจ ดุจดังนั้นบมิได้ลำบากแต่สองวารสามวารแลจะพ้นได้เลย อยู่ยากแลเจ็ดเดือน ลางคาบ ๘ เดือน ลางคาบ ๙ เดือน ลางคาบ ๑๐ เดือน ลางคน ๑๑ เดือน ลางคนคำรบปีหนึ่งจึงคลอดก็มีแลฯ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือน แลคลอดนั้นบห่อนจะได้สักคาบฯ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่เจ็ดเดือนแล คลอดนั้นแม่เลี้ยงเป็นคนก็บมิได้กล้าแข็งบมิทนแดดทนฝนได้แลฯ คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดนั้น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจและตระหนกกระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสดฯ คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั้น เมื่อจะคลอดออกตนกุมารนั้นเย็น ๆ เนื้อเย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่ก็ดีแม่นั้นอยู่เย็นเป็นสุขสำราญบานใจแลผู้อยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อเถิงจักคลอดนั้นก็ด้วยกรรมนั้น กลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึ่ง พัดให้ตัวกุมารนั้นขึ้นหนบน ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั้นดจดังฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรกนั้นอันลึกได้แลร้อยวานั้น เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ออกแลไปบมีพ้นตน ๆ เย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา ดังช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยากลำบากนั้น ผิบมิดังนั้นดังคนผู้อยู่ในนรกแลฯ ภูเขาอันชื่อคังเคยยปัพตหีบแลแห่งแลบดนฃบี้นั้นแลฯ ครั้นออกจากท้องแม่ไส้ ลมอันมีในท้องผู้น้อยค่อยพัดออกก่อน ลมอันมีภายนอกนั้นจึงพัดเข้านั้นนักหนา พัดเข้าเถิงตนลิ้นผู้น้อยนั้นจึงอย่า ครั้นออกจากท้องแม่แตี่นั้นไปเมื่อหน้ากุมารนั้นจึงรู้หายใจเข้าออกแลฯ ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดีมาแต่เปรตก็ดี มีนคำนึงเถิงความอันลำบากนั้น ครั้นว่าออกมาก็ร้อยไห้แลฯ ผิแลคนมาแต่สวรรค์แลคำนึงเถิงความาขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไส้ก็ย่อมหัวร่อก่อนแลฯ แต่คนผู้มาอยู่ในแผ่นดินนี้ทั่วทั้งจัวาลอันใดอันอื่นก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่ก็ดี เมื่อออกจากท้องแม่ก็ดี ในกาลทั้ง ๓ นั้นย่อมหลงบมิได้คำนึงรู้อันใดสักสิ่ง ฯ ฝูงที่อันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาชีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์อรรคสาวกเจั้าก็ดี เมื่อธแรกมาเอาปฏิสนธินั้นก็ดี เมื่อธอยู่ในท้องแม่นั้นก็ดีแล สองสิ่งนี้ เมื่ออยู่ในท้องแม่นั้นบห่อนจะรู้หลงแลยังคำนึงรู้อยู่ทุกวัน เมื่อจะออกจากท้องแม่วันนั้นไส้เ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อนนั้นลงมาสู่ที่จะออกแล คับแคบแอ่นนัยนักหนาเจ็บเนื้อเจ็บตนลำบากนักหนา เจ็บเนื้อเจ็บตนลำบากนักดังกล่าวมาแต่ก่อน แลพลิกหัวลงบมิได้รู้สึกสักอันบเริ่มดังท่านผู้จะออกมาเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็โ ผู้จะมาเกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ดี คำนึงรู้สึคกตนแลบมิหลงแต่สองสิ่งนี้ คือเมื่อจะเอาปฏิสนธิแลอยู่ในท้องแม่นั้นได้แลฯ เมื่อจะออกจากท้องแม่นั้นย่อมหลงดุจคนทั้งหลายนี้แลฯ ส่วนว่าคนทั้งหลายนี้ไส้ย่อมหล่งทั้ง ๓ เมื่อควรอิ่มสงสารแลฯ พระโพธิสัตว์เจ้าเมื่อชาติลงมาตรัสแก่สัพพัญญุตญาณ เมื่อแรกเอาปฏิสนธิก็ดี เมื่ออยู่ในคตรรภ์ก็ดี แลเสด็จจากครรภ์ก็ดี พระมารดาก็ดี บห่อนจะรู้หลงสักทีย่อมคำนึงรู้ทุกประการแลฯ เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์พระมารดานั้นบมิเหมือนดุจคนทั้งหลายเบื้องหลัง พระโพธิสัตว์ผูกหลังท้องแม่แลนั่งพแนงเชิงอยู่ดังนักปราชญ์ผู้งามนั้นนั่งเทศนาในธรรมาสนนั้น ตัวแห่งพระโพธิสัตว์เจ้านั้นเรืองงามดังทอง เห็นออกมารอง ๆ ดังจะออกมาภายนอกท้อง มารดาโพธิสัตว์ก็ดีแลผู้อื่นก็ดี ก็เห็นรุ่งเรืองงามดังท่านเอาไหมอันแดงนั้นมาร้อยแก้วขาวนั้นแบฯ เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จออกจากท้องแม่ ลมอันเป็นบุญนั้นบมิได้พัดให้หัวลงมาเบื้องต่ำแลให้ตีนขึ้นเบื้องบนดังสัตว์ทั้งหลายนั้นหาบมิได้ฯ เมื่อพระโพธิสัตว์จะออกจากครรภ์มารดานั้ นธเหยียดตีนแลเมื่อธออกแล้วธลุกยืนขึ้นแล้วธจึงออกจากท้องแม่ธแลฯ แต่เมื่อธยังเป็นฯ แต่มนุษย์ทั้งหลายอันมาเกิดในท้องแม่มนั้น และจะมีประดุจเป็นโพธิสัตว์เมื่ปัจฉิมชาติจักได้ตรัสเป็นพระนี้บห่อนมีเลย แต่ก่อน ๆ โพ้นไส้ย่อมเป็นโดยปรกติคจนทั้งหลายนี้แลฯ เมื่อพระโพธิสัตว์เนสด็จลงมาเอาปฏิสนธิเมื่อธสมภพก็ดี แผ่นดินไหวได้แลหมื่นจักรวาลทั้งน้ำอันชูแผ่นดินก็ไหว ทั้งน้ำสมุทรก็ฟูมฟอง เขาพระสุเมรุราชก็ทรงอยู่บมิได้ ก็หวั่นไหวด้วยบุญสมภารพระโพธิสัตว์เจ้าผู้มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้นแลฯ อันว่าปรกติคนทั้งหลายในโลกย์นี้ก็โ องค์พระโพธิสัตว์เจ้าก็ดี ติรัจฉานทั้งหลายก็ดี ครั้นว่าออกมาจากท้องแม่แลไส้ อันว่าเลือดซึ่งมีอยู่ในอกแม่นั้นเหตุว่าแม่ตจนมีใจรักนัก จึงเลือดที่ในอกของแม่นั้น ก็กลายเป็นน้ำมันไหลออกมาของแม่ให้ลูกนั้นได้ดูดกิน อันนี้เป็นวิสัยแห่งโลกย์ทั้งหลายแลฯ อันว่ามนุษย์ทั้งหลายนี้ ครั้นว่าผู้น้อยนั้นใหญ่ก็มาอาศัยแก่พ่อแม่นั้นเจรจาภาษาอันใด ๆ ก็ดี ครั้นแลว่าลูกนั้นได้ยินพ่อแม่เจรจาโดยภาษาอันนี้นั้น ๆ ตามภาษาพ่อแม่เจรจานั้นแลฯ ผิว่าผู้น้อยนั้นเกิดมาแล้วใหญ่มากล้าแข็งแล้วไส้ ถ้าแลว่าบมิได้ภาษาอันใด ๆ เลยไส้ กุมารนั้นก็เจรจาโดยสัจจบาลีแล โดยกำหนดท่านว่าไว้ต่อได้ ๑๖ ปี จึงหย่านมแลฯ ฝูงกุมารมนุษย์ทั้งหลายอันเกิดมานี้มี ๓ สิ่ง ๆ หนึ่งชื่อว่าอภิชาติบุตร สิ่งหนึ่งชื่ออนุชาติบุตร สิ่งหนึ่งชื่ออวชาติบุตรฯ อันว่าอภิชาติบุตรนั้นไส้ ลูกนั้นเฉลียวฉลาดช่างเชาว์เหล่าเกลี้ยงดียิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ แลรู้หลักนักปราชญ์ยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ ทั้งรูปนั้นก็งามกว่าพ่อกว่าแม่ มั่งมีเป็นดีมียษฐาศักดิ์มีกำลังยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ ลูกอันดีกว่าพ่อแม่ดังนี้ไส้ชื่อว่าอภิชาติบุตรแลฯ ลูกอันเกิดมาแลรู้หลักเรี่ยวแรงแลรูปโฉมแต่พอเพียงพ่อเพียงแม่ทุกประการดังนั้นชื่อว่าอนุชาติบุตรแลฯ ลูกอันเกิดมานั้นแลถ่อยกว่าพ่อกว่าแม่ทุกประการ ดังนั้นไส้ชื่อว่าอวชาติลบุตรแลฯ อันว่ามนุษย์ทั้งหลายนี้ ๔ จำพวก ๆ หนึ่งชื่อว่าคนนรก อันหนึ่งชื่อคนเปรต จำพวกหนึ่งชื่อคนติรัจฉาน อันหนึ่งชื่อคนมนุษย์ ฝูงคนอันที่ฆ่าสิงสัตว์อันรู้กระทำการอันเป็นบาปนั้นมาเถิงตน แลทื่านได้ตัดตีนสินมือแลทุกข์โศกเวทนานักหนาดังเรียกชื่อว่าคนนรกแลฯ จำพวกหนึ่งคนอันหาบุญอันจะกระทำบมิได้ แลแต่เมื่อก่อนแลเกิดมาเป็นคนเข็ญใจนักหนาแลจะมีผ้าแลเสื้อรอบตนนั้นหาบมิได้ อยู่หาอันจะกินบมิได้ อยากเผ็ดเร็ดไร้นักหนาแลมีรูปโแมโนมพรรณนั้นก็บมิงาม คนหมู่นี้ชื่อว่าเปรตมนุษย์แลฯ คนอันที่มีรู้ว่าบุญแลบาปย่อมเจรจาที่อันหาความเมตตากรุณามิได้ ใจกล้าหาญแข็งบมิรู้ยำเกรงท่านผู้เฒ่าผู้แก่ บมิรู้ปฏิบัติพ่อแม่แลครูบาธยายลมิรู้รักพี่รักน้อง ย่อมกระทำบาปทุกเมื่อ คนผู้นี้ชื่อว่าติรัจฉานมนุษย์แลฯ คนอันที่รู้จักผิดแลชอบ แลรู้จักที่อันเป็นบาปแลบุญ แลรู้จักประโยชน์ในชั่วนี้ชั่วหน้า แลรู้กลัวแก่บาปแลละอายแก่บาป รู้จักว่ายากว่าง่าย แลรู้รักพี่รักน้องแลรู้เอ็นดูกรุณาคนผู้เข็ยใจ แลรู้ยำเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่สมณพราหมณาจารย์อันอยู่ในสิกขาบทของพระพุทธเจ้าทุกเมื่อ แลรู้จักคุณแก้ว ๓ ประการไส้ แลคนฝูงนี้แลชื่อว่ามนุษยธรรมแลฯ คนทั้งหลายอันชื่อว่ามนุษย์นี้มี ๔ จำพวก จำพวกหนึ่งเกิดแลอยู่ในชมพูทวีปนี้แลฯ คนจำพวกหนึ่งเกิดแลอยู่ในแผ่นดินบุรพวิเทหเบื้องตระวันออกเรา คนจำพวกหนึ่งเกิดแลอยู่ในแผ่นดินอุตรกุรุทวีปอยู่ฝ่ายเหนือเรานี้ คนจำพวกหนึ่งเกิดแลอยู่ในแผ่นดินอมรโคยานทวีปเบื้องตระวันตกเรานี้ ฯ คนอันอยู่ในแผ่นดินชมพูทวีปอันเราอยู่นี้ หน้าเขาดังดุมเกวียน ฝูงคนอันอยู่ในบุรพวิเทหะหน้าเขาดังเดือนเพ็งแลกลมดังหน้าแว่นฯ ฝูงคนอันอยู่ในอุตรกุรุนั้นแลหน้าเขาเป็น ๔ มุมดุจดังท่านแกล้งถากให้เป็น ๔ เหลี่ยมกว้างแลรีนั้นเท่ากันแลฯ ฝูงคนอันอยู่ในแผ่นดินอมรโคยานทวีปนั้น หน้าเขาดังเดือนแรม ๘ ค่ำนั้นแลฯ อายุคนทั้งหลายอันอยู่ในชมพูทวีปนี้บห่อนจะรู้ขึ้นรู้ลง เพราะเหตุว่าดังนี้ลางคาบคนทั้งหลายมีศีลมีธรรม ลางคาบคนทั้งหลายหาศีลหาธรรมบมิได้ฯ ผิแลว่าเมื่อคนทั้งหลายนั้นมีศีลอยู่ไส้ ย่อมกระทำบุญแลธรรมแลยำเยงผู้เฒ่าผู้แก่พ่อแม่ แลสมณพราหมณาจารย์ดังนั้นแลอายุคนทั้งหลายนั้นก็เร่งจำเริญขึ้นไป ๆ เนือง ๆ แลฯ ผิแลว่าคนทั้งหลายมิได้จำศีลแลมิได้ทำบุญ แลมิได้ยำเกรงผู้เฒ่าผู้แก่พ่อแม่แลสมณพราหมณาจารย์ครูบาธยายแล้วดังนั้นไส้ อันว่าอายุคนทั้งหลายนั้นก็เร่งถอยลงมา ๆ เนือง ๆ แลฯ แลอายุคนในแผ่นดินชมพูทวีปเรานี้ว่าหากำหนดมิได้เพราะเหตุดังนั้นแลฯ อันว่าฝูงคนอันอยู่ในบุรพวิเทหะนั้นแลอายุเขายืนได้ ๑๐๐ ปี เขาจึงตายฯ อันว่าฝูงคนทั้งหลายอันอยู่ในอมรโคยานทวีปนั้นอายุเขายืนได้ ๔๐๐ ปีจึงตายแลฯ อันว่าฝูงคนอันอยู่ในอุตรกุรุทวีปนั้น อายุเขายืนได้ ๑๐๐๐ ปีจึงตายแลฯ แลอายุคนทั้ง ๓ ทวีปนั้นบห่อนจะรู้ขึ้นรู้ลงเลยสักสาบ เพราะว่าเขานั้นอยู่ในปัญจศีลทุกเมื่อบมิได้ขาด เขาบห่อนจะรู้ฆ่าสัตว์ตัวเป็นให้จำตายเขาบห่อนจะรู้ลักเอาทรัพย์สินท่านมากก็ดีน้อยก็ดีอันเจ้าของมิได้ให้ เขาบห่อนจะรู้ฉกลักเอา อนึ่งเขาบห่อนจะรู้ทำชู้ด้วยเมียท่านผู้อื่น ส่วนว่าผู้หญิงเล่าเขาก็บห่อนจะรู้ทำชู้ด้วยผัวท่านแล ผู้อื่นแลเขาบห่อนจะรู้ทำชู้จากผัวของตน อนึ่งเขาบห่อนจะรู้เจราจามุสาวาทแลเขาบห่อนจะรู้เสพย์สุรายาเมา แลเขารู้ยำรู้เกรงผู้เม่าผู้แก่พ่อแลแม่ของเขา ๆ รู้รักพี่รู้รักน้องของเขา ๆ ก็ใจอ่อนใจอดเขารู้เอ็นดูกรุณาแก่กัน เข่บห่อนจะรู้ริษยากัน เขาบห่อนจะรู้เสียดรู้ส่อรู้ด่ารู้ทอรู้พ้อรู้ตัดกันแล เขาบห่อนจะรู้เฉลาะเบาะแว้งถุ้งเถียงกัน เขาบห่อนจะรู้ชิงช่วงหวงแหนแดนแลที่บ้านรู้ร้าวของกันแล เขาบห่อนจะรู้ทำข่มเหงเอาเงินเอาทองของแก้วลูกแลเมียแลข้าวไร่โคนาหัวป่า ค่าที่ห้อยละหานธารน้ำเชิงเรือนเรือกสวนเผือกมันหัวหลักหัวต่อหัวล้อหัวเกวียน เขามิรู้เบียดเบียนเรือชานาวาโคมหิงษาช้างม้าข้าไทย สรรพทรัพย์สิ่งสินอันใดก็ดี เขาบห่อนรู้ว่าของตนท่านดูเสมอกันสิ้นทุกแห่งแล เขานั้นบห่อนทำไร่ไถนาค้าขายหลายสิ่งเลยฯ เบื้องตระวันนตกเขา พระสุเมรุใหญ่ อันชื่อว่า อมรโคยาน ทวีปนั้นโดยกว้างได้ ๙๐๐๐ โยชน์ แลมีแผ่นดินล้อมรอบเป็นบริวาร ฝูงคนอันอยู่ที่ในแผ่นดินนั้นหน้าเขาดังเดือนแรม ๘ ค่ำ แลมีแม่น้ำใหญ่แลแม่น้ำเล็บแลเมืองใหญ่แลเมืองน้อย มีนครใหญ่กว้าง ๆ น้ำนั้นเบื้องตระวันออกเขาพระสุเมรุนั้น มีแผ่นดินใหญ่อันหนึ่งชื่อว่าบุพพวิเทหทวีป ๆ นั้นโดยกว้างได้ ๗๐๐๐ โยชน์ ด้วยปริมณฑลรอบไส้ได้ ๒๑,๐๐๐ โยชน์ แลมีแผ่นดินเล็กได้ ๔๐๐ แผ่นดินล้อมรอยเป็นบริวาร ฝูงคนอยู่ที่นั้นหน้าเขากลมดังเดือนเพ็ง แลมีแม่น้ำใหญ่แม่น้ำเล็กมีเขามีเมืองใหญ่เมืองน้อย ฝูงคนอันอยู่ที่นั้นมากมายหลายนักแลมีท้าวพระญาแลมีนายบ้านนายเมืองฯ แผ่นดินเบื้องตีนนอนพระสิเนรุนั้นชื่อว่าอุตตรกุรุทวีปโดยกว้างได้ ๘,๐๐๐ โยชน์ แผ่นดินเล็กได้ ๕๐๐ แผ่นดินนั้นล้อมรอบเป็นบริวาร ฝูงคนอยู่ในที่นั้นหน้าเขาเป็น ๔ มุมแลมีภูเขาทองล้อมรอบ ฝูงคนทั้งหลายอยู่ที่นั้นมากหลายนัก เทียรย่อมดีกว่าคนทุกแห่งเพื่อว่าเพราะบุญเขาแลเขารักษาศีล แลแผ่นดินเขานั้นราบเคียงเรียงเสมอกันดูงามนักหนา แลว่าหาที่ราบที่ลุบขุบที่เทงมิได้ แลมีต้นไม้ทุกสิ่งทุกพรรณแลมีกิ่งตาสาขางามดีมีค่าคลบมั่งคั่งดังแกล้งทำไว้ ไม้ฝูงนั้นเป็นเย่าเป็ฯเรือนเลือนกันเข้ามอง งามดังปราสาทเป็นที่อยู่ที่นอน ฝูงคนในแผ่นดินชาวอุตรกุรุทวีป แลไม้นั้นหาด้วงหาแลงมิได้แลไม่มีที่คดที่โกง หาพุกหาโพรงหากลวงมิได้ ซื่อตรงกลมงามนักหนาแลมีดอกเทียรย่อมมีดอก แลลูกอยู่ทุกเมื่อบมิได้ขาดเลยฯ อนึ่งที่ใดแลมีบึงมีหนองมีตระพังทั้งนั้น เทียรย่อมมีดอกบัวแดงบัวขาวบัวเขียวบัวหลวง แลกระมุทอุบลจลกรณีแลนิลุบลบัวเผื่อนบัวขม ครั้งลมพัดต้องมีกลิ่นอันหอมขจรอยู่มิรู้วายสักคาบฯ คนฝูงนั้นบมิต่ำ บมิสูง บมิพี บมิผอม ดูงามสมควรนัก คนฝูงนั้นเรี่ยวแรงอยู่ชั่วตนแต่หนุ่มเถิงเฒ่าบมิรู้ถอยกำลังเลย แลคนชาวอุตรกุรุนั้นหาความกลัวบมิได้ด้วยจะทำไร่ไถนาค้าขายวายล่องทำมาหากินดังนั้นเลยสักคาบอนึ่งชาวอุตรกุรุนั้นเขาบห่อนจะรู้ร้อนรู้หนาวเลย แลมิมีใญ่ข่าวแลริ้นร่านหานยุง แลงูเงี้ยงเปียวของทั้งหลายเลแลสารพสัตว์อันมีพิษ บห่อนจะรู้ทำร้ายแก่เขาเลยทั้งลมแลฝนก็บห่อนจะทำร้ายแก่เขา ทั้งแดดก็บห่อนจะรู้ร้อนตัวเขาเลย เขาอยู่แห่งนั้นมีเดือนวันคืนบห่อน จะรู้หลากสักคาบหนึ่งเลย แลชาวอุดรกุรุนั้นบห่อนจะรู้ร้อนเนื้อเดือดใจ ด้วยถ้อยความสิ่งอันใดบห่อนจะมีสักคาบ แลชาวอุตรกุรุนั้นมีช้าวสารสิ่งหนึ่ง ขชีเตนสาลีบมิพัดทำนาแลข้าวสาลีนั้นหากเป็น้ต้นเป็นรวงเอง เป็นข้าวสารแต่รวงนั้นมาเองแล ข้าวนั้นข้าวแล หอมปราศจากแกลบแลรำบมิพักตำ แลฝัดแลหากเป็นข้าวสารอยู่แล เขาชวนกันกินทุกเมื่อแล ในแผ่นดินอุตรกุรุนั้นยังมีศิลาสิ่งหนึ่งชื่อโชติปราสาท คนทั้งหลายฝูงนั้นเอาข้าวสารนั้นมาใส่ในหม้อทองอันเรืองงามดังแสงไฟ จึงยกไปตั้งลฝงเหนือศิลาอันชื่อว่าโชติปราสาท บัดใจหนึ่งก็ลุกขึ้นแต่ก้อนศิลา อันชื่อว่าโชติปราสาทนั้น ครั้นว่าข้าวนั้นสุกแล้วไฟนั้นก็ดับไปเองแลฯ เขาแลดูไฟนั้น ครั้นเขาเห็นไฟนั้นดับแล้วเขาก็รู้ว่าข้าวนั้นสุกแล้ว เขาจึงเอาถาดแลตระไลทองนั้นใสงามนั้นมา คดเอาข้าวใส่ในถาดแลตระไลทองนั้นแลฯ อันว่าเครื่องอันจะกินกับข้าวนั้นฉแม่นว่าเขาพอใจจักใคร่กินสิ่งใด ๆ เขามิพักหาสิ่งนั้น หากบังเกิดขึ้นมาอยู่แทบใกล้เขานั้นเองแลฯ คนผู้กินข้าวนั้นแลจะรู้เป็ฯหิดแลเรื้อนเกลื้อนแลกากหูแลเปา เป็นต่อมเป็นเตาเป็นง่อยเป็ฯเพลียตาฟูหูหนวกเป็นกระจอกงอกเงือยเปือยเนื้อเมื่อยตน ท้องขึ้นท้องพองเจ็บท้องต้องไส้ปวดหัวมัวตา ไข้เจ็บเหน็บเหนื่อยวิการดังนี้ไสบห่อนจะบังเกิดมีแก่ชาวอุตรกุรุนั้นแต่สักคาบหนึ่งเลยฯ ผิว่าเขากินข้าวอยู่แลมีคนไปมาหาเมื่อเขากินข้าวอยู่นั้น เขาก็เอาข้าวนั้นให้แก่ผู้ไปเถิงเขานั้นกินด้วยใจอันยินดีบห่อนจะรู้คิดสักเมื่อเลนยฯ แลในแผ่นดินอุตรกุรุทวีปนั้น มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งโดยสูงได้ ๑๐๐ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบบริเวณมณฑลได้ ๓๐๐ โยชน์ และต้นกัลปพฤกษ์นั้นผู้ใดจะปราถนาหาทุนทรัพย์สรรพเหตุอันใด ๆ ก็ดี ย่อมได้สำเร็จในต้นไม้นั้นทุแประการแลฯ ถ้าแลคนผู้ใดปราถนาจะใคร่ได้เงินแลทององแก้วแลเครื่องประดับนิ์ทั้งหลาย เป็นต้นว่าเสื้อสร้อยสนิมพิมพาภรณ์ก็ดี แลผ้าผ่อนท่อนแพรพรรณสิ่งใด ๆ ก็ดี แลข้าวน้ำโภชนาหารของกินสิ่งใดก็ดี ก็ย่อมบังเกิดปรากฎขึ้นแต่ค่าคบต้นกัลปพฤกษ์นั้น ก็ให้สำเร็จความปรารถนาแก่ชนทั้งหลายนั้นแลฯ แลมีฝูงผู้หญิงอันอยู่ในแผ่นดินนั้นงามทุกคนรูปทรงเขานั้นบมิต่ำบมิสูงบมิพีบมิผอมบมิขาวบมิดำ สีสมบูรณ์งามดังทองอันสุกเหลืองเรืองเป็นที่พึงใจฝูงชายทุกคนแลฯ นิ้วตีนนิ้วมือเขานั้นกลมงามนะแน่ง เล็บตีนเล็บมือเขานั้นแดงงามดังน้ำครั่งอันท่านแต่งแล้วแลแต้มไว้ แลสองแก้มเขานั้นไสงามเป็นนวลดังแกล้งเอาแป้งผัด หน้าเขานั้นหมดเกลี้ยงปราศจากมลทินหาผ้าหาไผบมิได้ แลเห็นดวงหน้าเขาใสดุจดวงพระจันทร์อันเพ็งบูรณ์นั้น เขานั้นมีตาอันดำดังตาแห่งลูกทรายพึ่งออกได้ ๓ วันที่บูรณ์ขาวก็ขาวงามดังสังข์อันท่านพึ่งฝนใหม่แลมีฝีปากนั้นแดงดังลูกฝักข้าวอันสุกนั้น แลมีลำแข้งลำขานั้นงามดังลำกล้วยทองฝาแฝดนั้นแล แลมีท้องเขานั้นงามราบเพียงลำตัวเขานั้นอ้อนแอ้นเกลี้ยงกลมงาม แลเส้นขนนั้นละเอียดอ่อนนัก ๘ เส้นผมเขาจึงเท่าผมเรานี้เส้นหนึ่ง แลผมเขานั้นดำงามดังปีกแมลงภู่เมื่อประลงมาเถิงริมบ่าเบื้องต่ำ แลมีปลายผมเขานั้นงอนเบื้องบนทุกเส้น แลเมื่อเขานั่งอยู่ก็ดี ยืนอยู่ก็ดี เดินไปก็ดี ดังจักแย้มหัวทุกเมื่อ แลขนคิ้วเขานั้นดำแลงามดังแกล้งก่อ เมื่อเขาเจรจาแลน้ำเสียงเขานั้นแจ่มใส่ปราศจากเสมหเขฬทั้งปวงแล ในตัวเขานั้นเทียรย่อมประดับนิ์ด้วยเครื่องถนิมอาภรณ์บวรยุคันฐี แลมีรูปโฉมโนมพรรณอันงามดังสาวอันได้ ๑๖ เข้า แลรูปเขานั้นบห่อนรู้เฒ่ารู้แก่แลหนุ่มอยู่ดังนั้นชั่วตนทุก ๆ แลฯ อันว่าฝูงผู้ชายอันอยู่ในแผ่นดินอุตรกุรุนั้นโสด รูปโฉมโนมพรรณเขานั้นงามดังบ่าวหนุ่มน้อยได้ ๒๐ ปี มิรู้แก่บมิรู้เฒ่าหนุ่มอยู่ดังนั้นชั่วตนทุก ๆ เลย แลเขานั้นไส้เทียรย่อมกินข้าวแลน้ำสรรพหารอันดีอันโอชารสนั้น แลแต่งแต่เขาทากระแจะแลจวงจันทน์น้ำมันอันดี แลมีดอกไม้หอมต่าง ๆ กัน เอามาทัดมาทรงเล่นแล้วก็เที่ยวไปเล่นตามสบาย บ้างเต้นบ้างรำบ้างฟ้อนระบะบรรลือเพลงดุริยดนตรี บ้างดีดบ้างสี บ้างตีบ้างเป่า บ้างขับสรรพสำเนียงเสียงหมู่นักคุนจุนกันไปเดียรดาษ พื้นฆ้องกลองแตรสังข์ระฆังกังสดาลมโหรทึกกึกก้องทำนุกดี ที่มีดอกไม้อันตระการต่าง ๆ สิ่งมีจวงจันทน์กฤษณาคันฦธาทำนองลบองดังเทพยดาในเมืองฟ้าสนุกนิ์ทุกเมื่อบำเรอกันบมิวายสักคาบหนึ่งเลย ลางหมู่ชวนเพื่อนกันไปเล่นแห่งที่ตระการสนุกนิ์นั้นก็มี ลางหมู่ไปเล่นในสวนที่สนุกนิ์ที่มีดอกไม้อันตระการต่าง ๆ สิ่งมีจวงจันทน์กฤษณาคนธาปาริกชาตนาคพฤกษ์ รำดวนจำปาโยทกามาลุตีมณีชาติบุตรทั้งหลาย อันมีดอกอันบานงามตระการแลหอมกลิ่นฟุ้งขจรไปบมิรู้วายฯ ลางหมู่ก็ชวนกันไปเล่นในสวนอันมีสรรพลูกไม้อันตระการแลมีลูกอันสุกแลหวาน คือว่าขนุนนั้นไส้ลางลูกนั้นใหญ๋เท่าไหหาม ลางลูกเท่ากลออมหอมก็หอมหวานก็หวาน เขาชวนกันกินเล่นสำราญบานใจในสวนนั้นฯ ลบางหมู่ชวนกันไปเล่นน้ำใหญ่อันมีท่าอันราบอันปราศจากเปือกแลตม เขาเขาชวนกันว่ายล่องท่องเล่นเต้นเด็ดเอาดอกไม้อันมีในแม่น้ำนั้นด้วยกันแล้ว แลลงอาบฉาบตัวเก็บเอาดอกไม้มราทัดตรงไว้เหนือหูแลหัว บ้างก็ชวนกันเล่นเหนือกองหาดทรายอันงาม เมื่อจะพากันลงอาบน้ำนั้น เขาก็ถอดเอาเครื่องประดับนิ์นั้นออกวางไว้เหนือหาดทราบแลฝั่งน้ำนั้นด้วยกันแล้ว ๆ ก็ลงอาบเล่นวายเล่นในน้ำนั้น ถ้าแลผู้ใดขึ้นมาก่อนไส้ ผ้าใครก็ดี เครื่องประดับนิ์ใครก็ดี เอานุ่งเอาห่มเอามาประดับนิ์ตนก่อนแลฯ ส่วนว่าผู้ขึ้นมาภายหลังเล่าไส้ เครื่องประดับนิ์ใครก็ดี ผ้าใครก็ดี เอามานุ่งมาห่ม แลเขาบมิได้ว่าของตนของท่าน เขาบห่อนยินร้ายแก่กันด้วยความดังนี้เลย เขาบห่อนด่าบห่อนเถียงกันเลย ผิว่ามีรูไม้อยู่ที่ใดแลเขาเข้าอยู่อาศัย ในที่นั้นก็พูนเกิดขึ้นมาเป็นเสื้อสาดอาสนะ แลเป็นฟูกนอนหมอนอิงเป็นม่าน แลเพดานกางกั้นแลสนุกนิ์ถูกเถิงพึงใจเขาทุกเมื่อแลฯ ผิว่าเมื่อเขาพึงใหญ่ขึ้นก็ดี เมื่อเขายังหนุ่มอยู่นั้นก็โ เมื่อเขาแรกจะรักใคร่กันก็ดี เมื่อเขาแรกได้กันเป็นผัวเป็นเมียก็ดี แลเขาอยู่ด้วยกันแลเสพเมถุนไส้แต่ ๗ วันนั้นแลฯ พ้นกว่านั้นไปเขามิได้เสพด้วยเมถุนเลยฯ เขาอยู่เย็นเป็นสุขนักหนา แลตราบเท่าสิ้นชนมายุเขาพันปีนั้นบมิได้มีอาวรสิ่งใด ๆ ดังอรหันตาขีณาสพเจ้าอันขาดกิเลสแล้วนั้นแลฯ ฝูงผู้หญิงอันอยู่ในแผ่นดินนั้น เมื่อเขามีครรภภ์และจะคลอดลูกไส้ในที่อยู่นั้นบห่อนจะรู้เจ็บท้องเจ็บพุง ครั้นว่าท้องนั้นสนใจรู้ว่าจะคลอดลูกแลแม่อยู่แห่งใดก็ดี เทียรย่อมเป็นแท่นเป็นที่อยู่ที่นอนเกิดขึ้นมาเองดังกล่าวมาแต่ก่อนนั้นฯ เขาจึงคลอดลูกในที่นั้น เขาบห่อนจะรู้เจ็บท้องเจ็บไส้บห่อนรู้แค้นเนื้อแค้นใจด้วยคลอดลูกนั้นสักอันเลยฯ ครั้นว่าเขาออกลูก ๆ เขานั้นหมดใสปราศจากเลือดฝาดแลเปลือกคาวทั้งปวงแลหามุลทินบมิได้เลย งามแลงามดังแท่งทองดอันสุกใสอันปราศจากราคี เขาบมิได้ล้างได้สีได้ลูบได้คลำ เขาบมิให้ลูกกินน้ำกินนมเลยฯ เขาเอาลูกเขานั้นไปนอนหงายไว้ในริวหนทืางที่คนทั้งหลายเดินไปมากล้ำกลายนั้นแลฯ แลที่นั้นมีหญ้าอันอ่อนดังสำลี แลแม่นั้นมิได้อยู่ด้วยลูกอ่อนนั้นเลย แม่นั้นก็คืนไปยังที่อยู่สู่ที่กินของเขานั้นแลฯ จึงผู้คนผู้หญิงก็ดีผู้ชายก็ดี คนทั้งหลายนั้นเดินไปมากล้ำกลายครั้นว่าแลเห็นลูกอ่อนนอนหงายอยู่ดังนั้น เทียรย่อมเอานิ้วมือเขาป้อนข้าวไปในปากลูกอ่อนนั้น ด้วยบุญของลูกอ่อนนั้นก็บังเกิดเป็นน้ำนมไหลออกมาแต่ปลายนิ้วมือเขาก็ไหลเข้าไปในคอลูกอ่อนนั้น หากเป็นข้าวกล้วยอ้อยของกินบำเรอลูกอ่อนนั้นทุกวันฯ ครั้นว่าหลายเดือนแล้วลูกอ่อนนั้นใหญ่ รู้เดินไปมาได้แล้วไส้ ถ้าว่าลูกอ่อนนั้นเป็นผู้หญิงก็ไปอยู่ด้วยเพื่อนเด็กผู้หญิงทั้งหลายหนึ่งกันนั้นแลฯ ถ้าว่าเด็กลูกอ่อนนั้นเป็นผู้ชายไส้ก็ไปอยู่ด้วยฝูงเด็กผู้ชายทั้งหลายนั้นแลฯ ลูกเต้าเขานั้นหากใหญ๋กลางบ้านลูกก็มิรู้จักแม่ ๆ ก็มิรู้จักลูก ถ้อยทีถ้อยมิได้รู้จักกัน เพราะว่าคนฝูงนั้นงามดังกันทุกคนแลฯ อนึ่งเมื่อเขาแรกรักกันและจะอยู่ด้วยกันแรกเป็นผัวเป็นเมียกันวันนั้น แม่แลลูกก็ดีพ่อแลลูกก็ดี เขาบห่อนได้กันเป็นผัวเป็นเมีย เพราะว่าเขาฝูงนั้นเป็นคนนักบุญแลเทพยดาหากตกแต่งเขาให้เป็นธรรมดาาเขาแลฯ ผิแลว่าเมื่อเขาแลตายจากกัน เขาบมิได้เป็นทุกข์เป็นโศก แลมิได้ร้องไห้รักกันเลย เขาจึงเอาศพนั้นมาอาบน้ำแลแต่งแง่ทากระแจะแลจวงนจันทน์น้ำมันอันหอมแลนุ่งผ้าห่มผ้าให้แล้วพระดับนิ์ด้วยเครื่องถนิมอาภรณ์แลทั้งปวงให้แล้ว ๆ จึงเอาศพนั้นไปวางไว้ในที่แจ้งยังมีนกสิ่ง ๑ เทียรย่อมบินเที่ยวไปทั่วแผ่นดินอุตรกุรุทวีปนั้น นกนั้นครั้นว่าแลเห็นซากศพไส้ นกนั้นก็คาบเอาซากศพนั้นไปเป็นกำนันบ้านนกนั้น เพราะว่าบมิให้เป็นอุกกรุกในแผ่นดิน เขานั้นได้ลางคาบ ๆ ไปเสียในแผ่นดินอันอื่นก็ว่า บางคาบ ๆ ไปเสียในฝั่งทะเลว่าชมพูทวีปอันเราอยู่นี้ก็ว่า เหตุให้พ้นอันตรายในแผ่นดินอุตรกุรุทวีปนั้นแลฯ อันว่านกนั้นไส้ ลางอาจารย์ว่านกหัสดีลึงค์ ลางอาจารยว่านกอินทรี ลางอาจารย์ว่านกกด อันมาคาบเอาศพไปเสียนั้น ลางอาจารย์ว่าเอาตีนคีบไปเสียฯ ฝูงคนอยู่ในอุตรกุรุทวีปนั้น เมื่อเขาตายเขาบห่อนได้ไปเกิดในจตุราบางทั้ง ๔ คือว่านรกแลเปรตแลติรัจฉานอสูรกายนั้นนั้นเลยฯ เขาไส้เทียรย่อมไปเกิดในที่ดีคือสวรรค์ชั้นฟ้าแล เพราะว่าเขานั้นย่อมตั้งอยู่ในปัญจศีลนั้นทุกเมื่อแลบมิได้ขาดฯ เครื่องเป็นดีคนฝูงนั้นบมิรู้สิ้นสุดเลย ยังคงบริบูรณ์อยู่ต่อเท่ากาลบัดนี้แลฯ ในพระคัมภีร์อัน ๑ ว่าดังนี้ แผ่นดินในอุตรกุรุทวีปนั้นราบคาบเสมอกันงามนักหนา มิได้เป็นขุมรูบมิได้ลุ่มบมิได้เทงอันว่าคนทั้งหลายอันที่อยู่นั้ บห่อนจะรู้มีความทุกข์ความโศกเลยฯ อันว่าสิงสีตว์ทั้งหลายหลายมีอาทิ คือ หมูแลหมีหมาแลงูเงี้ยวเกี่ยวข้อง แลสรรพสัตว์อันร้ายอันคะนองแลจะได้เบียดเบียนคนทั้งหลายอันอยู่ในที่นั้นหาบมิได้เลยฯ แลว่ายังมีหญ้าสิ่ง ๑ ชื่อว่าฉพิการทัตรเป็นขึ้นในแผ่นดินนั้น แลเห็นเขียวงามต่ำงามนักดังแววนกยูงแลบละเอียดอ่อนดังฟูกดังสำลีแลสูงขึ้นพ้นดิน ๔ นิ้ว แลน้ำนั้นไสเย็นสะอาดกินหวานเซาะ ท่าน้ำนั้นดูงามเทียรย่อมเงินทองแลแก้วสัตตพิธรัตนะไหลเรียงเพียงเสมอฝั่งกากินบมิพักก้ม คนแห่งนั้นลางคนสูงค่าคนในบุรพวิเทหทวีป แลคนในอุตรากุรุทวีปนั้นเขานุ่งผ้าขาว อันเขานึกเอาแต่ต้นกัลปพฤกษ์นั้น แลต้นกัลปพฤกษ์นั้นโดยสูงได้ ๑๐ วา ๒ ศอก โดยกว้างได้ ๑๐ วา คนแห่งนั้นเขาบห่อนรู้ฆ่าสิงสัตว์อันรู้ติงแลเขาบห่อนรู้กินเนื้อฯ ผิว่าคนแห่งนั้นเขาตายไส้เขาบมิพักเอาศพนั้นไปเสียเลย แลยังมีนกสิ่งหนึ่งชื่อว่านกอินทรี ๆ นั้นหากมาคาบเอาไปเสียกลางป่าแลฯ ฝูงคนทั้งหลายคือว่าผู้หญิงผู้ชายในแผ่นดินนั้น เมื่อเขาจะรักกันเป็นผัวเมียนั้นเขาบมิพักเสียสิ่งอันใดอันหนึ่งเลย ใจเขารักใคร่กันเขาก็อยู่ด้วยกันเองแล ครั้นว่เขาเห็นกันเมื่อใดใจเขาผู้กพันกันเข้า หากโสดตาแลหากันเข้าก็รักกันแลฯ อันนี้ฎีกาแต่อยู่หั้นต่อเท่าเถิงไฟไหม้กัลป ๔ อันในนี้รูปกระต่ายอันอยู่ในพระจันทร์แลโยคาทิโพธิสัตว์เป็นนกขุ้มอยู่ในรัง ไฟบมิไหม้ได้ต่อเท่าสิ้นกัลป ๑ ฯ อันว่าคำในที่นี้เรื่องโฑธิสัตว์เมื่อท่านมลวงคาไปมุงสลิงเจ้าไท แลฝนบมิได้รั่วไหลในเรือนอันลางคาออกนั้น ฝนบมิได้รั่วเลยตราบเท่าสิ้นกัลป ๑ แลฯ ไม้อ้ออันอยู่รอบริมสระพังเมื่อโพธิสัตว์เป็นพระญาแก่วานรแลมีบริวารได้ ๘ หมื่น แลท่านอธิษฐานว่าให้ไม้อ้อนั้นกลวงรอดอยู่ต่อเท่าสิ้นกัลป ๑ แลฯ คนแห่งนั้นแต่บ่าวแต่สาวตราบเท่าเถิงแก่ เถิงเฒ่าเขาเสพเมถุนก้วยกัน ๔ คาบไส้ ลางคาบเล่าคนนั้นแต่หนุ่มเถิงเฒ่าบมิได้เสพเมถุนเลยสักคาบ ฯ คนผู้นั้นเขากินข้าวเขาบห่อนรู้ทำนา เขาเทียรย่อมเอาข้าวสารอันเป็นเองนั้นมากิน แลข้าวสารนั้นหากขาวอยู่ บมิพักตากพักตำ พักฝัด พักซ้อมเลย หากเป็นข้าวสารมาเองแลฯ ยังมีลูกไม้สิ่ง ๑ ชื่อว่า คุทิ เครื่องลูกไม้นั้นเกิดมาเป็นหม้อข้าวของเขา เขาเอาน้ำใส่ในข้าวแล้วเขาตั้งขึ้นเหนือศิลา อันชื่อว่าโชติปราสาท ๆ นั้นก็เป็นไฟลุกขึ้นเองแล ๆ ครั้งว่าเข้านั้นสำเร็จดีแล้วไฟนั้นก็ดับไปเองแลฯ เขาก็คดเอาข้าวนั้นมากิน ข้าวนั้นก็หวานนักแลฯ อันว่าชาวอุตตรกุรุทวีปนั้นเขาบห่อนรู้ทำเรือนอยู่เลย ยังมีไม้สิ่ง ๑ เทียรย่อมเป็นทองชื่อว่าแมลชุสเป็นดังเรือน แลไม้นั้นเป็นเหย้าเป็นเรือนของเขาทั้งหลายอันอยู่ในอุตตรกุรุทวีปนั้นแลฯ สมเด็จพระเจ้าบัณฑูรเทศนาดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าก็ดีแลพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลพระอรรคสาวกเจ้าก็ดี แลพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลโพธิสัตว์อันจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าก็ดีแล พระญาจักรพรรดิราชก็ดีอันว่าผู้มีบุญทั้งหลายดังกล่าวมานี้ไส้ ท่านบห่อนรู้ไปเกิดในแผ่นดิน ๓ อันนั้นเลย ท่านย่อมมาเกิดในแผ่นดินชมพูทวีปอันเราอยู่นี้แลฯ คนอันเกิดในแผ่นดินชมพูทวีปนี้เขาบป่อนไปเกิดในแผ่นดิน ๓ อันนั้นเลยฯ ฝูงคนอันอยู่ในแผ่นดินใหญ่ใหญ่ ๓ อันนั้นก็ดี และคนอันอยู่ในแผ่นดินเล็กเล็กทั้ง ๒ พันนั้นก็ดีผิแลว่าเมื่อใดมีพระญาจักรพรรดิราชไส้ คนทั้งหลายฝูงนัน้นย่อมมาเฝ้ามาแหนท่านนั้นดังคนทั้งหลายอันอยู่ในแผ่นดินเรานี้แลฯ เทียรย่อมไหว้นบคำรพยำเยงพระญาจักรพรรดิราชเจ้านั้นแลฯ ท่านผู้เป็นพระญาจักรพรรดิราชนั้นท่านมีศักดิ์มียศดังนี้แลจะกล่าวแลลน้อยฯ แต่พอให้รู้ไส้คนผ้ใดที่ได้กระทำบุญแต่ก่อนคือว่าได้ปฏิบัติบูชาแก่พระศรีรัตนตรัยแลรู้จักคุณพระพุทธเจ้าพระธรรมเจ้าพระสงฆ์เจ้าแลให้ทานรักษาศีลเมตตาภาวตา ครั้นตายก็เอาตนไปเกิดในสวรรค์ ลางคาบเล่าได้ไปเกิดเป็นท้าวเป็ฯพระญาผู้ใหญ่ แลมีศักดิ์มียศบริวารเป็นอเนกอนันต์ไส้ ได้ปราบทั่วทั้งจักรวาลแลฯ แม้ท่านว่ากล่าวถ้อยคำสิ่งใดก็ดีแล บังคับบัญชาสิงใดก็ดีเทียรย่อมชอบด้วยทรงธรรมทุกประการแลฯ ท่านนั้นเป็นพระญาทรงพระนามชื่อว่าพระญาจักรพรรดิราชแลฯ พระญามีบุญดังนั้นใจฉมักใคร่ฟังธรรมเทศนานัก ย่อมฟังธรรมเทศนาแต่สำนักนิ์สมษพราหมณาจารย์ แลนักปราชผู้รู้ธรรมฯ แลพระญานั้นธทรงปัญจศีลทุกวารบมิได้ขาดในวันอุโบสถศีลไส้ย่อมทรงอัฏฐศีลทุกวันอุโบสถมิขาดฯ ในวันเพ็งบูรณไส้ ครั้นเมื่อเช้าธย่อมให้แต่ธนทรัพย์สรรพเหตุอันอเนกนั้นแล้ว ธให้ขนเอามากองไว้ที่หน้าพระลานไชย แลธแจกให้เป็นทานแก่คนอันเที่ยวมาขอ ครั้นว่าธแจกทานสิ้นแล้วธจึงชำระสระพระเกษแลสรงน้ำด้วยกัลออมทองคำอันอบไปด้วยเครื่องหอม ได้ละพันกัลออมแล้ว ธจึงทรงผ้าขาวอันเนื้อละเอียดนั้นแล้ว ธจึงเสวยโภชนาหารอันมีรสอันดีดุจมีในสวรรค์นั้นฯ แล้วธจึงเอาผ้าขาวอันเนื้อละเอียดอันชื่อว่าผ้าสุกุลพัตร์มาห่มแลพาดเหนือจะงอยบ่าแล้วจึงสมาทานเอาศีล ๘ อัน แล้วธจึงเสด็จลงไปนั่งกลางแผ่นดินทองอันประดับนิ์ด้วยแก้วแลรุ่งเรืองงามดังแสงพระอาทิตย์แล กอประด้วยฟูกเมาะเบาะแพรแลหมอนทอง สำหรับย่อมประดับนิ์ด้วยแก้วสั้ตตพิธรัตนะแท่นทองนั้นอยู่ในปราสาทแก้วอันรุ่งเรืองงามนักหนา แลพระญานั้นธรำพึงเถิงทานอันธให้นั้นแลรำพึงเถิงศีลอันธรักษาอยู่นั้น แลธรำพึงเถิงธรรมอันทรงไว้นั้นธก็เมตตาภาวนาแล ด้วยอำนาจบุญสมภารนั้นธจึงได้ปราบทั่วทั้งจักรวาลดังนั้นแล ฯ
ยังมีกงจักรแก้วอันหนึ่งชื่อว่า จักรรัตนะ แลประดับนิ์ด้วยแก้วทั้ง ๗ ประการแลมีกำนั้นได้พัน ๑ อยู่รอบดุมนั้นดูงามนักหนา แลจมอยู่ในท้องมหาสมุทรโดยลึกไส้ได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ แลกงจักรนั้นแก้วแลดุมนั้นแก้วอินทนิล หัวกำอันฝังเข้าไปในดุม ๆ นั้นย่อมเงินแลทองงามนักหนา เมื่อแลเห็นปานดังดุมนั้นรู้หัว แลพรรณขาวงามนัก โดยปากดุมนั้นหุ้มด้วยแผ่นเงินแลเห็นงามดังเดือนเมื่อวันเพ็งบูรณ์ เท่าว่ากลางนั้นเป็นรูตระลอดไปโดยรอบหัวกำนั้น เทียรย่อมประดับนิ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการแลบ่อนเลื่อมใสงามดังฟ้าแมลบแลมีรัศมีดีงพระอาทิตย์เมื่อพิจารณาดูใสเหลื้อมพรายงามดังสายฟ้าแมลบรอบ ๆ ไพล ๆ ไขว่ ๆ ไปมาดูงามนักหนาทั่วทุกแห่งแลฯ ชื่อว่านาภีสัพพการบริบูรณ์ฯ แต่กาลใดพัน ๑ นั้นเทียรย่อมประดับนิ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ ดูเหลื้อมงามดังฟ้าแมลบรุ่งเรืองด้วยรัศมีดังรัศมีพระอาทิตย์ เทียรย่อมแก้วอันตีเป็นตาปูดูลายงามแลมีรัศมีฉวัดเฉวียนไปมาดังเทพยดาผู้ชื่อว่าพระวิษณุกรรม์นั้น แลกงนั้นเทียรย่อมแก้วพระพาฬรัตนะ ดูเกลี้ยงดุจดังแสร้งทำแลมีรัศมีดังพระอาทิตย์เมื่อพึ่งขจึ้นแลเต็มงามบมิเบี้ยวบมิผึ่ง เมื่อแลดูในหน้ากลองนั้นรูปล่องตระลอดไปมาดังกลอง อันชื่อว่าพังกาอันเทพยดาเจ้าในเมืองฟ้านั้น กลองแก้วประพาฬรัตนนั้นแพ่งเอาลมแลได้ยินเสียงมีเสียงดีนักหนา เสียงเผ่งเสียงผ่อนเสียงกลมเสียงกล้าเสียงหือพึงฟัง แก้วร้อยหนึ่งอยู่เหนือรอบลากลอง ฝูงนั้นกลองแก้ว ฝูงนั้นรองตีนตนกลมละขาว ร้อยหนึ่งโสดแลกลอนั้นมี หากคาบแลแห่งรอบอยู่รอบกลดนั้นโสดเหนือกลดซึ่งกลางนั้นมียอดทองเรืองงามดังแสงไฟฟ้า เหนือจักรแก้วนั้นมีราชสีห์ทอง ๒ ตัวประดับนิ์ด้วยแก้วสัตตพิธรัตนะ แลมีแสงทองงามนักหนา เมื่อกงจักรแก้วนั้นหันไปเบื้องบนอากาศแลดูพรายงาม ดังไกสรสีหะสองตัวนั้นเหาะแลหว้ายหน้าออกมาแห่งชายกงจักรแก้วนั้น ดุจดังเข้าขับเข้าแหาเอาฝูงข้าศึกนั้นแลฯ เมื่อแลคนทั้งหลายเห็นดังนั้น คนทั้งหลายนั้นว่าดังนี้ว่าบุญเจ้านายเรา ผู้เป็นพระญามหาจักรพรรดิราชมีมากนักหนาแลฯ มเริ่มว่าราชสีห์อันมีกำลังแลมีชัยชำนะแก่สัตว์ทั้งหลายดังนี้ก็ดี สิยังอยู่มิได้แลยังมาไหว้มาถวาายบังคม แลมาสวามิภักดิแก่พระญาท่านผู้เะป็นเจ้านายแห่งเราฯ อันว่าฝูงคตนที้งหลายต่างคนต่างยกมือขึ้นเพียงหัวแล้วไหว้วันทนาการ แล้วว่าดังนี้ ว่าเชาวเราทั้งหลายเอ๋ยมิใช่แต่ปากราชสีห์สองตัวนั้นหาบมิได้ มีหมู่สร้อยมุกดาสองอันด้วยเล่าใหญ่เท่าลำตาลดูรุ่งเรืองงามดังรัศมีพระจันทร์ เมื่อวันเพ็งบูรณ์แลปากราชสีห์นั้นคาบสร้องมุกดานั้นเลื้อยลงมา แก้วนั้นอันอยู่ในชายมุกดานั้นเหลื้อมดูแต่ดุจรัศมีพระอาทิตย์เมื่อแรกขึ้นมานั้น ผิเมื่อกงจักรแก้วนั้นลอยอยู่บนอากาศแลบไหวดุจสร้อยมุกดานั้นพรายงาม ดังน้ำอันชื่ออากาศคงคาอันไหลลงมานั้น ขณะเมื่อกงจักรแก้วยังลอยอยู่อากาศไส้ แลฝูงมุกดานั้นพองออกรอบกงจักร์แก้วนั้น แลดุมกงจักรแก้ว ๓ อันหันผันไปด้วยกันคาบเดียวนั้น ๆ อันว่ากงจักรแก้วนั้นไส้ใช่อินท์แลพรหมเทพยดาผู้มีฤทธานุภาพ กระทำกงจักรแก้วนั้นหามิได้ แลกงจักรแก้วนั้หากเป็นเองแลเกิดสำหรับบุญท่านผู้เป็นพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้นแลฯ ผิเมื่อว่ากัลปอันใดแลบมีพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกโพธิไส้ จึงมีพระญามหาจักรพรรดิแทนไส้ กัลปอันมีดังนั้นครั้นไฟไหม้แผ่นดินแล้วด้วยบุญท่านอันจะมาเป็นพระญาจักรพรรดิราชนั้น กงจักรแก้วนั้นหากเป็นก่อนแลจมอยู่ในมหาสมุทรนั้นหากอยู่ท่าท่านผู้จะมาเป็นจักรพรรดิราชนั้นแลฯ แลเครื่องอันเป็นสำหรับท่านผู้มีบุญนี้คือสิ่งใด แลจักรเสมอด้วยกงจักรแก้วนั้นหาบมิได้เลย แลกงจักรแก้วนั้นเกิดมาเพื่อว่าจะให้รู้จักคนมีบุญกว่าคนทั้งหลายไส้ แลจะให้ฝูงคนทั้งหลาย ๔ แผ่นดินรักกันดังใจเดียวเพื่อบุญท่านผู้เป็นพระญาจักรพรรดิราชนั้นแลฯ จักรแก้วนั้นมีศักดานุภาพนักหนา ผิแลว่ามีผู้ใดไปไหว้นบคำรพบูชาแก่กงจักรแก้วนั้นด้วยข้าวตอกดอกไม้ไส้ แลกงจักรแก้วนั้นเทียรย่อมบำบัดเสียซึ่งความไข้ความเจ็บ ประพฤติให้อยู่ดีกินดีสรรพสวัสดิพิพัฒนาการ ด้วยทรัพย์ สิ่งสินแลสมบัตินั้นมากนักแลฯ กงจักรแก้วนี้ประเสริฐกว่าแก้วอันชื่อว่า สรรพกามททนั้นได้ละแสนเท่าไส้ แลกงจักรแก้วนั้นหาใจมิได้ดุจดังมีใจฯ เมื่อแลกงจักรแก้วนั้นเหาะขึ้นมาแลยังมิทันที่จะพ้นท้องพระมหามุทรดังนั้น แลน้ำพระมหาสมุทรนั้นก็หลีกแตกออกให้กงจักรแก้วนั้นเหาะขึ้นมาเถิงบนอากาศแลเห็นดุจดังกงจักรแก้วนั้น แก้วเป็นเครื่องประดับนิ์บนอากาศ เลื่อมพรรณรายพรายงามดังเมื่อพระจันทร์เมื่อเพ็งบูรณ์แลฯ ในกาลวันนั้นพอเป็นวันเดือนเพ็งแล ฝูงคนทั้งหลายแต่งแง่แผ่ตนแล้วแลนั่งอยู่ในที่สำราญ แลเจรจาเล่นหัวไปมา ด้วยกันสบายพร้อมเพรียงกัน ทั้งฝูงบ่าว แลฝูงสาวเด็กเล็ก หญิงชายทั้งหลายยย่อมแต่งแง่แผ่ตนแล้วไปเล่นด้วยกัน บางหมู่ก็เล่นในกลางป่า บ้างเล่นในกลางน้ำกลางนาแลหนทางหลวง วันนั้นคนทั้งหลายอยู่ในเมืองพระญาผู้เป็นมหาจักรพรรดิราชเจ้าอยู่นั้น แลเมื่อกงจักรแก้วนั้นพุ่งขึ้นเทียมพระจันทร์เจ้านั้น พอเมื่อยามค่ำสนธิบาตร์แล้วแลเท่าพระจันทร์มาดูพระจันทร์ขึ้นมาวันนั้นสองดวง ครั้นมาใกล้ยัง ๑๒ โยชน์ จักรนั้นก็จะมาเถิงฯ เมื่อนั้นคนทั้งหลายได้ยินเสียงแห่งกงจักรแก้วอันผันแลต้องลม เสียงนั้นดังเพราะนักหนาแล เพราะกว่าเสียงพาทย์ แลพิณฆ้อง กลองแตรสังข์ กังสดาล ดุริย ดนตรี ทั้งหลายนั้น ๆ ฯ จึงคนทั้งหลายนั้นได้ยินเสียงอันเพราะแลถูกเนื้อจำเริญใจนักหนา แลยินหลากยินดีทุกคนแล้วก็ชวนกันว่าฉันนี้หลากหนอวันนี้เป็นไฉนอันว่าเราทั้งหลายแต่ก่อนบห่อนแลมาให้เห็นเป็นอัศจรรย์ฉันนี้ วันนี้เล่าพระจันทร์เจ้าขึ้นมาเป็นสองดวง แลเต็มงามบริบูรณ์เสมอกันทั้งสองอันแล ขึ้นมาเทียมกันดังราชหงส์ทองสองตัวนั้นแลเทียมกันขึ้นมาบนอากาศ เขาจึงร้องเรียกกันให้มาแลดูทั้งหลายแลฯ ลางคนไส้ว่าพระจันทร์ออกสอดดวงฯ ลางคนร้องว่าสูนี้เป็นบ้า ชั่วปู่ชั่วย่ายังจะห่อนได้นิยว่ามีเดือนสองอันบ้างหรือ อันนี้ตระวันไส้มันหากพ้นที่ที่จจะร้อนแลมันบมิร้อนแลฯ คนจำพวกหนึ่งร้องว่ามาดังนี้ เหวยชาวเราสูมาดูเขาเหล่านั้นเป็นบ้าทุกอัน ก็ทุกว่าใช่ความที่จะกล่าวแลมากล่าวบัดแปรว่าเดือนขึ้นเป็นสองอัน ตรงบัดแห่งว่าอันนี้เป็นอันหนึ่งเป็นตระวัน ฉันนั้นน่าใคร่หัวเขาฝูงนี้เป็นบ้าจริงแลฯ ตระวันสิพึงตกไปบัดเดี๋ยวนี้ไส้ ดังฤๅแลว่าตระวันจะมาออกด้วยเดือนบัดเดียวทันตระวันปานนี้ อันนี้มิใช่อันอื่นเลย อันนี้คือว่าปราสาทของเทพยดาแล จึงดูรุ่งเรืองสุกใสเพราะว่าแก้วแหวนเงินทองอันที่ประดับประดาปราสาทนั้นแลฯ คนจำพวกหนึ่งร้องหัวแลว่าเขาฝูงนั้นมาว่าดังนี้เล่าไส้ เหวย ๆ สูชาวเจ้าทั้งหลายอย่าได้โจทย์เถียงกีนไปมาเลย อันนี้มิใช่เดือนมิใช่ตระวันมิใช่ปราสาทแก้วเทพยดาฯ อันสูทั้งหลายว่าเดือนก็ดี ตระวันก็ดี ว่าปราสาทแก้วเทพยดาก็ดี แลบห่อนเคยได้ยินเสียงมี่เสียงก้องเสียงดังนักหนาดังนี้สักคาบ อันนี้ถ้าจะมีไส้ก็คือกงจักรแก้วอันชื่อว่าจักรรัตนนั้น ได้ยินท่านย่อมกล่าวมาแต่ก่อนดังนี้แลฯ อันว่ากงจักรแก้วนั้นย่อมมาด้วยบุญท่านผู้มีบุญแลจะได้เป็นพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นไส้ฯ คนทั้งหลายต่างคนก็ต่างว่าไปว่ามาแก่กันอยู่ดังนั้น เาบมิได้เชื่อถ้อยเชื่อคำของกันของกันแต่สักคนเลยฯ จึงกงจักรแก้วนั้นจากพระจันทร์เจ้ามาแลเข้าใกล้กว่าเก่ายังแต่โยชน์หนึ่งจึงจะเถิงเมืองนั้น ๆ จึงชนทั้งหลายเห็นแท้แลเห็นงามนัก แลมีใจรักทุก ๆ คนแล เสียงกงจักรนั้นดังมี่ก้องนักหนาดังท่านให้เลืองลือชาปรากฎว่า พระญาองค์นั้นธจะได้เป็นพระบรมมหาจักรพรรดิราชเจ้าแลฯ จึงมาเถิงพระนครที่พระญาผู้มีบุญเสด็จอยู่นั้น ๆ เมื่อดังนั้นคนทั้งหลายจึงว่าดังนี้ อันว่ากงจักรแก้วดวงนี้จะไปสู่พระญาองค์ใดหนอ คนจำพวกหนึ่งนั้นจึงว่ดังนี้เล่า อันว่ากงจักรแก้วดวงนี้ไส้มิได้มาด้วยบุญพระญาองค์อื่นเลย ดีร้ายมาด้วยบุญพระญาท่านผู้เป็นเจ้าเป็นนายนี้แลฯ ท่านนี้ไส้มีบุญนักหนา ท่านจะได้เป็นบรมมหาจักรพรรดิราชแล ท่านคำนึงเถิงกงจักรแก้วอยู่แล จึงกงจักรแก้วดวงนี้มาหาท่านแลฯ จึงกงจักรแก้วนั้นก็มาเถิงเมืองนั้นแล้วร่อนลงที่ประตูเมืองท่านแล้ว ๆ กระทำประทักษิณ ๓ รอบเมืองนั้น ๗ รอบ แล้วแลเขช้าล่วงอากาศโดยหนทางหลวง แล้วก็เข้ามาสู่พระราชมณเฑียรของพระญาแล ประทักษิณพระญานั้น ๓ รอบ พระราชมณเฑียรพระญานั้น ๗ รอบแล้วก็เข้ามาสู่พระญานั้นดุจดังมีใจ และจะมานบมานอบแก่พระญานั้นแล้วแลเข้ามาอยู่แทบตีนนอนนั้น ที่นี้แลที่แห่งใดก็ดีไส้กงจักรแก้วนั้นก็อยู่ในสถานที่นั้นฯ จึงฝูงคนทั้งหลายเขาก็เอาข้าวตอกแลดอกไม้บุปผชาติเทียนแลธูปวาดชวาลา แลกระแจะจวงจันทน์น้ำมันหอมมาไหว้มานบคำรพวันทนาการบูชากงจักรแก้วนั้นฯ แลมีกงจักรแก้วแลสถิตย์ตั้งอยู่ในที่อันบังควรแลไส้ แลยนังมีรัศมีกงจักรแก้วนั้นก็รุ่งเรืองรอบคอบทั่วทั้งพระราชมณเฑียรนั้นทุกแห่งดังยอดเขายุคุนธร เมื่อเพ็งบูรณ์ แลเมื่อพระจันทร์เสด็จขึ้นมาเหนือจอมเขานั้นแลรุ่งเรืองนักหนาแลฯ เมื่อนั้นพระญานั้นจึงเสด็จมาออกมาจากปราสาทเพื่อว่าจักมาชมกงจักรแก้วนั้น จึงอำมาตย์ก็ทูลแด่พระญาว่าขออังเช้ญ พระองค์เจ้าชมกงจักรแก้วอันมีรัศมีรอันรุ่งเรืองงาม ๆ ทั่วทั้งพระราชมณเฑียรพระองค์เจ้านี้ฯ พระญาองค์นั้นจึงเสด็จมานั่งในแท่นทองอันประดับนิ์ด้วยแก้วนั้นอันมีอยู่แทบบัญชรนั้น พระมหากษัตริย์เจ้านั้น ก็ชมกงจักรแก้ว อันรุ่งเรือง ด้วยแก้ว ๗ ประการนั้นงามนักหนาหาที่จะอุปมาบมิได้ดังนั้นฯ พระญาองค์นั้นจึงมีพระโองการประกาศด้วยอำมาตย์ราชมณตรีทั้งหลายว่าฉันนี้ฯ ดังได้ยินมา พระอาจารย์ท้งหลายกล่าวมาแต่ก่อนว่า พระญาแลองค์ใดมีบุญไส้ แลจะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิราชแลปราบได้ทั่วทั้งจักรวาลไส้ แลกงจักรแก้วอันชื่อว่าจักรรัตนะนั้นย่อมมาสู่ด้วยบุญสมภารพระญาองค์นั้น ๆ แลว่าคราวทีนี้เยียวว่าเราไส้ได้กระทำบุญแต่ก่อน แลบุญนั้นจะมาเถิงแก่เราจริง ๆ กงจักรแก้วอันมาหาเราบัดนี้ ฯ รู้ว่าวันนั้นพอเป็นวันเพ็งอุโบสถศีลแลพระญาองค์นั้นธให้ทานแล้วแลรักษาศีล ๘ อันแล้วเมตตาภาวนาอยู่ แลรำพึงเถิงทานแลศีลภาวนาแลจึงกงจักรแก้วนั้นมาหาเราในเมื่อกลางคืนนี้แลฯ พระญาองค์นั้นจึงเอาผ้าอันขาวอันเนื้อละเอียดนั้นมา พาดเหนือพระอังษาทั้งสอง สองกราบ หลายด้วยผ้าเล็กหลกผ้าสาลี มีลางพวกห่มพ้าชมพูผ้าหนังผ้ากรอบเทียรย่อมถือเครื่องฆ่าน่าไม้กับธนูหอกดาบแหลนหลาว หมอกในหัวเขามวกส่วนใส่เครื่องเงินคำถมอยอกลบิ้งกลดชุมสายหลายคัน กั้นไปชมหมู่ไม้ในกลางป่าดง มีพวกถือธงเล็กแลธงใหญ่ธงราม ธงแดง ธงขาวดูงามด้วยพิสดารแลเมาเป็นแองชัพพนิกาอันติ มีอันขาวอันดำอันแดงมีอันเหลืองเรืองทุกแห่งทุกพายพรางามดังแสงตระวันเรืองทั่วแผ่นดินเป็ฯได้แก่สี่แผ่นดิน จึงเสด็จไปล่วงอากาศกลางหาวด้วยพระญาจักรพรรดิราชฯ เมื่อนั้นเสนาบดีผู้ใหญ่จึงบังคับเจ้าเมืองทั้งหลายให้เอากลาองอันงามอันท่าวเอาทองเป็นสายแลมีแสงเป็นอันแดงงามดังแสงไฟนั้นไปตีป่าวแก่ฝูงราษฎรทั้งหลายด้วยคำว่าดังนี้ ท่านผู้เป็นพระญาผู้เจ้านายของเรานี้ธได้เป็นมหาบรมทจักรพัตราธิราชแล บัดนี้ปราบทวีปได้ทั้ง ๔ ทวีปนี้แล้ว ผู้ใดจะใคร่ไหว้ใคร่ชมบุญเจ้านายไส้ เร่งให้ชักชวนกันมาไหว้ชมเจ้านายเถิดฯ บัดนี้เจ้านายเราเสด็จไปปราบทวีปทั้ง ๔ แล จงท่านทั้งหลายเร่งแต่งแง่ตนแลพากันไปโดยเสด็จเจ้านายเรา แลพลางชมสมภารเจ้านายเราด้วยเถิดฯ เมื่อนั้นคนทั้งหลายได้ยินเสียงกงจักรแก้วนั้นเพราะดังไปก่อนหน้าพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้นโดยอากาศเวหาฯ จึงคนทั้งหลายต่าง ๆ ก็ละการงานอันตนทำค้างอยู่นั้นก็ละไว้ แล้วจึงชักชวนกันแต่งแง่แผ่ตนทากระแจะแลจันทน์น้ำมันหอม แลมีมือถือข้าวตอกดอกไม้ไปบูชากงจักรแก้วนั้นแลฯ เมื่อนั้นคนทั้งหลายยินดีลากยินดีแล้วก็ไปโดยเสด็จทุกคนแล ฯ ครั้นว่าเขานึกในใจเขาว่าไปโดยเสด็จท่านไส้ คนทั้งหลายนั้นหากเปลี่ยนใจโดยอากาศ ด้วยบุญอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้นแลฯ ฝูงพราหมณษจารย์ก็ดี แลลูกเจ้าลูกไทยทั่วบ้านทั่วเมืองแลลูกขุนมนตรีหัวหมื่นหัวพัน แลไพร่กุฎมพีเศรษฐีพยารีพ่อค้าพ่อครัวสูทร์แพศย์ทั้งหลายฝงนี้ เทียรย่อมมีกายอันงามบริสุทธิทุกคนหามลทินบมิได้เลยสักคน แม้นว่าแต่ก่อนโพ้นไส้ตัวเขานั้นกอประด้วยมวลทินด้วยการณ์ใด ๆ ก็ดี แลด้วยเดช บุญอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้นแล อาจสามารถมาบรรเทาเสียซึ่งสัพพทงทิน อันมีในกายแห่งมนุษย์บุถุชนทั้งหลายนั้นเสียสิ้นทุกประการแลฯ แลจะกล่าวให้รู้ ๆ ว่ากำลังรี้พลโยธาแห่งพระมหาบรมจัพรพัตราธิราชเจ้านั้นเท่าใดฯ ผิจะใคร่รู้ไส้ว่ายังมีที่ทำเนแห่งหนึ่งโดยกว้าง ๑๒ โยชน์แลโดยปริมณฑลรอบนั้นได้ ๓๖ โยชน์ แล้วจึงให้รี้พลทั้งหลายนั้นนั่งอยู่ในที่แห่งนั้นจึงกงจักรแก้วก็พออยู่ไส้ พระองค์สมเด็จมหาจักรพรรดิพัตราธิราชเจ้านั้นก็ดี แลรี้พลทั้งหลากนั้นก็ดี ก็ย่อมไปโดยอากาศดุจดังวิชาธรีอันมีฤทธิ์ด้วยสาตราคม สมถนำอันพิเศษแลไปบนอากาศนั้นทุกเมื่อ พระญาก็ดี รี้พลก็โ ไปบนอากาศดังนั้นเพื่อเพราะอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้นแลฯ องค์พระยามหากฃจักรพรรดิราชนั้นรุ่งเรืองงามดังเดือนเพ็งูรณ์แล มีลูกเาเหง้าขุนทั้งหลายที่ไปด้วยเสด็จท่านนั้นก็รุ่งเรืองงามดังดารากรทั้งหลาย อันห้องล้อมเป็นบริวารพระจันทร์เจ้านั้นแลฯ อันว่าชนทั้งหลายนั้นยินดีตรีสนุกนิ์สุขสารสำราญบานใจแลชมชื่นหืนเริงตาเกิงบันจงมีองค์แต่งแง่แผ่ตนชมเลบ่นชมหัว แล้วแลร้องก้องขับเสียงพาทย์เสียงพิณแตรสังข์ ทั้งเสียงกลองใหญ่แลกลองรามกลองเล็ก แลฉิ่งแฉ่งบัณเฑาะว์แสนาะวังเวง ลางคนตีกลองตีพาทย์ฆ้องตีกรับสัพพทุกสิ่ง ลางจำพวกดีดพิณแลสีซอพุงตอแลกั้นฉิ่งริงรำ จับระบะเต้นเล่นสารพนักคุนทั้งหลายสัพพดุริยดนตรีอยู่ครืนเครง อลวลเลวงดังแผ่นดินจะถล่มแลฝูงคนทั้งหลายอันเป็นบริวาร ซึ่งไปโดยเสด็จพระมหาจักรพรรดิราชเจ้าในกลางอัมพรากาศวันนั้นงามนักหนา ดังเทพยดาทั้งหลายซึ่งเป็นบริวารแห่งสมเด็จอัมรินทราธิราชเจ้านั้นแลฯ เมื่อธเสด็จไปในอากาศนั้นแลกงจักรแล้วนั้นไปก่อน พระองค์ไส้ไปถัด แลฝูงรี้พลทั้งหลายก็ดีแลพฤกษาชาติทั้งหลายอันใหญ่แลน้อย แลมีลูกและดอกตระการนั้นก็พรำไปด้วยเสด็จทั้งสองตราบข้างหนทางแลฯ อันว่าฝูงคนทั้งหลายหมู่ใดแลมีใจจะใคร่กินผลไม้สิ่งใดก็ได้โดยใจผู้นั้น แลคนผู้ใดจะใคร่ได้ออกไม้สิ่งใดมาทัดทรงไส้ก็ได้สิ่งนั้นโดยใจแล คนผู้ใดจะใคร่อยู่ร่มก็เข้าในร่มไม้นั้นโดยใจฯ อันว่าฝูงคนทั้งหลายใดอันอยู่ต่ำไส้ ก็แลดูรี้พลของท่านอันไป วันนั้น แลมีใจว่าจะใคร่รู้จักลูกเจ้าลูกไทยก็ดี ขุนนางหัวหมื่นหัวพันทมุนทนายทั้งหลายคือผู้ใดชื่อใด ๆ ดังนั้นไส้ ด้วยเดชอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้นดัง แลดังรู้เจรจาแลไปบอกชื่อคนทั้งหลายนั้นแก่บุคคลอันที่จะใคร่รู้จักชื่อเขานั้น ๆ เขาก็หากรู้จักชื่อลูกเจ้าลูกไทยอีกด้วยคนทั้งหลายนั้นเอง เพราะด้วยเสียงแห่งกงจักรแก้วนั้นหากพรรณนาให้เขารู้ได้ยิน เขาจึงรู้จักชื่อทั้งหลายแล ฯ จะกล่าวเถิงฝูงคนทั้งหลายไส้ผิแลว่าผู้ใดแลจะใคร่ไปด้วยเสร็จพระญามหาจักรพรรดิราช นั้นแม้นว่ายืนก็ดี นั่งก็ดีนอนก็ดี หากปลิวขึ้นไปโดยอากาศเองแลมิพีกย่างพักเดินเลย ทั้งเสื่อสาดอาสนที่นั่งที่นอนที่อยู่ที่กินแลจะใคร่เอาไปด้วยไส้ สิ่งนั้นก็ไปด้วยแลฯ ถ้าว่าผู้ใดจะใคร่ยืนไปผู้นั้นก็ยืนไปแลฯ ผู้ใดจะใคร่นั่งไปผู้นั้นก็นั่งไปแล ผู้ใดจะใคร่นอนไปผู้นั้นก็นอนไปแล ผู้ใดจะใคร่ทำการงานไปก็ทำการงานไป ถ้าแลผู้ใดทำการงานค้างอยู่ไส้ ครั้นนึกว่ามิเอาไปการงานทั้งปวงนั้นก็มิได้ไปด้วยแล ผู้ใดจะใคร่ไปโดยอากาศด้วยท่านแลใคร่ทำการงานไปด้วยเล่า เขาฝูงนั้นกระทำการงานไปพลางแลบมิได้ป่วยการของเขาเลยฯ ตระวันออกกลางเขาพระสุเมรุราชแลเขาสัตตภัณฑ์ฝ่ายบ้าน ฝ่ายแลข้ามสมุทรอันมีฝ่ายทิศตระวันออกนั้นจึงไปเถิงแผ่นดินอันมีฝ่ายตะวันออกชื่อว่า บุพเพวิเทหะ นั้นแลกว้างได้ ๗๐๐๐ โยชน์ ครั้นไปเถิงแห่งหนึ่งที่นั้นราบเพียงดีสนุกนิ์มีน้ำสุกใสงามบมิหาท่าบมิได้ มลึกที่นั้นดังแสร้งแต่งแสร้งถากด้วยพร้าด้วยขวานได้ ๑๒ โยชน์ โดยมณฑลรอบได้ ๓๖ โยชน์ แลที่นั้นที่ทับหลวงพระญามหาจักรพรรดิราชแต่โบราณ เมื่อธเสด็จไปพิพาศเหล้นนั้นแลฯ จึงกงจักรแก้วนั้นก็หยุดอยู่ในอากาศอุจดังมีเพลาหลักขัดไว้แล บมิได้ติงได้ไหว้แลมิได้ผัดไปเลยฯ ครั้นว่ากงจัพรแก้วแลหยุดอยู่ดังนั้น องค์พระญามหาจักรพรรดิราชแลรี้พลทั้งหลายจึงลงมาจากอากาศ แลมายังพื้นดินแผ่นดินดูรุ่งเรืองงามดังดาว ผิบมิดังนั้นดังฟ้าแมลบ ผิบมิดังนั้นดังแสงแห่งอินทรธนูแลลงมาอยู่ที่สนุกนิ์ทุกคน ผู้ใดจะใคร่อาบน้ำก็ได้อาบโดยใจ ผู้ใดจะใคร่กินข้าวแลน้ำก็ได้กินโดยใจ ปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นทุกคนฯ เมื่อพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้าเสด็จไปอยู่ดังนั้น แลท้าวพระญาทั้งหลายแต่บรรดามีอยู่ในแผ่นดินบุรพวิเทหะนั้นฯ ครั้งเขารู้ว่าพระญามหาจักรพรรดิราชเสด็จไปเถิงแผ่นดินที่เขาอยู่นั้น แลพระญาใหญ่ก็ดี น้อยก็ดี แลพระญาองค์ใดองค์หนึ่งก็ดี แลจะอาจสามารถแลจะแต่งเครื่องสัพพยุทธ์แลจะมารตบพุ่งด้วยพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น มิอาจสามารถเพื่อจะทำได้เลย เทียรย่อมมีใจรักใจใคร่ ชักชวนกันมานบมาไหว้มาเฝ้ามาแหนองค์สมเด็จพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้าอยู่แลฯ สัพพปีศาจแลผีสางก็ดี สัพพสิงสัตว์อันใดอันหนึ่งอันรู้ฆ่ามนุษย์ให้ตายนั้นก็ดี แลจะบมิใจนึกร้ายต่อสมเด็จพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น แต่น้อยหนึ่งก็หามิได้เลย เพราะเหตุว่ากลัวบูญแลอำนาจแห่งสมเด็๗พระญามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้นแลฯ เมื่อกงจักรแก้วแรกมาแต่มหาสมุทรไส้ชื่อว่าจักรรัตนะแล แลเมื่อพระญามหาจักรพรรดิราชธไปปราบทั้ง ๔ แผ่นดินได้แล้วไส้ แลกงจักรแก้วนั้นจึงได้ชื่อว่าอรินทแล เป็นสองชื่อดังนี้แลฯ อันว่าท้าวพระญาทั้งหลายอันอยู่ในแผ่นดินบุรพวิเทหะนั้น ต่างองค์ต่างแต่งเครื่องบรรณาการทั้งหลาย มีอาทิคือเทียนแลธูปวาตสุคนธชาติ อันดีอันตระการอุดมและประณีต แล้วก็ชวนกันมาไหว้นบคำรพยำเยง แต่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชเจ้านั้นแล้วก็มาเฝ้ามาถวายบังคม แล้วก็ถวายตัวเป็นข้าพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นทุกคนแลฯ เมื่อท้าวพระญาทั้งหลายมาเฝ้ามาคัลพระยาจักรพรรดิราชเจ้าอยู่นั้น ดูรุ่งเรืองงามด้วยกุตกาลถิแลเครื่องประดันิ์สัพพาภรณ์ อันประดับนิ์ตนแลท้าวพระญาทั้งหลายนั้นเทียรย่อมประดับนิ์ตนแล้วด้วยสัตตพิธรัตนะแลดูรุ่งเรืองงามนักหนา ดังฟองน้ำแต่คนทีทองแลมาล้างตีนพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้นแลฯ อันว่าท้าวพระญาทั้งหลายครั้นว่าถวายบังคมแล้วก็กราบถวายตัวแต่ท่านว่าดังนี้ บพิตรท่านแต่นี้ไปพหน้าตูทั้งหลายถวายตัวเป็นข้าท่านแก่ท่านผู้เป็นเจ้า ๆ จะปรารถนาสิ่งใดตูข้าทั้งหลายจะหามาถวายแก่ท่านผู้เป็นเจ้า ๆ ใช้ตูข้าทั้งหลายให้กระทำการงานสิ่งใดแล้ว ตูข้าท่านทั้งหลายจะทำการงานสิ่งนั้นถวายแด่ท่านผู้เป็นเจ้า ฯ อันว่าบ้านแลเมืองแห่งตูข้าทั้งหลายหมู่นี้แลขอถวายเป็นอำเภอแก่ท่านผู้เป็นเจ้าแล อังเชิญท่านผู้เป็นเาได้โปรดเกล้ากระหม่อมผู้ข้าทั้งหลายนี้เถิดฯ เมื่อแลท้าวพระญาทั้งหลายควงายบังคมประนมนอบนบคำรพ ยำเยงแด่พระญามหาจักรพรรดิราชแล้วกล่าวดังนั้นฯ ส่วนอันว่าพระญามหาจักรพรรดิราชบพิตรท่านนั้น แลพระองค์จะได้กล่าวถ้อยคำตอบท้าวพระญาทั้งหลายฝูงนั้น ว่าเราจะเอาทรัพย์สิ่งสินส่ยสาอากรแก่ท้าวพยะญาองค์ใดองค์หนึ่งนั้นหามิได้เลยฯ เพราะเหตุท่านนั้นมีสมบัติเหมือนทิพย์อยู่แล้วด้วยเดชอำนาจแห่งกงจักรแก้วนรั้น อนึ่งเล่าท่านบมิถอดถ้อยร้อยความการงานท้าวพระญาทั้งหลายให้เขาพรัดที่นาคลาที่อยู่ให้เขาน้อยเนื้อน้อยใจดังนั้นก็หามิได้เลย พระองค์เจ้าไส้เทียรย่อมอนุเคร่ะห์เขาให้เขาชื่นเนื้อชื่นใจเขา ให้เขาได้ความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ยินดีมิให้เป็นอันตรายแเขาเลยฯ สมเด็จมหาจักรพรรดิราชนั้น ธรู้บุญรู้ธรรมรู้สั่งสอนคนทั้งหลายให้รู้ในธรรมเพียงดังพระพุทธเจ้าเกิดมา แลสั่งสอนโลกย์ทั้งหลายให้อยู่ในธรรมไส้ฯ ครั้งนรั้นพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น ธก็สั่งสอนแก่ท้าวพระญาทั้งหลายให้อยู่ในธรรมจึงกล่าวดังนี้ว่า ท้าวพระญาทั้งหลายจงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมทั้งหลาย ๑๐ ประการอย่าให้ขาด จงรักลูกเจ้าเง้าขุนทมุนทนายไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลาย อ่าได้เลือกที่รักอย่าได้มักที่ชังแลรักเขาจงเสมอกันแล สัตว์ที้งหลายนี้ยากที่จะเกิดมาเป็นคน ครั้นว่าเกิดมาได้เป็นท้าวเป็นพระญาดังชาวเจ้าทั้งหลานยนี้ ย่อมมีบุญสมภารมากแล้ว จึงชาวเจ้าทั้งหลายรู้บุญรู้ธรรมรู้กลัวรู้ละอายแก่บาปนั้นจงนักเถิด จะบังคับถ้อยความสิ่งใดอันใดก็ดี ด้วยใจอันซื่ออันชอบด้วยทางธรรมอย่าให้พ้นวันพ้นคืน ถ้าแลทำดังนี้ไส้เทพยดาแลมนุษย์ทั้งหลายก็จะสรรเสริญคุณแลท่านแลฯ อันว่าชาวเจ้าทั้งหลายเกิดมาแลได้เป็นท้าวเป็นพระญาดังนี้ไส้ สูชาวเจ้าหากอยู่แลหากเกิดมาเมื่อไร แลสูชาวเจ้าทั้งหลายเทียรย่อมย่อมได้ทำบุญแลธรรมแลทำกุศลมาแต่ก่อนโพ้น จึงได้เกิดมาเป็นท้าวเป็นพระญาดังนี้ไส้แล สู่ชาวเจ้าทั้งหลายได้รู้จักคุณแก้ว ๓ ประการ คือพระพุทธเจ้าพระธรรมเจ้าพระสงฆเจ้าได้ไหว้นบคำรพแต่ก่อน แลพระธรรมอันโบราณาจารย์มีต้นว่าพระพุทธเจ้าเทศนาไว้ แลมีนักปราชญ์ผู้รู้เทศนาให้ท่านทั้งหลายฟังว่าอันใดชอบธรรม ควรชาวเจ้าจำแลทำตามอันนั้น อันใดว่ามิชอบธรรมควรชาวเจ้าทั้งหลายเว้นเสียฯ แลเราจะกล่าวเถิงบาป ๕ ประการอันควรเว้นเสียนั้น ให้ชาวเจ้าทั้งหลายฟังบัดนี้ฯ บาปอันหนึ่งไส้คือว่าสัพพสัตว์ทั้งหลายอันมีชีวิตจิตวิญญาณรู้ไหวรู้ติง ประดาว่ามดตัวหนึ่งก็ดี ปลวกตัวหนึ่งก็ดี มิควรฆ่าให้ตายเลยมาตรว่าคนผู้ใดกระทำร้ายด้วยประการใด ๆ ก็ดี บมิควรฆ่าให้ตาย ควรสั่งสอนโดยธรรมแล เพราะว่าปลงชีวิตสัตว์อันรู้ติงนั้นเป็นบาปนักหนา ครั้นว่าตายไปเกิดในนรกทนทุกขเวทนาเดือนร้อนอยู่หึงนานนัก เมื่อพ้นจากนรกแล้วขึ้นมาเกิดเป็นคน ย่อมได้เป็นคนทุกข์โศกเดือดร้อน ท่านย่อมได้ทำร้ายแก่ตนลำบากนัก แลหาความสุขเย็นใจบมิได้ ๆ ร้อยชาติพันชาติแลย่อมได้พลัดพรากจากญาติกาที่รักทั้งหลายแลฯ ผิแลว่าคนมิกลัวบาปนั้นแลยังทำบาปอีกเล่า ก็เร่งสืบบาปนั้นไปอีกบมิรู้สิ้เนสุดเลยฯ อันหนึ่งชื่อว่าทรัพย์สิ่งสินท่านเจ้าองเขามิได้ให้แก่ตนชาวเจ้าอย่าควรเอา อนึ่งตนมิได้เอาแลใช้ให้ผู้อื่นเอาก็ดี มิควรใช้ผํ้อื่นเอาเลยฯ ได้โลภแลผู้ใดอันเอาสินท่านอันท่านมิได้ให้แก่ตนดังนั้น ครั้นว่าไปเกิดในนรกแล้วทนทุกขเวทนาหึงนานนัก ครั้นว่าพ้นจากนรกนั้นขึ้นมาเป็นคนโหดปรีชานักหนายากเผ็ดเร็ดไร้เข็ยใจนักหนา แลมิอาจพรรณนาเถิงความยากไร้นั้นถ้วนถี่ได้ แม้นมาตรว่าจักมีทรัพย์อันใด ๆ แลเป็นสินของตนเล็กน้อยก็ดี ย่อมมีผู้มาชิงช่วงฉกลักเอา แม้นใส่พวกไว้ก็ตกเสีย บมิไฟไหม้เสียบมิก็น้ำพัดพาเอาไป แต่เป็นคนเข็ญใจอยู่ดังนี้ได้เถิงพันกำเนิดจึงสิ้นบาปนั้นแลฯ ผิคนแลมิรู้จักบาปกรรมวิบากตนดังนั้น แลตนยังกระทำบาปไปเบื้องหน้าอีกเล่าไส้ก็เร่งสืบบาปนั้นไปอีกเล่า บมิรู้สิ้นบมิรู้สุดบาปนั้นเลยฯ อนึ่งอันว่าบาปปรทารกรรม คือว่าทำชู้ด้วยเมียท่านนั้นแลชาวเจ้าทั้งหลายอย่าควรกระทำเลยมาตรว่าน้อย ๑ ก็ดีอย่าได้กระทำเลยฯ ผิแลผู้ใดแลกระทำปรทารกรรมไส้ จะไปตกนรกสิมพลีวันไม้งิวนั้นเป็นเหล็ก แลหนามนั้นยาวย่อมมเหล็กแหลมคมนักแลมีเปลวไฟลุกอยู่บมิรู้เหือดแล มีฝูงยมบาลถือหอกทิ่มแทงขับให้ขึ้นให้ลงทนทุกขเวทนาอยู่หึงนานนัก ครั้นว่าพ้นจากนรกขึ้นมาเป็นสระสเจทินเป็นกระเทยได้พันชาติ ผิเกิดมาเป็นผู้ชายก็ดีไส้ เาย่อมได้สืบหลายกำเนิดนักแลฯ อนึ่งอันว่าความมุสาวาทคือว่าหาคำบมิได้ แลกล่าวนั้นสูชาวเจ้าทั้งหลายอย่าควรกล่าว ถ้าแลว่าผู้ใดกล่าวคำมุสาวาทไส้ผู้นั้นแลจะตกนรก แลมีฝูงยมบาลทั้งหลายหากกระทำให้ทนทุกขเวทนาหึงนานนัก ครั้นพ้นจากนรกขึ้นมาเป็นคนไส้ ย่อมเหม็นกลิ่นลามกอาจมทั้งหลายนักหนา แลมีรูปกายอันให้หืนนักหนา ผิผิดท่านแลท่านจะกระทำร้ายหนีท่านบห่อนจะรอด ท่านได้กระทำร้ายทุกชาติ ซึ่งว่าผ้าอันจะนุ่งจะห่มนั้นก็เหม็นสาบเหม็นสางพึงเกลียดนักหนาได้พันชาติจึงสิ้นบาปนั้น ผิแลมิรู้จักกรรมวิบากของตนดังนั้น แลยังกล่าวมุสาวสาทไปภายหน้าอีกเล่าไส้ แลบาปนั้นหาที่สุดที่แล้วบมิได้เลยฯ อันหนึ่งว่าเห้านั้นแลสูชาวเจ้าทั้งหลายอย่าพึงคบหากันกินเลย ถ้าแลว่าผู้ใดคบหากันกินเหล้า ไส้บาปนั้นจะตกนรกแล มียมบาลทั้งหลายทำร้ายแก่ตน ๆ ทนทุกขเวทนาหึงนานนักหนาแล เมื่อพ้นจากนรกขึ้นมาได้เป็นผีเสื้อ ๕๐๐ ชาติแลเป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ แม้นเกิดมาเป็นคนไส้ก็เป็นบ้า อนึ่งแลมีรูปกายนั้นบมิงามเป็นคนอัปลักษณ์ใจพาล แลมิรู้จักความผิดแลชอบแลเป็นคนโหดหืนนักหนา ผิว่ามิรู้จักบาปตนนั้นแลยังจะทำบาปนั้นสืบไปเล่า แลบาปนั้นก็เร่งมากไปเล่าแล ยากที่จะพ้นจากบาปทั้งหลาย แลกรรมอันใดอันมิควรกระทำ แลชาวเาทั้งหลายอ่าได้กระทำสืบไปอีกเลยฯ อันว่าถ้อยคำที่เรากล่าวมานี้ชื่อเบญจศีลแลควรแก่เจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นท้าวเป็นพระญาเร่งจำไว้ให้มั่นแลสั่งสอนท้าวพระญาลูกเจ้าเหง้าขุนทมุนทนายไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายอันมีในอาณาราช เพราะตนให้รู้แลให้อยู่ในความชอบ ดังนั้นให้จำเร้ญสวัสดีทุก ๆ ชาติแลฯ ดูกรชาวเจ้าท้าวพระญาทั้งหลาย ประการหนึ่งด้วยไพร่ฟ้าข้าไทยราษฎรทั้งหลายทำไร่ไถนากินในแผ่นดินเรานี้ เมื่อได้าวนั้นเป็นรวงไส้ให้ผู้ดีเข็ญใจชื่อนั้นไปดูปันค่าโดยอุดมเทียบนั้น และกระทำข้าวเปลือกนั้นเป็น ๑๐ ส่วนแลเอาเป็นหลวงนั้นแต่ส่วน ๑ แล ๙ ส่วนนั้นให้แก่เขา ผิแลดูเห็นว่าเขามิได้ข้าวนั้นไส้มิควรเอาแก่เขาเลยฯ อนึ่งควรให้ข้าวสักส่วนแก่ไพร่แลทแกล้วทหารทั้งหลายเพื่อลลหกคาบจึงพอเขากินอย่าให้เขาอดเขาอยาก ผิว่าจะใช้เขากระทำการอันใด ๆ ไส้ให้ใช้เขาแต่พอบังควรแล อย่าใช้เขานักหนาให้ล้ำเหลือใจฯ ผิผู้ใดเฒ่าแก่ไส้ผู้นั้นบมิควรใช้เขาเลยปล่อยเขาไปตามใจเขาแล อนึ่งด้วยเอาสินส่วยแก่ราษฎรทั้งหลายไส้ให้เอาโดยโบราณท้าวพระญาทั้งหลายแต่ก่อนอันนั้นแล ผู้เฒ่าผู้กแทั้งหลายสรรเสริญว่าชอบธรรมนั้นบมิควรเอายิ่งเอาเหลือไปเลย ผิว่าเราเอาของเขาให้ยิ่งให้เหลือไปไส้แลท้าวพระญาผู้ใดแลจะมาเสวยราชย์ภายหน้าเรานั้น จักได้เอาเป็นอย่างแลธรรมเนียมสืบ ๆ กันไปแลจะได้บาปแก่เรานี้นักหนา เพราะว่าเราทำความมอันมิชอบธรรมฝูงนี้ไว้กับแผ่นดินแลฯ อนึ่งไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายอันอยู่แว่นแค้นแดนดินเมืองเรา ผิแลว่เขาจะไปค้าขายกินก็ดี แลว่าเขาหาทุนบมิได้ แลเขามาหาขอเราผู้เป็นเจ้านาย แลขอกู้เงินทองไปเป็นทุนค้าขายกินดังนั้นเราผู้เป็นท้าวพระญานี้ควรปลงเงินทองในท้องพระคลังนั้นให้แก่เขา แลว่าเขาเอาไปมากน้อยเท่าใดก็ดี ให้ตราเป็นบาญชีไว้แต่ต้น ๆ ปีไส้ เราผู้เป็นไทยบมิควรเอาเป็นดอกเป็นปลายแก่เขาเลย ควรให้เรียกเอาแต่เท่าทุนเก่านั้นแลคืน แลภาษีแลดอกนั้นอย่าได้เอาของเขาเลยฯ อนึ่งผู้เป็นท้าวเป็นพระญาควรให้ทรัพย์สิ่งสินแก่ลูกแก่เมีย ชาวแม่ชาวเจ้าผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลายเพื่อเป็นเสบียงเลี้ยงเขากินอยู่เป็นกำลัง เป็นเครื่องแต่งแง่แผ่ตนนั้นควรให้แก่เขา ๆ จึงเต็มใจเขาแล เราผู้เป็นท้าวพระญาอย่าควรคิดเสียดายทรัพย์นั้นเลยฯ อนึ่งเมื่อเรานั่งอยู่ไส้เมื่อแลลูกขุนทั้งปวงเข้าเฝ้านั้น ผู้เป็นท้าวพระญานี้แม้นจะพิพาทเจรจาสิ่งใดก็ดีอย่าเจรจามาก แม้นจะยิ้มแย้มด้วยสิ่งใดอย่ายิ้มแย้มมากแต่พอประมาณเถิด เร่งให้รำพึงเถิงความชอบอย่าได้ประมาทลืมตนเลย แม้จะบังคับถ้อยความของไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายไส้ อย่าได้ว่าโพ้น ๆ ว่าพี้ ๆ ด่าตีกันบังคับถ้อยความนั้นให้ถูกถ้วนโดยธรรมพิจารณารูปความนั้น แต่ต้นจนปลายให้ตรลอดรอดแล้ว จึงบังคับด้วยใจอันซื่ออันตรงนั้นแลฯ อนึ่งได้เลี้ยงดูรักษาสมณพราหมณ์แลนักปราชญ์ราชบัณฑิตย์ผู้รู้ธรรม ๆ มานั้นให้นั่งอยู่ที่สูงแล้ว ๆ จึงถามเถิงธรรมอันประเสริฐนั้นแลฯ อนึ่งข้าคนไพร่ฟ้า ข้าคนคือว่าผู้ใด ๆ ก็ดี แลกระทำความชอบให้ได้เป็นประโยชน์แก้ท้าวพระญาด้วยความอันชอบของเขานั้นไส้ ด้วยให้รางวัลแก่ผู้นั้นตามมากแลน้อยนักแลเบา โดยอำเภอคุณแลอำเภอประโยชน์ของเขานั้นแลฯ ผิแลว่าท้าวพระญาองค์ใดแลเสวยราชสมบัติแล้วแลทำความชอบธรรมไส้ไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายก็อยู่เย็นเป็นสุขได้หลกขาดดีในศรีสมบัติเพราะด้วยบุญสมภารของท่านผู้เป็นเจ้าเป็นจอม แลข้าวน้ำช้ำปลาอาหารแก้วแหวนแสนสัตเนาวรัตนะ เงินทองผ้าผ่อนแพรพรรณนั้นก็บริบูรณ์ อีกฝูงเทวาฟ้าฝนนั้นก็ตกชอบฤดูกาลบมิน้อยบมิมาก ทั้งข้าวในนาทั้งปลาในน้ำก็บห่อนรู้ร่วงโรยเสียไปด้วยฝนด้วยแล้งเลย อนึ่งวันคืนแลปีเดือนทั้งหลายบป่อนรู้ยากเลย อนึ่งฝูงเทพยดารักษาทั้งหลายอันอยู่รักษาเป็นเสื้อบ้านทรงเมืองนั้น ท่านก้รักษาดุจเกรงท้ายพระญาผู้ได้กระทำความอันชอบด้วยคลองธรรมนั้นแลฯ แลท้าวพระญาองค์ใดกระทำความอันบมิชอบคลองธรรมไส้เทวาฟ้าฝนนั้นก็พิปริต แม้นทำไร่ไถนาก็บันดาลให้เสียหายตายด้วยแล้งแลฝนแล อนึ่งผลไม้ทั้งหลายแลพืชอันเกิดเหนือแผ่นดินอันมีโอชารสอันดีอร่อยนั้นกลับหายเสียไปเพื่อโอชารสนั้นจมลงไปใต้แผ่นดินสิ้น ทั้งต้นแลลำอันปลูกนั้นมันก็มิงามเลย ทั้งแดดแลลมทั้งฝนแลเดือนดาวก็บมิชอบอุตุกาลดังเก่าเลย เพราะว่าท้าวพระญากระทำบมิชอบธรรมนั้นฯ แลเทพยดาทั้งหลายเขาเกลียดเขาชังพระญาอาธรรมนั้นนักเขาบมิใคร่แลดูหนานคนนั้น แม้นว่าเขาแลดูก็ดีบห่อนแลงดูซึ่งหน้าย่อมแลดูแต่หางตาเขาไส้ฯ ดูกรชาวเจ้าทั้งหลาย ตราบใดชาวเจ้าทั้งหลายแลมีอายุอยู่ไส้ จงชาวเจ้าจำคำที่กูสั่งสอนนี้ไว้จงมั่น แลเร่งทำตามความชอบธรรมนี้ไว้เถิดฯ ในกำเนิดนี้ก็โ กำเนิดหน้าโพ้นก็ดี เทียรย่อมจะจำเริญสัพพสวัสดีทุกประการแลฯ เมื่อสิ้นชนมาพิธีไส้ไปเกิดกำเนิดหน้าย่อมได้ไปเกิดในชั้นฟ้า ๖ ชั้น แม้นเกิดในมนุษย์ก็ดีย่อมได้เกิดที่ตระกูลอันมียศศักดิ์มีบุญสมภารทุกประการนั้นแลฯ ผิว่าได้เห็นมีคนโจทย์ว่าเมื่อพระญามหาจักรพรรดิราช ธ สั่งสอนท้าวพระญาทั้งหลายครั้งนั้น แลท้าวพระญาทั้งหลายฝูงนั้นเขายังยินดีด้วยพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นบ้างหรือ ๆ ว่เขาบมิได้ยินดีแลมิได้ตั้งอยู่ในความอันสั่งสอนนั้นให้ประเสริฐเลยดังนี้ฯ ว่บรมพระพุทธเจ้าพระองค์สร้างสมภารมามาก แลเถิงได้ตรัสแก่สัพพัญญุตญาณดังนั้นก็ดี พระเจ้าบมิยินมิทำตามบัณฑูรเทศนานั้น สั่งสอนโลกย์ทั้งหลายลางคนยินดีแลทำตามพระบัณฑูร ลางคนสิยังบมิยินดีบมิทำตามพระบัณฑูรพระพุทธเจ้าไส้ ผู้ใดมีบูญมีสมภารจึงกระทำตามไส้ฯ ผู้ใดบุญน้อยบมิอาจทำตามได้ เทียรย่อมกระทำตามความอันมิชอบดังนั้นก็ยังมีมากนัก พระญามหาจักรพรรดิราชบมิดูบมิเหมือนด้วยพระพุทธเจ้า แลค่ลาดกันไกลกันมากนัก ดังฤๅแลท้าวพระญาทั้งหลายจะทำตามคำสั่งสอนนั้นได้ถ้วนคน ลางคนเอาคำสั่งสอนแลทำตาม ลางคนบมิเอาคำสั่งสอนบมิได้ทำตามคำสั่งสอนนั้นแลฯ
เมื่อครั้งนั้นพระญามหาจักรพรรดิราชเทศนาธรรมอันชื่อว่าไชยวาศ สั่งสอนท้าวพระญาทั้งหลายอันมีฝ่ายตระวันออกในแผ่นดินอันชื่อว่าบุพพวิเทหะนั้นแล้วจึง ธจึงเลี้ยงลาอามสายท้าวพระญาทั้งหลาย อีกลูกเจ้าเหง้าขุนทมุนนายไพร่ฟ้าทั้งหลาย ด้วยช้าวแลน้ำโภชนาหารทั้งปวงอันมีโอชารสอันมีสำเร็จฯ จึงกงจักรแก้วนั้นก็เหาะขึ้นไปบนอากาศแล้วก็นำพระญาจักรพรรดิราชแลรี้พลทั้งหลายไปโดยอากาศไปสู่ทิศตระวันออก แล้วจึงบ่ายหน้าไปยังกำแพงจักรวาลฝ่ายบุพทิศแล้วจึงลุเถิงฝั่งมหาสมุทรอันมีฝ่ายบุพทิศ จึงกงจักรแก้วนั้นลงสู่น้ำมหาสมุทร ๆ อันเร่งตีฟองนองระลอกนั้นนัก แลน้ำมหาสมุทรนั้นกลัวกงจักรแก้ว แลมิอาจตีหองนองระลอกขึ้นมาได้เลยฯ ผิจะอุประมาดุจพระญานาคราชอันเลิกพังพานอยู่แล้วแลถูกไอยาแลกลัวไอยานั้นแลก้มหัวซบลงเร้นอยู่นั้นแลมีดังฤๅคือมหาสมุทรกลัวบุญแห่งกงจักรแก้ว นั้นแลบมิอาจตีฟองนองระลอกขึ้นได้เลนฯ เมื่อกงจักรแก้วนั้นไปสู่สมุทรอันนั้น แลน้ำมหาสมุทรนั้น้อยหลีกแยกแตกเป็นคลอดไปโดยกว้างได้โยชน์ ๑ ผิจะนับโดวาได้ ๘๐๐๐ วาแล แลเห็นน้ำสองข้างนั้นงามดังกำแพงแก้วไพรฑูริย์ฯ จึงกงจักรแก้วนั้นลงไปเถิงพื้นพระสมุทร แลน้ำนั้นก็หลีกกงจักรแก้วแปลงพื้นสมุทรด้วยวาไส้ได้ ๘๐๐๐ วาแล อันว่าแก้วสัตตพิธรัตนะ ๗ ประการอันมีในพื้นพระสมุทรนั้นแล แก้วสัตตพิธรัตนะอันประเสริฐดีต่าง ๆ ก็มาเองแล อยู่ซึ่งทางที่พระญาจักรพรรดิราชเสด็จไปด้วยแลรี้พลทั้งหลายนั้น ด้วยเดชอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้นแล โดยหนทางแต่ฝั่งมหาสมุทรข้างนี้ไปบนเถิงฝั่งข้างโพ้นแลตรลอดไปเถิงพื้นกำแพงจักรวาลนั้นแลฯ กล่าวเถิงเมืองนั้นฝูงคนทั้งหลายนั้นไปโดยเสด็จวันนั้น ต่างคนต่างแลเห็นแก้วแหวนเงินทองอันดี ต่างคนต่างก็เลือกเอาอันดีอันพึงใจตน ลางคนกวาดเอาใส่พกใส่ห่อผ้า แลคนทั้งหลายนั้นย่อมชื่นชมยินดีทั่วทุกคน ร้องชมว่าแต่ก่อนเรามาเราบห่อนได้พบได้เห็น แลบัดนี้เรามาได้พบได้เห็นดังนี้เพราะบุญสมภารเจ้านายเราแลฯ จึงกงจักรแก้วนั้นก็นำไปเถิงสมุทร ฝั่งสมุทรข้างโพ้นจรดตีนเขากำแพงจักรวาลฝ่ายบุรพทิศ พระญาจักรพรรดิราชนั้นจึงจับเอาสุวรรณภิงคาร อันเต็มไปด้วยน้ำอันหอมนั้นมาแล้วธจึงหลั่งน้ำลงแล้วธก็ว่าดังนี้ แดนนี้เป็นแดนเมืองแห่งกู แลเป็นอาณาราฐแห่งกูฝ่ายหนตระวันออกแกฯ ครั้นธว่าเท่านั้นแล้วพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้นก็กลับคืนมาโดยหนทางเก่านั้นเล่าแลฯ จึงลูกเจ้าเหง้าขุนแลไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายบางคนมาก่อนบางคนมาหลัง พระญามหาจักรพรรดิราชนั้นแลฯ ส่วนว่ากงจัพรแก้วนั้นจึงค่อยมาภายหลังคนทั้งหลาย เพราะว่ามิให้น้ำในสมุทรนั้นกลัดหนทางคนทั้งหลายเสียฯ ส่วนว่าน้ำพระสมุทรนั้นมีใจรักกงจักรแก้วนักหนามิใคร่จะให้ไปจากเลย ผิจะอุปมาดุจนางผู้หนึ่งแลมีรูปงามแลได้ผัวอันพึงใจ แลผัวนั้นไปจากตนช้านานแล้วแลคืนมาหาตนเล่าแล้วสิว่าผัวนั้นจะไปจากตนอีกเล่า แลว่าใจตนรักผัวตนมิใคร่ให้ไปจากเลย แลกล่าวถ้อยคำเล้าโลม ผัวตนเพราะมิให้ใคร่ไปจากตนนั้นแลมีดังฤๅ คือว่าน้ำมหาสมุทรมิใคร่ให้กงจักรแก้วนั้นไปจากตนแลมีอุปมาดุจนั้นแล แลน้ำพระมหาสมุทรมีใจรักนักอดทนมิได้จึงตามมาส่งกงจักรแก้วนั้ น้ำนั้นคอยกลบหนทางตามมา แต่ว่าน้ำนั้นมิได้ถูกต้องริมกงจักรแก้วนั้นฯ แก้วแหวนเงินทองทั้งหลายก็มีใจรักกงจักรแก้วนั้นนักหนา จึงชวนกันมาส่งกงจักรแก้วเถิงฝั่งสมุทรข้าง ๑ แลฯ ครั้นว่ากงจักรแก้วขึ้นจากพระมหาสมุทร ๆ นั้นก็เต็มมาดังเก่าแลฯ เมื่อนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชบพิตร ธปราบแผ่นดิเมืองเบื้องตระวันออกอันชื่อว่าบุรพวิเทหะ แลเอาน้ำสมุทรแลตีนเขากำแพงจักรวาลเป็นแดนเมืองฝ่ายข้างตระวันออกแลฯ แลจะใคร่มาปราบแผ่นดินชมพูทวีปอันเราอยู่นี้แลมีพระสมุทรหากเป็นแดนนั้น ธก็เสด็จมาโดยทางอากาศเวหาเล่าแลฯ เมื่อนั้นจึงกงจักรแก้วนั้นหากชักชวนพระองค์เสด็จไปโดยอัมพรากาศ โดยนิยมดังกล่าวมาแต่ก่อนนั้นดุจเดียวแล แล้วจึงมาในแผ่นดินอันเราอยู่นี้แลฯ อันว่าท้าวพระญาทั้งหลายซึ่งอยู่ในแผ่นดินชมพูทวีปนี้ ต่างองค์ก็ต่างมาถวายเครื่องบรรณาการแลไหว้นำคำรพยำเยงแต่บรมมหาจักรพรรดิราช แลมหาจักรพรรดิราชนั้นตรัสสั่งสอนด้วยบุญแลธรรม อันชื่อว่าไชยวาทาสาสน์แล้ว ธก็เสด็จไปยังพระสมุทร แลน้ำในพระสมุทรก็หลีกออกสองข้างให้เป็นทางดังกล่าวมาแล้วแต่ก่อนนั้นฯ อันว่ารี้พลทั้งหลายก็เก็บเอาแก้วแหวนในท้องสมุทรตามใจ เขาปรารถนาเก็บเอาเต็มหอบเต็มพกแล้ว จึงนำไปเถิงกำแพงจักรวาลเองทักษิณแลฯ จึงพระญามหาจักรพรรดิราชจึงเอาน้ำในสุวรรณภิงคารหลั่งลงแล้วดังนี้ แต่นี้เป็นแดนเมืองเป็นอาณาราฐแห่งกูเบื้องทักษิณแล ครั้นว่าแล้วจึงคืนมาโดยหนทางเก่าอันเดินในสมุทรนั้น ครั้นคืนมาน้ำสมุทรก็กลบรอบเต็มงามดังเก่าเล่าแลฯ เมื่อนั้นพระญามหาจักรพรรดิราชนัน้น ธ ปราบแผ่นดินเบื้องตระวันออกแล้ว ๆ มาปราบแผ่นดินอันเราอยู่นี้ กว้างได้ ๑๐๐๐๐ โยชน์ อันชื่อว่าชมพูทวีปแล้วฯ แล้วธ จักใคร่ไปปราบแผ่นดินเบื้องข้างตระวันตก อันกว้างได้ ๑๐๐๐ โยชน์ ชื่อว่าอมรโคยานี อันมีน้ำสมุทรเป็นแดน จึงจากน้ำสมุทรไปหนปัจฉิมทิศ ธ จึงปราบแผ่นดินนั้น แล้ว ธ ก็สั่งสอนท้าวพระญาทั้งหลายนั้นโดยดังกล่าวก่อนนั้นแล้ว ๆ ก็ข้ามสมุทรไปเถิงตีนเขากำแพงจักรวาลฝ่ายข้างปัจฉิมทิศ แล้ว ธ จึงเอาน้ำในคนที่ทองหลั่งลงแล้วฯ ว่าแต่นี้เป็นแดนเมืองกู เป็นอาณาราฐกูดแล แล้ว ธ จึงคืนมาแลฯ แล้ว ธ จะใคร่ไปปราบแผ่นดินเมืองอุตตรกุรุทวีปอันกว้างได้ ๘๐๐๐ โยชน์ อันชื่อว่าอุตตรกุรุทวีปนั้นแล ท้าวพระญามาไหว้นบ ธ แล้ว ธ จึงสั่งสอนท้าวพระญาทั้งหลายเสร็แล้ว ๆ ข้ามน้ำสมุทรไป ๆ เถิงตีนเขากำแพงจักรวาลเบื้องอุตรทิศนั้นแล้ว จึงเอาน้ำในคนทีทองมาหลั่งลงแล ว่าแต่นี้เป็นแดนเมืองกูนี้เป็นอาณาราฐแห่งกูแลฯ แล้วจึงคืนมาโดยทางในกลางสมุทรดังเก่า ครั้น ธ มาแล้วน้ำสมุทรคอยกลบตามมาเต็มงามดังเก่าแลฯ ฝูงท้าวพระญาทั้งหลายอันมีในแผ่นดินเล็กน้อย ๒ พันนั้นเล่า เขาหากมาเองออกหาเอง แลมิพักไปปราบเขาเลยฯ แลกล่าวเถิงแผ่นดิน ๒๐๐๐ นั้นเพราะว่าแผ่นดิน ๒๐๐๐ นั้นเป็นบริวาร แผ่นดินใหญ่ ๔ อันนั้นแลฯ แผ่นดินใหญ่อันหนึ่งแลมีบริวารได้ ๕๐๐ แผ่นดินแล แลสัพพทรัพย์อันมีในแผ่นดินทั้งหลายอันมีในสัพพจักรวาลแล มีอยู่ในน้ำสมุทรทั้ง ๔ อันฯ สมุทรแต่ล้วน ๆ รัศมีพระอาทิตย์ พระจันทร์จะมารส่อนไปย่อมเป็นสมบัติแห่งจักรพรรดิราชแล เมื่อดูมหิมาเพียงดังกงจักรเทียมพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าไตรตรึงษาสวรรค์นั้นแลฯ เมื่อพระญาจักรพรรดิราช ธ ปราบทวีปจักรวาล แล้ว ธ ก็คำนึงในพระหทัยแลมีพระทัยจะใคร่แลดูสทบัต้อันมหิมาของพระองค์ทั้งมวลฯ ครั้งว่า ธ คำนึงดังนั้น อัน่ากงจักรแก้วนั้นดุจดังว่ารู้พระทัยท่าน จึงกงจักรแก้วนั้นก็ผันเหาะพุ่งขึ้นไปเบื้องบนอากาศ แลมีรัศมีดังพระจันทร์พุ่งขึ้นแวดเขาพระสิเนรุราชนั้น ดุจดังพระอาทิตย์สองอันเป็นใต้แผ่นดินขึ้นทั้งมวลนี้เงพุ่งขึ้นไปบนแล ฝูงคนทั้งหลายเห็นเลื่อมใสดูรุ่งเรืองงาม ชนทั้งปวงมุงว่าพระอาทิตย์เป็นสองดวงแลฯ เมื่อพระมหาจักรพรรดิราชเจ้า แลรี้พลทั้งหลายอันมาด้วยพระองค์ดังกล่าวมานั้น ก็ขึ้นไปเถิงบนอากาศด้วยอำนาจแห่งกงจักรแก้วนั้น เขาก็แลเห็นทั่วทุกแห่งทุกตำบลแลเห็นเขาพระสิเนรุราชนั้นอยู่ท่ามกลางแลเขาเห็นแผ่นดินอันใหญ่ แลกว้างอยู่รอบเขาพระสุเมรุทั้ง ๔ ทิศแล้วก็แลเห็นแผ่นดินน้อย ๒๐๐๐ ซึ่งเป็นบริวารแห่งแผ่นดินใหญ่ ๔ ทิศนั้นแล ก็แลเห็นน้ำพระมหาสมุทรทั้ง ๔ อันอยู่ขั้นทุกแดน เห็นแม่น้ำใหญ่แลแม่น้ำน้อยทั้งหลายเห็นยอดภูเขาใหญ่ทุกอัน เห็นป่าใหญ่ทั้ง ๔ แผ่นดินนั้นแล้ว แลเห็นเมืองน้อยแลเมืองใหญ่เมืองรามแลถิ่นถามคามชนบทอันมิรู้จักชื่อนามนั้นจะนับบมิถ้วนได้เลยฯ อนึ่งเล่าเขาเห็นห้วยหนองคลองน้ำบึคงใหญ่บางน้อยท่อธารละหานสระอันมีประทุมกุสุมทุกสิ่งทุกพรรณ มีดอกแลเหง้าขึ้นแลดูตระการนักหนาแลฯ แลกงจักรแล้วนั้นให้พระญามหาจักรพรรดิราชเจ้าทอดพระเนตรแลดูถ้วนทุกสิ่งทุกพรรณแล้วไป แลกงจักรแก้วนั้นจึงนำลงสู่แผ่นดินอันเราอยู่นี้แลฯ ลงมาสู่เมืองที่พระมหาจักรพรรดิราช ธ เสด็จอยู่นั้นแลฯ เมื่อกงจักรแก้วนั้นมาเถิงประตูเรือนหลวงแห่งพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น ก็อยู่เหนือกลางอากาศนั้นบมิต่ำบมิสูงแต่พอประมาณสมควรดีนั้น ที่ฝูงคนทั้งหลายเอาข้าวตอดแลดอกไม้มาไหว้นบคำรพบูชา เมื่อพระญามหาจักรพรรดิราช ธ มาเถิงเรือนหลวงแล้ว ธ จึงตรัสสั่งให้ปลูกมณฑปฝาแก้วอันหนึ่งที่ดีแล้ว แลมีแก้ว ๘ ประการเป็นเครื่องประดับนิ์มณฑปฝาแก้วนั้น แลมีประตูคูหานั้นแล้วด้วยแก้วแลทองรุ่งเรืองงามนักหนา แล้วให้กงจักรแก้วนั้นอยู่ที่นั้น แลให้คนทั้งหลายเอาข้าวตอดดอกไม้มาไหว้นบคำรพบูชากงจักรแก้วนั้นจึงมาอยู่ในมณฑปฝแก้วนั้นฯ อันว่าในปรางค์ปราสาทที่พระญามหาจักรพรรดิราชเาอยู่นั้ ธ มิพักตามประทีปแลชวาลาลาเลย หากสว่างอยู่ด้วยรัศมีแห่งกงจักรแก้วนั้นส่องไปให้รุ่งเรืองทั่วทุกแห่ง แม้นว่ากลางคืนก็ดีเหมือนดังกลางวันแล ผู้ใดแลมีใจจะใคร่ให้มืดไส้ก็มืดไปโดยใจเขาผู้นั้นแลฯ กล่าวเถิงกงจักรแก้วแล้วเท่านี้แลฯ
เมื่อนั้นฝูงลูกเจ้าเหง้าขุนทมุนทนาย จึงให้ปลูกโรงช้างอัน ๑ งามนักหนา หลังคาแลเสานั้นเทียรย่อมแลทองกับด้วยแก้ว ๗ ประการ แล้วจึงทากระแจะจวงจันทน์อันหอมไวั้ในกลางโรงช้างนั้น จึงปูผ้าหลายชั้นเหมือนแท่นทองอันมีในโรงช้างนั้น เบื้องบนดาดด้วยผ้าพิดานมีแก้ว ๕ เป็นคาบดูเรืองทุกแห่ง แล้วจึงใส่บนชัพพนิการย่อมแก้วแกว้งไปแกว่งมางามนักหนาด้วยแก้ว ๗ ประการไส้ แก้วเขาฤๅดูงามดังดาวในเมืองฟ้าเหนือผ้าแลเสื้อนั้น หอมอบแลรมด้วยกระแจะจวงจันทน์ท่านเอาข้าวตอดดอกไม้อันหอมทุกสิ่งมาลาดลงเหนือ ๆ นั้ ท่านกรองเป็นสร้อยผูกย้อยเป็นพู่พวงทั่วกลางโรงช้าง ท่านแสร้งแต่งล้วนแต่ด้วยแก้ว ๗ ประการ แลมีรัศมีเขีวขชาวแดงเหลืองดูรุ่งดูเลื่อมใสในโรงช้างนั้น ท่านใส่ผ้าเขียวผ้าขาวผ้าดำผ้าแดงผ้าเหลืองเรืองด้วยแก้ว ๗ ประการ ยิ่งดูยิ่งเรืองดังวิมานเทวดาในเมืองฟ้าฯ ครั้นเขาแต่งโรงช้างนั้นแล้วเขาจึงทูลบอกแด่พระญามหาจักรพรรดิราชว่า ตูข้าท่านแต่งโรงช้างต้นผู้เป็นเจ้าท่านแล้วสัพพอังเชิญผู้เป็นเจ้าท่านเถิด คราทีนั้นสมเด็จพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น ธ จึงอวยทานรักษาศีลสิ้น ๗ วัน แลคำนึงเถิงบูญ อันกระทำคำนึง เถิงธรรมอัน ธ รู้ดังกล่าวมาแต่ก่อนนั้น แล้ว ธ จึงคำนึงเถิงช้างแก้วอันตัวดีฯ ด้วยเดชบุญพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นแล ฯ อันว่าฝูงช้างแก้วทั้งหลายนั้นอันชื่อฉัททันต์ก็ดี แลฝูงช้างแก้วทั้งหลายอันชื่ออุโบสถตระกูลก็ดี เทียมย่อมตัวใหญ่ตัวสารอันงามขาวดังเดือนเมื่อวันเพ็งบูรณ์นั้น แลมีตีนแดงงามดังตระวันแรกออกแล มีลักษณะเท้า ๙ แห่งดูงามดังแสร้งปั้น มีวงวแดงงามดังดอกบัวแดงอาจไปได้โดยอากาศดังอรหันต์ผู้มีอำนาจแลไปโดยอากาศเร็วนักช้างนั้นสูงงามดังเขาเงิน แลพิษณูกรรมเอาชาติหิงคลาให้งามอันมาก อันดีอันมีลักษณะดังนั้นด้วยบุญพระญามหาจักรพรรดิราช ช้างนั้นหากมาเองโดยอากาศดังราชหงส์ทอง อันชื่อธรรมราช แลบินมายังเมืองพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น ช้าวแก้วนั้นจึงมาเถิงเมืองพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น จึงเข้าไปในโรงทองอันทองอันท่านแต่งไว้ถ้าแลงามนันกหนา จึงมาอยู่เหนือฟูกผ้าอันท่านลาดปูไว้แล้ว ก็ยยืนอยู่เหนือแท่นทองนั้นแล ช้างนั้นรู้เชื่องแลชำนิดีนักหนา ดังช้างเก่าอันสำเรียกเสียกสาร ช้าหึงนานแล้ว แลช้างนี้ดีนักหนาผิมาแต่ฉัททันตตระกูลก็ดี ผิมาแก่อุโบสถตระกูลก็ดี เทียรย่อมตัวดียิ่งกว่าช้างทั้งหลายจึงมรแลฯ คราทีนั้นเขาจึงขึ้นไปไหว้ทูลบอกแต่พระญาจักรพรรดิราชเจ้าแลว่าช้างเผือกผู้ตัวงามมาอยู่ในโรงแล้ว ขออังเชิญท่านผู้เป็นเจ้าเสด็จไปชมช้างเผือกผู้เถิดฯ คราทีนั้นจึงพระมหาจักรพรรดิราช ท่านนั้นจึงเสด็จไปยัโรงแลทอดพระเนตรดูช้าง ๆ นั้นงามนักหนา ฯ พระญา ธ มีใจรักแลยินดีนักหนา ฯ พระองค์จึงยื่นพระหัตถ์ไปลูกคลำช้างแก้ว ๆ นั้นจึงค่อยชะม้อยหัวแล้วก้อมลงเอางาเท้าดินไว้สำคัญว่า ไหว้พระมหาจักรพรรดิราชเจ้า ๆ นั้ ธมีใจจะใคร่ขี่ช้างนั้แลฝูงขุนนางทั้งหลายรู้พระทัยพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น เขาจึงตบแต่งเครื่องประดับนิ์ช้างนั้นให้ทั่วสารพางค์ด้วยสิ่งทั้งหลาย เป็นต้นว่าเงินแลทองแก้วแหวนทั้งหลายแลผ้าอันมีค่าอันควร ผิจะคณนาเงินทืองของแก้วทั้งนั้นบมิได้เลย ดูรุ่งเรืองงามดังดาวในเมืองฟ้าฯ พระญามหาจักรพรรดิราชนั้น ธจึงขึ้นขี่ช้างและธมีพระทัยจะใคร่ไปโดยอากาศ ช้างนั้นจึงเหาะขึ้นไปบนอากาศดังราชหงส์ทองอันเป็นพระญาแก่หงส์ทั้งหลายพระญาหงส์นั้นชื่อพยะญาธรรมราชแลฯ จึงฝูงรี้พลทั้งหลายไปในอากาศด้วยเมื่อไปด้วยกงจักรแก้วนั้นแลฯ องค์พระญาจักรพรรดิราชนั้นงามนัก ดังสมเด็จพระอินทราเมื่อธทรงช้างไอยราวรรณนั้น แลมีหมู่เทพยดาทั้งหลายล้อมเป็นบริวารฯ อันว่าพระญาจักรพรรดิราชเจ้ากดีแลฝูงรี้พลทั้งหลายก็ดี ก็ไปเวียนเขาพระสุเมรุราชแล้วจึงไปเลียบกำแพงจักรวาล แล้วจึงเสด็จกลับคืนมาสู่พระนครที่พระองค์เสด็จอยู่เร็ว แต่เช้าก่อนงายไปแล้วกลับมากินข้าวยังมิทันสายเลยแล หัตถีรัตนวัณณนานิฏ์ฐิตา ฯ
ตโต ถัดนั้น จึงลูกเจ้าเหง้าขุนทมุนทนายเสวกทั้งหลายจึงแต่งโรงม้าอันงามหนักหนา แลประดับนิ์สัพพทกประการดังโรงช้างแก้วอันกล่าวแต่ก่อนนั้นแลฯ ครั้นว่าเขาแห่งสัพพแล้ว เขาจึงไปไหว้ทูลบอกแต่พระญามหาจักรพรรดิราชเจ้าว่า ตูข้าเราทั้งหลายแต่งโรงม้าต้นสำเร็จแล้ว บัดนี้ขอเชิญพระองค์เจ้าเสด็จคำนึงเถิงม้าแก้วอันจะมาด้วยบุญของพระองค์เถิดฯ กาลนั้นจึงพระญาจักรพรรดิราชนั้นธจึงอวยทานแล้วรักษาศีล ๘ ประการแล้วธจึงคำนึงเถิงบุญแลกรรมอันกระทำแลรู้แล้ว จึงคำนึงเถิงม้าแก้วทั้งหลายอันตัวดีตัวประเสริฐกว่าม้าทั้งหลายฯ ครั้นว่าพระองค์ธคำนึงเถิงดังนั้นไส้บัดใจจึงม้าแก้วตัวประเสริฐตัวดีตัวเร็วอันชื่อว่าม้าพลาหกอัสวราชตัวดีกว่าม้าทุกตัว อันเกิดในตระกูลสินธพชาติอันงามดีดังสีเมฆแลหมอกขาว แลมีรุ่งเรืองเขียวดังสายฟ้าแมลบรอบไส้แกมีกีบเท้าทั้ง ๔ แลหน้าผากแดงดังน้ำครั่ง ดูตัวนั้นพิลึกกำยำดังนายช่างหากแสร้งปั้น ดูสันหลังนั้นขาวงามเกลี้ยงเรืองงามดังเดือนแลดูขนหัวนั้นดำเหลื้อมงามดังดำกา เรืองงามดังแก้วอินทนิล แลดูเสฐดำอ่อนชื่นบานดังหญ้าปล้องแลท่านแสร้งเอามาเรียงไว้ดูงามนักหนาฯ แลม้านั้นอาจไปโดยอากาศดุจดังฝูงฤๅษีสิทธิ์ผู้มีศักดิ์แลไปโดยอากาศนั้นแลฯ ด้วยบุญญานุภาพพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นหากให้ชักนำม้าแก้วนั้น มาโดยอากาศแลเห็นเรืองดังหมอกเมฆขาวแลรุ้งเขียวนั้นมาอยู่ในโรงทองที่ท่านกระทำด้วยแก้ว ๗ ประการนั้นเองแลฯ จึงลูกเจ้าเหง้าขุนทั้งหลายเขาจึงมาไหว้ทูลบอกแต่พระญามหาจักรพรรดิราชเจ้าให้ธรู้ ครั้นว่าธรู้แล้วธจึงสั่งให้ประดับประดาม้าแก้วตัวประเสริฐนั้นด้วยเครื่องประดับทั้งหลาย มีอาทิคือใส่กระดึง แลพรวนทองเครื่องสนิมอาภรณ์ช้องหางผ่านหน้าสำหรับประดับอานแก้วแววสะอาดพาดเหนือหลังพระญาพาชีเท้าทั้ง ๔ มีด้วยพรวนทองสอดหูไส้ใส่ปลอกแก้ว แลจึงใส่สร้อยทองในคอเรืองงามดังแสงไฟฟ้าเบื้องหน้าเฉลิมตาบทองคำ แลว่าท่านทำเครื่องประดับทั้ง ๔ กีบนั้น แลเครื่องในตัวม้านั้น เทียรย่อมแต่ล้วนทองแลแก้ว ๗ ประการ ดูเรืองงามยิ่งกว่าเดือนเมื่อเพ็งบูรณ์นั้นแลฯ ครั้นว่าเขาประดับนิ์ม้าต้นนั้นแล้วจึงเอาไปถวาย แก่พระญามหาจักรพรรดิราช ๆ ธจึงึ้นขี่ม้สนั้น ๆ จึงพาพระองค์เหาะไปโดยอากาศกับด้วยรี้พลทั้งหลายฯ ธก็เสด็จไปเลียบกำแพงจักรวาลดุจช้างแก้วแลกงจักรแก้วนั้นแลฯ ครั้นว่าธเลียบแล้วธจึงกลับคืนมาเถิงที่อยู่ธนั้น พอทันกินข้าวงายบมิทันสายเลยแลฯ อัสวรัตนวัณณนานิฎ์ฐิตาฯ
ดัพนั้นจึงลูกเจ้าเหง้าขุนแลโหราจารย์ทั้งหลาย เขาจึงกราบทูลแด่พระญามหาจักรพรรดิราชว่าฉันนี้ ว่าเครื่องสำหรับบุญของพระองค์เจ้าไป่มีถ้วนตก่อน แลขอเชิญพระองค์เจ้าคำนึงเถิงแก้วอันเกิดสำหรับบุญของพระองค์เจ้าก่อนเถิดฯ เมื่อแลเขากราบทูลแก่พระองค์ดังนั้นกาลนั้นจึงพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น ธจึงอวยทานแลรักษาศีล ๘ ประการ ธจึงรำพึงเถิงบุญอันกระทำแลธรรมอันรู้ แลคำนึงเถิงแก้วอันเป็นของแห่งพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้าแต่ก่อนนั้นแลฯ จะกล่าวเถิงแก้วดวง ๑ โดยยาวได้ ๔ ศอกโดยใหญ่เท่าดุมเกวียนใหญ่ สองหัวแก้วนั้นมีดอกบัวทองสอดดอกออกแห่ง มีสายมุกดามากหลายติดในกลางมุกดาแลดอกบัวทองนั้นโสดดูขาวใสงามตั้งอยู่ในกลีบดอกบัวทองนั้นแลฯ แก้วอันเป็นพระญาแก่แก้วทั้งหลายได้ ๘๔,๐๐๐ จำพวกแลแก้วทั้งหลายฝูงนั้น ลางจำพวกเท่าลูกฟัก ลางจำพวกเท่าลูกตาล ลางจำพวกเท่าลูกมะตูม ลางจำพวกเท่าลูกมะนาว ลางจำพวกเท่าลูกมะม่วง ลางจำพวกเท่าลูกมะขามป้อม ลางจำพวกเท่าลูกมะกล่ำ ลางจำพวกยาว ลางจำพวกกลม ลางจำพวกเป็น ๔ เหลี่ยมดูงามนักหนาฯ ลางอันมีพรรณอันแดง ลางอันสีขาวลางอันเขียว ลางอันทราม ลางอันแดงกล่ำ ลางอันหม่น ลางอันก่าน ลางอันเหลืองดูรุ่งเรืองนักหนา เทียรย่อมเข้ามาเฝ้าพระญาแก้วดวงนั้น(ดุจดัง) พระญาหงส์ตัวหนึ่งชื่อพยะญามัททราชแลมีหมู่หงสฺ์ทั้งหลายได้ ๘๔,๐๐๐ มาล้อมรอบเป็นบริวารนั้นแล เมื่อนั้นแก้วอันมีศักดิ์นักหนาแล มีแก้วทั้งหลายเป็นบริวารแก้วนั้นอยู่ในยอดภูเขาอันชื่อพิปุลบรรพตโพ้นไส้ฯ ด้วยบุญแห่งพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น หากไปชั้กไปชวนเอาแก้วดวงนั้นมาแลแก้วนั้นบมิอาจอยู่ในที่อยู่แห่งตนนั้นได้เลยฯ แก้วนั้นจึงเหาะมาโดยอากาศแลมีหมู่แก้วบริวรได้ ๘๔,๐๐๐ ตามกันมาวันนั้น ดูรุ่งเรืองเต็มทั้งอากาศแลฯ อันว่าแก้วจำพวกนี้ต่อว่าเมื่อใดแลมีพระญามหาจักรพรรดิราชไส้ แก้วนั้นจึงมาแข่งด้วยรัศมีแห่งพระจันทร์นั้นทุกเมื่อแลฯ ผิแลว่าเมื่อใดพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น แลสวรรคาไลยแล้วแก้วนั้นจึงคืนไปอยู่ในยอดเขาอันชื่อวิบูลบรรพตนั้นช้าหึงนานนักแลฯ มิได้เปล่งรัศมีออกแข่งด้วยรัศมีแห่งพระจันทร์นั้นเลยฯ เพราะว่าอยู่ถ้าท่านผู้มีบุญที่ท่านจะมาเป็นพระญาจักรพรรดิราชภายหน้าโพ้นแลฯ แลแก้วนั้นจึงมิได้เปล่งรัศมีออกแข่งด้วยพระจันทร์เพื่อดังนั้นแลฯ เมื่อใดมีพระญามหาจักรพรรดิราช ๆ นั้นคำนึงเถิงแก้วนั้น ๆ จึงมาหาพระญามหาจักรพรรดิราชแลเปล่งรัศมีออกแข่งด้วยรัศมีพระจันทร์ แลรัศมีแห่งแก้วนั้น แลเห็นดูรุ่งเรืองงามดังรัศมีพระจันทร์เมื่อวันเพ็งบูรณ์นั้นแลฯ แลมีแก้วทั้งหลายเป็นบริวารล้อมมาทั้ง ๔ ด้าน คือหน้าแลหลังซ้ายขวาตามกันมาโดยอากาศแล้ว ๆ ก็เข้าไปในปราสาทแห่งพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นแลฝูงแก้วบริวารตามล้อมมารุ่งเรืองงามนักหนาเหมือนดาวดารากรอันล้อมพระจันทร์ในเมื่อเพ็งบูรณ์นั้นแลฯ แลพระญาแก้วนั้นก็มาเฝ้าพระญาจัพรกรรดิราชอยู่ดังนั้น จึงพระญามหาจักรพรรดิราชพระองค์นั้นมีพระทัยจะใคร่ลองตะบะของพระญาแก้ว อันชื่อว่ามณีรัตนะนั้น ธจึงให้ทำไม้ลำหนึ่งยาว ๑๖ ศอก แลพอกทอมถามแล้ว ๆ จึงให้ตีตระเคียีวทองใส่พระญาแก้วนั้นแล้วจึงเอาสายทองคำผูกแขวนไว้กับปลายไม้แล้ว ๆ ยกไม้นั้นให้คนถือไปก่อน แล้วจึคงดูเห็นรุ่งเรืองสว่างส่องให้เห็นหนทางทุกแห่ง แม้นมืดทั้ง ๔ ประการก็ดี มืดประการ ๑ คือว่าเดือนดับมืด มืดกลางคืนก็ดี มืดประการ ๑ คือว่าป่าชัด มืดประการ ๑ คือว่ามืดฟ้ามืดฝน มือประการ ๑ คือมืดเที่ยงคืน แม้นว่ามืดทั้ง ๔ ประการดังนี้ก็ดีบมิอาจมืดอยู่ได้เลย ด้วยอำนาจรัศมีพระญาแก้วนั้นก็สว่างให้เห็นทางทั่วทุกแห่งดังลกางวันนั้นแลฯ แลพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นก็เสด็จไปด้วยรี้พลทั้งหลายแลเห็นหนทางรุ่งเรืองใสสว่างดังกลางวัน ฝูงคนที่ทำไร่ไถนาเขาก็ไปทำดังกลางวันนั้นแลฯ คนทั้งหลายที่ซื้อขายก็ไปซื้อชายดังกลางวันนั้นแลฯ คนทั้งหลายที่ช่างถากไม้แลฟันไม้เขาก็ไปถากไม้ฟันไม้เมื่อกลางคืน ได้สัพพการทั้งปวงเหมือนกลางวันแลฯ ฝูงคนกระทำสิ่งใดเขาที่กระทำสิ่งนั้นทุกประการ แม้นกลาคืนก็ดี เหมือนดังกลางวันสิ้นแลฯ แลคนทั้งหลายพึงรู้จักศักดิ์ฤทธิ์ตะบะแห่งพระญาแก้วนั้น เพราะด้วยบุญสมภารแห่งพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นแลฯ ท่านผู้มีบุญดังนี้ได้เสวยราชสมบัติเย็นเนื้อใจนักหนา ฝูงอาณาราษฎรทั้งหลายได้ความสุขสำราญปูนปานดังเทพยดาในสวรรค์นั้นแลฯ มณีรัตนวัณณนาทิฏฐิตา กล่าวเถิงพระญาแก้วอันชื่อว่ามณีรัตนโดยสังเขปแล้วเท่านี้แลฯ
ด้วยเดชบุญท่านผู้ได้เป็นพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น แลว่ายังมีนางแก้วผู้หนึ่งไส้ ลางคาบมีผู้หญิงผู้มีบุญอันได้กระทำมาแต่ก่อน แลนางนั้นมาเกิดในแผ่นดินเราอยู่นี้ ย่อมมาเกิดในเมืองอันชื่อมัททราฐเกิดในตระกูลกษัตริย์ดังทั้งหลายจึงได้กล่าวมาเป็นเมียของพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นแลฯ ผิแลว่าหาผู้หญิงอันมีบุญบมิได้ในแผ่นดินเราอยู่นี้ไส้ อันเพื่อบุญของพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นไปชักนำมา นางแก้วอันมีอยู่ในแผ่นดินอันชื่อว่อุตรนั้นมากับทั้งเครื่องสำหรับสัพพาภรณ์ อันแล้วด้วยแก้วสัตตพิธรัตน แลรุ่งเรืองงามนักหนาแลมาโดยอากาศดุจดังนางฟ้าแลลงมาไหว้มานบพระญามหาจักรพรรดิราชเจ้านั้นแลฯ อันว่านางแก้วนั้นโสดบมิต่ำบมิสูงพองามพอดี สมควรถูกเนื้อจำเริยใจฝูงคนทั้งหลาย แลมีฉวีวรรณเกลาเกลยงหมดใสงามหนักหนา มาตรว่าละอองธุลีผงน้อยหนึ่งจะติดแปดกายนั้นก็บมีเลยดุจดังดอกบัวแลถูกน้ำนั้นแลฯ ในกายแห่งนางแก้วนั้นมีลักษณะอันอุดมถ้วนทุกแห่ง งามเพิงใจคนทั้งหลายทุกคนในเมืองมนุษย์เรานี้แลฯ แต่เท่าว่ามิเท่านางฟ้าเมืองไตรตรึงษาสวรรค์นั้น เพราะเหตุหารัศมีบมิได้แลฯ อันว่านางฟ้าทั้งหลายในสำนักนิ์พระอินทร์มีรัศมีออกจากตัวเขาไกลนัก เมื่อนั้นบุญนางแก้วนั้นมีรัศมีไหลออกจากตัวนางแก้วนั้นได้แล ๑๐ ศอก ทั้งหลายรอบตัวนางนั้ นแม้นว่ามืดเท่าใดก็ดีบมิพักหาเทียนแลชวาลาเลย แลนางแก้วมีพระพักตร์เกลาเกลี้ยงหมดใสงามนักหนา แลเนื้อแลหนังนั้นอ่อนดังสำลีอันพานสพัดได้ละร้อยคาบแลชุบเปรียงประโคจามรีอันใสงามนักหนาฯ เมื่อตัวพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นเย็นแลหนาวไส้ตัวนางแก้วนั้นอุ่น เมื่อใดมหาจักรพรรดิราชนั้นร้อนไส้ตัวนางแก้วนั้นเย็น ตัวนางแก้วนั้นหอมดังแก่นจันทน์กฤษณษอันบดแล้วแลปรุงลงด้วยคันธรสอันหอมทั้ง ๔ ประการแลห้องฟุ้งอยู่นักหนาทุกเมื่อแลฯ เมื่อแลนางแก้วเจรจาก็ดี หัวร่อก็ดี กลิ่นปากนางแก้ว นั้นหอมฟุ้งออกดังกลิ่นดอกบัวอันชื่อว่า นิลุบบล แลจงกลนี เมื่อบานอยู่นั้น อันว่ากลิ่นปากแห่งนางแก้วนี้หอมอยู่ดังนั้นทุกเมื่อแลฯ เมื่อใดแลพระญามาหามาสู่นางแก้ว ๆ นั้นมิได้นั่งอยู่ในที่อยู่ตนนั้นย่อมลุกไปต้อนรับพระญาแล้ว ๆ เอาหมอนทองมานั่งเฝ้าอยู่พัดพระญานั้น ๆ แล้ว ๆ นางจึงนวดฟั้นคั้นบาทาแลกรของพระญานั้นแล้วจึงนั่งอยู่เบื้องต่ำ นางแก้วนั้นบห่อน จะขึ้นนอน เหนือแท่นแก้ว ก่อนพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นเลยสักคาบ นางแก้วนั้นบห่อนลงจากแท่นแก้วนั้นภายหลังพระญาเลยสักคาบฯ แม้นว่านางแก้วนั้นจะกระทำการงานอันใด ๆ ก็ดีย่อมไหว้ทูลแต่พระญานั้นให้ธรู้ก่อน เมื่อใดพระญาสั่งให้นางทำจึงทำ นางนั้นบห่อนละเมิดท่านผู้ป็นผัวเลยสักคาบ กระทำอันใด ๆ ก็ดีย่อมชอบใจผัวทุกประการ ว่ากล่าวอันใด ๆ ก็ดีย่อมพึงพอใจผัวทุกประการแล เท่าแต่พระญาจักรพรรดิราชผู้เดียว แลหากได้เป็นผัวนางไส้ส่วนอันว่าชายผู้อื่นไส้จะได้เป็นผัวนางแก้วนั้นหาบมิได้ฯ อันว่านางแก้วนั้นจักได้เอาใจออกหากพระญานั้นน้อยหนึ่งก็บมีแก่นางเลยฯ อิตถีรัตนวัณณนานิฏฐิตาฯ กล่าวเถิงนางแก้วแล้วเท่านี้ โดยสังเขปแลฯ
กาลนั้นเมื่อฝูงโหราพฤฒาจารย์ทั้งหลาย จึงกราบทูลแต่พระญามหาจักรพรรดิราชว่าดังนี้ อันว่าพระองค์เจ้าได้เป็นมหาจักรพรรดิราชดังนี้ อันว่เครื่องสำหรับบุญแห่งพระองค์ไส้ไปบมิถ้วนสิ่งก่อนเลยฯ จึงพระญามหาจักรพรรดิราชัน้น ธก็ให้ทานรักษาศีลแลรำพึงเถิงขุนคลังผู้จะมาเป็นขุนคลังแห่งพระองค์นั้นฯ เมื่อนั้นยังมีมหาเศรษฐีผู้หนึ่งอันเป็นวงศ์แห่งมหาเศรษฐีผู้ประเสริฐแต่โบราณฯ แลขุนคลังผู้นั้นอาจสามารถจะทำการย์ให้พอใจพระญามหาจักรพรรดิราชทุกประการ ผิว่าพระญาจักรพรรดิราช คำนึงทรัพย์สิ่งสินอันใดแลจะใคร่เอาไส้ แลขุนคลังผู้นั้นอาจสามารถนำมาถวายแด่พระญานั้นได้ทุกประการแลฯ ขุนคลังผู้นั้นจึงเอามาตั้งให้เป็นขุนพระคลังแก้วสำหรับพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นฯ ด้วยอำนาจบุญธรรมของพระองค์นั้นแล จึงขุนพระคลังผู้นั้น ดุจมีตาทิพย์หูทิพย์ ดังเทพยดาในสวรรค์นั้นแลฯ ส่วนอันว่าแก้วแหวนเงินทองทั้งหลาย อันมีในแผ่นดินนี้ก็ดี แม้นว่าอยู่ในสใต้แผ่นดินแลลึกลงไปได้ ๑๖ โยชน์ก็ดี แม้นว่าอยู่ในท้องมหาสมุทรก็ดี แลขุนพระคลังนั้นอาจสามารถแลเห็นทั่วทุกแห่งแลฯ ผิว่าเมื่อใดขุนพระคลังนั้นคำนึงจะใคร่เอาเงินทองแก้วแหวนสิ่งใดก็ดี อันว่าเงินทองแก้วแหวนนั้น หากขึ้นมาสู่ขุนพระคลังนั้นเองแลได้โดยใจขุนพระคลัง ผิว่าขุนพระคลังนั้นจะใคร่ให้เป็นเครื่องสนิมพิมพาภรณ์สิ่งใด ๆ ก็ดี เงินทองแก้วแหวนฝูงนั้นหากเป็นเองโดยใจ ขุนพระคลังนั้นอันคำนึงทุกดประการ แลขุนพระคลังนั้นขึ้นไปทูลแด่พระญาจักรพรรดิราชว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าเป็นนายแลพระองค์เจ้าเสวยสมบัติจงเป็นสุขเย็นใจอย่ามีกังวลในพระทัยของพระองค์เจ้าสักอันเลยฯ ถ้าว่าพระองค์เจ้าจะปรารถาเอาทรัพย์สมบัติเท่าใด ก็ดี เชิญพระองค์เจ้าเรียกเอาแก่ข้าผู้เดียว แลข้าพระพุทธเจ้าผู้เดียวหากจะประกอบมาถวายแด่พระองค์จงทุกประการแลฯ ผิว่าพระองค์เจ้ามีพระทัยจะใคร่ให้รางวัลแก่ข้าไทยของพระองค์ก็ดี ข้าพระพุทธเาจะประกอบมาถวายแด่พระองค์เจ้า ๆ จงประสาทให้ตามพระหฤทัยพระองค์เจ้า ๆ อย่าได้คิดสงสัยเลยฯ ผิพระองค์เจ้าจะใคร่ให้มากน้อยเท่าใด ๆ ก็ดีโดยพระทัยพระองค์เจ้าอย่าคิดเลย เมื่อนั้นขุนพระคลังแก้วแลดูรำพึงนึกในใจว่าจะใคร่เอาสิ่งใด สิ่งนั้นก็พูนเกิดขึ้นมา แลเทียรย่อมเต็มด้วยแก้ว ๗ ประการแลมาเดียรดาษอยู่เต็มทั้งท้องพระคลังหลวงแลฯ จึงขุนพระคลังแก้วนั้นก็กราบทูลแด่พระญามหาจักรพรรดิราชดังนี้ฯ บพิตรข้าแต่พระองค์เจ้าแต่นี้ไปเบื้องหน้าอันว่า แก้วสัตตพิธรัตนอันอุดมดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจะประกอบถวายแด่พระองค์เจ้าทุกเมื่อแลฯ อังเชิญพระองค์เจ้าเร่งให้ทาน แก่ฝูงไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายอย่าได้คิดเสียดายเลย พระองค์เร่งให้ทานตามพระอัชฌาสัยพระองค์เจ้าบัดนี้เถิดฯ เมื่อนั้นพระญามหาจักรพรรดิราชพระองค์ใคร่จะลองเดชตะบะแลศักดานุภาพของขุนพระคลังแก้วอันนั้นไส้ พระองค์ให้แต่งเรือทั้งหลายอันประดับนิ์ด้วยแก้วทั้ง ๗ ประการแล ให้มีปราสาทเงินแลปราสาททองอันประดับนิ์ด้วยแก้ว ๗ ประการทั้งหลาย พระญามหาจักรพรรดิราชจึงเสด็จขึ้นเรือแล้วเสด็จนั่งอยู่ในปราสาทอันมีที่ในเรนือนั้น พระองค์จึงเสด็จออกไปเถิงกลางพระมหาสมุทรนั้น แลมีสำเภาทั้งหลายอันตามเสด็จไปเป็นบริวารวันนั้นได้ ๘๓,๐๐๐ ลำ แลมีเรือเนเรือทองแลสำเภาเภตรา เล่นด้วยนาคราชทั้งหลายในกลางน้ำนั้นฯ กาลวันนั้นพระญามหาจักรพรรดิราช ธจึงตรัสสั่งแก่ขุนพระคลังแก้วนั้นว่าฉันนี้ ดูกรขุนพระคลังแก้วบัดนี้กูมีพระทัยจะใคร่เอาแก้ว ๗ ประการ ขงขุนพระคลังแก้วเร่งหามาให้แก่กูทันใจกูบัดในท่ามกลางพระสมุทรเร็วบัดนี้ เมื่อนั้นจึงขุนพระคลังแก้วก็รับพระโองการว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะประกอบถวายแด่พระองค์ดุจมีพระโองการบัดนี้ ขุนพระคลังแก้วนั้นจึงเล็งลงไปในน้ำพระมหาสมุทรนั้น บัดเดี๋ยวก็พูนเกิดเป็นตุ่มแลไหทั้งหลายนั้นขึ้นมาย่อมเต็มด้วยแก้วแลแหวนเงินทองทั้งหลาผุดขึ้นมาเต็มทั้งแม่น้ำมหาสมุทรนั้นฯ จึงขุนพระคลังก้วนั้นก็เอามาถวายแด่พระญามหาจักรพรรดิราชเจ้า ๆ นั้น ก็ประสาทพรให้เป็นรางวัลแก่ฝูงไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายวันนั้นบมิรู้สิ้นเลย อันว่าขุนพระคลังแก้วแห่งพระญามหาจักรพรรดิราชนี้มีเดชะตะบะศักดานุภาพดังกล่าวมานี้แลฯ คหปติรัตนวัณณนานิฏฐิตา ฯ
อันว่าพระญาผู้เป็นมหาจักรพรรดิราชนั้นย่อมมีลูกชายพันพระองค์ แลมีรูปโฉมอันงามแลย่อมรู้หลักนักปราชญืแกล้วหาญทุกคน ส่วนลูกชายผู้เป็นพี่เอื้อยทั้งหลายนั้นแลรู้หลักยิ่งกว่าทั้งหลาย แลประเสริฐกว่ายิ่งกว่าน้องชายทั้งหลายนั้นแล ด้วยบุญของพระญามหาจักรพรรดิราชนั้น อันธได้ทำมาแต่ก่อนไส้ แลลูกแก้วของพระองค์นั้นอาจสามารถรู้เนื้อรู้ใจคนทั้งหลายคือว่าผู้นี้ดีก็รู้ผู้นี้ร้ายก็รู้ แม้นว่าอยู่ไกลได้ ๑๒ โยชน์ก็ดีอาจสามารถล่วงรู้เนื้อรู้ใจคนทั้งหลายนั้นสิ้นแล อันว่าลูกแก้วแห่งพระองค์นั้นธ จึงกราบทู่ลแพระญามหาจักรพรรดิราชผู้บิดาว่าดังนี้ว่า ข้าแต่สมเด็จพระราชบิดาเจ้าแต่นี้ไปเบื้องหน้า อันว่าความบ้านความเมือง แลราชกิจอันใด ๆ ก็ดี ขออย่าได้เคืองพระราชหฤทัยพระองค์เจ้าเลย จงพระองค์เจ้าอยู่เสวยสุขทุกประการเถิด ส่วนอันว่าความบ้าน ความเมืองกิจการใด ๆ ก็ดี ไว้หนักงานตูข้าทั้ง ๒ หากรู้ว่ารู้แต่งให้จบชอบธรรมทุกอันแลฯ แต่วันนั้นไปพระญามหาจักรพรรดิราช ธหาความกังวลความบ้านความเมืองแลกิจการใด ๆ ก็ดีธมิได้อาวรณ์สักสิ่งเลย พระญามหาจักรพรรดิราชนั้นธมีลูกแก้วอาจต่างเนื้อต่างใดธดังนั้นถ้วน ๗ ประการ โดยสำหรับเครื่องอันเป็นพระญามหาจักรพรรดิราชแลฯ พระญาจักรพรรดิราชนั้น ธ เป็นเจ้าเป็นนายแก่คนทั้งหลายอันมีใจแผ่นดินใหญ่ ๔ แผ่น แลแผ่นดิน้อยทั้งหลาย ๒๐๐๐ อันมีในขอบจักรวาลนี้แลฯ แลท่านนั้นย่อมอยู่ในทศพิธราชธรรมทุกเมื่อแล คนทั้งหลายอันตั้งอยู่ในโอวาทานุสาสน์คำสั่งสอนของพระองค์ไส้ ครั้นว่าตายวายชีพไปก็ได้เกิดในเมืองฟ้าแลฯ ที่ผู้ใดอันใจบาปร้ายนั้น พระญาจักรพรรดิราชเจ้านั้นธบห่อนเจรจาด้วยเลย ตราบใดพระญากรพรรดิราชยังอยู่ไส้ อันว่ากงจักรแก้วนั้นก็ยังอยู่ด้วยตราบนั้นบมิได้เคลื่อนคลาเลย เมื่อใดพระญาจักรพรรดิราชนั้น ธสวรรคตแล้วไส้กงจักรแก้วนั้นจึงคลาดจากที่อยู่ แลกงจักรแก้วนั้นก็คือลงไปในท้องมหาสมุทรโพ้นดังเก่าเล่าแลฯ ด้วยประการทั้งหลาย ๗ ดังนี้ อนึ่งคือว่ายัง ๗ วันพระญามหาจักรพรรดิราชจะทิวงคต อนึ่งคือว่ายังอีก ๗ วันพระญาจะออกทรงผนวช อนึ่งคือว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติ ถ้าแลเมื่อใดแลมีดังนี้ไส้แลกงจักรแก้วนั้นจึงจากพระญาจักรพรรดิราชแล คือไปอยู่ในท้องพระมหาสมุทรดังเก่าเล่าแลฯ เมื่อใดแลเกิดพระญาจักรพรรดิราชเล่าไส้ จึงกงจักรแก้วนั้นคืนมาหาพระญาจักรพรรดิราชองนั้น ดังกล่าวมาแต่ก่อนโพ้นนั้นแลฯ เมื่อใดกงจักรแก้วอันเป็นนายกแก่ฝูงแก้วทั้งหลายนั้นไปจากพระญาจักรพรรดิราชแล้วไส้ อันว่าช้างแก้วอันประเสริฐนั้น คือว่าอุโบสถตระกูลก็ดี แลช้างฉัททันตตระกูลก็ดี แลช้างแก้วแลม้าแก้วตระกูลอันใด ช้างแก้วนั้นก็คืนไปอยู่ที่ตระกูลนั้นดังเก่าเล่าแลฯ ทั้งม้าแก้วนั้นเล่าก็ดี ก็คืนไปอยู่ในพลาหกตระกูลดังเก่าเล่าแลฯ ทั้งแก้วมณีรัตนแลบริวารแก้วทั้งหลายได้ ๘๔๐๐๐ จำพวกนั้นก็ดี ก็คืนไปอยู่ในเขาวิบุลบรรพตนั้นดังเก่าเล่าแลฯ แลนางแก้วก็ดี ผิแลมาแต่อุตรกุรุทวีปไส้ก็คืนไปยังที่อยู่คืออุตรกุรุทวีปโพ้นดังเก่า ผิแลว่านางแก้วนั้นมาเกิดในแผ่นดินที่เราอยู่นี้ก็ดี อันว่ารัศมีที่ออกจากตัวนางนั้นก็หายไปสิ้นแลฯ อยู่เป็นปรกติดังผู้หญิงเราทั้งหลายนี้ฯ อันว่ขุนพระคลังแก้วนั้น แลตานั้นก็มิได้เห็นไปไกลดังก่อนเลย แม้นว่าคำนึงจะใคร่เอาอันใด ๆ ก็โก็มิลุดังใจดุจก่อนนั้นเลยแลฯ ทั้งลูกแก้วพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นก็ดี ก็มิได้รู้หลักเลยแลคำนึงรู้ทุกสิ่งนั้นก็ดี ก็มิได้คำนึงรู้ดังเก่าเลยแลฯ แลว่าลาคาบลูกแก้วพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นแลมีบุญหากได้กระทำมาแต่ก่อนมากนักหนาเล่า แลได้เป็นพระญาจักรพรรดิราชแทนพ่อนั้นก็มี ถ้าแลว่าเป็นแทนพ่อไส้เทียรย่อมรู้บุญรู้ธรรมอันประเสริฐทุกประการดังพ่อนั้นแลฯ เมื่อนั้นจึงพระญาจักรพรรดิราชนั้นธก็ทิพพชงคคตพิธรชะโลมด้วยกระแจะจวงจันทน์ แล้วจึงเอาผ้าขาวอันเนื้อละเอียดนั้นมาตราสังศพพระญาจักรพรรดิราชนั้น แล้วจึงเอาสำลีอันดีดด้วยสพัดได้แลร้อยคาบมาห่อชั้น ๑ แล้วเอาผ้าชาวอันละเอียดมาห่อชั้น ๑ เล่า แล้วเอาสำลีอันละเอียดมาห่อเล่า ดังนั้นนอกผ้าตราสังทั้งหลายเป็นพันชั้นคือว่าห่อผ้า ๕๐๐ ชั้น แลสำลีอันอ่อนนั้นก็ได้ ๕๐๐ ชั้น จึงรดด้วยน้ำหอมอันอบได้แลร้อยคาบแล้วเอาใส่ในโกฐทองอันประดับนิ์คำถมอ แลรจนาด้วยวรรณลวดลายทั้งหลายอันละเอียดนักหนา แล้วจึงยกศพไปสงสักการด้วยแก่นจันทน์ กฤษณาทั้งหลายแล้วบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้ทั้งหลาย ครั้นว่าสงสักการเสร็จแล้วคนทั้งหลาย จึงเก็บเอาธาตุพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นไปบรรจุ แลก่อพระเจดีย์แทบทางคบแห่งกลางเมือง นั้นแต่งให้คีนทั้งหลายไปไหว้นบบูชาฯ ผู้ใดแลได้ไหว้นบคำรพบูชาไส้ ผู้นั้นครั้นตายไปได้เกิดในเมืองฟ้า ดุจดังได้ไหว้พระปัจเจกโพธิเจ้าพระอรหันต์เจ้าไส้อาจให้สมบัติ ๓ ประการ คือมนุษยสมัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติแลฯ ถ้าผู้ใดได้ไหว้บูชาพดระญามหาจักรพรรดิราชไส้ ก็จะให้ได้สมบัติ ๒ ประการ คือมนุษยสมบัติแลสวรรค์สมบัติบมิอาจให้นิพพานสมบัติได้ เพราะเหตุว่าพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นเป็นปุถุชนไส้ฯ แม้นเถิงว่าพระญามหาจักรพรรดิราชองค์ผู้มีบุญแล้วสิปราบได้ทั้ง ๔ แผ่นดินดังนี้ไส้ ยังว่ารู้ถิงแก่ทิวงคตแล้วแลว่ยังมิตั้งอยู่มั่นคงได้ สังสารวัฏนี้เมื่อใดได้เถิงแก่นฤพานแล้วไส้จึงพ้นทุกข์ทั้งหลายในสงสารนี้แลฯ พรรณาเถิงพระยามหาจักรพรรดิราชแล้วแต่เท่านี้แลฯ
อันว่าพระญาจักรพรรดิราชนี้ยังมีจำพวก ๑ เล่าไส้ ยังมีพระญาองค์หนึ่งทรงพระนามชื่อพระญาศรีธรรมาโสกราชธเสวยราชสมบัติในเมืองอันหนึ่งสมญาชื่อว่าปาตลีบุตรมหานคร เมื่อพระญานั้นเสวยราชพระพุทธเจ้าแห่งเราเสด็จเข้าสู่นิพพานแล้วได้ ๒๑๙ พระพรรษา พระญานั้นมีสนมได้ ๑๖๐๐๐ นางผู้เป็นอรรคมเหษีนั้นชื่อว่า นางอสันธมิตตา ครั้นว่าพระญานั้นธได้เสวยราชสมบัติไส้ ฝูงท้าวพระญาทั้งหลายในชมพูทวีปมาไหว้มานบทุกพระองค์ ด้วยบุญพระญามหากษัตริย์นั้นเองฯ มิใช่แต่ว่าท้าวพระญาทั้งหลายหากมาไหว้มานบพระญาองค์นั้นเมื่อไรฯ ทั้งหมู่เทพยดาทั้งหลายแลหมู่สัตว์ทั้งหลายอันอยู่แดนแผ่นดินนี้ลงไปภายใต้แผ่นนี้ลึกลงไปได้โยชน์ ๑ อันอยู่แผ่นนี้ขึ้นไปเบื้องบนได้โยชน์ ๑ เทียรย่อมมาไหว้มาเฝ้ามาแหนบำเรอเชอภักดีพระญาศรีธรรมาโสกราชทุกทิพาราตรีกาลบมิได้ ขาดด้วยบุญพระญาองค์นั้นแลฯ หมู่เทพยดาอันอยู่ในหิมพานต์เทียรย่อมเอาน้ำในอโนตัตสระอันหอมอันใสผ่องดังแก้วผลึกรัตนะเย็นกินหวาานอันมีรสนักหนาเอามาถวายเสมอแล วันละ ๖ กลออมทุกวาร ถวายแด่พระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชนั้นทุกวันฯ พระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชให้เอาน้ำ ๘ กลออมไปถวายแก่พระสงฆ์น้ำ ๒ กลออมไปถวายแก่พระสงฆ์ ๑๖ พระองค์ อันทรงพระปิฎกไตรย น้ำ ๒ กลออมให้แก่นางอสันธมิตตาผู้เป็นอรรคมเหษีฯ แลน้ำ ๒ กลออมไส้ให้แก่นางพระสนมทั้งหลาย ๑๖๐๐๐ ฯ น้ำ ๒ กลออมไส้ไว้เป็นสำหนรับน้ำสรงแลน้ำเสวย พระองค์แต่งดังนั้นทุกวารบมิได้ขาดฯ เทพยดาลางจำพวกเอาเชือกเขาอันชื่อนาคลดาวันนั้นเป็นอันอ่อนแลหอมมาถวายให้เป็นไม้สีพระทนต์ทุกวันฯ แลไม้สีพระทนต์นั้นพระองค์ให้ไปถวายแก่พระสงฆ์แลอัน ๖๐๐๐๐ พระองค์ทุกวาร แล้วธจึงแจกให้แก่พระสนมทั้งหลาย ๑๖๐๐๐ ทุกวาร เทพยดาลางจำพวกเอาผลมะขามป้อมอันมีรสหวานและหอมนักมีพรรณดังทองแลเสวยเป็นยาทิพย์นั้น เอามาแต่ป่าหิมพานต์นั้นมาถวายทุกวารฯ เทพยดาลางจำพวกเอาผลสมออันงามดังทองแลหอมนักแลเสวยเป็นยาทิพย์ แลเอามาแตจ่ป่าหิมพานต์มาถวายแด่พระญาศรีธรราโสกราชทุกวารฯ เทพยดาลางจำพวกเอาผลมะม่วงสุก อันมีพรรณดังทองกินหวานหอมเอามาแต่ป่าหิมพานต์ และเอามาถวายแด่พระญาศรีธรรมาโสกราชทุกวันฯ เทพยดาลางจำลางพวกเอาผ้าทิพย์อันงามนักหนามีพรรณ ๔ สิ่งเอามาแต่ฉัททันตสระ เอามาถวายแด่พระเจ้าศรีธรรมาโสกราชให้นุ่งให้ห่มทุกวารฯ เทพยดาลางจำพวกเอาผ้าเช็ดหน้าทิพย์อันงามมีพรรณ ๕ สิ่ง สีดำสีแดงสีขาวสีเหลืองสีเขียวมาแต่ฉัททันตสระ นำมาถวายพระญาศรีธรรมาโสกราชแต่งให้เช็หน้าแลเนื้อตัวพระองค์ทุกวันฯ อันว่าผ้าทิพย์ฝูงนั้นโสด ถ้าแลว่าแปดเหื่อแลไคแลเก่าหม่นหมองไปไส้บมิพักซักฝาดด้วยน้ำเลย ก่อไฟขึ้นให้ลุกเป็นเปลวแล้วเอาผ้าฝูงนั้นทอดเข้าในเปลวไฟ ๆ บมิไหม้ผ้านั้นเลย เหื่อแลไคซึ่งบันดาติดแปดผ้านั้นหมดสิ้นแล แลดูผ้านั้นใหม่ออกหมดใสงามดีมีพรรณดังผ้าใหม่แลฯ เทพยดาลางจำพวกเอาเกือกทองของทิพย์ อันดีมีพรรณอันงามมาถวายแด่พระญาศรีธรรมาโสกราช แต่งรองฉลองพระบาทท่านแลฯ เทพยดาลางจำพวกเอากาทองทิพย์อันดี มีพรรณคันธอันหอมนักหนามาถวายแด่พระญาศรีธรรมาโสกราช แต่งสรงพระเกษุทุกวันน เทพยดาลงจำพวกเอาอ้อยอันหวานแลหอมแลมีโอชารสอันอุดม แลมีลำเท่าลำหมากเอามาแต่หิมวันต์เป็นกระยาเสวยทุกวันฯ เทพยดาลางจำพวกเอาผลมะพร้าวอันดุดมมาถวายฯ เทพยดาลางจำพวกเอาลูกตาลอันอุดมมาถวายฯ เทพยดาลางจำพวกเอาผลลูกลานมาถวายฯ เทพยดาลางจำพวกเอาผลไม้หว้าอันอุดมมาถวายฯ เทพยดาลางขจำพวกเอาผลไม้ไทรอันอุดมมาทวายฯ เทพยดาลางจำพวกเอาผลกระสังแลหมากหาดอันอุดมมาถวายฯ เทพยดาลางจำพวกเอาชนมอันอุดมมาถวานาฯ เทพยดาลางจำพวกเอาลูกแฟงแตงเต้าอันอุดมมาถวายฯ นกเปล้าแลนกแขกเต้านกคลานกจริง คาบเอารวมข้าวอันชื่อเสญชติสาลิ อันมีในที่ริมฉัททันตสระนั้นมาถวายทุกวันเสมอวันละ ๙๐๐๐ เกวียน แลข้าวนั้นโสดบมิพักตำมิพักฝัดบมิพักร่อนเลย แลฝูงหนูป่าทั้งหายหากมาเกล็ดให้เป็นข้าวสาร แลข้าวสารนั้นโสดแม้นเมล็ดหนึ่งก็ดีบมิได้หักเลย ข้าวนั้นเป็นข้าวต้นเป็นกระยาเสวยแด่สมเด็จพระบาทท้าวศรีธรรมาโสกราชทุกเพราทุกงาน ทั้งผอกทั้งแลงทุกวันทุกคืนบมิขาดสักเามื่อเลยฯ ฝูงผึ้งฝูงบินทั้งหลายหากมาทำรวงแล้วแลไว้น้ำผึ้งในโอ่งในออมเป็นกระยาเสวยทุกเมื่อฯ ฝูงชาวครัวทั้งหลายมิพักยากใจด้วยฟืนด้วยไม้สักอัน แลฝูงหมีทั้งหลายอันอยู่ในป่าหากหั่นฟืนมาส่งแก่ชาวครัวทั้งหลายทุกวัน ด้วยบุญแห่งพระญาศรีธรรมโสกราชนั้นแลฯ อันว่านกทั้งหลายอันมีในป่ามีอาทิ คือนกกรวิก แลนกฝูง แลนกกระเรียน แลนกดุเหว่าทั้งหลาย เทียรย่อมชวนกันมาห้อนรำตีปีกฉีกหาง แลร้องด้วยสัพพสำเนียงอันไพเราะมาถวายแด่พระญาศรีธรรตมาโสกราชทุกวันบมิได้ขาดแลฯ นกฝูงนั้นเทียรย่อมูงนกอันอุดมแลมาแต่ป่าพระหิมพานต์ต์โพ้นไส้ เสียงนกอันชื่อว่านกกรวิกนั้นไส้แลมีเสียงอันไพเราะมาถูกเนื้อพึงใจ แก่ฝูงสัตว์ทั้งหลายยิ่งนักหนา แม้นว่าเสือจะเอาเนื้อไปกินได้เลยแล แม้นว่าเด็กอันท่านไล่ตีแลแล่นหนีครั้นว่าได้ยินเสียงนกนั้นร้องก็ บมิรู้สึกที่จักแล่นหนีได้เลย แลว่านกทั้งหลายอันที่บินไปบนอากาศครั้นว่าได้ยินเสียงนกกรวิกก็บมิรู้สึกที่จะบินไป ปลาในน้ำก็ดีครั้นว่าได้ยินเสียงนกนั้นร้องก็บมิรู้สึกที่ว่าจะายไปได้เลย ว่าเสียงแห่งนกกรวิกนั้นมันเพราะนักหนาแลเป็นฉงนอยู่แลฯ แต่ฝูงสัตว์อยู่เหนือแผ่นดินแลกลางอากาศ ย่อมมากระทำบำเรอมาแต่พระบาทพระเจ้าศรีธรรมโสกราชดังกล่าวมานี้แลฯ ทั้งฝูงเทพยดาอันอยู่ในน้ำพระมหาสมุทรก็ย่อมเอาแก้วแหวนเงินทองทั้งหลายมาถวาย แลฝูงนาคราชทั้งหลาย เอาผ้าอันงามดังดอกชาติบุตร อันบริสุทธิ์บมิได้ระคนด้วยด้ายไทยแล้วด้วยไหมเทศวิเศษดังผ้าทิพย์ เอามาถวายให้ห่มแลแต่งรองพระองค์แลพระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช นาคราชลางจำพวกเอากระแจะจวงจันทน์คนธรส อันประเสริฐอันดีมาถวายทุกเมื่อพระบาท พระเจ้าศรีธรรมาโสกราชนี้ธมีบุญสมภารมากนักหนา ดังกล่าวมานี้แลฯ แลพระญาศรีธรรมาโสกราชนั้นธได้ฟังพระธรรมเทศนา แต่เจ้าไทยพระองค์ ๑ ชื่อว่าเจ้านิเถรนั้นไส้ พระญานั้นธมีใจใสศรัทธาในศาสนาพระพุทธเจ้านักหนา ใจธอ่อนน้อมพระศรัรัตนะไตตรยนั้นนักหนาธแต่งฉันจังหันหกหมื่นสำรับอันพระญาพิมพิศาลราช ผู้เป็นพระบิดาพระญาศรีธรรมาโสกราชแต่งให้บริพาชกทั้งหลาย ๖ หมื่นกินแต่ก่อนมาทุกวัน พระญาาศรีธรรมาโสกราชให้เอามาจากบริพาชกทั้งหลายนั้น ก็เอามาถวายแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย ๖ หมื่นพระองค์ทุกวารแลฯ พระญานั้นธให้ทำมหาวิหารในอุทยานนั้น สร้างเป็นอารามชื่ออสการาม ถวายเป็นสำนักนิ์แก่พระสงฆ์ทั้งหลายแลฯ แต่นั้นไปเมื่อหน้าของสรรพของควายอันเขาทั้งหลายเอามาถวายดี ฝูงเทพยดาทั้งหลายเอามาถวายแต่ป่าหิมวันต์ก็ดี มนุษย์ทั้งหลายเอามาก็ดี สิงสัตว์ทั้งหลายเอามาถวายก็ดี พระญานั้นย่อมเอาไปบูชาแก่พระศรีรัตนไตรยก่อน แล้วจึงให้แก่นางอสันธมิตตาแล้วจึงแจกแก่พระสนม ๑๖๐๐๐ แลจึงแจกแก่เทวราชแล้วจึงแจกแก่ลูกเจ้าลูกขุนทมุนทนายไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายในเมืองนั้นทุกคนฯ กล่าวเถิงเมืองนั้นยังมีกาลวัน ๑ เทพยดาทั้งหลายเอาลำอ้อยอันใหญ่เท่าลำหมากอีกด้วยของฝากหมากไม้ทั้งหลายมากนักหนามาถวายแด่พระญาศรีธรรมาโสกราช แลย่อมเอามาแต่ป่าหิมวันต์ อ้อยฝูงนั้นโสดกินหวานกินอ่อนนักหนา พระองค์ให้บีบอ้อยที้งหลายนั้นอังคาสแก่พระสงฆ์ทั้ง ๖ หมื่นพระองค์ด้วยจังหันวันเมื่อไปฉันในราชมณฑีร เมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายฝฉันแล้ว พระองค์จึงหลั่งน้ำทักษิโณทกแล้ว แลเมื่อพระสงฆ์ไปสู่อารามไส้ พระองค์ตามลงมาส่งพระสงฆ์ทั้งหลายเถิงพื้นอัฒจันท์พระราชมณฑิรนั้นแล ธนมัสการพระสงฆ์ถ้วนทุกพระองค์แล้ว ก็สรรเสริญคุณพระศรีรัตนไตรยแล้วจึงพระองค์เสด็จเข้าไปในพระราชมณฑิรแล ในวันนั้นไส้นางอสันธมิตตาราชเทวีนั้น ครั้นรุ่งเช้านางก็ลุกจากที่นอนแล้วก็ชำระพระองค์แล้วนางจึงแต่งจังหันแล้วข้าวยาคู อีกสรรพาหารแลหมากพลูอันคาสแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย ๖ หมื่นพระองค์ แล้วแลหลั่งน้ำทักษิโณทกแล้วแลไหว้นบคำรพแลนางก็อำลาพระสงฆ์เข้าไปในพระราชมณฑิรน ด้วยบริวารทั้งหลายฯ นางอสันธมิตตานั้นนั่งอยู่บนแท่นแล้วแลเห็นอ้อยที่เทวดาทั้งหลาย เอามาถวายแก่พระญาศรีธรรมาโสกราชนั้น นางจึงไปปอกอ้อยท่อน ๑ แล้วนางจึงเสวยอ้อนนั้นในท่ามกลางฝูงนางทั้งหลาย ๆ เมื่อนั้นพระญาศรีธรรมาโสกราชนั้นลงไปสู่พระสงฆ์ทั้งหลาย แลเดินขึ้นมาแลเสด็จเข้าสู่พระราชมณฑิร พระองค์จึงแลเห็นนางอสันธมิตตานั้นนั่งอยู่เหนือแท่นแลเสวยอ้อยอยู่ ณ ท่ามกลางนางนักสนมทั้งหลาย แลนางนั้นมีรูปโฉมโนมพรรณตระศักดิ์พระองค์มีพระทัยรักยิ่งกว่านางนักสนมทั้งหลาย จึงกล่าวด้วยคำสรรเสริญทรงพระสรวลเล่นตัวคดีว่าฉันนี้ ใครนี้หนอแลมานั่งอยู่แลมากินอ้อยอยู่ในที่ท่ามกลางนางนักสนมทั้งหลาย แลมีหน้าอันงามนักหนา เจ้านั้นจะว่าผู้หญิงหรือว่าระเบงระบำ อันแสร้งแต่งแลงามพ้นแพ่งพรรณ เมื่อดังนั้นพระองค์ยืนอยู่ซึ่งหน้านางนั้น แลกล่าวถ้อยคำหยอกเล่นเท่านี้แลฯ ครั้นว่านางอสันธมิตตาได้ยินพระราชสามีตรัสทักดังนั้นนางก็รำพึงว่าดังนี้ อันว่าพระองค์เจ้ากูนี้เสวยราชย์ แลได้เป็นใหญ่แก่ท้าวพระญาทั้งหลายในชมพูทวีป แต่เหนือแผ่นดินนี้ลงไปเบื้องต่ำได้โยชน์ ๑ แลแต่เหนือแผ่นดินนี้ขึ้นไปเบื้องบนได้โยชน์ ๑ เทพยดาแลครุฑราชนาคราชแลยักษ์คนธัพกินนรกินนร แลวิทยาธรแลหมาผีหมาใน แลราชสีห์แลหมีแลเสือเหลืองเสือโคร่ง ก็มาไหว้มากลายท่านนี้อีกทั้งช้างม้าข้าไทย เสนาพลาพลไพร่มากนักหนาแลมีเงินทองของแก้ว ผ้าผ่อนข้าวน้ำเต็มยุ้งเต็มฉางมากหลายนักหนา แลพระองค์เจ้ากูนี้เสวยราชสมบัติในกลางชมพูทวีปนี้ แลมีหมู่ท้าวพระญาทั้งหลายแลสมณพราหมณาจารย์แลคฤหัสถ์ลูกเจ้าเหง้าขุนทั้งหลายเป็นบริวารดัง พระอินทร์อันอยู่ท่ามกลางฝูงเทพยดาทั้งหลาย แลท่านเสด็จมากลายข้าพระบาทเห็นข้าพระบาทนั่งอยู่แลกินอ้อน แลพระองค์กล่าวถ้อยคำ ดุจมิรู้จักข้าพระบาทเลย แลมากล่าวเยอะไยไพข้าพระบาทเล่นว่ากระนี้หนอแลามานั่งกินอ้อย พระองค์เจ้าดูถูกข้าพระบาทแลว่ากล่าวข้าพระบาทดังนี้เพื่อพระองค์ทรงยศศักดิ์ใหญ่อิศรสมบัติอันมโหฬาร แลว่ากล่าวข้านี้หาบุญบมิได้เลย แลข้านี้ย่อมกินเพราะบุญพระองค์ทุกวันมิคลาแลฯ นางอสันธมิตตารำพึงดังนั้น จึงมีใจอันร้ายแก่พระญาศรีธรรมาโสกราชผู้เป็นภัศดาภร จึงกราบทูลแด่พระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช ว่าฉันนี้มหาราชข้าแต่บพิตร์อันว่า อ้อยนี้บมิพักปลูกพักฝัง อ้อยนี้ หากเป็นเองอยู่ในป่าหิมวันต์ แลเทพยยดาทั้งเอามาถวายด้วยอำนาจบุญข้าพระบาทไส้ ข้าพระบาทจึงกินอ้อยนี้เพราะบุญข้าพระบาทเองแลฯ เมื่อนั้นพระญาศรีธรรมาโสกราชได้ยินคำนางอสันธมิตตากล่าวดังนั้น พระองค์จึงรำพึงในพระทัยดังนี้ นางจึงรำพึงทุกวันว่าตัวนางนี้มีบุญแลว่ากูนี้พึ่งบุญนางมิอย่าแล พระองค์จึงกล่าวแก่นางอสันธมิตตาพระองค์จึงว่าเป็นคำซ้ำแดกเมาะ ว่าประชดให้แก่นางดังนี้ ว่าดูกรเจ้าอสันธมิตตา ผิว่าเทพยดาทั้งหลายเอาอ้อยมาแต่ป่าหิมวันต์ แลมาถวายแก่เจ้าด้วยบุญเจ้าจริงไส้ อันว่าราชสมบัติทั้งหวงอันมีสนสกลชมพูทวีปทั้งปวงนี้ เจ้าว่าเราได้เพราะบุญเจ้าแลฤๅฯ ส่วนว่าบุญเจ้าไส้เจ้ายอขึ้นไปไว้เถิงอักนิฐมหาพรหม ส่วนว่าบุญของเราไส้เจ้าข่มลงไปไว้เถิงมหาอวินรกฯ ผิแลว่าเจ้ามีบุญกว่าเราจริงไส้ก็ดียิ่งนักหนาแลไว้ เราจะลองบุญของเจ้าดูพรุกนี้ และเมื่อเช้าพระสงฆ์เจ้าทั้งหลายจะมาฉันจังหันในพระราชมณฑิร ๖ หมื่นพระองค์ ครั้นพระสงฆ์ทั้งหลายภฤตากริตย์แล้ว เราจะถวายไตรจีวรแต่พระสงฆ์ทั้งหลาย ๖ หมื่นสำรับ จึงถ้วนพระสงฆ์ทั้ง ๖ หมื่นพระองค์นั้น แลพรุกนี้ เมื่อเช้าเจ้าเร่งหาไตรจีวรไว้ให้เราจงได้ ๖ หมื่นสำรับในวันพรุกนี้เช้าเถิดฯ ถ้าว่าเจ้าหาไว้ให้แก่เราได้ดุจดังคำเราว่าดังนี้ เรางจะได้รู้ว่านางมีบุญจริงแลปรากฎบุญนางทั่วทั้งชมพูทวีปนี้จริงแลฯ ถ้าแลว่านางหาให้แแก่เรามิได้ดุจดังคำเราว่านี้ไส้ เราก็จะรู้บุญนางในวันพรุกนี้แล ครั้นว่าพระองค์ตรัสเท่านั้นแล้วก็เสด็จไปจากที่นั้นแลฯ เมื่อนั้นนางอสันธมิตตาครั้นได้ยินพระภัสดาภรกล่าวแก่นางดังนั้น นางก็เร่งเป็นทุกข์นักหนา นางก็คิดในสใจว่าชะรอยพระบาทพระราชนสามีนี้เคียดแก่กูแล้วมิอย่า จึงกล่าวดังนี้แก่กูนางก็คิดเล่าว่าชะรอยพระองค์เจ้าว่ากูเคียดแก่พระองค์ ๆ จึงกล่าวนักหนาดังนี้ ฯ นางอสันธมิตตาก็เป็นทุกข์โศกนักหนา แลหายใจใหญ่แล้วก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาเหนือเขนยทอง แต่ชิพพค่ำเท่าเถิงเที่ยงคืนแลนอนบมิหลับเลยสักน้อย นางอสันธมิตตาเร่งหายใจใหญ่แล้วแลคำนึงในใจดังนี้ แลว่ากูจะได้ไตรจีวรมาแต่ที่ใด แลจะถ้วน ๖ หมื่นสำรับหังหนอฯ วันนั้นไส้เดือนเพ็งบูรณ์วันอุโบสถมีแล ในเมื่อราตรีกาลเที่ยงคืนวันจึงพระจตุโลกบาลทั้ง ๔ ตน ๆ หนึ่งชื่อท้าวกุเวรุราช คนหนึ่งชื่อว่าท้าวธตรฐราช คนหนึ่งชื่อว่าท้าววิรูปักขราช คนหนึ่งชื่อว่าท้าววิรุฬหกราช แลพระจตุโลกบาลทั้ง ๔ ตนนี้ไส้เถิงวันดับก็ดี วันเพ็งก็ดี เดือนขึ้น ๘ ค่ำ เดือนแรม ๘ ค่ำก็ดี ย่อมไปเที่ยวดูคนทั้งหลายอันทำบุญแลทำบาปในแผ่นดินนี้ฯ กล่าวเถิงพระจตุโลกบาล เมื่อนั้นก้าวกุเวรุราชคือองค์พระไพสพมหาราชนั้นธมีหมู่ยักษ์เสนาบดีเป็นบริวาร แลเสร็จไปในยานทิพย์อันดีแต่อาลกมันทาพิมาน อันมีเบื้องอุตตรทิศ แล้วจึงเสด็จมาล่วงทักษิณทิศไส้ฯ พระไพศพมหาราชธคลายผ่านหน้าบัญชรวรราชมณฑิรนางอสันธมิตตานอนอยู่นั้นจึงพระไพศพมหาราชนั้นธได้ยินเสียงนางอสันธมิตตาทอดใจใหญ่อยู่เพราะว่าอยู่ ยังหาผ้าไตรจีวรมิได้ถ้วน ๖ หมื่นสำรับดังคำท่านผู้เป็นสามีกล่าวนั้นฯ และพระไพศพมหาราชนั้นธจึงลงจากยานทิพย์แล้วแลเข้าไปใกล้นางอสันธมิตตาแล้วว่าดังนี้ว่า ดูกรเจ้าอสันธมิตตาแม่เจ้าอย่าได้เป็นทุกข์เป็นโศกเลย เมื่อกำเนิดแต่กอนโพ้นเจ้าไส้ได้ให้ทานผ้าผึ้งแก่พระปัเตยกโพธิเจ้าพระองค์ ๑ บุญของเจ้านั้นยังมากนักหนาแล ด้วยเดชอำนาจบุญเจ้าอันเจ้าได้ถวายผ้าแก่พระปัเตยกโพธิเจ้าแต่ก่อนนั้น ผลบุญนั้นจะได้แก่เจ้าแลจงเจ้ามารับเอาเถิด ครั้นพระไพศพกล่าวแก่นางให้รู้แล้วดังนั้นฯ ึงพระไพศพมหาราช ธจึงเอาประอบแก้วทิพย์อันหนึ่งมา ด้วยฤทธิแห่งธพระไพศพ ๆ จึงเปิดผาประอบแก้วนั้นแล้วธก็ยืนให้แก่นางอสัธมิตตาแลดูผ้าทิพย์ อันมีที่ในประอบแก้วนั้นฯ ครั้นว่าพระไพศพมหาราชส่งประอบแก้วนั้น ให้แก่นางอสันธมิตตาแล้ว ๆ ธก็สั่งสอนนางอสันธมิตาด้วยถ้อยคำว่าดังนี้ ภัท์เท ดูกรเจ้าอสันธมิตตา ผิแลว่าเจ้ามีประโยชน์ด้วยผ้าไส้ เจ้าจึงเผยฝาประอบผ้าทิพย์นี้แล้ว ๆ เจ้าจึงชักเอาผ้าออกจากประอบแก้วนี้เถิด ผ้าทิพย์อยู่ในประอบแก้วนี้แล ผิแลว่าเาจะเอาเท่าใด ๆ ก็ดีบมิรู้สิ้นสุดเลย ผ้าฝูงนี้ไส้แม้นแลว่าจะปรารถนาเอายาวเท่าใดก็ดี ได้ดังใจทุกเมื่อแลฯ พระไพศพมหารากล่าวเท่านั้นแล้วธก็เสด็จขึ้นสู่ยานทิพย์แล้ว ก็เสด็จไปสู่อาลกมันทาพิมานอันเป็นที่อยู่โดยอุดรทิศพระสิเนรุราชบรรพตนั้นแลฯ ครั้นว่ารุ่งขึ้นเมื่อเช้าพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชธก็อังคาสจังหันแก่พระสงฆ์ทั้ง ๖ หมื่นพระองค์ ครั้นว่าภัตตากิจแล้ว จึงพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชธก็บูชาพระสงฆ์เจ้าด้วยธูปแลเทียนข้าวตอกดอกไม้ แลกระแจะจวงจันทน์ทั้งหลายเสร็จแล้ว จึงนางอสันธมิตตาเทวีนางก็เอาข้าวตอกดอกไม้อันเป็นพู่พวงแลผูกปลายห้อยร้อยแลกรองด้วยดีมีพรรณสิ่งต่างกัน อันจะแต่งก้ำปลายห้อยทุกประการไส้เต็มประอบทองอันใหญ่ เอาจ้ำเท่าจันทน์จุรณ อันหอมเทียนธูป นางอสันธมิตตาจึงเอาประอบแก้วอันเต็มด้วยผ้าทิพย์ใส่ในประอบสุวรรณรัตนะอันหนึ่งแล้วจึงให้เอาประอบทองอันอื่น ครอบเหนือนั้นจึงให้สาวใช้ผู้เชื่อใจถือไปด้วย เมื่อนางอสันธมิตตาไปด้วยบริวารทั้งหลาย นางจึงอังคาสจึงหันแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย ๆ ฉันแล้ว นางจึงบูชาพระสงฆ์ด้วยข้าวตอกดอกไม้เทียนธูปประทีปชวาลาธูปจ้ำเท่าจันทน์น้ำมันหอมหมากพลูแล้วนางจึงนั่งอยู่ พระเจ้าธรรมาศรีโสกราชแลฯ กาลนั้นพระญาจึงแลดูหน้านางอสัธมิตตาแล้ว ธนึงกล่าวดังนี้ ดูกรเจ้าอสันธมิตตาเจ้าจงเอาผ้าให้แก่เรา ๖ หมื่นสำรับเร็วบัดนี้ เราจะให้ทาน ครานี้เราจักพึ่งบุญเจ้าแล เราจะถวายเป็นไตรจีวรแก่พระสงฆ์ทั้งหลายจงถ้วน ๖ หมื่นพระองค์แลฯ เมื่อนั้นนางอสันธมิตตาจึงรับพระองค์การด้วยดีแล้ว ก็กราบทูลดังนี้ข้าแต่บพิตรผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจักถวายผ้าแก่พระสงฆ์บัดนี้จงถ้วน ๖ หมื่นสำรับ แลพระเจ้าเร่งอวยทานแก่พระสงฆ์ให้ถ้วน ๖ หมื่นพระองค์ โดยพระหฤทัยแห่งพระองค์เจ้าบัดนี้เถิดฯ ครั้นว่า นางอสันธมิตตากราบทูลแล้ว บมิช้า นางพระญาจึงเผยประอบสุวรรณรัตนอันใส่ประอบแก้วนั้นออก นางจึงเอาประอบแก้วทิพย์นั้นชขูอยู่ด้วยมือข้างซ้าย นางจึงไขฝาประอบแก้วนั้นขึ้นด้วยมือข้างขวาแล้ว แลจึงเอาฝาประอบขวางไว้จึงเอามือข้างขวาชักเอาผ้าทิพย์ออกจากประอบแก้วนั้นแต่ทีละผืน ๆ นั้นพอได้เป็นไตรจีวรแก่พระสงฆ์ พระองค์นางถวายผืนหนึ่งก่อน พระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชจึงรับเอาผ้าผืนหนึ่งก่อนนั้น ถวายแก่เจ้าไทยผู้เป็นพฤฒาาจารย์อันแก่กว่าพระสงฆ์ทั้งหลายนั้นก่อนแล อันว่าผ้านั้นมีพรรณเป็นอันงามประดุจเกิดมาแต่ต้นกัลปพฤกษ์อันมีในอุตรกุรุทวีปนั้นฯ ดัพนั้นนางจึงชักเอาผ้าออกจากประอบแก้วนั้น เอามาถวายแก่พระสงฆ์เจ้าโดยอันดับไปถ้วนพระสงฆ์ทั้ง ๖ หมื่นพระองค์นั้นแลฯ นางอสันธมิตตาเอาผ้าออกจากประอบแก้วดังนั้นก็ดี แลผ้าในประอบแก้วนั้นบมิรู้สิ้นบมิรู้สุดเลย แลผ้าทิพย์นั้นยังเต็มประอบแก้วนั้นอยู่ดังเก่า บมิได้บกพร่องแต่น้อย ๑ เลยฯ พระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชเห็นเป็นมหัศจรรย์ก็ยินดีนักหนา ธก็นั่งอยู่นมัสการแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย ๆ ธจึงให้อนุโมทนาด้วยทานอันพระบาาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชให้นั้น ถ้วนทุกพระองค์ เสร็จแล้วจึงพระสงฆ์ไปจากพระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช ๆ ก็เสด็จลงไปส่ง พระสงฆ์ทั้งหลายเถิงพระตูราชมณเฑียร ไหว้พระสงฆ์เจ้าแล้ว ๆ พระองค์จึงกลับคืนมาส่พระราชมณเฑียรเป็นปรกติดังนั้นบมิขาดฯ ครั้นว่าธคืนมาเถิงในปราสาทแล้ว ๆ ธจึงเจรจาด้วยนางอสันธมิตตาว่าดังนี้ ภัท์เท ดูกรเจ้าอสันธมิตตาผู้เป็นกัลยานีทิพย์แต่วันนี้ไปเมื่อหน้าถิ่นฐานบ้านเมืองปราสาทเรือนหลวงช้างม้าข้าไทย ไพร่พลทั้งผองเงินทองของแก้วแลนางนักสนมทั้งหมื่น ๖ พันร้อยมอบเวณให้แก่เจ้าแลนางจงเป็นเจ้าแก่เขาเถิดฯ อนึ่งแต่วันนี้ไปเมื่อหน้าผิแลว่าเจ้ามีใจจะใคร่ทำการอันใด ๆ กดีไส้จงเจ้ากระทำโดยใจเจ้า พี่จะตามใจเจ้าจงทุกประการแลฯ แต่นั้นไปก็ดีแล อันว่านางอสันธมิตตาผู้เป็นบาทบริจาแห่งพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช ๆ ธให้อนุญาตคดังนั้นก็ดี อันว่านางผู้เป็นบาทบริจานั้นนางก็บมิอาจละเมิดท่านผู้ป็นผัวนั้นแต่น้อย ๑ เลย แม้นว่านางจะทำการอันใด ๆ น้อยหนึ่งก็ดี เทียรย่อมร่ำเรียนแต่พระบาทธผู้เป็นผัวแล้ว แลท่านบัญชาด้วยนาง ๆ จึงกระทำไส้แลอย่าว่ากว่านั้นอื่นเลยฯ พระบาทศรีธรรมาโสกราชไป่บมิเสวยข้าว นางอสันธมิตตาบมิอาจเสวยก่อนฯ แม้นว่าพระบาทบมิได้บันธมไส้นางนั้นก็มิอาจบันธมก่อนเลย เมื่อใดแลพระองค์ผู้ผัวหลับแล้วนางจึงนอน แลแม้นว่านางนอนภายหลังดังนี้ก็ดีนางบห่อนตื่นภายหลังสักคาบเทียรย่อมตื่นก่อนท่านผู้เป็นผัวทุกเมื่อเมื่อแลฯ พระเจ้าอสันธมิตตาผู้นี้แลมีมารยาทแลปรากฎด้วยรู้ด้วยหลักเฉลียวฉลาด คนรักก็หลายทั้งมิตรสหายก็มากรู้เจรจาปราศรัยแลมิเกียจคร้านอุสาหนักหนามักทำบุญให้มีพิจารณาได้ราชาภิเษกด้วยสมเด็จพระบาทในปราสาท แลได้เกป็นใหญ่แก่พระสนมทั้งหลายหมื่น ๖ พันนั้นแลฯ เมื่อนั้นจึงฝูงนางทั้งหลายซึ่งบันดาเป็นเมียรักแก่พระบาทศรีธรรมาโสกราชมาแต่ก่อนนั้น เขาทั้งหลายเห็นว่าพระองค์รักนางอสันธมิตตา ดังนั้นเขาก็ยินร้ายแลมีใจหิงษาเขาจึงเจรจาด้วยกันนี้ อันว่าท่านผู้เป็้นเจ้าเราพระบาท คิดรำพึงในใจท่านว่า นางอสันธมิตตานี้ หากเป็นหญิงคนเดียวไส้ อันจะเป็นผู้หญิงกว่านางอสันธมิตตานี้ชะรอยว่าหาบมิได้เลยฯ เหมือนท่านรำพึงในใจท่านดังนี้บมิอย่าแลท่านจึงบมิดูเราเถิงสองตาเพื่อดังนั้น ฯ อันว่เนื้อความนั้นรู้เถิงพระกรรณสมเด็จพระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกาชฯ นั้นธก็รำพึงในพระทัยว่าดังนี้ อันว่าฝู่งนางทั้งหลายแลเขาว่ากล่าวดังนี้ เขาฝูงนี้เป็นคนพาบนักหนารู้แต่ติเตียนนินทาผู้มีบุญ อันว่าผู้หญิงมีหญิงมีบุญมักใหญ่ ใฝ่อันใดมาหาอันใดมาได้ดังเจ้าอสันธมิตตานี้เขาไป่มิรู้จักว่าผู้มีบุญ ผิดังนั้นมากูจะสำแดงให้เขารู้จักเจ้าอสันธมิตตาว่าผู้มีบุญ เพราะว่าเขานี้ย่อมคนใจพาลแลเขาบมิรู้กฯ กาลวันหนึ่งพระองค์จึบงให้หาขนมต้มได้ ๑๖,๐๐๐ ลูก พระองค์จึงถอดแหวนพระธรรมรงค์ดวง ๑ ออกจากพระกรแห่งพระองค์ ๆ จึงใส่เข้าในขนมนั้นแล้วฯ พระองค์จึงเอาขนาอันที่ใส่แหวนนั้นวางไว้เหนือขนมทั้งหลายนั้น แล้วพระองค์จึงให้เรียกนางทั้ง ๑๖,๐๐๐ มาชุนุกันแล้ว พระองค์จึงตรัสว่าฉันนี้ ดูกรนางทั้งหลายขนมที่ในตระไลทองนั้นลูกใดลูกหนึ่งที่พึงใจสูไส้สูเลือกเอาแลคนละดวง แลถือขนมนั้นอยู่ในมือสู เมื่อใดสูทั้งหลายเอาขนมนั้นแล้วถ้วนทั้ง ๑๖,๐๐๐ แลยังขนมแต่ลูกเดียวไส้กูจึงจะให้แก่เจ้าอสันธมิตตาเอาต่อภายหลังสู่ทั้งหลาย เพราะว่าขนมทั้งหลายทั้ง ๑๖,๐๐๐ แลกับดวงหนึ่งนี้ไส้ กูถอดพระธำมรงค์จากมือกู ๆ เอาใส่ไว้ในขนมนั้นแลกูอธิฐานวว่านางผู้ใดมีบุญไส้จงได้ขนมอันกูใส่แหวนนี้เถิดฯ แลสูทั้งหลายจงอธิฐานในใจสูแล้ว ๆ เลือกเอาคนละดวงโดยชอบใจแห่งสู่เถิดฯ เมื่อนั้นนางทั้งหลาย ๑๖,๐๐๐ นั้นเลือกเอาขนมนี้นตระไลทองละคนละดวงโดยพึงใจเขาสิ้นทั้ง ๑๖,๐๐๐ ดวงแล้ว แลมิอาจเอาขนมดวงที่ใส่แหวนนั้นได้เลย ส่วนว่าขนมดวงเดียวอันที่ใส่แหวนนั้นยังคงอยู่ในตระไลทองนั้น พระองค์จึงให้นางอสันธมิตตาไปเอา นางอสันธมิตตาจึงค่อยลุกไปแลมีดำเนินเป็นอันงาม แลหยิบเอาขนมดวงนั้นมาถืออยู่ในมือนาง พระญาธจึงตรัสแก่นางทั้งหลายว่าสูทั้งหลายนี้มีขนมถืออยู่ในมือสูนั้นสูบิออกดู ผิว่าผู้ใดแลได้แหวนพระธำมรงค์กูใส่เอามาให้แก่กู ๆ จึงจักรู้ว่าผู้นั้นมีบุญจริงแลฯ เมื่อนั้นอันว่านางทั้งหลาย ๑๖,๐๐๐ นั้นต่างคนต่างแบะขนมในมือตนออกทุก ๆ คน ก็มิได้แหวนพระธำมรงค์สักคน พระองค์จึงจับเอาขนมที่ในมือนางอสันธมิตตาพระองค์จึงแบะขนมนั้นออกต่อหน้านางทั้งหลาย แลเตือนให้นางทั้งหลายแลดูพระองค์จึงได้แหวนพระธรรมรงค์ในขนมดวงนั้นต่อหน้านางทั้งหลาย พระองค์เจ้าจึงเจ้าอสันธมิตตานี้มีบุญมากกว่านางทั้งหลายแล สูหากมิรู้ว่านางอสันธมิตตานี้มีบุญได้กระทำมาแต่ก่อน แลสูย่อมกล่าวขวัญกูแลเห็นว่ากูรักนางอสันธมิตตาไส้ แลกูสำแดงบุญนางอสันธมิตตาให้สูรู้ไส้ ครั้นนางอสันธมิตตาได้ยินพระองค์มีพระโองการดังนั้น นางจะใคร่จะแดงบุญแห่งตนซึ่งได้กระทำมาแต่ก่อน นางจึงถือประอบแก้วด้วยมือข้างซ.าย แล้วเอามือข้างขวาชักเอาผ้าทิพย์ ในประอบแก้วนั้นออกได้พันผิน นางจึงเอามาถวายแด่พระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชต่อหน้านางทั้งหลาย ๑๖,๐๐๐ แล้วนางอสันธมิตตาจึงเอาผ้าทืพย์นั้นออกจากประอบแก้วนั้นให้แก่ท้าวพระญาทั้งหลายอันกินบ้านนอกแลคนละ ๕,๐๐๐ ผืน ให้แก่เยาวราชอันต่าง ๆ องค์พระญาแลองค์ละ ๑๐๐ ผืน แลให้แก่ชาวเจ้าราชตระกูลทั้งหลายแลคนละ ๕๐ ผืน ให้แก่นางทั้งหลายอันเป็นเมียพระญาที่กินเมืองบ้านนอกออกแก่นางนั้นแล คนละ ๕๐ ผืน แลให้แก่หมู่มนตรีเสนาบดีคนละ ๕๐ ผืนฯ แลให้แก่พระสนมทั้งหลายได้ หมื่น ๖ พันแลคนละ ๒๕ ผืน แลให้แก่ไพร่ข้าไทยทั้งหลายด้วยกันทั้งหญิงแลชายใหญ่น้อยอันมีในเมืองปาตลีบุตรมหานครนั้นแลคนละ ๒๒ ผืนทั่วทุกคนบมิได้เปล่าเลยสักคนแลฯ เมื่อนั้นพระญาศรีธรรมาโสกราชแลท้าวพระญาสามนตราชตระกูล พระหลวงขุนหมื่นทมุนทนายพลไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลาย อันมาชุมนุมมั่วมู่ลกันแห่งนั้นเห็นนางอสันธมิตตาเอาผ้าทิพย์ออกจากประอบแก้วลูกเดียวนั้นบมิรู้สิ้นบมิรู้สุดดังนั้นคนทั้งหลายเห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนักหนา จึงโห่ร้องส้องสาธุการถวายด้วยเสียงมี่ก้องเสียงร้องเยงชุรงมในวันนั้นดังตลาดเบื้องพื้นได้ยินทั่วทุกสถานแล พระญาศรีธรรมาโสกราชเห็นของอันตระการอันบห่อนมีแลมีดังนั้น พระองค์ยิ่งอัศจรรย์นักหนา แลจะใคร่รู้อำเภอบุญนางอสันธมิตตา อันได้กระทำมาแต่ก่อนนั้น พระองค์ธจึงตรัสถามว่าฉันนี้ ภัท์เท ดูกร เจ้าอสันธมิตตาราชเทวี อันว่าประอบแก้วนี้พี่เห็นเจ้าได้มาแลพแลดูสู้พิศวงแก่ใจพี่เพราะว่าพี่มิรู้แห่งประอบแก้วนี้มาแลฯ ประอบแก้วนี้เจ้าได้มาแต่ใดเชิญเจ้ามา บอกแก่พี่แลพี่จะขอชมบูญเล่าเถิด ฯ เมื่อนั้นนางอสันธมิตตาเมื่อนางจะสำแดงบุญแห่งนางอันได้กระทำมาแต่ก่อน แลนางพระญานั้นจึงกราบทูลดังนี้เทว ข้าแต่บพิตรพุทธเจ้าข้าเมื่อกำเนิดก่อนโพ้นข้าพระบาทได้ถวายผ้าเช็ดหน้า ๑ แก่พระปัเตยกโพธิเจ้าพระองค์หนึ่ง เมื่อข้าได้ถวายผ้านั้นพระไพศพมหาราชเป็นทืพย์พญาณแก่ข้าแลฯ เมื่อวันพระองค์กล่าวแก่ข้าพระเจ้าว่าจะเอาผ้าไตรจีวรก่ข้าจงได้ ๖ หมื่นสำหรับจะถวายแก่พระสงฆ์ ๖๐,๐๐๐ พระองค์นั้นข้าก็หาให้พลันนั้น พระหฤทัยพระองค์เจ้าบมิได้แล ข้าก็เป็นทุกข์โศกนักหนา แลข้านอนกลิ้งเกลือกไปมาเหนือที่นอน เมื่อนั้นพระไพศพมหาราชเจ้าจึงเสด็จมาด้วยยักขเสนาทบดีทั้งหลาย ก็กลายหน้าต่างปรสาสาทราชมณฑิรที่ข้านอนแลได้ยินเสียงข้าหายใจใหญ่ใฝ่หาผ้าจะใคร่ได้ไตรจีวรอยู่ดังนั้น พระไพศพมหาราชธจึงลงจากยานมาใกล้ที่นอนข้าพระบาท จึงพระไพศพมหาราชก็กล่าวแก่ข้าดังนี้ ดูกรเจ้าอสันธมิตตาเทวีอย่ามีทุกข์โศกสักอัน จงเจ้าคำนึงดูเมื่อก่อนเมื่อกำเนิดฑ้นเจ้าสิยังได้อวยทานผ้าเช็ดหน้าผืน ๑ แก่พระปัเตยกโพธิเจ้าพระองค์ ๑ นั้นเลยเจ้าอย่าร้อนใจเลย แลเจ้าจะได้ด้วยผลบุญของเจ้าอันใดอวยทาน แก่พระปัเตยกโพธิเจ้านั้น หากจะให้ได้ผ้าทิพย์แก่เจ้าบัดนี้แลฯ ครั้นพระไพศพกล่าวแล้วธจึงเอาประอบแก้วดวง ๑ มายื่นให้ในมือข้าแลแสสอนข้าดังนี้ ผิแลเจ้ามีประโยชน์ด้วยผ้าเจ้าถือประอบแก้วนี้ด้วยมือข้างซ้าย แลเจ้าถือชายผ้าทิพย์ด้วยมือข้างขาวา แล้วจึงเอาผ้าทิพย์ในประอบแก้วนี้เถิดฯ จำเดิมแต่ข้าได้ประอบแก้วแต่สำนักพระไพศพมหาราชนั้นมาไว้ ผิแลข้าจะปรารถนาเอาผ้าเท่าใด ๆ ก็ดีก็ได้ดังใจข้าใฝ่แลฯ ผิข้าจะใคร่ได้ผ้าขาวก็ได้ผ้าขาวผิช้าจะใคร่ได้ผ้าแดงก็ได้ผ้าแดงโดยใจ ผิข้าจะใคร่ได้ผ้าดำก็ได้ผ้าดำโดยใจผิข้าจะใคร่เอาผ้าเหลืองก็ได้ผ้าเหลืองโดยใจ ผิข้าจะใคร่ได้ผ้าแดงอ่อนก็ได้ผ้าแดงอ่อนโดยใจฯ ผินึกในใจว่าจะใคร่ได้ผ้าพรรณสิ่งใด ๆ ก็ดีก็ได้โดยใจข้าทุกอันแลฯ ผิแลข้าจะใคร่เอาผ้าที่ในประอบแก้วนี้ออกลาดไปให้เต็มทั่วทั้งชมพูทวีปอันกว้างได้ ๑๐,๐๐๐ โยชน์นี้ก็ดีก็จะทั่วทั้งมวลอันจะสิ้นจะสุดในที่ประอบแก้วนี้เลย เพื่ออำนาจผลบุญอันข้าได้อวยทานผ้าเช็ดหน้าผืน ๑ แก่ประปัเตยกโพธิเจ้าแต่ก่อนนั้น แลผลบุญนั้นก็จึงมาได้แก่ข้าในบัดนี้แลฯ นางอสันธมิตตาราชเทวีสำแดงผลบุญนั้นอันได้กระทำแต่ก่อนให้พระญาศรีธรรมาโสกราชฟังดังนั้น แล้วนางอสันธมิตตาจึงสั่นสอนอนุโมทนารพะญาศรีธรรมาโสกราชด้วยคลอดธรรมดังนี้ว่ ข้าแต่พระราชสมภารเจ้า อันว่าฝูงเทพยดาแลมนุษย์ทั้งหลายอันเกิดในโลกนี้ ได้พบพระพุทธเจ้าพระธรรมเจ้าพระสงฆเจ้าไส้ทุกข์นักยากนักหนา แลผู้ใดแลมีปรีชารู้หลักแลขวนขวายทำบุญทำไส้ก็จะได้เถิงพระนวโลกุตรธรรมแลฯ ก็จะพาตนเข้าสู่นครนิพพานตนเป็นข้าแต่ผู้เป็นเจ้า อันว่าคนทั้งหลายนี้จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในเมืองดินนี้ก็ยากนักหนา แลผู้ใดมาเกิดเป็นมนุษย์ดังนั้นโสดแลจะมีใจใสสัทธาแลจะรู้หลักเชื่อบุญเชื่อบาปนั้นก็ยากนักหนาแลฯ อนึ่งโสดผิว่ามีใจใสสัทธาเชื่อบุญเชื่อบาปแลรู้หลักดังนั้นก็ดี แลจะได้ฟังธรรมอันพระพุทธเจ้าบัณฑูรไว้นั้นก็ยากนักหนาไส้ ผิแลว่าได้ฟังธรรมดังนั้นก็โแลจะจำไว้ได้เป็นมั่นคงแล้วและจะยังเทศนาให้ท่านผู้อื่นฟังสืบไปเล่าได้ฟังด้วยดังนั้นก็ดี ยากนักหนาแลคนเป็นข้าแต่ผู้เป็นเจ้า อันว่าเกิดมาเป็นคนแลยากนักหนาดังนั้นก็ผู้เป็นเจ้าก็ยังตรัสรู้แล้ว แลอันว่าเป็นคนแลมีใจในสัทธาในศาสนาพระพุทธเจ้าแลรู้หลักเชื่อบุญเชื่อบาปดังนั้นก็ดี พระองค์เจ้าก็ตรัสรู้แล้ว อันว่ามีใจใสสัทธาแลได้ฟังพระธรรมเทศนาดังนั้นพระองค์เจ้าก็ย่อมตรัสรู้แล้ว อันว่าฟังธรรมแล้วแลจำพระธรรมนั้นแลเทศนาให้ผู้อื่นฟังสืบไปภายภาคหน้าก็ดี พระองค์เจ้าก็ตรัสรู้แล้วแลทั้งนี้ไส้ ย่อมการกระทำยากนักหนาทุกประการ พระองคืเจ้าพร่ำตรัสรู้อยู่ทุกประการแล เหตุดังนี้แลข้าจึงผิดแต่พระองค์เจ้าฯ แต่นี้ไปเมื่อหน้าจงผู้เป็นเจ้าเอาพระองค์เจ้าผู้เป็นเจ้าประกเอบ ในศาสนาพระพุทธเจ้าแลพระองค์เจ้าเร่งสดับนิ์ฟังธรรมจำศีลทำบุญนักหนา ในศาสนาพระพุทธเจ้าเถิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์นั้น อันว่าเราท่านจะได้พบศาสนาพระพุทธเจ้านี้ยากนักหนาแล อันว่าบุญแลธรรมอันได้กระทำในสำนักนิ์พระพุทธเจ้าแลประปัเตยกโพธิเจ้าแลพระอรหันตาขีณาสพเจ้าทั้งหลาย อันว่าผลบุญนั้นมีมากนักหนา ถ้าจะนับจะคณนาไส้บมิถ้วนได้เลยฯ ด้วยการดังนี้แล แต่นี้ไปเบื้องหน้าจงท่านหมั่นทำบุญ หมั่นอวยทานหมั่นสดับนิ์ฟังธรรมจำศีลหมั่นสอนใจอย่าได้เคียดเสพย์ด้วยมิตรสหายผู้ดี แลพระองค์เจ้าอย่ามีความประมาทแก่พระธรรมสักเมื่อเลยฯ ครั้นว่าพระบาทพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชได้ฟังคำนางอสันธมิตตาอนุโมทนาสอนดังนั้น พระองค์ธจึงกล่าวแก่นางพระญาว่าดังนี้ ดูกรเจ้าอสันธมิตตาแต่นี้ไปเมื่อหน้าพี่จะฟังคำเจ้าผิดแลชอบฉันใดก็ดี เจ้าผู้มีบุญกล่วแก่พี่ไส้พี่ก็จะฟังเจ้าทุกอันแลฯ แต่นั้นไปพระญาศรีธรรมาโสกราชผ้มีอำนาจจึงกระทำบุญทำกรรมนั้นนักหนาธให้กระทำพระมหาธาตุได้ ๘๔,๐๐๐ พระองค์กลางชมพูทวีปถ้วนพระนครทุกแห่ง ให้ทำพระวิหารได้ ๘๔,๐๐๐ แลถวายจันหันแก่เจ้าไทย พระสงฆ์ทั้งหลายแลวันละ ๖๐,๐๐๐ สำรับถ้วนพระสงฆ์ทั้งหลายแลวันละ ๖๐,๐๐๐ พระองค์เช้าทุกวารชั่วตนฯ แลกล่าวเถิงยศศักดิ์สมบัติแห่งพระญาศรีธรรมโสกราชผู้เป็นจุลจักรพรรดิราชแง้วแลฯ อันว่ฝูงบุญแลได้เป็นลาภเป็นดีมีราชสมบัติมากนักหนาในแผ่นดินนี้มิเท่าปรกติจักรพรรดิราชแล พลจักรพรรดิราชแห่งหนึ่ง อนึ่งโสดผู้ใดกระทำบุญแลมียศศักดิ์สมบัติยิ่งกว่าพระญจักรพรรดิราชทั้ง ๒ สิ่งนี้ ก็ยังมีดังพระญามันธาตุราชได้เสวยราชในตุมหาทีปกับทั้งเมืองฟ้า อันชื่อว่าจาตุมหาราชิกาแลดาวดึงษาแลยาที่โภคอันดีแลมีนางฟ้าทั้งหลายอันมีรูปโฉมโนมพรรณ์วรรณเนื้อตัวแลหน้าตาเพราพร้อยเฉิดฉายงามนักหนาเป็นบริวารอีกที้งหมู่เทพยดามาไหว้มาคัลจำเริญ อยู่ทุกวารทุกคืนดุจดังขุนนางทั้งหลายอันไผเฝ้าคัลยท้าวพระญานั้น และพรรณาบุญนั้นมิถ้วนได้เลยประเสริฐผู้อยู่ในเมืองท่านแลมีบุญ ดังโชติกเศรษฐีนั้นยังมี
เมื่อนั้นยังมีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อโชติกเศรษฐี แลอยู่ในเมืองราชคฤห์มหานคน แลเศรษฐีนั้นมีปราสาท ๗ ชั้นพรรณย่อมแก้ว ๗ ประการสัตติพิธรัตนะฯ แลพื้นแผ่นดินบ้านนั้นย่อมผลึกรัตนะอันใสแลงามนักหนาดังหน้าแว่นอันท่านขัดสีได้แลพันคาบนั้นแล รอบบ้านนั้นมีกำแพงแก้วล้อมได้ ๗ ชั้นเทียรย่อมแก้วสัตตพิธรัตนะ แลในหว่างกำแพงนั้นมีต้นกัลปพฤกษ์เรียงกันเป็นถ้องแถวไปทุกชั้น มีซึ่งมุมปราสาทนั้นในมุมบ้านนั้นมีขุมทองทั้ง ๔ มุม ขุมทองหนึ่งนั้นกว้างได้ ๘,๐๐๐ วา ขุมทองอันหนึ่งกว้างได้ ๖,๐๐๐ วา ขุมทองหนึ่งกว้างได้ ๔,๐๐๐ วา ขุมทองขุม ๑ กว้างได้ ๒,๐๐๐ วา แลขุมทองทั้ง ๔ ขุมนี้โดยลึกนั้นยินแสน ๔ หมื่นโยชน์แล ขุมทองฝูงนั้นย่อมเต็มด้วย กองเงิน กองทอง กองแก้ว สัตตพิธรัตนะ เต็มปากขุมแลสูงขึ้น ดังท่านกองลูกตาลไว้นั้นแลฯ ผิแลว่าไปตักเอาเท่าใด ๆ ก็ดีบมิรู้บกรู้พร่องเลยาสักคาบ เงินทองแก้วแหวนอันอยู่ใต้นั้นหากพูนขึ้นมาเต็มดีดังเก่า บมิรู้บกรู้พร่องดังน้ำอันไหลออกมานั้นแลฯ แล ๔ มุมปราสาทนั้นมีอ้อยทอง ๔ ลำ ๆ ลำใหญ๋เท่าลำตาลอันใหญ่ แลใบอ้อยนั้นเทียรย่อมแก้วมณีรัตนะแล ข้ออ้อยนั้นเทียรย่อมทอ ในปากประตูกำแพงทั้ง ๗ ชั้นนั้นมียักษ์อันเป็นใหญ่ ๗ ตนอยู่เฝ้าอีกด้วยบริวาร ในปากประตูชั้นนอก มียักษ์ผู้หนึ่ชื่อว่ยมโกลิยักษ์แลมียักษ์บริวรพันหนึ่งอยู่เฝ้าในปากประตูกำแพงแก้วอันเป็นคำรบ ๒ ชั้นนั้นมียักษ์ผู้หนึ่งชื่ออุลลแลมีบริพารยักษ์สองพัน อู่เฝ้าในปากประตูคำรบ ๓ เหมือนนั้นยักษ์ชื่ออมิละยักษ์มีบริวาร ๓,๐๐๐ อยู่เฝ้าฯ ในปากประตูอันเป็นคำรบ ๔ ชั้นมียักษ์ผู้ใหญ่ชื่อวชิระวามยักษ์อีกด้วยบริวาร ๔,๐๐๐ อยู่เฝ้า ในปากประตูกำแพงเป็นคำรบ ๕ ชั้น มียักษ์ผู้ ๑ ผู้ใหญ่ชื่อสกนยักษ์มีบริวาร ๕,๐๐๐ อยู่เฝ้าพยาบาลในปากประตูกำแพงอันเป็นคำรบ ๖ ชั้นนั้นมียักษ์ผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อกตารตยักษ์แลมียักษ์บริวาร ๖,๐๐๐ อยู่เฝ้า ในปากปากประตูกำแพงแก้วอันเป็นคำรบ ๗ ชั้นนั้นมียักษืผู้ใหญ่ผู้หนึ่งชื่อทิสาปาโมกขยักษ์ มียักษ์บริวาร ๗,๐๐๐ อยู่เฝ้าพยาบาล แลสมบัติเศรษฐีนั้นโอฬาริกดังนั้น คนทั้งหลายจึงไปพิดทูลแก่พระเจ้าพิมพิสารราชผู้เสวยราชในเมืองราชคฤห์นครนั้น พระญานั้น ธ จึงให้เอาเศวตรฉัตรมาอ๓เษกมหาเศรษฐี แลนางเมียโชติกมหาเศรษฐีนั้น นางแก้วอันมาแต่อุตรกุรุทวีปเมื่อมาแต่อุตรกุรุทวีปนั้น นางเอาหม้อข้าวแก้วมาด้วยลูกหนึ่ง แลเอาก้อนเส้าเท่าลูกฟักมาด้วย ๓ ก้อนแลแก้วนั้นชื่อโชติปาสาณ แลเอาข้าวสารมาด้วย ๓ ทะนานอันชื่อว่าสัญชาติสาลีนั้น ๒ ทะนานข้าวอันมีคนธรสหอมนักหนา ข้าว ๒ ทะนานหุงให้โชติกเศรษฐีกินรอดชั่วตนข้าวนั้นมิรู้สิ้นเลย ครั้นเอาข้าวสารใส่หม้อแล่งใส่ข้าวสารนั้นก็เต็มมาดังก่อนแล ข้าวสารนั้นบมิรู้สิ้นเลยสักคาบผิจะใส่เต็มร้อยเกวียนก็ดี ข้าวสาร ๒ ทะนานนั้นบมิรู้บกรู้พร่องไปเลยเต็มอยู่ทั้ง ๒ ทะนานนั้นดังก่อนแล เมื่อจะหุงข้าวเอาข้าวสาร ๒ ทะนานนั้นไส่ลงในหม้อแก้วแล้ว จึงตั้งขึ้นเหนือก้อนเส้าแก้วอันชื่อว่าโชติกปาสาณนั้น ครั้นเอาหม้อตั้งขึ้นบัดเดี๋ยวไฟหากลุกขึ้นในก้อนเาแก้วนั้นเอง ครั้นว่าข้าวนั้นสุกไส้ไฟหากดับไปเองแลฯ เมื่อแกงแลทำขนมขต้มของกินอันใด ๆ ก็ดุจเดียว แลฝู่งอันใดปราสาทเหย้าเรือนเศรษฐีนั้นเทียรย่อมรุ่งเรืองด้งแก้วรัศมีแก้วทุกเมื่อแล ไต้ไฟประทีปเทียรแห่งเขานั้นบมิขาดเลย สมบัติเป็นมลากเป็นดีแห่งโชติกเศรษฐ๊นั้นลือชาทั่วแผ่นดินชมพูทวีปนี้ทุกแห่ง แลฝูงมหาชนคนทั้งหลายต่างคนต่างขึ้นยานคานหามจึงมาดูสมบัติแห่งโชติกเศรษฐ๊นั้น ๆ จึงให้หุงข้าว ๒ ทะนานอันเอามาแต่อุตตรกุรุทวีปนั้นให้แก่ฝูงคนทั้งหลายอันที่มาดูเล่นนั้นกินแล จึงไปเอาเครื่องสนิมพาภรณอันเป็นเครื่องประดับนิ์ตนเขานั้น แลเอามาแต่ต้นกัลปพฤกษ์นั้นมาประดับนิ์ให้เขาที่ไปดูนั้นทุกคนแลฯ แล้วเศรษฐีจึงเผยขุมทองอันกว้างได้ ๒ วานั้นให้แลดู แลเศรษฐีจึงว่าคนผู้ใดจะใคร่จะเอาเงินทองแก้วแหวนเท่าใดก็ดี แลให้เก็บเอาโดยใจท่านผู้จะปรารถนาเถิดฯ ฝูงคนทั้งหลายในชมพูทวีปนั้นต่างคนต่างมาตักเอาโกยเอาเงินทองแก้วแหวนที่ในขุสมทองอันเดียวนั้น ๆ บมิรู้บกรู้พร่องเลยสักคาบแล ว่าจะลงประมาณมือหนึ่งบมีแลฯ เมื่อนั้นพระญาพิมพิสารผู้ราชเสวยราชสมบัติในเมืองราชคฤห์นครนั้น แลมีพระทัยจะใคร่เห็นสมบัติ แห่งโติกเศรษฐีนั้น พระองค์จึงเสด็จมาด้วยบริวรทั้งหลายเถิงปากประตูกำแพงแก้วชั้นนอกนั้นก่อนฯ แลข้าหญิงเศรษฐีนั้นแต่งกวาดแผ้วหยากเยื่อเสียนั้นแลมีรูปโฉมเป็นอันงามนัก แลทาสีผู้นั้นก็ยื่นมือไปเพื่อว่าจะให้พระญานั้นหน่วงขึ้นที่ปากประตูนั้นแล พระญานั้นมิทันหน่วงมิทันขึ้นเลย เพราะว่าพระญานั้นเป็นทาสีผู้นั้นงามแลพระองค์ใส่ใจว่าเมียของโชติกเศรษฐี แลพระญานั้นธบมิได้ต้องถือมือแห่งทาสีผู้นั้น เพราะพระองค์เห็นงามทแลขามใจ แลอายบมิยุดมือถือแขนทาสีนั้น แต่หมู่ผู้หญิงทั้งหลายอันอยู่กวาดแผ้วแลเอาหยากเยื่อเสียที่ปากประตูชั้นนอกนั้น้ พระญาเห็นเขานั้นงามทุกคนพระญาย่อมใส่ใจว่าเมียโชติกเศรษฐีสิ้นทั้งนั้น พระญามิอาจจับมือถือแขนเขานั้นสักแต่คนเลยฯ เมื่อนั้นโชติกเศรษฐีนั้นก็มาต้องรับพระญาพิมพิสารราชบพิตรนั้นเถิงปากประตูชั้นนอกปราสาท แลเชิญพระญาไปก่อนเศรษฐีจึงค่อยเดินตามหลังฯ ครั้นว่าพระญาแลยกเท้าย่างเข้าไปในปราสาทนั้นเห็นแก้วมณีรัตนะ อันเป็นพื้นปราสาทนั้นแสงใสรุ่งเรืองตรลอดลงไปเบื้องต่ำนั้น ขุมดุจอันลึกได้ ๗ ชั่วบุรุ าพระญาธจึงคำนึงในพระทัยว่าเศรษฐีนี้ขุดหลุมไว้แลหวังจะให้กูนี้ตกลงบมิหย่าแลพระญาจึงหยุดดูท่าเศรษฐี เศรษฐีแลเห็นพระยาหยุดอยู่ดังนั้น เศรษฐีจึงทูลแด่พระญาว่าข้าแต่พระองค์เจ้าข้าอีนนี้มิใช่หลุม คือว่าแก้วมณษีรัตนะไส้เศรษฐีจึงไปก่อนพระญาแลว่าดังนี้ ขอเชิญพระองค์เจ้าเสด็จมาตามข้าพระบาทนี้เถิดฯ พระญาจึงค่อยเสด็จไปตามหลังเศรษฐีนั้นแลที่ใดที่เศรษฐีเหยียบไส้พระญาจงเหยียบตามไปแล พระญาเดินไปตามเศรษฐีวันนั้นพระญาจึงแลดูปราสาท แต่สถานต่ำเถิงสถานเบื้องบนด้วยประการดังนั้น พระญาอชาตสัตรูผู้เป็นลูกพระญาพิมพิสารก็มาด้วยพระบิดา แลถือปลายมือพระบิดาพระญาผู้เป็นบิดาไปดูปราสาทแก้วอันงามดังนั้น จึงคำนึงแต่ในใจว่าดังนี้ อันว่าพ่อกูนี้เป็นใหญ่ไปจริงดังฤๅ แลเศรษฐีนี้แลมาอยู่ปราสาทแก้วสัตตพิธรัตนะแลผู้เป็นใหญ่ในปราสาทไม่ผิแลวันใดแลกูได้เป็นพระญาไส้ แลกูจะชิงเอาปราสาทนี้แก่กูแลฯ เมื่อนั้นพระญาธจึงขึ้นไปเถิงชั้นนั้น พอยามบ่ายแลพระญาจึงว่าแก่เศรษฐีดังนี้ กูจะกินข้าวในปราสาทมหาเศรษฐี ๆ นั้นจึงว่าสาธุข้ายินดีนักแลฯ เศรษฐีจึงอังเชิญพระญาให้สรงน้ำอันหอมแล้ว อังเชิญพระญานั่งเหนือรัตนะบัลลังก์ทองอันตั้งในบัลลังก์แก้วสัตตพิธรัตนะที่เศรษฐีเคยนั่งให้แก่พระญาธนั่งฯ เมื่อนั้นฝูงชางครัวก็หาข้าวนั้นเอากิลินปายาศ ใส่เต็มตระไลทองอันมีค่าได้แสนตำลึง แลจึงมาตั้งไว้ซึ่งหน้าพระญานั้นฯ ก็ใส่ใจว่าข้าวตัง พระญาจึงล้างมือจักเสวยข้าวปายาศนั้นฯ เศรษฐีแลเห็นพระญาจะเสวยกิลินปายาศอันแต่งไว้รองตระไลข้าวต้นดังนั้น แลเศรษฐีนั้นจึงห้ามพระญาว่าดังนี้ ข้าแต่บพิตรเจ้าข้าวอันนี้มิใช่ข้าวต้น แลข้าวกิลินปายาศต่างหาก ๆ แต่งรองตระไลข้าวต้นไส้ แลพระองค์เจ้าอย่าเพ่อเสวย กิลินปายาศนี้ไส้ไว้แต่งรองดังนี้เพื่อจะใคร่เอาอย่านั้นอย่าให้ข้าวเย็นไส้ เศรษฐีว่าดังนั้นแล้วจึงให้ข้าวต้นอันหุงด้วยข้าวสารอันมาแต่อุตรกุรุทวีปนั้นเต็มตระไลทองอันนึ่งมาตั้งเหนือตระไลข้าวกิลินปายาศนั้น แลจึงอังเชิญให้พระญาธเสวยข้าว พระญานั้นก็เสวยข้าว ข้าวนั้นก็เร่งหอมเร่งอร่อยเร่งมีโอชารสนักหนา แลหารสอันจะเสมอบมิได้เลย กินเท่าใด ๆ บมิรู้อิ่มเลยฯ มหาเศรษฐีแลเห็นพระญาเสวยข้าวนั้นมากนักแล้ว เศรษฐีจึงกราบไหว้พระญาแลขอห้ามดังนี้ ข้าแต่บพิตรเจ้าข้า ๆ เสวยข้าวแต่เท่านั้นเถิดแต่พอบังควรแลพระองค์เจ้าเสวยข้าวนี้มากนักแล้วเหยียวว่าจะเป็นอเชียระแต่พระองค์ เหยียวว่าจะเป็นโทษเพราะอาหารฯ พระญาจึงว่าแก่มหาเศรษฐีดังนี้ มหาเศรษฐีท่านคิดเสียดายข้าวแก่เรา กลัวว่าเราจะกินของท่านไปเปลืองไปหรือ มหาเศรษฐีก็ว่าดังนี้ ข้าพระบาทนี้บมิได้คิดเสียดายแก่พระองค์หาบมิได้ แลจะกลัวเปลืองก็หาบมิได้ แลข้าวข้าหม้อเดียวนี้ แกะข้าหม้อเดียวนี้ แม้นว่ารี้พลบ่าวไพร่ข้าไทยของพระองค์ทั้งหลายจะมากินสักเท่าใด ๆ ก็ดีบมิรู้บกพร่องจากหม้อนี้เลย อันว่าข้าห้ามพระองค์เจ้าไส้ข้ากลัวเหยียวพระองค์จะมีอันเป็น เพื่อเสวยอาหารพ้นประมาณ พระองค์เจ้าเสด็จยังเรือนข้าพระบาทนี้แล้วแลดีไปถ้าพระองค์เจ้าหาอันเป็นบมิได้ก็ดีอยู่ ถ้าแลพระองค์เจ้าแลมีอันเป็นไส้ ไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายจะว่าได้ ว่าพระองค์มีอันเป็นไส้ เพราะไปเรือนเศรษฐี ๆ นี้หากทำร้ายแก่พระองค์เจ้าแลฯ พระญาจึงกล่าวแก่เศรษฐีว่าสาธุดีแล้ว ผิว่าดังนั้นเราจะเสวยแต่เท่านั้นแลฯ พระญาจึงหยุดเสวย ครั้นว่าพระญาหยุดเสวยแล้วไส้ เศรษฐีจึงให้หาข้าวน้ำเลี้ยงลูกเจ้าลูกขุนทมุนทนาย ไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายอันไปด้วยพระญานั้นกินให้ทั่วทุกคน ๆ ทั้งหลายอันไปเป็นบริวารพระญานั้นกินข้าวกินแกงทุกคน ทั้งชาวเมืองทั้งหลายอันที่หากไปเองนั้นก็โ เศรษฐ๊ก็เลี้ยงให้กินทุกคน แต่ข้าวหม้อเดียวนั้นแลกับแกงหม้อเดียวนั้นกินบมิรู้สิ้นสักคาบ ผิว่าตักเอาเท่าใดก็ดีก็ยังเต็มอยู่ดังเดียวแลพระญาจึงถามมหาเศรษฐีว่าเมียของเจ้ายังมีหรือ ฯ เศรษฐีก็ทูลแด่พระญาว่าเมียข้าพระองค์มีแล นางนั้นเป็นนางแก้วมาแต่อุตรกุรุทวีปฯ พระญาก็ถามว่านางแก้วเมียของท่านนั้นอยู่แห่งใด ๆ เศรษฐีจึงขานแก่พระญาว่า ข้าแต่บพิตรนางแก้วนั้นอยู่ในครรภ์ที่นอนภายในปราสาทโพ้นแล พระองค์เจ้ามาเถิงปราสาทข้าดังนี้ก็โ ข้าพระเจ้านี้บมิรู้เพราะว่าข้าพระเจ้านี้อยู่ในสุขสมบัติแลบมิรู้เพื่อดังนั้น แลเศรษฐีนั้นจึงรำพึงในใจว่าเหมือนหนึ่งพระญาใคร่จะเห็นเมียกูแล เศรษฐีก็ว่าข้าจะไปหาเมียข้าพระเจ้านั้นมาให้ไหว้พระองค์บัดนี้ ครั้นว่ากล่าวแล้วก็ลุกไปสู่ครรภ์ที่นอนอันมีในปราสาทที่นางแก้วอยู่นั้น จึงเจนจาด้วยนางแก้วว่าดังนี้ ว่าดูกรเจ้าบัดนี้พระบาทพระเจ้าพิมพิสารราชผู้เป็นพระญาเสวยราช ในเมืองราชคฤหนครมาเถิงปราสาทแห่งเราพี่น้องนี้ แลท่านมานั่งอยู่ที่นั่งพี่ห้องนอกโพ้นแลพี่ให้เสวยข้าวแล้วแลเชิญเจ้าออกไปไหว้ท่านเถิดฯ นางจึงนึกว่าดังนี้พระญาท่านเป็นดังฤๅ แลท่านจะให้ข้าออกไปไหว้ท่านนั้นฯ เศรษฐีก็บอกว่าท่านนั้นเป็นเจ้าเป็นพระญาเสวยราชเมืองนี้ ท่านนั้นเป็นเจ้าแก่เราแลดังฤๅแลว่ามิรู้จักฯ นาวงก็ว่าข้าอยู่ทุกวันนี้ข้าบมิรู้ว่าเรานี้มีเจ้าแล ข้าพึ่งรู้ว่าเรานี้มีเจ้าในวันนี้แล บุญเรามีเพียงนี้แลมีเจ้าดังนี้ชะรอยว่าเราทำบุญแต่ก่อนโพ้น เรานี้บมิได้กระทำด้วยสัทธาอันมิยิ่งแลเราจึงเกิดมาแลมีเจ้าดังนี้ ชื่อว่าเรากระทำบุญด้วยอันยิ่งจริงไส้เราก็หาเจ้าบมิได้แลฯ เจ้าจักได้เป็นเจ้าแก่คนทั้งหลายดังท่านผู้เป็นพระญานี้แลฯ ครั้นว่านางกล่าวนางจึงว่าแก่เศรษฐีแลว่าเมื่อท่านจะให้ข้าไปไหว้ท่านผู้เป็นพระญานี้ ควรจะให้ข้าปฏิบัติเพียงใดจงเจ้ากูได้บอกแก้ข้าฯ เศรษฐีจึงว่าเจ้าไปไหว้ท่านนั้นแลเจ้านั่งอยู่ถือพัชนีวีพัดท่านอยู่เถิดฯ เมื่อนั้นนางจึงค่อยลีลาออกไปแล้ว แลยกมือไหว้พระญาแล้ว ๆ ก็ถือพัดอยู่พัดพระญาเจ้าแลฯ พัดนั้นใบตาลแก้วแลนางถืออยู่พัดพระองค์ดังนั้น ลมพัดออกแลอายธูปอันที่เขาอบผ้าทรงแลโพกพระญานั้นแลมีกลิ่นอันอบไฟนั้นไปต้องตานางแก้ว ตานางแก้วนั้นก็แสบนักหนาแลมีน้ำตานั้นไหลออกมา นางจึงเอาผ้ามาเช็ดน้ำตาเสียฯ พระญาเห็นนางเอาผ้าเช็ดตมานางนั้นพระญาใส่ใจว่านางนั้นร้อยไห้พระญาจึงกล่าวแก่โชฏิกเศรษฐีว่าดังนี้ ดูกรเจ้าโชฏิกเศรษฐีแลนางผู้เป็นเมียเจ้านี้ไป่งามนักหนาแลเห็นกูมาดังนี้ไส้ ใช่เราจะมาชิงเอาสมับัติอันเป็นมลากเป็นดีแห่งเจ้าแลนางจึงร้องไห้ฤๅ ครานี้เรามาไส้แต่ว่าเรามาชมบุญเจ้าไส้ จงเจ้าว่าแก่นางอย่าให้นางร้องไห้เลยฯ เศรษฐีกราบไหว้ทูลแดพระญาว่าดังนี้ตนเป็นข้าผู้เป็นเจ้าแลว่านางบมิได้ร้องไห้ บัดนี้อายรูปอันอบรมเครื่องสนิมอาภรณ์ อันที่พระเจ้าทรงนั้นหากมาต้องตานางข้าผู้เป็นเจ้า เพราะว่าอบด้วยไฟแลแสบตาข้าพระผู้เป็นเจ้าแล น้ำตาข้าท่านตกไส้ เพราะว่าในปราสาทข้านี้ กินอยู่สิ่งใดก็ดีอบรมสิ่งใดก็ดี ย่อมอาศัยแก่รัศมีแก้วมณีรัตนะ บห่อนอาศัยแก่ไฟเลยสักคาบ อันว่าในปราสาทพระองค์เจ้าไส้ย่อมอาศัยแก่รัศมีเพลิงแลฯ ครั้นว่าเสรษฐีกล่าวแล้วเศรษฐ๊จึงว่าดังนี้สืบไปเล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าแต่นี้ไปเมื่อหน้า ข้าจะให้พระองค์ผู้เป็นเจ้าอาศัยแก่รัศมีแก้ว แลข้าบมิให้พระองค์เจ้าอาศัยแก่รัศมีเพลิงเก่าเลยฯ ครั้นเศรษฐ๊พิดทูลแด่พระญาแล้วเศรษฐีจึงเอาแก้วดวงหนึ่งเท่าลูกแตงโมลูกใหญ่ แลคณนาค่าแก้วดวงนั้นบมิได้เลยเศรษฐีจึงควายแด่สมเด็จพระบาทพระเจ้าพิมพิสารราช ๆ เห็นสมบัติแห่งโชติกเศรษฐ๊อันโอฬาริกประเสริฐพ้นประมาณดังนั้น ท้าวธก็มีใจโสมนัสยินดีนักหนา ธจึงจากปราสาทมหาเศรษฐ๊แล้วก็ลีลาคืนมาด้วยยศบริวาร สู่พระราชมณเฑียรแห่งพระองค์ดังเก่าแลฯ เมื่อนั้นพระญาอชาตสัตรุกุมารผู้ลูก (ทูล) พระญาพิมพิสารผู้เป็นบิดาด้วยถ้อยคำว่าดังนี้ สมบัติโอฬาริกแห่งมหาเศรษฐีนั้นบมิควรแก่มหาเศรษฐีอันอยู่อาศัยแก่เมืองเรานี้ ครั้นว่าเราชิงเอาก็เป็นสมบัติของเราผู้เป็นท้าวเป็นพระญาจึงควรไส้ฯ ท้าวพิมพิสารราชผู้เป็นบิดาจึงว่าดังนี้ อันว่าจะชวนต่อพ่อไปชิงเอาสมบัติแห่งโชติกมหาเศรษฐีนั้นบมิชอบในคลองธรรม เพื่อดังฤๅแลพ่อจึงว่าเหตุสมบัตินั้นบมิเกิดด้วยบุญเราพ่อลูกหาไม่ แลสมบัตินั้นเกิดเพราะบุญโชติกมหาเศรษฐี เมื่อมหาเศรษฐีได้กระทำบุญแต่ก่อนแลพระวิษณุกรรม มานิมิตรให้แก่มหาเศรษฐีไส้ แลมิได้ด้วยประการอื่น แลว่าเราจะชิงเอานั้นบมิควรฯ อยู่จำเนียรกาลไปพระญาอชาตสัตรุมาสมาคมด้วยเทวทัต เอาเทวทัตเป็นครู แลเทวทัตนั้นจึงสอนให้ชิงเอาสมบัติแห่งพ่อตนพระญาอชาตสัตรุนั้นก็ชิงเอาราชสมบัติถิ่นฐานบ้านเมือง แต่พ่อตนแล้วจึงฆ่าพ่อด้วยเสีย ครั้นได้ราชสมบัตินั้นแก่ตนแล้ว จึงรำพึงในใจตนว่าฉันนี้ทีนี้ควรกู ไปชิงเอาประสาทแก้วของโชติกมหาเศรษฐี พระญาอชาตสัตรูจึงเอารี้พลไปสะพัดบ้านโชติกมหาเศรษฐี วันนั้นพอเป็นวันศีล มหาเศรษฐีกินข้าวแล้ว แลไปจำศีล ๘ อันอยู่ฟังพระธรรมเทศนา แต่สำนักนิ์พระพุทธเจ้าในพระเวฬุวันพระญาอชาตสัตรุมิรู้ เศรษฐีไปฟังพระธรรม พระญาใส่ไจว่าเศรษฐีอยู่ในปราสาท แลเมื่อพระญาเอารี้พลไปสะพัดนอกกำแพงแก้วชั้นนอกนั้น ช้างม้ารถบทจรทั้งหลายแลเห็นเงาของตนเองในกำแพงแก้วนั้น เขาใส่ใจว่ามีรี้พลอยู่ภายในจะออกมาก่อรบเขา ๆ มีใจกลัวบมิอาจเข้าไปแล ช้างม้าทั้งหลายย่อมเอางาลงปักดิน อยู่แลบมิอาจเข้าไปสู่กำแพงแก้วนั้นได้เลยฯ เมื่อนั้นจึงพระญาอชาตสัตรุเร่งขับรี้พลเข้าไปฯ เมื่อนั้นจึงยักษ์ผู้หนึ่งชื่อยมโกลียักษืแลอยู่เฝ้าประตูกำแพงแก้วชั้นนอกด้วยบริวารพันหนึ่ง ยักษ์นั้นเห็นพระญาอชาตสัตุไปนั้น ยักษ์ผู้นั้นจึงร้องถามว่าเหวยพระญาอชาตสัตรุท่านจะมาเยียใดยมโกลียักษ์แลบริวารทั้งนั้นเขาก็ถือกระบองเหล็กแล้วเขาสำแดง ดังจะตีแล้วเขาตระหวาด เขาก็ไสพระญาอชาตสัตรุแลบริวารทั้งหลายกระจัดกระจายแล่นหนีพรัดพรายกันไปสิ้นฯ พระญาอชาตสัตรุตระหนกตกใจนักหนา จึงแล่นหนีเข้าไปสู่อารามพระพุทธเจ้าด้วยด่วนนักหนาฯ โชฏิกเศรษฐีลุกขึ้นจากที่นั้นแลถามพระญาว่าดังนี้ วันนี้เป็นใดพระองค์ผู้เป็นเจ้ามาด่วนนักหนาปานฉะนี้ฯ พระญาจึงว่าแก่โชฏิกเศรษฐี ๆ ใช้ให้เขาทั้งหลายรบเร้าไล่เรามาแล้ว เศรษฐีก็แล่นมาก่อนเราใส่กลนั่งอยู่ฟังธรรมแลใส่กลว่าบมิรู้ฯ เศรษฐีจึงว่าดังนี้ผู้เป็นเจ้าจะไปชิงเอาปราสาทข้าหรือ ฯ พระญาก็ว่าเราชิงเอาปราสาทเศรษฐีจริงแลฯ เศราฐ๊ก็ว่าดังนี้สมบัติแห่งข้าสิ่งใด ๆ ก็ดีมาตรว่าด้วยชิงเชิงหูกก็ดีแลข้าบมิได้ให้แก่ผู้ใด แลผู้นั้นก็บมิอาจเอาสมบัติข้าได้ฯ พระญาจึงว่าแก่เศรษฐีเจรจาใหญ่ดังว่าตนเป็นพระญาแลฯ เศรษฐ๊ก็ว่าข้ามิใช่พระญาแต่เท่าว่าข้าเชื่อบุญแห่งข้านั้นไส้ สมบัติแห่งข้าบมิได้ให้อย่าว่าท่าวพระญาปานดังพระองค์เจ้านี้ แต่พระองค์เดียวเลย แม้นว่าท้าวพระญาผู้มีศักดานุภาพปานดังผู้เป็นเจ้าท่านนี้ได้พัน ๑ ก็ดี บมิอาจเอาสมบัติแห่งข้านี้ได้เพราะว่าข้าบมิได้ให้ ต่อว่าเมื่อข้าให้จึงเอาได้แลฯ ถ้าว่าผู้เป็นเจ้ามิเชื่อบุญข้าไส้ข้าจะให้ผู้เป็นเจ้าเชื่อบุญข้า อันข้าได้กระทำมาแต่ก่อนโฑ้นมาตรว่าแต่แหวนข้า ๒๐ ดวงนี้ อันมีในมือข้า ๑๐ นิ้วเมื่อข้าบมิได้ให้แด่ผู้เป็นเจ้าฉันใดผู้เป็นเจ้าจะเอาได้อังเชิญท่านถอดเอาโดยใจท่านเถิดฯ เมื่อนั้นพระญาอชาตสัตรู ครั้นว่าได้ยินโชฏิกเศรษฐีกล่าวดังนั้นก็มีใจเดือดฟุ้งนักหนา อุปมาดังนาคราชแลท่านเอาค้อนเหล็กตีที่โคนหางแล พระญานั่งอยู่แลกระหย่อนองค์โลดขึ้นทั้งนั้นก็ดีขึ้นสูงได้ ๑๘ ศอกฯ ลงยืนอยู่กลางแผ่นดินจึงโจนขึ้นอีกที ๑ เล่าโดยสูงได้ ๗๐ ศอก พระญาอชาตสัตรูผู้มีกำลังนักหนาดังนั้น ตระเบงเร่งบิดตนไปมาเบื้องขวา แล้วจึงถอดเอาแหวนในมือโชฏิกเศรษฐีทั้งล้มทั้งลูกกระคุกหัวเข่า เหงื่อหายอายย้อยนักหนาดันั้นก็ดี บมิอาจเอาแหวนนั้นได้แลตระดวงหนึ่งเลยพระญาจึงนั่งอยู่แลฯ เมื่อนั้นโชฏิกเศรษฐีก็ว่าแด่พระญาดังนี้แหวนข้าทั้ง ๒๐ นี้ ทีนี้ข้าให้แด่ผู้เป็นเจ้าแลเชิญผู้เป็นเจ้าเอาภูษามารองรับเอาเถิดฯ เมื่อนั้นพระญาอชาตสัตรุจึงผ้าเช็ดหน้าผืน ๑ ปูลง ณ กลางดนฯ โชฏิกเศรษฐีจึงหยอดมือลงเหนือผ้าเช็ดหน้านั้น เฉพาะซึ่งหน้าพระญาอยู่นั้น บัดเดี๋ยวตระบัดใจแหวนทั้ง ๒๐ ดวงนั้นก็ลอยออกจากนิ้วมือโชฏิกเศรษฐี แลตกลงเหนือผ้าเช็ดหน้านั้นแล โชฏิกเศรษฐีจึงกล่าวแก่พระญาอชาตสัตรุดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้า อันว่าสมบัติแห่งข้าบมิได้ให้ไส้ อาจเอาของข้าบมิได้ดังนี้แล เมื่อใดแลข้าให้ไส้แลจึงได้ของข้าดังนี้ดังผู้เป็้นเจ้าเห็นดังนี้แลฯ ครั้นโชฏิกเศรษฐ๊กล่าวแล้วดังนั้นก็ยืนดูสังเวชแก่ใจตัวแลฯ เศรษฐ๊จึงทูลแด่พระญาว่าข้าพระพุทธเจ้า จะขออำลาพระองค์บวชถวายพระราชกุศลแด่พระองค์เจ้า ๆ จงให้อนุญาตแก่ข้าแลว่าให้ข้าบวชเถิด เศรษฐีทูลลาบวชวันนั้นไส้ฯ พระญาอชาตสัตรุได้ยินพระญาก็ยินดีนักหนาแลคิดในใจว่าปราสาทนั้นจะได้แก่ตน พระญาจึงว่าแก่เศรษฐีดังนี้ ถ้าว่เศรษฐีท่านจะบวชเราก็จะให้อนุญาตแก่ท่าน ๆ จงบวชเถิดฯ เมื่อนั้นจึงโชฏิกเศรษฐีก็โกนเกล้าเข้าบวชในศาสนาพระพุทธเจ้า แล้วก็ลุเถิงอรหัตตผลอำพลด้วยพระปฏิสัมภิทาญาณ แลมีนามอันปรากฎเจ้าโชติกเถรแลฯ ครั้นว่าบวชในพระศาสนาพระพุทธเจ้าแล้วไส้ อันว่าสมบัติทั้งหลายก็หายไปสิ้นแล มีอาทิคือว่านางแก้วอันชื่อว่านางอตุลตายํ เทวีผู้เป็นเมียโชติกเศรษฐีนั้น เทวดาเอาคืนไปสู่แผ่นดินอันชื่ออุตรกุรุทวีปดังเก่าแลฯ ทั้งปราสาท ๗ ชั้นอันแล้วด้วยแก้วสัตตพิธรัตนะก็ดีแลกำแพงแก้ว ๗ ชั้นอันล้อมรอบปราสาทแก้วนั้นก็ดี แลต้นกัลปพฤกษ์อันเรียงกันไปรอบทั้ง ๗ ชั้นนั้นก็ดี แลทั้งขุมเงินขุมทองอันมี ๔ มุมปราสาทนั้นก็ดี ทั้งหม้อข้าวแก้วมณีรัตนะก็ดี อันว่าสมบัติอันเป็นมลากเป็นปีแลเกิดมาด้วยบุญโชติกมหาเศรษฐีนี้ แลสมบัติทั้งมวลนั้นก็จมลงไปในแผ่นดินสิ้นทุกอันแลฯ กล่าวสเถิงโชติกเศรษฐีโดยสังเขปแล้วเท่านี้แลฯ
ฝูงคนทั้งหลายอันเกิดในมนุษย์ได้เป็นมลากเป็นดีมีสรรพทรัพย์แลว่าได้เป็นท้าวเป็ฯพระญา แลท่านผู้เป็นท้าวพระญามหาจักรพรรดิราชนั้นได้กระทำบุญดังฤๅศีลแลทานจึงเป็นมลากเป็นดีดังนั้น แต่บุญทั้งหลาย อันมีในกามภูมินี้ได้ ๑๓๔,๒๘๐ ฉันใด อนึ่งรู้จักบุญแลบาปแลกระทำบุญด้วยใจรักฯ อนึ่งบมิรู้จักบุญแลบาปแท้บมิใจจะมักกระทำบุญฯ อนึ่งรู้จักบุญแลบาปแท้แลใจบมิรู้มักบาปหากกระทำบุญเอง ฯ อนึ่งมิรู้จักบุญแลบาปแท้ หินใจตนก็บมิโสดเพื่อเห็นท่านทำบุญแลกระทำด้วยท่านฯ อนึ่งรู้จักบุญแลบาปแลบมิกระทำบุญ ครั้นว่ามีผู้มาชวนแลมีใจรักหนักหนาจึงกระทำบุญโสดฯ อนึ่งบมิรู้จักบุญแลบาปแท้หินบมิกระทำบุญโสดฯ ครั้นว่ามีคนมาชวนไส้แลมีใจรักนักหนาจึงกระทำบุญโสดฯ อนึ่งรู้จักบุญแลบาปแลบมิกระทำบุญ ครั้นว่ามีคนมาชวนไส้ใจก็บมิมักกระทำบุญสักอันโสด สักอันแล ยังกระทำบุญโสดฯ อนึ่งบมิรู้จักบุญแลบาปสักอันแลยินละอายแก่คำอันท่นมาชวนจึงกระทำบุญฯ บุญทั้งหลาย ๘ จำพวกนี้แล ๑๐ อันโสดฯ อันใดสิ้นหนึ่งบันดาบใจดังกล่าวนี้แล จึงอวยทานมีต้นว่าข้าวน้ำหมากพลูฯ อนึ่งจำศีล ๕ อันก็ดี ๘ อันก็ดี ๑๐ ก็ดีฯ อนึ่งภาวนาเป็นต้นว่าสวดมนต์แลสวดพระพุทงธคุณแลระลึกถึงคุณพ่อแม่เจ้าไทยท่านผู้มีคุณแก่ตนแล ภาวนาอนิจจสังขารแลฯ อนึ่งคณนาบุญญานิสงส์อันได้กระทำแก่เทวดามนุษย์สัตว์ทั้งหลายอันมีคุณแก่ตนฯ อนึ่งอนุโมทนาด้วยทานแห่งท่าน ให้ทนแลกระทำบุญแลมีใจยินดีแลเอาช่วยท่านแล สัทธาด้วยท่านฯ อนึ่งกระทำด้วยกายแลบำเรอแก่พ่อแลแม่ครูบาธยาย แลกวาดวัดปัดแผ้วแผ่นดินที่พระพุทธรูปแลที่สถูปพระเจดีย์พระรีรมหาโพธิฯ อนึ่งกระทำบุญด้วยกายคือว่ายำเยงพ่อแลแม่ผู้เฒ่าผู้แก่แลครูบาอาจารย์ แลมิได้ประมาทท่านสักอันฯ อนึ่งเทศนาธรรมสั่งสอนท่านฯ อนึ่งหมั่นฟังพระธรรมเทศนาอันใดอันตนกระทำบำเพ็งบมิแท้ไส้ หมั่นถามท่านรู้ผู้รู้หลักโสดฯ อนึ่งเอาใจปลงใจเชื่อแก่ดพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์เจ้าไทยผู้ได้เลี้ยงตนด้วยใจอันซื่อตรง ฯ บุญทั้ง ๑๐ จำพวกนี้แลอันมีบุญอันเป็นอารมณ์แล ๖ โสดฯ บุญอันใดอันเป็นอารมณ์สิ้นฯ อนึ่งเห็นอารมณ์เพื่ออันเป็นบุญด้วยตาแลบันดาลใจเป็นอารมณ์แล้วจึงมากระทำบุญฯ อนึ่งได้ยินเสียงอันจะเป็นบุญด้วยเป็นอารมณ์จึงมาทำบุญฯ อนึ่งหอมกลิ่นอันเป็นบุญด้วยจมูกเป็นอารมณ์จึงมากระทำบุญฯ อนึ่งกินอาหารสะอาดเพื่ออันเป็นบุญด้วยลิ้นเป็นอารมณ์จึงมาทำบุญแลให้ทานฯ อนึ่งท่านผู้ใดถือผิด อนึ่งเพื่ออันเป็นบุญด้วยตนเป็นอารมณ์จึงมากระทำบุญฯ อนึ่งหากคำนึงธรรมในใจตนเป็นอารมณ์จึงมาทำบุญฯ บุญทั้ง ๖ จำพวกนี้แลอันมีบุญอันเป็นอธิบดีแล ๔ แล ๔ อันโสด ๆ อนึ่งมีใจเที่ยงแก่บุญจึงกระทำฯ อนึ่งพยายามแก่บุญแลกระทำฯ หนึ่งให้มั่นแก่บุญแลจึงกระทำฯ อนึ่งพิจารณาแก่บุญแลยินดีจึงทำฯ บุญทั้ง ๔ จำพวกนี้แลอัน ๆ มีบุญสุตวาภาพ แล๓ แล ๓ โสดฯ อันใดสิ้นฯ อนึ่งกระทำด้วยตนฯ อนึ่งกระทำบุญด้วยถ้อยคำฯ อนึ่งกระทำบุญด้วยใจฯ บุญทั้งหลายอันนั้นแลอันยังมีแล ๓ โสดฯ อนึ่งเมื่อกระทำบุญจริง แต่เท่าว่ากระทำสเล็กสน้อยฯ อนึ่งกระทำแต่พอปรามฯ แต่ใจอันบังเกิดบุญในกามภูมิได้ ๑๗๓๘๐ ดังนี้ คือว่าให้เอามหากุศล ๘ ตั้งเอาทศบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คูณแล้วเอาอารมณ์ ๖ คูณแล้ว เอาอธิบดี ๔ คูณแล้ว เอากรรม ๓ คือ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมนั้นคูณ แลเอาหินติก ๓ คือหินมัชฌิมปณีตนั้นคูณได้ ๑๗๒๘๐ แลฯ จิตผู้นี้โสดยังมีเจตสิกอันเป็นเพื่อนจิต แต่งมายุยงให้ใจให้กระทำบุญได้ ๓๘ จำพวกคืออันใดสิ้นฯ อนึ่งให้ต้องใจ อนึ่งให้เสวยคือให้ฟังให้ดูฯ อนึ่งให้รู้ อนึ่งให้คำนึงดู อนึ่งให้ถือบุญมั่น อนึ่งให้รักษาเพื่อนใจฝูงนั้น อนึ่งเอาเพื่อนใจฝูงนั้นมาหมัวกันให้จากกัน อนึ่งให้ดำริเถิงบุญ อนึ่งให้พิจารณาบุญ อนึ่งให้จำหุตให้กระทำบุญ อนึ่งให้พยายามกระทำบุญ อนึ่งให้ชื่นชมกระทำบุญ อนึ่งให้ใจเที่ยงแก่บุญ อนึ่งให้สัทธาแก่บุญ อนึ่งบมิให้ลืมแก่บุญ อนึ่งให้ละอายแก่บาปแลกระทำบุญ อนึ่งให้กลัวแก่บาปแลกระทำบุญ อนึ่งบมิให้โลภอันจะห้ามบุญ อนึ่งบมิให้เคียดอันจะเสียบุญ อนึ่งให้ใจเคียดประกลาย อนึ่งให้ตนเบาแก่บุญ อนึ่งให้ใจเบาแก่บุญ อนึ่งให้ตนพลันแก่บุญ อนึ่งให้ใจพลันแก่บุญ อนึ่งให้ตนอ่อนแก่บุญ อนึ่งให้ใจอ่อนแก่บุญ อนึ่งให้ตนด่วนแก่บุญ อนึ่งให้ใจด่วนแก่บุญ อนึ่งให้ตนบาหนดอ่อนแก่บุญ อนึ่งให้ใจลำอุดแก่บุญ อนึงให้ตนซื่อแก่บุญ อนึ่งให้ใจซ์อแก่บุญ อนึ่งให้กล่าวอันซื่อ อนึ่งให้กระทำเนียรโทษ อนึ่งให้กินอาหารเนียรโทษ อนึ่งให้เอ็นดูสัตว์ทั้งหลาย อนึ่งให้ใจอ่อนแก่สัตว์ทั้งหลาย อนึ่งให้มีปรีชาฯ ผสมทั้งปวงได้ ๓๘ จำพวกนี้ย่อมเป็นเพื่อนใจ บุญทั้งหลายนี้ใช่แต่เมืองมนุษย์ยภูมิกระทำแลฯ ได้บุญในแผ่นดินนี้ทั้งฝูงเทพยดาอันอยู่ในฉกามาพจรภูมิก็ดี ก็ย่อมกระทำบุญฝูงนี้แลจึงได้เป็นพระอินทร์เทวดาในเมืองฟ้าไส้ฯ บุญฝูงนั้นให้ได้สมบัติเป็นมลากเป็นดีในกามโลกย์นี้ได้ไส้ อาจให้ได้สมบัติในพรหมโลกย์นั้นก็จะกล่าวภายหน้าโพ้น อันกล่าวมาแล้วนี้ย่อมกามาพจรกุศลแล ฯ
จะกล่าวเถิงมนุษย์ทั้งหลายแรกมาเอาปฏิสนธิในท้องแม่ชื่อว่าชลามพุชโยนินั้น อันจะเกิดรูป ๒๘ ครรภทีเดียวดุจอุปปาติกนิกนั้น เป็นต้นว่า มนุษย์อันเกิดในนรกภูมินั้น อันมีรูป ๒๘ นั้นโดยอันเกิดโดยอันดับดังกล่าวนั้นแลฯ อันว่ารูป ๒๘ นั้นมีรูปเปํนอันองค์อีกได้ ๕๓ ผสมมาทั้งมูล ๘๑ นั้น รูปฝูงนั้นยังมีชีวิตอันแต่งเลี้ยงเนื้อเลี้ยงตนอยู่ ๗ แห่งนั้น คือแห่งใดสิ้นฯ ชีวิตอันหนึ่งอยู่ในจักษุนั้นแต่งให้รู้ดู ฯ ชีวิตอันหนึ่งอยู่ในกายแต่งให้รู้อันยินอันเจ็บอันปวดฯ ชีวิตอันหนึ่งอยู่ในภาวแต่งให้รู้รสกามตัณหา ชีวิตอันหนึ่งอยู่ในหัวใจแต่งให้รู้รำพึงคำนึงมีทุกอันแลฯ อันว่าฝูงผู้หญิงทั้งหลายทั้งปวงแลมีครรภไส้ย่อมมีด้วยประการ ๗ สิ่งฯ อันใดสิ้น อนึ่งชื่อกายสังสัคคคัพภนั้น อนึ่งชื่อว่าโปลนคัพภ อนึ่งชื่อว่าอโลฉปานคัพภ อนึ่งชื่อว่านาภีปรามาสนคัพภ อนึ่งชื่อว่าสัททคัพภ อนึ่งชื่อว่าคันธคัพภ อนึ่งชื่อว่าสัททนคัพภ แลคัพภทั้งหลาย ๗ ประการ ประการ ๑ ดังนี้แลฯ อันว่ากายสังสัคคคัพภนั้น คือเมื่อแรกบังเกิดมีครรภในขณะเมื่อบุรุษสมาคมด้วยนั้นแลฯ อันว่าโปลนคัพภนั้นคือผู้หญิงลางคนรักผู้ชายผู้ใดแลว่ามันเอาผ้าผู้ชายนั้นมานุ่งมาห่ม ชมเชยต่างตัวชายนั้น หญิงนั้นมีครรภในขณะเมื่อชมผ้านั้นแลก็ได้ชื่อว่าโปลนคัพภแลเพื่อดังนั้นแลฯ หญิงลางคนมีใจรักใคร่ผู้ชายแล เมื่อใดราคะผู้ชายนั้นตก แลหญิงนั้นได้กินน้ำราคะนั้นก็มีครรภแลครรภนั้นเรียกชื่อว่าอโลฉปานคัพภดุจดังแม่เนื้ออันเป็นแม่เจ้าฤๅษีผู้ชื่อว่าสิงคดาบสนั้นแลฯ หญิงลางคนผู้ชายลูกคลำเนื้อก็ดีคลำตัวแลท้อง แลหญิงนั้นยินดีแลมีใจรักบุรุษนั้นนัก บังเกิดมีครรภดังนั้นเรียกชื่อว่านาภีปรามาสคัพภะ ดุจดังปาลิกาดาบสินีผู้เป็นมารดาเจ้าสุวัณณสาม แลดังนางพระญาผู้เป็นมารดาพระญาจันทรโชติ แลนางพระญาผู้เป็นมารดาเจ้านันทกุมารนั้นฯ สตรีลางคนมีใจรักบุรุษ ๆ ผู้นั้นมากลายสตรี ๆ นั้นยินดีก็มีครรภฯ ดังนี้ชื่อว่าทัสนคัพภะแลฯ สตรีลางคนมีใจรักใจใคร่บุรุษผู้ใดแลบุรุษผู้นั้นเจรจาพาที แลสตรีผู้นั้นแต่ได้ยินเสียงบุรุษผู้นั้นแลยินดีก็มีครรภบังเกิดครรภ ๆ นั้นชื่อว่าทัททคัพภะดุจนักนกยางทั้งหลายมีแต่ตัวเมียแลว่าหาตัวผู้มิได้ เมื่อใดแลเขาได้ยินเสียงฟ้าร้องไส้เขาหากไข่เองแลดุจดังแม่ไก่แลได้ยินเสียงไก่ตัวผู้ร้องขันแลมีไข่ดังนั้นก็มี ดังแม่วัวอันได้ยินเสียงพ่อวัวถึกหูดอัวแลมีครรภนั้นฯ อันชื่อว่าคันธคัพภะนั้นดังแม่วัวอันได้ดมกลิ่นดมอายวัวถึก แลมีครรภดังนั้นก็มีแลฯ ดังฤๅแลว่ามนุษย์เรานี้เกิดในอัณฑชโยนิก็ได้ แลชลามพุชโยนิก็ได้ แลสังเสทชโยนิก็ได้ แลอุปปาติกโยนิก็ได้ แลโยนิทั้ง ๔ นี้ย่อมได้ดังรมาแลฯ อาจาริยผู้เฉลยว่าดังนี้ อันว่าเกิดอุปปาติกโยนินั้นดุจนางผู้หนึ่ง ชื่อนางอัมพปาลิกา นั้นแล นางนี้เกิดเป็นอุปปาติกโยนิแลฯ จะกล่าวเถิงนิทานนางนั้นดังนี้ แลว่ายังมีกัลปหนึ่งแต่ก่อนโพ้น แต่กัลปนั้นมาเถิงภัททกัลปเราได้นี้ นับถอยหลังลงไปได้ ๓๐ กัลปแล ในกัลปนั้นมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงพระนามชื่อพระพุทธสิขิเจ้า ๆ นั้นเสร็จมาโปรดโลกย์ทั้งหลาย แลในศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ยังมีนางผู้หนึ่งชื่อว่านางอัมพปาลิกา แล นางนั้นได้บวชเป็นภิกษุณีในศาสนาพระพุทธเจ้านั้น แลนางนั้นถือศีลาทิคุณมั่นคงนักหนาอุปฐากรักษากวาดวัดผัดแผ้วทุกเมื่อ เมื่อในกาลวันหนึ่ง นางเจ้าภิกษุณิหนึ่งนั้นไปปทักษิณพระเจดีย์เจ้าด้วยหมู่ชาวเจ้าเถรีทั้งหลายด้วยกันฯ เมื่อนั้นยังมีเจ้าไทยเถรีองค์ ๑ ธเป็นอรหันตาขีณาสพ แลแก่กว่าเจ้าไทยทั้งหลาย แลท่านนั้นปทักษิณไปก่อนท่านทั้งหลายแลท่านมาพลันนักแลมิทันแปรหน้าหนีพระเจดียฺเจ้า แลน้ำลายเหนียวของนางเถรีอรหันต์ก็เล็ดออกก้อน ๑ ต้องพระเจดีย์เจ้าแล ท่านนั้นก็บมิทันเห็นแลธก็เดินไปภายภาคหน้าฯ เมื่อนั้นจึงเจ้าภิกษุนีผู้ชื่อนางอัมพปาลิกนิกานั้นเห็นก้อนน้ำลายนั้น จึงนางอัมพปาลิกนิกานั้นจึงด่าว่าดังนี้ ว่าผู้หญิงแม่ร้ายผู้ใดแลมาถ่มน้ำลายลงเต็มพระเจดีย์เจ้าอันเป็นเจ้ากูดังนี้แล กูเจ็บใจกูนักหนาหาที่อุปมามิได้เลย นางอัมพปาลิกนิกาด่าแล้วดังนั้นก็เดินไปแลฯ เมื่อนั้นนางอัมพปาลิกนิกาภิกษุณี จึงจะมารำพึง ต่อควงามอันท่านกล่าวแลบอกข่าวทุกขเวทนาในท้องแม่มนุษย์นี้ร้ายนักหนา แลนางนั้นก็มีใจเกลียดอายยิ่งนักหนา นางนั้นมิได้ปรารถนามาเกิดที่ในท้องของมนุษย์เลย แลนางผู้นั้นจึงปรารถานาขอเกิดเป็นอุปปาติกโยนิ แลนางนั้นอยู่สร้างสมณธรรมบวชเป็นภิกษุณีอยู่ตราบเท่าเถิงชนมายุ ครั้นว่านางนั้นสิ้นชนมาพิธีแล้ว นางก็ได้ไปตกนรกด้วยบาปกรรมขของนางที่นางได้ด่าพระมหาเถรีขีณาสพนั้น แลนางได้ทนทุกขเวทาอยู่ในนรกโพ้นหึงนานหลายปีนักหนา แลว่าสิ้นบาปพ้นจากนรกขึ้นมาแลได้เกิดเป็นผู้หญิงแม่ร้ายแพศยาได้หมื่นชาติ เพราะบาปอันตนได้ด่าพระมหาเถรีขีณาสพเจ้านั้น ว่าผุ้หญิงแม่ร้ายนั้นแลจึงเป็นหญิงแพศยา ครั้นว่าสิ้นแต่นั้นแล้วจึงได้มาเกิดที่ในค่าคบไม้ม่วงต้น ๑ อันมีที่ในอุทยานของพระญาในเมืองไพสาลีนครนั้น ด้วยเดชอำนาจศีลอันที่นางได้รักษามั่นคงแต่เมื่อยังได้บวชเป็นภิกษุณีในกำเนิดก่อนนั้น แลนางมีรูปโฉมโนมพรรณ์งามทั้วทั้งสารพางค์ แลงามกว่านางทั้งหลายชาวเมืองไพสาลีนครนั้นฯ ครั้นว่าในค่าคบไม้ม่วงบัดเดี๋ยวก็ใหญ่เป็นสาวดีควรที่มีเหย้ามีเรือนในทันใดนั้นแลฯ เมื่อนั้นคนหมู่อยู่เฝ้าอุทยานของพระญานั้นเขาเห็นนางนั้นงามนักหนา เขาจึงเอานางนั้นไปถวายแก่พระญาผู้เสวยราชในเมืองไพสาลีนครนั้น แลเขาทูลแด่พระญาว่าตูข้าพระเจ้าได้นางผู้นี้ ๆ เกิดที่ในค่าคบไม้ม่วงแลฯ พระญาตรัสผิดังนั้นจริงไส้เราจะให้ชื่อนางแลเรียกว่าอัมพปาลิกนิกกาเถิดฯ เมื่อแลนางอัมพปาลิกนิกาอยู่ในเมืองไพสาลีนั้น เขาก็เกิดด่าทอกันผิดกันผิดใจกันนักหนา เพราะว่าต่างคนต่างชิงกันกล่าวขอนางนั้นมาเป็นเมียแล ความดังนี้ก็เป็นกุลาหลฟุ้งเฟื่องไปนักหนา เพราะว่าเขาทั้งหลายเห็นรูปนางนั้นแลงามชิงกันกล่าวเอามาเป็นเมียแลฯ ด้วยบาปกรรมอั้นนางอัมพปลิกนิกาอันได้ด่าพระมหาเถรีอันเป็นขีณาสพนั้นไปบมิสิ้น แลเศษบาปนั้นยังติดตัวนางอยู่พระญาจึงว่าดังนี้ บัดนี้ท้าวพระญาแลลูกขุนทั้งหลายสในเมืองเรานี้เขาด่าทอกันนัก เพราะว่าจะชิงเอานางอัมพปาลิกนิกายบมิรู้แล้วดังนี้ มาเราจะไว้นางให้เป็นแพศยาเถิดฯ จึงท้าวพระญาแลลูกเจ้าเหง้าขุนทั้งหลายจึงจะหายความผิดแผดด่าทอกันแล พระญาธจึงตั้งนางอัมพปาลิกนิกานั้นไว้ให้เป็นนางนครโสภีณีให้เป็นสาธารณะ แก่ท้าวพระญาลูกเจ้าเหง้าขุนทั้งหลายแลฯ อยู่จำเนียรกาลไปนางจึงเกิดลูกชายคน ๑ ชื่อเจ้าโกณฑัญกุมาร แลนางนั้นมีใจใสสัทธาในศาสนาพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเรานี้นักหนา แลจึงสร้างอารามกับทั้งด้วยพระวิหารอันหนึ่งแล้วจึงให้เจ้าโกณฑัญกุมารผู้ลูกนั้นบวชในศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าเรา แลเจ้าโกณฑัญกุมารนั้นก็สร้างสมณธรรมก็บรรลุเถิงแก่อรหัตเป็นขรณาสพอำพลด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ทรงพระนามชื่อเจ้าโกณฑัญเถรแลฯ เมื่อนั้นนางอัมพปลิกนิกานั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาแต่สำนักนิ์พระโกณฑัญเถรผู้ลูกแห่งตนนางก็ยินดีแลมีใจสัทธานางก็บวชในศาสนาพระพุทธเจ้าเรานี้อยู่จำเนียรเจียรกาลนางก็ลุเถิงอรหัตเป็นขีณาสพแล ครั้นว่าสิ้นชนมาพิธีแล้วไส้ก็เถิงแก่มหานครนิพพานแลฯ อันว่ามนุษย์เรานี้เกิดในอุปปาติกโยนิไส้ คือว่านางอัมพปาลิกนิกานี้แลฯ แลอันว่ามนุษย์เรานี้แลว่าเกิดในอัณฑชโยนินี้นั้นก็มีดุจนิทานดังนี้แลฯ
จะกล่าวเถิงนิทานมนุษย์เกิดในอัณฑชโยนิฯ เมื่อนั้นยังมีพราหมณ์ผู้หนึ่งอยู่ในเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง แลเมืองนั้นชื่อว่าปาตลีบุตรมหานครฯ แลพราหมณ์ผู้นั้นออกไปจากพระนครสัญชรเข้าไปสู่ป่าใหญ่อันหนึ่ง แลพราหมณ์ผู้นั้นจึงพบกินนรตัว ๑ ชื่อแห่งกินนรนั้นบมิปรากฎเลย และพราหมณ์ผู้นั้นเห็นโฉมนางกินนรนั้นก็มีใจปดิพัทธ์รักนักหนา จึงสมาคมด้วยนางกินนรนั้น แลสังวาสอยู่ด้วยกันในกลางป่านั้น มิช้าแลากินรีก็มีครรภ์แลเกิดเป็นไข่สองดวง นางกินรีก็ฟังไข่ ๆ แตกออกเป็นมนุษย์สองคน ผู้พี่นั้นชื่อเจ้าดิสสกุมาร ผู้น้องนั้นชื่อเจ้ามิตรกุมาร ครั้นว่ากุมารทั้งสองพี่น้องนั้นรู้ความแลเขาแลดูหน้าพ่อแม่เขา ๆ บมิดุจกันเลย แลเขาทั้งสองนั้นดูอนิจจาแก่ใจ เขาพี่น้องจึงเจรจาด้วยกันว่าดังนี้ ชื่อว่าเกิดมาในสงสารนี้ ย่อมเป็นอนิจจาบมิเที่ยงสักอันเลย มาเราพี่น้องจะไปบวชเป็้นสมณภาพแล้วแลจะเอาตนเข้าสู่นิพพานเถิดฯ เจ้าพี่น้องทั้งสองจึงจากที่นั้นไป จึงไปบวชอยู่ในสำนักนิ์พระมหาเถรองค์หนึ่ง ทรงนามชื่อว่าพระพุทธเถร อยู่จำเนียรเจียรกาลไปเจ้าไทยสองนั้นก็บรรลุเถิงแก่อรหัตตมรรคญาณ ครั้นว่าสิ้นชนมาพิธีแล้วก็เสด็จเข้าสู่นฤพานแลฯ ฝูงคนอันเกิดในอัณฑชโยนินี้ไส้ คือว่าได้แก่เจ้าพี่น้องนี้แล ฯ
อันว่าคนทั้งหลายอันเกิดในสังเสทชโยนินั้น ก็เทียรย่อมดังนางผู้หนึ่งชื่อนางปทุมาวดีแลมีลูกชาย ๕๐๐ คน เมื่อชาติก่อนโฑ้นนางนั้นเป็นดังนี้ เมื่อนั้นยังมีนางผู้หนึ่งเข็ญใจแลผู้นั้นไปไถนาแลนางจะเอาข้าวไปส่งผัวนางฯ นางนั้นจึงเอากระเชอข้าวใส่ไปบนหัวเมาะ ว่าทูนหัวไปแลฯ ครั้นว่าไปเถิงหนทางแม่นางจึงเห็นพระปัเตยกโพธิเจ้า ๑ งามนักหนาแลนางนั้นมีใจใส่สัทธายินดีจึงรำพึงในใจว่า ควรกูถวายบิณฑบาตแก่ประปัเตยกโพธิเจ้า แลนางนั้นจึงเอาข้าวใส่บาตรแล้วนางจึงเอาข้าวตอกอันระคนด้วยน้ำผึ้ง แลปั้นเป็นก้อนได้ ๕๐๐ ก้อน แล้วจึงเอาใส่บาตรลงเหนือข้าวสุกนั้นเล่า นางจึงทอดตาไปแลเห็นดอกบัวหลวงหมู่ ๑ เกิดมีในสระแทบหนทางนั้น นางจึงไปเก็บเอาดอกบัวนั้นมาแล้ว นางจึงเอาดอกบัวนั้นทอดลงในบาตรนั้น แลดอกบัวที่เหลืออยู่นั้น แลจึงวางลงในที่พระบาทพระปัเตยกโพธิเจ้าแล้วนางถวายบูชาแล้วไหว้คารวะพระปัเตยกโพธิเจ้านางจึงปรารถนาว่าดังนี้ ด้วยผลาอานิสงฆ์แห่งข้าแลข้าได้บูชาพระปัเตยกโฑิเจ้าด้วยข้าวตอกอันระคนด้วยน้ำผึ้ง ๕๐๐ ก้อนนี้ ขอจงข้ามีลูกชาย ๕๐๐ คน ด้วยผลบุญอันข้าได้เอาดอกบัวหลวงมาบูชาพระบาทของผู้เป็นเจ้านี้ ถ้าแลว่าข้าเดินไปแห่งใดขอจงมีดอกบัวพูนเกิดขึ้นมารองตีนข้าไปจงได้ทุก ๆ ย่างสบสถานทุกเมื่ออย่าได้ขาดสายเลยฯ ครั้นว่านางปรารถนาแล้วก็ไหว้อำลาพระปัเตยกโพธิเจ้าไปโดยกิจของนางนั้นแลฯ อยู่จำเนียรเจียรกาลไปครั้นว่านางนั้นสิ้นอายุศม์ในเมืองคนจึงเอาตนไปเกิดในเมืองฟ้าแลเสวยสมบัติอันเป็นทิพย์นั้นฯ ครั้นว่าสิ้นอายุในเมืองฟ้าแล้วจึงมาเกิดในมนุษย์โลกย์นี้ไส้ นางก็มีใจเกลียดในครรภ์ท้องแม่นั้ แลปรารถนาลงมาเกิดในดอกบัวดอก ๑ อันมีอยู่ในสระ ๆ หนึ่งมีอยู่แทบตีนเขาพระหิมวันต์ฯ เมื่อนั้นยังมีฤๅสิทธ์องค์ ๑ ธนั้นอยู่ในป่าพระหิมพานต์ธย่อมลงมาอาบน้ำในสระนั้นทุกวัน ธเห็นดอกบัวทั้งปวงนั้นบานสิ้นแล้วทุกดอก ๆ แลว่ายังแต่ดอกเดียวนี้บมิบานแล ดุจอยู่ดังนี้บมิบานด้วยทั้งหลาย ๆ ได้ ๗ วัน ฯ พระมหาฤๅษีนั้นธก็ดลยลมหัศจรรย์นักหนา ธึงหันเอาดอกบัวดวงนั้นมา ธจึงเห็นลูกอ่อนอยู่ในดอกบัวนั้นแล เป็นกุมารีมีพรรณงามดั่งทองเนื้อสุก พระมหาฤๅษีนั้นธมีใจรักนักหนา จึงเอามาเลี้ยงไว้เป็นพระปิยบุตรบุญธรรม แลฤๅษีเอาแม่มือให้ผน้อยดูดกินนม แลเป็นน้ำนมไหลออกมาแต่แม่มือมหาฤๅษีนั้นด้วยอำนาจบุญพระฤๅษี และบุญกุมาริกานั้นด้วยแลเหตุว่านางนั้นเกิดในดอกบัวจึงพระมหาฤษีเจ้าธจึงให้ชื่อว่านางปทุมาวดีแลฯ เมื่อนั้นยังมีพรานเนื้อผู้ ๑ เดินไพรไปมาในป่ากิมวันต์ พรานนั้นเห็นนางงามนักหนา พรานนั้นจึงไปทูลแด่พระญาพรหมทัตราชอันเสวยราชสมบัติในเมืองพาราณสีมหานครนั้นฯ พระญพรหมทัตจึงไปไหว้มหาฤๅษีกล่าวขอนางนั้นไปเป็นภรรยาฯ แลนางเกิดมาไส้ ครั้นว่านางรู้ย่างรู้เดินเล่นไส้ครั้นว่านางย่างเดินไปแห่งใด ๆ ก็ดีเทียรย่อมมีดอกบัวหลวงอันบาน พูนเกิดขึ้นมาแต่แผ่นดินแลมารับมารองเอาตีนนางทุกย่างนางเดินไปนั้นฯ ด้วยผลบุญคานิสงส์แห่งนางอันได้เอาดอกบัวหลวงบูชาพระบาทพระปัเตยกโพธิเจ้าแต่ก่อนฯ และนางได้ปรารถนานั้นแลฯ อยู่จำเนียรเจียรกาลไปนางก็ทรงครรภ์ถ้วน ๑๐ เดือนจึงคลอดชาวเจ้าราชกุมามารทั้งหลาย ๕๐๐ คนในพระราชมณเฑียรนั้นแลฯ เจ้ากุมารผู้เป็นพี่ใหญ่นั้นไส้อยู่ภายในรกแต่คนเดียว ส่วนว่าเจ้าราชกุมารทั้งหลาย ๔๙๙ คนั้นไส้ติดอยู่แต่ภายนอกรกนั้นแลฯ เจ้าราชกุมารผู้พี่อันมีรกหุ้มห่ออยู่นั้นไส้เรียกชื่อว่าเจ้าพระญามหาปทุมกุมาร แลฯ ครั้นว่าชาวเจ้าทั้งหลายนั้นใหญ่แล้ว เจ้าก็ชวนกันไปบวชก็ตรัสเป็นพระปัเตยกโพธิเจ้าทั้ง ๕๐๐ พระองค์แลฯ อยู่จำเยรเจียรกาลไส้ครั้นว่าสิ้นพระชนมาพิธีเสด็จเข้าสู่นิพพานแลฯ เจ้ามหาปทุมาวดีผู้พี่อันเกิดในครรภ์แล ว่าอยู่ภายในรกนั้นเรียกชื่อว่าเกิดเป็นชลามพุชโยนิแลฯ แต่ฝูงเจ้าพี่น้องทั้งหลาย ๔๙๙ คนนั้นแลนางผู้เป็นแม่อันชื่อว่าปทุมาวดีนั้นเรียกชื่อว่าเกิดแต่สังเสทชโยนิแลฯ อันว่าฝูงคนอันเกิดสังเสทชโยนิก็มีดังนี้แลฯ
แลสัตว์ทั้งหลายนี้เมื่อจะสิ้นอายุไส้แลมี ๔ ประการดังนี้แลฯ ประการ ๑ ชื่อว่าอายุไขยแล ประการ ๑ ชื่อว่กรรมไชยแล ประการ ๑ ชื่อว่อุภยไชยแล ประการ ๑ ชื่อว่าอุปัจเฉทกรรมไชยแลฯ อันว่าอายุควรสิ้นแต่น้อยแลตายดังนั้นชื่ออายุไขย อันว่าอายุศม์ยังมิควรที่ตายแลมาตายดังนั้นชื่อว่ากรรมไขยแลฯ คนจำพวกใดจำพวกหนึ่ง ที่ว่าเฒ่าว่าแก่แล้วควรตายดังนั้น ชื่ออุภยไขยแลฯ คนจำพวกใดจำพวก ๑ อยู่ดีกินดีแลมีอันตราย คือว่าเขาตีเขาแทงแลตกต้นไม้ แลตกน้ำปัจจุบันตายดังนั้น ชื่ออุปัจเฉทกรรมไขยแลฯ อันว่าอุปัจเฉทกรรมลางคาบดานผู้เยียวยาเฝ้าเหนือกรรมใด ผู้กรรมอันจะเอาสัตว์ทั้งหลายเวียนไปมานี้ยังมีเท่านี้โสดฯ กรมอันเป็นต้นแก่กรรมทั้งหลาย มี ๔ จำพวก หนึ่งชื่อชนกกรรม อนึ่งชื่ออุปถัมภกกรรม์ อนึ่งชื่ออุปปิฬกกรรม์ อนึ่งชื่ออุปฆาฏำกรรม ๔ จำพวกดังนี้ ฯ อันชื่อว่าชนกกรรมนั้น คือว่าเกิดเป็นคนทั้งหลายนี้แลฯ อันชื่ออุปถัมภพกรรมนั้น หากให้สุขทุกข์ให้ยินดีแลยินร้ายนั้นแลฯ อันชื่อว่าอุปปิฬกกรรมนั้นหากให้ชุมแห่งเนื้อตน แลให้เป็นทุกข์ประการนี้แลฯ อันชื่อว่าอุปฆาฎกกรรมนั้น คือว่าบำบัดชีวิตสัตว์ทั้งหลายฯ กรรมวิบากอันจะต่งให้เป็นทุกข์นั้นมี ๔ จำพวกดังนี้ฯ อนึ่งคือว่าปัญจานันตริยกรรมฯ อนึ่งคือว่าอาสันนกรรมฯ อนึ่งคือว่าอาจิณณกรรมฯ อนึ่งคือว่ากัตตากรรมฯ อันชื่อว่าอาสันนกรรมนั้น คือให้วิบากด่วนดับพลันแลฯ อันื่อว่าอาจิณณกรรมนั้นให้ลำอุติเป็นอุปทรัพย์บมิขาดให้คำนึงแลฯ อันชื่อว่ากัตตากรรมนั้นหากให้วิบากอันเป็นบุญก็ดีบาปก็ดี ให้ด้วยด่วนนักหนาแลฯ กรรมตายอันให้วิบาก อันอาจเพื่อตนกระทำนั้นมี ๔ จำพวกนั้นโสดฯ อนึ่งชื่อทิฏฐธรรมเวทนิยกรรม อนึ่งชื่ออุปปัชชเวทนิยกรรม อนึ่ชื่ออปราปรเวทนิยกรรม อนึ่งชื่ออโหสิกกรรมแลฯ อันชื่อว่าทิฏฐธรรมเวทนิยกรรมนั้น คือว่าได้ทำบุญทำบาปก็ดีในกำเนิดนี้ แลกรรมนั้นหากให้พิบากได้ทั้งกำเนิดนี้แลฯ อันชื่อว่าอุปปัชชเวทนิยกรรมนั้นฯ จงให้ได้วิบากในกำเนิดหน้าโพ้นแลฯ อันชื่อว่าปอราปรเวทนิยกรรมนั้น ๆ ตามให้วิบากคราบใดเถิงนิพานแลฯ อันชื่อว่อโหสิกรรม ๆ นั้น คือให้หายไปบมีวิบากเลยฯ ฝูงสัตว์ทั้งหลายนี้เมื่อจะใกล้ขาดใจตายนั้น ผิว่าจะได้ไปตกนรกผู้นั้นเห็นเปลวไฟแลเห็นไม้งิ้วเหล็กเห็นฝูงผีถือไม้ค้อนแลฯ ถือหอกดาบมาลากชักตัวไปแลฯ ผิแลว่าตายจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ไส้แลว่าเห็นก้อนเนื้อแลฯ ผิตายไปเกิดในสวรรค์ไส้เห็นต้นไม้กัลปพฤกษ์เห็นเรือนทองเห็นปราสาทแก้วงมนักหนาเห็นฝูงเทพยดาฟ้อนรำเล่นฯ ผิตายแลเป็นเปรตไส้เห็นแกลบแลข้าวลีบแลให้กระหายน้ำ ด้วยเห็นเลือดแลน้ำหนองแลฯ ผิตาแลจะไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน คือนกแลเนื้อฟานถึกหมูหมาไส้เห็นป่าแลต้นไม้เห็นกอไผ่แลเชือกเขาแลหยากเยื่อเนื้อถึกอันมีในป่าในบ้านแลฯ ฝูงสัตว์ทั้งหลายเมื่อจะใกล้ขาดใจตายและจะไปเอาปฏิสนธิแห่งอื่น แลเมื่อใกล้จะขาดแลเกิดนั้นแลยังรำพึงในใจตนนั้นได้ ๔๑ ดวงจิต ตนจึงขาดใจตายจากนี้แล ๆ เอาปฏิสนธิเกิดโพ้นฯ จิต ๔๑ ดวงคืออันใดบ้างเล่ ภวังคจละ อันชื่อว่าภวังคจละนั้ นอุปาทัฏฐิติภังคาอันให้รำพึง ๖ อัน ปัญจทวราวัชนะ ให้รู้รำพึง ๓ อันฯ วิญญาณอันให้รู้แลรำพึงนั้น ๓ อันฯ สัมปฏิจฉันนะอันให้อันเห็นอันรู้นั้น ๓ อันฯ สันติรณ อันให้พิจารณาข้ามนั้นฯ โวฏฐัพพนะให้จำหุดมั่นแก่อันพิจารณานั้น ๓ อันฯ ชวนะ อันเสวยวาจอันกล่าวก่อนนี้ได้ ๒๑ อันฯ ตทาลัมพณะ ให้ฟังอันเสวยนั้นได้ ๖ อันฯ ภวังคจละ อันใจให้ตาย ๓ อันจึงตายผสมจิตวิถีนั้นได้ ๔๑ ดวงแลฯ อันมีฝูงสัตว์แล ๗ อันเป็นมหันตารมณ์นั้นแล ครั้นว่าขาดใจตายแล้วก็ไปแล อันว่าปัญจสกลบมิไปด้วยเลย อันไปด้วยนั้นเท่าเว้นไว้แต่บุญแลบาปนั้นหากไปบังเกิดวิบากแลฯ เป็นตนไส้แต่บาปแลบุญหากให้เป็นดีแลเข็ยใจ ลางคนไส้งาม ลางคนไส้บมิงามลางคนไส้ยืน ลางคนไส้บมิยืน ลางคนไส้เป็นเจ้าท่านลางคนไส้เป็นข้าท่าน ลางคนไส้เป็นคนดี ลางคนไส้เข็ญใจ ลางคนมีปรีชาลางคนหาปริชาบมิได้ฯ ผู้ใดเรียนพระอภิธรรมมด้วยอมฤตย์จึงจะรู้แท้ไส้ ผู้ใดบมิได้เรียนบมิได้ฟังไส้แลจะรู้แท้แก่ใจก็ยากนักหนาแลฯ กล่าวเถิงฝูงสัตว์อันเกิดในมนุษยภูมิอันเป็นปัญจกัณฑ์โดยสังเขปแล้วแต่เท่านี้แลฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไตรภูมิพระร่วง_-_คลังปัญญาไทย
|
13955
|
57532
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13955
|
ไตรภูมิพระร่วง/ดิรัจฉานภูมิ
|
ดิรัจฉานภูมิ.
และสัตว์อันเกิดในติรัจฉานภูมินั้น ลางคาบเป็นด้วยอัณฑชะโยนิ ลางคาบเป็นด้วยชลามพุชะโยนิ ลางคาบเป็นด้วยสังเสทชะโยนิ ลางคาบเป็นด้วยอุปปาติกะโยนิ แต่สิ่งอันดังนี้ชื่อติรัตฉาน มีอาทิคือว่าครุฑแลนาคสิงห์ช้างม้าวัวควายเนื้อถึกทุกสิ่ง เป็ดและห่านไก่และนกและสัตว์ทั้งหลาย ฝูงนี้สิ่งอันมี ๒ ตีนก็ดี ๔ ตีนก็ดี หลายตีนก็ดี เทียรย่อมเดินไปมาและคว่ำมาอกลงเบื้องต่ำ และฝูงตกนรกชื่อติรัจฉาน อันว่าฝูงติรัจฉานนั้นเทียรย่อมพลันด้วย ๓ ชื่อ อนึ่งชื่อกามสัญญา อนึ่งชื่ออาหารสัญญา อนึ่งชื่อมรณสัญญาฯ อันชื่อว่ากามสัญญานั้น เขาพลันด้วยกามกิเลสแลฯ อันชื่อว่าอาหารสัญญานั้นเขาพลันด้วยอาหารนั้นหากมีฯ อันชื่อว่ามรณสัญญา เขาพลันด้วยความตาย คือ อายุสม์แห่งเขาน้อย เขาอ่อนด้วยพลันสามนี้ชื่อทุกเมื่อฯ อันว่าติรัจฉานนี้แลจะมีธรรมสัญญานั้นหาบมิได้มากนักหนาแลฯ อันว่าธรรมสัญญานั้นรู้จักบุญจักธรรม เลือกติรัจฉานจะรู้จักบุญจักธรรมไส้ฯ อันว่าเป็นติรัจฉานนี้บห่อนจะเลี้ยงตนด้วยค้าและขายและทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิตหาบมิได้ฯ ลางสิ่งกินลำเชือกเขากินใบเชือกเขากินใบไม้ฯ มีลางสิ่งกินแต่เพื่อนฝูงตนเอง มีลางสิ่งกินอันบแรงหลักฐานเขา เนื้ออันบแรงนั้นกลัวเขาก็แล่นไปเร้นที่ลับเขาไล่ทันจึงกินสิ่งนั้น ฝูงติรัจฉานนั้นย่อมข้าศึกอันรู้พึงมาเลี้ยงตนรอดชั่วตนเขา เมื่อเขาตายไปแลเขาย่อมไปเกิดในจตุราบายไส้ เลือกแลนักจริงสัตว์จะได้เกิดเมืองฟ้าไส้ ฝูงนั้นเดินไปมาย่อมท้ำอกลงต่ำดังนั้นมีสิ่งร้ายไส้ฯ ซึ่งว่าสิ่งอันดีนั้นคือราชสีห์ อันว่าราชสีห์นั้นมี ๔ สิ่ง ๆ หนึ่งชื่อติณะสิงหะ สิ่งหนึ่งชื่อกาละสิงหะ สิ่งหนึ่งชื่อบัณฑรสิงหะ สิ่งหนึ่งชื่อไกรสรสิงหะฯ อันว่า ติณสิงหะ นั้นมีตนมันดังปีกนกเขา ย่อมกินแต่หญ้ามาเป็นอาหาร กาลสีหะนั้นดำดังวัวดำ ย่อมกินหญ้าเป็นอาหาร บัฑรสีหะนั้นมีตนเหลืองดังใบ ย่อมกินเนื้อเป็นอาหาร ไกรสรสีหะนั้นมีฝีปากแลปลายตีนทั้ง ๔ นั้นแดงดังท่านเอาน้ำครั่งละลายด้วยน้ำชาดหรคุณทา ทั้งปากทั้งท้องแดงดังนั้นโสดเป็นแนวแดงแต่หัวตลอดรอบบนหลังอ้อมลในแค่งซาบ สอดหลังแดงดังรส เอวนั้นงามดังท่านแสร้งแต่ง ตนราชสีห์นั้นมีสร้อยอันอ่อนดังนั้น งามดังท่านเอาผ้าแดงอันมีค่าได้แสนตำลึงทองแลเอามาพาดเหนือตนไตรสรสิงหะนั้น ในตัวไกรสรสิงหะนั้นที่ขาวก็ขาวนักดังหอยสังข์อันงามท่านผินใม่ ผิเมื่อไกรสรสิงหะนั้นออกจากคูหาทองก็ดีเงินก็ดี คูหาแก้วก็ดีอันเป็นที่อยู่แห่งไกรสรสิงหะนั้น ตนจึงไปยืนอยู่เหนือแผ่นศิลาเลืองอันเรืองงามดังทอง สี่ตีน ๒ ตีนหลังเหยียบเพียงกันและเหยียบสองตีนหน้าจึงขัดขนหลังนั้น และเหยียบสองตีนเบื้องหน้าจึงฟุบสองตีนหลังลงและยืนตัวขึ้นแล้วจึงกระทำเสียงออกดังเสียงฟ้าลั่น แล้วจึงสั่นขนฟุ้งในตนเสีย แล้วจึงแต่งตนไปเดินเล่นไปมาดังลูกวัวแล่นนั้น เมื่อไกรสรสิงหะนั้นเดินไปเดินมาครั้งดูพลันงามนักดังผู้มีกำลังและถือดุ้นไฟแกว่งไป โดยกำลัง เมื่อเดือนดับนั้นแล เมื่อเดินบ่ายไปบ่ายมาดังนั้นก็ร้องด้วยเสียงอันแรง ๓ คาบและเสียงนั้นไปไกลได้ ๓ โยชน์แล แต่บรรดามีสัตว์ ๒ ตีน ๔ ตีนอยู่แห่งใด ๆ ก็ดี และเสียงได้ยินเถิงใด ๆ กลัว มีตัวนั้นสั่นแลตกใจสลบอยู่บมิรู้สึกตนเลย เขาหนีจากที่นั้นสิ้นแล แต่ฝูงสัตว์ซึ่งว่าอยู่ในถ้ำ ก็ดำหนีลงไปเถิงพื้นถ้ำพื้นพ่าง แลครางอยู่ช้างสารอยู่ในป่าครั้นได้ยินกล่าวและร้องจำร้อง ฝ่ากลางป่าผิมีช้างบ้านอันหาญผูกด้วยเชือกเหล็กอันมั่นก็ดี ครั้นว่าได้ยินเสียงไกรสรสิงหะนั้นก็ตื่นนักดังเชือกจะขาด ออกทั้งชี้เยี่ยวราดแล่นหนีไปสิ้นแต่ไกรสรสิงหราชดังกันเองแล และฝูงม้าแก้วอันชื่อว่า พลาหกตระกูล และผู้มีบุญคือ โฑธิสัตว์และอรหันตาขีณาสพเจ้า หากจะฟังเสียงไกรสรสิงหะนั้นได้ไส้ และไกรสรสิงหะนั้น เมื่อยืนอยู่ในที่เล่นนั้นและเดินเบื้องซ้ายเบื้องขวาไกลได้และชั่ววัวมอ เมื่อขึ้นมาเบื้องบนลางคาบสูงได้ ๗ ชั่ววัวมอ ลางคาบเดินสูงขึ้นได้ ๗ ชั่ววัวมอ เมื่อเดินเบื้องหน้าเหนือที่เพียงไกลได้ ๑๖ ชั่ววัวมอ ลางคาบไกลได้ ๒๐ ชั่ววัวมอไส้ ผิอยู่เนือหลังก็ดีเหนือเขาก็ดีและเดินหนต่ำ ลางคาบไกลได้ ๑๖ โยชน์ ลางคาบได้ ๘๐ โยชน์ ผิเมื่อเดินไปในกลางหาวและมันแลเห็นต้นไม้ใหญ่ออกมันหลีกผิดเบื้องซ้ายเบื้องขวาก็ดี ยังได้แลชั่ววัวมอเลย และเมื่อหยุดแห่งเมื่อร้องด้วยเสียงแรง ๓ คาบดังนั้น ครั้นว่าหาย้รองไส้ มันจึงเต้นแล่นไปหน้าได้แล ๓ โยชน์ เมื่อมันเดินไปนั้นเร็วนักแลฯ สวนลมบันริเรียนอยู่ฟังมันได้ยินเสียงภายหลังเล่าเพราะมันเร็วนักฯ อันว่าไกรสรสิงหะนั้นมีกำลังหนักหนาดังกล่าวมานี้แลฯ แต่ติรัจฉาน ๔ ตีนเท้าอย่านับช้างแก้วทั้งหลาย อันว่าจะไปลวงอากาศนั้นแลจะยิ่งกว่าไกรสรสิงหะนี้หาบมิได้เลยฯ ฝูงช้างแก้วนั้นมี ๑๐ จำพวก ๆ หนึ่งชื่อเหกาลาพกหัตถีกูล สิ่งหนึ่งชื่อกังเขยกหัตถีกูล สิ่งหนึ่งชื่อจันทรหัตถีกูล สิ่งหนึ่งชื่อตามพหัตถีกูล สิ่งหนึ่งชื่อมังคลหัตถีกูล สิ่งหนึ่งชื่อคันธหัตถีกูล สิ่งหนึ่งชื่อมัลคลหัตถีกูล สิ่งหนึ่งชื่อโปจัตถีกูล สิ่งนึ่งชื่ออุโบสถหัตถีกูล สิ่งหนึ่งชื่อฉัททันตกูล ฝูงช้างนั้นโสดเทียรย่อมอยู่ในคูหาทองและใหญ่งามนักหนา แดงแลรอบโสด แต่ติรัจฉานอันหาตีนบมิได้ปลา ๆ ๗ ตัว ๆ หนึ่งชื่อติรนยาวได้ ๗๕ โยชน์ ตัวหนึ่งชื่อติปังคลนั้นยาวได้ ๒๕๐ โยชน์ ตัวหนึ่งชื่อ ติรปิงคลยาวได้ ๕๐ โยชน์ ตัวหนึ่งชื่ออานนท์ ตัวหนึ่งชื่อนิรย ตัวหนึ่งชื่ออชนาโรหน ตัวหนึ่งชื่อมหาติ และปลา ๔ ตัวนี้ย่อมยาวและตัวและ ๑,๐๐๐ โยชน์ ผิเมื่อปลาตัวชื่อติมรปิงคลอันยาวได้ ๕,๐๐๐ โยชน์และติงปีกซ้ายก็ดีติงปีกขวาก็ดี และติงปลายหางก็ดีติงหัวก็ดี และน้ำในสมุทรนั้นก็สะเทือนตีฟองดังหม้อแกงเดือดไกลได้ ๔๐๐ โยชน์ ผิมันติงปีกทั้งสองข้างและแกว่งหางแกว่งัววัดแวงตีน้ำเล่น น้ำนั้นสะเทือนดินตีฟองไกลได้ ๗๐๐ โยชน์ ลางคาบตีฟองไกลได้ ๘๐๐ โยชน์ แรงปลาตัวอันชื่อติมิรปิงคลนั้นมีกำลังดังกล่าวนี้แลฯ และปลา ๔ ตัวนั้นยังใหญ่กว่านี้ยิ่งมีกำลังนักแลฯ ฝูงติรัจฉานดังครุฑราชดังเมื่อเป็นดุจดังติรัจฉานทั้งหลายแล เครื่องเขากินเขาอยู่นั้นเทพยดาในสวรรค์ไส้ และมีเดชนตระบะศักดานุภาพ รู้หลักรู้นิมิตดังเทพยดาในสวรรค์ โสดดังนั้นเรียกเขาชื่อเทพโยนิเลฯ และตีนเขาพระสุเมรุราชนั้น มีสระใหญ่อันหนึ่งได้ชื่อว่าสิมพลีสร้างโดยกว้างได้ ๕๐๐ โยชน์ รอบนั้นเทียรย่อมป่าไม้งิ้วเป็นรอบปลายไม้งิ้วนั้นสูงเพียงกัน ดังแสร้งปลูกและเห็นเขียวงามและพึงพอใจนักหนาแล มีงิ้วใหญ่ต้นหนึ่งโดยธรรมดาใหญ่เท่าไม้ชมพูทวีปเรานี้แล ต้นงิ้วนั้นใหญ่ฝูงงิ้วนั้นเป็นหนารอบ ฝั่งสระนั้น ๆ เป็นที่อยู่แก่ฝูงครุฑทั้งหลายนั้น และสัตว์อันมีปีกและจะเสมอด้วยครุฑหาบมิได้เลย ครุฑราชตัวเป็นพระญาแก่ครุฑทั้งหลายนั้น มีตนนั้นใหญ่ได้ ๕๐ โยชน์ ขนปีกซ้ายก็ดีขนปีกขวาก็ดีหางก็ดีคอก็ดีย่อมยาว ๕๐ โยชน์ ปากนั้นยาวได้ ๙ โยชน์ และตีนทั้งสองยาวได้ ๑๒ โยชน์แล ผิแลเมื่อครุฑนั้นกางปีกไปล่วงกลางหาวเต็มที่ไปได้ ๗๐ โยชน์ ผิเมื่อครุฑนั้นอ้าปีกออกให้เต็มที่ไส้ได้ ๘๐ โยชน์ ตนครุฑนั้นมันใหญ่ดังนั้นเรี่ยวแรงนักหนาแล ผิแลเมื่อจะเฉี่ยวเอานาคในกลางมหาสมุทร น้ำสมุทรนั้นแตกออกทั้งรอบนั้นทุกแห่งได้แล ๑๐๐ โยชน์ มันจึงเอาเล็บรัดเอาหางนาคนั้นพาบินไปกลางหาวเอาหัวนาคหย่อนลงมาเบื้องต่ำจึงพาไปยังที่อยู่แลก็กิน เมื่อครุฑราชเอานาคกินดังนั้น เอาแต่นาคอันเท่าตนและน้อยกว่าตนดังนั้นบมิได้เอากินไส้ แลใหญ่กว่าตนนั้นก็เอากินบมิได้แลฯ ครุฑราชอันเป็นชลาพุชโยนิและอัณฑชโนยิใดไส้ อันจะเอานาคอันสังเสทชโยนิ แลอุปปาติกโยนินั้นดีกว่าตน ดังนั้นบมิได้ ฝูงครุฑก็ดีเทียรย่อมเป็นในโยนิ ๔ อันแลฯ เมื่อไฟไหม้กัลปแล้วแลตั้งแผ่นดินใหม่ บมิได้ตั้งทุกแห่งบมิเป็นโดยธรรมดาแต่ก่อนมีที่เปล่า ยังมีลางแห่งเปล่าโดยกว้างโดยสูงได้แล ๓๐๐ โยชน์ก็ยังมี ลางแงโดยกว้างโดยสูงแลได้ ๔๐๐ โยชน์ก็มี ลางคาบลางแงโดยกว้างโดยสูงได้ ๗๐๐ โยชน์ก็มี แลที่นั้นกลายเป็นแผ่นดินเสมอกันทุกแห่ง เลื่อมขาาวงามดังแผ่นเงินยวงมีหญ้าแพรกเขียวมันเหมือนตามกันโดยสูง ๔ นิ้วมือ เขียวงาม ๓ นิ้วมือ ดังแผ่นแก้วไพฑูรย์ฉันนั้นแลฯ ดูรุ่งเรืองทั่วแผ่นดินมีเหมือนดังนั้นทุกแห่ง และมีสระหลายอันเทียรย่อมดาษไปด้วยดอกบัว ๕ สิ่งแลดูงามนักหนา มีฝูงต้นไม้ทั้งหลายเป็นต้นเป็นลำงามแลมิได้เป็นด้วงเป็นแลง แลเป็นลูกเป็นดอกดูตระการงามนักหนา แลมีเชือกเขาเถาวัลย์ลางสิ่งเป็นดอกแดงลางสิ่งเป็นดอกขาว ลิงสิ่งเป็นดอกเหลือง ดูรุ่งเรืองงามแต่ที่นั้นทุกแห่งดังท่านแสร้งแต่งไว้ แลแห่งนั้นเรียกชื่อว่านาคพิภพแลเป็นที่อยู่แก่ฝูงนาคทั้งหลายแล แลมีปราสาทแก้วแลมีปราสาทเงินแลมีปราสาททองงามนักหนา แลมีที่อันเปล่าอยู่นั้นลางแห่งหาสิ่งอันจะอยู่บมิได้ หากเป็นที่กลวงอยู่เปล่าอยู่ไส้ในใต้เขาพระมพานต์กว้างได้ ๕๐๐ โยชน์ เป็นเมืองแห่งนาคราชจำพวก ๑ อยู่แงนั้น แลมีแก้ว ๗ ประการเป็นแผ่นดินงามดังไตรตรึงษ์อันเป็นที่อยู่ของพระอินทร์เจ้านั้น แลมีสระใหญ่ ๆ นั้นหลายอันอยู่ทุกแห่ง แลเป็นที่อยู่แห่งฝูงนาคแต่ไปเล่นทุกตาไป แลน้ำนั้นใสงามบมิชระไชรยดุจแผ่นแก้วอันใหญ๋และท่านชัดหลายคราแลมีท่าอันราบนักหนา ที่นาคแรงอาบแรงเล่นนั้นมีฝฝุงปลาใหญ่ไหลไปขบปลาเล็กแฝงจอกดอกบัว ๕ สิ่งบานอยู่ดูตระการทุกแห่ง ดอกบัวหลวงดวงใหญ่เท่ากงเกวียน ผิเมื่อน้ำสะเทือนไหวไปมาดูงามนักหนาดังแสร้งแต่งไว้นั้นแลฯ นาคจำพวกหนึ่งในสมุทรถ้าแลเมื่อใดฝูงนาคตัวเมียแลมีครรภ์แก่ แลเขาคำนึงในใจเขาว่าฉันนี้ผิแลว่าออกลูกในกลางสมุทรนี้ ๆ ตีฟองนักหนา แลอีกทั้งนกน้ำก็ตีฟองด้วยลมปีกครุฑโสดฝูงตัวมีครรภ์อันแก่นั้นเขาก็ดำน้ำลงไปออกจากแม่น้ำใหญ่ ๕ อัน อันชื่อว่ คงคา ยมนา อจิรวดี สรภู มหิ มหานทีอันใหญ่ไปสู่มหาสมุทรใหญ่ นั้นจึงดำน้ำนั้นขึ้นไปเถิงป่าใหญ่อันชื่อพระหิมพานต์นั้น มีถ้ำคูหา คำหมู่ครุฑไปบมิเถิงจึงคลอดลูกไว้ในที่แห่งนั้นแล้ว แลอยู่เลี้ยงดูลูกในที่นั้น ต่อเมื่อลูกตนนั้นกล้าแล้วจึงพาไปยังน้ำลึกเพียงหน้าแข้ง แลสอนให้ว่ายน้ำแรงว่ายวังแรงพาไปเถิงที่น้ำลึกแลน้อยถ้วน ๒ ครี้งว่าเห็นลูกตนนั้นใหญ่แลรู้ว่ายดีแล้วจึงพาลูกนั้นว่ายแม่น้ำใหญ่ตามไปตามมา ผิว่าลูกนั้นตามพลันแล้วนาคนั้นจึงนฤมิตให้ฝนนั้นตกหนัก และให้น้ำนั้นนองเต็มป่าพระหิมพานต์ค่าน้ำสมุทรแล้ว จึงนฤมิตปราสาททองคำอันประดับนิ์ด้วยแก้วสัตตพิธรัตตะอันรุ่งเรืองงามนักหนาแล ในปราสาทนั้นมีเครื่องประดับนิ์แลเครื่องบริโภคทั้งเครื่องกินเครื่องอยู่นั้นเทียรย่อมเป็นทิพย์ทุกประการดังวิมานเทพยดาในสวรรค์นั้นแลฯ นาคนั้นจึงเอาลูกตนขึ้นอยู่บนปราสาทนั้นแล้ว แล้วจึงเอาปราสาทนั้นลอยล่องน้ำลงมาเถิงมหาสมุทรที่ลึกได้ ๑,๐๐๐ วา จึงพาเอาปราสาทแลลูกตนนั้นดำน้ำลงไป อยู่สมุทรนั้นแลฯ นาคนั้นยังมีสองสิ่ง ๆ หนึ่งชื่อ ถลชะ สิ่งหนึ่งชื่อ ชลชะ ฯ นาคอันชื่อถลชะนั้นนฤมิตตนได้แต่บนบกไส้ แลในน้ำนั้นนฤมิตบมิได้ฯ นาคอันชื่อชลชะนั้นนฤมิตตนได้แต่ในน้ำ แลบนบกไส้ตนนฤมิตรบมิได้ ที่เขาเกิดที่เขาตายก็ดีที่เขานอนก็ดีที่เขาสมาคมด้วยกันนั้นก็ดี ที่เขาลอกคราบเขาก็ดี แลในสถานทั้งนี้แลเขาอยู่แห่งใดแห่งหนึ่งก็ดี เขาบมิอาจนฤมิตตนเขาให้เป็นอันอื่นไส้หาบมิได้ ผิแลเขาไปสถานแงอื่นไส้เขาจึงนฤมิตตนเขาใเป็นอันอื่นไปแล แม้นว่าเขาจะนฤมิตตนเขาให้งามดังเทพยดาก็ได้แล ผินาคตัวเมียจะนฤมิตตนให้งามดังนางเทพยธิดาอัปสรก็ได้แลฯ ผิเมื่อนาคนั้นจะไปล่าหากินแลเป็นสิ่งใด อันหาเยื่อกินได้ง่ายนั้นไส้ เขาก็ย่อมนฤมิตตนเขาเป็นสิ่งนั้นแล แล้วเขาจึงเที่ยวขึ้นมาล่าหากินในแผ่นดินนี้ ลางคาบเขาเป็นงูไซ ลางคาบเขาเป็นงูกระสา ลางคาบเขาเป็นงูเห่า ลางคาบเขาเป็นงูเขียว ลางคาบเขาเป็นงูอื่น ลางคาบเขาเป็นสัตว์อื่น แลเขาล่าหากินแลเตุว่าเขานั้นชาติติรัจฉานแลฯ แต่แผ่นดินอันเราอยู่นี้ลงไปเถิงนาคพิภพอันชื่อว่าติรัจฉานภูมินั้นโดยลึกได้โยชน์ ๑ แล ผิจะนับด้วยวาได้ ๘,๐๐๐ วาแลฯ แต่ติรัจฉานคือราชหงส์อันอยู่ในเขาคิชฌกูฏแลอยู่ในคูหาคำก็ดี อันอยู่ในปราสาททั้งลายด้วยฝุงนกก็ดี อยู่ด้วยหมู่สัตว์ในป่าพระหิมพานต์นั้นก็ดี ก็มีอยู่เป็นอันมากนักหนาแล แลอยู่ในบ้านในเมืองไส้ คือว่าเป็ดแลไก่อันคนเลี้ยงกินดังนี้ก็มี แลอย่างว่านกว่าหมานั้นก็มีฯ ครุฑกินนาค ๆ นั้นกินกบกินเขียด กบแลเขียดนั้นกินแมลงบุ้งก็ดีฯ แลติรัจฉานลางสิ่งย่อมกินติรัจฉานอันน้อยกว่าตนฯ ส่วนว่าเสื่อโคร่งเสือเหลืองอันเป็นตัวเมียนั้น ครั้นว่าเขามีลูกมีเต้าเลี้ยงกันดังนั้น แลเมื่อเขาไปล่าหากินไส้ เขาอยากพ้นกว่าอยากนัก เขาอดบมิได้เขาเห็นลูกเขาเข้ามาสู่เขาเพื่อความรักจะกินนมดังนั้นแลเขาบมิได้รักลูกเขาเลยเขาก็กินลูกเขาเอง เพราะว่าเขาอยากนักแลเขาอดบมิได้แลฯ ติรัจฉานลางจำพวกเป็นนอกเนื้อลางจำพวกเป็นในเนื้อติรัจฉานเองโสด างจำพวกเป็นที่ร้ายแลมันหากเลี้ยงตนเอง ผิเมื่ออันร้ายสิ้นเข้าาจะกินบมิได้ เขาก็ตายในที่ร้ายนั้นฯ ลางจำพวกนี้ก็เป็นในท้องเรานี้ได้ ๘ ครอก มีนอนฝูงอื่นออกลูกออกเต้าากตายในท้องเรานี้ก็มีแล แลในท้องสิ่งอื่นใหญ่กว่าคนนี้ ในท้องเขาเป็นขี้เป็นเรือนในท้องนั้น ยังมีหลายกว่านี้ก็มีคือว่าไส้เดือนอันมีในท้องคนนั้นแลฯ ฝูงสัตว์ลางจำพวกโสด มีขนมีเล็บมีหนังมีเนื้อมีเอ็นมีกระดูกมีเขามีงาอันจักเข้าการตน แม้นชื่อว่าสัตว์นั้นบมีความผิดเข้าสักสิ่งก็ดี ฝูงอื่นปล่าหาฆ่าแทงตีสัตว์ฝูงได้เอามาเป็นประโยชน์แก่ตน ลางจำพวกดังวัวควายช้างม้า และมาให้คนทั้งหลายใช้ต่างทำนักนาโสด แลจะอยู่พักก็บมิได้เลยสักคาบ ผิแลว่าอยากญ้าแลอยากน้ำแลจะอยู่กินก็ดี เขาก็ตีด่าจนจำใจโสด กล่าวเถิงฝูงเกิดในติรัจฉานภูมินั้น อันเป็นทุติยด้วยสังเขปแล้วเท่านี้แลฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไตรภูมิพระร่วง_-_คลังปัญญาไทย
|
13956
|
57536
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13956
|
ไตรภูมิพระร่วง/เปตภูมิ
|
เปตภูมิ.
สัตว์อันเกิดในเปรตภูมิก็เอาโยนิทั้ง ๔ นั้นทุกอันแล ฝูงเปรตอันมีดังนี้อยู่รอบเมืองราชคฤนครนั้น ภายนอกเมืองราชคฤ์นั้นมีถิ่นฐานบ้านเมือง ฝูงเปรตอยู่แงนั้นเรียกชื่อว่าเปรตยมโลกย์แลอันว่าเปรตชื่อว่ายมโลกย์นั้น แลมีงเปรตอยู่มากมายนักหนาแลเปรตลางจำพวกอยู่ในกลางสมุทร เปรตลางจำพวกอยู่เหนือเขา เปรตลางจำพวกอยู่กลางเขา แลเปรต ๓ จำพวกนี้ จำพวก ๑ ชื่อตรีเตุปฏิสนธิ จำพวก ๑ นั้นดีมีปราสาทแก้วแลมีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีคูล้อมรอบดูงามนักหนาแลฯ เปรตจำพวก ๑ มีช้างม้าข้าคนมียั่วยาน คานามทอง ขี่เที่ยวไปโดยอากาศ แม้นชื่อว่าเปรตฝูงนั้นแม้นจะเป็นดีมียศศักดิ์เท่าใด ๆ ก็ดี บมิดุจเทวดาในสวรรค์แล ฝูงเปรตลางจำพวกเมื่อเดือนขึ้นได้เป็นเปรต เมื่อเดือนแรมเป็นเทพยดา ฝูงเปรตลางจำพวกเมื่อเดือนแรมเป็นเปรต เมื่อเดือนขึ้นเป็นเทพยดา ฝูงเปรตลางจำพวกเป็นเปรตนานนักรอด ชั่วพุทธันดรกัลปโสด เปรตลางจำพวกที่เป็นเปรตตรีเตุปฏิสนธินั้นก็รู้พระจตุราริยสัจจธรรม เปรตลางจำพวกไปอยู่แฝงต้นไม้ใหญ่ เปรตลางจำพวกอยู่แทบที่ราบ แลย่อมกินอันร้ายเป็นอาารเลี้ยงตนเขา เปรตลางจำพวกมีปราสาททิพย์มีเครื่องกินนั้นย่อมเป็นดังเทพยดา
ฝูงผีเสื้อลางจำพวกอยู่ในต้นไม้แลย่อมกินข้าวเป็นอาาร ฝูงผีเสื้อเป็นตรีเตุปฏิสนธิก็รู้พระจตุราริยสัจธรรมฯ แลฝูงฝีทั้งลายอยู่ในแผ่นดินอันชื่อปิสาจซ่อนตนอยู่ แม้นว่าเขาอยู่ลับต้นไม้รากไม้น้อยหนึ่งก็ดี คนทั้งลายบมิเห็นตัวเขาเลยฯ ฝูงเปรตแลฝูงผีเสื้อทั้งลาย เมื่อจะตายเขากลายเป็นมดตะนอยดำ ลางคาบเป็นตะเข็บแลแมลงป่อง แมลงเม่า ลางคาบเป็นตักแตนเป็นนอน ลางคาบเป็นเนื้อแลนกแสกน้อยดังฝูงนกจิบนกจาบนั้น ลางคาบกลายเป็นเนื้อเถื่อน ผิแลว่าเขาตายไส้เนื้อเขากลายเป็นดังนั้นทุกเมื่อแลฯ เปรตลางจำพวกยืนได้ ๑๐๐ ปี ลางจำพวกยืนได้ ๑๐๐๐ ปี ลางจำพวกยืนชั่วพุทธันดรกัลปฯ แม้นว่าข้าวเมล็ด ๑ ก็ดี น้ำหยาด ๑ ก็ดี แลจะได้เข้าไปในปากในคอเขานั้นหาบมิได้เลยฯ เปรตลางจำพวกตัวเขาใหญ่ปากเขาน้อยเท่ารูเข็มนั้นก็มีฯ เปรตลางจำพวกผอมนักหนาเพื่ออาหารจะกินบมิได้ แม้นว่าจะขอดเอาเนื้อน้อย ๑ ก็ดี เลือดหยด ๑ ก็ดีบมิได้เลย เท่าว่ามีแต่กระดูกแลหนังพอกกระดูกภายนอกอยู่ไส้ หนังท้องนั้นเหี่ยวติดกระดูกสันหลังแลตานั้นลึกและกลวงดังแสร้งควักเสีย ผมเขานั้นยุ่งรุ่ยร่ายลงมาปกปากเขา มาตรว่าผ้าร้ายน้อย ๑ ก็ดี แลจะมีปกกายเขานั้นก็หาบมิได้เลยเทียรย่อมเปลือยอยู่ชั่วตน ตัวเขานั้นเหม็นสาบพึงเกลียดนักหนาแล เขานั้นเทียรย่อมเดือดเนื้อ้อนใจเขาแล เขาร้องไห้ร้องครางอยู่ทุกเมื่อแล เพราะว่าเขาอยากอาหารนักหนาแล ฝูงเปรตทั้งหลายนั้นเขายิ่งหาแรงบมิได้เขาย่อมนอนหงายอยู่ไส้ เมื่อแลฝูงนั้นเขานอนอยู่แลหูเขานั้นได้ยินประดุจเสีงคนร้องเรียกเขาว่า สูทั้งหลายเอ๋ยจงมากินข้าวกินน้ำ แลฝูงเปรตทั้งหลายนั้เขาได้ยินเสีงดังนั้นเขาก็ใส่ใจว่เขามีข้าวมีน้ำ จึงเขาจะลุกไปหากินไส้ก็ยิ่งหาแรงบมิได้ เขาจะชวนกันลุกขึ้นต่างคนต่างก็ล้มไปล้มมา และบางคนล้มคว่ำบางคนล้มหงาย แต่เขาทนทุกข์อยู่ฉันนั้นหลายคาบนักแล แต่เขาล้มฟัดกันหกไปหกมาและค่อยลุกไปดังนั้น แลเขาได้ยินดับงนั้นแลเขามิใช่ว่าแต่คาบเดียวไส้ ได้ยินอยู่ทั้งพันปีนั้นแล ผิแลว่าเขาอยู่เมื่อใดหูเขานั้นเทียรย่อมได้ยินดังนั้นทุกเมื่อ ครั้นว่าเขาลุกขึ้นได้เขาเอามือทั้งสองพาดเหนือหัวแล้วแล่นชืนชมดีใจไปสู่ที่เสียงเรียกนั้นเร่งไปเร่งแลหาที่แห่งใดแลจักมีข้าวแลน้ำไส้ก็หาบมิได้ เขาจึงร่ำร้องไห้ด้วยเสียงแรงแล้วเขาเป็นทุกข์นักหนา เขาก็ล้มนอนอยู่เหนือพื้นแผ่นดินนั้นแล เปรตทั้งหลายเมื่อเขาแล่นไปดังนั้นไกลนักหนาแล เปรตเหล่านี้ไส้เมื่อเป็นคนอยู่นั้นมักริษยาท่าน เห็นท่านมีดูมิได้ เห็นท่านยากไร้ดูแคลนเห็นท่านมีทรัพย์สินจะใคร่ได้ทรัพย์สินท่านย่อมริกระทำกลที่จะเอาสินท่านนั้นมาเป็นสินตน แล ตระหนี่มิได้ให้ทาน รั้นว่าเห็นเขาจะให้ทานตนย่อมห้ามปรามมิให้เขาให้ทานได้แล ฉ้อเอาทรัพย์สินสงฆ์มาไว้เป็นประโยชน์แก่ตน คนจำพวกนี้แลตายไปเกิดเป็นเปรตอยู่ที่ร้ายนักดังนั้นทุกตนแลฯ แลเปรตจำพวก ๑ มีตัวดังมหาพรหมแลงามดังทอง แลปากนั้นดังปากหมูแลอดอยากนักหนาหาอันจะกินบมิได้สักสิ่งสักอัน เขานั้นมีตนงามดังทองนั้นเพื่อฤๅสิ้น เมื่อก่อนเขาได้บวชเป็นชีจำศีลบริสุทธิ์ฯ อันว่ามีปากดังปากหมูนั้นเพราะว่าเขาได้ประมาทและกล่าวขวัญครูบาอาจารย์แลเจ้ากูสงฆ์ผู้มีศีลฯ เปรตจำพวก ๑ ตัวงามดังทอง แลปากนั้นเหม็นนักหนา หนอนก็ออกเต็มปากแลหนอนนั้นย่อมบ่อนกินปากเขาเจาะกินหน้าตาเขา ๆ มีตัวงามดังทองนั้นเพราะเขาได้รักษาศีลเมื่อก่อนแล ปากเขาเหม็นเป็นหนอนออกบ่อนกินปากเขานั้น เพราะว่าเขาได้ติเตียนยุยงสงฆเจ้าให้ผิดกันฯ เปรตฝูงผู้หญิงจำพวก ๑ เทียรย่อมเปลือยอยู่แลมีตนอันเหม็นนักหนา ทั่วสารพางค์แลมีแมลงวันตอมอยู่เจาะกินตนเขามากนักแล ตนเขานั้นผอมนักหนาหาเนื้อบมิได้เลยสักหยาดเท่าว่ามีแตจ่เอ็นแลหนังพอกกระดูกอยู่ไส้ เปรตเหล่านี้อดอยากนักหนาหาสิ่งอันจะกินบมิได้เลยสักหยาด แลเมื่อเขาจะคลอดลูกแลลูกเขานั้นได้แลเจ็ด ๆ คน เขาหากกินเนื้อลูกเขานั้นเองเขาก็บมิอิ่มโสด เมื่อเขาคลอดลูกเขาได้แลเจ็ดคนโสดเขาหากกินลูกเขาเองก็บมิรู้อิ่มโสดฯ แลเขากินเนื้อลูกเขานั้นเพราะเขาอยากนักเขาอดอยากบมิได้แล เปรตฝูงนี้เมื่อเขาเป็นคนอยู่นั้น เขาให้ยาแก่ผู้หญิงอันมีท้องนั้นกินแล ให้ลูกเขาตกจากครรภ์แล้ว ๆ เขาทนสบกว่าฉันนี้ ผิว่ากูให้ยาตนกินแลให้ลูกตนตกไส้แลให้กูเป็นเปรตมีเนื้อตัวอันเหม็นและมีแมลงวันอยู่เจาะตอมกูกินทุกเมื่อแลให้กูคลอดลูกกูเมื่อเช้า ๗ คนทุกวัน แลให้กูกินเนื้อลูกกูเองทุกวั้นจง อย่ารู้สิ้นสักคาบเลย ด้วยบาปกรรมอันเขาได้ให้ยาแก่ผู้หญิงอันมีครรภ์นั้นกินแลให้ลูกเขาตกจากครรภ์แล้ว ๆ เขาก็ได้สบถดังนั้นเขาก็อยู่เปลือแลมีแมลงวันตอมตนเขา ๆ ผอมหาเนื้อบมิได้ แลย่อมฉีกเนื้อลูกตนกินเองทุกวันเสมอวันแล ๑๔ คนเพื่อดังนั้นแลฯ เปรตฝูงหญิงจำพวกนี้ย่อมอยู่เปลือยบมิงามสักแห่งเทียรย่อมอยากเผ็ดนักหนาแล ครั้นว่าเขาเห็นข้าวแลน้ำมาซึ่งหน้าเขา ครั้งเขาหยิบเอามากินไส้ข้าวแลน้ำนั้นก็กลายเป็นก้อนอาจมเป็นเลือดเป็นหนองไปฯ ครั้นเขาเห็นผ้ามาซึ่งหน้าเขา ครั้นเขาเอาผ้านั้นมาห่มไส้ ผ้านั้นก็กลายเป็นแผ่นเหล็กแดงไหม้ทั้งตัวเขาทุกแห่งแล เปรตฝูงนี้เมื่อเขาอยู่เป็นคนไส้ ผัวเขานั้นให้ข้าวน้ำผ้าผ่อนเป็นทานแก่สงฆ์แลเขาขึ้งเคียดด่าทอผัวตนด้วยถ้อยคำว่าฉันนี้ อันมึงทำบุญให้ทานข้าวน้ำผ้าผ่อนทั้งนี้แก่ชีนั้น จงกลายเป็นลามกอาจมแลเป็ฯเลือดเป็นหนองให้มึงกินจงทุกคำเถิด แลผ้าผ่อนนั้นจงกลายเป็ฯเหล็กแดงไหม้มึงจงทุกแห่งเถิด ด ้วยบาปกรรมอันตนได้ดาผัวแช่งผัวเขาดังนั้น เหตุเขาได้กระทำแลได้เป็นเปรตเพื่อดังนั้นแลฯ เปรตจำพวก ๑ มีตนใหญ่สูงเพียงลำตาล แลมีผมนั้นหยาบนัก แลมีตัวนั้นเหม็นนักหนาหาที่จะดีบมิได้สักแห่ง เขานั้นอดอยากเผ็ดเร็ดไร้นักหนาหาที่จะดีบมิได้สักแห่ง เขานั้นอดอยากเผ็ดเร็ดไร้นักหนา แม้นว่าข้าวเมล็ด ๑ ก็ดี น้ำหยาด ๑ ก็ดี ก็มิได้เข้าท้องเลยสักน้อยแล เปรตฝูงนี้เมื่อกำเนิดเกิดก่อน เขานี้ตระหนี่นักแล เขาบมิมักกระทำบุญให้ทานเลย เขาเห็นท่านกระทำบุญให้ทานไส้ มันย่อมห้ามปรามเสียมิให้ท่านทำบุญให้ทานได้ ด้วยบาปกรรมอันตระหนี่และมิมักทำบุญให้ทานดังนั้น เขาได้ไปเป็นเปรตแลอดอยากนักหนา อาหารจะกินไส้ก็หาบมิได้สักอันนั้ เพราะบาปแลกรรมเขาอันได้กระทำบมิดีนั้นแลฯ เปรตจำพวก ๑ ไส้เขาเทียรย่อมเอาสองมือกอบเอาข้าวลีบอันลุกเป็นไฟนั้นมาใส่บนหัวตนเองอยู่ทุกเมื่อไส้ เปรตจำพวกนี้เมื่อกำเนิดเขากระทำก่อนนั้นเขาเอาข้าวลีบปนด้วยข้าวดีแล้วเอาไปลวงขายแก่ท่านฯ และด้วยบาปเขาดังนี้ เขาจึงเอามือเขากอบเอาข้าวลีบเป็นไฟนั้นมาใส่เหนือหัวเองไว้ลุกเป็นไฟไหม้หัวเขาอยู่ทุกเมื่อ เพราะบาปกรรมเขาได้กระทำเขาจึงทนทุก ๆ เมื่อดังนี้แลฯ เปรตจำพวก ๑ เขาย่อมเอาค้อนเหล็กอันแดงตีหัวเขาเองอยู่ทุกเมื่อบมิวายไส้ แลเปรตจำพวกนี้เมื่อกำเนิดเขาแต่ก่อนไส้ เขาได้ตีหัวพ่อแม่แห่งเขาด้วยมือก็ดี ด้วยไม้ก็ดี ด้วยเชือกกก็ดี ด้วยบาปกรรมเขาอันได้ตีหัวพ่อแม่เขานั้น เขาก็เอาค้อนเหล็กแดงตีหัวเขาเองอยู่ทุกเมื่อเพื่อบาปกรรมเขาทำเองนั้นแลฯ แลเปรตจำพวก ๑ นั้นอดอยากนักหนา แลเห็นข้าวน้ำเป็นอันหวาน อันนี้แลมีรสนัก เปรตนั้นจึงเอามากิน ครั้นว่ากินเข้าไปนั้น ๆ ก็กลายเป็นลามกอาจมเป็นเน่าเป็นหนอนเหม็นนักบมิวาย สักคาบด้วยบาปเขาเองแก่ก่อนโพ้น เขาเห็นท่านมาขอทานข้าวแก่เขาแลข้าวเขามีอยู่ไส้แลเขาพรางเสียว่าข้าวข้าหามิได้ ผู้น้นก็เร่งขอซ้ำเล่า เขานั้นมิให้จึงวบถว่าดังนี้ ผิแลว่ามีข้าวแลกูพรางว่ามิได้ไส้แลขอให้กูกินลามก อาจม อันระคนด้วยเน่าแลหนอนอันเหม็นนักหนานั้นเถิด ด้วยบาปกรรมเขาอันได้สบถแลพรางท่านว่าหาบมิได้นั้น ครั้นว่าตายไปเป็นเปรตอยู่ เขาก็ทนทุกข์กินแต่ลามกอาจมอันระคนด้วยเน่าแลหนอนเหม็นนักหนาอยู่ดังนั้นทุกเมื่อเพื่อบาปแห่งเขาได้พรางแลทนสบถนั้นแลฯ แลเปรตฝูงหญิงจำพวก ๑ เล่า เทียรย่อมมีเล็บมืออันใหญ่ยาวแลคนดังมีดกรดนั้นย่อมขูดเอาเนื้อแลหนังของตนกินเองทุกเมื่อแล เปรตฝูงนี้เมื่อาติก่อนโพ้นเขาได้ลักเนื้ออันเป็นส่วนของผู้อื่นนั้นมากิน ครั้นว่าท่านเจ้าของถามตนไส้ ตนมิรับ ๆ แต่ว่ข้ามิได้ลักของท่าน มันจึงสบถว่าฉันนี้ผิแลว่าข้าได้ลักของท่านกินจริงไส้ขอให้กูเอาเล็บมือกูขูดเนื้อแลหนังกูกินเถิด ครั้นว่าตายไปเป็นเปรตอยู่ก็เอาเล็บมือตนขูดเนื้อตนหนังตจนกินเอง อยู่ทุกเมื่อ เพื่อบาปตนลักของท่านแลสบถให้ท่านเชื่อตนนั้นแลฯ ยังมีเปรตจำพวก ๑ เมื่อกลางวันไส้ เขายิงเขาตีเขาด่าเขาฆ่าเขาแทงตน แลมีหมาใหญ๋เท่าช้างสารมันไล่ขบไล่กัดกินเนื้อเขา ๆ ลำบากทนทุกขเวทนานักหนาอยู่ฉันนี้ทุกเมื่อ ๆ กลางคืนไส้เขาได้เป็นเทพยดา แลมีนางฟ้าเฝ้าจำเริญแลได้เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ดังเทพยดาแล เขาเป็นดังนี้ทุกวารทุกเดือนตราบเท่าสิ้นบาปกรรมเขานั้น อันว่าเปรตฝูงนี้ไส้เมื่อก่อนเป็นพราน เมื่อกลางวันเขาเข้าป่าล่าเนื้อ เมื่อกลางคืนไส้เขาจำศีล ด้วยบาปกรรมเขาอันได้ฆ่าเนื้อเมื่อกลางวันนั้นแลจึงท่านได้ฆ่าได้ตีได้พุ่งได้แทง แลจึงมีหมาเท่าช้างสารไล่ขบกินเนื้อเขาดังนี้ เพราะว่าฝูงเปรตฝูงนี้ทำบาปกลางวันไส้จึงได้ทนทุกข์กลางวันเพื่อดังนี้แลฯ แลด้วยผลบุญอันเขาได้จำเริญศีลเมื่อกลางคืนนั้นเขาจึงได้เป็นเทพยดา แลมีนางฟ้าเฝ้าจำเริญเสวยสมบัติอันเป็นทิพย์เมื่อกลางคืนนั้นทุกคืนไส้ ได้ด้วยกุศลผลบุญอันเขาได้จำศีลนั้นแลฯ แลมีเปรตจำพวก ๑ มีวิมานดังเทพยดา แลมีเครื่องประดับนิ์ด้วยเทียรย่อมแล้วไปด้วยเงินแลทองของแก้ว แลเครื่องประดับนิ์อาภรณ์ไส้แล้วด้วยแก้วสัตตพิธรัตนแลมีนางฟ้าหมื่น ๑ ห้อมล้อมเป็นบริวาร เปรตนั้นอยากเผ็ดเร็ดไร้นักหนาหาอาหารจะกินบมิได้ แลย่อมเอาเล็บมือของตนอันคมดังมีดกรดนั้นมาช่วนมาชูกเอาเนื้อแลหนังขอตนออกมากินต่างอาหารไส้ เปรตเหล่านี้เมื่อก่อนโพ้นมันได้เป็นนายเมืองแลแต่งบังคับความราษฎรทั้งหลายไส้ แลมันย่อมมักกินสินจ้างของเขา ที่ผู้ชอบไส้มันว่าผิด ที่ผู้ผิดไส้มันว่าชอบ มันมิได้กระทำโดยแพ่งธรมหามิได้แลฯ ยังมีในกาลวงันหนึ่งไส้ พอเป็นวันจำศีล พระญาผู้เป็นเจ้าเมืองนั้นธทรงศีล ๘ อันแล ฝูงขุนนางอีกด้วยมุนนายทั้งหลายก็จำศีลด้วยพระญาผู้เป็นเจ้าเป็นนายเมืองนั้นทุกคน ส่วนว่านายเมืองนั้นมิได้จำศีลไส้ แลนายเมืองนั้นมันไปเฝ้าพระญาด้วยมันกับคนทั้งหลายซึ่งเป็นข้าเฝ้านั้น พระญาก็ตรัสถามมันว่าดังนี้ มึงจำศีลหรือว่ามึงมิได้จำศีล แลนายเมืองนั้นมันมิได้จำศีลไส้ มันก็จะอายแก่คนทั้งหลายมันก็กราบทูลแด่พระญาว่าข้าพระเจ้าได้จำศีลฯ ยังมีเกลอมันคน ๑ อยู่แทบข้างมัน เกลอคนนั้นรู้ใจมันว่ามันรู้มิจำศีลมิรู้ทำบุญ ฃทำธรรมจึงเกลอผู้นั้นก็ค่อยลอบถามมันว่า เกลอเหยเกลอจำศีลจริงหรือมันก็บอกแก่เกลอมันตามจริงว่ามิได้จำศีล รั้นว่ากูจะว่ากูมิได้จำศีลไส้กูจะได้ความละอายแก่คนทั้งหลาย แลกูกด็สับปลับว่าว่ากูได้จำศีลแลฯ เกลอจึงว่าแก่มันฉันนี้ ผิแลว่าดังน้นแต่วันนี้ไปพหน้าเถิงคืนก็ดีเถิงค่ำก็ดี เกลออย่ากินข้าวเพราเลยเกลออดข้าวเพราให้เถิงรุ่ง ครั้นว่ารุ่งแล้วจึงกินข้าวได้บุญแก่เกลอแล อนึ่งเกลอก็ได้กราบทูลท่านแล้วว่าเกลอได้จำศีลด้วยท่านทั้งหลาย ๆ จะว่แก่สหายว่า สหายพรางเจ้าพรางนายไส้ฯ นายเมืองมันจำความเกลอมัน มันก็เห็นความด้วยวันนั้นมันก็อดข้าวเพรานอนในกลางคืนวันนั้น เหตุว่ามันมิเคยอดข้าวเพราครั้นว่ามันอดข้าวเพรานอน ลมก็ถือตนมัน ๆ ก็ตายในกลางคืนวันนั้นแล ด้วยบาปกรรมของมันที่มันเป็นนายเมืองแลกินสินจ้าง แลมิบังคับความโดยคลองธรรมดังนั้น มันจึงเป็ฯเปรตอยากเผ็ดเร็ดไร้ใหญ่หลวงนักหนาหาอาหารจะกินบมิได้เลยสักหยาดแล ย่อมเอาเล็บมือของตนอันคมดังมีดตรีแล่ขอดเอาเนื้อหนังของตนกินเองทุกเมื่อดังนั้น เพราะบาปกินสินจ้างบังคับความมิโดยคลองธรรมนั้นแลฯ ด้วยผลบุญอันได้ฟังคำสหายให้โอวาทสั่งสอน แลได้จำศีลแลอดข้าวเพราเถิงตัวตายดังนั้น มันก็ได้วิมานแลเครื่องประดับนิ์ตนอันแล้วไปด้วยสัตตพิธรัตนะแลมีนางฟ้าหมื่น ๑ เป็นบริวารนั้นไส้ ได้ด้วยบุญอันจำศีลนั้นแลฯ แลยังมีเปรตจำพวก ๑ ไส้ ย่อมกินแต่เศลษม์แลรากแลน้ำลายไคลกินน้ำเน่าน้ำหนอง แลกินลามกอาจมอันร้ายแลเหม็นนั้นอยู่ทุกเมื่อแล เปรตนั้นเมื่อชาติก่อนนั้นเขาย่อมเอาข้าวแลน้ำอาหารอันเป็นเดนเป็นชายนั้นไส้ แลเอาไปให้แก่พระสงฆเจ้าผู้มีศีล ด้วยบาปกรรมอันเขาได้ให้ขั้าวแลน้ำอาหารที่เป็นเดนเป็นชานนั้นแก่พระสงฆเจ้าฉันนั้น ครั้นว่าเขาตายจึงได้เป็ฯเปรตก็กินแต่เศลษม์แลรากแลน้ำลาย น้ำเน่าน้ำหนองลามกอาจม อันเหม็นเป็นอาหารทุกเมื่อเพื่อบาปกรรมเขาดังนี้แลฯ ยังมีเปรตจำพวก ๑ เล่าเขาเทียรย่อมกินแต่น้ำหนองเน่แลหมาเน่าหมาพอง อันเขาเอาไปทอดเสียในป่าช้าทุกเมื่อแล เปรตผู้นี้เมื่อาติก่อนโพ้นเขาย่อมได้เอาเนื้อช้างเนื้อหมาแลเนื้อสัตว์ทั้งหลายอันมีเล็บก็ดี หาเล็บมิได้ก็ดี ในลักขณะพระวินัยอันพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้มิให้พระสงฆเจ้าฉันไส้ แลเขาได้เอามาอำพรางให้พระสงฆเจ้าฉัน ด้วยความอำพรางให้ท่านฉันนั้น ครั้นว่าตนตายได้เป็นเปรตจำพวกนี้ เพราะว่าบาปกรรมอันเขาได้พรางพระสงฆเจ้าแลให้มีใจโมหดังนั้น จึงเขาได้กินแต่น้ำเลือดน้ำหนองหมาเน่าหมาพองเป็นอาหารทุกเมื่อ เพื่อบาปกรรมเขาเพราะเขาอำพรางพระสงฆเจ้าให้ฉันนั้นแลฯ ยังมีเปรตจำพวก ๑ เล่า แลมีเปลวไฟพุ่งออกแต่อกแต่ลิ้นแต่ปากแห่งเขาแล้ว ๆ เ ปลวไฟนั้นลามไหม้ทั้งตัวเขาทุกแห่งแล เปรตจำพวกนี้เมื่อชาติก่อนโพ้นไส้ เขาได้ด่าแลสบประมาทพระสงฆเจ้า อันหนึ่งเขากล่าวคำมุสาวาทแก่พระสงฆ์ผู้เฆ่าผู้แก่ผู้มีศีลด้วยคำอำพรางท่านก็ดี ครั้นตายไปเป็นเปรตอยู่ด้วยบาปกรรมเขาอันเขาได้ด่าทอไส้ แลกล่าวประมาทแลกล่าวไส้ความแก่ท่านแลพรางท่านผู้มีศีลดังนั้น แลเปลวไฟจึงพุ่งออกแต่อกแต่ปากแต่ลิ้นแลลามไปไหม้ทั่วตัวเขาดังนั้นทุกเมื่อเพื่อบาปกรรมเขาได้กระทำดังกล่าวมานี้แลฯ
ยังมีเปรตจำพวก ๑ เล่าร้ายนักหนา หาน้ำจะกินบมิได้เลยสักหยาด แลเปรตนั้นอยากน้ำนักหนาดังว่าใจจะขาด จึงแล่นไปข้างซ้ายข้างขวาเพื่อจะหาน้ำกิน จึงแลเห็นน้ำใสงามแก่ตา ครั้นว่าเขาเอามือกอบเอาน้ำนั้นมากินไส้ น้ำนั้นก็กลายเป็นไฟไหม้ทั้งตัวเขา ๆ ก็เกลือกไปเกลือกมาเขาก็ตายในไฟนั้นหึงนานนักหนาแล เปรตฝูงนี้เมื่อก่อนโพ้นเขาย่อมข่มเหงคนเข็ญใจด้วยอันหาความกรุณาปรานีบมิได้แล เห็นของท่านจะใคร่ได้แก่ตนเห็นสินท่านจะใคร่เกียดเอา ท่านหาความผิดบมิได้ใส่ตนว่าท่านผิด ครั้นว่าตายก็เป็นเปรตอยู่หึงนานด้วยบาปกรรมเขาอันเขาได้กระทำข่มเหงผู้เข็ญใจให้เขาร้อนเนื้อเดือดใจเขาดังนั้นแล เปรตนั้นผอมบางร้ายนักหนาหาอันจะกินบมิได้เลย อดอยากนักหนาดังใจเขาจะขาด ครั้นเขาเห็นน้ำใสแลกอบเอามากินไส้ น้ำนั้นกลายเป็นไฟไหม้ทั้งตนเขา ๆ ก็กลิ้งเกลือกตายในไฟนั้นนานนักหนา เพราะว่าบาปเขา ๆ ทำข่มเหงท่านผู้อื่นเพื่อดังนั้นแลฯ ยังมีเปรตจำพวก ๑ เล่าเทียรย่อมมีตัวเปื่อยเน่าแลผอมนักมีหลังก็ขดมือก็เน่าตีนก็เปื่อย แลเอาย่อมเอาไฟมาคลอกตัวเขาเองอยู่ทุกเมื่อ แลตัวเขานั้นดังขอนไม้อันกลิ้งอยู่ ณ กลางไร่แลเขากลิ้งไปกลิ้งมาทนทุกขเวทนานักหนาดังนั้นเป็นช้านานนัก แลเปรตฝูงนี้ไส้เมื่อก่อ่นเขาคลอกป่าเผาป่า แลสิงสัตว์อันใดที่หนิมิทันนั้นไฟก็ไหม้ลามตาายฯ ยังมีฝูงเปรตจำพวก ๑ มีตนนั้นใหญ่เท่าภูเขา แลมีเส้นขนอันรียาวแลเสียบแหลมนักหนา ทั้งเล็บตีนเล็บมือใหญ่แลเล็บนั้นคมนักดังมีดกรดแลหอกดาบ ครั้นว่าเล็บตีนเล็บมือแลขนนั้นฟัดกันเมื่อใดได้ยินดัง ๆ เสียงฟ้าลั่นแล้วเป็นเปลวไฟลุกขึ้นไหม้ทั้งตนเขา แลบาดตัวเขาดุจดังขวานฟ้าผ่าลงทั่วตนเขาทุกแห่งแล เปรตฝูงนี้เมื่อก่อนเขาได้เป็นนายเมืองแลแต่งความเมืองมิชอบทางธรรม ย่อมเห็นแก่สินจ้างแลสินสอดบมิเป็นกลาง การย์ ผู้ชอบไส้ว่าผิด การย์ ผู้ผิดไส้ว่าชอบ ด้วยบาปกรรมแต่งความบมิชอบธรรมดังนั้นไส้ ครั้นว่าเขาตายไปเขาไปเป็ฯเปรตอยู่แลมีตัวใหญ่เท่าภูเขา แลมีขนมีเล็บตีนเล็บมืออันใหญ่อันาวแลคมดังมีดตรีแลดาบหอก ครั้นแลฟัดกันดังดังเสียงสายฟ้าผ่า เส้นขนแลเล็บตีนเล็บมือเขานั้นลุกเป็ฯเปลวไฟสะเทือนมาแทงตัวเขาเองอยู่ทุกเมื่อแล เมื่อบาปกรมกินสินจ้างสินสอดแลแต่งความเมืองมิเป็นธรรมนั้นแลฯ แลกล่าวเถิงสัตว์อันเกิดในสเปรตภูมิ อันเป็นตติยกัณฑ์โดยสังเขปกถา จบเท่านี้แลฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไตรภูมิพระร่วง_-_คลังปัญญาไทย
|
13957
|
57537
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13957
|
ไตรภูมิพระร่วง/อสุรกายภูมิ
|
อสุรกายภูมิ.
จะกลาวเถิงสัตว์อันเกิดในอสุรกายภูมินั้นย่อมเอาปฏิสนธิในโยนิทั้ง ๔ อันแล ฯ ลางอสุรเอาด้วยอัณฑชะโยนิ ลางอสูรเอาด้วยชลามพุชะโยนิ ลางอสุรเอาด้วยสังเสทชะโยนิ ลางอสุรเอาด้วยอุปปาติกโยนิแลฯ อันว่าสุรกายทั้งนี้มีเป็นคำรบ ๒ สิ่ง ๆ หนึ่งื่อกาลกัญชกาสุรกายฯ สิ่งหนึ่งชื่อว่าทิพพอสุรกายแลฯ อันว่ากาลกัญชกาอุรนั้นมีตนสูงได้ถึงคาพยุต ๑ ผิจคณนาด้วยวามนุษย์นี้ได้ ๒๐๐๐ วา แลมีตัวนั้นผอมนักหนา มาตรว่เนื้อน้อยหนึ่งก็ดีเลือดน้อยหนึ่งก็โ ก็หาบมิได้ในตัวเขานั้นแล ตัวเขานั้นดังใบไม้อันแห้งนั้นแล มีตาอันน้อยดังตาปูแล ตาเขานั้นขึ้นไปตั้งอยู่เหนือกระหม่อมแล ปากเขานั้นน้อย ๆ เท่ารูเข็มแล ปากนั้นอยู่เหนือกระหม่อมโสด ผิแลว่าเขาเห็นสิ่งอันใดแลเขาจะใคร่เอากินไส้เทียรย่อมปักหัวลง เอาตีนชันขึ้นจึงได้กิน แลที่เขาอยู่ไส้เทียรย่อมอยู่ถือสากแต่ตีกันทุกเมื่อ แลฝูงกัญชกาสุรกายนี้หาความสุขบมิได้ ยากเย็นเข็ญใจ นักหนากว่าอสุรกายฝูงอื่นแลฯ อันว่ากาลกัญชกาสูรกายนั้นมี ๒ จำพวก ๆ ๑ ไส้ เป็นทุกข์ลำบากเข็ญใจนัก
ดังกล่าวมานี้แลฯ แลจำพวก ๑ นั้นไส้มีตนสูงได้คาพยุต ๑ ดุจเดียว แต่ว่ามีรูปนั้นต่าง ๆ กัน แลมีหน้าบมิงามท้องยานฝีปากใหญ่ แลมีเล็บตีนเล็บมืออันรี แลมีตานั้นฝังตาดำสูง หลังหัก จมูกเบี้ยวใจกล้าหน้าแข็งแรง มักเคียด มักพูดแก่กาลกัญชกาสูรกายฝูงนั้น ยังมี ๆ ช้างมีม้ามีข้ามีไทยแกล้วหาญ มีรี้พลเพียงดังพระอินทร์ อันว่ที่อยู่แห่งอสูรกายนั้นเขาย่อมอยู่ใต้เขาพระสุเมรุราช ยังมีที่อันหนึ่งชื่อว่าอสูรพิภพ โดยกว้างได้หมื่นโยชน์เทียรย่อมแผ่นทองคำดูเรืองงามนักหนา ที่นัน้นเป็นเมืองพระญาอสูรราชอยู่หนแลฯ แต่มนุษย์เรานี้ลงไปเถิงอสูรพิภพอยู่นั้นลึกได้ ๘๔๐๐๐ โยชน์ มีเมืองอสูรใหญ่ ๔ เมือง แลเมืองมีพระญาอสูรอยู่ละเจ้า ๆ ละแห่งละสอง ๆ พระญา แลเมืองนั้นมีปราสาทราชบัณฑิต ความเป็นมณเทียรย่อมแล้วด้วยทองแลประดับนิ์ด้วยแก้วสัตตพิธรั้ตนะ แลมีกำแพงทองประดับนิ์ด้วยแก้วอันมีค่าได้อนันต์ แลมีปราการประตูเมืองได้แล ๑๐๐๐ ประตูย่อมสรรพด้วยแวอันมีค่า แลประดับนิ์ด้วยแก้วมีประตูล้อมรอบโดยบลึกได้ชั่วลำตาล ๑ กลางเมืองนั้นมีสระทองมีดอกบัว ๔ สิ่ง บนงามนักรุ่งเรืองดังทองแล ย่อมประดับนิ์ด้วยแก้วสัตตพิธรัตนะ พระญาอสูรย่อมลงเล่นสนุกนิ์ดุจดังนันทโบกขรณีอันมีในไตรตรึงษาสวรรค์ แลมีเมืองน้อยก็มาก มีบ้านใหญ่บ้านน้อยก็มาก แลมีน้ำสมุทรท่วมครึ่งกลางเมืองอสูรนั้น ในท่ามกลางแผ่นดินอันชื่ออสูรพิภพนั้น แลมีไม้ต้น ๑ เกิดแต่อาทิตั้งแผ่นดินเป็นธรรมดา แลไม้ต้นนั้นใหญ่เท่าไม้ปาริกชาตอันมีในไตรตรึงษาสวรรค์นั้น แลไม้ต้นนั้นแต่ต้นขึ้นไปค่าคงได้ ๔๐ โยชน์ แต่ค่าคบเถิงยอดได้ ๔๐ โยชน์ มีตารอบนั้นย่อมยาวแลตา แลได้ ๕๐ โยชน์ ใต้ต้นไม้นั้นมีศิลา ๔ แผ่นอยู่รอบต้นไม้แคฝอยนั้น โดยทิศใหญ่ทั้ง ๔ ทิศแลแผ่นศิลานั้นแต่แลแผ่นโดยกว้างได้ ๓ โยชน์จตุรัส ครั้นว่าเมื่อใดวันดีคืนดี แลพระญาอสูรทั้งหลายย่อมไปเล่นสนุกนิ์สำราญด้วยกันแห่งนั้นแล อสูรฝูงนั้นเป็นดีนักแล มีปราสาทราชมณเฑียรย่อมเงินแลทอง แลประดับนิ์ด้วยแก้วทั้ง ๗ ประการ แล้วแลรุ่งเรืองงามนักหนา เท่าว่ายังถ่อมกว่าเมืองไตราตรึงษานั้นน้อย ๑ แลฯ เมืองทิศตระวันออกนั้นมีพระญาอสูรสองตน ตนหนึ่งชื่อว่าเวปจิตราสูร ๆ นั้นเป็นพระญาแก่อสูรทั้งหลายอยู่เมืองบุพวิเทหนั้นแลฯ เบื้องทักษิณทิศมีพระญาอสูร ๒ ตน ๆ หนึ่งชื่อว่าอสัพพร ตน ๑ ชื่อว่าสุลิเป็นพระญาแก่อสูรทั้งหลายอยู่เมืองชมพูทวีปนี้แล ฝ่ายตระวันตกมีพระญาอสูร ๒ ตน ๆ หนึ่งชื่อว่าเวราสูร ตน ๑ ชื่อว่าปริกาสูรเป็ฯพระญาแก่อสูรทั้งหลายอันอยู่เมืองอมรโคยานีทวีปแล เมืองอุตรกุรุทวีป มีพระญาอสูร ๒ ตน ๆ หนึ่งชื่อพรหมทัต ตน ๑ ชื่อราหู เป็นพระญาแก่หมู่อสูรทั้งหลายอันอยู่เมืองอุตรกุรุทวีปนั้นแลฯ พระญาอสูรผู้ชื่อว่าราหูนั้นมีอำนาจแลมีกำลังกล้าแกล้วหาญกว่าพระญาอสูรทั้งหลาย ใหญ่กว่าเทพยดาทั้งหลายในสวรรค์โดยสูงได้ ๙๘๐๐๐ โยชน์ฯ แลอ้อมรอบหัวโดยใหญ่ ๘๐๐ โยชน์ แลหัวเขากว้างได้ ๑๒๐๐ โยชน์ แต่ข้างแลข้างได้ ๒๖๐๐ โยชน์ แลหน้าผาากโดยกว้างได้ ๓๐๐ โยขน์ แลจมูกโดยยาวได้ ๓๐๐ โยชน์ แต่หว่างคิ้วก็ดีหว่างตาก็ดีได้ ๙๐ โยชน์ แต่หัวคิ้วมาเถิงหางคิ้วได้ ๒๐๐ โยชน์ แต่หัวตามาเถิงหางตาได้ ๒๐๐ โยชน์ แต่ปากโดยกว้างได้ ๒๐๐ โยชน์ โดยลึกปากได้ ๓๐๐ โยชน์ โดยกว้างฝ่ามือได้ ๒๐๐ โยชน์ ขนตีนขนมือขนนั้นแลยาวได้เถิง ๓๐ โยชน์ ฯ ครั้นเมื่อวันเดือนเพ็งแลเดือนนั้นงามฯ ครั้นเมื่อวันเดือนดับแลตระวันงามแลราหูนั้นมีหน้าจะมักเห็นพระอาทิตย์ แลพระจันทร์อันงามดังนั้น แลมันมีใจหึงษามันจึงขึ้นเหนือจอมเขายุคุนธรนั้นแล ก็นั่งอยู่ถ้าพระอาทิตย์อันอยู่ในปราสาทอันสถิตอยู่ในเกวียนทองพายทอง แลประดับนิ์ด้วยแก้วอันชื่ออินทนิลแลมีรัสมีได้พัน ๑ อันงามนักแล มีม้าสินธพชาติพัน ๑ เข็นเกวียนทองนั้นไปล่วงอากาศ เลียบรอบขอบพระสิเนรุราชไปด้วยเพียงปลายเขายุคุนธรแลฯ พระจันทร์เจ้าไส้อยู่ในปราสาทไส้อันมีอยู่ในเกวียนแก้วมณีรัตนแล มีม้าสินธพชาติ ๕๐๐ เข็นไปล่วงอากาศต่ำกว่าทางพระอาทิตย์นั้นโยชน์ ๑ เลียบรอบเขาพระสิเนรุราชแลดาษไปด้วยดาวดารากรทั้งกลาย
ครั้งไปเถิงราหูอยู่นั้นลางคาบราหูอ้าปากออกเอาพระอาทิตย์แลพระจันทร์วับเข้าไปไว้ในปาก ลางคาบเอานิ้วมือบังไว้ ลางคาบเอาไว้ใต้คาง ลางคาบเอาไว้ใต้รักแร้ แลกระทำดังเมื่อกระทำดังนั้นไซร้ อันว่ารัสมีพระอาทิตย์ก็โ พระจันทร์ก็ดีเศร้าหมองบมิงามได้เลย แลคนทั้งหลายว่ามีสุริยคาธแลฯ จะกล่าวถึงพระพุทธศรีสากยมุนีโคดมเจ้าเรา เมื่อเสด็จยังธรมานอยู่ในโลกย์นี้แลยังมิไปเสด็จเข้าสู่พระนิพพานไส้ฯ ในกาลคาบ ๑ พระเจ้าเสด็จอยู่ในเชตุพนมหาวิหารอันเป็นอารามแห่งนายอนาถบิณฑิกเศรษฐีแลอาศัยแก่เมืองสาวัตถีมหานคร ในกาลเมื่อวันเพ็งบุณณมีทิวสแลเกิดมีจันทคาธ จึงพระจันทร์เทพบุตรก็ระลึกเถิงพระพุทธเจ้าก็นมัสการแด่พระพุทธเจ้าแล้วแล กล่าวด้วยคาถาว่าดังนี้ว่า ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้เพียร ข้าก็ไหว้พระบาทแห่งพระผู้มีพระภาคยน์พระองค์อังพ้นจากกิเลสทั้งปวง แลบัดนี้ข้าผู้เเป็นข้าพระองค์เจ้ามาบังเกิดภัยอันตรายยากเนื้อแค้นใจนักหนา แลพระองค์เจ้าจงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าแลช่วยทุกข์ข้าผู้ลำบากใจดังนี้ฯ ในกาลนั้นพระสัพพัญญูเจ้าผู้เป็นโลกวิทูธก็ตรัสรู้อาการดังนั้น พระองค์เจ้าก็มีพระกรุณาแก่จันทรเทวบุตร พระองค์เจ้าจึงมีพุทธบัณฑูรแก่อสุรินทร์ราหูด้วยพระคาถาว่าดังนี้ฯ ตถาคตํอรหัน์ตํ จัน์ทิมาสรณํคโต ราหุจัน์ทํปมุญ์จัส์สุ พุท์ธาโลกานุกัม์ปกาติ ว่าดูกรราหู อันว่าจันทรเทวบุตรนี้ลุแก่สรณาคม พระตถาคตไส้จะยังราหูอสุรินทร์นี้ให้ปล่อยซึ่งจันทรเทพบุตร เพื่อดังฤๅแลว่าสิ้น ชื่ออันว่พระพุทธเจ้าทั้งหลายไส้ ก็ย่อมมีพระกรุณาอันอนุเครมะห์แก่โลกย์ทั้งหลายฯ ในกาลดังนั้นราหูอสุรินทร์ ครั้นได้ยินพระพุทธบัณฑูรดังนั้นจึงวางแก่จันทรเทพบุตรนั้นเสียแล้วก็แล่นหนีไปสู๋พระญาอสูรอันชื่อว่าไพจิตราสูรราช แลราหูอสุรินท์นั้นก็มีใจยินร้ายคนลุกหนังหัวพองจึงยืนอยู่ในสถานแห่ง ๑ พระญาอสูรผู้ชื่อว่าไพจิตราสูรราชนั้น จึงถามอสุรินทร์ว่า ฉันนี้ว่ ดูกรราหูท่านเป็นฉันใดแล ราหูจึงวางจันทรเทวบุตรเสียแลมาด้วยด่วนนักหนา มายืนอยู่แลมีสวภาพอันยินร้ายแล ตระหนกตกใจกลัวนักหนาบารนีฯ ราหูอสุรินทร์นั้นจึงขานไพจิตราสูรว่าด้วยถ้อยคำดังนี้มหาราช ข้าแต่เจ้ากู บัดนี้ข้ากลัวแต่คาถาพระพุทธเจ้าบัณฑูรว่า แลข้าก็วางจันทรเทวบุตรนั้นเสีย เพื่อดังนั้นไส้ ผิแลว่าข้าบมิได้วางจันทรเทวบุตรนั้นเสียไส้ อันว่าศีรษะแห่งข้าเพียงจะแตกออกไปเป็น ๗ ภาคแล แม้นว่าศีรษะบมิแตกบมิตาย แลว่ายังมีชีวิตอยู่ไส้แล ความทสุขจะมีแต่ใดแก่ข้าเลยฯ ในกาลคาบ ๑ พระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ในเชตุพนมมหาวิหารอันเป็นอารามแห่งอนาถบิณฑิตกมหาเศรษฐี อาศัยแก่เมืองสาวัตถีมหานครในกาลเม่อวันเาพระวัสสาแลเกิดมีสุริยคาธ แลสุริยเทพบุตรนั้นตระหนกตกใจนักหนาก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็นมัสการแก่พระพุทธเจ้าว่าดังนี้ ข้าแต่พระทศพลเจ้าผู้มีเพียรไส้พระองค์พ้นจากกิเลสทั้งมวล บัดนี้ข้าผู้เป็นข้าพระองค์เจ้าเกิดความทุกข์มากนักแลลำบากยากเนื้อแค้นใจนักหนา จงพระพุทธเจ้ามาเป็นที่พึ่งแก่พระเจ้าบัดนี้เถิด เพื่อดังนั้นพระโลกวิทูเจ้าตรัสรู้อาการทั้งปวงนรั้น พระสัพพัญญูเจ้าก็ทืรงพระกรุณาแก่สุริยเทพบุตร พระพุทธเจ้าจึงมีพุทธฎีกาแก่อสุรินทราหูว่าดังนี้ ดูกรราหู อันว่าอสุรินทเทวบุตรนี้ลุแก่สรณาคมน์พระตถาคตผู้บำบัดกิเลสทั้งมวล แลอสุรินทราหูท่านจงปล่อยสุริยเทวบุตรนั้นเสีย เพราะว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
แต่ก่อนเทียรย่อมอนุเคราะห์แก่โลกย์ทั้งหลายแล ดูกรราหูอันว่าพระอาทิตย์อันมีรัสมีอันรุ่งเรือง แลบรรเทามืดมนอนธการทั้งหลายแลย่อมเสร็จใน แลราหูอสุรินท์อย่าได้กลืนพระอาทิตย์ มึงเร่งปล่อยพระอาทิตย์ผู้ลุแก่ไตรสรณาคมน์ของพระตถาคตนี้เสี เมื่ออสุรินทราหูได้ยินพุทธบัณฑูรจึงวางพระอาทิตย์เสีย แล้วก็แล่นไปยังพระญาอสูรอันชื่อไพจิตราสูรราชนั้น แลราหูอสุรินทนี้มีใจยินร้ายตระหนกตกใจนักหนา มีขนลุกหนังหัวพองแล้วก็ยืนอยู่ในสถานแห่ง ๑ แล ไพจิตราสูรมหาราชจึงถามอสุรินทราหูด้วยถ้อยคำว่าดังนี้ว่า ดูกรราหูท่านเป็นฉันใดแลราหูท่นจึงวางพระอาทิตย์เสียแลวิ่งมาด้วยด่วนอันมีสวภาพยินร้ายแลตระหนกตกใจนักหนาแลมายืนอยู่เห็นปานดังนี้ แลอสุรินทราหูจึงขานไพจิตราสูรราชด้วยคำดังนี้ ข้าแต่เจ้ากูบัดนี้ ข้ากลัวแต่คาถาพระพุทธเจ้าบัณฑูรแลข้าจึงวางพระอาทิตย์เทพบุตรเสียไส้ ผิแลว่าข้ามิได้วางสุริยเทพบุตรเสียไส้ ศีรษะแห่งข้าจะแตกได้ ๗ ภาค แม้นว่ข้ามิตายแลมีชีวิตอยู่ไส้ความสุขนั้นจักมีแก่ข้าแต่ที่ใดเลยฯ ราหูนั้นมีดำนาจอาจนักหนา แลเป็นพระญาแก่ฝูงทิพยอสุรกายอันอยู่ทิศอุดร แลเป็นใหญ่กว่าฝูงกาลกัญชกาสูรกายทั้งสองหมู่นั้นด้วยแลฯ กล่าวเถิงสัตว์อันเกิดในอสูรกายภูมิเป็นจตุตถกัณฑ์ โดยสังเขปแล้วแต่เท่านี้แลฯ อันว่าภูมิทั้ง ๔ นี้ อันหนึ่งชื่อว่านรกภูมิ อันหนึ่งชื่อว่าติรัจฉานภูมิ อันหนึ่งชื่ออสุรกายภูมิ อันหนึ่งชื่อเปรตภูมิ แลผสมภูมิทั้ง ๔ อันเข้าด้วยกันเรียกชื่อว่าจตุรายาบภูมิก็ว่า ชื่อทุคติภูมิก็ว่า ทั้งนี้ก็ย่อมสงเคราะห์เข้าในกามภูมิด้วยมนุษย์แลฉกามาพจรภูมิแลฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไตรภูมิพระร่วง_-_คลังปัญญาไทย
|
14600
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=14600
|
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๔
|
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๔
จดหมายเหตุเรื่องปราบฮ่อ
พระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ ทรงเรียบเรียง
สำหรับพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ฯ (ม.ร.ว อรุณ ฉัตรกุล ณกรุงเทพ)
เสนาบดีกระทรวงกลาโหม แล ราชองครักษพิเศษ
ณพระเมรุท้องสนามหลวง
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
คำนำ
นายพลตรี พระยาสุรวงศ์วิวัฒน ราชองครักษ์ กับคุณหญิง
(หม่อมหลวงวงศ์) รับฉันทะท่านผู้หญิงบดินทรเดชานุชิต มาแจ้งความยังหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร ว่าทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ จะพระราชทานเพลิงศพเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ที่พระเมรุท้องสนามหลวง เนื่องในงานพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จ้าภาพประสงค์จะพิมพ์หนังสือเปนของแจก
สักเรื่อง ๑ แลได้ทราบอยู่ว่าเมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตยังมีชีวิต
อยู่นั้น ได้เคยพูดกับข้าพเจ้าไว้ถึงการที่จะให้แต่งเรื่องประวัติของท่านเพราะฉนั้นขอให้ข้าพเจ้าช่วยเลือกเรื่องหนังสือ แลแต่งเรื่องประวัติของเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตให้ด้วย
ข้อที่ว่าเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตได้เคยพูดกับข้าพเจ้าถึงเรื่องที่
จะให้แต่งประวัติของท่านนั้นเปนความจริง ท่านได้เคยปรารภกับข้าพเจ้ามาสัก ๓ ปีแล้ว จะเปนในเวลางานศพของผู้ใด ข้าพเจ้าจำหาได้ไม่ เมื่อท่านได้อ่านคำนำแลเรื่องประวัติที่ข้าพเจ้าแต่งในหนังสือซึ่งพิมพ์แจกในงานนั้น ท่านชอบใจจึงว่า ถ้าท่านถึงอสัญกรรมเมื่อใด ขอ
ให้ข้าพเจ้าช่วยจัดการพิมพ์หนังสือแจกในงานศพ แลแต่งเรื่องประวัติของท่านพิมพ์ในหนังสือนั้นด้วย แต่ส่วนเรื่องประวัตินั้น ท่านว่าแต่งเมื่อตายแล้วผู้ตายไม่ได้อ่าน อยากจะให้ข้าพเจ้าแต่งเรื่องประวัติของท่าน
แต่ในเวลาตัวท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะได้มีโอกาศอ่านทราบความที่แต่ง
ข
ข้าพเจ้าได้ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่เคยแต่งประวัติของผู้ใดในเวลาที่ยังมี
ชีวิตอยู่ แต่เมื่อท่านประสงค์ก็จะลองแต่งดู บางทีก็จะดีกว่าแต่งต่อ
เมื่อสิ้นชีพแล้ว เพราะตัวเจ้าของประวัติมีโอกาสที่จะชี้แจงฤๅแก้ไข
คัดค้านความที่จะกล่าวในเรื่องประวัตินั้นได้ เมื่อได้พูดกันวันนั้นแล้ว ต่อมาเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตมาที่บ้านข้าพเจ้า ได้เอาหัวข้อเรื่องประวัติของท่านมามอบไว้ ด้วยหวังใจว่าจะได้อ่านเรื่องประวัติของท่าน ที่ข้าพเจ้าแต่ง แต่ความหวังใจนั้นไม่เปนผลสำเร็จ เพราะข้าพเจ้ามิได้
แต่งให้ทันท่านได้อ่าน ข้อนี้ข้าพเจ้ารู้สึกทั้งเสียใจแลลอายใจยิ่งนัก
ใช่ว่าข้าพเจ้าออกปากรับแล้ว จะไม่ได้ตั้งใจทำดังวาจานั้นหามิได้ แท้จริงได้ลองตั้งต้นแต่งแต่ในหมู่นั้น แต่เกิดขัดข้องขึ้น ๒ ประการ ประการ
ที่ ๑ ข้าพเจ้าไม่เคยแต่งประวัติคนเปน ครั้นมาลองแต่งเข้า จะเปนด้วยเหตุใดก็หาทราบไม่ ให้เกิดอุทัจ ได้เริ่มแต่งหลายครั้งก็หาลุล่วงไม่
อิกประการ ๑ นั้น ตัวข้าพเจ้ากับเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ถึงชอบชิดสนิทสนมกันฉันมิตรสหายก็จริง แต่หาได้เคยรับราชการอยู่ร่วมกันไม่
เรื่องประวัติของท่านที่เนื่องในราชการ ข้าพเจ้ายังรู้น้อยนัก จึงคิดว่าจะต้องศึกษาหาความรู้เสียให้เพียงพอก่อนจึงจะแต่ง ทั้งตั้งอยู่ในความประมาท นึกว่าท่านคงจะมีอายุอยู่ยั่งยืนไปอิกนาน ไม่จำเปนจะต้องรีบแต่ง ครั้นท่านถึงอสัญกรรมลง เสียใจแล้วกลับประมาทอิกเล่า ว่ากว่าจะพระราชทานเพลิงเห็นจะยังนาน ด้วยสำคัญว่าจะปลงศพที่เมรุวัดครั้นมาทราบว่าจะพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตที่
ฃ
พระเมรุกลางเมืองสิใกล้กับวันกำหนดเสียแล้ว จะทำอย่างอื่นนอกจากเพียงให้หนังสือแจกทันงานเท่านั้นไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงขอบอกไว้ในที่นี้ ถ้าท่านผู้ใดเห็นว่าหนังสือแจกในงานศพเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตไม่ดีดังสมควรจะเปนไซ้ ขอให้เข้าใจว่าข้าพเจ้ารับผิด จะพยายามแก้ไขดูตามที่สามารถจะทำได้
ส่วนเรื่องหนังสือที่จะพิมพ์นั้น ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ถ้าเปนเรื่องใน
ทางการทหารจึงจะเหมาะสมแก่งานศพของเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตเพราะผู้ที่จะได้รับแจกคงมีนายทหารมากด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงปฤกษาเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ท่านให้ค้นหาเรื่องหนังสือในกรมตำรา
ได้จดหมายเหตุปราบฮ่อในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตได้เคยไปในกองทัพครั้ง ๑ แต่เมื่อยังเปนนายร้อยทหารปืนใหญ่ ให้
ส่งมายังหอพระสมุด ฯ ข้าพเจ้าตรวจดูก็เห็นเหมาะ แต่จดหมายเหตุนั้นเรียบเรียงความพิศดารข้างตอนท้าย แต่บกพร่องข้างตอนต้น แลมีเคลื่อนคลาศกับเรื่องราวที่ข้าพเจ้าทราบว่าเปนความจริงอยู่บ้าง จะให้รวบรวมพิมพ์ตามความที่ปรากฎอยู่ในหนังสือยุทธโกษฐ์ แม้จะเปนการสดวกแก่ข้าพเจ้าดูก็หาสมควรไม่ จึงได้ลงแรงแต่งเสียใหม่ทีเดียว
ตอนต้นแต่งตามเรื่องซึ่งข้าพเจ้ารู้มาจากที่อื่น ตอนหลัง ๆ แต่งตาม
เนื้อความที่ปรากฎในจดหมายเหตุ แก้ที่ผิดแลตัดรายการอันเปน
พลความไม่สำคัญออกเสีย โดยประสงค์จะให้ผู้อ่านหนังสือเรื่องนี้
เข้าใจเหตุการณ์เรื่องปราบฮ่อแจ่มแจ้งกว่าที่ได้เคยทราบมาแต่ก่อน หวังใจว่าจะเปนประโยชน์ได้ดังประสงค์.
ค
เรื่องประวัติเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต
เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต มหิศรมหาสวามิภักดิ์ สุรินทรศักดิ
ประพัทธพงศ จตุรงคเสนาบดี ยุทธวิธีสุขุมวินิต ธรรมสุจริตศิริสวัสดิ์พุทธาธิรัตนสรณธาดา อุดมอาชวาธยาศรัย อภัยพิริยปรากรมพาหุ
มีนามเดิมว่า หม่อมราชวงศอรุณ เปนบุตรหม่อมเจ้านิล ในพระเจ้า
บรมวงศเธอชั้น ๑ กรมหมื่นสุรินทรรักษ พระองค์ซึ่งเปนต้นสกุล ฉัตรกุล ณกรุงเทพ มารดาชื่อหม่อมราชวงศสุ่น บ่าลกวงศ ณกรุงเทพเปนนัดาของกรมหมื่นนราเทเวศร ในกรมพระราชวังหลัง
เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต เกิดที่บ้านบิดาเมื่อยังอยู่วังกรมหมื่น สุรินทรรักษ อันตั้งอยู่ณตำบลท่าเตียนในจังหวัดพระนคร เมื่อวันอาทิตย์เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีมโรง พ.ศ. ๒๓๙๙ ในรัชกาลที่ ๔ ครั้นรัฐบาลต้อง การที่จะสร้างศาลต่างประเทศ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ เมื่อยังเปนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ ที่สมุหพระกลาโหม จึงให้หม่อมเจ้า
นิลแลหม่อมเจ้าองค์อื่นในกรมหมื่นสุรินทรรักษย้ายข้ามฟากไปอยู่ที่สวน ริมวัดบุบผาราม (หมู่บ้านที่เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตอยู่เมื่อถึง อสัญกรรมนั้น) อันใกล้กับจวนของท่าน
ตรงนี้จะต้องอธิบายความย้อนถอยหลังไปถึงเรื่องประวัติของกรมหมื่นสุรินทรรักษ จึงจะเข้าใจว่าเหตุใดสมเด็จเจ้าพระยา ฯ จึงเอาเปนธุระแก่หม่อมเจ้าในกรมนั้น กรมหมื่นสุรินทรรักษทรงพระนามว่า พระ
องค์เจ้าฉัตร เปนพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้า
ต
จุฬาโลก เจ้าจอมมารดาชื่อตานี เปนธิดาเจ้าพระยามหาเสนาบุนนาคแต่เกิดด้วยภรรยาเดิม เมื่อสิ้นภรรยาคนนั้นแล้ว เจ้าพระยามหา
เสนาบุนนาคจึงมาได้เจ้าคุณพระราชพันธ์นวลเปนภรรยา เจ้าจอมมารดาตานีเปนพี่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ แลสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ เปนแต่ต่างมารดากัน เพราะฉนั้นหม่อมเจ้าในกรมหมื่นสุรินทรรักษจึงนับว่าเปนหลานสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ
อนึ่งวังกรมหมื่นสุรินทรรักษที่ท่าเตียนนั้น ได้ทราบว่าเมื่อใน
รัชกาลที่ ๑ โปรด ฯ ให้สร้างวังแต่ท้ายเขตรตำหนักแพลงไปจนท่าเตียน ๒ วัง ๆ เหนือพระราชทานเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี วังใต้พระราชทานเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ อันเปนพระโอรสสมเด็จพระพี่นางพระองค์น้อย ถึงรัชกาลที่ ๒ ไฟไหม้วังเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี แลเวลานั้นพระราชวังเดิมที่ใต้วัดอรุณ ฯ ว่างอยู่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาไลยจึงโปรด ฯ ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีเสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม ที่วังที่ไฟไหม้นั้นโปรด ฯ ให้สร้างเปนโรงวิเสทกับคลังสินค้า ยังคงอยู่แต่วังใต้ซึ่งเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษเสด็จ
ประทับอยู่ วังที่กรมหมื่นสุรินทรรักษประทับอยู่เมื่อในรัชกาลที่ ๑ แล
รัชกาลที่ ๒ นั้นจะอยู่ที่ใดสืบยังไม่ได้ความ ต่อในรัชกาลที่ ๓ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษเสด็จย้ายข้ามฟากไปอยู่ (กล่าวกันว่าโดยซื้อ) วังเจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทรรณเรศที่ใต้พระราชวังหลัง พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานวังเดิมของเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษที่ท่า
ฆ
เตียนให้เปนที่ประทับของกรมหมื่นสุรินทรรักษ เพราะทรงสนิทชิด
ชอบพระราชอัธยาศรัย ไว้วางพระราชหฤไทยมาแต่ในรัชกาลที่ ๒ แลกรมหมื่นสุรินทรรักษนั้น ได้ทรงกำกับราชการกรมเมืองมาแต่รัชกาล
ที่ ๒ ครั้นมาถึงรัชกาลที่ ๓ โปรดให้ทรงกำกับราชการกรมมหาดไทยแลกรมท่าด้วย
ตามความที่ปรากฎในจดหมายเหตุเก่า แม้ที่ชาวต่างประเทศแต่ง สรรเสริญกรมหมื่นสุรินทรรักษว่าทรงพระปรีชาสามารถมาก เมื่อ
ในรัชกาลที่ ๓ นั้น ถัดกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็ถึงกรมหมื่น
สุรินทรรักษที่ยกย่องว่าเปนหลักในราชการ ข้อนี้ปรากฎอยู่ในครั้ง
เมืองเวียงจันท์เปนขบถ กองทัพใหญ่ที่ยกไปปราบปรามข้าศึก โปรด ฯ ให้กรมพระราชวังบวร ฯ เสด็จเปนจอมพลทัพ ๑ ให้กรมหมื่นสุรินทรรักษเสด็จเปนจอมพลทัพ ๑ มีอำนาจเหนือเจ้านายและเสนาบดีที่ไปในกองทัพทั้งนั้น แต่กองทัพกรมหมื่นสุรินทรรักษต้องเรียกกลับมารักษาทาง
ปากน้ำ ด้วยครั้งนั้นระแวงจะมีกองทัพอังกฤษยกมาอิกทาง ๑ เพราะ เกิดวิวาทขึ้นกับไทยด้วยเรื่องเมืองไทรในเวลาร่วมกับศึกเวียงจันท์ คน
ที่ทันรับราชการในสมัยนั้นมักกล่าวกันว่า ถ้ากรมหมื่นสุรินทรรักษยังทรงพระชนม์อยู่ภายหลังกรมพระราชวังบวร ฯ พระบาทสมเด็จ ฯ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเห็นจะโปรด ฯ ให้เปนพระมหาอุปราช แต่กรมหมื่น สุรินทรรักษสิ้นพระชนม์เสียเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๓ มีพระชัณษาเพียง ๔๐ ปี แต่เจ้าจอมมารดาตานียังมีชีวิตอยู่ต่อมาอิกช้านาน คนทั้งหลายเรียกกันว่า
ง
เจ้าคุมวัง เพราะท่านเปนพี่เจ้าคุณราชินิกุลที่เปนธิดาของเจ้าคุณ พระราชพันธ์นวล คือเจ้าคุณนุ่น ซึ่งเรียกกันว่าเจ้าคุณวังหลวง แล
เจ้าคุณคุ้ม ซึ่งเรียกกันว่าเจ้าคุณวังน่าเปนต้น เจ้าคุณวังออกมาอยู่ที่วังกรมหมื่นสุรินทรรักษจนถึงอสัญกรรม หม่อมเจ้าในกรมหมื่นสุรินทรรักษจึงอยู่ที่วังนั้นต่อมาจนย้ายไปอยู่ฟากข้างโน้น เมื่อในรัชกาลที่ ๔
เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตยังเด็ก ได้เล่าเรียนอักขรสมัยในสำนักหม่อมเจ้าสุบรรณซึ่งเปนอาว์ และครูอื่น ๆ อิก แต่การเล่าเรียนในสมัยนั้นยังสอนแต่เพียงให้อ่านหนังสือออกกับเขียนหนังสือได้ เจ้าพระยา บดินทรเดชานุชิตได้เรียนเพียงเท่านั้น ไม่ได้รับประโยชน์ในการศึกษาภาษาต่างประเทศ ฤๅแม้วิชาชั้นสูงในภาษาไทยเหมือนเช่นคนที่เกิด ในชั้นหลัง ข้อนี้เมื่อมาพิเคราะห์ดูตามเรื่องประวัติของท่านที่ปรากฎความสามารถในราชการ และกิจการอย่างอื่นเมื่อชั้นหลัง คิดดูก็ เห็นเปนอัศจรรย์ ด้วยอาศรัยแต่ลำภังคุณความดีที่เปนอุปนิสัยของท่านชักจูงเปนข้อสำคัญอย่างเดียว.
ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดฯ ให้ตั้งกรมทหารมหาดเล็กขึ้นนั้น ทรงพระราชดำริห์ว่าหม่อม
เจ้าหม่อมราชวงศ อันเปนเชื้อสายในราชตระกูล เที่ยวกระจัดกระจาย อยู่ตามอำเภอใจโดยมาก ถ้าไปประพฤติชั่วร้ายก็เสื่อมเสียพระเกียรติยศขึ้นชื่อมาถึงราชตระกูล ควรจะรวบรวมมาฝึกหัดให้ได้โอกาศหาคุณความดี ฤๅแม้อย่างต่ำก็พอป้องกันอย่าให้ไปประพฤติเสื่อมเสีย จึง
จ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้รวบรวมหม่อมเจ้าหม่อมราชวงศใน
ต่างกรมที่รุ่นหนุ่ม มาฝึกหัดในกรมทหารมหาดเล็ก ในเวลานั้นเจ้า พระยาบดินทรเดชานุชิตอายุได้ ๑๖ ปี จึงอยู่ในหม่อมราชวงศซึ่งเข้ามาเปนทหารมหาดเล็ก ในชั้นแรกเปนพลทหารอยู่ในกองร้อยที่ ๖
การที่เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตได้เข้ามาเปนทหารมหาดเล็กครั้งนั้น เมื่อคิดดูในเวลานี้ดูเปนการประสบโชคสำคัญ เหมือนหนึ่ง ว่ากุศลหนหลังชักนำท่านเข้าสู่ทางที่จะถึงคุณวิเศษ ซึ่งเหมาะแก่อุปนิสัยของท่าน รับราชการอยู่ไม่ช้าก็ปรากฎความสามารถ ได้เปนนาย
สิบตรีทหารมหาดเล็กกองร้อยที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖ ต่อมาอิกปีหนึ่ง
ได้เลื่อนขึ้นเปนนายสิบโทในกองร้อยที่ ๕ นั้น
ถึง พ.ศ. ๒๔๒๑ เจ้าพระยาสุรวงศวัฒนศักดิ (โต บุนนาค) ซึ่งได้ไปเล่าเรียนวิชาทหารปืนใหญ่ในประเทศอังกฤษ จนได้เปนนาย
ร้อยทหารอังกฤษแล้ว กลับเข้ามารับราชการ จึงทรงพระกรุณาโปรด
เกล้า ฯ ให้เปนที่พระอมรวิสัยสรเดช ตำแหน่งนายพันตรีผู้บังคับการ กรมทหารปืนใหญ่ญวน ซึ่งได้จัดตั้งตามแบบเก่ามาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๔ เมื่อเจ้าพระยาสุรวงศวัฒณศักดิจะจัดการกรมทหารปืนใหญ่ให้เข้าระเบียบแบบแผนอย่างใหม่ ไม่มีตัวนายร้อยพอจะรับราชการในกรมทหาร
ปืนใหญ่ จึงกราบบังคมทูล ฯ ขอนายสิบทหารในกรมทหารมหาดเล็ก ไปเปนนายทหารปืนใหญ่ ด้วยพวกผู้ดีมีสกุลรับราชการเปนทหารมหาดเล็กอยู่โดยมาก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตเมื่อยังเปนนายสิบ
โทอยู่ในผู้หนึ่ง ซึ่งได้รับเลือกไปรับราชการเปนนายทหารปืนใหญ่ จึง
ฉ
ออกจากกรมทหารมหาดเล็กย้ายไป รับราชการเปนตำแหน่งนายร้อยโท
มาแต่นั้น ในระหว่างเวลาที่รับราชการอยู่ในกรมทหารปืนใหญ่ เจ้า
พระยาบดินทรเดชานุชิตได้มีโอกาศไปราชการทัพกับเจ้าพระยาสุรวงศวัฒณศักดิครั้งปราบฮ่อเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ได้ขึ้นไปถึงทุ่งเชียงคำ
ในแขวงเมืองพวน แต่หาได้มีโอกาศรบพุ่งไม่ เพราะพวกฮ่อทิ้งค่ายหนีไปเสียก่อนกองทัพขึ้นไปถึง.
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งกรมยุทธนาธิการบัญชาการกรมทหารบกทหารเรือรวมกัน กรมยุทธนา ธิการจัดตั้งโรงเรียนนายร้อยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ ทรงพระกรุณาโปรด ฯ
ให้เจ้าพระยาสุรวงศวัฒณศักดิ เวลานั้นเปนนายพลตรี พระยาสีหราชเดโชไชย ย้ายจากกรมทหารปืนใหญ่มาเปนผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตเวลานั้นเปนนายร้อยเอก ก็ได้ย้ายมาเปนปลัดกองโรงเรียนนายร้อยด้วย ต่อมาได้เปนผู้บังคับการโรงเรียน เลื่อนยศเปนนายพันตรี มีบันดาศักดิเปนหลวงสรวิเศษเดชาวุธ และเปนราชองครักษเวรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ แล้วเลื่อนบันดาศักดิขึ้นเปน
พระสรวิเศษเดชาวุธ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑
ถึง พ.ศ. ๒๔๔๒ เริ่มจัดการทหารบกประจำเปนมณฑล เจ้าพระ
ยาบดินทรเดชานุชิตได้ย้ายจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกมาเปนผู้บัญชาการทหารบกมณฑลกรุงเทพ ฯ เลื่อนยศขึ้นเปนนายพันโท
ถึง พ.ศ. ๒๔๔๓ ย้ายไปรับราชการในตำแหน่งยกรบัตรทัพบก
ได้เลื่อนบันดาศักดิขึ้นเปนพระยาพหลพลพยุหเสนา รับราชการอยู่ใน
ช
ตำแหน่งนี้ ๒ ปี ถึง พ.ศ. ๒๔๔๔ ย้ายไปเปนปลัดทัพบก และได้
เปนตำแหน่งองครักษมนตรี ต่อมาอิก ๒ ปี ถึง พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้ เลื่อนยศ ขึ้นเปนนายพันเอกตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
แล้วเลื่อนขึ้นเปนนายพลตรี รับพระราชทานสัญญาบัตรเปนพระยาสีห ราชเดโชไชย และได้พระราชทานพานทองด้วย
ในระยะนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ซึ่งเปนผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ เสด็จออกไปราชการณประเทศยุโรป ทางนี้เกิดเหตุพวกเงี้ยวก่อการจลาจลขึ้นในมณฑลภาคพายัพ เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต เปนผู้รั้งราชการกรมยุทธนาธิการต้องรับน่าที่จัดกองทหารส่งขึ้นไปปราบพวกผู้ร้ายเงี้ยว เปนการปัจจุบันในชั้นต้น จัดการได้รวดเร็วเรียบร้อยทันราชการเกินกว่าที่คนคาดหมายกันโดยมาก เมื่อเสร็จราชการครั้งนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนยศขึ้นเปนนายพลโท คนทั้งหลายอันอยู่นอกกรมทหารก็เห็นพร้อมยอมกันในคราวนี้ ว่าเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตเปนผู้มีความสามารถ
ในข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คน ๑ ไม่มีเสียงสอดแคล้วคัดค้านในเวลาที่ท่านได้มีตำแหน่งสำคัญยิ่งขึ้นในชั้นต่อมา
นอกจากน่าที่ต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมา เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต
ได้รับราชการในน่าที่พิเศษเมื่อรัชกาลที่ ๕ อิกหลายครั้ง คือได้เปนแม่ทัพพิเศษในการรวมพลสวนสนาม รับเสด็จพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จกลับจากยุโรปทั้งคราวแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐
ซ
และคราวหลังเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ และเปนแม่ทัพพิเศษคราวตรวจพลสวนสนามเปนการพิเศษ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ อิกคราว ๑ ได้เปนข้าหลวงทหาร ไปตรวจราชการมณฑลบุรพาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ คราว ๑ ไปตรวจราชการมณฑลภาคพายัพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๘ คราว ๑ ไปปราบจีนอั้งยี่ที่ตำบลดอนกระเบื้องแขวงจังหวัดราชบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๘ คราว ๑ ได้บังคับการ
ทหารรักษาพระราชวังดุสิต เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ คราว ๑
ถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้จอมพลพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เปนตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยา บดินทรเดชานุชิต เมื่อยังเปนพระยาสีหราชเดโชไชย เปนตำแหน่ง
ผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงกลาโหม แล้วเลื่อนยศขึ้นเปนนายพลเอก ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ ตำแหน่งผู้บัญชาการกรมพระคชบาลว่าง โปรด ฯ ให้รั้งตำแหน่งนั้นอยู่คราว ๑
ถึง พ.ศ. ๒๔๕๖ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดชสิ้นพระชนม์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต เปนผู้รั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม อยู่จน พ.ศ. ๒๔๕๗ ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้า ฯ ให้เปนเสนาบดีเต็มตำแหน่ง ต่อมาในปีนั้นถึงงานพระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชทานสุพรรณบัฏเลื่อนขึ้นเปนเจ้าพระยาบดินทรเดชา นุชิต มีราชทินนามตามที่ปรากฎอยู่ข้างต้นประวัติ แลเลื่อนยศขึ้นเปน
จอมพล
ฌ
ในรัชกาลปัจจุบันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทาน
เกียรติยศพิเศษในตำแหน่งทหาร แก่เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตหลายอย่าง คือเปนราชองครักษพิเศษอย่าง ๑ เปนนายทหารพิเศษประจำ กรมทหารรักษาวังอย่าง ๑ เปนนายทหารพิเศษประจำโรงเรียนนายร้อยชั้นปฐมอย่าง ๑
เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตได้พระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ต่าง ๆ โดยลำดับมาดังนี้
ในรัชกาลที่ ๕
วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๐ เบญจมาภรณ์ช้างเผือก
วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ จัตุร์ถาภรณ์มงกุฎสยาม
วันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ ตริตาภรณ์ช้างเผือก
วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ประถมาภรณ์มงกุฎสยาม
ในรัชกาลปัจจุบันนี้
วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ประถมาภรณ์ช้างเผือก
วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๕ ปฐมจุลจอมเกล้า
วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ รัตนวราภรณ์
วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๙ มหาปรมาภรณ์
ญ
วันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ มหาโยธินแห่งเครื่องราชอิศริยา
ภรณ์รามาธิบดี
วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ นพรัตน์ราชวราภรณ์
เหรียญต่าง ๆ ที่ได้พระราชทานในรัชกาลที่ ๕
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖ เหรียญรัชฎาภิเศกมาลา
วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ เหรียญจักรมาลา
วันที่ ๑๙ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ เหรียญประพาศมาลา
วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๑ เหรียญปราบฮ่อ
วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ เหรียญทวีธาภิเศก (ทอง)
วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๐ เหรียญรัชมงคล (ทอง)
วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ เหรียญรัชมังคลาภิเศก(ทอง)
เหรียญต่าง ๆ ได้พระราชทานในรัชกาลปัจจุบัน
วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลปัตยุบัน
ชั้นที่ ๓
วันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ เหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๕
ชั้นที่ ๓
วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ เหรียญบรมราชาภิเศก (ทอง)
วันที่ ๑๐พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗ เหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลปัตยุบัน
ชั้นที่ ๒
ฎ
วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการ
แผ่นดิน
เข็มต่าง ๆ ที่ได้พระราชทาน
วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ เข็มอักษรเสด็จพระราชทานดำเนิรประ
พาศยุโรปรักษาพระนครคราวหลัง
วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๒ เข็มพระชนมายุศมงคลชั้น ๒
วันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ เข็มข้าหลวงเดิม
ในเครื่องราชอิศริยาภรณ์ที่เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตได้พระราชทานนั้น เปนแปลกพิเศษอยู่อย่าง ๑ ที่ได้พระราชทานนพรัตนราชวราภรณ์อันเครื่องราชอิศริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์นี้ แม้ในเจ้านายจะได้รับพระราชทานก็แต่เจ้าฟ้าและพระองค์เจ้าต่างกรมชั้นผู้ใหญ่แต่บางพระองค์ส่วนขุนนางนั้นที่ได้รับพระราชทานมีปรากฎแต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา ศรีสุริยวงศ์ กับเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ที่สมุหพระกลาโหมได้พระ
ราชทานในรัชกาลที่ ๕ ในรัชกาลปัตยุบันนี้มีแต่เจ้าพระยาบดินทรเดชา นุชิตผู้เดียว ในข้าราชการที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์
นพรัตนราชวราภรณ์ ยังหามีผู้อื่นได้พระราชทานไม่ อนึ่งตั้งแต่เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตมีอายุครบ ๖๐ ทัศ เมื่อปีมโรง พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทาน
ฏ
รดน้ำเวลาปีใหม่ทุกปีมามิได้ขาด โดยทรงยกย่องว่าเปนผู้ที่ทรงเคารพ
ผู้หนึ่ง ซึ่งน้อยตัวที่จะได้พระราชทาน
เมื่อคิดดูตามความที่ปรากฎมาข้างต้นประวัติ คือว่าเจ้าพระยา
บดินทรเดชานุชิตก็มิได้มีโอกาศศึกษาวิชาความรู้ลึกซึ้งอย่างคนชั้นหลังแลไม่รู้ภาษาต่างประเทศ ฤๅได้เคยไปดูแบบธรรมเนียมในนานาประเทศเหตุใดจึงสามารถจะรับราชการทหารได้ดีทุกน่าที่ตลอดมา จนได้เปน
ถึงจอมพล แลเปนตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม แลที่สุดได้ รับพระราชทานถึงเครื่องราชอิศริยาภรณ์นพรัตน อันเปนเกียรติยศสูงพิเศษควรนับว่าเปนยอดประวัติของท่าน ข้าพเจ้าสันนิษฐานโดยได้
เปนมิตรคุ้นเคยกับเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตมาช้านาน เห็นว่าเปนเพราะท่านทรงคุณสมบัติอันเกิดแต่อุปนิสัย ๓ อย่างเปนเครื่องประกอบกับสติปัญญาของท่าน คือ ความซื่ออย่าง ๑ ความสัตย์อย่าง ๑ แลความเพียรอย่าง ๑ คุณสมบัติทั้ง ๓ อย่างนี้เปนสำคัญในอัธยาศรัยของเจ้า
พระยาบดินทรเดชานุชิต ความซื่อนั้นเปนบรรทัดทางปฏิบัติของท่าน
ทั้งในน่าที่ราชการ แลการที่ประพฤติต่อมิตรสหาย ความสัตย์นั้นเปนอย่างนิจศีลของท่าน มิได้ปล่อยให้โลกธรรมครอบงำให้ผันแปรไป
ด้วยประการใด ๆ แลความเพียรนั้นเปนเกียรติคุณของท่านที่ประกอบกิจการทั้งปวง ไม่ว่าการยากง่ายใหญ่น้อยอย่างใด ลงได้ทำแล้วคงพยายามให้การสำเร็จตามประสงค์ ฤๅตามคำสั่งของผู้ใหญ่ในเวลา
ฐ
เมื่อท่านยังเปนผู้น้อย นอกจากคุณสมบัติทั้ง ๓ ประการที่กล่าวมาเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตยังทรงคุณความดีอิกหลายอย่าง คือที่มีไมตรีจิตรต่อผู้อื่นทั่วไปเปนต้น เพราะฉนั้นจึงเปนที่เคารพรักใคร่ไว้
วางใจของผู้อื่น ทั้งญาติแลมิตรแลผู้ที่ร่วมราชการตั้งแต่ผู้ใหญ่ลง
มาจนผู้น้อย เมื่อเปนเช่นนี้การงานทั้งปวงที่ท่านทำ คือราชการใน
น่าที่เปนต้น ก็ย่อมจะเปนศุภผล เปนเหตุให้ท่านได้รับความเจริญ
รุ่งเรืองมาจนตลอดอายุของท่าน
เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตป่วยเปนโรคปอดอักเสบ ถึงอสัญกรรม
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๔ คำณวนอายุได้ ๖๖ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชอุสาหะเสด็จไปทรงรดน้ำศพ พระราชทานโกฐมณฑป แลเครื่องประโคมกลองชนะ มีจ่าปีจ่ากลองแลแตรงอนแตรฝรั่งตามบันดาศักดิเจ้าพระยาเสนาบดีชั้นสูง ครั้นต่อมาเมื่อสร้างพระเมรุท้องสนามหลวงถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสแล้ว ทรงพระราชดำริห์ว่าเจ้าพระยาบดินทร เดชานุชิตก็เปนเสนาบดีมีเกียรติยศเนื่องในราชตระกูล ทั้งได้รับราช
การสนองพระเดชพระคุณมีความชอบความดีมาเปนอันมาก สมควรจะพระราชทานเพลิงศพที่พระเมรุกลางเมืองได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กำหนดการแห่ศพเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต ด้วยกระบวรทหารตามเกียรติยศจอมพลมายังพระเมรุ แลพระราชทานเพลิงศพ
ฑ
เมื่อณวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕ สิ้นเรื่องประวัติของเจ้าพระยา บดินทรเดชานุชิตเพียงนี้
หวังใจว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับหนังสือนี้ไป คงจะอนุโมทนาในการ
ซึ่งท่านผู้หญิงบดินทรเดชานุชิตให้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ทั่วกัน
สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕
สารบาญ
ตอนที่ ๑ อธิบายว่าด้วยท้องที่ที่เกิดศึกฮ่อ น่า ๑
ตอนที่ ๒ อธิบายว่าด้วยพวกฮ่อ " ๕
ตอนที่ ๓ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘ " ๘
ตอนที่ ๔ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖ " ๑๐
ตอนที่ ๕ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘
เรื่องกองทัพทางตวันออก " ๑๔
ตอนที่ ๖ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งที่ ๓ ต่อมา
เรื่องกองทัพตวันตกยกไปเมืองหลวงพระบาง " ๑๗
ตอนที่ ๗ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งที่ ๓ ต่อมา
เรื่องตอนกองทัพตวันตกรบฮ่อ " ๒๕
ตอนที่ ๘ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งที่ ๓ ต่อมา
เรื่องตอนกองทัพตวันตกตั้งพักฤดูฝน " ๓๖
ตอนที่ ๙ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งที่ ๓ ต่อมา
เรื่องตอนกองทัพตวันตกยกไปเมืองแกง " ๔๕
จดหมายเหตุกองทัพปราบฮ่อ
ตอนที่ ๑ อธิบายว่าด้วยท้องที่ ๆ เกิดศึกฮ่อ
ท้องที่อันเปนบ่อเกิดศึกฮ่ออยู่ตรงชายแดนของประเทศทั้ง ๔ คือ
อยู่ข้างใต้ของประเทศจีน อยู่ข้างเหนือของประเทศสยาม อยู่ข้างตวัน
ออกของประเทศพม่า แลอยู่ข้างตวันตกของประเทศญวน ในท้องที่ ๆ กล่าวมา เดิมเปนภูมิลำเนาของชนชาติไทยน้อยที่ได้ลงมาเปนใหญ่ในประเทศสยามนี้ นามอาณาเขตรเรียกว่าสิบสองจุไทย (มาแต่คำว่า
สิบสองเจ้าไทย เพราะเคยมีเมืองเจ้าปกครองสิบสองแห่ง) เขตรแดนเดิมเห็นจะกว้างใหญ่ พวกไทยในที่นั้นจึงมีกำลังสามารถลงมาชิงได้
แดนขอม แล้วตั้งประเทศลานช้างแลประเทศลานนา ตลอดลงมาจนสยามประเทศเปนแผ่นดินไทย บางทีจะเปนเพราะเหตุที่พวกไทยโดย
มากพากันอพยบลงมาอยู่เสียทางข้างใต้ อันเปนที่บริบูรณ์ดีกว่าภูมิลำ เนาเดิมนั้นเอง จึงเปนเหตุให้กำลังเมืองสิบสองจุไทยลดถอยน้อยลงประเทศที่ใกล้เคียงก็บุกรุกเขตรแดนเข้าไปโดยลำดับ จนแดนสิบสอง จุไทยที่เหลืออยู่มีแต่เมืองน้อย ๆ แยกกันเปน ๓ ภาค ๆ ตวันตกที่ต่อแดน
พม่าเรียกว่าสิบสองปันนา ภาคกลางที่ต่อแดนจีนคงเรียกว่าสิบสองจุไทย
ภาคตวันออกที่ต่อแดนญวนเรียกว่าเมืองพวน พวกไทยที่เปนชาวเมือง ๑
๒
ในท้องที่ ๓ ภาคนั้นก็ได้ชื่อต่างกัน พวกชาวสิบสองปันนาได้ชื่อว่าลื้อ พวกชาวสิบสองจุไทยได้ชื่อว่าผู้ไทย พวกชาวเมืองพวนได้ชื่อว่าลาวพวน แต่พูดภาษาไทยแลถือตัวว่าเปนไทยด้วยกันทั้ง ๓ พวก
ในสมัยเมื่อพวกไทยที่ลงมาตั้งประเทศลานช้างมีอำนาจมาก ได้
บ้านเมืองพวกไทยทั้ง ๓ภาคที่กล่าวมาไว้ในอำนาจกรุงศรีสัตนาคนหุตทั้งหมด ครั้นพม่ามีอำนาจขึ้น พม่าชิงเอาแดนสิบสองปันนาไปเปนของพม่า ต่อมาเมื่อพวกเม่งจูได้ครองเมืองจีน ๆ ขยายอำนาจเข้ามาปกคลุมเอาทั้งแดนสิบสองปันนาและสิบสองจุไทยไปขึ้นต่อจีนด้วย มาถึงสมัยเมื่อญวนมีอำนาจขึ้น ญวนก็เข้ามาปกคลุมเอาเมืองในแดนพวนไปเปนเมืองขึ้น เพราะเมืองในแดนทั้งสองนั้นเปนแต่เมืองน้อย ๆ อยู่ชายแดนห่างไกลเมืองหลวงพระบาง อันเปนราชธานีกรุงศรีสัตนาคนหุตในสมัยนั้นอำนาจประเทศไหนมาถึงตัวพวกท้าวขุนที่ครองเมืองเห็นว่าจะสู้ไม่ไหวก็
" ทู้ " คือยอมอยู่ในอำนาจ พอให้พ้นไภย ทางกรุงศรีสัตนาคนหุตอัน
เคยขึ้นมาแต่เดิมก็คงยอมขึ้นอยู่อย่างแต่ก่อน เมืองในแดนสิบสองจุไทย
แลเมืองพวนจึงมักเปนเมืองขึ้นหลายเจ้า เรียกกันว่าเมืองสองฝ่ายฟ้า
เว้นแต่เหล่าเมืองที่อยู่ชิดเมืองหลวงพระบาง เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต
ตั้งท้าวพระยาออกไปเปนตำแหน่งหัวพันปกครอง เดิมมี ๕ เมืองแล้ว
เพิ่มขึ้นอิกเมือง ๑ เรียกว่าเมืองหัวพันห้าทั้งหก กรุงศรีสัตนาคนหุต ปกครองไว้ได้แต่ฝ่ายเดียว ต่อมากรุงศรีสัตนาคนหุตเกิดแยกกันเปน
๓
๒ อาณาเขตร เจ้านครหลวงพระบางเปนใหญ่ในอาณาเขตรฝ่ายเหนือเจ้านครเวียงจันท์เปนใหญ่ในอาณาเขตรฝ่ายใต้ เมืองสิบสองจุไทยอยู่ใกล้ทางเมืองหลวงพระบาง ก็ขึ้นต่อเจ้านครหลวงพระบาง ส่วนเมือง
พวนอยู่ใกล้ทางเมืองเวียงจันท์ ก็ขึ้นต่อเจ้านครเวียงจันท์สืบมา แต่ครั้ง
เมืองหลวงพระบางแลเมืองเวียงจันท์ยังเปนอิศระ ในสมัยเมื่อกรุงศรี
อยุธยาเปนราชธานี มาจนเปนประเทศราชขึ้นกรุงสยามในชั้นกรุงรัตน
โกสินทร ครั้นถึงรัชกาลที่ ๓ เจ้าอนุวงศซึ่งครองเมืองเวียงจันท์เปนขบถเอาเมืองพวนกับเมืองหัวพันห้าทั้งหกไปแลกความอุดหนุนของญวนๆ ก็แต่งข้าหลวงเข้ามาอยู่กำกับแต่เมื่อไทยปราบปรามพวกขบถราบคาบแล้วพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้เจ้าพระยาบดินทร
เดชา (สิงห์ สิงห์เสนี) ยกกองทัพขึ้นไปเมืองพวน ให้เจ้าพระยาธรรมา
(สมบุญ) ยกกองทัพขึ้นไปเมืองหัวพันห้าทั้งหก พวกข้าหลวงญวน
ก็กลับไปหมด ครั้งนั้นโปรด ฯ ให้เลิกประเทศราชเวียงจันท์เสีย เอาหัวเมืองตามริมลำน้ำโขงอันเคยขึ้นเมืองเวียงจันท์อยู่แต่ก่อนมาขึ้นกรุง เทพ ฯ แลเมืองพวนนั้นพระราชทานให้เปนเมืองขึ้นเมืองหลวงพระบางต่อมา ด้วยเจ้านครหลวงพระบางซื่อตรงแลมีความชอบในครั้งนั้น แต่เพราะเขตรแดนเมืองสิบสองจุไทยแลเมืองพวนกว้างใหญ่ ทางที่จะไป
ถึงก็กันดาร เมืองหลวงพระบางไม่มีกำลังพอที่จะปกปักรักษา ครั้นสิ้นศึกสงครามแล้ว ญวนก็มาเกลี้ยกล่อมพวกท้าวขุนเจ้าเมืองพวนไปเปน
๔
สองฝ่ายฟ้าอิก ด้วยเมืองพวนอยู่ใกล้ชิดติดกับแดนญวน เรื่องต้นตำนานส่วนท้องที่ ในสมัยเมื่อก่อนจะเกิดศึกฮ่อมีเนื้อความดังแสดงมา
ยังมีเรื่องตำนานอันว่าด้วยพวกชาวเมืองในแดนสิบสองจุไทยกับแดนเมืองพวนอิกส่วน ๑ ในท้องที่เหล่านั้นพวกชนชาติไทยตั้งภูมิลำเนาอยู่
โดยมากก็จริง แต่ยังมีชนชาติอื่นอิก คือพวกข่าชาติ ๑ พวกข่านี้เปนเชื้อสายพวกขอมเดิม เมื่อไทยลงมาชิงได้ดินแดนก็ได้พวกขอมในท้อง
ที่ไว้เปนเชลย พวกเชื้อสายขอมซึ่งเรียกว่าข่า จึงเปนคนสำหรับพวกไทย ใช้สอยสืบมาจนเปนประเพณีในเมืองหลวงพระบาง นอกจากพวกข่ายังมี
เชื้อสายพวกจีนซึ่งอพยบหลบหนีมาแต่ครั้งพวกเม่งจูได้เปนใหญ่ในเมืองจีน แต่เมื่อมาอยู่ทางนี้แล้วมานิยมต่างกันจึงกลายไปเปน ๒ พวก ๆ ๑ อยู่สมรศปะปนกับพวกไทย ลูกหลานที่เกิดมาพูดภาษาไทยแลประพฤติเปนไทย คงรักษาขนบธรมเนียมจีนอยู่แต่บางอย่าง จีนอิกพวก ๑ เที่ยวอยู่ตามภูเขาแต่ลำภังพวกของตนไม่ปะปนกับพวกไทย ครั้นนานมาจึงได้ นามว่าแม้วแลเย้าเปนต้น ยังพวกญวนอิกพวก ๑ ซึ่งอพยบหนีไภยมาครั้งเกิดขบถในเมืองญวนเมื่อตอนปลายสมัยครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานีในสยามประเทศนี้ ก็มาอยู่ปะปนกับพวกไทยทางเมืองพวนจนเกิดเชื้อสายสืบมา เพราะเหตุที่ชาวเมืองปะปนเปนเชื้อสายหลายชาติ แลทำเลท้องที่ก็อยู่ในระหว่างประเทศใหญ่ พวกชาวสิบสองจุไทยกับชาวเมืองพวน
จึงไปมาค้าขายกันกับเมืองจีนเมืองญวนแลเมืองไทยในราชอาณาเขตร สยาม คุ้นเคยกับทุกฝ่ายด้วยกัน
๕
ตอนที่ ๒ อธิบายว่าด้วยพวกฮ่อ
มนุษย์จำพวกที่เรียกกันว่า " ฮ่อ " นี้ เรามักเข้าใจกันแต่ก่อนว่า
เปนชนชาติหนึ่งต่างหาก เมื่อครั้งปราบฮ่อคราว พ.ศ. ๒๔๑๘ พระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) จับได้ฮ่อส่งลงมายังกรุงเทพ ฯ
มีเสียงกระซิบนินทากันว่าพระยามหาอำมาตย์จับเจ๊กส่งลงมาลวงว่าฮ่อเพราะผู้ที่นินทานั้นหารู้ความจริงไม่ ว่าฮ่อมันก็เจ๊กนั่นเอง เปนแต่
พวกไทยทางฝ่ายเหนือไม่เรียกว่าเจ๊ก เขาเรียกว่าฮ่อมาแต่โบราณ
แม้ในหนังสือพระราชพงศาวดาร ซึ่งกล่าวถึงเรื่องจีนตีเมืองพม่าเมื่อ
ตอนก่อนศึกอะแซหวุ่นกี้ ก็เรียกว่าฮ่อตามคำไทยข้างฝ่ายเหนือ บางทีคำที่เรียกว่าฮ่อนี้ ชั้นเดิมทีเดียวจะหมายความว่าพวกมงโคลที่ได้เปนใหญ่ในเมืองจีนครั้งราชวงศ์หงวน ฤๅมิฉนั้นจะหมายความว่าพวก เม่งจูที่ได้เปนใหญ่ในเมืองจีนครั้งราชวงศ์ไต้เชง เรียกให้ผิดกับจีน
ก็อาจจะเปนได้ แต่ในชั้นหลังมาพวกชาวลานช้างแลลานนาในมณฑลภาคพายัพเรียกบรรดาเจ๊ก (ทั้งจีนแลเม่งจู) ที่ลงมาทางบกแต่ฝ่ายเหนือว่าฮ่อตามอย่างโบราณ เรียกพวกเจ๊กที่ขึ้นไปจากกรุงเทพ ฯ ว่าจีนฤๅเจ๊กตามคำชาวกรุงเทพ ฯ จึงชวนให้ชาวกรุงเทพ ฯ เข้าใจว่าฮ่อเปนชนชาติหนึ่งต่างหาก
พวกฮ่อที่มารบกับไทยนั้น ที่จริงเปนจีนแท้ทีเดียว เดิมจีน
พวกนั้นเปนขบถ เรียกพวกของตนว่า " ไต้เผง " หมายจะชิงเมืองจีน
จากอำนาจพวกเม่งจู เกิดรบพุ่งกันในเมืองจีนเปนการใหญ่หลวง ในที่
๖
สุดพวกไต้เผงสู้ไม่ได้ ต้องหลบหนีแยกย้ายกันไปเที่ยวซุ่มซ่อนอยู่ตาม ป่าแลภูเขาในมณฑลต่าง ๆ ทั้งในมณฑลฮกเกี้ยน กวางไส กวางตุ้ง แลเสฉวน มีจีนไต้เผงนั้นพวก ๑ ประมาณ ๔๐๐๐ คน ผู้เปนหัวน่าชื่อง่ออาจง พากันอพยบหนีเข้ามาในแดนญวนทางเมืองตังเกี๋ยเมื่อปีฉลู พ.ศ.๒๔๐๘ จีนพวกนี้ที่มาเปนพวกฮ่อ ชั้นเดิมมาตั้งอยู่ที่เมืองฮานอย ญวนเกรงพวกฮ่อจะมาก่อการกำเริบขึ้น จึงบอกไปขอกำลังจีนที่เมือง
ฮุนหนำ จีนให้กองทัพมีจำนวนพลประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน มาสมทบกับกองทัพญวนยกไปตีพวกฮ่อ ๆ สู้ไม่ไหว ง่ออาจงนายตายในที่รบพรรคพวกที่เหลือตายก็พากันแตกหนีไปอาศรัยอยู่ที่เมืองซันเทียน อันเปนเมืองของพวกแม้วตั้งเปนอิศระอยู่บนภูเขาที่ชายแดนจีนต่อกับแดนสิบสองจุไทย พวกไพร่พลพร้อมกันยกน้องชายของง่ออาจง ชื่อปวงนันซีขึ้นเปนหัวน่า ตั้งซ่องสุมรี้พลอยู่ที่เมืองซันเทียนนั้น ครั้น
ถึงปีขาล พ.ศ. ๒๔๐๙ ปวงนันซีได้กำลังมากก็ยกกองทัพฮ่อไปตีเมืองเลากายในแดนญวนเขตรตังเกี๋ย พวกจีนกับญวนยกกองทัพมารบสู้
พวกฮ่อไม่ได้ ปวงนันซีตีได้เมืองเลากายเมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑
แต่เมื่อได้เมืองเลากายแล้วปวงนันซีเกิดเปนอริกับนายทัพคนสำคัญในพวกฮ่อคน ๑ ชื่อลิวตายัน พวกฮ่อเกิดรบกันขึ้นเอง ปวงนันซีสู้ไม่ได้
ก็พาพรรคพวกรี้พลของตน แยกมาตั้งซ่องที่เมืองฮายางในแดนสิบสอง
จุไทย ฮ่อพวกลิวตายันใช้ธงดำ ฮ่อพวกปวงนันซีใช้ธงเหลือง จึงได้
๗
นามว่าฮ่อธงดำพวก ๑ ฮ่อธงเหลืองพวก ๑ แต่นั้นมา ๑ อยู่มาญวน เกลี้ยกล่อมยอมให้พวกฮ่อปกครองเมืองเลากายขึ้นต่อญวน ฝ่ายพวกฮ่อธงเหลืองไม่มีบ้านเมืองอยู่เปนหลักแหล่งเหมือนพวกฮ่อธงดำ จึงประพฤติเปนโจรคุมกำลังเที่ยวตีปล้นบ้านเมืองในแดนสิบสองจุไทยแลเมืองพวน แห่งใดต่อสู้ถ้าแพ้ฮ่อ ๆ ก็จับเหล่าตัวนายที่เปนหัวน่าฆ่าเสียแล้วเก็บริบเอาทรัพย์สมบัติแลจับลูกหลานบ่าวไพร่เปนเชลย ใครมี
ทรัพย์ยอมเสียค่าไถ่ตัวฮ่อก็ปล่อยตัวไป ที่ไม่สามารถจะไถ่ตัวได้ก็
เอาไปแปลงเปนฮ่อไว้ใช้สอยเปนกำลัง ถ้าแห่งใดยอมทู้ไม่ต่อสู้พวก
ฮ่อก็เปนแต่กะเกณฑ์ใช้เปนกำลังพาหนะ พวกฮ่อธงเหลืองเที่ยวตีบ้านเมืองโดยอาการดังกล่าวมานี้ ตั้งแต่ปีแรกในรัชกาลที่ ๕ ได้หัวเมืองในแดนสิบสองจุไทยแลแดนเมืองญวนหลายเมือง ถึงปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖ ฮ่อยกลงมาตีเมืองพวน ท้าวขันตีเจ้าเมืองเชียงขวางอันเปนเมืองหลวง
ในแดนพวนให้ไปขอกำลังญวนมาช่วย ญวนให้กองทัพมาก็พ่ายแพ้
ฮ่อ ๆ จึงได้เมืองเชียงขวางแล้วปราบปรามแดนพวนไว้ได้ในอำนาจทั้งหมด แล้วจึงลงมาตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่ทุ่งเชียงคำ อันเปนต้นทางที่จะ
ลงมาทางหัวเมืองริมแม่น้ำโขง แลจะไปตีเมืองหลวงพระบางต่อไป
๑ ตามฝรั่งกล่าว ว่าปวงนันซีเปนพวกธงดำ ลิวตายันเปนพวกธงเหลือง แต่ตาม ที่พวกฮ่อตัวนายให้การแก่กองทัพไทยกลับกันไป เห็นว่าจะถูกอย่างพวกฮ่อว่า
๘
ตอนที่ ๓ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งแรก
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘
เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๑๗ เปนปีที่ ๗ ในรัชกาลที่ ฮ่อเตรียมทัพ
ที่ทุ่งเชียงคำจะยกลงมาทางเมืองเวียงจันท์ มาตีเมืองหนองคายทัพ ๑ จะยกไปทางเมืองหัวพันห้าทั้งหกไปตีเมืองหลวงพระบางอิกทัพ ๑ ข่าว
ที่ฮ่อเตรียมจะยกกองทัพเข้ามาครั้งนี้ กรมการเมืองหนองคายได้ทราบความจากพวกท้าวขุนเมืองพวนที่แตกหนีเข้ามาอาศรัยอยู่เมืองหนองคาย จึงบอกเข้ามายังกรุงเทพ ฯ ถึงพร้อมกับใบบอกเจ้านครหลวงพระบางขณะนั้นพระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) เปนข้าหลวงขึ้นไป สักเลขอยู่ในมลฑลอุบล จึงโปรด ฯ ให้พระยามหาอำมาตย์เกณฑ์ กำลังมลฑลอุดร มณฑลร้อยเอ็จ แลมลฑลอุบล เปนกองทัพ ๑ ให้พระยานครราชสิมา (เมฆ) เกณฑ์กำลังนครราชสิมาเปนกองทัพ อิกทัพ ๑ ให้พระยามหาอำมาตย์เปนแม่ทัพใหญ่ยกขึ้นไปป้องกันเมืองหนองคาย แลโปรด ฯ ให้เกณฑ์กำลังมลฑลพิศณุโลกเข้ากองทัพ
ให้พระยาพิไชย (ดิศ) คุมขึ้นไปช่วยป้องกันเมืองหลวงพระบางอิกทัพ ๑ ฝ่ายทางกรุงเทพ ฯ โปรดให้เกณฑ์กำลังเข้ากองทัพ ให้เจ้าพระยาภู ธราภัยที่สมุหนายกเปนแม่ทัพ ยกไปปราบฮ่อทางเมืองหลวงพระบาง
ทัพ ๑ โปรด ฯ ให้เจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงเปนแม่ทัพยกไปปราบฮ่อทางเมืองหนองคายทัพ ๑
๙
เมื่อกองทัพพระยามหาอำมาตย์ยกขึ้นไปถึงเมืองหนองคาย ฮ่อก็
ลงมาถึงฝั่งน้ำโขงฟากโน้น ตั้งค่ายอยู่ที่วัดจันทน์ในเมืองเวียงจันท์
แห่ง ๑ ที่บ้านสีฐานแห่ง ๑ ที่บ้านโพนทานาเลาแห่ง ๑ แล้วข้ามฟากมาตีเมืองปากเหืองแตกเมือง ๑ พระยามหาอำมาตย์กับพระยานคร
ราชสิมา (เมฆ) พระพรหมภักดี (กาจ สิงห์เสนี) ๑ ยกรบัตรเมืองนครราชสิมา ยกขึ้นไปได้รบพุ่งกับพวกฮ่อ ๆ ต่อสู้อยู่วัน ๑ ก็แตกหนีไปหมด จับเปนได้ก็มาก
กองทัพเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรงยกออกจากกรุงเทพฯ โดย
ทางเรือ เมื่อวันพุฒ เดือน ๑๐ แรม ๘ ค่ำ พ.ศ. ๒๔๑๘ ตั้งโขลนทวาร ที่เหนือท่าขุนนาง เสด็จลงส่งกองทัพที่ท่าราชวรดิษฐ์ตามประเพณีโบราณ กองทัพขึ้นไปตั้งประชุมพลที่ตำบลหาดพระยาทดแขวงเมืองสระบุรี แล้วยกเปนกองทัพบกขึ้นไปเมืองนครราชสิมาทางดงพระยาไฟ เมื่อกองทัพเจ้าพระยามหินทร ฯ ยกไปแล้ว ได้ข่าวมาถึงกรุงเทพ ฯ ว่าพวกฮ่อที่ลงมาทางเมืองหนองคายแตกทัพพระยามหาอำมาตย์ไปหมดแล้ว เห็นไม่จำเปนจะให้กองทัพใหญ่ขึ้นไป จึงมีตราให้หากองทัพเจ้า พระยามหินทร ฯ กลับมาจากเมืองผไทยสงฆ์ กองทัพเจ้าพระยา ภูธราภัยนั้นยกออกจากกรุงเทพ ฯ เหมือนอย่างครั้งกองทัพเจ้าพระยา
๑ เปนบุตรเจ้าพระยายมราช แก้ว ต่อมาได้เลื่อนเปนพระยาปลัดแลเปนพระยานครราชสิมา แล้วเปนพระยานครราชเสนี จางวาง.
๒
๑๐
มหินทร ฯ เมื่อณวันอาทิตย์ เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ไปตั้งประชุมพล
ที่เมืองพิไชย แล้วยกกองทัพเดินทางบกต่อไป
ฝ่ายกองทัพพระยาพิไชย (ดิศ)ซึ่งได้ยกล่วงน่าขึ้นไปก่อน ไป
ถึงเมืองหลวงพระบางได้ทราบว่ากองทัพฮ่อมาตั้งอยู่ที่เมืองเวียงกัดในแขวงหัวพันห้าทั้งหก พระยาพิไชยก็รีบยกขึ้นไปจากเมืองหลวงพระบาง
ไปพบกองทัพฮ่อได้รบกันเมื่อเดือน ๑๒ ปีกุญ แต่กำลังกองทัพพระยา
พิไชยไม่พอจะตีฮ่อให้แตกไปได้ จึงตั้งมั่นรักษาด่านอยู่ เมื่อเจ้าพระยา
ภูธราภัยขึ้นไปถึงเมืองพิไชย ได้ทราบว่าพระยาพิไชยรบพุ่งติดพันอยู่กับพวกฮ่อ จึงจัดกองทัพให้พระสุริยภักดี (เวก บุณยรัตพันธุ์) ๑ เจ้ากรมพระตำรวจรีบยกขึ้นไปเมืองหลวงพระบางตามไปช่วยพระยาพิไชย กองทัพพระสุริยภักดีขึ้นไปถึงเข้าตีทัพฮ่อแตกยับเยินไป เจ้าพระยาภูธราภัยจึงสั่งให้กองทัพพระยาอำมาตย์ แลกองทัพพระสุริยภักดีติดตามตี
ฮ่อไปจนทุ่งเชียงคำพวกฮ่อก็พากันอพยบหลบหนีไปจากเมืองพวน เปนเสร็จการปราบฮ่อในคราวนั้น กองทัพเจ้าพระยาภูธราภัยได้ยกขึ้นไป
ตั้งอยู่ที่ตำบลปากลายริมแม่น้ำโขงข้างใต้เมืองหลวงพระบาง จนมีตราให้หากลับมา
ตอนที่ ๔ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งที่ ๒
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖
เมื่อพวกฮ่อธงเหลืองแตกหนีกองทัพไทยไปจากเมืองพวนแลเมือง
หัวพันห้าทั้งหกนั้น กลับไปตั้งรวบรวมกันอยู่ที่เมืองซันเทียน ซึ่งได้เคย
๑ เปนบุตรของเจ้าพระยาภูธราภัย ภายหลังได้เปนเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช
๑๑
อาศรัยมาแต่ก่อน แล้วเที่ยวปล้นสดมภ์บ้านเล็กเมืองน้อยตามชาย
แดนจีนแดนญวน จีนกับญวนจึงนัดกันให้กองทัพยกไปปราบพวกฮ่อ
ธงเหลือง คราวนี้ช่วยกันระดมตีได้เมืองซันเทียน แลฆ่าปวงนันซี ผู้เปนหัวน่าฮ่อธงเหลืองตายในที่รบ พวกฮ่อที่หลบหนีได้ไม่มีคนสำคัญจะเปนหัวน่าต่อไป ก็แยกกันออกเปนหลายพวกหลายเหล่า ต่าง
พวกต่างใช้ธงสีอันใดอันหนึ่งเปนเครื่องหมายพวกของตน จึงเกิดพวก ฮ่อธงแดงธงลายแลธงสีอื่น ๆ ขึ้นอิกแต่ตอนนี้ไป เมื่อฮ่อแยกกันออกเปนหลายพวกเช่นนี้ ต่างพวกย่อมมีกำลังยิ่งแลหย่อนกว่ากัน เปนเหตุ
ให้ประพฤติหาเลี้ยงชีพโดยวิธีต่างกัน บางพวกที่มีกำลังมาก ก็ใช้กำ
ลังเที่ยวเบียดเบียนผู้อื่นเอาไว้ในอำนาจอย่างเคยมา พวกที่มีกำลังน้อยบางพวกก็หาเลี้ยงชีพด้วยรับจ้างเปนกำลังรบพุ่งให้ผู้อื่น บางพวกก็เข้าอ่อนน้อมยอมตัวต่อเจ้าของเมือง ขอตั้งภูมิลำเนาประกอบการหาเลี้ยงชีพอย่างชาวเมือง แต่ที่แท้มักค้าของต้องห้ามเช่นฝิ่นเถื่อนเปนต้น
การที่พวกฮ่อเกิดกระจายเปนหลายเหล่าเช่นนี้ เปนปัจจัยต่อไปถึงความประพฤติของพวกท้าวขุนเจ้าเมืองใหญ่น้อยในแดนดินสิบสองจุไทยแลแดนพวน เพราะใครมีสาเหตุอริวิวาทต่อกันก็มักว่าจ้างฮ่อให้ไปรบพุ่งปล้นสดมภ์พวกที่เปนสัตรู บางเมืองก็เกลี้ยกล่อมเอาฮ่อไปไว้เปนกำลังป้องกันเมืองของตน พวกฮ่อจึงเที่ยวตั้งภูมิลำเนาอยู่ในแดนเหล่านั้น หามีกองทัพญวนฤๅจีนยกมาปราบพวกฮ่อเหมือนแต่ก่อนไม่ ฝ่ายเมือง
หลวงพระบางตั้งแต่กองทัพไทยไปปราบฮ่อเมื่อครั้งปีกุญ พ.ศ.๒๔๑๘ แล้ว
๑๒
ก็มิได้จัดการปกครองเมืองพวน แลเมืองหัวพันห้าทั้งหกให้มั่นคงขึ้น
เคยเปนอยู่แต่ก่อนอย่างไรก็เปนอยู่อย่างนั้น จึงมีฮ่อธงเหลืองพวก ๑ ตัวนายชื่ออาจึงคน ๑ ไกวซึงคน ๑ คุมกำลังมาตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ ในแขวงเมืองพวนประมาณ ๗ ปี ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๒๖ ฮ่อพวกนี้ยกกองทัพไปตีเมืองในแดนหัวพันห้าทั้งหก ซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองหลวงพระบาง
เจ้านครหลวงพระบางบอกลงมายังกรุงเทพ ฯ จึงโปรด ฯ ให้เกณฑ์
กำลังมณฑลพิศณุโลกเข้ากองทัพ ให้พระยาพิไชย (มิ่ง) กับพระ
ยาศุโขทัย (ครุธ)๑ คุมขึ้นไปช่วยเมืองหลวงพระบางก่อน แล้วให้ พระยาราชวรานุกูล (เวก บุญยรัตพันธ์ ซึ่งเคยคุมทัพไปรบฮ่อเมื่อยังเปนพระสุริยภักดีนั้น) ตามขึ้นไปเปนแม่ทัพใหญ่ปราบฮ่อที่ยกไปทางเมืองหลวงพระบาง แล้วโปรด ฯ ให้เกณฑ์ทัพใหญ่เตรียมไว้อิกทัพ ๑ เผื่อจะมีกองทัพฮ่อยกลงมาทางหัวเมืองริมแม่น้ำโขงเหมือนอย่างคราวก่อน ด้วยในเวลานั้นยังไม่ทราบว่าฮ่อจะมีกำลังมากน้อยเท่าใด กอง
ทัพที่เตรียมนี้จะโปรด ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระบำราบปรปักษ์ ซึ่งได้ทรงบัญชาการมหาดไทยต่อเจ้าพระยาภูธราภัยเสด็จไปเปนจอมพล แลจะโปรด ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้า ดิศวรกุมาร ๒ ซึ่งทรงบังคับการกรมทหารมหาดเล็กแลกรมแผนที่อยู่ในเวลานั้น โดยเสด็จไปอำนวยการทำแผนที่พระราชอาณาเขตรข้างฝ่าย
๑ ภายหลังได้เปนพระยารณไชยชาญยุทธตำแหน่งจางวาง ครั้นแก่ชรากราบถวาย
บังคมลาออกบวชเปนสามเณรอยู่จนถึงอนิจกรรม.
๒ คือกรมพระดำรงราชานุภาพ.
๑๓
เหนือด้วย แต่เมื่อต่อมาได้ข่าวแน่นอนว่าฮ่อมีกำลังไม่มากนัก แลยกไปแต่ทางเมืองหลวงพระบางทางทีเดียว จึงโปรด ฯ ให้เลิกกองทัพใหญ่ที่ได้ตระเตรียมเสีย เปนแต่ให้พระวิภาคภูวดล (แมกคาธี)
คุมพนักงานขึ้นไปทำแผนที่ตามที่ได้ทรงพระราชดำริห์ไว้.
กองทัพไทยยกขึ้นไปถึงเมืองหลวงพระบาง พวกฮ่อทราบความ
ก็พากันถอยหนีจากเมืองหัวพันห้าทั้งหกกลับไปยังค่ายใหญ่ที่ทุ่งเชียงคำพระยาราชวรานุกูล พระยาพิไชย แลพระยาศุโขไทยยกกองทัพติด ตามไปจนถึงทุ่งเชียงคำ เข้าล้อมค่ายฮ่อไว้ แต่ค่ายฮ่อคราวนี้ตั้งมา
ช้านานจนถึงปลูกกอไผ่บังแทนระเนียดล้อมรอบ ปืนใหญ่ที่กองทัพไทย
มีไปกำลังไม่พอจะยิงล้างกอไผ่ได้ กองทัพไทยยกเข้าตีค่ายหลายครั้ง ก็เข้าค่ายไม่ได้ ด้วยพวกฮ่ออาศรัยกอไผ่บังตัวยิงปืนกราดออกมา ฝ่ายข้างไทยมิใคร่จะเห็นตัวพวกฮ่อ ครั้งหนึ่งพระยาราชวรานุกูลยก
เข้าตีค่ายฮ่อเอง ถูกปืนข้าศึกที่ขาเจ็บป่วยแต่ยังบัญชาการศึกได้ จึง
สั่งให้ตั้งล้อมค่ายฮ่อไว้ในระหว่างเวลาที่รักษาบาดแผล ฝ่ายฮ่อถูกล้อมอยู่ในค่ายก็ขัดสนเสบียงอาหาร เห็นว่าจะรบสู้ต่อไปไม่ไหว นายทัพ
ฮ่อจึงให้ออกมาว่ากับพระยาราชวรานุกูลว่าจะยอมทู้ ขอถือน้ำกระทำสัตย์เปนข้าขอบขัณฑสีมากรุงเทพ ฯ ต่อไป ขอแต่อย่าให้ไทย ทำอันตราย ฝ่ายพระยาราชวรานุกูลว่าถ้าฮ่อจะยอมทู้ก็ให้ส่งเครื่อง
สาตราวุธบรรดามีมาให้เสียก่อน แล้วให้ตัวออกมาหาจะไม่ทำอันตรายอย่างใด พวกฮ่อไม่ไว้ใจ เกรงว่าไทยจะลวงเอาเครื่องสาตราวุธแล้ว
๑๔
จะฆ่าฟันเสีย ก็ไม่ออกมา กองทัพไทยต้องล้อมอยู่ ๒ เดือน ผู้คนเกิดป่วยเจ็บด้วยขัดสนเสบียงอาหารส่งไปไม่ทัน พระยาราชวรานุกูลก็ต้องเลิกทัพกลับมาทางเมืองหนองคาย เปนสิ้นเรื่องปราบฮ่อครั้งที่ ๒ เพียงนี้.
ตอนที่ ๕ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งที่ ๓
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘
การปราบฮ่อครั้งที่ ๓ เปนเรื่องเนื่องมาแต่การปราบฮ่อครั้งที่ ๒
คือเมื่อได้ข่าวมาถึงกรุงเทพ ฯ ว่า พระยาราชวรานุกูลแม่ทัพไปถูก อาวุธข้าศึก กองทัพไทยได้แต่ตั้งล้อมค่ายฮ่ออยู่ที่ทุ่งเชียงคำ แลใน
ขณะนั้นได้รับใบบอกเมืองหลวงพระบาง ว่ามีทัพฮ่อยกมาย่ำยีเมืองหัวพันห้าทั้งหกอิก ที่ในกรุงเทพ ฯ ไม่ทราบว่าจะเปนฮ่อพวกเดียว กับที่ทุ่งเชียงคำฤๅต่างพวกกัน ทรงพระราชดำริห์ว่ากองทัพพระยา
ราชวรานุกูลคงทำการไม่สำเร็จ ด้วยเปนแต่เกณฑ์พลเรือนไปรบ
ตามแบบโบราณ ในเวลานั้นกรมทหารที่ได้ฝึกหัดจัดขึ้นใหม่ตามวิธี
ยุโรปก็มีหลายกรม ควรจะใช้ทหารปราบปรามฮ่อให้คุ้นเคยการศึก
เสียบ้าง จึงโปรด ฯ ให้จัดทหารบกในกรุงเทพ ฯ เข้าเปนกองทัพ ๒ ทัพ ให้นายพันเอก พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษศิลปาคม ผู้บังคับการกรมทหารรักษาพระราชวัง เปนแม่ทัพ (ตวันออก) ยกไปปราบฮ่อ
ในแขวงเมืองพวนทัพ ๑ ให้นายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนารถ (เจิม แสง-ชูโต) ๑ ผู้บังคับการกรมทหารน่า (ราบที่ ๔) เปนแม่ทัพ (ตวันตก)
๑ คือเจ้าพระยาสุรศักดิมนตรี
๑๕
ยกไปปราบฮ่อในแขวงเมืองหัวพันห้าทั้งหกทัพ ๑ ยกขึ้นไปในปีรกา พ.ศ. ๒๔๒๘ ทั้ง ๒ ทัพ ในตอนนี้จะกล่าวแต่รายการส่วนที่กองทัพตวันออกยกไป รายการส่วนกองทัพตวันตกจะงดไว้กล่าวในตอนน่า.
กรมหมื่นประจักษศิลปาคมเสด็จโดยทางเรือออกจากกรุงเทพ ฯ
เมื่อณวันจันทร เดือน ๑๑ แรม ๓ ค่ำปีรกา ขึ้นไปตั้งประชุมพลที่เมือง พิศณุโลก ได้ข่าวว่ากองทัพพระยาราชวรานุกูลถอยกลับลงมายังเมืองหนองคายแล้ว กรมหมื่นประจักษศิลปาคมทรงเร่งพาหนะได้พร้อมแล้ว จึงทรงจัดให้พระอมรวิไสยสรเดช (โต บุนนาค)๑ เปนทัพน่า (เจ้าพระยา บดินทรเดชานุชิต ม.ร.ว. อรุณ ฉัตรกุล ณกรุงเทพ เวลานั้นยังเปนนายร้อยเอก ฯ ทหารปืนใหญ่ได้ไปในทัพนี้) พระราชวรินทร (บุตร บุญย รัตพันธ์)๒ เปนทัพหลัง พระองค์เสด็จเปนทัพหลวง ยกออกจาก
เมืองพิศณุโลกเมื่อณวันเสาร์ เดือนอ้าย แรม ๕ ค่ำ เดินบกทางแขวงเมืองหล่มศักดิ เมืองเลย เมืองแก่นท้าว ๒๑ วันถึงเมืองหนองคาย ๓ เมื่อเดือนยี่ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ตั้งที่บัญชาการอยู่ณเมืองหนองคายนั้น ทรงจัดให้กองทัพพระอมรวิไสยสรเดชยกไปตีค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ ให้พระยาปลัด (กาจ) เมืองนครราชสิมา๔ เปนนายกองลำเลียง แล้วทรงจัด
๑ ภายหลังได้เปนเจ้าพระยาสุรวงศวัฒนศักดิ.
๒ ภายหลังได้เปนพระยาอภัยรณฤทธิ์.
๓ ทางเดินทัพทางนี้กะไว้แต่ครั้งสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาบำราบปรปักษ์จะเสด็จยกกองทัพ โดยคาดว่าเปนทางเดินสดวกกว่าขึ้นทางเมืองสระบุรี แต่ที่จริงเดินลำบากกว่า
ทางเมืองสระบุรีมาก เพราะต้องเดินข้ามภูเขาแทบตลอดทาง
๔ ผู้ได้เคยรบฮ่อที่เมืองเวียงจันท์ครั้งยังเปนพระยกรบัตร.
๑๖
ให้กองทัพพระราชวรินทรเปนทัพหนุนอิกทัพ ๑ ให้จมื่นไชยาภรณ์ (สาย สิงห์เสนี) ๑ เปนนายกองลำเลียง ยกออกจากเมืองหนองคายเมื่อ เดือนยี่ แรม ๙ ค่ำ ครั้งนั้นกำลังพาหนะแลเสบียงอาหารในมณฑลอุดรร่อยหรอฝืดเคือง ต้องรวบรวมเปนการลำบากมาก กองทัพเดิน
ทางถึง ๓๕ วันจึงถึงทุ่งเชียงคำ เมื่อเดือน ๔ ขึ้นค่ำ ๑ พวกฮ่อรู้ตัวเผา ค่ายหนีไปเสียก่อนแล้ว กองทัพตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำไม่มีเสบียงอาหาร
จึงถอยมาตั้งอยู่ที่เมืองเชียงขวาง ให้ออกสืบเสาะว่าพวกฮ่อจะไปตั้ง
อยู่ณที่ใด ได้ความว่าพวกฮ่อที่หนีไปจากทุ่งเชียงคำ อพยบไปอาศรัยพวกแม้วพวกเย้าอยู่ที่ปลายแดนญวน ระยะทางห่างเมืองเชียงขวางประมาณ ๖ วัน พวกฮ่อกำลังจะพากันไปเมืองญวน๒ นายทัพทั้ง ๒
ปฤกษากันเห็นว่าจะยกติดตามฮ่อไปก็คงไม่ทัน จึงตั้งจัดการบ้านเมืองเกลี้ยกล่อมพวกพลเมืองที่แตกฉานไปอยู่ตามป่าแลเขาให้กลับคืนมายังภูมิลำเนา แลพาหัวน่าพวกข่าซึ่งตั้งขัดแขงเจ้าเมืองกรมการอยู่แต่ก่อนแลเข้ามาอ่อนน้อมต่อกองทัพนั้น เลิกทัพกลับมายังเมืองหนองคาย
กองทัพตวันออกที่ยกไปครั้งนั้นหาได้มีโอกาศรบพุ่งกับพวกฮ่อไม่ ครั้นบ้านเมืองเรียบร้อยเปนปรกติแล้ว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ กองทัพกรมหมื่นประจักษศิลปาคมกลับคืนมายังกรุงเทพ ฯ เสด็จมาถึงเมื่อเดือน ๖ ปีกุญ พ.ศ. ๒๔๓๐
๑ ภายหลังได้เปนพระยาอนุชิตชาญไชย.
๒ ครั้งนั้นประจวบเวลาจีนรบกับฝรั่งเศสในแดนตังเกี๋ย จีนจ้างพวกฮ่อเปนกำลังฮ่อพวกนี้คงหมายไปรับจ้างจีนรบฝรั่งเศส.
๑๗
ตอนที่ ๖ ว่าด้วยปราบฮ่อครั้งที่ ๓
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ต่อมา
ฝ่ายกองทัพตวันตกซึ่งเจ้าหมื่นไวยวรนารถเปนแม่ทัพนั้น ยกออกจากกรุงเทพ ฯ โดยทางเรือเมื่อวันอังคารเดือน ๑๑ แรม ๑๑ ค่ำ ปีรกา พ.ศ. ๒๔๒๘ ขึ้นไปถึงเมืองพิไชยเมื่อเดือน ๑๒ แรม ๒ ค่ำ ตั้งประชุมพลที่เมืองพิไชยนั้น ได้โปรด ฯ ให้พระยาศรีสิงหเทพ (อ่วม)๑ ขึ้น ไปเปนพนักงานจัดพาหนะส่งกองทัพ จึงปฤกษากันจัดการเดินทัพขึ้นไปเมืองหลวงพระบางเปน ๓ ทาง ๆ ที่ ๑ ที่กองทัพใหญ่จะยกไปนั้น ยกจากเมืองพิไชยทาง ๓ วันถึงเมืองฝาง ต่อนั้นไป ๔ วันถึงท่าแฝกเข้าเขตรเมืองน่าน ต่อไปอีก ๖ วันถึงเมืองน่าน จากเมืองน่าน ๖ วันถึงตำบลนา ดินดำ ต่อไปอิก ๖ วันถึงบ้านนาแล แต่บ้านนาแล ๖ วัน รวม ๓๑ วันถึงเมืองหลวงพระบาง ทางที่ ๒ นั้นจะได้จัดแบ่งเครื่องใช้สำหรับกองทัพแต่งให้พระศรีพิไชยสงครามปลัดซ้ายกรมการเมืองพิไชย กับนายทหารกรุงเทพ ฯ ให้คุมไปทางเมืองน้ำปาดตรงไปตำบลปากลาย ลงบรรทุกเรือขึ้นไปทางลำแม่น้ำโขงส่งยังเมืองหลวงพระบาง ทางที่ ๓ เมื่อกองทัพใหญ่ยกไปถึงเมืองน่านแล้ว จะแต่งให้พระพลสงครามเมืองสวรรคโลก
กับนายทหารกองทหารปืนใหญ่คุมปืนใหญ่แลกระสุนดินดำแยกทางไปลงท่านุ่นริมแม่น้ำโขง จัดลงบรรทุกเรือส่งไปยังเมืองหลวงพระบาง
๑ ภายหลังได้เปนพระยาราชวรานุกูล
๓
๑๘
อนึ่งเสบียงอาหารที่จะจ่ายให้ ไพร่พลในกองทัพตั้งแต่เมืองพิไชย
เปนระยะตลอดไปกว่าจะถึงเมืองหลวงพระบางนั้น พระยาศรีสิงหเทพรับ จัดส่งเสบียงขึ้นไปรวบรวมไว้เปนระยะทุกๆ ตำบลที่พักให้พอจ่ายกับจำนวนคนในกองทัพมิให้เปนที่ขัดขวางได้
กองทัพตั้งพักรอพาหนะอยู่ที่เมืองพิไชยประมาณได้ ๒๐วัน พาหนะ
ก็ยังหามาพรักพร้อมแลพอกับจำนวนสิ่งของที่จะบรรทุกขึ้นไปไม่ ได้
ช้างที่จะไปในกองทัพ ๑๐๘ ช้าง โคต่าง ๓๑๐ โค ม้า ๑๑ ม้าเท่านั้น แม่ทัพเห็นว่าจะรอคอยพาหนะให้พร้อมแล้วจึงยกกองทัพขึ้นไปก็จะเสียเวลามากนัก จึงได้จัดเสบียงแบ่งไปแต่พอควรส่วนหนึ่งก่อน ส่วนหนึ่งนั้นได้มอบให้ กรมการเมืองพิไชยรักษาไว้ส่งไปกับกองลำเลียงภายหลัง
ครั้นณวันศุกร์ เดือนอ้าย แรม ๑๑ ค่ำ ปีรกา พ.ศ. ๒๔๒๘ เวลาเช้า
๓ โมงเศษ เจ้าหมื่นไวยวรนารถยกกองทัพจากเมืองพิไชย ให้พระพลจางวางด่านเมืองพิไชยเปนกองนำทาง ให้พระอินทรแสนแสงปลัดเมืองกำแพงเพ็ชร คุมขุนหมื่นไพร่เปนกองน่าสำหรับทำทางที่รกเรี้ยวกีดขวาง
พอให้ช้างเดินตลอดไปได้โดยสดวก ให้นายร้อยเอกหลวงจำนงยุทธกิจ (อิ่ม)๑ คุมทหารกรุงเทพ ฯ เปนกองตรวจแลรักษาการไปในสองข้างทาง แลให้เปนผู้แนะนำทหารหัวเมืองกองพระปลัดเมืองกำแพงเพ็ชร
๑ ภายหลังได้เปนพระยาเทพาธิบดีผู้ว่าราชการเมืองพิจิตร แล้วเลื่อนเปนสมุหเทศา
ภิบาลมณฑลพิศณุโลก.
๑๙
ให้รักษาการอย่างทหารด้วย ให้นายพันตรี นายจ่ายวด ศุข ชูโต ๑ เปนผู้กำกับตรวจตรากองน่านี้ด้วย แลกองอื่น ๆ นอกจากที่ได้กล่าวมา นี้ก็ให้ยกเปนลำดับไปทุก ๆ กองตามวิธีจัดทัพ
ครั้นณวันพุฒ เดือนยี่ แรมค่ำ ๑ ปีรกา ถึงสบสมุนใกล้กับเมืองน่าน
ระยะทางประมาณ ๑๐๐ เส้น แม่ทัพจึงสั่งให้ตั้งพักจัดกองทัพที่จะเดินเข้าไปยังเมืองน่าน ในเวลานั้นเจ้านครเมืองน่าน ๒ แต่งให้พระยา
วังซ้ายแลเจ้านายบุตรหลานแสนท้าวพระยาคุมช้างพลายสูง ๕ ศอก ผูกจำลองเขียนทองออกมารับ ๓ ช้าง กับดอกไม้ธูปเทียนพานหนึ่ง แจ้งความ ว่าเจ้านครเมืองน่านให้มารับกองทัพเข้าไปยังเมืองน่าน แม่ทัพจึงให้
เจ้านายบุตรหลานกลับไปแจ้งความแก่เจ้านครเมืองน่านว่าในเวลาวันนี้จะหยุดพักคืนหนึ่งก่อน ต่อรุ่งขึ้นจึงจะได้ยกเข้าไป เพราะผู้คนช้างม้าอิด
โรยบอบช้ำมาหลายเวลา จะพักผ่อนพอให้พร้อมมูลกันก่อน.
รุ่งขึ้นณวันพฤหัศบดี เดือนยี่แรม ๒ ค่ำ เวลาเช้า ๒ โมงเศษเจ้านคร
เมืองน่านจึงแต่งให้ท้าวพระยาคุมช้างพลายผูกจำลองเขียนทองออกมารับ ๓ ช้าง แลจัดเปนกระบวรแห่ให้ออกมารับกองทัพด้วย ในวันนั้นเวลาเช้า ๓ โมงเศษ แม่ทัพแลนายทัพนายกองพร้อมกันเดินกระบวรทัพเข้าไปในเมือง ให้กระบวรแห่ซึ่งเจ้านครเมืองน่านแต่งมารับนั้นนำกอง
ทัพไปข้างน่า เวลาเช้า ๔ โมงเศษกองทัพถึงพร้อมกันยังทำเนียบที่พัก
๑ ภายหลังได้เปนพระยาฤทธิรงค์รณเฉท แลเปนสมุหเทศาภิบาลมณฑลปราจิณ.
๒ เจ้าอนันตรฤทธิเดช
๒๐
ซึ่งเจ้านครเมืองน่านแต่งไว้รับ ตั้งอยู่ตรงประตูกำแพงเวียงด้านตวันออกในเวลานั้นเจ้าอุปราชราชวงศ๑ แลเจ้านายบุตรหลานพร้อมกันต้อนรับ
ครั้นเวลาบ่าย ๓ โมงเศษ เจ้านครเมืองน่านกับเจ้าอุปราชราชวงศ
แลบุตรหลานพร้อมกันแต่งเต็มยศ มายังทำเนียบที่พักกองทัพนั้น ฝ่ายกองทัพก็ได้จัดทหารเปนกองเกียรติยศรับที่ประตู มีนายทหาร ๑ คน พลทหารถือปืน ๑๒ คน พลทหารแตรเดี่ยว ๒ คน คำนับรับตาม สมควรแก่ยศศักดินั้น เจ้านครเมืองน่านพร้อมด้วยเจ้าอุปราชราชวงศ แลบุตรหลานก็มาหาแม่ทัพปราไสยไต่ถามด้วยข้อราชการแลอวยไชยให้พรในการที่จะปราบข้าศึกสัตรูให้มีไชยชนะ สำเร็จราชการตามพระ
บรมราชประสงค์จงทุกประการ แลจัดพระศิลานิลองค์หนึ่ง พระบรมธาตุองค์หนึ่งให้แม่ทัพ เพื่อจะได้เปนศิริคุ้มครองป้องกันสรรพอันตราย
ที่จะไปในราชการสงครามครั้งนี้ กับใบเมี่ยง ๖ กระบอก เข้าสารเปน
เข้าเจ้า ๔ ขัน หมากพลู ๒ ขัน แม่ทัพก็ได้จัดของซึ่งเปนสิ่งของแปลก ปลาดแก่ชนชาวประเทศนั้นหลายสิ่ง ซึ่งจัดขึ้นไปแต่กรุงเทพ ฯ ให้ ตอบแทนแก่เจ้านครเมืองน่านตามสมควร ตั้งแต่กองทัพตวันตกยก
ออกจากเมืองพิไชยไปจนถึงนครเมืองน่าน รวมวันเดินกองทัพ ๑๗ วัน หยุดพักอยู่เมืองฝางแลท่าแฝก ๔ วัน รวมเปน ๒๑ วัน
อนึ่งพระยาศรีสิงหเทพข้าหลวง เชิญเครื่องราชอิศริยาภรณ์มหา
สุราภรณ์มงกุฎสยามชั้นที่ ๑ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทาน
๑ เจ้าราชวงศนี้ ภายหลังได้เปนพระเจ้าสุริยพงศผริตเดช
๒๑
แก่เจ้านครเมืองน่านขึ้นไปถึง กำหนดนำไปพระราชทานเมื่อณวันอาทิตย์เดือนยี่ แรม ๕ ค่ำ เวลาเช้า ๕ โมงเศษ แม่ทัพจัดให้มีกองทหารแห่นำไปแต่ทำเนียบพระยาศรีสิงหเทพ จนถึงในเวียงที่คุ้มเจ้านครเมืองน่านส่วนแม่ทัพแลนายทัพนายกองก็พร้อมกันไปประชุมในสนามที่ว่าราชการของเจ้าเมืองนครน่าน ซึ่งจัดแจงแต่งรับเครื่องราชอิศริยาภรณ์นั้นด้วย
ถึงเดือนยี่ แรม ๑๑ ค่ำ เจ้านครเมืองน่านได้ส่งช้างมาเข้ากระบวร
ทัพ ๑๐๐ ช้าง แม่ทัพจึงได้เปลี่ยนช้างหัวเมืองชั้นในที่ได้บรรทุกกระสุนดินดำเสบียงอาหารมาในกองทัพ ๕๘ ช้าง มอบให้พระพิไชยชุมพลมหาดไทยเมืองพิไชยคุมกลับคืนไปยังเมืองพิไชย เพื่อจะได้บรรทุก
เสบียงลำเลียงเข้าจากเมืองพิไชยขึ้นมาส่งยังฉางเมืองท่าแฝก ซึ่งพระยาสวรรคโลกได้มาตั้งฉางพักเสบียงไว้ สำหรับที่เมืองน่านจะมารับลำเลียงส่งต่อไปถึงท่าปากเงย แลเมืองหลวงพระบางจะได้จัดเรือมารับลำเลียงแต่ท่าปากเงยต่อไป ๑
ครั้นณวันจันทร เดือนยี่ แรม ๑๓ ค่ำ ปีรกา เวลาเช้า ๒ โมงเศษ
เจ้าหมื่นไวยวรนารถยกกองทัพออกจากเมืองน่าน เดินทางข้ามห้วยธารแลเทือกเขาไป ๑๐ วัน ถึงเมืองไชยบุรีศรีน้ำฮุงในเขตรเมือง หลวงพระบาง เจ้าราชภาคิไนยเมืองหลวงพระบางมาคอยรับกองทัพ
๑ ครั้งนั้นพวกข่าที่เคยหาเสบียงอาหารส่งเมืองหลวงพระบาง เห็นพวกฮ่อมาย่ำยีก็พลอยขัดแข็งบิดพลิ้ว ไม่ยอมหาเสบียงส่งอย่างแต่ก่อน เสบียงสำหรับกองทัพ
จึงต้องส่งไปแต่หัวเมืองชั้นใน.
๒๒
แลจ่ายเสบียงสำหรับที่จะเดินทางต่อไปด้วย ตำบลนี้มีบ้านเรือนประมาณ ๓๐๐ หลังเรือนเศษ เปนที่ไร่นาบริบูรณ์พอหาเสบียงอาหารได้ รุ่งขึ้น ณวันเสาร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ยกจากเมืองน้ำฮุงไปทางเปนที่ราบ เวลาบ่าย ๓ โมงเศษถึงท่าเดื่อริมแม่น้ำโขง ตั้งพักอยู่คืนหนึ่ง
ครั้นรุ่งขึ้นณวันอาทิตย์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ยกจากท่าเดื่อเดินเลียบ
ไปตามริมฝั่งแม่น้ำโขง ครั้นเวลาบ่าย ๓ โมงเศษถึงเมืองน่าน (น้อย) หยุดพักกองทัพที่เมืองน่าน (น้อย) นั้น ๒ คืน ด้วยตามประเพณีของเมืองหลวงพระบางมีมาแต่โบราณ ถ้าเจ้านายเมืองหลวงพระบางจะ ลงไปกรุงเทพ ฯ ฤๅข้าหลวงขึ้นมาแลจะเข้าไปในเมืองหลวงพระบาง แล้วต้องพักที่เมืองน่าน (น้อย) บวงสรวงเทพารักษก่อนจึงยกเลยไป
เมื่อกองทัพถึงเมืองน่าน (น้อย) คราวนี้ เจ้านครหลวงพระบาง๑
แต่งให้ท้าวพระยานำเครื่องสังเวยเทพารักษ มีกระบือคู่ ๑ กับเครื่องกระยาบวงสรวงตามธรรมเนียม มาแจ้งความแก่แม่ทัพว่าเจ้านครหลวงพระบางให้จัดมาทำการบวงสรวงเทพารักษสำหรับกองทัพที่ยกมาตามแบบอย่างประเพณีของเมืองหลวงพระบาง เพื่อจะให้คุ้มครองป้องกันสรรพอันตรายทั่วทั้งกองทัพ แม่ทัพจึงได้ตั้งพักกองทัพอยู่ณที่นั้นสังเวยเทพารักษ์ตามธรรมเนียมของบ้านเมือง
ตั้งแต่เมืองน่าน (น้อย) ต่อไป กองทัพเดินเลียบไปตามริมฝั่ง
แม่น้ำโขงบ้าง เดินตัดไปทางป่าห่างฝั่งแม่น้ำโขงบ้าง ๒ วันถึงท่าเลื่อน
๑ เจ้ามหินทรเทพนิภาธร ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเปนพระเจ้ามหินทรเทพนิภาธร
๒๓
เมื่อวันพฤหัศบดี เดือน ๓ ขึ้น ๑๕ ค่ำ แต่ที่นี้แม่ทัพสั่งให้ผ่อนสิ่งของที่มีน้ำหนักมากลงบรรทุกเรือไปยังเมืองหลวงพระบาง เพราะช้างที่บรรทุกของบอบช้ำอิดโรยมาก จึงผ่อนให้เดินไปแต่ลำพัง แลทางเรือแต่ท่าเลื่อนไปเมืองหลวงพระบางนั้น ไปได้สดวกแลถึงเร็วกว่าทางบกด้วย
เมื่อแม่ทัพได้จัดผ่อนสิ่งของส่งไปโดยทางเรือเสร็จแล้ว รุ่งขึ้น ณวันศุกร์ เดือน ๓ แรมค่ำ ๑ ยกจากท่าเลื่อน ทางเปนที่ราบมีทุ่งนาเปนระยะไปจนเวลาเช้า ๒ โมงเศษ พบเจ้าราชวงศ๑ กับเจ้าราชสัมพันธวงศ คุมปี่พาทย์ฆ้องกลองกับดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะมา คอยอยู่ แจ้งความว่าเจ้านครหลวงพระบางแต่งให้มารับกองทัพเข้าไปยังเมืองหลวงพระบาง แล้วนำกองทัพยกไปเวลาเที่ยงถึงทำเนียบที่พักบ้านเชียงแมนริมแม่น้ำโขงฝั่งตวันตก ตรงน่าเมืองหลวงพระบางข้ามเจ้าอุปราชแลเจ้านายบุตรหลานกับพระยาศุโขไทย (ครุธ)๒ ผู้แทนข้าหลวงกำกับเมืองหลวงพระบาง พร้อมกันจัดเรือมาคอยรับกองทัพที่จะข้ามไปทำเนียบทางฝั่งตวันออก ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงพระบางนั้นแม่ทัพจึงขอให้เจ้านายเมืองหลวงพระบาง กลับไปแจ้งความแก่เจ้านครหลวงพระบางว่า ไพร่พลบอบช้ำมาหลายเวลาจะขอพักอยู่ที่เชียงแมนคืนหนึ่งก่อน ต่อรุ่งขึ้นจึงจะได้ยกกองทัพเข้าไปยังเมืองหลวงพระบาง
ครั้นรุ่งขึ้นณวันเสาร์ เดือน ๓ แรม ๒ ค่ำ ปีรกา เวลาเช้า ๓ โมง เศษ เจ้านครหลวงพระบางจึงแต่งให้เจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ พร้อม
๑ ภายหลังได้เปนเจ้าสักรินทร ฯ เจ้านครหลวงพระบาง
๒ ได้เคยไปรบฮ่อที่ทุ่งเชียงคำเมื่อคราวก่อน
๒๔
ด้วยพระยาศุโขไทยผู้แทนข้าหลวง จัดเรือเก๋งลำหนึ่งกับเรือที่จะบรรทุกไพร่พลทหารข้ามไปยังเมืองหลวงพระบาง รวม ๔๐ ลำ มีปี่พาทย์ฆ้องกลองเปนกระบวรแห่มารับกองทัพข้ามแม่น้ำโขงไปถึงที่ฝั่งฟากตวันออก แล้วแม่ทัพให้ทหารกรุงเทพ ฯ แลทหารหัวเมืองเดินเปนกระบวรทัพ เข้าไปในเมืองหลวงพระบาง สองข้างทางที่เดินกองทัพไปนั้น มีราษฎรชายหญิงมาดูเนืองแน่นตลอดไปจนถึงทำเนียบที่พัก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้
กับลำน้ำคาน ฝ่ายทิศตวันออกของเมืองหลวงพระบางนั้น เมื่อแม่ทัพ
แลนายทัพนายกองไปถึงทำเนียบพร้อมกันแล้ว เจ้านครหลวงพระบางพร้อมด้วยเจ้านายบุตรหลานมาเยียนตามประเพณีราชการ แม่ทัพให้
จัดทหารเปนกองเกียรติยศรับ ๒๔ คน ทหารแตรเดี่ยว ๒ คน ครั้น รุ่งขึ้นแม่ทัพแลนายทัพนายกองพร้อมกันไปหาเจ้านครหลวงพระบาง แลได้ไปเยียนตอบเจ้านายในเมืองหลวงพระบางนั้นด้วย
เมื่อกองทัพขึ้นไปถึงเมืองหลวงพระบางแล้ว เจ้าหมื่นไวยวรนารถ
สอบสวนเรื่องราวข่าวทัพฮ่อ ได้ทราบว่าข้อความตามที่เมืองหลวง
พระบางบอกลงมายังกรุงเทพ ฯ นั้น เปนแต่รู้จากคำพวกราษฎรบอก เล่าเปนพื้น เพราะหนทางจากเมืองหลวงพระบางไปยังเมืองหัวพันห้า
ทั้งหก ต้องเดินข้ามห้วยเขาป่าดงเปนทางกันดาร การที่แต่งคนไป
สืบข้อราชการ ถ้าแต่งเปนกองใหญ่คนไปมากก็ติดขัดด้วยเรื่องหา
เสบียงอาหาร ถ้าคนไปน้อยให้พอหาเสบียงอาหารได้ในท้องที่ ก็ไม่
กล้าไปไกลด้วยเกรงอันตราย จึงได้แต่ไต่ถามพวกราษฎรตามท้องที่
๒๕
ใกล้ ๆ มารายงาน จะเชื่อฟังเอาเปนจริงทีเดียวไม่ได้ คงฟังได้ เปนหลักฐานแต่ว่ามีพวกฮ่อเข้ามาตั้งค่ายอยู่ในแดนเมืองหัวพันห้าทั้งหกหลายตำบล แลหัวเมืองเหล่านั้นท้าวขุนต่างเมืองต่างรักษาประโยชน์ของตน หามีใครที่จะบังคับบัญชารวมกันทั้งหมดไม่ ได้ความเช่นนี้ แม่ทัพจึงเห็นว่า ซึ่งจะตั้งอำนวยการปราบฮ่ออยู่ที่เมืองหลวงพระบางนั้นห่างนัก ตรวจดูตามแผนที่อันพอจะรู้ได้ในเวลานั้นประกอบกับ คำชี้แจงที่เมืองหลวงพระบาง เห็นว่ากองทัพจะต้องขึ้นไปตั้งอยู่ที่เมืองซ่อนในเขตรเมืองหัวพันห้าทั้งหกจึงจะปราบปรามพวกฮ่อตลอดไปได้ทุกเมือง เมื่อตกลงเช่นนี้แล้วจึงจัดวางการที่จะส่งเสบียงอาหารสำหรับ กองทัพ แลกำหนดการที่จะยกกองทัพขึ้นไปให้ถึงเมืองซ่อนในเดือน ๔ ปีรกานั้น ให้ได้ทำการปราบฮ่อแต่ก่อนถึงฤดูฝน
ตอนที่ ๗ ว่าด้วยปราบฮ่อคราวที่ ๓
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ต่อมา
ถึงวันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีรกา เวลาเช้า ๓ โมง เจ้า
หมื่นไวยวรนารถยกกองทัพจำนวนพลรบ ๒,๕๐๐ คนออกจากเมืองหลวงพระบาง เดินทางบกไป ๑๐ วัน ข้ามลำน้ำอูไปถึงที่พักณเมืองงอย เห็นทางเดินทัพกันดาร เจ้าหมื่นไวย ฯ ปฤกษากับพระยาศุโขไทย แลเจ้าราชวงศ์เมืองหลวงพระบางเห็นพร้อมกันว่า จะรีบยกกองทัพขึ้นไป
เมืองซ่อนทั้งหมด เสบียงอาหารคงส่งไม่ทัน จะตั้งอยู่เมืองงอยคอยให้
๔
๒๖
เสบียงอาหารพรักพร้อมเสียก่อนเล่าก็จะช้าการไป แม่ทัพจึงแบ่ง ทหารหัวเมืองให้พระยาศุโขไทยกับนายพันตรี พระพาหนพลพยุหเสนา (กิ่ม)๑ คุมอยู่ที่เมืองงอยกองหนึ่ง เพื่อจะได้ลำเลียงเสบียงอาหารส่งไปโดยเร็ว เมื่อได้เสบียงพอแล้ว เจ้าหมื่นไวย ฯ จะมีหนังสือลงมายัง เมืองงอยให้พระยาศุโขไทย และพระพาหนพลพยุหเสนายกตามขึ้นไป อนึ่งแม่ทัพได้แต่งให้เจ้าราชวงศ์คุมไพร่พลยกขึ้นไปตั้งมั่นอยู่ตำบลสบซางคอยรับเสบียงแลคิดลำเลียงส่งไปถึงเมืองซ่อนอิกกองหนึ่ง ส่วนแม่ทัพกับนายจ่ายวดแลไพร่พลทหารกรุงเทพ ฯ นั้น จะรีบยกขึ้นไปยังเมืองซ่อน ทีเดียว.
ถึงวันอังคาร เดือน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ เจ้าหมื่นไวยวรนารถ แล
นายทัพนายกองทหารกรุงเทพ ฯ กับทหารหัวเมืองที่สมทบกัน จึงยก
ออกจากเมืองงอยเดินทางข้ามห้วยธารแลเทือกเขาไป ๓ วัน ถึง
เมืองซ่อนเมื่อณวันเสาร์ เดือน ๕ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีจอยังเปนสัปตศก
ทำเลเมืองซ่อนนั้นมีทางที่จะแยกไปยังเมืองอื่น ๔ ทาง ๆ ที่ ๑ ฝ่ายทิศตวันออกเฉียงเหนือไปเมืองสบแอดระยะทาง ๘ วัน ทางที่ ๒ ฝ่ายทิศตวันออกเฉียงใต้ไปเมืองแวนแลเมืองพูนระยะทาง ๑๐ วัน ทางที่ ๓ ไปทุ่งเชียงคำระยะทาง ๑๐ วัน ทางที่ ๔ คือทางมาเมืองงอยที่กองทัพ
ยกขึ้นไป เมืองซ่อนเปนเมืองต้นทางควรตั้งกองทัพแลเปนที่รวบรวมเสบียงอาหาร แม่ทัพจึงให้ตั้งค่ายมั่นแลจัดรักษาด่านทางให้เปนที่มั่น
๑ ภายหลังเลื่อนเปนพระยา ฯ
๒๗
คงแขงแรง เมื่อกองทัพไปถึงเมืองซ่อนสืบได้ความชัดว่า มีฮ่อตั้งค่าย
อยู่ที่ตำบลบ้านใดในแขวงเมืองสบแอดค่ายหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ตำบลนาปาแขวงเมืองสบแอดอิกค่ายหนึ่ง ค่าย ๒ แห่งนี้เปนที่มั่นของฮ่อ ระยะทางห่างกันประมาณ ๒๐๐ เส้น แลฮ่อแยกไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองพูนอิกค่ายหนึ่ง มีฮ่อแลผู้ไทยทู้อยู่ เปนพวกฮ่อที่เปนชายฉกรรจ์ทั้ง ๓ ค่ายจำนวนคนประมาณ ๘๐๐ แลยังมีครอบครัวของพวกฮ่อตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ค่ายบ้านใดแลค่ายบ้านนาปาแขวงเมืองสบแอดทั้ง ๒ แห่ง
เมื่อสืบได้ความมั่นคงดังกล่าวมา แม่ทัพจึงแต่งให้นายร้อยเอกหลวงดัษกรปลาศ (อยู่)๑ กับเจ้าราชภาคินัย คุมทหารกรุงเทพ ฯ กับทหารหัวเมืองรวมนายไพร่ ๓๐๐ คน ยกขึ้นไปทางสายตวันออกเฉียงเหนือหมายไปตีค่ายฮ่อบ้านใด แลบ้านนาปาแขวงเมืองสบแอดกอง ๑ ให้นายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ (อิ่ม) กับเจ้าราชวงศ์ คุมทหารกรุงเทพ ฯ กับทหารหัวเมืองรวมนายไพร่ ๔๐๐ คน ยกขึ้นไปทางสาย ตวันออกเฉียงใต้หมายไปตีค่ายฮ่อที่ตั้งอยู่ณเมืองพูนอิกกอง ๑ ให้ฮ่อ พว้าพวังต้องต่อสู้เปน ๒ ทางอย่าให้รวมกำลังกันได้.
อนึ่งในขณะเมื่อกองทัพตั้งอยู่ณเมืองซ่อนนั้น หัวพันเมืองพูนได้นำครอบครัวอพยบหนีฮ่อมาหากองทัพ ๔๐ ครัว รวมชายหญิงทั้งเด็ก
ผู้ใหญ่ ๔๑๘ คน หัวพันเมืองโสยนำครอบครัวอพยบหนีฮ่อมา ๑๕ ครัว รวม ๑๘๘ คน หัวพันเมืองสบแอดนำครอบครัวอพยบหนีฮ่อมา ๔๐ ครัว
๑ ภายหลังได้เปนนายพันเอก พระยาดัษกรปลาศ ราชองครักษ.
๒๘
รวม ๔๙๕ คน รวมครัวทั้ง ๓ เมืองซึ่งมาหากองทัพณเมืองซ่อน ๙๕
ครัว ชายหญิง ๑,๑๐๑ คน แม่ทัพต้องรับไว้ที่เมืองซ่อนทั้งสิ้น เสบียงอาหารที่จะแจกจ่ายเจือจานก็อัตคัด แม่ทัพจึงจ่ายเงินให้พวกครัวเที่ยวซื้อหาอาหาร ด้วยเห็นเปนคนในพื้นเมืองพอจะเที่ยวซื้อหาเองได้ไปชั่วคราว แลเวลานั้นก็จวนเข้าฤดูฝน พวกครัวซึ่งมารวบรวมกันอยู่ยังหา
มีถิ่นที่ไร่นาที่จะทำพอเลี้ยงชีวิตรต่อไปไม่ แม่ทัพจึงให้เจ้าราชวงศ์ขอ ยืมที่นาของราษฎรในเมืองซ่อนซึ่งยังรกร้างมีอยู่บ้าง กับพื้นที่ว่างเปล่า
อันมีอยู่แบ่งปันให้แก่พวกครัวพอจะได้ทำมาหากิน โคซึ่งมีไปสำหรับ
กองทัพ อันมิใช่โคพาหนะ เปนโคจัดซื้อไปสำหรับเปนเสบียงกองทัพ แม่ทัพก็ให้ยืมพอที่พวกครัวจะได้ใช้คราดไถในการทำนานั้น แลให้
เจ้าราชวงศ์แจ้งความลงมายังเจ้านครหลวงพระบาง ขอให้จัดหากระบือส่งขึ้นไปพอจะได้เปนกำลังของพวกครัวบ้างตามสมควร แต่คนครัว
ทั้ง ๓ เมืองที่เปนชายฉกรรจ์นั้น แม่ทัพเกณฑ์ให้ขนลำเลียงเสบียงแต่เมืองซ่อนขึ้นไปส่งกองทัพที่ได้ยกขึ้นไปแล้วทั้ง ๒ ทาง.
จะกล่าวถึงกองหลวงดัษกรปลาศ ซึ่งยกขึ้นไปทางทิศตวันออกเฉียงเหนือหมายไปตีค่ายฮ่อบ้านใดบ้านนาปาแขวงเมืองสบแอดนั้น ยก ขึ้นไปถึงบ้านใดก็เข้าตีค่ายฮ่อ เมื่อณวันจันทร เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีจอ
ยังเปนสัปตศก ฮ่อยกออกต่อสู้นอกค่าย เอาปืนใหญ่กระสุนเท่าผลส้มเกลี้ยงลากออกมาตั้งยิงที่น่าค่าย พอยิงปืน ๆ นั้นแตก ฮ่อก็หนีกลับ
เข้าค่าย กองทหารไทยได้ทีก็ไล่รุกเข้าไปถึงค่าย นายร้อยโท นายดวง
๒๙
คุมทหารหมวดหนึ่ง เข้าพังประตูค่ายด้านใต้ เจ้าราชภาคินัยกับนาย
ร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศคุมทหารเปนกองหนุน นายร้อยโท นาย
เอื้อน (ชูโต) คุมทหารหมวดหนึ่ง เข้าพังประตูค่ายด้านทิศตวันตก พระพิพิธณรงค์กรมการเมืองลับแล กับพระเจริญจัตุรงค์กรมการเมือง
พิไชยคุมทหารหัวเมืองเปนกองหนุน ทหารพวกหมวดนายร้อยโทดวง
พังประตูค่ายด้านใต้ตีหักเข้าค่ายได้ก่อนด้านอื่น ฮ่อแตกกระจัดกระจายพ่ายหนีออกหลังค่ายทิศตวันออก ทหารก็หักค่ายเข้าไปได้ทุกทาง
แต่นั้นฮ่อก็มิได้ต่อสู้รีบทิ้งค่ายหนีไป รบกันครั้งนี้ฮ่อตายในที่รบ ๒๓ คน ถูกอาวุธป่วยเจ็บไปเห็นจะมาก
ในเวลาเมื่อต่อรบกันนั้น กระสุนปืนถูกฮ่อกอยี่ซึ่งเปนนายรักษา
ค่ายบ้านใดที่ขาซ้ายป่วยลำบากอยู่ จ่านายสิบนายธูปคุมทหาร ๔ คนตรงไปจะกุมตัว กอยี่ชักปืนสั้นออกยิงตัวเองขาดใจตาย ทหารจับได้ครอบครัวฮ่อ คือ ภรรยากวานหลวงฮ่อกับบุตรคน ๑ ภรรยากวานยี่ฮ่อ
คน ๑ กับครอบครัวพวกฮ่อรวม ๓๒ คนเก็บได้เครื่องสาตราวุธปืนคาบศิลา ๒๐ บอก ดาบแลมีดต่าง ๆ ๓๒ เล่ม สามง่าม ๒ เล่ม ดินดำ ๕ ถัง สังกะสีดีบุก ๑๐ แท่ง หลอมเปนกระสุนแล้ว ๑ ถัง ธงดำ ๑ ธง กับ
ธงสีต่าง ๆ เล็กใหญ่ ๘ ธง กำยานประมาณ ๒ หาบ หม้อทองแดง
เล็กใหญ่ ๓๐ หม้อ กะทะเหล็กบ้างทองแดงบ้าง ๑๑ กระทะ กับเครื่องใช้แลเครื่องมือตีเหล็กที่มีอยู่ในค่ายนั้นหลายอย่าง ม้า ๓ โค ๖ กระบือ ๕ เข้าเปลือกเต็มฉางหนึ่งประมาณ ๑,๔๐๐ ถังเศษ เข้าสารเปนเข้าเจ้า
๓๐
๒๐๐ ถังเศษ เปนเข้าเหนียว ๔๐๐ ถังเศษ กองทหารก็เข้าตั้งมั่น
อยู่ในค่ายบ้านใดแต่ในเวลานั้น
ครั้นรุ่งขึ้นณวันพุฒ เดือน ๕ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีจออัฐศก พวกชาวเมือง
สบแอดที่ได้ยอมทู้ฮ่อประมาณ ๔๐๐ คนเศษ นำครอบครัวมาหากอง
ทัพทั้งสิ้น แจ้งความว่าเกรงกลัวฮ่อจึงได้ยอมเข้าทู้ หาได้คิดจะ
เปนกำลังช่วยฮ่อต่อสู้กองทัพไม่ กับแจ้งความว่าที่ค่ายบ้านนาปานั้น
มีฮ่อแท้ ๕๐ คน นอกนั้นเปนแต่พวกผู้ไทยทู้ เมื่อกลางคืนเวลา ๒ ยามได้ข่าวไปว่ากองทหารตีค่ายบ้านใดแตกแล้ว คนที่เข้าทู้ก็เอาใจออก
หากพากันหลบหลีกหนีไปสิ้น ฮ่อเห็นจะต่อสู้มิได้ทิ้งค่ายบ้านนาปาหนี
เข้าป่าดงไปแล้ว แต่เสบียงอาหารยังมีเต็มฉางอยู่ เจ้าราชภาคินัย
กับนายร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศจึงคุมทหารไปยังค่ายบ้านนาปา
เกณฑ์คนพลเมืองให้ขนเข้าในฉางนั้นมารวมไว้ในฉางค่ายบ้านใดทั้งสิ้น ตรวจได้เข้าเปลือก ๓,๕๐๐ ถัง เข้าสาร ๑๐๐ ถัง กับนายบ้านนำไปได้
เข้าที่ฮ่อตั้งฉางไว้ในป่าเปนเข้าสารอิก ๒๒๐ ถัง จำนวนเข้าทั้งสิ้นนี้ได้เกณฑ์คนพลเมืองให้ขนมาขึ้นฉางไว้ยังค่ายบ้านใด รวมเข้าที่ได้ทั้ง ๒ ค่าย เปนเข้าเปลือก ๔,๙๐๐ ถัง เข้าสาร ๙๒๐ ถัง รวมทั้งเข้าเปลือก เข้าสาร ๕,๘๒๐ ถัง
เมื่อกองทหารตีค่ายฮ่อที่เมืองสบแอดได้หมดแล้ว แม่ทัพจึงมี
คำสั่งให้ออกประกาศแก่บรรดาพลเมืองทุก ๆ ตำบลมีความว่า "ทรง
พระมหากรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ยกกองทัพใหญ่ขึ้นมาปราบปรามฮ่อที่
๓๑
เที่ยวย่ำยีตีปล้นเขตรแขวงหัวพันห้าทั้งหกในพระราชอาณาเขตร ให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ความยากแค้นเดือดร้อนทั่วไป ครั้นกองทัพยกขึ้นมาปราบปราม ฮ่อต่อต้านทานกำลังมิได้ก็แตกฉานเข้าป่าดงไป เวลานี้
ฮ่อก็ยังคุมขึ้นเปนหมู่เปนกองหาได้ไม่ ให้ไพร่พลเมืองมีความเจ็บ
ร้อนช่วยกันสืบเสาะจับตัวพวกฮ่อมาส่งให้สิ้นเชิง จะได้มีความศุขทั่วกัน ต่อไปภายน่า ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจับตัวฮ่อมาส่งได้คนหนึ่งจะให้รางวัล ๒๐ รูปิย์ ส่วนคนที่เข้าทู้ฮ่อโดยความยินดีที่จะกระทำการโจรกรรมกับพวกฮ่อ แล้วยอมเข้ารับทำการงานเปนกำลังนั้น ยังเปนผู้มีความผิดอยู่ เพราะ
ฉนั้นถ้าจะแก้ตัวให้พ้นผิดก็จงจับฮ่อมาส่ง ถ้าได้แต่คนหนึ่งขึ้นไปก็จะ ยกโทษให้ทั้งครอบครัว ถ้าผู้ใดสืบได้ข่าวว่าฮ่อไปแอบแฝงอยู่แห่งใด ตำบลใด เมื่อยังเกรงกลัวอยู่ก็ให้มาแจ้งความยังกองทัพ จะได้ให้
ทหารเร่งไปจับตัวให้จงได้ ถ้าผู้ใดเปนใจให้ฮ่อสำนักอาศรัย ฤๅให้ กำลังเสบียงอาหารอุดหนุนฮ่อแต่อย่างหนึ่งอย่างใด จะเอาโทษผู้นั้นเสมอกับโทษฮ่อ ให้พลเมืองทั่วไปมีความเจ็บร้อนคิดช่วยเสาะสาง
เอาตัวฮ่อมาส่งให้สิ้นเชิงจงได้ "
ฝ่ายกองนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจกับเจ้าราชวงศ ซึ่งยก
ขึ้นไปทางทิศตวันออกเฉียงใต้หมายไปตีค่ายฮ่อที่เมืองพูนนั้น ได้ยก
ออกไปถึงเมืองแวนเมื่อณวันพฤหัศบดี เดือน ๖ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจออัฐศก เดินทางต่อไปอิก ๒ วันถึงเมืองจาดซึ่งเปนเมืองขึ้นของเมืองโสย พบฮ่อกับพวกม้อยที่เข้าทู้ตั้งค่ายอยู่ที่นั้น มีฮ่อแลคนทู้ประมาณ ๔๐ คนเศษ นายร้อยตรี เพ็ชร กับท้าวอ่อนกรมการเมืองไทรซึ่งเปนกองน่า เข้า
๓๒
ระดมตีฮ่อแลพวกม้อยแตกหนีทิ้งค่ายไป ทหารเข้าในค่ายได้เข้าเปลือก
ในฉางประมาณ ๔๐๐ ถังเศษ กองน่าตั้งพักอยู่ที่เมืองจาดนั้นคืนหนึ่งครั้นรุ่งขึ้นกองนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจกับเจ้าราชวงศไปถึง พร้อมกันแล้วก็ยกตามพวกฮ่อต่อไป ฝ่ายฮ่อที่แตกไปนั้นไปตั้งอยู่บ้าน
หอแขวงเมืองโสย ครั้นกองทหารไปถึงที่นั้น ฮ่อได้กำลังมากขึ้น ก็ออกต่อรบยิงปืนโต้ตอบกันอิกพัก ๑ ฮ่อถูกกระสุนปืนตายในที่รบ ๔ คน ที่เหลืออยู่ก็แตกหนีไปเมืองโสย นายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจกับ
เจ้าราชวงศจะยกติดตามฮ่อต่อไปในวันนั้นเปนเวลาพลบค่ำ จึงถอย
กลับมาตั้งอยู่ค่ายเมืองจาด แล้วมีหนังสือแจ้งข้อราชการมายังกองทัพใหญ่ณเมืองซ่อน ขอให้ส่งเสบียงอาหารเพิ่มเติมขึ้นไปจะได้ยกตามฮ่อ
ไปยังเมืองโสย แม่ทัพดำริห์เห็นว่าทางที่จะเดินต่อไปยังเมืองโสยนั้น
เปนทางกันดาร ในเวลานั้นก็เข้าฤดูฝน ๆ ตกชุกอยู่แล้ว จะให้กอง
ทหารเร่งยกติดตามฮ่อต่อไป ฮ่อก็จะถอยร่นต่อไปจนถึงเมืองพูนซึ่งเปน
ที่มั่นของมัน ฝ่ายเราจะลำเลียงเสบียงอาหารส่งจะเปนการยากขึ้นทุกทีด้วยเปนฤดูฝนผู้คนก็จะป่วยเจ็บ เห็นเปนการขัดขวางอยู่ดังนี้ แม่ทัพ
จึงประชุมนายทัพนายกอง พร้อมด้วยพระยาศุโขไทยปฤกษาเห็นพร้อมกันว่า เวลานั้นก็ถึงฤดูฝนตกชุกแล้ว ควรจะต้องงดรอการรบพุ่ง
ตั้งมั่นพักบำรุงกำลังไพร่พลไว้ก่อน ต่อถึงเดือน ๑๑ ปีจออัฐศกสิ้นฤดู
ฝน จึงจะปราบปรามฮ่อต่อไป ปฤกษาเห็นพร้อมกันดังนี้แล้ว แม่ทัพ จึงมีคำสั่งให้ทหารกองนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจกับเจ้าราชวงศถอยมาตั้งมั่นบำรุงไพร่พลเมืองอยู่ที่เมืองแวน
๓๓
ฝ่ายกองทัพนายร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศกับเจ้าราชภาคินัย
ซึ่งยกขึ้นไปตั้งมั่นอยู่ที่ค่ายบ้านใดแขวงเมืองสบแอดที่ตีได้นั้น แจ้งข้อราชการลงมายังแม่ทัพเมืองซ่อนว่า เมื่อณวันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๙ ค่ำ
ปีจออัฐศก พ.ศ.๒๔๒๙ ท้าวฉิม นายบ้านห้วยสารนายมลงมาแจ้งความแก่นายร้อยโท ดวง ซึ่งคุมกองทหารขึ้นตั้งรักษาหมู่บ้านราษฎรณเมือง
สบแอดว่าฮ่อประมาณ ๗๐ คน ไปตั้งรวบรวมกันอยู่ที่บ้านห้วยสารนายมแขวงเมืองสบแอด แลสืบได้ความว่ารุ่งขึ้นฮ่อจะพากันไปยังเมืองฮุงในแขวงสิบสองจุไทยระยะทางประมาณ ๑๐ ชั่วโมง ทางที่มันจะเดิน นั้นจะต้องเดินทางห้วยแหลก ครั้นนายร้อยโท ดวง ได้ทราบความแล้ว
จึงพร้อมด้วยนายร้อยตรี พลอย ๑ พระเจริญจัตุรงค์กรมการเมืองพิไชย ๑ ทหาร ๒๔ คนรีบยกขึ้นไปคอยสกัดทางที่ห้วยแหลก ระยะทางแต่เมืองสบแอดถงห้วยแหลก ๓ ชั่วโมง ครั้นถึงกลางห้วยแหลกก็พอประจวบ กับพวกฮ่อเดินสวนทางมาในลำห้วย กองทหารยิงพวกฮ่อ ๆ ก็แตกถอยกลับไป ทหารก็ไล่ยิงติดตามต่อไป พวกฮ่อขึ้นจากห้วยได้ก็หันกลับมา
ต่อสู้ ยิงปืนโต้ตอบกันไปมา ฮ่อถูกกระสุนปืนตาย ๘ คน ที่ป่วยเจ็บไปหลายคน ฮ่อก็แตกกระจัดกระจายทิ้งเสบียงอาหารหนีเข้าป่าดงไป ในเวลาเมื่อทหารไล่ฮ่อไปนั้น พลทหารอ่อนถูกกระสุนปืนฮ่อที่ไหล่ซ้าย
แต่หาเปนอันตรายไม่
ฝ่ายกองนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ กับเจ้าราชวงศเมื่อได้
รับคำสั่งแม่ทัพให้ถอยจากเมืองจาดมาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองแวน คาดว่ากอง
๕
๓๔
ทหารถอยมาจากเมืองจาดแล้วไว้ดีร้ายพวกฮ่อคงจะกลับมาตั้งอยู่อิก จึง คิดกลอุบายแกล้งทิ้งค่ายฮ่อไว้ไม่รื้อเสีย เอากระสุนปืนใหญ่ที่บรรจุ
ดินดำเปนลูกแตกมีแก๊บชนวนอยู่ในกระสุน ฝังไว้ริมทางเข้าออก ผูก
สายยนต์ดักไว้ ให้คนเดินต้องกระทบสายยนต์นั้น แลเอากระสุนแตกห้อยแขวนไว้บ้างก็มี แล้วแต่งคนให้คอยด้อมมองอยู่ยังเมืองแวน เมื่อกองทหารถอยมาได้สัก ๗ วัน ผู้ซึ่งคอยสืบกลับมาบอกรายงานที่แวน ว่า เมื่อกองทัพถอยมาแล้วมีฮ่อกับพวกผู้ไทยทู้ประมาณ ๕๐ คนพากันกลับมาแลเข้าไปในค่ายเมืองจาดนั้น ฮ่อแลผู้ไทยถูกจันห้าวที่ดักไว้กระสุนปืนใหญ่ลั่นรเบิดออกถูกฮ่อตาย ๓ คน ผู้ไทย ๒ คน ที่ป่วยไปหลายคน ฮ่อมิอาจอยู่ในค่ายนั้นก็พากันกลับไปยังเมืองพูนทั้งสิ้น แล้ว
เก็บได้กระสุนปืนซึ่งแขวนไว้ที่ตอไม้กระสุนหนึ่งเอาไปดวย ครั้นรุ่งขึ้น
ท้าวทิพกรมการเมืองแวนรวมนายไพร่ ๓ คน ซึ่งขึ้นไปสืบราชการยัง
เมืองโสยเมืองพูนกลับมาแจ้งข้อราชการยังค่ายเมืองแวนว่า ฮ่อได้
กระสุนปืนไปจากค่ายเมืองจาดกระสุนหนึ่ง เอาเข้าไปยังค่ายเมืองพูนมันเรียกว่าลูกหมากโม้ ฮ่อเอาขวานทุบต่อยกระสุนนั้นก็ระเบิดออกถูก
ฮ่อตาย ๒ คน ป่วยเจ็บไปหลายคน บัดนี้มีความครั่นคร้ามกองทัพแลกระสุนปืนนั้นเปนอันมาก เพราะไม่ทราบว่าจะฝังไว้ที่ใด ต่างแยกย้ายพากันอพยบไปเปนพวกเปนหมู่ละ ๓๐ คน ๔๐ คนหาได้รวบรวมกันไม่ สืบได้ความว่าจะพากันไปอยู่ตำบลท่าขวา แขวงสิบสองจุไทยริมฝั่งน้ำแท้ ยังมีฮ่อคงอยู่ที่ค่ายเมืองพูนอิกประมาณ ๓๐ คน ที่เมืองโสยมีพวกผู้ไทย
๓๕
ทู้รักษาอยู่ประมาณ ๓๐ คน รวมฮ่อแลผู้ไทยทู้ทั้ง ๒ ค่าย มีประมาณ
๖๐ คน แต่ยังเที่ยวย่ำยีตีปล้นราษฎรพลเมืองอยู่เนือง ๆ นายร้อยเอกหลวงจำนงยุทธกิจ กับเจ้าราชวงศ์บอกข้อราชการมายังแม่ทัพใหญ่ณะเมืองซ่อน แม่ทัพเห็นว่าพวกฮ่อย่อย่นระส่ำระสายอยู่แล้ว จำจะต้องรีบปราบปรามเสียทีเดียว จึงมีคำสั่งให้นายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ
แต่งนายทหารที่เข้มแขงคุมพลทหารสักกอง ๑ เร่งยกขึ้นไปปราบปราม
ฮ่อที่เมืองโสยเมืองพูนเสีย อย่าให้กลับกล้าหาญได้ หลวงจำนง
ยุทธกิจจึงแต่งให้นายร้อยโทแขกนาย ๑ ท้าวอ่อนกรมการเมืองไทร
นาย ๑ คุมไพร่พลทหารกรุงเทพ ฯ แลหัวเมือง รวมนายไพร่ ๑๗๐ คน
ยกขึ้นไปเมืองโสยเมืองพูนตามคำสั่งของแม่ทัพ นายร้อยโท แขก กับท้าวอ่อนกรมการเมืองไทร คุมทหารขึ้นไปถึงเมืองโสยเข้าตีค่ายฮ่อ
ณเมืองโสย เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๗ แรม ๔ ค่ำ ปีจออัฐศก พวกฮ่อแล
ผู้ไทยทู้มีรักษาค่ายอยู่ประมาณ ๑๕๐ คนออกต่อสู้อยู่พักหนึ่ง ทหารยิง ถูกฮ่อตาย ๑๕ คน เจ็บป่วยไปหลายคน ฮ่อก็ทิ้งค่ายหนีไปรวบรวมอยู่ที่ค่ายเมืองพูน ระยะทางห่างจากค่ายเมืองโสย ๒ วัน ทหารเข้าในค่าย
ได้จับฮ่อชายฉกรรจ์ได้ ๒ คน หญิงภรรยาฮ่อ ๑ คน บุตรฮ่อ ๑ คนรวม
๔ คน ได้เข้าเปลือกที่ในค่ายฉางหนึ่งมีเข้าประมาณ ๓๐๐ ถัง แต่ครอบครัวฮ่อแลสิ่งของในค่ายหามีไม่ นายร้อยโท แขก กับท้าวอ่อนแลไพร่
พลเข้าตั้งอยู่ในค่ายเมืองโสยนั้น ๒ วัน ครั้นณวันอังคาร เดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ จึงยกติดตามฮ่อต่อไปยังค่ายเมืองพูน แต่เมื่อกองทหารยกไป
๓๖
ถึงเมืองพูน ยังไม่ทันที่จะเข้าตีค่าย พวกฮ่อก็เอาเพลิงจุดเผาฉางเข้าในค่าย แล้วพากันอพยบออกทางหลังค่ายหนีไปสิ้น กองทหารพร้อมกัน
เข้าดับเพลิง ได้เข้าประมาณ ๒๐๐ ถัง เหลือจากนั้นไฟไหม้เสียสิ้น กองทหารก็เข้าตั้งมั่นรักษาค่ายเมืองพูนไว้
ณเดือน ๗ ปีจออัฐศกนั้น บรรดาค่ายฮ่อที่มาตั้งในแดนเมืองหัว
พันห้าทั้งหก กองทัพตวันตกตีได้หมดทุกค่าย
ตอนที่ ๘ ว่าด้วยปราบฮ่อคราวที่ ๓
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ต่อมา
เมื่อฤดูฝนปีจอ พ.ศ. ๒๔๒๙ นั้น กองทัพตวันตกตั้งพักอยู่ ๔ แห่ง
กองทัพเจ้าหมื่นไวยวรนารถแม่ทัพตั้งอยู่ที่เมืองซ่อนแห่ง ๑ กองนายร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศกับเจ้าราชภาคินัยตั้งอยู่ที่ค่ายบ้านใด ซึ่งตีได้จาก
ฮ่อที่ในแขวงเมืองสบแอดแห่ง ๑ กองนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ กับเจ้าราชวงศ์ตั้งอยู่ที่ค่ายเมืองแวนแห่ง ๑ พวกทหารเจ็บป่วยทุพลภาพส่งลงมาอยู่ที่โรงพยาบาลณเมืองหลวงพระบางอิกแห่ง ๑ มีพวกท้าวขุนแลราษฎรชาวเมืองหัวพันห้าทั้งหกที่ได้ทู้ฮ่อ พากันกลับเข้ามาสารภาพ
รับผิดหลายราย ที่เปนรายสำคัญนั้นคือองค์พ้องจะลอเจ้าเมืองปุง แลท้าวเพี้ยเมืองโสย เดิมได้พาสมัคพรรคพวกไปเข้ากับฮ่อ เมื่อฮ่อแตก
หนีไปพวกไพร่พากันกลับมาหากองทัพโดยมาก แต่องค์พ้องจะลอเจ้าเมืองปุงแลพวกท้าวเพี้ยเมืองโสยยังหลบหลีกอยู่ด้วยเกรงความผิด ในตอนนี้ก็เข้ามาลุแก่โทษต่อเจ้าราชวงศ์โดยดีราย ๑ อิกราย ๑ ท้าวบา
๓๗
ท้าวเมือง ท้าวโดย เพี้ยบัวเงิน กับพรรคพวกแลครอบครัวรวมประมาณ ๔๐๐ คน ซึ่งได้ยอมทู้อยู่กับฮ่อแต่ก่อน พากันเข้ามาอ่อนน้อมยอมสารภาพต่อนายร้อยโท แขก การที่เปนจลาจลในเมืองหัวพันห้าทั้งหกก็ราบคาบลงโดยลำดับ เจ้าหมื่นไวย ฯ ปฤกษากับแม่ทัพนายกองเห็นพร้อมกันว่า เมืองหัวพันห้าทั้งหกติดต่อกับแดนสิบสองจุไทย พวกฮ่อ
ทแตกหนีไปจากเมืองหัวพันห้าทั้งหก คงไปตั้งมั่วสุมกันอยู่ในแดนสิบ สองจุไทย เมื่อกองทัพกลับลงมาแล้วพวกฮ่อก็คงจะกลับเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองหัวพันห้าทั้งหกอย่างเดิมอิก เพราะฉนั้นถ้าไม่คิดอ่านปราบ
ปรามฮ่อที่ยังอยู่ในดินแดนสิบสองจุไทยให้ราบคาบ การที่กองทัพได้ยกขึ้น ไปก็จะไม่เปนประโยชน์อันใด จึงตกลงกันว่าพอถึงฤดูแล้งจะยกกองทัพขึ้นไปยังเมืองแถง (อันเปนราชธานีเดิม) ในแดนสิบสองจุไทย ด้วย
กายตงเจ้าเมืองแถงเข้ามาสามิภักดิ์รับราชการอยู่ในกองทัพ ได้เปน
ที่พระสวามิภักดิสยามเขตร รับจะนำกองทัพไป
พระสวามิภักดิสยามเขตรนี้เดิมเปนจีนชาวเมืองกังไส จะมากับ
พวกจีนใต้เผงฤๅจะมาด้วยเหตุอย่างใดหาปรากฎชัดไม่ มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองแถงช้านานจนพูดภาษาไทยได้ ได้ช่วยเจ้าเมืองไลรบฮ่อธงเหลือง แลต่อมาได้ช่วยญวนปราบฮ่อธงเหลืองมีความชอบ ญวนจึงตั้ง
ให้เปนที่กายตงเจ้าเมืองแถง แต่ทีหลังมากายตงเกิดเปนอริขึ้นกับเจ้าเมืองไล (อันอยู่ใกล้แลมีกำลังมากกว่าเมืองแถง) เกรงเจ้าเมืองไล
จะฆ่าเสีย จึงพาพรรคพวกอพยบเข้ามาอยู่ในแดนหัวพันห้าทั้งหก มา
๓๘
พบพระวิภาคภูวดลขึ้นไปทำแผนที่ กายตงเข้าอ่อนน้อมขอทำราชการขึ้น ต่อกรุงสยาม แลได้นำพระวิภาคภูวดลเที่ยวทำแผนที่มีความชอบ จึง
ได้รับประทวนตั้งเปนที่พระสวามิภักดิสยามเขตร ครั้นกองทัพเจ้าหมื่นไวยวรนารถยกขึ้นไป พระสวามิภักดิสยามเขตร (เรียกกันเปนสามัญ
แต่ว่า " พระสวา ") จึงเข้ารับราชการอยู่ในกองทัพ ด้วยเปนผู้ชำนาญ รู้การในท้องที่ตลอดไปจนแดนสิบสองจุไทย
เจ้าหมื่นไวยวรนารถได้ทราบความจากพระสวา ฯ ว่า มีฮ่อพวก ๑
ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลท่าขวาริมลำน้ำแท้ ในแดนสิบสองจุไทย ตัวหัวน่าตั้งตัวเปนองค์บา มีพรรคพวกมาก แต่ตั้งทำมาหากินอยู่เปนปรกติ
ยังหาได้เข้ากับพวกฮ่อที่มาย่ำยีเมืองหัวพันห้าทั้งหกไม่ เจ้าหมื่นไวย
วรนารถจึงทำหนังสือให้พระสวา ฯ ถือไปเกลี้ยกล่อมฮ่อองค์บา ชี้แจง
ไปว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรด ฯ ให้กองทัพยกขึ้นไปปราบปรามพวกโจรฮ่อ ซึ่งเข้ามาย่ำยีไพร่บ้านพลเมืองในพระราชอาณาเขตรให้ได้ความเดือดร้อน พวกฮ่อซึ่งซื่อตรงมิได้มาประพฤติเปน
โจรผู้ร้ายในพระราชอาณาเขตรนั้น กองทัพหาประสงค์จะเบียดเบียนอย่าง
ใดไม่ หัวเมืองในแดนสิบสองจุไทยก็อยู่ในพระราชอาณาเขตร ถ้าองค์
บาประสงค์จะตั้งอยู่ต่อไปโดยปรกติอย่างเปนข้าขอบขัณฑสิมา ก็ให้แต่ง คนต่างตัวมาพูดจากับกองทัพให้เข้าใจกันเสีย จะได้บอกเข้าไปกราบบัง คมทูล ฯ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เห็นจะทรงพระกรุณาโปรด ฯ ชุบเลี้ยงให้มีความศุขสืบไป พระสวา ฯ ได้ออกจากค่ายเมืองซ่อนไป
เมื่อเดือน ๗ แรม ๓ ค่ำ
๓๙
แต่ฝ่ายกองทัพตั้งแต่เดือน ๖ ปีจอ พอฝนตกชุกก็เกิดความไข้ใน
พวกทหารที่ไปตั้งอยู่ทั้ง ๔ แห่ง อาการป่วยเปนไข้ป่าทั้งนั้น รักษาได้แต่ด้วยยาคิวนิน เมื่อกองทัพยกไปจากเมืองพิไชยพาหนะไม่พอ ต้องแบ่งสิ่งของสำหรับกองทัพไว้ที่เมืองพิไชยให้ส่งตามขึ้นไป ยาสำหรับรักษา
โรคที่เตรียมไปก็ต้องแบ่งเช่นเดียวกับของอื่น กองทัพได้ยาคิวนินติดขึ้นไปประมาณ ๔๐๐ ขวด ครั้นเกิดความไข้ในกองทัพใช้ยาคิวนินเปลืองไปเกือบจะหมด เร่งเรียกยาที่แบ่งไว้ณเมืองพิไชย จะเปนด้วยของสับ
สนฤๅเพราะเหตุอื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง หาได้ยาคิวนินขึ้นไปไม่ ต้องบอก
ขอลงมาถึงกรุงเทพ ฯ ทางข้างโน้นพอยาคิวนินหมดความไข้ก็ยิ่งกำเริบกองทหารที่ไปตั้งอยู่ณที่ต่าง ๆ มีจำนวนคนป่วยแทบจะเท่ากับที่เปน
ปรกติอยู่
ในขณะนั้นพวกฮ่อที่แตกหนีไปจากค่ายบ้านใดแลค่ายบ้านนาปาไปรวบรวมกันแล้วจ้างพวกฮ่อขององค์บา (ที่แม่ทัพให้พระสวา ฯ ไปเกลี้ยกล่อม แต่ยังไปไม่ถึงนั้น) ได้กำลังเพิ่มเติมยกกลับลงมาตั้ง
ค่ายที่เมืองฮุงต่อกับแขวงเมืองสบแอดเมื่อเดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ บางที
พวกฮ่อจะได้ข่าวว่าเกิดความไข้ในกองทัพไทยผู้คนกำลังเจ็บป่วย ต่อมาอิก ๓ วันพวกฮ่อก็ยกมาเมืองสบแอด ตีปล้นบ้านเรือนราษฎรในระยะทาง
เข้ามา พวกชาวเมืองสบแอดพากันหนีฮ่อมาอาศรัยหลวงดัษกรปลาศ อยู่ที่ค่ายบ้านใดประมาณ ๔๐๐ คน ฝ่ายพระเจริญจัตุรงค์กรมการเมือง
พิไชยซึ่งคุมไพร่รักษาด่านอยู่ที่เมืองสบแอด ห่างกับค่ายบ้านใดระยะ
๔๐
ทางเดินประมาณ ๖ ชั่วโมง เห็นพวกฮ่อยกมามีกำลังเหลือที่จะต่อสู้ได้ก็รวบรวมไพร่พลล่าถอยมา พวกฮ่อตามมาทันที่ห้วยก๊วง พระเจริญ
จัตุรงค์ต่อสู้ยิงกันกับพวกฮ่ออยู่ ขณะนั้นนายร้อยโท เอื้อน ชูโต กับทหาร ๖ คน ซึ่งหลวงดัษกรปลาศให้ขึ้นไปตรวจการที่เมืองสบแอด
เดินทางไปได้ยินเสียงปืนก็รีบขึ้นไปถึงที่ห้วยก๊วง เห็นพระเจริญจัตุรงค์กำลังต่อสู้พวกฮ่อติดพันอยู่ นายร้อยโท เอื้อน ชูโต กับทหารก็เข้าสมทบช่วยรบฮ่อ ต่อสู้กันอยู่ประมาณ ๔ ชั่วโมง พวกไทยยิงถูกตา
เล่าแย้นายฮ่อตายคน ๑ พวกพลฮ่อตายประมาณ ๒๐ คน พวกฮ่อ
กองหนุนตามมาถึงก็ล้อมพวกไทยไว้ ฮ่อยิงพระเจริญจัตรุงค์กับพวก
ไทยตาย ๔ คน นายร้อยโท เอื้อน ชูโต เห็นเหลือกำลังจะต่อสู้ต่อไป
จึงนำพวกไทยที่เหลืออยู่ตีแหกแนวล้อมของพวกฮ่ออกมาได้ แต่ตัว
นายร้อยโท เอื้อน ชูโต กับนายสิบโท ท้วม แลพลทหาร ๓ คนถูกปืน
ข้าศึกตายในที่รบ นอกนั้นรอดกลับมายังค่ายบ้านใดได้ พวกฮ่อก็เลย
ตามลงมาถึงค่ายบ้านใด แต่ไม่กล้าเข้าตีค่าย เห็นจะเปนเพราะ
เกรงจะถูกลูกรเบิด จึงเปนแต่เที่ยวแอบซุ่มบนที่สูง เอาปืนยิงกราดเข้า
มาในค่ายไทย ฝ่ายข้างไทยเปนเวลากำลังทหารป่วยเจ็บอยู่โดยมาก
ไม่มีกำลังพอจะยกออกจากค่ายไปรบรุกฮ่อได้ดังแต่ก่อน ก็ได้แต่ยิง ปืนตอบฮ่ออยู่แต่ในค่าย รบกันอยู่จนเวลาเย็นพวกฮ่อก็ถอยกลับไปตั้ง
ค่ายอยู่ที่วัด ห่างจากค่ายไทยที่บ้านใดระยะทางประมาณ ๒ ชั่วโมง หลวงดัษกรปลาศจึงรีบบอกข่าวลงมายังแม่ทัพใหญ่ที่เมืองซ่อน ขณะนั้น
๔๑
พระสวา ฯ ซึ่งถือหนังสือของแม่ทัพไปเกลี้ยกล่อมองค์บาไปถึงที่บ้านใด
รู้ว่าฮ่อกลับมารบกับไทย พระสวา ฯ จึงแต่งให้พรรคพวกถือหนังสือ
ไปยังองค์บา ส่วนตัวพระสวา ฯ เองอยู่กับหลวงดัษกรปลาศที่ค่าย
บ้านใด ครั้นถึงเดือน ๘ แรม ๘ ค่ำ พวกฮ่อได้กำลังเพิ่มเติมมาอิก
จึงยกลงมาตั้งค่ายประชิดค่ายไทยที่บ้านใดห่างกันประมาณ ๓๐ วา แต่ พวกฮ่อก็ยังหาอาจเข้าตีค่ายไม่ เปนแต่จัดกำลังไปเที่ยวตั้งดักทาง
มิให้ไทยที่ในค่ายไปมาหาพวกข้างนอกได้ ประสงค์จะล้อมไว้ให้สิ้น เสบียงอาหารต้องแพ้ฮ่อด้วยอดอยาก ส่วนหลวงดัษกรปลาศเห็นว่า
กำลังไม่พอจะตีฮ่อให้แตกไปได้ ก็ตั้งมั่นรอกำลังกองทัพที่จะยกขึ้นไปช่วยจากเมืองซ่อน ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงเปนแต่ยิงปืนโต้ตอบกันไปมา
เมื่อเจ้าหมื่นไวยวรนารถแม่ทัพได้ทราบว่า พวกฮ่อมีกำลังยก
กลับมาล้อมค่ายหลวงดัษกรปลาศไว้ จึงรีบจัดให้นายร้อยเอก หลวง
หัดถสารศุภกิจ (ภู่)๑ กับนายร้อยโท แจ คุมทหาร ๒๐๐ คน มีทั้ง
ทหารปืนใหญ่ยกขึ้นไปช่วยหลวงดัษกรปลาศที่บ้านใด แต่เมื่อก่อน
ทหารกองนี้ยกไปถึง มีพวกฮ่อถือธงขาวเข้ามาที่น่าค่ายไทย เมื่อ
เดือน ๘ แรม ๑๔ ค่ำ บอกว่าเปนตำแหน่งกวานเล่าแย้นายฮ่อที่ท่าขวาองค์บาให้ถือหนังสือตอบมาถึงพระสวา ฯ จึงรับหนังสือนั้นมาแปล ได้ความว่าองค์บามีความยินดีที่ได้ทราบประสงค์ของแม่ทัพไทย ด้วยทุก
๑ ภายหลังได้เปนพระยาอาหารบริรักษ์ ในกระทรวงเกษตราธิการ.
๖
๔๒
วันนี้องค์บาก็ไม่มีที่แผ่นดินแห่งอื่นจะอาศรัยอยู่ จะขอสามิภักดิ์เปนข้าขอบขัณฑสิมาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวณกรุงเทพ ฯ ต่อไป แต่เมื่อก่อนจะได้หนังสือของพระสวา ฯ นั้น ฮ่อกวานกอยี่ (ที่ล้อมค่ายบ้านใด) ได้ไปขอกำลังมาช่วย บัดนี้องค์บาได้สั่งพรรคพวกที่มาช่วยฮ่อกวานกอยี่นั้น มิให้รบพุ่งกับไทย จะเรียกกลับคืนไปทั้งสิ้น ขอให้พระสวา ฯ ช่วย นำความขึ้นเรียนต่อท่านแม่ทัพไทยด้วย อนึ่งฮ่อกวานกอยี่ที่ยกทัพ กลับลงมาครั้งนี้นั้น บอกว่าด้วยเปนห่วงบุตรภรรยาที่ไทยจับไว้ ถ้าคืนบุตรภรรยาให้ได้อยู่กินด้วยกันต่อไป องค์บาจะรับว่ากล่าวให้ยอมสามิภักดิ์เปนข้าขอบขัณฑสิมาด้วยอิกพวก ๑ แล้วแต่ท่านแม่ทัพจะ
ให้ไปตั้งทำมาหาเลี้ยงชีพณตำบลใด แลจะใช้สอยอย่างใดก็คงกระทำตาม เห็นจะไม่ประพฤติเปนโจรผู้ร้ายต่อไป ครั้นทราบความตามจดหมายแล้ว หลวงดัษกรปลาศกับเจ้าราชภาคินัยจึงให้พระสวา ฯ
จัดการพิธีอย่างจีนให้กวานเล่าแย้กับพรรคพวกกระทำสัตยสัญญาว่าจะไปมาโดยสุจริต แล้วให้รับตัวเข้าไปในค่ายไต่ถามเรื่องราวได้ความตลอดแล้ว จึงทำหนังสือสำคัญให้กวานเล่าแย้ถือไปยังองค์บาว่า จะบอกส่งหนังสือยอมสามิภักดิ์ขององค์บาไปยังแม่ทัพใหญ่ คงจะรับความสามิภักดิ์ให้มีความศุขสืบไป
เมื่อกวานเล่าแย้กลับไปจากค่ายแล้ว ต่อมาถึงเดือน ๘ แรม ๑๕ ค่ำเวลาเช้า กวานกอยี่นายทัพฮ่อที่มาตั้งประชิดค่ายไทยอยู่ที่บ้านใด ร้องบอกออกมาจากที่ซุ่มอยู่ในป่า ว่าอย่าให้ไทยยิงปืนออกไป จะขอให้คน
๔๓
เข้าไปหานายทัพ เพื่อจะยอมสามิภักดิ์ด้วยกันทั้งสิ้น นายทหารที่ใน
ค่ายจึงให้ร้องตอบออกไปว่า ให้มาเถิดจะไม่ทำอันตราย กวานกอยี่จึง
ให้ฮ่อ ๒ คนถือหนังสือเข้ามาส่ง ในหนังสือนั้นแปลได้ความว่า กวานกอยี่กับพรรคพวกจะยอมสามิภักดิ์ ขออย่าให้กองทหารทำอันตราย จะขอความกรุณาแต่เพียงให้ได้บุตรภรรยาคืน ต่อไปจะยอมเปนข้าขอบขัณฑ
สิมากรุงเทพ ฯ จะโปรดให้ไปอยู่ที่ใด และจะให้รับราชการอย่างใด
จะยอมทำตามคำสั่งของแม่ทัพไทยทั้งสิ้น หลวงดัษกรปลาศ เจ้า ราชภาคินัยปฤกษากับพระสวา ฯ แล้ว สั่งไปให้บอกกวานกอยี่ว่า ซึ่ง
จะยอมสามิภักดิ์นั้นก็ดีแล้ว ถ้าสามิภักดิ์จริง ก็จะยอมคืนบุตรภรรยา
ให้ แต่การที่พูดด้วยปากยังจะไว้ใจไม่ได้ ให้กวานกอยี่ถอดเสื้อวาง
อาวุธเข้ามาอ่อนน้อมยอมกระทำสัตยสัญญาให้ถูกต้องตามอย่างธรรมเนียมก่อน จึงจะเชื่อถือว่าสามิภักดิจริง ในวันนั้นเวลาบ่าย ๔ โมง
กวานกอยี่กับพวกนายฮ่อ ๔ คนถอดเสื้อวางอาวุธเสีย มายังค่ายไทย
แต่ตัว หลวงดัษกรปลาศกับเจ้าราชภาคินัยให้กวานกอยี่กับพวกฮ่อ
กระทำสัตยสาบาลแล้ว ปล่อยตัวให้กลับไปยังค่าย แต่นั้นฮ่อกับไทย ก็เลิกรบกัน กวานกอยี่ขออนุญาตไปอยู่ที่เมืองฮุง รอเจ้าหมื่นไวยวรนารถ แม่ทัพที่จะขึ้นไปในฤดูแล้ง ฝ่ายข้างไทยก็คืนบุตรภรรยาไปให้กวานกอยี่
อนึ่งตั้งแต่เกิดศึกฮ่อคราวนี้ พวกข่าแจะซึ่งพวกเมืองหลวงพระบาง
เคยใช้สอยในกิจการต่าง ๆ เปนประเพณีบ้านเมืองมาช้านานนั้น พากันเปน " เจือง " คือขัดแขงกำเริบขึ้นหลายตำบล ข่าแจะพวก ๑ ตั้งอยู่ที่
๔๔
ตำบลห้วยตะบวนในแขวงเมืองหัวเมือง มีหัวน่าชื่อพระยาพระคน ๑ พระยาว่านคน ๑ ครั้นถึงเดือน ๗ แรม ๑๓ ค่ำ ปีจอ พระยาว่านคุม
พรรคพวกประมาณ ๑๕๐ คน มาตั้งค่ายอยู่ที่ห้วยห้อมในแขวงเมือง
ซ่อน ซึ่งกองทัพเจ้าหมื่นไวยวรนารถตั้งอยู่ มาเที่ยวแย่งชิงเสบียง
อาหารแลทรัพย์สมบัติของราษฎร เจ้าหมื่นไวยวรนารถทราบความจึง
แต่งให้เจ้าก่ำบุตรเจ้าอุปราช กับนายร้อยโท แจ คุมทหารกับกำลัง
หัวเมืองสมทบกันเปนจำนวนคน ๑๐๐ เศษ มีปืนใหญ่ด้วยบอก ๑ ยก
ไปปราบพวกข่าแจะ เมื่อกองทหารยกไปถึงห้วยห้อม พวกข่าแจะ
ต่อสู้ ครั้นเดือน ๘ ขึ้น ๔ ค่ำ กองทหารเอาปืนใหญ่ยิงกระสุนแตกเข้า ไปในค่ายพวกข่าแจะ ๓ กระสุน ปืนรเบิดถูกข่าตายหลายคน ทเหลืออยู่พากันเที่ยวหนีซุกซ่อน กองทหารเข้าค่ายได้ไล่ฆ่าฟันพวกข่าแจะตายหลายคน จับได้พระยาว่านตัวหัวน่ากับนายรอง ชื่อคำเพ็ชรคน ๑ เพี้ยไชยคน ๑ เพี้ยเมืองคน ๑ กับพรรคพวกอิก ๓๖ คน และเครื่อง สาตราวุธหมดทั้งสิ้น กองทหารเผาค่ายเสียแล้วยกกลับไปยังเมือง ซ่อน แต่นั้นพวกข่าที่ตั้งเปนเจืองอยู่ณที่อื่นก็พากันครั่นคร้าม ที่เข้ามาขอลุแก่โทษ คือท้าวยี่น้อย ท้าวยี่ใหญ่ เพี้ยเถ้า เพี้ยไทร พระยา
คำน้อย พันแสน พระยาน้อยคำฟั่น แสนเมืองเดียวกา แสนขันอาสา
พระยาแก้ว พระยาลิ้นทอง เหล่านี้ล้วนตัวหัวน่าพวกข่าแจะที่ตั้งเปน เจืองอยู่ณตำบลแกวหมากเฟือง ตำบลผาลอย ตำบลเพียงโค้ง ตำบลห้วยคี้ แขวงเมืองซำเหนือซำใต้ พาพรรคพวกเข้ามาลุแก่โทษด้วยทั้ง
๔๕
นั้น พระยาพระชึ่งเปนหัวน่าพวกข่าแจะณตำบลห้วยตะบวนเที่ยวหลบหนี
อยู่คราว ๑ แล้วก็เข้ามาลุแก่โทษอย่างเดียวกัน
ถึงเดือน ๑๐ องค์ทั่งนายฮ่อธงเหลือง ซึ่งหนีกองทัพไปจากค่าย
เมืองพูน ไปตั้งอยู่ณตำบลพ้องจะลอแขวงเมืองลาด ก็เข้ามายอมสามิภักดิ์ถือน้ำกระทำสัตย์อิกพวก ๑ เพราะฉนั้นเมื่อถึงปลายฤดูฝน
ปีจอ การที่ปราบพวกฮ่อและพวกข่าเจืองในแขวงเมืองหัวพันห้าทั้งหก
เปนอันสำเร็จไปอิกตอน ๑
ตอนที่ ๙ ว่าด้วยปราบฮ่อคราวที่ ๓
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ต่อมา
ถึงเดือน ๙ ปีจอ เมื่อได้ยาคิวนินขึ้นไปจากกรุงเทพ ฯ แล้ว ทหาร
ที่ป่วยเจ็บก็ค่อยคลายหายขึ้นโดยลำดับ เจ้าหมื่นไวยวรนารถแม่ทัพ
จัดการทนุบำรุงกำลังกองทัพจนเดือน ๑๐ ถึงงานเฉลิมพระชัณษา ฯ จึงเรียกแม่ทัพนายกองกับทั้งเจ้านายท้าวพระยาเมืองหลวงพระบางที่ขึ้นไปด้วยกองทัพมาประชุมกันที่เมืองซ่อน แลเรียกบรรดาท้าวขุนอันเปน
หัวน่าในเมืองหัวพันห้าทั้งหก ทั้งพวกหัวน่านายฮ่อที่ได้ยอมสามิภักดิ์
มาประชุมด้วย พร้อมกันทำการพิธีสมโภชแลถวายบังคมพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเดือน ๑๐ แรม ๙ ค่ำ แล้วถือน้ำกระทำสัตยถวายต่อไป๑ ในเวลาแรม ๑๓ ค่ำ ครั้นเสร็จงานแล้วก็ตระเตรียม
๑ วันเฉลิมพระชัณษารัชกาลที่ ๕ กำหนดโดยสุริยคติที่ ๒๑ กันยายน แต่การพิธีถือน้ำหนหลังยังกำหนดโดยจันทรคติ เดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ.
๔๖
การที่จะยกกองทัพขึ้นไปยังเมืองแถงในแดนสิบสองจุไทย แลมีใบบอก
ข้อราชการที่กองทัพได้ทำสำเร็จเสร็จไปแล้วลงมายังกรุงเทพ ฯ
ครั้นถึงเดือน ๑๒ แรม ๘ ค่ำ ปีจอ เจ้าหมื่นไวยวรนารถยกกอง
ทัพออกจากเมืองซ่อนเดินบกขึ้นไปยังเมืองแถง เมื่อกองทัพยกไปถึงตำบลห้วยน้ำแปนในระยะทาง เจ้าหมื่นไวย ฯ ได้รับรายงานของกอง
ล่วงน่าบอกมาแต่เมืองแถงว่า เจ้าเมืองไลให้บุตร ๓ คน ชื่อว่าคำล่า
คน ๑ คำสามคน ๑ บางเบียนคน ๑ คุมพวกฮ่อแลผู้ไทยประมาณ ๑๕๐ คน
มีเครื่องสาตราวุธครบมือ เข้ามาตั้งค่ายที่ตำบลบ้านเชียงจันในแขวงเมืองแถง ห่างจากบ้านห้องขัวลายที่ตั้งทำเนียบรับกองทัพระยะทางเดินประมาณชั่วโมง ๑ ได้ให้ไปถามพวกเมืองไลบอกว่าจะมารับท่านแม่ทัพแต่ลักษณที่พวกเมืองไลตั้งค่ายนั้น เห็นปลูกหอรบขุดคูทำเปนค่ายมั่น แลวางผู้คนประจำน่าที่เปนกระบวรรบผิดสังเกตอยู่ เจ้าหมื่นไวย ฯ จึงให้กองทัพน่ารีบยกขึ้นไปก่อน ให้ไปบอกพวกเมืองไลว่า ถ้ามา
รับแม่ทัพโดยดีก็ให้รื้อค่ายแลเลิกกระบวรรบเสีย ถ้าว่าไม่ฟังให้กอง
ทัพน่าหน่วงเหนี่ยวตัวหัวน่าพวกเมืองไลไว้ให้จงได้ กองทัพน่ายกขึ้น ไปถึงเมืองแถงไปว่ากล่าวพวกเมืองไลหายอมรื้อค่ายไม่ เจ้าหมื่นไวยฯ ยกขึ้นไปถึงเมืองแถงเมื่อเดือนอ้ายขึ้น ๖ ค่ำ จึงสั่งให้จับตัวคำล่าคำสาม แลบางเบียนบุตรเจ้าเมืองไลไว้ทั้ง ๓ คน แล้วให้เก็บรวบรวมเครื่องสาตรา วุธของพวกเมืองไล ได้ปืนสะไนเดอร ๑๓ กระบอก ปืนเรมิงตัน ๑๒ กระบอก ปืนเฮนรีมาตินีกระบอก ๑ ปืนวินเชสเตอร ๒ กระบอก
๔๗
ปืนเอนฟิลด์ ๘๐ กระบอก กับปัสตันแลเครื่องยุทธภัณฑ์อย่างอื่นอิกหลาย
อย่าง ส่วนพวกรี้พลเมื่อเห็นตัวนายถูกจับแล้วก็พากันแตกหนีไปมิได้
ต่อสู้ แต่พวกท้าวขุนแลราษฎรชาวเมืองแถงนั้นสงบเปนปรกติอยู่ พา
กันมาร้องทุกข์ต่อแม่ทัพว่า เดิมเมืองแถงก็มิได้ขึ้นแก่เมืองไล เจ้า
เมืองไลถือว่ามีกำลังมากกว่าเอิบเอื้อมเข้ามาบังคับบัญชา กดขี่เอา
พวกชาวเมืองแถงไปใช้สอย แล้วเที่ยวกะเกณฑ์ลงเอาเงินทองของ ต่าง ๆ ได้ความเดือดร้อนกันทั่วไป จนราษฎรพลเมืองไม่เปนอันทำมาหากิน ที่ต้องหลบหนีไปอยู่ในป่าดงแลไปอยู่เสียต่างเมืองก็มาก ขอให้ กองทัพช่วยคุ้มครองป้องกันอย่าให้ได้รับความเดือดร้อนต่อไป แม่ทัพ ปฤกษากับเจ้าราชวงศเห็นว่า เมืองแถงเปนเมืองหนึ่งต่างหากมาแต่
เดิม พระสวา ฯ ที่เปนตัวเจ้าเมืองก็ยังอยู่ เจ้าเมืองไลมาบุกรุกเอาไป
เปนแดนของตน ครั้นกองทัพยกขึ้นไปก็ไม่มาอ่อนน้อมโดยดี กลับ
ให้เข้ามาตั้งค่ายคูอวดอำนาจ แลที่สุดพวกพลเมืองก็มิได้สมัคจะอยู่ ในบังคับบัญชาของเจ้าเมืองไล ครั้นจะยอมให้เจ้าเมืองไลมีอำนาจเหนือเมืองแถงนั้นไม่ได้ ครั้นจะยกกองทัพขึ้นไปว่ากล่าวถึงเมืองไล ๆ ก็ตั้ง
อยู่เหนือลำน้ำแท้นอกพระราชอาณาเขตร (เพราะเมืองหลวงพระบาง
ถือว่าแนวลำน้ำแท้นั้นเปนเขตรของเมืองหลวงพระบาง) เมื่อกองทัพ
กลับมาแล้วบางทีเจ้าเมืองไลจะเอิบเอื้อมเข้ามาอิก จะต้องเอาบุตรเจ้าเมืองไลทั้ง ๓ คนไว้เปนตัวจำนำก่อน เมื่อเจ้าเมืองไลมาว่ากล่าวยอม
ตกลงโดยดี จึงค่อยปล่อยตัวบุตรให้ไป แม่ทัพจึงจัดวางการปกครอง
๔๘
เมืองแถง ตั้งให้พระสวา ฯ เปนเจ้าเมืองตามเดิม แล้วให้แต่งค่ายเก่า
ที่ตำบลบ้านเชียงแลอันเปนเมืองเดิมเปนที่มั่น แลสั่งให้เมืองหลวงพระ บางเกณฑ์คนผลัดเปลี่ยนกันไปเปนกำลังรักษาค่ายนั้น กว่าบ้านเมือง
จะเปนปรกติเรียบร้อยจึงให้ถอนกลับมา
เมื่อกองทัพตั้งอยู่ที่เมืองแถงนั้น มีฮ่ออิกพวก ๑หัวน่าเปนจีนชาว
เมืองกังไส ชื่อเล่าเต็กเซง เดิมมีพรรคพวกประมาณ ๖๐๐ คน เที่ยว
รับจ้างรบพุ่งอยู่ในแขวงสิบสองจุไทย ภายหลังมากำลังน้อยลง ฮ่อพวก
นี้จึงไปตั้งอยู่ที่เมืองม่วยบ้าง เมืองลาบ้าง ระยะทางห่างจากเมืองแถงเดินประมาณ ๑๒ วัน ฮ่อพวกนั้นเกรงกองทัพจะยกไปปราบปราม
เล่าเต็กเซงตัวนายจึงพาพรรคพวกมาหาแม่ทัพที่เมืองแถง เมื่อเดือน ๓ ขึ้นค่ำ ๑ ขอสามิภักดิ์ยอมเปนข้าขอบขัณฑสิมาต่อกรุงเทพ ฯ แม่ทัพ
ก็ให้กระทำสัตยสาบาล แล้วยอมรับสามิภักดิเหมือนกับฮ่อพวกอื่น
กองทัพตั้งจัดการด่านทางแลวางการปกครองหัวเมืองอยู่ที่เมืองแถง จนเดือน ๓ ปีจอ ได้รับท้องตราพระราชสีห์ให้หากองทัพกลับกรุงเทพ ฯ
เจ้าหมื่นไวยวรนารถจึงสั่งให้ทำลายค่ายฮ่อที่บ้านใดแลที่อื่น ๆ ซึ่งตีไว้ได้แล้วให้นายพันตรี จ่ายวดกับเจ้าราชวงศล่วงน่าลงมายังเมืองหลวงพระบาง บอกเจ้านครหลวงพระบางให้จัดท้าวพระยาที่มีสติปัญญาออกไปประจำรักษาการตามเมืองหัวพันห้าทั้งหก แล้วเจ้าหมื่นไวยวรนารถยก
กองทัพออกจากเมืองแถง เมื่อเดือน ๔ ขึ้นค่ำ ๑ ปีจอ พาหัวน่าพวก ท้าวขุนเมืองหัวพันห้าทั้งหก และหัวน่าพวกฮ่อที่สามิภักดิ์กลับลงมาเมือง หลวงพระบาง มาพักฉลองพระเจดีย์ที่กองทัพได้สร้างไว้ที่เมืองงอย
๔๙
๒ วัน แล้วเดินทางต่อมาถึงเมืองหลวงพระบางเมื่อเดือน ๔ แรมค่ำ ๑
จัดผ่อนสิ่งของในกองทัพส่งลงมา และรอเจ้านายเมืองหลวงพระบาง มีเจ้าราชวงศ์กับเจ้าราชภาคินัยเปนต้น ซึ่งจะคุมตนไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการลงมาทูลเกล้า ฯ ถวาย อิกประการ ๑ แม่ทัพดำริห์ว่าถ้าให้พวกท้าวขุนเมืองหัวพันห้าทั้งหกและสิบสองจุไทย ทั้งหัวน่าพวกฮ่อได้ ลงมาถึงกรุงเทพ ฯ มาเห็นราชธานีเสียสักครั้ง ๑ การปกครองต่อไป
ภายน่าเห็นจะสดวกขึ้น จึงได้เลือกคัดพวกท้าวขุนได้ ๑๕๐ คน กับพวกฮ่อทั้งนายไพร่ ๙๐ คนพาลงมากรุงเทพ ฯ ด้วย
ถึงเดือน ๖ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีกุญ พ.ศ. ๒๔๓๐ เจ้าหมื่นไวยวรนารถ
ยกกองทัพออกจากเมืองหลวงพระบางโดยทางเรือ ล่องแม่น้ำโขงลง มาถึงบ้านปากลายเมื่อเดือน ๖ ขึ้น ๑๒ ค่ำ แล้วเดินทางบกต่อมาถึง
เมืองพิไชยเมื่อเดือน ๖ แรม ๘ ค่ำ ลงเรือล่องจากเมืองพิไชยมาถึงกรุงเทพ ฯ เมื่อเดือน ๗ แรม ๒ ค่ำ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ เลื่อนยศบันดาศักดิ์นายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ขึ้นเปนนายพลตรีพระยาสุรศักดิ์มนตรี นายทัพนายกองซึ่งมีบำเหน็จความชอบในราชการปราบฮ่อครั้งนั้น ก็ได้พระราชทานบำเหน็จรางวัลตามสมควรแก่ความชอบทั่วกัน สิ้นเนื้อความเรื่องปราบฮ่อครั้งที่ ๓ เพียงเท่านี้
ยังมีเรื่องปราบฮ่อครั้งที่ ๔ ซึ่งติดเนื่องกับครั้งที่ ๓ นี้อิกครั้ง ๑ แต่จดหมายเหตุที่ได้มา เรื่องราวยังไม่ครบบริบูรณ์ จึงยังมิได้เรียบเรียง
ลงไว้ในหนังสือเรื่องนี้
|
14601
|
870
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=14601
|
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๕
|
ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๕
เรื่องสถานที่แลวัดถุซึ่งสร้างในรัชกาลที่ ๔
นายเซี้ยง กรรณสูตร พิมพ์ในงานปลงศพสนองคุณบิดา
เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๕
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ โสภณพิพรรฒธนากร
คำนำ
นายเซี้ยง กรรณสูต มาแจ้งความยังหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับ
พระนคร ว่าจะปลงศพนายฮะหยง กรรณสูต มีศรัทธาจะพิมพ์หนังสือ
เปนของแจกเนื่องในการกุศลทักษิณานุปทาน ซึ่งบำเพ็ญสนองคุณ
บิดาสักเรื่อง ๑ ขอให้กรรมการช่วยเลือกเรื่องหนังสือในหอพระสมุด ฯ
ให้พิมพ์ตามประสงค์ ข้าพเจ้าจึงได้เลือกหนังสือประชุมพงศาวดาร
ภาคที่ ๒๕ ให้พิมพ์
หนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๕ นี้ ว่าด้วยการสร้างวัดถุ
และสถานที่ต่าง ๆ เมื่อในรัชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ เปน
หนังสือซึ่งข้าพเจ้าเรียบเรียงเอง เหตุที่จะเรียบเรียงหนังสือเรื่องนี้
เพราะได้รูปต่าง ๆ อันหลวงอัคนีนฟมิตร (จิตร จิตราคนี) ได้ถ่าย
ไว้แต่ในรัชกาลที่ ๔ มีรูปสถานที่ซึ่งได้รื้อและเปลี่ยนแปลงไปไม่มี
อยู่ในเวลานี้หลายรูป ผู้ที่ได้เห็น ๆ แปลกปลาด มักกล่าวกันว่าเคย
ได้ยินแต่ว่าแต่ก่อนมีสิ่งนั้น ๆ แต่รูปสัณฐานจะเปนอย่างไรไม่เคยเห็น
กล่าวกันดังนี้เนือง ๆ ข้าพเจ้าจึงนึกว่า ถ้าได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเปนเล่ม
สมุด ให้ได้เห็นกันแพร่หลาย เห็นจะเปนประโยชน์ในทางความรู้ แต่
จะพิมพ์แต่รูปก็ไม่บริบูรณ์ จึงได้แต่งพรรณาถึงสถานที่และวัดถุต่าง ๆ
ซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้าง เก็บความ
มาจากหนังสือพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเจ้าพระยาทิพากรวงศ์
ได้แต่งไว้เปนพื้น ประกอบกับความที่ข้าพเจ้ารู้เองเพิ่มเติมอิกบ้าง ได้
ข
ให้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ขึ้นสำรองไว้ในหอพระสมุด ฯ พระเจ้าบรมวงศเธอ
พระองค์เจ้าวาณีรัตนกัญญา ได้ทรงแบ่งไปประทานในงานพระชนมายุ
สมะมงคลส่วน ๑ แต่ยังมีหนังสือเหลืออยู่ในหอพระสมุด ฯ เมื่อ
นายเซี้ยง กรรณสูต มาขอให้เลือกหนังสือที่จะพิมพ์แจกในงานศพบิดา
ข้าพเจ้านึกว่าผุ้ที่จะได้รับแจก โดยมากคงจะไม่ซ้ำกับที่ผู้ซึ่งได้เคยรับ
หนังสือนี้แล้ว และหนังสือเรื่องนี้เข้าใจว่าเจ้านายก็ดี ข้าราชการก็ดี
พ่อค้าและคฤหบดีก็ดี แม้ตลอดจนราษฎรได้อ่านคงเปนประโยชน์ ใน
ทางความรู้มิมากก็น้อยทั่วทุกชั้นบันดาศักดิ์ ข้าพเจ้าเห็นว่าดีกว่าที่จะ
พิมพ์หนังสือขึ้นใหม่ ทั้งวันกำนดงานศพเวลาก็จวน ข้าพเจ้าจึงได้
แนะให้นายเซี้ยง กรรณสูต แจกหนังสือเรื่องนี้ในงานศพบิดา.
ข้าพเจ้าขออนุดมทนาในการกุศลบุญราษีทักษิณานุปทาน ซึ่ง
นายเซี้ยง กรรณสูต ผู้บุตร ได้กระทำปฏิการกิจปลงศพสนองคุณบิดา และทั้งได้แจกหนังสือเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันแพร่หลาย ข้าพเจ้าหวังใจว่า ผู้ที่ได้รับสมุดเล่มนี้ไป คงจะพอใจแลอนุโมทนาด้วยทั่วกัน.
สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๕
บาญชีรูป
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จเจ้าฟ้า
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช แลกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ น่า ต้น
สกุณวัน เก๋งกรงนก " ๔
โรงกระสาปน์เก่า " ๑๐
พระพุทธมณเฑียร แลพระพุทธรัตนสถาน " ๑๖
ประมาณแผนผังพระอภิเนาวนิเวศน์ " ๒๒
ทางเข้าพระที่นั่งอนันตสมาคม " ๒๘
พระที่นั่งภูวดลทัศไนย (หอนาฬิกา) " ๓๔
เสานางเรียงที่ด้านถนนบำรุงเมือง " ๔๐
ตึกดินตรงที่สร้างพระราชวังสราญรมย์ถ่ายจากพระที่นั่งภูวดล
ทัศไนย " ๔๖
ตึกแถวถนนเจริญกรุงแลหอกลอง ถ่ายจากพระที่นั่งภูวดล
ทัศไนย " ๕๒
หลังคาพระที่นั่งอภิเนาวนิเวศน์ ถ่ายจากพระที่นั่งภูวดลทัศไนย
แลเห็นโครงปราสาทแถวนอก " ๕๘
พระพุทธมณเฑียร แลพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ถ่ายจากพระ
ที่นั่งภูวดลทัศไนย " ๖๔
รูปท้องสนามไชยถ่ายจากหอกลอง " ๗๐
ท่าราชวรดิฐ ถ่ายในรัชการที่ ๕ แต่พระที่นั่งเดิมยัง
บริบูรณ์ " ๗๖ เรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชลำแรก " ๘๔
สารบาน
สิ่งซึ่งทรงสร้างในบริเวณพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท น่า ๑
สิ่งซึ่งทรงสร้าง ในบริเวณพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย " ๒
พระที่นั่งราชฤดี " ๔
เก๋งกรงนก สกุณวัน " ๔
พระที่นั่งสีตะลาภิรมย์ " ๕
พระพุทธนิเวศน์ " ๑๑พระอภิเนาวนิเวศน์ " ๑๑
สถานที่ต่าง ๆ ทรงสร้างในบริเวณพระราชวังชั้นใน " ๑๖
สถานที่ต่าง ๆ ทรงสร้างในบริเวณพระราชวังชั้นกลาง " ๑๗
สถานที่ต่าง ๆ ทรงสร้างในบริเวณพระราชวังชั้นนอก " ๒๐
สถานที่ต่าง ๆ ทรงสร้างรอบนอกพระราชวัง " ๒๓
สถานที่ต่าง ๆ ทรงสร้างในพระราชวังบวรสถานมงคล " ๒๗
พระราชวังนันทยาน " ๒๗
พระราชวังประทุมวัน " ๒๙พระราชวังสราญรมย์ " ๓๑
คลองแลถนนสร้างในจังหวัดพระนคร " ๓๒คลองทางไปมากับหัวเมือง " ๔๐
สถานที่ต่าง ๆ ทรงสร้างตามหัวเมือง " ๔๓
ที่แขวงเมืองสมุทปราการ " ๔๓
ที่แขวงกรุงศรีอยุทยา " ๔๔
ที่แขวงเมืองลพบุรี น่า ๕๐
ที่แขวงเมืองพระพุทธบาท " ๕๒ศาลากลางเมืองเหนือ " ๕๓
ที่แขวงเมืองปราจิณบุรี " ๕๓
ที่แขวงเมืองชลบุรี ตำบลอ่างศิลา " ๕๔
ที่แขวงเมืองนครไชยศรี " ๕๕
ที่แขวงเมืองเพ็ชรบุรีน่า " ๕๖
หัวเมืองทรงตั้งใหม่ " ๕๙
เมืองขึ้นทรงตั้งใหม่ " ๕๙
พระอารามหลวงทรงสร้างใหม่ " ๖๒
พระอารามหลวงในกรุงเทพ ฯ ที่ทรงปฏิสังขรณ์ " ๖๔
พระอารามหลวงแลเจดีย์สถานในหัวเมืองที่ทรงสร้างแลปฏิสังขรณ์ " ๗๔
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธวงศวรเดช แลกรมหลวงพรหมวรานุรักษ
เมื่อยังทรงพระเยาว์ ฉายที่ชาลาน่าพระที่นั่งอนันตสมาคม
สถานที่ต่าง ๆ
ซึ่ง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง
ภาคที่ ๑ ที่ทรงสร้างในกรุงเทพ ฯ
ในบริเวณพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ที่ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทโปรดให้สร้างพระที่นั่งบุษบกมาลาขึ้นตรงที่สุดมุขด้านใต้เปนที่เสด็จออกข้างใน แลให้ทำฉากลงรักปิดทองเขียนลายเรื่องอินทราภิเศกแลดาวดึงษ์สวรรค์ กั้นสกัดมุขใต้แทนม่าน.
ที่บริเวณพระมหาปราสาท โปรดให้สร้างปราสาทโถงบนกำแพงแก้วทางด้านตวันออกองค์ ๑ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ทางด้านตวันตกพระมหาปราสาท ตรงมุขกระสันลงไปโปรดให้ก่อเขาไกรลาศไว้สำหรับเปนที่สรง พระองค์เจ้าโสกันต์แลหม่อมเจ้าเกษา-กันต์ ประตูกำแพงแก้วบริเวณพระมหาปราสาทเดิมเปนประตูหูช้าง โปรดให้สร้างเปนประตูซุ้มยอดมณฑปเหมือนกันทุกประตู ประตูพระราชวังชั้นใน ๒ ข้างพระมหาปราสาทโปรดให้สร้างเปนประตูพรหมภักต์ยอดปรางค์ อย่างประตูพระราชวังในกรุงเก่า พระราชทานนามประตูข้างฝ่ายตวันออกว่า ประตูพรหมโสภา ข้างฝ่าย ตวันตกว่า ประตูพรหมศรีสวัสดิ์.
๑
๒
ในบริเวณพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยแต่ก่อน พระแกลแลพระทวารเปนผนัง เปล่า โปรดให้ทำซุ้มจรนำเพิ่มขึ้นทุกช่อง.
โปรดให้รื้อเก๋งบอกพระปริยัติธรรมพระภิกษุสามเณรที่อยู่ริมหอพระปริต ย้ายไปปลูกข้างน่าวัดพระศรีรัตนาศาสดาราม ตรงที่เก๋งเดิมให้ปลูกเก๋งสำหรับข้าราชการพักขึ้น ๒ หลัง.
(เก๋งบอกพระปริยัติธรรมข้างพระที่นั่งอมรินทร ฯ เดิมเห็นจะมีหลังเดียว จะสร้างมาแต่ในรัชกาลที่ ๒ ฤาพึ่งมาสร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๓ หาทราบชัดไม่ ปรากฏแต่ว่าเมื่อในรัชกาลที่ ๓ พระภิกษุสามเณรเข้ามาเรียนหนังสือมากจนที่เก๋งไม่พอ จึงทรงพระราชศรัทธาโปรดให้จัดพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเปนที่พระภิกษุสามเณรเล่าเรียนพระปริยัติธรรมทั้ง ๔ มุข มีอาจารย์บอกมุขละคน ครั้นสิ้นรัชกาลที่ ๓ พระมหาปราสาทต้องเปนที่ประดิษฐานพระบรมศพ จึงย้ายการบอกพระปริยัติธรรมไปบอกที่พระรเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดารามอยู่ชั่วคราว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์จะให้การบอกพระปริยัติ ธรรมประจำที่มั่นคงเสมอไป จึงโปรดให้รื้อเก๋งเดิมไปปลูกที่น่าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงเพิ่มเติมให้เปน ๔ หลังเท่าจำนวนอาจารย์ซึ่งเคยบอกบนพระมหาปราสาท พระภิกษุสามเณรเรียนพระปริยัติธรรม
๓
ที่เก๋งทั้ง ๔ นั้น ต่อมาจนรัชกาลที่ ๕ ถึง ร.ศ.๑๐๙ (ปีขาล พ.ศ.๒๔๓๓) จึงได้ย้ายไปอยู่ที่มหาธาตุวิทยาลัย ตรงที่สร้างหอพระสมุดสำหรับพระนครทุกวันนี้ แลย้ายไปอยู่วัดสุทัศน์ในเวลาต่อมา เก๋งที่สร้างน่าวัดพระศรีรัตนศาสดารามยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้)
ที่กำแพงแก้วพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยทางด้านตวันตก (เดิมเปนประตูช้าง) โปรดให้ทำประตูประดับสีลาย มีซุ้มยอดประดับกระเบื้องสี พระราชทานนามว่า พระทวารเทเวศร์รักษา กำแพงแก้วทางด้านเหนือพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย โปรดให้สร้างกำแพงแก้วขึ้นใหม่นอกกำแพงแก้วเดิมออกไป ตรงกลางทำประตูยอดอิก ประตู ๑ พระราชทานนามว่า พระทวารเทวาภิบาล แนวกำแพงแก้วด้านเหนือของเดิมรื้อตรงกลาง สร้างเปนพระที่นั่งหลังขวางข้างน่าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยขึ้นหลัง ๑ เหลือกำแพงแก้วเดิมไว้ทั้ง ๒ ข้างต่อหลังขวางมาจนตรงมุมพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ทำกำแพงแก้วสกัดทั้ง ๒ ด้าน มีประตูยอดพรหมภักตร์ด้านละประตู ที่ตรงมุมกำแพงแก้วเก่าใหม่ต่อกันนั้นทำเปนซุ้มตะเกียงทั้ง ๒ บ้าง กำแพงแก้วด้านเหนือของเดิมเหลือนั้น รื้อหมด.
พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ เดิมมีเกยช้างทางด้านหุ้มกลองข้างเหนือ โปรดให้แก้เปนเกยพระราชยาน สร้างเกยช้างขึ้นใหม่ทางด้านตวันตก(ยังอยู่บริบูรณ์ทั้ง ๒ เกย)
๔
พระที่นั่งราชฤดี
โปรดให้สร้างพระที่นั่งขึ้นข้างด้านตวันออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย องค์ ๑ เปนตึก ๒ ชั้นอย่างฝรั่ง เปนที่ประทับว่าราชการเวลาว่างออกขุนนาง พระราชทานนามว่า พระที่นั่งราชฤดี แลให้ทำประตูลับสำหรับเสด็จขึ้นข้างในจากพระที่นั่งราชฤดีทางหอพระสุราลัยพิมานได้อีกทาง ๑.
สกุณวัน
ที่ชาลาน่าโรงช้างในแถวกระถางต้นไม้ดัด เดิมเปนอ่างแก้วสำหรับปลูกบัว โปรดให้ถมสระสร้างกรงใหญ่ ในนั้นก่อภูเขาแลปลูกต้นไม้สำหรับเลี้ยงนก เรียกบริเวณนี้ว่า "สกุณวัน" แล้วสร้างเก๋งรอบกรงด้านละเก๋ง ด้านตวันออกตรงพระทวารเทเวศร์รักษาออกมาเปนเก๋งที่ประทับ ชื่อว่าพระที่นั่งราชานุราชอาศน์เก๋ง ๑ เก๋งด้านใต้ชื่อว่า เก๋ง วรนาฏนารีเสพ เปนที่นางในนั่งเก๋ง ๑ เก๋งด้านตวันตกชื่อว่า เก๋ง วรเทพยสถาน ยาวกว่าทุกเก๋ง เปนที่ไว้เทวรูป (แลชำระความฎีกา)เก๋ง๑เก๋งด้านเหนือชื่อว่าเก๋งสำราญมุขมาตย เปนที่ขุนนางนั่งเก๋ง ๑ มีเสาธงในบริเวณสกุณวันข้างด้านเหนือ ๒ เสา เสาทางด้านตวันตกเปน แบบเสาธงฝรั่ง กลางวันชักธงตราแผ่นดินเวลาเสด็จประทับอยู่ในกรุง ฯ
๕
ถ้าเสด็จไม่อยู่ชักไอยราพต กลางคืนชักโคมทุกวัน เสาตวันออกเปนเสาธงอย่างจีน ชักธงตราแผ่นดินก่อน ในวันทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลก่อน ๆ.
พระที่นั่งสีตลาภิรมย์
ที่พระราชวังชั้นในโปรดให้สร้างพระที่นั่งเย็น เปนตึกจีนสูง ๓ ชั้นองค์ ๑ อยู่ในบริเวณพระตำหนักสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ใกล้ประตูสนามราชกิจ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งสีตลาภิรมย์.
พระพุทธนิเวศน์
พระที่นั่งทอง ๓ หลัง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสร้างไว้ในสวนขวา (ที่เรียกว่าสวนศิวาลัยบัดนี้) โปรดบูรณะปฏิ
๖
สังขรณ์ให้คืนดี แล้วทรงอุทิศถวายเปนพุทธบูชา พระราชทานนามว่า พระพุทธมณเฑียร พระที่นั่งองค์กลางเปนที่ประดิษฐานพระเจดีย์กาไหล่ทองสูง ๗ ศอก พระที่นั่งองค์ข้างเหนือเปนที่ทำพิธีสงฆ์ พระที่นั่งองค์ข้างใต้เปนที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์น้อยซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ ฝาพระที่นั่งเดิมปิดทองล่องชาดโปรดให้ลงรักปิดทอง เขียนเรื่องพระพุทธประ วัติอันปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ ทั้ง ๓ หลัง ตรงน่าพระพุทธมณเฑียรทางด้านตวันออกสร้างพระวิหารขึ้นหลัง ๑ เปนที่ประดิษฐานพระพุทธบุษยรัตน จักรพรรดิพิมลมณีมัย ซึ่งได้มาสู่พระบารมีเมื่อในรัชกาลที่ ๒ พระราชทานนามว่า พระพุทธรัตนสถาน พระวิหารนี้เสาแลฝาผนังพนักล้วนแล้วด้วยศิลา บานประตูหน้าต่างประดับมุก พื้นพระวิหารปูด้วยเสื่อเงิน มีฐานชุกชีทำด้วยงาช้างชั้น ๑ รองบุษบกทองคำประดับพลอยที่ตั้งพระพุทธบุษยรัตน น่าพระวิหารออกไปมีหอระฆังยอดมณฑปประดับกระเบื้อง ฐานประดับศิลา สองข้างพระวิหารสร้างเก๋งที่พักด้านละหลัง น่าเก๋งมีอ่างแก้วก่อเขาอ่างแก้วทางด้านใต้ทำเปนแผนที่ทางทเล อ่างแก้วทางด้านเหนือทำเปนแผนที่ป่าเขา ตามทำนองแผนที่พระราชอาณาเขตร ทางด้านใต้พระพุทธมณเฑียรโปรดให้ซ่อมแซมเก๋งที่ประชุมครั้งรัชกาลที่ ๒ จัดเปนธรรมสภาคศาลา โปรดให้เรียกว่าพระที่นั่งทรงธรรม เปนที่พระสงฆ์แสดงธรรมแก่ข้าราชการฝ่ายใน ทางด้าน ตวันตกของพระพุทธมณเฑียรต่อกับที่ทรงบาตร โปรดให้สร้างปราสาทน้อยขึ้นองค์ ๑ เฉลิมพระเกียรติยศรัชกาลที่ ๒ เปนที่ประดิษฐานพระ
๗
พุทธรูปต่าง ๆ แลคัมภีร์พระไตรปิฎกในรัชกาลที่ ๒ พระราชทานนามว่า มหิศรปราสาท แล้วโปรดให้กั้นบริเวณสวนขวาเดิมกึ่ง ๑ รวมเปนเขตที่ซึ่งทรงพระราชอุทิศนี้ โปรดให้เรียกรวมทั้งเขตรว่า " พระพุทธนิเวศน์ "
กระแสพระราชดำริห์ซึ่งทรงสร้างพระพุทธนิเวศน์นี้ มีแจ้งอยู่ในประกาศเฉลิมพระอภิเนาวนิเวศน์ เมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๔๐๒ ดังนี้
" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงพระรำพึงถึงกาลอันเปนบุรพภาคสมัย ในขณะเมื่อกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยาเก่ายังตั้งเปนปกติอยู่นั้น สมเด็จบรมสยามมหาราชาธิราชเจ้าผู้ประกอบด้วยอิศราธิปไตยยศ จะให้ปรากฏพระนามตามบุรพราชสยามวงศ์ ให้ทรงจัดแจงสถาปนาพระราชวัง พระที่นั่งมหาปราสาทราชมหาสถาน เพื่อจะเสด็จศุขสำราญในไตรพิธฤดูเปนหมู่ ๆ สามตำบลบ้างสี่ตำบลบ้างเปนเยี่ยงอย่างมาฉนี้ ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้ทรงจัดแจงกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร มหินทรายุธยาใหม่นี้ ในฝั่งฟากบุรพทิศแห่งแม่น้ำเจ้าพระยามหานทีสำเร็จแล้ว จึงทรงสร้างพระที่นั่งสองหมู่ มีนามพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระที่นั่งพิมานรัตยา พระปรัศซ้ายขวานั้นหมู่หนึ่งฝ่าย ตวันตก พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยนั้น หมู่หนึ่งฝ่ายตวันออก แลที่ในสวนขวาทิศตวันออก พระที่นั่งหมู่ตวันออกนี้ ทรงสร้างไว้แต่พระตำหนักทองที่ประทับในสระน้ำหลัง ๑ พลับพลาที่เสวยริมปากอ่างแก้วน่าเขาฟองน้ำหลัง ๑ สวนนั้น
๘
มีกำแพงแก้วล้อมรอบเปนบริเวณ ครั้นมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเห็นว่า พระตำหนักทองแลพลับพลานั้นย่อมนัก จึงโปรดให้ขยายสวนแลสระให้ใหญ่กว้างออกไป ก่อกำแพงล้อมชั้นนอกเปนวงใหญ่ แล้วทรงสร้างพระที่นั่งทองสามหลัง มีตึกอย่างจีนอย่างยุโรปต่าง ๆ มากกว่าร้อย เรี่ยรายประดับอยู่โดยรอบเปนบริวาร เปนที่ประทับสำราญพระราชหฤไทยฯ ครั้นมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชศรัทธาโปรดให้รื้อตึกจีนตึกอย่างยุโรปทั้งปวงนั้นไซ้ ไปปลูกสร้างถวายในพระอารามนั้น ๆ เสียจนสิ้น ศิลาก่อเขาศิลาปูพื้นทั้งปวง ก็ให้ลากขนไปประดับประดาในพระอารามหลวงทั้งหมด เปนการฉลองพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ยังเหลืออยู่แต่พระที่นั่งใหญ่สามองค์กับพระที่นั่งเย็น อ่างแก้วแลโรงมหาสภากับซุ้มประตูสามแห่ง ทรงดำรัสประภาษอยู่ว่าจะรื้อไปถวายในพระอารามบ้าง จะสร้างเปนพระอารามบ้าง แล้วก็สงบไป การก็งดอยู่จนสิ้นแผ่นดินนั้น ครั้นล่วงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแล้ว ถึงแผ่นดินปัตยุบันนี้ จึงทรงพระราชดำริห์ว่า ถ้าจะให้รื้อพระที่นั่งใหญ่สามองค์กับทั้งโรงมหาสภาไปสร้างในพระอารามใด ๆ ฤาจะสร้างเปนพระอารามใหม่ ตามพระราชดำริห์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเล่า ก็ทรงรังเกียจอยู่ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือจะเปนที่เสื่อมเสียสาบสูญพระเกียรติยศแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ผู้เปนเจ้าของเดิมได้ทรงสร้างไว้ เพราะพระราชมณเฑียรสถานที่ใหญ่ ๆ ปรากฏ มีกำหนดว่า
๙
จะทรงสร้างในแผ่นดินนั้น จะไม่มีในพระราชวังนี้เลย อย่างหนึ่งทรงระแวงว่าพระราชดำริห์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าจะให้ รื้อไปถวายฤาสร้างเปนพระอารามดังนั้น เกลือกชรอยเทพยดาที่เปนมเหศรศักดานุภาพ ที่สิงสถิตย์อยู่ในพระที่นั่งนั้นจะไม่เห็นชอบด้วยกระมัง จึงบันดาลให้การรอ ๆ รั้ง ๆ มาจนหาได้รื้อไปไม่ดังนี้ ฯ เพราะฉนั้นครั้นจะให้รื้อใหม่บัดนี้กลัวจะมีเหตุต่าง ๆ ไป ควรจะปฏิสังขรณ์ขึ้นไว้ในที่เดิมจึงจะชอบ ถึงกระนั้นก็ไม่ควรจะทำแลประกอบเปนพระราชมณเฑียร สถาน เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ออกพระโอษฐในพระราชดำริห์ว่า จะถวายในพระพุทธสาสนาเปนพระราชอุทิศ เปนการฉลองพระเดชพระคุณ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น เพราะฉนั้น จึงโปรดสถาปนาการแก้ไขแลปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ให้ดีกว่าเก่า แล้วขนานนามว่าพระพุทธมหามณเฑียร แล้วทรงสถาปนาการสร้างพระพุทธรัตนสถานหลัง ๑ เพิ่มเข้าในทิศตวันออกพระราชมณเฑียรของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น แล้วให้ก่อกำแพงแก้วกั้นเปนส่วนหนึ่ง ตั้งแต่ที่กึ่งพระราชอุทยานสวนขวามาจนมุมทิศพายัพยกเปนพุทธเจดียสถานอารามภายในพระราชวัง เปนที่ประดิษฐานตั้งพระสถูปทองสุวรรณสถูปบรรจุพระบรมพุทธสารีริกธาตุ แลพระพุทธปฏิมากร แก้วผลึก แลพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ แลพระพุทธปฏิมารูปพิเศษต่าง ๆ ไว้เปนที่นมัสการในพระราชวัง ดังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ขนานนามว่าพระพุทธนิเวศน์อีกแห่งหนึ่ง " ดังนี้
๒
๑๐
ที่นอกกำแพงแก้วบริเวณพระพุทธมณเฑียรข้างด้านตวันออกโปรดให้ทำสวนปลูกพรรณไม้ดอกที่ได้มาแต่ต่างประเทศ ในสวนนั้นสร้างปราสาทน้อยอิกองค์ ๑ เปนที่ประดิษฐานเทวะรูปแก้วผลึกองค์สูง ๑๕ นิ้ว ทรงอุทิศเปนเทพารักษ์สำหรับพระราชวังชั้นใน
(ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อ จะทรงผนวช โปรดให้สร้างพระที่นั่งทรง ผนวชกับสังฆเสนาศนะขึ้นในบริเวณสวนดอกไม้ต่างประเทศข้างด้านเหนือต่อกำแพงแก้วพระพุทธนิเวศน์ แลให้ผูกพัทธสิมาพระวิหารพระพุทธรัตนสถานเปนพระอุโบสถที่ทรงทำสังฆกรรม ที่บริเวณสวนดอกไม้ต่างประเทศข้างด้านตวันออก ก็สร้างทิมดาบข้าราชการอยู่ประจำซอง แลแก้ไขเปนชาลาลานน่าพระกุฎี เมื่อเสร็จการทรงผนวชแล้ว ที่วัดพระพุทธรัตนสถานเปนที่ข้างในทำพิธีพุทธบูชาต่อมา
ครั้นล่วงมาหลายปีพระพุทธมหามณเฑียรชำรุดมาก เพราะเมื่อสร้างในรัชกาลที่ ๒ ทำเครื่องไม้เปนโครง ครั้นนานมาไม้ผุเสาขาดก็ทรุดโทรมลงจนพ้นวิไสยที่จะซ่อมแซม ได้แต่จะรื้อของเดิม แล้วสร้างของใหม่ขึ้นแทนทั้งหมดจึงจะคืนดี ทรงพระราชดำริห์เห็นว่าประโยชน์ที่จะได้ไม่คุ้มกับทุนที่จะต้องลง จึงโปรดรื้อเสียทั้งพระพุทธมหามณเฑียรแลพระที่นั่งทรงธรรม คงรักษาแต่มหิศรปราสาทไว้เฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ส่วนพระที่นั่งทรงผนวชกับสังฆเสนาศนะนั้น เมื่อทรงสร้างวัดเบญจมบพิตรโปรดให้รื้อไปปลูกในวัดนั้น แล้วทรงอุทิศเปนเสนาศนะของเจ้าอาวาศ พระพุทธรัตนสถานนั้นยังคงอยู่จนทุกวันนี้)
โรงกระสาปน์ (อยู่ตรงมุมบริเวณมหาปราสาท)
๑๑
พระอภิเนาวนิเวศน์
ในที่สวนขวาอันเหลือจากที่ทรงสร้างพระพุทธนิเวศน์นั้น โปรดให้สร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่หมู่ ๑ พระราชทานนามเรียกรวมทั้งหมดว่า พระอภิเนาวนิเวศน์เดิมโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติเปนแม่กอง พอลงมือสร้างได้ไม่ช้าสมเด็จเจ้าพระยา ฯ นั้นถึงพิราลัยจึงโปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เปนแม่กอง แลกรมขุนราชสีหวิกรมเปนนายช่างสร้างต่อมาจนสำเร็จ พระที่นั่งแลสถานที่ต่าง ๆ ในพระอภิเนาวนิเวศน์ มีนามต่างกันเปน ๑๐ แห่ง คือ
๑ พระที่นั่งอนันตสมาคม (๒ ชั้น อยู่ตรงพระที่นั่งสุทไธสวรรย์เข้ามา) เปนท้องพระโรง หันน่าไปทิศตวันออก มีมุขด้านน่า ๓ มุข มุขกลางยาว ๓ ห้อง แต่มุขเหนือมุขใต้เปนมุขโถงห้องห้องเดียว (ถึงรัชกาลที่ ๕ ต่อมุขกลางยาวออกไปหาพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ไว้ทางในระหว่างพระที่นั่งทั้ง ๒ พอเดินกระบวนแห่ แต่โดยปรกติทอดตะพานข้ามทางนั้นเปนทางเสด็จพระที่นั่งสุทไธสวรรย์)
๒ พระที่นั่งบรมพิมาน (๓ ชั้น ต่อพระที่นั่งอนันตสมาคมเข้าไป) เปนพระมหามณเฑียรที่พระบรรธมแห่ง ๑ แลเปนทีรับแขกเมืองเฝ้าในที่รโหฐานด้วย (ถึงรัชกาลที่ ๕ เปนที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามที่ได้ทรงสั่งไว้ ตลอดอายุพระอภิเนาวนิเวศน์)
๓ พระที่นั่งนงคราญสโมสร (๒ ชั้น อยู่ต่อพระที่นั่งบรมพิมานเข้าไป) เปนท้องพระโรงใน แลเปนที่เสวย.
๑๒
๔ พระที่นั่งจันทรทิพโยภาศ (๓ ชั้น อยู่ข้างด้านใต้พระที่นั่งนงคราญสโมสร) เปนพระวิมานที่พระบรรธมแห่ง ๑
๕ พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ (๓ ชั้น เหมือนพระที่นั่งจันทร อยู่ข้างด้านเหนือพระที่นั่งนงคราญสโมสร) เปนพระวิมานที่พระบรรธมอิกแห่ง ๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตที่พระนั่งภาณุมาศจำรูญนี้
๖ พระที่นั่งมูลมณเฑียร พระตำหนักเดิมซึ่งเสด็จประทับเมื่อในรัชกาลที่ ๒ โปรดให้รื้อมาแก้ไขเปนตึก ปลูกขึ้นในระหว่างพระที่นั่งภาณุมาศจำรูญกับบริเวณพระพุทธนิเวศน์ (ในรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชศรัทธาโปรดให้รื้อไปปลูกที่วัดเขมาภิรตาราม ทรงพระราชอุทิศเปนโรงเรียน โดยทำนองเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อพระตำหนักของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระบรมราชชนนี ไปสร้างทรงพระราชอุทิศเปนเสนาศนะเจ้าอาวาศ มาแต่ก่อนฉนั้น พระที่นั่งมูลมณเฑียรยังอยู่จนทุกวันนี้)
๗ หอเสถียรธรรมปริต เปนที่พระสวดพระปริต อยู่ริมกำแพง
พระอภิเนาวนิเวศน์ตรงมุมตวันออกเฉียงเหนือข้างน่าพระที่นั่งอนันตสมาคม
๘ หอราชฤทธิรุ่งโรจน์ เปนที่ไว้เครื่องพระพิไชยสงคราม อยู่ต่อหอเสถียรธรรมปริตมาทางตวันตก
๙ หอโภชนลีลาส เปนที่มีการเลี้ยงโต๊ะพระราชทาน คือ เลี้ยงแขกเมืองเปนต้น อยู่ข้างด้านใต้พระที่นั่งอนันตสมาคม
๑๓
๑๐ พระที่นั่งประพาศพิพิธภัณฑ์ เปน (มิวเซียม) ที่ไว้สิ่งของต่าง ๆ สำหรับทอด พระเนตร อยู่ข้างด้านใต้พระที่นั่งอนันตสมาคม (ในรัชกาลที่ ๕ รื้อพระที่นั่งประพาศพิพิธภัณฑ์ สร้างพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทตรงนั้น)
๑๑ พระที่นั่งภวูดลทัศไนย (นามขนานต่อสัมผัสข้างน่าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ อนันตสมาคม) เปนพระที่นั่งสูง ๕ ชั้น ชั้นยอดมีนาฬิกา ๔ ด้าน สร้างในสวนตรงน่าพระพุทธนิเวศน์
บริเวณพระอภิเนาวนิเวศน์ข้างด้านตวันออก มีเขื่อนเพ็ชร์เปนเขตรข้างน่าพระที่นั่งอนันตสมาคม มีประตูเขื่อนเพ็ชร์ตรงมุขพระที่นั่ง ๓ ประตู ๆ ข้างใต้ชื่อประตูทักษิณสิงหร ประตูข้างเหนือชื่อประตูอุดรสิงหาศน์ ประตูกลางชื่อประตูเทวราชดำรงศร ตัวเขื่อนเพ็ชร์ระหว่างประตูตอนเหนือเปนห้องอาลักษณ ตอนใต้เปนห้องเครื่องมหาดเล็ก นอกเขื่อนเพ็ชร์แถวนี้ออกไปมีกำแพงสกัดแต่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์มาหาเขื่อนเพ็ชร แลมีประตูไม้โค้งแทนประตูหูช้างอย่างเดิม ทั้งข้างเหนือ แลข้างใต้ ภายในเขื่อนเพ็ชรมีประตูอยู่ข้างด้านเหนือพระที่นั่งอนันตสมาคมประตู ๑ ชื่อประตูแถลงราชกิจ เปนเขตรฝ่ายน่าต่อกับฝ่ายใน ส่วนบริเวณข้างฝ่ายในสร้างแถวเต๊งตามเขตรสวนขวาเดิมเปนเขตรทั้ง ๓ ด้าน แลสร้างฉนวนทางพระบิณฑบาตยาวตามทิศตวันออกไปตวันตก ปันเขตรที่ต่อกับพระพุทธนิเวศน์ตอน ๑ ฉนวนนั้นเลี้ยวหักไปข้างใต้ทางหลังพระที่นั่งนงคราญสโมสร จนถนนประตูราชสำราญ เปนฉนวนที่ปันเขตรสวนที่ยังคงอยู่อิกตอน ๑
๑๔
พระอภิเนาวนิเวศน์ ลงมือสร้างเมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๙๕ สร้าง อยู่ ๕ ปี ได้เสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียร เมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๔๐๐ กระแสพระราชดำริห์ที่ทรงสร้างพระอภิเนาวนิเวศน์ มีปรากฏอยู่ในประกาศเทวดาในงานพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรดังนี้
" ทรงพระราชดำริห์ให้สถาปนาพระที่นั่งราชมหามณเฑียรสถานขึ้นใหม่อีกหมู่ ๑ มีพระที่นั่งหลายองค์เนื่องกัน คือพระที่นั่งภูวดลทัศไนยให้เปนคู่กับพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งอยู่บนกำแพงพระราชวังข้างทิศตวันออกนั้น แลพระที่นั่ง อนันตสมาคม พระที่นั่งบรมพิมาน พระที่นั่งสงคราญสโมสร พระที่นั่งจันทรทิพโยภาศ พระที่นั่งภาณุ มาศจำรูญ พระที่นั่งมูลมณเฑียร มีหอเสถียรธรรมปริต หอราชฤทธิ์รุ่งโรจน์ หอโภชนลีลาศ แลพระที่นั่ง ประพาศพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในสถานนั้น ๆ ที่ควรโดยรอบคอบ พระที่นั่งมหามณเฑียรอภิเนาวนิเวศน์นี้ ทรงสถาปนาประดิษฐานขึ้นทั้งนี้ ใช่จะลุ่มหลงมัวเมาด้วยเบญจพิธกามคุณฤดี ไม่เห็นพระไตรลักษณ์แล ความชราพยาธิมรณสังเวควัตถุนั้นก็หามิได้ ซึ่งทรงสร้างขึ้นทั้งนี้หวังพระราชหฤทัยจะให้เปนพระเกียรติยศแด่พระบารมีแผ่นดินประจุบันนี้สืบไปภายน่า ดังหนึ่งพระที่นั่งมหามณเฑียรเดิม แลหมู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เปนพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ พระที่นั่งพุทธมหามณเฑียรแลโรงช้างเผือกทั้ง ๔ เปนพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แลพระที่นั่ง
๑๕
สุทไธสวริยปราสาท เปนพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ อนึ่งในแผ่นดิน ประจุบันนี้ได้มีทางพระราชไมตรีด้วยพระมหานครใหญ่ ๆ ในแผ่นดินยุโรปแลทวีปอเมริกา ล้วนบรรดาซึ่งเปนประเทศไม่ต้องขึ้นแด่เมืองอื่นเมืองใดหลายพระนคร มีสิ่งของเครื่องราชบรรนาการมาถวาย เจริญทางพระราชไมตรีล้วนดี ๆ หลายอย่างต่าง ๆ ของจำพวกนี้จะทรงพระราชศรัทธาถวายบูชาพระรัตนไตรยในพระอารามหลวงเสียก็หาควรไม่ เพราะทูตที่มาแต่เมืองเจ้าของเครื่องราชบรรณาการเหล่านั้นก็เข้ามาเนือง ๆ แล้วถามว่าเครื่องราชบรรณา การเหล่านั้นยังคงเก็บไว้เปนที่รฦกถึงทางพระราชไมตรีสืบไปฤา ครั้นเมื่อจะจัดประดับประดาในพระที่นั่งสร้างอย่างสยามตามอย่างช่างโบราณ ก็ดูจะพานขัดพระเนตร เปนที่ยิ้มเย้ยของแขกเมืองที่มาแต่ประเทศยุโรปจะพึงว่าได้ ว่าของสำหรับใช้อย่างอื่นเอามาใช้อย่างอื่นไป เพราะฉนั้นจึงโปรดให้ช่างสร้างพระอภิเนาวนิเวศน์ โดยแบบอย่างท่วงทีละม้ายคล้ายกับราชนิเวศน์ ซึ่งมีในมหานครข้างโยรปิยปถพี เพื่อจะต้องท่วงทีกับสิ่งเครื่องประดับประดาที่ได้มาแต่โยรปิยมหานครต่าง ๆ ไว้สำหรับรับแขกเมือง แลรฦกถึงทางพระราชไมตรีด้วยพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ในโยรปิยปถพี เพราะทอด พระเนตรเห็นของราชบรรณาการพิเศษที่กล่าวมานี้อยู่เนือง ๆ นั้น " ดังนี้
(ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อสร้างพระอภิเนาวนิเวศน์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับอยู่ที่พระอภิเนาวนิเวศน์เปนพื้น เสด็จมาประทับพระราชมณเฑียรเดิม คือที่หมู่พระที่นั่ง
๑๖
จักรพรรดิพิมานเปนครั้งเปนคราว ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ เสด็จมาประทับที่พระราชมณเฑียรเดิม แล้วต่อมาสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นที่พระตำหนักเดิม คือหมู่พระที่นั่งจักรีเปนที่ประทับ ที่พระอภิเนาวนิเวศน์เปนแต่ที่เสด็จออกมหาสันนิบาต แลทำการพระราชพิธีที่พระที่นั่งอนันตสมาคมเปนครั้งเปนคราว เช่นเสด็จออกวันประชุมตราจุลจอมเกล้าแลการฉลองไตรปีเปนต้น แลพระราชมณเฑียรทั้งปวงในหมู่พระ อภิเนาวนิเวศน์นั้นสร้างด้วยโครงเครื่องไม้ประกอบอิฐปูนเปนพื้น อยู่ได้สัก ๓๐ ปี พอไม้โครงผุก็ทรุดโทรมพ้นวิสัยที่จะซ่อมแซมให้คืนดีได้จึงต้องรื้อหมดทั้งหมู่ แล้วปราบที่ทำเปนสวนสืบมา)
สถานที่ต่าง ๆ ในบริเวณพระราชวังชั้นใน
เขื่อนเพ็ชรอันเปนเขตรพระราชวังชั้นใน เดิมทำเปนทิมแถวชั้นเดียว โปรดให้ทำใหม่เปนเล่าเต๊ง ๒ ชั้น ทั้งด้านตวันออกแลตวันตก แต่ด้านใต้นั้นทรงพระราชดำริห์ว่า พระราชวังชั้นในตอนที่ขยายออกไปทางวัดพระเชตุพนเมื่อในรัชกาลที่ ๒ นั้น ยังไม่ได้สร้างสิ่งใดขึ้นเปนที่ว่างร้างอยู่ในพระบรมมหาราชวังกว้างขวางนัก จึงโปรดให้กั้นเขตรข้างในพระราชวังเสียอิก คือให้สร้างเล่าเต๊งเขื่อนเพ็ชร์ขึ้นเปนแนวกำแพงด้านใต้ ๒ ชั้น ชั้นในเรียกว่าเต๊งแถวท่อ เพราะทำตามแนวท่อที่ไขน้ำเข้าในวัง ท่อนี้แต่เดิมเปนท่อเปิดเหมือนกับคลอง เปนทางไขน้ำเข้ามาใช้ในพระราชวัง แลให้น้ำไปลงสระสวนขวา โปรดให้ก่อปิดทำเปนพื้นถนน เปิดเปนปากบ่อไว้สำหรับตักน้ำใช้เปนระยะ
พระพุทธมณเฑียร พระพุทธรัตนสถานอยู่ซ้ายมือ
๑๗
นอกเต๊งแถวท่อออกไปสร้างเต๊งอีกแถว ๑ ยาวแต่ตวันออกไปตวันตกเหมือนกับเต๊งแถวท่อ เรียกกันว่าเต๊งแดง (เพราะแต่แรกโบกปูนเปนสีแดง) ที่ระหว่างเต๊งแถวท่อกับเต๊งแดงเรียกว่าแถวกลางมีประตูที่ เต๊งทั้ง ๒ แถว นอกเต๊งแดงออกไปจนแถวทิมอันเปนเขตรพระราชวังชั้นในของเดิมไว้ที่อิกตอน ๑ เรียกว่าแถวนอก ในที่ตอนแถวนอกนี้ โปรดให้สร้าง ปราสาทน้อยขึ้นองค์ ๑ ทรงพระราชดำริห์ว่าจะให้เปน ที่ประดิษฐานพระอัฐิเจ้านายฝ่ายใน มีศาลาที่พักสำหรับผู้ไปบำเพ็ญ การกุศลด้วย ปราสาทนี้สร้างค้างอยู่จนตลอดรัชกาล สำเร็จแต่ เต๊งทั้ง ๒ แถวที่กล่าวมา ยังอยู่จนทุกวันนี้
สถานที่ต่าง ๆ ที่ทรงสร้างในบริเวณพระราชวังชั้นกลาง
หอธรรมสังเวช
นอกกำแพงแก้ว พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาททางด้านตวันตก (ระหว่างประตูพรหมจนประตูศรีสุนทร)เดิมมีโรงสำหรับครูผู้ชายหัด ลครหลวง สร้างไว้แต่ในรัชกาลที่ ๒ โปรดให้รื้อโรงลครเสียสร้างหอ ที่ไว้พระศพเจ้านายฝ่ายในหอ ๑ ขนานนามว่า หอธรรมสังเวช แลหอสำหรับทำพิธี คือกวนเข้าทิพเปนต้นต่อมาอิกหลัง ๑ (ขนานนามในรัชกาลที่ ๕ ว่า หอนิเพทพิทยา รื้อในรัชกาลปัตยุบันนี้ทั้ง ๒ หอ)
หอพิธีพราหมณ์
นอกกำแพงแก้วพระมหาปราสาทด้านเหนือ ตรงมุมถนนออกประตูสุวรรณบริบาลฟากตวันตก โปรดให้สร้างตึกเปนหอพระไสยสาตรหลัง ๑
๑๘
เปนที่พราหมณ์ทำพิธี มิให้ต้องปลูกโรงเครื่องผูกทุกคราวงานพิธี เช่น ตรุษสารทเปนต้น ดังแต่ก่อน เรียกว่า หอพิธีพราหมณ์
โรงกสาปน์
โปรดให้สร้างโรงเครื่องจักรสำหรับทำเงินเหรียญขึ้นที่น่าพระคลังมหาสมบัติ (ที่ทำเงินพด ด้วงแต่ก่อน) ตรงมุมถนนนอกประตูสุวรรณบริบาลข้างตวันออก พระราชทานนามว่า โรงกสาปน์สิทธิการ
เหตุที่สร้างโรงกสาปน์นี้ได้ความว่า ตั้งแต่ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีกับนานาประเทศเมื่อในรัชกาลที่ ๔ การค้าขายกับต่างประเทศเจริญขึ้นรวดเร็ว พวกพ่อค้ามาขอแลกเงินบาทพระคลัง มหาสมบัติทำเงินพดด้วงโดยวิธีอย่างเก่าให้ไม่ทัน เมื่อราชทูตไทยไปเมืองอังกฤษคราวแรก เมื่อปีมะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐ จึงโปรดให้ไปซื้อ เครื่องจักรมาสร้างโรงกสาปน์ ทำเงินเหรียญบาทแลเงินสลึงเงินเฟื้องจำหน่ายแทนเงินพดด้วง แต่ปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ แล้วทำทองแดงซีกแลเสี้ยวแลอัฐตะกั่วใช้แทนเบี้ย แต่ปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ เปนต้นมา ถึงรัชกาลที่ ๕ โรงกสาปน์นี้เล็กไปไม่พอแก่การ โปรดให้สร้างโรง กสาปน์ใหม่ทางข้างตวันออกประตูสุวรรณบริบาล โรงกสาปน์เก่าใช้ เปนโรงหมอตอน ๑ เหลือ นั้นใช้เปนคลังทหารมาจนปีระกา พ.ศ. ๒๔๔๐ เกิดไฟใหม้ตึกโรงกสาปน์เก่าหมดทั้งหลัง จึงแก้ไขซ่อมแซมใช้เปนคลังชาวที่แต่นั้นมา
๑๙
โรงพระยาช้างต้น
โรงพระยาช้างต้นของเดิมมี ๔ โรง (อยู่ตรงที่สร้างพระที่นั่ง จักรีมหาปราสาท) โปรดให้สร้างเพิ่มเติมขึ้นที่ริมกำแพงชั้นกลางด้านเหนือพระมหาปราสาท ทางฝ่ายตวันตกโรง ๑ ฝ่ายตวันออกโรง ๑ โรงพระยาช้างต้นของเดิมใช้แผ่นดินเปนพื้นโรง โปรดให้ยกพื้นปูกระดานทั้งโรงช้างเดิมแลที่สร้างใหม่
(ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อถึงพระที่นั่งใหม่หมู่พระที่นั่งจักรี โรงช้าง ต้นของเดิมกีด จึงต้องย้ายออกไปสร้างที่หลังศาลาลูกขุนทั้ง ๔ หลังยังปรากฏอยู่บัดนี้ โรงพระยาช้างต้นที่สร้างในรัชกาลที่ ๔ ที่อยู่ด้านน่าพระมหาปราสาท รื้อเมื่อสร้างโรงกสาปน์ใหม่หลัง ๑ รื้อสร้างโรง เรียนราชกุมารหลัง ๑
หอนาฬิกา
โปรดให้กรมขุนราชสีหวิกรมทรงคิดแบบสร้างหอนาฬิกาขึ้นที่ทิมดาบโรงนาฬิกาเดิมหลัง๑ สูง ๑๐ วา มีนาฬิกาทั้ง ๔ ด้าน (หอนาฬิกานี้เห็นจะอยู่ตรงมุขเด็ดพระที่นั่งจักรีทีเดียว รื้อเสียเมื่อจะสร้างทิมดาบใหม่ในรัชกาลที่ ๕)
สังฆาศนศาลา
โปรดให้สร้างตึก ๒ ชั้นขึ้นหลัง ๑ ในระหว่างทิมดาบกับฉนวนออกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ขนานนามว่า สังฆาศนศาลา เปนที่พักพระสงฆ์ซึ่งนิมนต์เข้ามาในวัง (สังฆาศนุศาลาอยูตรงโรงนาฬิกาเดี๋ยวนี้ รื้อเสียเมื่อจะสร้างทิมดาบใหม่รัชกาลที่ ๕)
๒๐
ในบริเวณโรงแสงต้น (อยู่ในบริเวณพระที่นั่งภานุมาศจำรูญ บัดนี้) โปรดให้สร้างตึก ๒ ชั้น เปนโรงพิมพ์หนังสือหลัง ๑ พระราชทานชื่อว่า โรงอักษรพิมพการ ข้างเหนือโรงพิมพ์ต่อไปสร้างโรงกลั่น ลม (แกส) จุดประทีปในพระราชวัง (โรงพิมพ์รื้อเมื่อเลิกโรงพิมพ์ หลวงในรัชการที่ ๕) โรงแกสนั้นย้ายไปตั้งที่ (ตลาดเสาชิงช้า) น่าวัดสุทัศน์ รื้อเสียเมื่อใช้ไฟฟ้า
สถานที่ต่างๆ ที่ทรงสร้างในบริเวณพระราชวังชั้นนอก
โรงปืนใหญ่
ศาลาลูกขุนในของเดิมเปน ๒ หลัง โปรดให้สร้างโรงใหญ่ที่ระหว่างศาลาลูกขุนนั้นหลัง ๑ เปนที่เก็บรักษาปืนใหญ่สำหรับเฉลิมพระ เกียรติยศ คือปืนพระยาตานีเปนต้น ที่สระน้ำน่าศาลาลูกขุนฝ่าย
ขวาก็โปรดให้ลงเขื่อนแลสร้างเก๋งขึ้นเปนเครื่องประดับ
โรงทหารรักษาพระองค์
ที่ริมกำแพงพระราชวังระหว่างประตูพิมานเทเวศร์กับประตูวิเศษไชยศรีนั้น เดิมมีทิมพล โปรดให้รื้อทำโรงยาวสำหรับทหารรักษา พระองค์อยู่
(ถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดให้รื้อโรงทหารรักษาพระองค์นั้นสร้างเปน ตึก ๒ ชั้น สำหรับจะเปนที่นายทหารมหาดเล็กอยู่ ในเวลากำลัง
๒๑
สร้างตึกนั้นอยู่ โปรดให้จัดการพระคลังมหาสมบัติ จะต้องมีที่ว่า การกระทรวงพระคลัง จึงพระราชทานตึกนั้นเปนที่ว่าการกระทรวงพระคลัง ขนานนามว่า หอรัษฎากรพิพัฒน์)
ประตูพระราชวัง
โปรดให้แก้ประตูพระราชวังชั้นนอกทำเปนยอดปรางค์ แลเพิ่มบานให้เปน ๒ ชั้น แต่หาทันแล้วสำเร็จทุกประตูไม่
(ประตูพระราชวังชั้นนอกเมื่อแรกสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยเครื่องไม้ยอดทรงมณฑป ถึงรัชกาลที่ ๓ สร้างเปนเครื่องก่ออิฐถือ ปูน ทำเปนซุ้มฝรั่ง ตามแบบประตูพระราชวังชั้นนอกที่กรุงเก่า เหมือนอย่างประตูรัตนพิศาลที่ยังเหลืออยู่บัดนี้ ที่แก้เปนยอดปรางค์ ในรัชกาลที่ ๔ ก็ถ่ายอย่างมาแต่ประตูพระราชวัง (ชั้นกลาง) ครั้งกรุงเก่าเหมือนกัน
ป้อมรอบพระราชวัง
โปรดให้สร้างป้อมที่กำแพงพระราชวังเพิ่มขึ้นข้างด้านตวันออก ๓ ป้อม คือ ป้อมสัญจรใจวิง ตรงถนนบำรุงเมืองป้อม ๑ ป้อมขยันยิง ยุทธ ริมพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ข้างเหนือป้อม ๑ ป้อมฤทธิรุตม์โรมรัน ริมพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ข้างใต้ป้อม ๑
โปรดให้สร้างพลับพลาบนป้อมขันธ์เขื่อนเพ็ชร์ ริมประตูวิเศษ ไชยศรี เปนที่เสด็จออกทอดพระเนตรช้างน้ำมันแห่ง ๑ สร้างพระที่ นั่งบนกำแพงพระราชวังตรงน่าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระราชทาน
๒๒
นามว่า พระที่นั่งไชยชุมพลองค์ ๑. (นามพระที่นั่งไชยชุมพลสัมผัสเข้าลำดับต่อพระที่นั่งอมริทร วินิจฉัย ต่อน่าพระที่นั่งภูวดลทัศไนย)
พระที่นั่งสุทไธสวรรย์
โปรดให้ปฏิสังขรณ์พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ (เห็นจะคราวเดียวกับสร้างพระอภิเนาวนิเวศน์) ของเดิมเปนฝาไม้แก้เปนตึกในครั้งนี้
พระที่นั่งสุทไธสวรรย์นี้เมื่อสร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๑ เปนพลับพลาโถงจตุรมุข (เหมือนอย่างพลับพลาสูงวังน่าซึ่งสร้างเมื่อในรัชกาลที่ ๔ นั้น) จึงเรียกว่าพลับพลาสูง ถึงรัชกาลที่ ๓ โปรด ฯ ให้แก้เปน ปราสาทแต่ยังเปนเครื่องไม้ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ถึงรัชกาลที่ ๔ ทรงเปลี่ยนนามเปนพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ต่อมาถึง รัชกาลที่ ๕ ได้ซ่อมแซมใหม่อิกครั้ง ๑ ในรัชกาลปัจจุบันนี้แก้ไข ข้างในอีกบ้างเล็กน้อย
ตำหนักสวนกุหลาบ
ที่สวนกุหลาบข้างด้านใต้พระอภิเนาวนิเวศน์ โปรดให้แก้ที่คลัง ศุภรัตเดิมสร้างเปนตำหนักพระราชทานเปนที่ประทับของพระบาทสม เด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อลาผนวชสามเณรแล้วแห่ง ๑.
สถานที่ต่าง ๆ ที่ทรงสร้างแลปฏิสังขรณ์ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จะพรรณาในตอนว่าด้วยพระอารามทั้งหลายที่ทรงสร้างแลปฏิสัง ขรณ์ อันจะปรากฏข้างน่าต่อไป.
ประมาณแผนผังพระอภิเนาวนิเวศน์
๒๓
สถานที่ต่าง ๆที่ทรงสร้างรอบนอกพระราชวัง
ท้องสนามหลวง
ที่ทุ่งข้างเหนือพระราชวัง เดิมเรียกว่าทุ่งพระเมรุ โปรดให้เรียก ว่าท้องสนามหลวง แลตอนข้างใต้ ในสนามนั้นโปรดให้สร้างบริเวณสำหรับการพระราชพิธีพืชมงคลแลพิธีพรุณสาตร มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ข้างในสร้างหอพระเปนที่ประดิษฐานพระสำหรับการพิธี มีพระพุทธคันธารราฐเปนต้น หลัง ๑ มีพลับพลาที่ทำการพระราชพิธีหลัง ๑ มีหอสำหรับดักลมลงที่พลับพลาหลัง ๑ ข้างพลับพลามีโรงลครสำหรับเล่นบวงสรวงหลัง ๑ ข้างด้านเหนือมีพลับพลาน้อยสร้างบนกำแพงแก้ว สำหรับประทับทอดพระเนตรทำนาในทุ่งนั้นหลัง ๑ แลสร้างฉางสำหรับไว้เข้านาหลวงในบริเวณนั้นด้วยอิกหลัง ๑.
๒๔
ท้องสนามไชย
ทางด้านตวันออกพระราชวัง ที่สนามน่าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ให้ปักเสานางเรียงเปนเขตร ข้างเหนือแถว ๑ ข้างใต้แถว ๑ ในบริเวณนั้นให้เรียกว่าท้องสนามไชย เอาพระที่นั่งสุทไธสวรรย์เปนกึ่งกลาง สร้างแท่นเบญจาเปนที่ข้าราชการเฝ้าข้างน่าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ มีเกยช้างอยู่ข้างเหนือ แลเกยพระราชยานอยู่ข้างใต้ ตรงน่าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ข้ามฟากสนามหลวงโปรดให้สร้างตึก ๒ ชั้น เปนที่สำหรับนายทหารอยู่แถว ๑ ต่อไปข้างเหนือ (ตรงวังสราญรมย์) สร้างโรง ทหารแถว ๑
โรงม้าแซง
เหนือสนามไชยไปถึงหัวถนนบำรุงเมืองซึ่งสร้างใหม่ โปรดให้ สร้างโรงม้าแซง ๒ ข้าง โรงโขน อยู่กลาง ตรงน่าพระที่นั่งไชยชุมพล
ศาลเทพารักษ์
แลที่ศาลหลักเมือง เดิมหลังคาเปนศาลา โปรดให้ก่อเปนยอดปรางค์ตามแบบอย่างศาลาที่กรุงเก่า แลที่ศาลพระเสื้อเมือง ศาลพระทรงเมือง ศาลพระกาฬ แลศาลเจ้าเจตคุปต์ เดิมเปนหลังคาศาลา ก็โปรดให้ ก่อเปนยอดปรางค์เหมือนกับศาลาหลักเมือง
๒๕
หอกลอง
หอกลองที่น่าหับเผย (ในบริเวณสวนเจ้าเชตบัดนี้) นั้น โปรด ให้ซ่อมแซมแล้วแก้ทรงหลังคา ของเดิมเปนทรงยอดเกี้ยว แก้เปน ยอดทรงมณฑป.
สิ่งซึ่งทรงสร้างในวัดพระเชตุพนจะงดไว้พรรณาในตอนที่ว่าด้วยพระอารามใหญ่น้อยที่ทรงสร้างแลบูรณปฏิสังขรณ์ต่อไป.
ศาลต่างประเทศ
ที่เหนือท่าเตียนโปรดให้สร้างตึกขึ้น ๔ หลัง หลังใต้เปนที่กรม ท่ารับกงสุลต่างประเทศ แลต่อมาใช้เป็นศาลต่างประเทศด้วย ตึกต่อ ขึ้นมาเปนที่สำหรับแขกเมือง แลเปนที่อยู่ของฝรั่งที่รับราชการ.
ท่าราชวรดิฐ
ด้านตวันตกพระราชวัง ที่พระตำหนักน้ำเดิมเปนตำหนักปักเสาลงในน้ำ ทอดคานเหมือนอย่างเรือนแพ แต่หลังคามุงกระเบื้อง โปรดให้รื้อตำหนักของเดิมเสีย แล้วลงเขื่อนถมที่ขึ้นเสมอพื้นแผ่นดิน
๒๖
สร้างพระที่นั่งขึ้นหมู่ ๑ เปนพลับพลาสูงตรงกลางองค์ ๑ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งชลังคพิ มาน ต่อพลับพลาสูงเข้าไปทางด้านตวันออกมีพระที่นั่งสูงเปนที่ประทับองค์ ๑ พระราชทานนามว่าพระที่นั่งทิพยสถานเทพสถิตย์ พระที่นั่งข้างเหนือลดพื้นต่ำลงมาเปนท้องพระโรงฝ่ายน่าองค์ ๑ พระราชทานนามว่าพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย มีพระที่นั่ง ข้างใต้เหมือนกันกับองค์ข้างเหนือ เปนที่พักฝ่ายในอิกองค์ ๑ พระ ราชทานนามว่าพระที่นั่งอนงค์ในสราญรมย์ ตรงน่าพระที่นั่งชลังคพิมาน ใต้ท่าทางเสด็จลงเรือ ก่อเขื่อนทำสระเปนที่สรงสระ ๑ ก่อกำแพงเปนบริเวณข้างในทั้ง ๓ ด้าน มีป้อมริมน้ำปลายแนวกำแพงด้านเหนือ พระราชทานชื่อว่า ป้อมพรหมอำนวยศิลป์ป้อม ๑ ป้อมข้างใต้ตรง กันชื่อ ป้อมอินทร์อำนวยศรป้อม ๑ โปรดให้เรียกรวมกันทั้งบริเวณว่าท่าราชวรดิฐ ข้างเหนือขึ้นไปให้ทำท่าสำหรับเรือข้าราชการอีกท่า ๑ โปรดให้เรียกว่า ท่านิเวศน์วรดิฐ.
ประปา
ที่เหนือท่านิเวศน์วรดิษฐ โปรดให้ตั้งเครื่องสูบน้ำด้วยเครื่องจักรแลสร้างถังสูงสำหรับขังน้ำที่สูบขึ้นไปจากแม่น้ำ แล้วฝังท่อไขน้ำเข้าไปใช้ในพระราชวัง
๒๗
ประปา
ในบริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล
ที่ในพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงสร้างพระที่นั่งเก๋งขึ้นข้างด้านเหนือพระวิมานองค์ ๑ พระราชทานนามว่า " พระที่นังบวรบริวัตร " เปนที่ประทับเวลาเสด็จขึ้นไปพระบวรราชวัง เวลาเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว.
พระราชวังนันทอุทยาน
โปรด ฯ ให้ซื้อสวนในคลองมอญทางฝั่งเหนือตำบล ๑ แล้วโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติเปนนายงาน สร้างพระราชวังขึ้นในที่นั้นอิกแห่ง ๑ พระราชทานนามว่า วังนันทอุทยาน มีพระตำหนักที่เสด็จประทับแลตำหนักข้างในอิกหลายหมู่ มีเขื่อนเพ็ชรล้อม
แล้วขุดคลองต่อจากคลองมอญเข้าไปจนถึงที่ประทับที่สร้างนั้น ลงมือสร้างได้หน่อยหนึ่ง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติถึงพิราลัย
๒๘
จึงโปรดให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเปนนายงานต่อมา จนถึงปีฉลู พ.ศ. ๒๔๐๘ จึงหยุดการสร้างวังนันทอุทยาน.
(วังนันทอุทยานลงมือสร้างเมื่อปีมะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐ เหตุที่ทรงสร้างวังนันทอุทยานนี้ โดยทรงพระราชปรารภว่า ถ้าพระองค์เสด็จสวรรคตลง พระราชโอรสธิดาแลเจ้าจอมมารดาอยู่ในพระบรมมหา ราชวังบางทีจะลำบาก ฤๅมิฉนั้นก็กีดขวางแก่พระบาทสมเด็จพระปิ่น เกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งจะรับรัชทายาท จึงทรงสร้างวังนันทอุทยานขึ้นเปนที่ประพาศ แลเตรียมไว้สำหรับเปนที่อยู่ของพระราชโอรสธิดา ในเวลาเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ครั้นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเสียก่อน ไม่มีข้อปัญหาที่ทรงปรารภไว้ พอพระเจ้าลูกเธอพระองค์ชายทรงพระเจริญขึ้นหลายพระองค์ ถึงเวลาที่จะต้องสร้างวัง จึงโปรดให้รื้อตำหนักฝ่ายในที่วังนันทอุทยานมาสร้างตำหนักพระราชทาน ที่วังพระเจ้าลูกเธอ คือ วังกรมหลวงพิชิตปรีชากรแห่ง ๑ วังกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์แห่ง ๑ วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์แห่ง ๑ วังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสรแห่ง ๑ วังกรมขุนศิริธัชสังกาศแห่ง ๑ ที่ไม่ได้ พระราชทานตำหนักนันทอุทยานมีบ้าง คือ วังกรมพระนเรศร์วรฤทธิ แห่ง ๑ เพราะเจ้าพระยามหาโยธา ทอเรีย คชเสนี ปู่ของเจ้าจอมมารดากลิ่น ยกที่บ้านเรือน (ตรงวังที่ประทับทุกวันนี้) ถวายสมโภช เมื่อประสูตร แลกรมหลวงอดิศรอุดมเดช กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมทั้ง ๒ พระองค์นี้ ได้พระราชทานวังเก่าอันมีตำหนักอยู่แล้ว ส่วนพระ
ทางเข้าพระที่นั่งอนันตสมาคม
๒๙
ตำหนักแลที่ประทับที่สวนนันทอุทยานทั้งตำบลนั้น พระราชทานแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นเมื่อถึงในรัชกาลที่ ๕ ชั้นแรกพระราชทานที่พระตำหนักในนันทอุทยานให้เปนโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ครั้นโรงเรียนนั้นย้ายมาตั้งที่โรงเรียนสุนันทาลัย (อันเปนโรงเรียนราชินีบัดนี้) จึงพระราชทานที่นันทอุทยานให้ ใช้ราชการทหารเรือ แต่นั้นมา)
สระปทุมวัน
เดิมมีที่นาหลวงอยู่ในทุ่งบางกะปิริมคลองสามเสนแห่ง ๑ (เห็นจะจับไว้แต่เมื่อขุดคลองไปบางขนากในรัชกาลที่ ๓) โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติเปนแม่กอง แลพระสามภพพ่ายหนูซึ่งภายหลังได้เปนพระยาเพ็ชรพิไชยเปนนายงาน สร้างสระบัวที่เสด็จ ประพาศแห่ง ๑ เหมือนที่มีเมื่อครั้งกรุงเก่า ขุดสระใหญ่ ๒ สระติดต่อถึงกัน สระในอยู่ข้างเหนือ เปนที่เสด็จประพาศ สระนอกอยู่ข้างใต้เปนที่มหาชนไปเล่นเรือ ดินที่ขุดขึ้นจากสระทิ้งทำเปนเกาะน้อยใหญ่หลายเกาะ ที่ฝั่งก็ถมที่ทำเปนสวน แล้วขุดคลองไขน้ำจากคลองแสนแสบทำทางเรือเข้าในสระ ที่ฝั่งสระข้างด้านเหนือไปจนฝั่งคลองแสนแสบ ตั้งบริเวณพลับพลาที่เสด็จประทับ มีพระที่นั่ง ๒ ชั้นที่ประทับแรมอยู่ริมสระแลมีพลับพลาที่เสด็จออกแลโรงลคร เรือนข้างใน ครบทุกอย่าง พระราชทานให้เรียกที่สระบัวซึ่งทรงสร้างใหม่รวมกันทั้งตำบลว่า " ปทุมวัน " แล้วโปรดให้สร้างพระอารามขึ้นที่ริมสระนอกข้างด้านตวันตกพระ
๓๐
อาราม ๑ พระราชทานนามว่า " ปทุมวนาราม " ให้เปนวัดของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี แลโปรดให้อาราธนาพระสงฆ์ธรรมยุติกา มาอยู่แต่แรกสร้าง
๓๑
วังสราญรมย์
ในปลายรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๐๙ โปรดให้พระยา บุรุษรัตนราชพัลลภ๑ เปนแม่กองสร้างพระราชวังขึ้นตรงที่ตึกดินเก่า แห่ง ๑ พระราชทานนามว่า วังสราญรมย์ ยังอยู่จนบัดนี้
(เหตุที่จะสร้างวังสราญรมย์นี้ ด้วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจริญพระชัณษาได้ทรงอุปสมบทแล้ว จะทรงมอบเวนราชสมบัติพระราชทาน ส่วนพระองค์จะเสด็จออกไปประทับอยู่ที่วัง
วังสราญรมย์ เปนตำแหน่งพระเจ้าหลวงช่วยทรงแนะนำราชการแผ่นดินไปจนตลอดพระชนมายุ แต่เสด็จสวรรคตเสียก่อน ในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานวังสราญรมย์ ให้เปนที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จนสร้างวังบุรพาภิรมย์แล้ว แลต่อมาเมื่อทรงตั้งสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการเปนเสนาบดีว่าการกระทรวงต่างประเทศ โปรดให้ใช้วังสราญรมย์ เปนศาลาว่าการต่างประเทศอยู่คราว ๑ ต่อมาจัดเปนที่สำหรับรับเจ้าต่างประเทศ แล้วพระราชทานให้เปนที่ประทับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมาจนตลอดรัชกาล
วังสราญรมย์แก้ไขเมื่อในรัชการที่ ๕ หลายอย่าง แต่ตัวตึกเปนของเดิมโดยมาก ของสร้างใหม่แต่มุขบันไดด้านใต้อย่าง ๑ ตึกที่ บรรธมอยู่ด้านตวันออกหลัง ๑ แต่เดิมทางท้องสนามไชยมีโรงทหาร บังตลอด รื้อโรงทหารขยายเขตรวังสราญรมย์ออกมาต่อท้องสนามไชยอิกอย่าง ๑
๑ ได้เปนเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงในรัชกาลที่ ๕
๓๒
ขุดคลองแลทำถนนในจังหวัดพระนคร
๑ คลองผดุงกรุงเกษม
เมื่อปีกุญ พ.ศ. ๒๓๙๔ โปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่สมุหพระกลาโหมเปนแม่กอง ให้เจ้าหมื่นไวยวรนารถ (วร) เปนนายงานขุด คลองแต่ลำแม่น้ำที่ใต้วัดเทวราชกุญชรผ่านคลองมหานาคไปออกแม่น้ำ ที่เหนือวัดแก้วแจ่มฟ้าคลอง๑ ๑ เปนคูพระนครชั้นนอกกว้าง ๑๐ วาลึก ๖ ศอก ยาว ๑๓๗ เส้น ๑๐ วาสิ้นค่าจ้างขุดเปนเงิน๒๗,๕๐๐ บาท สำเร็จในปีขาล พ.ศ. ๒๓๙๗ ได้เปิดคลองเมื่อณวันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรม ค่ำ ๑ พระราชทานนามว่า คลองผดุงกรุงเกษมแลมีงานมโหรศพ ฉลอง ๓ วัน ต่อมาโปรดให้สร้างป้อมตามแนวคลองเปนระยะห่างกันประมาณ ๑๒ เส้น รวม ๘ ป้อม คือ
๑ ป้อมป้องปัจจามิตร อยู่ฝั่งตวันตกที่ปากคลองสาร
๒ ป้อมปิดปัจนึก อยู่ที่ปากคลองผดุง ฯ ข้างใต้
๓ ป้อมฮึกเหี้ยมหาญ
๔ ป้อมผลาญไพรีราบ อยู่ตรงตลาดหัวลำโพง
๕ ป้อมปราบสัตรูพ่าย อยู่ที่ริมวัดพลับพลา ไชย
๖ ป้อมทำลายแรงปรปักษ์ อยู่ตรงมุมถนนหลานหลวง
๗ ป้อมหักกำลังดัษกร อยู่ตรงถนนราชดำเนิน
๘ ป้อมพระนครรักษา อยู่ริมวัดนรนารถ
๑ วัดแก้วแจ่มฟ้า เดิมอยู่ตรงหลังธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ ย้ายไปอยู่ถนนสี่พระยา เมื่อ ในรัชกาลที่ ๕
๓๓
๒ คลองถนนตรง
เมื่อปีมะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐ โปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เปนแม่กองขุดคลองต่อจากคลอง ผดุงกรุงเกษมฝั่งนอก ตรงหัวลำโพงลงไป ต่อคลองพระโขนงคลอง ๑ กว้าง ๖ วา ลึก ๖ ศอก ยาว ๒๐๗ เส้น ๒ วา ๓ ศอก ทิ้งดินที่ขุดขึ้นแต่ทางฝั่งคลองข้างเหนือฝั่งเดียว แล้วปราบทำเปนถนนลงไปจนตลอดคลอง สิ้นค่าจ้างทั้งขุดคลองถมถนนเบ็ดเสร็จเปนเงิน ๑๖,๖๓๓ บาท โปรดให้เรียกชื่อคลองว่า "คลองถนนตรง" แล้วแต่งคลองพระโขนงแต่ที่ต่อคลองนี้ไปจนออกแม่น้ำด้วย
๓๔
ถนนในจังหวัดพระนคร
๑ ถนนเจริญกรุง ตอนใต้
เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๐๔ โปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยงศ์ ที่สมุหพระกลาโหมเปนแม่กอง พระอินทราธิบดีสีหราชรองเมืองเปนนายงานตัดถนนตั้งแต่คลองคูพระนครชั้นใน ที่ริมวังเจ้าเขมร ตรงลงไปต่อกับถนนตรงไปพระโขนง ที่คลองผดุงกรุงเกษมตรงหัวลำโพงสาย ๑ ตัดถนนแยกจากถนนตัดใหม่ที่ว่ามาแล้วที่เหนือวัดสามจีน ทำถนนลงไปข้ามคลองผดุง ฯ ที่ใต้วัดตะเคียน แล้วตรงลงไปทางหลังบ้านฝรั่งจนตก ฝั่งแม่น้ำที่ตำบลดาวคนองสาย ๑ แล้วให้ขุดคลองขวางแต่บางรักไปถึงถนนตรงตรงศาลา (แดง) ที่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์สร้างไว้ ทิ้งดินทางฝั่งใต้ทำเปนถนน (ที่เรียกกันทุกวันนี้ว่าถนนสีลม)อีกสาย ๑ ถนนทั้ง ๓ สายนี้ตัดกว้าง ๕ วา ๒ ศอก ถนดินสูงกว่าพื้นเดิม ๒ ศอกคืบ เปนระยะทางยาวรวมกันทั้ง ๓ สาย ๒๘๑ เส้น ๕ วา ค่าจ้างทำถนนเปนเงิน ๑๘,๐๓๘ บาท ค่าจ้างขุดคลอง (ถนนสีลม)เปนเงิน ๘,๑๙๔ บาท แล้วให้รื้อกำแพงทำประตูพระนครแลสร้างสพานเหล็กข้ามคลองคูพระนครที่ตรงถนนเข้ามาต่อกับถนนในพระนคร.
การสร้างถนน ๓ สายที่กล่าวมานี้ จะต้องทำสพานข้ามคลอง ที่ถนนผ่านไปหลายสพานด้วย กันจึงโปรดให้บอกบุญ มีผู้ศรัทธารับสร้างสพานหลายแห่ง คือ
พระที่นั่งภูวดลทัศไนย (หอนาฬิกา)
๓๕
สพานถนนสำเพ็ง
๑ สพานหันเดิมเปลี่ยนเปนสพานเหล็ก ของหลวงทรงสร้างจำนวนเงินหาปรากฏไม่
๒ สพานข้ามคลองวัดจักรวรรดิ์ กรมหมื่นวิศณุนารถนิภาธรทรงสร้าง เปนสพานไม้ สิ้นเงิน ๘๐๐ บาท
๓ สพานข้ามคลองศาลเจ้าเก่า หลวงศรีทรงยศสร้าง สิ้น เงิน ๑,๖๐๐ บาท
สพานถนนเจริญกรุง
๑ สพานเหล็ก (ดำรงสถิตย์) เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สร้าง สิ้นเงิน ๑๒,๘๐๐ บาท
๒ สพานข้ามคลองวัดใหม่ (กันมาตุยาราม) นางกลีบผู้สร้างวัดรับสร้าง สิ้นเงิน
๑,๒๘๐ บาท
๓ สพานข้ามคลองวัดสามจีน หลวงจิตรจำนงวานิชสร้าง สิ้นเงิน ๑,๒๐๐ บาท
๔ สพานเหล็ก (พิทยเสถียร) ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมที่ใต้ วัดตะเคียน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สร้าง สิ้นเงิน ๑๐,๔๐๐ บาท
๕ สพานตรงหลังบ้านกงซุลอังกฤษ พระภาษีสมบัติบริบูรณ์ (ยิ้ม) สร้าง สิ้นเงิน
๑,๔๔๐ บาท
๖ สพานข้ามคลองบางรัก หลวงพิศาลศุภผลสร้าง สิ้น เงิน ๑,๒๘๐ บาท
๓๖
๗ สพานเหนือวัดยานนาวา พระยาโชฎึก (จ๋อง) สร้าง สิ้น เงิน ๑,๖๐๐ บาท
๘ สพานใต้วัดยานนาวา หลวงนาวาเกณิกรสร้าง สิ้น เงิน ๑,๔๔๐ บาท
๙ สพานข้ามคลองวัดลาว (สุทธิวราราม) หลวงไมตรีวานิชสร้าง สิ้นเงิน ๑,๓๖๐ บาท
๑๐ สพานเข้าคลองบางขวาง หลวงภาษีวิเศษสร้าง สิ้น เงิน ๑,๖๐๐ บาท
สพานถนนขวาง (สีลม)
๑ สพานข้ามปลายคลองบางขวางต่อถนนขวางที่ขุดใหเจ้าพระ ยาพลเทพ (หลง) สร้างสิ้นเงิน ๙๖๐ บาท
สพานคลองถนนตรง
๑ สพานข้ามคลองถนนตรงที่ศาลาแดง เจ้าพระยาทิพากรวงศ์สร้าง สิ้นเงิน ๘๐๐ บาท
๒ สพานข้ามคลองไปปทุมวัน๑ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์สร้าง สิ้น เงิน ๑,๐๔๐ บาท
๒ ถนนเจริญกรุง ตอนใน
ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ โปรดให้เจ้าพระยายมราชครุฑ เปนแม่กองพระพรหมบริรักษ์เปนนายงาน ขยายทางเดิมบ้าง ตัดใหม่บ้าง ทำเปน
๑ คลองขุดแต่คลองถนนตรงไปปทุมวัน น่าจะขุดในครั้งนั้นเหมือนกันจึงทำ สพานที่กล่าวนี้ แต่หาปรากฏในจดหมายเหตุไม่
๓๗
ถนนหลวงกว้าง ๔ วา แต่ถนนน่าวัดพระเชตุพนไปออกประตู(สามยอด) สพานเหล็กที่ทำใหม่ ต่อกับถนนใหม่ข้างตอนใต้ เปนระยะทาง ๒๕ เส้น ๑๐ วา ๓ ศอก สิ้นค่าจ้างถมดินก่อคันถนนแลทำท่อน้ำ ๒ ข้าง รวมเปนเงิน ๑๙,๗๐๐ บาท แล ๒ ฟากถนนตอนที่ทำใหม่นี้โปรดให้สร้างตึกแถวพระราชทานพระราชโอรสธิดา
๓ ถนนบำรุงเมือง
ถึงปีกุญพ.ศ. ๒๔๐๖ โปรดให้พระพรหมบริรักษ์เปนนายงานขยาย ทางไปเสาชิงช้าเดิมทำเปนถนนกว้าง ๓ วา ตั้งแต่สนามไชยไปจนประตูสำราญราษฎร์ (ออกวัดสระเกษ) เปนระยะทาง ๒๙ เส้น ๑๔ วา ๓ ศอก ค่าจ้างพูนดินถมถนนแลก่ออิฐเปนคัน๒ข้างถนนทั้งทำท่อไขน้ำทั้ง ๒ ข้าง รวมเบ็ดเสร็จเปนเงิน ๑๕,๐๙๒ บาท
๔ ถนนเฟื่องนคร
ในคราวเดียวกับเมื่อทำถนนบำรุงเมืองนั้น โปรดให้พระพรหมบริรักษ์ขยายทางเปนถนนกว้าง ๑๐ ศอกอีกสาย ๑ ตั้งแต่กำแพงพระนครทิศใต้ ที่มุมวังกรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ เปนถนนขวางผ่าน บ้านหม้อ (แลถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง) ไปจนวัดบวรนิเวศ ถึงกำแพงพระนครด้านเหนือที่ริมวัดบวรนิเวศ เปนระยะทาง ๕๐ เส้น สิ้นเงินค่าถมที่ค่าทำคันถนนแลท่อน้ำเบ็ดเสร็จเปนเงิน ๒๐,๐๔ บาท แล้วโปรดให้สร้างตึกแถวทรงพระราชอุทิศเปนสมบัติของวัดบวรนิเวศแถว ๑ ของวัดราชประดิษฐฯแถว ๑.
๓๘
การสร้างถนนทั้งปวงที่กล่าวมา สำเร็จในปีชวด พ.ศ. ๒๔๐๗ จึงโปรดให้มีการฉลองถนน ๓ วัน ตั้งแต่เดือน ๖ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เปนต้นไป มีงานมโหรศพแลดอกไม้ไฟตั้งรทาสูง ๑๒ วาที่น่าพระที่นั่งไชยชุมพล แลเสด็จประพาศถนนที่สร้างใหม่นั้นทุกสาย พระราชทานนามถนน ที่ตัดใหม่ทั้งตอนในแลตอนนอกพระนครว่า " ถนนเจริญกรุง " พระ ราชทานนามถนนที่ตัดไปทางตลาดเสาชิงช้าว่า " ถนนบำรุงเมือง " แลพระราชทานนามถนนที่ตัดขวางในพระนครว่า" ถนนเฟื่องนคร "
(เหตุที่จะสร้างถนนเจริญกรุงตอนใต้ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์กล่าวว่า เดิมกงซุลต่างประเทศเข้าชื่อกันทำเรื่องราวถวายว่า " ชาวยุโรป เคยขี่รถขี่ม้าเที่ยวตากอากาศได้ความสบายไม่มีไข้เจ็บ เข้ามาอยู่ที่กรุง เทพพระมหานคร ไม่มีถนนหนทางที่จะขี่รถขี่ม้าพากันเจ็บไข้เนื่อง ๆ ได้ทรงทราบหนังสือแล้ว ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า พวกยุโรปเข้ามาอยู่ ในกรุงมากขึ้นทุกปี ๆ ด้วยประเทศบ้านเมืองเขามีถนนหนทางก็เรียบ รื่นสอาดไปทุกบ้านทุกเมือง บ้านเมืองของเรามีแต่รกเรี้ยว หนทาง ก็เปนตรอกเล็กซอกน้อย หนทางใหญ่ก็เปรอะเปื้อนไม่เปนที่เจริญตา ขายหน้าแก่ชาวนานาประเทศ เขาว่าเข้ามาเปนการเตือนสติ เพื่อจะ ให้บ้านเมืองงดงามขึ้น " ดังนี้ จึงโปรดให้สร้างถนนขึ้นดังกล่าวมา การที่สร้างถนนครั้งนั้นเข้าใจว่า คงกะแผนที่ถนนพร้อมกันหมดทุกสายเปนแต่ลงมือสร้างก่อนแลทีหลังกันโดยลำดับ ที่สร้างถนนเจริญกรุง ตอนใต้ก่อนตอนในเมือง ก็เพราะจะให้ฝรั่งได้มีที่ขี่ม้าเที่ยวแล่นไสม
๓๙
ปราถนาที่ได้กราบทูลร้องทุกข์ มีคำเล่ากันมาว่าเมืองแผนผังจะตัด ถนนเจริญกรุงนั้น เดิมขีดเส้นแต่สามแยกตรงเข้ามาในพระนคร พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทักท้วงว่าผิดทางยุทธสาตรเพราะถนนตรงเช่นนั้น ถ้ามีข้าศึกเอาปืนใหญ่ตั้งที่ในถนนก็อาจจะยิงทำลายประตูเมืองได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้แก้ถนนให้เลี้ยวตรงเชิงสพาน เหล็ก (ดำรงสถิตย์) แล้วทำป้อมขึ้นที่กำแพงเมืองให้ตรงสูนย์ถนน ลงไปสามแยกป้อม ๑ ซึ่งพึ่งรื้อเมื่อในรัชกาลที่ ๕)
สพานเหล็กที่ข้ามคูพระนครแลคลองผดุงกรุงเกษม (คือสพานหัน สพานดำรงสถิตย์ สพานพิทยเสถียร) แต่แรกเสาแลคานเปนเครื่องไม้เปนเหล็กแต่โครง พื้นสพานมีล้อข้างล่าง ที่คานไม้มีรางเหล็ก ถ้า จะเปิดสพานขันจักรเดินสพานแยกออกกันไปได้ เปลี่ยนสพานใหม่ เมื่อในรัชกาลที่ ๕
ประตูเมืองนั้นเมื่อแรกสร้างพระนครทำเปนประตูไม้ ในรัชกาลที่ ๓ เปลี่ยนเปนเครื่องก่ออิฐ หลังประตูทำเปนหอรบ (เหมือนประตูเมืองใหม่ที่ตำบลเนินวงเมืองจันทบุรี) ถึงรัชกาลที่ ๕ ซ่อมกำแพงแลประตูพระนครเมื่อปีระกา พ.ศ.๒๔๑๖ โปรดให้เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงเปนแม่กองแก้เปนประตูยอด (อย่างประตูลงท่าขุนนางยังเหลือประตู ๑) ต่อ
๔๐
มาเมื่อใช้รถกันมากขึ้น ตรงประตู (ซึ่งเรียกกันว่าประตูใหม่) ถนนเจริญกรุงรถมักโดยกันด้วยประตูแคบนัก จึงโปรดให้กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์เวลานั้นทรงบัญชาการกรมเมือง เปนแม่กองสร้างประตูใหม่เปนประตู ๓ ช่อง คงทำเปนประตูยอดตามแบบเก่า จึงเรียกกันว่าประตูสามยอด รื้อเสียเมื่อขยายถนนทำตึกแถวถนนเจริญกรุงใหม่.
ตึกแลถนนเจริญกรุงที่สร้างเมื่อในรัชกาลที่ ๔ นั้นเปนตึกชั้นเดียวว่าถ่ายแบบมาแต่เมืองสิงคโปร์ ตึกรูปนั้นยังเหลืออยู่ที่บ้านตนาว ซึ่งทรงพระราชอุทิศเปนของวัดบวรนิเวศแลวัดราชประดิษฐฯ เปนแต่ตึกแถวถนนเจริญกรุงเขื่องกว่า
ขุดคลองทางไปมากับหัวเมือง
๑ คลองมหาสวัสดิ์
เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๑๓ โปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เปน
แม่กอง พระศิริสมบัติเปนนายงาน ขุดคลองทางเรือสาย ๑ แต่แม่น้ำ
อ้อมที่ริมวัดไชยพฤกษมาลา ไปทลุแม่น้ำเมืองนครไชยศรีที่เหนือศาล
เจ้าสุบิน คลองขุดใหม่ ๖๗๖ เส้น ขุดแก้คลองเก่า ๘ เส้น รวมระยะทาง ๖๘๔ เส้น คลองกว้าง ๗ วา ลึก ๖ ศอก สิ้นค่าจ้างเปนเงิน ๘๘,๑๒๐ บาท สำเร็จเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ พระราชทานนามว่า " คลองมหาสวัสดิ์ "
(เมื่อขุดคลองแล้วสร้างศาลาอาไศรยที่ริมคลอง ๑๐๐ เส้นหลัง ๑ เปนระยะไป ที่ศาลหลังกลางย่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ให้เขียนตำรายารักษาโรคต่าง ๆ ใส่แผ่นกระดานติดไว้เปนการกุศล คนจึงได้เรียก
เสานางเรียง ที่ด้านถนนบำรุงเมือง
๔๑
ศาลาหลังนั้นว่า "ศาลายา" เลยเปนชื่อสถานีรถไฟอยู่บัดนี้ ศาลาอิกหลัง๑เจ้าพระยาทิพากรวงศ์สร้างในการกุศลปลงศพคนของท่านคน ๑ จึงเรียกว่า "ศาลาทำศพ" เลยเปนชื่อสถานีรถไฟเหมือนกัน.
อนึ่งที่ ๒ ฟากคลองมหาสวัสดิ์ เดิมเปนป่าพงที่ว่าง เมื่อขุดคลองแล้วพระราชทานให้เปนที่นาของพระราชโอรสธิดา จึงเปนที่ของเจ้านายโดยมากจนบัดนี้
๒ คลองเจดีย์บูชา
เมื่อปีฉลูพ.ศ.๒๓๙๖โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์เปนแม่กองทำการปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ ได้กะทางจะขุดคลองทางเรือแต่แม่น้ำเมืองนครไชยศรีเข้าไปจนถึงบริเวณพระปฐมเจดีย์ แต่การยังค้างอยู่จนสมเด็จเจ้าพระยาฯ ถึงพิราลัย จึงโปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เปนแม่กองปฎิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ต่อมา จะได้ลงมือขุดคลองเมื่อไรไม่แน่ ขุดแต่ตำบลท่านาไปถึงพระราชวังซึ่งสร้างใหม่ แล้วเลี้ยวแยกไปถึงเขตรวัดพระงามเปนที่สุด รวมระยะทาง ๔๔๘ เส้น คลองกว้างแต่ ๕ วาจน ๘ วาลึกประมาณ ๖ ศอกเปนกำหนด สิ้นค่าจ้างขุดรวมเปนเงิน ๖๔,๓๖๓ บาท พระราชทานนามว่า "คลองเจดีย์บูชา"
๓ คลองดำเนินสดวก
เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๐๙ โปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหมเปนแม่กองขุดคลองกว้าง ๖ วาลึก ๖ ศอกแต่แม่น้ำเมือง
๔๒
นครไชยศรีที่ตำบลบางยางไปออกแม่น้ำเมืองราชบุรีที่ตำบลบางนกแขวกเปนระยะทาง๘๔๐ เส้นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ได้จับที่ว่างทำนาในคลองนั้นจึง) ออกค่าขุดคลอง ๘๐,๐๐๐บาท เงินหลวงคงออก ๓๒,๐๐๐ บาท รวมเปนค่าขุดคลองสิ้น๑๑๒,๐๐๐บาทการขุดคลองนี้สำเร็จได้เปิดคลองเมื่อวันจันทร์เดือน ๗ ขึ้น ๔ ค่ำปีมโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ พระราชทานนามว่า คลองดำเนินสดวก
๔ คลองภาษีเจริญ
เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ โปรดฯให้พระภาษีบริบูรณ์(ยิ้ม) เจ้าภาษีฝิ่นเปนแม่กองขุดคลองกว้าง ๗ วา ลึก ๕ ศอก แต่คลองบางกอกใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่ริมวัดปากน้ำออกไปแม่น้ำเมืองนครไชยศรีที่ตำบลดอนไก่ดี เปนระยะทาง ๖๒๐ เส้น หักภาษีฝิ่นพระราชทานเปนค่าจ้างขุดคลอง ๑๑๒,๐๐๐ บาท พระราชทานนามว่า "คลองภาษีเจริญ" แต่มาขุดแล้วต่อในรัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดคลองเมื่อเดือน ๖ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๑๕.
๔๓
ภาคที่ ๒
สถานที่ต่าง ๆ ที่ทรงสร้างตามหัวเมือง
พลับพลาที่ประทับณเมืองสมุทปราการ
โปรดให้พนักงานการก่อสร้างที่พระสมุทเจดีย์นั้น สร้างพลับพลาเปนที่ประทับที่ริมน้ำข้างเหนือเมืองสมุทปราการแห่ง ๑ มีที่ประทับและเรือนโรงหลายหลัง พระราชทานชื่อต่าง ๆ กัน คือ
พระที่นั่งสมุทธาภิมุข เปนท้องพระโรงที่เสด็จออก
พระที่นั่งศุขไสยาศน์ ๒ ชั้น เปนที่พระบรรธม
ตำหนักนาฎนารีรมย์ เปนที่พระประเทียบอยู่
เรือนสนมนิกร เปนเรือนแถวสำหรับพนักงาน
โรงสันถาคารสภา เปนโรงประชุมแลเปนที่เล่นลครโรง ๑
โรงศึกษาสงคราม เปนโรงทหารรักษาพระองค์
ประภาคารปากน้ำ
โปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ทสมุหพระกลาโหม สังประภาคารเหล็กมาจากยุโรปสำหรับจะปลูกที่สันดอนปากน้ำ จุดโคมไฟหมายทางให้เรือเข้าออกแห่ง ๑ แต่การสร้างประภาคารมาสำเร็จต่อในรัชกาลที่ ๕.
๔๔
กรุงศรีอยุธยา
วังจันทรเกษม
วังจันทรเกษมเดิมเปนวังพระมหาอุปราช แต่สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้เคยเสด็จอยู่เมื่อแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราชคราว ๑ เมื่อแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ์คราว ๑ ตั้งแต่เสียกรุงเก่าแล้วก็หักพังรกร้างอยู่จนรัชกาลที่ ๔ มีพระราชประสงค์จะทรงสร้างให้กลับคืนดีขึ้นดังเก่า ไว้เปนที่ประทับในเวลาเสด็จขึ้นไปประพาศกรุงศรีอยุธยา จึงโปรด ฯ ให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเปนแม่กอง กรมขุนราชสีหวิกรมเปนนายช่าง สร้างวังจันทรเกษม แลแผนผังที่กะการก่อสร้างนั้น จะสร้างพระที่นั่งพิมานรัถยาของเดิมขึ้นเปนที่ประทับ จึงกะเอาพระที่นั่งพิมานรัถยาเปนสูนย์กลาง วางแนวกำแพงเขตรวังซึ่งจะสร้างใหม่แต่พอสมควรแก่ที่ประทับชั่วคราว ร่นแคบเข้ามากว่าแนวกำแพงวังจันทร์ครั้งกรุงเก่ามาก
ในเวลาที่ก่อสร้างวังจันทรเกษมนั้น เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปกรุงเก่าบ่อย ๆ เพราะเริ่มมีเรือไฟใช้ราชการเสด็จได้สดวกกว่าแต่ก่อนจึงโปรดฯ ให้สร้างพลับพลาขึ้นในวังจันทรเกษมทางริมกำแพงวังด้าน ตวันออก เปนที่ประทับไปกว่าพระที่นั่งพิมานรัถยาจะสร้างแล้วเสร็จ ครั้นลงมือก่อสร้างมา พอก่อกำแพงวัง (แลทำเขื่อนอิฐที่ริมน้ำ) แล้วกรมหลวงวงศา ฯ ประชวรเปนอัมพาต จึงโปรดฯ ให้พระยาราชวรานุกูล รอด ๑ เปนแม่กองต่อมา
๑ คือเจ้าพระยารัตนบดิทร์ ในรัชกาลที่ ๕
๔๕
สถานที่ต่าง ๆ ซึ่งสร้างที่วังจันทรเกษม ตอนพลับพลาที่ประทับถมที่ขึ้นเปนฐานมีไพรทีรอบ บนนั้นปลูกพลับพลาจัตุรมุขที่เสด็จประทับองค์ ๑ มีตำหนักข้างในหลายหมู่อยู่ข้างหลัง ข้างน่ามีหอพระหลัง ๑ พลับพลาโถงสำหรับทอดพระเนตรลครหลัง ๑ ตรงน่าพลับพลาลงมามีโรงลครแลใช้เปนที่พักข้าราชการด้วยหลัง ๑ ต่อไปตามริมกำแพงวังมีห้องเครื่องมหาดเล็ก ทิมดาบตำรวจ แลโรงม้าต้นตลอดจนด้านเหนือ
ทางหมู่พระที่นั่งพิมานรัถยา สร้างเปนตึกถาวร มีพระที่นั่งที่ประทับองค์ ๑ ปรัศซ้ายขวา ๒ หลัง สร้างตามแนวผนังเดิม นอกจากนี้ข้างในมีตำหนักแลเรือนจันทน์เรือนแถวอิกหลายหลัง ข้างน่าก็มีเขื่อนเพ็ชรเปนบริเวณชั้นในอิกชั้น ๑ แลมีพลับพลาโถงที่ประทับทอดพระเนตรกิฬาในสนามหลัง ๑
ต่อไปตามมุมวังด้านตวันตกเฉียงใต้ เดิมมีหอสูง กล่าวกันว่าสร้างครั้งสมเด็จพระนารายน์ มหาราช ยังเหลือแต่แนวผนัง โปรดให้ก่อเสริมผนังขึ้นไปตามแผนผังของเดิมจนถึงชั้นยอดแล้วพระราชทาน นามว่าพระที่นั่งพิไสยศัลลักษณ์ ทางนอกวังด้านตวันตก สร้างโรงช้างต้น ๒ โรง ทางนอกวังด้านตวันออกมีท่าเรือพระที่นั่งท่า ๑ ท่าเรือพระประเทียบมีฉนวนแต่ท่าจนถึงประตูวังท่า ๑ มีพลับพลาโถงที่ท่าเสด็จขึ้นหลัง ๑ ศาลาพวกล้อมวังรักษาประตูวัง ประตูละ ๒ หลังทั้ง ๕ ประตู แลสร้างตึกเปนห้องเครื่องอยู่ข้างฉนวนหลัง ๑ สร้างตึก ๒ ชั้นสำหรับเปนที่พักเจ้านายแลข้าราชการที่ตามเสด็จที่ริมน้ำข้างเหนือน่าวัง
๔๖
หลัง ๑ ข้างใต้หลัง ๑ แล้วโปรดให้ขุดคลองต่อจากคลองมะขามเรียงข้างใต้กรุง ฯ แยกมาออกที่ใกล้หัวรอสาย ๑
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จขึ้นไปประทับที่วังจันทรเกษมหลายคราว แต่การสร้างพระที่นั่งพิมานรัถยายังไม่สำเร็จจนตลอดรัชกาล
พระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ปราสาท
โปรด ฯ ให้กรมขุนราชสีหวิกรมเปนนายช่าง สร้างปราสาทขนาดน้อยองค์ ๑ กับพระปรัศซ้ายขวา ๒ องค์ ขึ้นบนฐานพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ปราสาท ซึ่งยังเหลืออยู่ในพระราชวังหลวงในกรุงศรีอยุธยาเปนที่ทรงบวงสรวงสมเด็จพระอดีตมหาราช ที่ได้เสวยราชย์ณกรุงศรีอยุธยามาแต่ก่อน แต่การที่สร้างค้างมาตลอดรัชกาล
ตึกดิน ตรงที่สร้างพระราชวังสราญรมย์
ถ่ายจากพระที่นั่งภูดลทัศไนย.
๔๗
กระแสพระราชดำริห์ที่ทรงสร้างปราสาทที่ปรากฏอยู่ในประกาศ เมื่อทรงสังเวยที่กรุงเก่าดังนี้
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ เสด็จพระราชดำเนินขึ้นมาโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคพร้อมด้วยราชบริพาร คือพระราชวงศานุวงค์แลข้าทูลลอองธุลีพระบาท ทั้งฝ่ายน่าฝ่ายใน เสด็จประทับแรมราตรีณที่พระพลากรที่ประทับ จึ่งได้ ทรงพระราชดำริห์ให้สถาปนาสร้างปราสาทขึ้นใหม่ในที่สรรเพ็ชญ์ปราสาทซึ่งเปนพระที่นั่งของพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงพระมหานครศรีอยุธยา ครอบครองมาจนแตกทำลายนั้น จะให้คืนคงเปนพระที่นั่งขึ้นแล้ว จะได้เปนที่จารึกพระนามพระเจ้าแผ่นดินทั้งปวง ซึ่งได้ครอบครองกรพระมหานครศรีอยุธยามาแต่ก่อนไว้เปนการสนองพระเดชพระคุณให้เปนพระเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดินทุกๆพระองค์ แลจะได้ทรงสร้างวังจันทรเกษมขึ้นไว้เปนที่เสด็จประทับแรม แลจะให้ปรากฎอยู่สิ้นกาลนาน แลจะได้ทรงปฏิสัง ขรณ์พระอารามในจังหวัดกรุงพระมหานครศรีอยุธยาโบราณราชธานีแล้ว จะได้ทรงบำเพ็ญทานอุทิศส่วนพระราชกุศล แลให้จัดเครื่องกระยาพลีกรรมบวงสรวงสังเวยถวายพระเจ้าแผ่นดินทั้งปวง ซึ่งได้ครอบครองศิริราชสมบัติในสยามประเทศแต่กาลก่อนทุกพระองค์ ดังนี้
ในรัชกาลที่ ๕ โปรดให้พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) เมื่อยังเปนข้าหลวงเทศาภิบาล แผ้วถางพระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยา จัดการรักษาเปนโบราณวัตถุทั้งวัง ได้เสด็จประพาศเนือง ๆ
๔๘
แลได้ทำการพระราชพิธีรัชมงคลที่ในพระราชวังครั้ง ๑ ปราสาทกับพระ ปรัศที่สร้างค้างอยู่แต่รัชกาลที่ ๔ จะรักษาไว้ให้ถาวรไม่ได้ จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้รื้อเสีย
พเนียด
ที่พเนียดคล้องช้างเดิมไม่มีพลับพลา โปรดให้สร้างพลับพลาที่ประทับทอดพระเนตรคล้องช้างในวงพาดหลัง๑พลับพลาประทับทอดพระเนตรคล้องช้างกลางแปลงหลัง ๑ พลับพลาฝ่ายในดูคล้องช้างกลางแปลงหลัง ๑
พระราชวังบางปะอิน
เมื่อทรงปฏิสังขรณ์วัดชุมพลนิกายารามที่บางปะอินโปรดให้เจ้าพระยาพลเทพ (หลง) เปนแม่กองสร้างตำหนักขึ้น ๓ หลัง ในบริเวณพระราชวังของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองที่เกาะบางปะอินใน แลปลูกพลับพลาโถงที่ไร่แตงเกาะบางปะอินนอกอิกหลัง ๑ เปนที่เสด็จประพาศ จากกรุงเก่า
๔๙
(มีคำเล่ากันมาว่า เหตุที่จะสร้างพระตำหนักที่บางปะอินเมื่อในรัชกาลที่ ๔นั้น เดิมเสด็จผ่านไปทอดพระเนตรเห็นหมู่มะม่วง (อยู่ที่สนามหญ้าน่าพระที่นั่งวโรภาศทุกวันนี้) ขึ้นงามมาก เปนที่ต้องพระราช หฤไทยจึงเสด็จแวะขึ้นประพาศที่พระราชวังเก่า แล้วมีรับสั่งให้สร้างพระตำหนักขึ้นณที่นั้น สิ่งซึ่งสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงสร้างไว้ยังเหลืออยู่ในเวลานั้น คือ สระกว้างเส้น ๑ ยาว ๑๐ เส้น (คือตอนสระตรงที่อยู่จนทุกวันนี้) อย่าง ๑พระที่นั่งไอสวรรย์ทิพอาศน์เปนปราสาทเครื่องไม้สร้างไว้ที่ปากสระอย่าง ๑ กล่าวกันว่าโครงปราสาท และเครื่องบนยังมีอยู่ มาหักพังไปต่อทีหลัง ยังมีโคนเสาและคานปรากฏที่พื้นสระข้างใต้พระที่นั่งวโรภาศพิมานจนทุกวันนี้ ถึงรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างเปนพระราชวังที่ประพาศต่อมา ชั้นแรกโปรดให้สร้างพระที่นั่งที่ประทับตรงตำหนักหลังกลางซึ่งสร้างไว้ในรัชกาลที่ ๔ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งไอสวรรย์ทิพอาศน์ ตามนามปราสาทครั้งกรุงเก่า สร้างตำหนักข้างในตรงที่ตำหนักหลังเหนือเปนที่พักพระประเทียบ พระราชทานนาม ว่าตำหนัก วรนาฎเกษมสานต์สร้างตำหนักหลังใต้เปนตำหนักเจ้านายข้างน่า พระราชทานนามว่า ตำหนักสภาคารราชประยูร ต่อมาจึงได้ทรงสร้างสถานที่ต่างๆ เพิ่มเติม เปลี่ยนระเบียบนามตามอย่างที่ปรากฏในบัดนี้
๕๐
พระนารายน์ราชนิเวศน์เมืองลพบุรี
โปรดให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่สมุหพระกลาโหม เปนแม่กองพระนรินทรราชเสนีเปนกงสี พระยาพิไชยสงคราม พระยาวิชิตณรงค์เปนแม่กองทำการสร้างที่ประทับที่ในพระราชวังเมืองลพบุรี ซึ่งสมเด็จพระนารายน์มหาราชได้ทรงสร้างไว้ แลทิ้งเปนที่รกร้างมาแต่ครั้งกรุงเก่านั้น ปฏิสังขรณ์ของเดิมที่ยังจะพอซ่อมแซมได้ คือพระที่นั่งจันทร พิศาลองค์ ๑ กับกำแพงแลประตูพระราชวังโดยรอบ แล้วสร้างพระที่นั่งเปนที่ประทับขึ้นหมู่ ๑ ในระหว่างพระที่นั่งจันทรพิศาลกับพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญมหาปราสาทของเดิม เปนพระที่นั่ง ๓ ชั้น ที่พระบรรธมองค์ ๑ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งพิมานมงกุฎ ท้องพระโรง ๒ ชั้น ต่อมาทางทิศตวันออก นามพระที่นั่งวิสุธิวินิจฉัย พระที่นั่งน้อยอยู่ข้างน่าท้องพระโรงอิก ๒ องค์เปนคู่กัน องค์ข้างใต้นามพระที่นั่งไชยสาตรากร องค์ข้างด้านเหนือนามพระที่นั่งอักษรสาตราคม แลสร้างตึกตำหนักข้างในหลายหลัง ที่ข้างน่าก็สร้างศาลาแลเพิงพลสำหรับข้าราชการที่ตามเสด็จพักอาไศรยอิกหลายหลัง พระราชทานนามพระราชวังให้เรียกรวมกันทั้งหมดว่า พระนารายน์ราชนิเวศน์
(เหตุที่จะทรงสร้างที่ประทับที่พระนารายน์ราชนิเวศน์นั้นปรากฎมาว่า เกิดแต่ปรารภขึ้นในรัฐบาลว่า ถ้าหากจะเกิดเหตุการณ์เปนอริขึ้นกับฝรั่ง กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในทางที่เรือรบอาจขึ้นมาถึงได้ การต่อสู้ศัตรูจะลำบาก ควรจะมีราชธานีเปนที่มั่นให้ห่างทางเรือรบของข้าศึก
๕๑
อีกสักแห่ง ๑ เมื่อปฤกษาเลือกหาที่ซึ่งจะเหมาะสำหรับเปนราชธานีใหม่มีความเห็นกันว่า ควรจะเอาเมืองนครราชสิมาเปนราชธานีที่ ๒ จึงโปรดให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรเมืองนครราชสิมากับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เมื่อปีมะโรงพ.ศ.๒๓๙๙ เห็นพร้อมกันว่าอัตคัดทั้งทางที่จะไปมากับกรุงเทพฯ ก็ลำบาก ไม่เหมาะที่จะเปนราชธานี พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง รฦกถึงกระแสพระราชดำริห์ของสมเด็จพระนารายน์มหาราชซึ่งทรงสร้างเมืองลพบุรี เปนที่ประทับเมื่อครั้งกรุงเก่า จึงโปรดให้สร้างที่ประทับที่เมืองลพบุรี แต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นโปรดที่เขาคอกแขวงเมืองสระบุรีว่าเปนที่คับขัน จึงไปทรงสร้างป้อมที่เขาคอกแต่ตั้งที่ประทับอยู่เพียงที่บ้านสีทา)
การสร้างที่ประทับที่พระนารายน์ราชนิเวศน์ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรู้สึกระแวงบาปอยู่ ด้วยความ ปรากฎในหนังสือพระราชพงษาวดารว่า เมื่อสมเด็จพระนารายน์ประชวรหนักใกล้จะสวรรคตที่เมืองลพบุรีนั้น พระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์ให้จับพระปิยะซึ่งผู้อยู่ปรนนิบัติพระองค์ประหารชีวิตเสีย สมเด็จพระนารายน์มหาราชทรงโทมนัสน้อยพระหฤไทย แลเกรงว่าพระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์จะทำอันตรายพวกข้าราชการที่อยู่ประจำพระองค์เสียอิก จึงมีรับสั่งให้พากันไปอุปสมบทเสียให้พ้นภัย พวกข้าราชการพากันกราบทูลว่าพระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์ให้จุกช่องล้อมวง รักษาพระราช
๕๒
วังไว้จะออกไปไม่ได้ จึงมีรับสั่งให้นิมนต์พระสงฆ์คณะปรกเข้าไปแล้วมีรับสั่งขอให้พระสงฆ์อุปสมบทข้าราชการที่ในพระราชวัง พระสงฆ์ถวายพระพรว่า พระราชวังมิใช่เปนที่สิมาสงฆ์ จะทำสังฆกรรมขัดข้องอยู่ สมเด็จพระนารายน์จึงออกพระโอษฐ์ถวายบริเวณพระราชวังเปนที่วิสุงคามสิมา ให้พระสงฆ์ให้อุปสมบทข้าราชการในครั้งนั้น มีความ ปรากฏมาดังนี้ จึงทรงพระราชดำริห์ทำผาติกรรม โปรดให้ซื้อนาเปนเนื้อที่ ๔๐ ไร่ ๒ งาน ถวายเปนที่ธรณีสงฆ์เท่า เนื้อที่บริเวณพระนารายน์ ราชนิเวศน์ แล้วทรงบุรณปฏิสังขรณ์วัดชุมพลนิกายารามที่บางปอิน
วัดเสนาสนารามที่กรุงเก่า แลวัดกวิศรารามที่เมืองลพบุรีรวม ๓ พระอารามใช้แทนค่าสิ่งซึ่งยังเหลืออยู่ ทรงไถ่พระนารายน์ราชนิเวศน์ให้พ้นจากที่วิสุงคามแต่นั้นมา สิ่งซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวทรงสร้างที่พระนารายน์ราชนิเวศน์ยังอยู่หมดทุกสิ่ง พระที่นั่งจันทรพิศาลซึ่งปฏิสังขรณ์ค้างอยู่เมื่อรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ ก็โปรดให้ทำต่อมาจนสำเร็จ
พระตำหนักที่พระพุทธบาท
เมื่อปีมะเสง พ.ศ.๒๔๐๐ ทรงปฏิสังขรณ์พระมณฑปพระพุทธบาทจึงโปรดให้สร้างพระตำหนักในบริเวณพระราชวังเก่าที่ท้ายพิกุลซึ่งเปนที่ร้าง ว่างอยู่ ให้มีที่ประทับแลเรือนข้างในข้างน่าหลายหลัง
ตึกแถวถนนเจริญกรุงและหอกลองถ่ายจากพระที่นั่งภูวดลทัศไนย
๕๓
ศาลากลางเมืองเหนือ
เมื่อในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาศหัวเมืองฝ่ายเหนือหลายคราว ได้เสด็จถึงเมืองพิศณุโลกเปนที่สุด๑ ทอดพระเนตรเห็นศาลากลางตามหัวเมืองเลวทราม ไม่สมควรจะเปนที่ทำราชการแผ่นดิน เพราะตามประเพณีแต่ก่อนมา เมื่อผู้ใดได้เปนตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองใด ต้องไปหาที่สร้างจวนอยู่เองแลปลูกศาลากลางขึ้นที่น่าจวนตามกำลังที่จะทำได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานเงินหลวงให้เจ้าพระยานิกรบดินทร์ที่สมุหนายกไปสร้างศาลากลางขึ้นตามหัวเมืองคิดเปนจำนวนเงินหลังละ ๑๐ ชั่งโปรดให้ทำแผ่นกระดานจำหลักลายพระมหามงกุฎแผ่น ๑ ลายรูปช้างอยู่ในวงจักรแผ่น ๑ (เหมือนตราเงินเหรียญบาทในรัชกาลที่ ๔ ทั้ง ๒ ด้าน) แลเปนรูปตราพระราชสีห์ แผ่น ๑ ติดไว้เปนสำคัญทุกแห่ง
ป้อมเมืองปราจิณบุรี
โปรดให้สร้างเมืองปราจิณเปนป้อมปราการอีกแห่ง ๑ เหมือนที่เมืองพระตะบองเมืองเสียมราฐ แลเมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งได้สร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ ๓
๑ แต่เมื่อยังทรงผนวชอยู่ในรัชกาลที่ ๓ ได้เคยเสด็จธุดงค์จนถึงเมืองสวรรคโลก เมืองศุโขไทย.
๕๔
ที่ประพาศที่อ่างศิลา
ทรงพระราชดำริห์ว่าที่ชายทะเลตำบลอ่างศิลาแขวงเมืองชลบุรีเปนที่อากาศดี ให้ทำเปนที่เสด็จประทับแห่ง ๑ กับที่เขาสมมุขข้างใต้ ตำบลอ่างศิลาก็โปรดให้ทำพลับพลาเปนที่ประพาศ ด้วย แต่การปลูกสร้างส่วนที่อ่างศิลาเปนแต่ได้กะที่บนเนินไว้สำหรับทำพลับพลาแลได้ถมศิลาที่ชายทะเลก่อนเปนท่าเรือจอด แต่ตำหนักของถาวรประจำที่ยังหาได้สร้างไม่ ทำแต่พลับพลาที่สมมุข ต่อมาเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่สมุหพระกลาโหมสร้างตึกอาไศรยสถาน (หลังใหญ่) ขึ้นหลัง ๑ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์สร้างตึกอาไศรยสถาน (หลังเล็ก) ขึ้นหลัง ๑ ที่ปลายแหลม สำหรับให้คนป่วยไปพักรักษาตัวเปนการกุศล
ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จไปประพาศอ่างศิลาหลายครั้ง ทำแต่พลับพลารับเสด็จชั่วคราว หาได้ทำตำหนักของถาวรไม่ พลับพลาที่สมมุขนั้นนานมาก็ผุพังไปหมด แต่ตึกอาไศรยสถาน ๒ หลังนั้นเมื่อสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ ทรงสำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์คราวเสด็จยุโรปเมื่อในรัชกาลที่ ๕ โปรด ฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ในการพระราชกุศลเฉลิมพระชัณษาพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แลตกแต่งเครื่องใช้สอยครบบริบูรณ์แล้วพระราชทานนาม หลังใหญ่ว่า ตึกมหาราช นามหลังเล็กนั้นว่า ตึกราชินี ยังเปนที่อาไศรยสถานมาจนทุกวันนี้)
๕๕
พระนครปฐมเมืองนครไชยศรี
เมื่อทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์นั้นโปรด ฯ ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์เปนแม่กอง กรมขุนราชสีหวิกรมเปนนายช่าง สร้างพระราชวังขึ้นข้างด้านตวันออกพระปฐมเจดีย์แห่ง ๑ สำหรับเปนที่ประทับเวลาเสด็จออกไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ เหมือนอย่างพระราชวังซึ่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงเก่าทรงสร้างที่พระพุทธบาทฉนั้น พระราชทานนามว่า พระนครปฐม มีพระที่นั่งเปนตึก ๒ ชั้นที่ประทับหลังใหญ่องค์ ๑ หลังเล็ก ๒ องค์มีท้องพระโรงแลพลับพลากับโรง ลครทั้งตำหนักเรือนจันทน์ฝ่ายในก่อกำแพงมีเพิงพลรอบเขตรพระราชวังข้างภายนอกพระราชวังมีโรงม้าโรงช้าง แลมีตึกที่ประทับสำหรับเจ้านายและที่ข้าราชการผู้ใหญ่อยู่ ปลูกรายตามฝั่งคลองเจดีย์บูชาอีกหลายหลัง การที่สร้างสำเร็จได้เสด็จไปประทับแต่ในรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อก่อสร้างทางรถไฟก็ได้เสด็จไปประทับหลายครั้ง
๕๖
พระนครคิรีเมืองเพ็ชรบุรี
โปรด ฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกลาโหมเปนแม่กองให้จมื่นราชามาตย์ ท้วม๑ ซึ่งได้เคยออกไปประเทศยุโรปกับราชทูตที่ไปเมืองอังกฤษ เลื่อนเปนพระเพ็ชรพิไสยศรีสวัสดิ์ ตำแหน่งปลัดเมืองเพ็ชรบุรีเปนนายงาน สร้างพระราชวังขึ้นที่บนเขามหาสมณแห่ง ๑ และเขามหาสมณนั้นมี ๓ ยอด ยอดเหนือโปรดให้สร้างพระเจดีย์วิหารยอดกลางมีพระเจดีย์อยู่แต่เดิมโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ดังจะกล่าว ในตอนที่ว่าด้วยพระเจดีย์วิหารซึ่งทรงสร้างต่อไปข้างน่า ยอดข้างใต้นั้นโปรดให้สร้างพระราชวัง การที่ก่อสร้างล้วนเปนเครื่องอิฐปูนของถาวรพระราชทานนามเรียกรวมกันว่า พระนครคิรี แลเขามหาสมณนั้นพระราชทานนามใหม่ว่า เขามหาสวรรค์ พระที่นั่งในบริเวณพระนครคิรีมีหลายหลัง พระราชทานนามต่าง ๆ กัน คือ
พระที่นั่งเพ็ชรภูมิไพโรจน์ เปนท้องพระโรง
พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ เปนที่ประทับ
พระที่นั่งเวชยันตวิเชียรปราสาท เปนปราสาทหลังน้อยยอดปรางค์สร้างขึ้นโดยทรงพระราชดำริห์ว่า พระราชวังใหญ่แต่โบราณเช่นพระนารายน์ราชนิเวศน์ที่เมืองลพบุรี ย่อมมีปราสาท จึงทรงสร้างขึ้นเปนสังเขปที่พระนครคิรี
พระที่นั่งราชธรรมสภา เปนที่ทรงธรรมแลพระราชพิธีสงฆ์
ตำหนักสันถาคารสถาน เปนที่ประทับของเจ้านายฝ่ายใน
๑ คือเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี.
๕๗
หอพิมานเพ็ชรมเหศวร์ เปนที่ทำนองศาลพระภูมิ
หอจัตุเวทประดิษฐพจน์ เปนหอพระปริต
มีซุ้มตะเกียงใหญ่ที่ริมพระที่นั่งราชธรรมสภาซุ้ม ๑ จุดตะเกียงแลเห็นได้ถึงทเล พระราชทานนามว่า หอชัชวาลเวียงไชย ๑
ประตูรอบบริเวณพระราชวังมีชื่อขนานต่าง ๆ กัน ประตูบริเวณพระราชวัง ๔ ประตูชื่อ
ประตูนารีประเวศ ๑
ประตูวิเศษราชกิจ ๑
ประตูราชฤทธิแรงปราบ ๑
ประตูอานุภาพเจริญ ๑
ประตูในบริเวณพระราชมณเฑียร ๓ ประตู ชื่อ
ประตูดำเนินทางสวรรค์ ๑
ประตูจันทร์แจ่มจำรูญ ๑
ประตูสูรย์แจ่มจำรัส ๑
ภายนอกพระราชวังมีป้อมตามไหล่เขารายรอบ ๕ ป้อม มีชื่อ
ป้อมธตรฐป้องปก ๑
ป้อมวิรุฬหกบริรักษ์ ๑
ป้อมวิรูปักษ์ป้องกัน ๑
ป้อมเวศสวรรณรักษา ๑
ป้อมวัชรินทราภิบาล ๑
๑ มีหอพราหมณ์คู่กับหอพิมานเพ็ชรมเหศวว์อิกหลัง ๑ น่าจะมีชื่อรับสัมผัสมา ต่อชัชวาลเวียงไชย แต่หาพบชื่อปรากฏไม่.
๕๘
และยังมีศาลาลูกขุนทิมดาบโรงม้าและสถานที่ต่าง ๆ อิกหลายอย่าง ถนนใหญ่ทำแต่เชิงเขาลงมาถึงท่าน้ำ พระราชทานนามว่า ถนนราชวิถี และที่เมืองเพชรบุรีนั้นโปรดให้สร้างสพานช้างก่ออิฐ ถือปูนข้ามลำน้ำสพาน ๑ สร้างตึกแถวริมถนนตลาดเมืองเพ็ชรบุรี ๒ แถว สร้างถนนแต่เชิงเขามหาสวรรค์ไปถึงเขาหลวงสาย ๑ ถนนแต่เชิง สพานช้างไปถึงเขาบันไดอิฐสาย ๑ ถนนขวางแต่ถนนราชวิถีมาถึงถนนเขาบันไดอิฐสาย ๑ สร้างประปามีเครื่องสูบน้ำขึ้นถังที่ริมลำน้ำ ฝังท่อให้ ไหลไปลงอ่างที่เชิงเขา ให้คนตักหาบขึ้นไปบนพระนครคิรี
เจ้านายแลข้าราชการที่ไปตามเสด็จสร้างตึกที่พักขึ้นที่ริมน้ำ ๔หลัง คือตึกของกรมหมื่นวิศณุนารถนิภาธรหลัง ๑ ของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์หลัง ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์หลัง ๑ ของพระยามนตรีสุริยวงศ์ชุ่ม หลัง ๑ การก่อสร้างสำเร็จแต่รัชกาลที่ ๔ ได้เสด็จไปประทับหลายคราว ในรัชกาลที่ ๕ ก็ได้เสด็จไปประทับที่พระนครคิรีหลายคราว
หลังคาพระที่นั่งอภิเนาวนิเวศน์ ถ่ายจากพระที่นั่งภูวดลทัศไนย
๕๙
เมืองที่ทรงตั้งในรัชกาลที่ ๔
เมืองจัตวาขึ้นกรุงเทพฯ ๕ เมือง
๑ ตั้งบ้านคลองบางนางรม เปนเมืองประจวบคิรีขันธ์ (เมืองนี้เมื่อรัชกาลที่ ๒ กะจะย้ายเมืองคลองวาฬขึ้นมาตั้งที่อ่าวเกาะหลัก ด้วยอยู่ในทางข้าศึกพม่าจะมาจากเมืองตะนาวศรี เรียกมาแต่ก่อนแต่ว่าเมืองใหม่ ยังหาได้เปนหลักแหล่งไม่)
๒ ตั้งบ้านเกาะกง (ใต้เมืองตราษ) เปนเมืองประจันตคิรีเขตร
๓ ตั้งบ้านพยุแด่น (ใต้เมืองนครสวรรค์) เปนเมืองพยุหคิรี
๔ ตั้งบ้านสระบัว เปนเมืองกมลาไสย (อยู่ในมณฑลร้อยเอ็จบัดนี้)
๕ ตั้งบ้านยางใหญ่ เปนเมืองมหาสารคาม
เมืองขึ้นทรงตั้งใหม่ ๑๙ เมือง
ขึ้นเมืองนครสวรรค์
ตั้งบ้านหาดส้มเสี้ยว เปนเมืองบรรพตพิไสย
ขึ้นเมืองฉเชิงเทรา
ตั้งบ้านท่าซ่าน เปนเมืองพนมสารคาม
ขึ้นเมืองอุบลราชธานี
ตั้งบ้านกวางชโด เปนเมืองพิมูลมังษาหาร
๖๐
ตั้งบ้านเวินไชย เปนเมืองมหาชนะไชย
ตั้งบ้านยักขุ เปนเมืองชาณุมานมณฑล
ตั้งบ้านสะพือ เปนเมืองตระการพืชผล
ขึ้นเมืองหนองคาย
ตั้งบ้านหนองบัวลำภู เปนเมืองกุมุทาไสย
ตั้งบ้านหงษ์ทอง เปนเมืองธุรคมหงษ์สถิตย์
ขึ้นเมืองขุขันธ์
ตั้งบ้านห้วยลำแสน เปนเมืองกันทราลักษณ์
ตั้งบ้านอุทุมพร เปนเมืองอุทุมพรพิไสย
ขึ้นเมืองสกลนคร
ตั้งบ้านภูหว้า เปนเมืองภูวดลสอาง
ตั้งบ้านกุดลิง เปนเมืองวานรนิวาศ
ตั้งบ้านโพธิ์สว่าง เปนเมืองสว่างแดนดิน
ขึ้นเมืองมุกดาหาร
ตั้งบ้านท่าทราย เปนเมืองพาลุกากรภูมิ
ขึ้นเมืองหนองหาร
ตั้งบ้านปลาเป้า เปนเมืองวาริชภูมิ
ขึ้นเมืองนครพนม
ตั้งบ้านท่าม่วง เปนเมืองอากาศอำนวย
๖๑
ขึ้นเมืองกมลาไสย
ตั้งบ้านลำพัน เปนเมืองสหัสขันธ์
ขึ้นเมืองสุวรรณภูมิ
ตั้งบ้านโป่ง เปนเมืองพนมไพรแดนมฤค
ขึ้นเมืองนครเสียมราฐ
ตั้งบ้านละลวด เปนเมืองสูตรนิคม
๖๒
ภาคที่ ๓
พระเจดีย์วิหารที่ทรงสถาปนาในรัชกาลที่ ๔
พระอารามหลวงทรงสร้างใหม่ในกรุง ฯ ๕ พระอาราม
๑ วัดบรมนิวาศ ทรงสร้างแต่ยังทรงผนวช เพื่อจะเปนที่ประทับสำราญพระอิริยาบถ เดิมเรียกว่าวัดนอก ครั้นถวายเปนพระอารามหลวงในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้า-เจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า วัดบรมนิวาศ
๒ วัดโสมนัศวิหาร ทรงสร้างเมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ อุทิศพระราชทานสมเด็จพระนาง-โสมนัศวัฒนาวดี ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕
๓ วัดปทุมวนาราม ทรงสร้างเมื่อปีมะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐ พระราชทานเปนวัดของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
๔ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสิมาราม ทรงสร้างเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๐๗ ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระคลังข้างที่ ทรงพระราชอุทิศ เฉภาะพระสงฆ์คณะธรรมยุติกา โดยได้เปนศิษานุศิษย์ศึกษาตามลัทธิธรรม ซึ่งพระองค์ได้ทรงเริ่มริชำระตกแต่งตั้งตำราขึ้น ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้โปรดให้แบ่งพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปบรรจุในพระพุทธอาศน์เปนที่สักการบูชาในวัดราชประดิษฐฯ นี้ด้วย
๖๓
การที่บรรจุพระบรมอัฐิเปนกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยเมื่อในรัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชดำริห์ว่า พระบรมอัฐิสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๓ รัชกาลก่อน ซึ่งเปนส่วนของพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลนั้น ๆ ได้พระราชทานไป เมื่อเจ้านายสิ้นพระชนม์ไม่มีผู้จะพิทักษ์รักษา ได้เชิญกลับมารักษาไว้เปนของหลวงมีอยู่ ควรจะประดิษฐานไว้ให้มหาชนกระทำสักการะบูชาแลบำเพ็ญกุศลสนองพระเดชพระคุณได้โดยง่าย จึงโปรดให้บรรจุพระบรมอัฐิในกล่องศิลา แล้วเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ ไปบรรจุไว้ที่พระพุทธอาศน์พระประธานในพระอุโบสถวัดพระเชตุพน พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาไลย บรรจุไว้ที่พระพุทธอาศน์พประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรจุไว้ที่พระพุทธอาศน์พระประธานในพระอุโบสถวัดราชโอรส แลมีรับสั่งไว้ว่าให้บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ที่วัดราชประดิษฐฯ อย่างเดียวกัน
๕ วัดมงกุฏกระษัตริย์ ทรงก่อฤกษ์เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๓๐ แต่แรกพระราชทานนามว่าวัดมงกุฏกระษัตริย์ คนทั้งหลายเห็นพ้องกับพระ ปรมาภิธัยไม่ใคร่กล้าเรียกนามวัด จึงทรงขนานนามใหม่ว่า วัดพระนามบัญญัติ แล้วมีรับสั่งไว้ว่า ถ้าถึงรัชกาลหลังให้เปลี่ยนนามเปนวัดมงกุฏ
กระษัตริย์ตามเดิม ถึงรัชกาลที่ ๕ จึงโปรดให้เปลี่ยนนามตามกระแส รับสั่ง
๖๔
พระอารามหลวงในกรุง ฯ ที่ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ คือ
๑ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
โปรดให้ถมที่ต่อฐานทักษิณพระมณฑปออกไปทั้งด้านตวันออกแลด้านตวันตก ทำพนักศิลา ล้อมทั้ง ๒ ชั้น สร้างประตูซุ้มมณฑปประดับกระเบื้องที่บรรไดขึ้น ๖ ประตู แล้วสร้างพระระเบียงวัด ตรงด้านสกัดฐานทักษิณที่ต่อใหม่นั้น ต่อเปนคดขยายที่ออกไปทั้งด้านตวันออกแลด้าน ตวันตก ทางด้านตวันออกทำประตูซุ้มมงกุฏ ประดับกระเบื้องที่พระระเบียง แลมีพลับพลาเปลื้องเครื่องอยู่ข้างประตูข้างละหลัง ทางด้าน ตวันตกทำประตูหลังคาจัตุรมุขมีพลับพลาเปลื้องเครื่องข้างเหนือประตูหลัง ๑
บนลานทักษิณพระมณฑปที่ต่อใหม่ทางด้านตวันออกสร้างปราสาทยอดปรางค์องค์ ๑ประดับกระเบื้องทั้งฝาผนังแลยอดปรางค์พระราชทานนามว่าพระพุทธปรางค์ปราสาท (คือปราสาทพระเทพบิดรเดี๋ยวนี้) ทรงก่อฤกษ์เมื่อเดือน ๖ แรม ๙ ค่ำ ปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘ เดิมทรงพระราชดำริห์จะให้เปนที่ประดิษฐานพระแก้วมรกฎแต่เมื่อสร้างขึ้นแล้วเห็นไม่พอที่จะทำการพระราชพิธีต่าง ๆ จึงไม่ได้เชิญพระแก้วมรกฎมาดังทรงพระราชดำริห์ไว้แต่เดิม
ทางด้านตวันตกพระมณฑปนั้น โปรดให้สร้างเจดีย์ตามแบบพระมหาสถูปในวัดพระศรี-สรรเพ็ชญ์ที่กรุงเก่าองค์ ๑ ทรงก่อฤกษ์เมื่อเดือนยี่แรม ๑๑ ค่ำ ปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๙๘ทรงขนานนามว่าพระศรีรัตนเจดีย์ (แต่พึ่งประดับกระเบื้องทองเมื่อในรัชกาลที่ ๕)
พระพุทธมณเฑียร และพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน.
ถ่ายจากพระที่นั่งภูดลทัศไนย.
๖๕
พระมณฑปของเดิมซึ่งสร้างเมื่อรัชกาลที่ ๑ นั้น โปรดให้ซ่อมแซมเครื่องบนใหม่ แลพื้นข้างในพระมณฑปเดิมคาดแผ่นเงิน โปรดให้สานเปนเสื่อเงินปูแทน
ที่มุมพระระเบียงข้างน่าพระอุโบสถโปรดให้สร้างมณฑปยอดปรางค์หลัง ๑ เปนที่ประดิษฐานพระเจดีย์โบราณ ซึ่งเชิญลงมาแต่เมืองเหนือข้างน่ามณฑปนั้นลงมาสร้างหอพระยอดปรางค์อิกหลัง๑เปนที่ประดิษ ฐานพระคันธารราษฎ (แต่การประดับกระเบื้องทำต่อเมื่อในรัชกาลที่ ๕) แล้วโปรดให้ทำแท่นปูแผ่นมะนังศิลาของสมเด็จพระร่วงไว้ข้างน่าหอพระนั้น
ทางด้านใต้พระอุโบสถโปรดให้สร้างหอระฆังใหม่ (เข้าใจว่าตรงที่หอระฆังเดิม)
ข้างหลังพระอุโบสถโปรดให้สร้างมณฑปยอดปรางค์ประดับกระเบื้องเปนที่ประดิษฐานพระปรางค์ของโบราณ พระราชทานนามว่า พระโพธิธาตุพิมาน แลสร้างหอพระข้างละหลัง หลังข้างเหนือเปนที่ไว้พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ซึ่งทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินครั้ง กรุงเก่า พระราชทานนามว่า หอราชกรมานุสร ฝาผนังข้างในโปรดให้พระอาจารย์อิน วัดราชบุรณะ เขียนเรื่องพระราชพงษาวดารครั้งกรุงศรีอยุธยา หอข้างใต้เปนที่ไว้พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในกรุงรัตนโกสินทร์พระราชทานนามว่าหอราชพง ศานุสร โปรดให้พระอาจารย์อินเขียนเรื่องพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
๑ เรียกกันว่า ขรัวอินโข่ง เปนช่างเขียนภาพไม่มีตัวสู้ในสมัยนั้น.
๖๖
พระอุโบสถนั้น โปรดให้ซ่อมตัวไม่เครื่องบนแลเขียนภาพที่ฝาผนังใหม่ แต่ภาพเรื่องมาผจญด้านหุ้มกลองข้างน่านั้นคงของเดิมไว้ หาได้เขียนใหม่ไม่ พื้นพระอุโบสถเดิมปูเสื่อทองเหลืองโปรดให้หล่อเปนแผ่นอิฐทองเหลืองปูใหม่
ยังมีการอื่น ๆ ที่ได้ทรงสถาปนาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามอิกหลายอย่าง ซึ่งยังไม่ทราบรายการแน่
๒ วัดบวรนิเวศ
วัดบวรนิเวศทรงบูรณะมาแต่เมื่อทรงผนวชอยู่ ในรัชกาลที่ ๓ คือเชิญพระชินสีห์มาไว้ในพระอุโบสถ แลสร้างพระเจดีย์ที่หลังพระอุโบสถเปนต้น ด้วยเสด็จประทับอยู่วัดนั้นหลายปี แล้วทรงสร้างเพิ่มเติมต่อมาในรัชกาลที่ ๔ อิกก็มาก มีของที่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างมากกว่าที่กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพได้ทรงสร้างไว้แต่เดิม
๓ วัดพระเชตุพน
เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ โปรดให้ถ่ายอย่างพระเจดีย์ วัดสวนหลวงสบสวรรค์ที่กรุงเก่ามาสร้างในวัดพระเชตุพน เปนพระเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๔ องค์ ๑ ประดับกระเบื้องทั้งองค์แลโปรดให้ต่อพระระเบียงที่ล้อมพระเจดีย์ ๓ องค์ ของเดิมขยายออกไปทางด้าน ตวันตกล้อมพระเจดีย์ที่ทรงสร้างใหม่ไว้ในบริเวณเดียวกันด้วย
๖๗
เมื่อทรงสร้างพระเจดีย์นั้นได้มีรับสั่งไว้ว่า ต่อไปในรัชกาลหลังอย่าให้เอาเปนแบบอย่างที่จำจะต้องสร้างพระเจดีย์ประจำรัชกาลใน วัดพระ เชตุพนต่อไปเลย เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๔ รัชกาลแต่แรกนั้นได้เคยทรงเห็นกันทั้ง ๔ พระองค์ผิดกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่นด้วยเหตุนี้จึงมิได้ทรงสร้างเพิ่มเติมในรัชกาลหลังต่อมา
ที่ในพระอุโบสถนั้นโปรดให้เชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ไปบรรจุไว้ที่พระพุทธอาศน์ให้มหาชนได้กระทำสักการบูชา.
๔ วัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์ ใหม่ทั้งพระอาราม การยังไม่เสร็จจนรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ โปรดให้เชิญ รูปสมเด็จพระสังฆราช สุก ญาณสังวร ซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้หล่อไว้ แห่จากหอพระนาคไปไว้ในพระวิหารวัดมหาธาตุแล้วโปรดให้สร้างพระวิหารน้อยขึ้นที่ตรงที่พระตำหนักซึ่งเสด็จประทับเมื่อแรกทรงผนวช อยู่ที่ริมต้นโพธิ์ลังกาหลัง ๑ มีกำแพงแก้วเปนบริเวณรอบ
๕ วัดชะนะสงคราม
วัดชะนะสงคราม พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์คราวเดียวกับวัดมหาธาตุ การก็ยังค้างอยู่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ
๖๘
๖ วัดสุทัศน์เทพวราราม
วัดสุทัศน์เทพวราราม โปรดให้สร้างพระพุทธรูปมีพระอสีติสาวกนั่งล้อมที่ในพระอุโบสถ แลโปรดให้เชิญพระศาสดาจากวัดประดู่มาไว้ วัดสุทัศน์ ประดิษฐานไว้ที่น่าอุโบสถ ตั้งแต่ปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ จนถึงปี ชวด พ.ศ. ๒๔๐๗ จึงได้ย้ายไปวัดบวรนิเวศ แลโปรดให้สร้างศาลาบนกำแพงข้างน่าวัด ๔ หลัง
๗ วัดสระเกษ
วัดสระเกษ พระบามสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเจดีย์องค์ ๑ จะให้เปนเจดีย์ใหญ่อย่างภูเขาทองที่กรุงเก่า แต่ตรงที่สร้างเปนชายคลองมหานาคแผ่นดินอ่อน ก่อพระเจดีย์ขึ้นไปพอน้ำหนักมากก็ซุดลงทุกครั้งแก้ไม่หาย จึงต้องหยุดการสร้างพระเจดีย์นั้นค้าง อยู่เพียงแต่ฐานมาแต่รัชกาลที่ ๓พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระยาศรีพิพัฒน์ แพ (บุตรของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ ซึ่งเปนผู้สร้างพระเจดีย์นั้นเมื่อรัชกาลที่ ๓) เปนแม่กอง ให้พระยาราชสงครามเปนนายช่าง ซ่อมแปลงพระเจดีย์ที่ค้างอยู่นั้นทำเปนภูเขาแลสร้างพระเจดีย์ไว้บนยอด มีบันไดเวียนทางขึ้นไปได้ถึงพระเจดีย์ ๒ทาง พระราชทานนามว่าบรมบรรพต แลโปรดให้สร้างพระระเบียงรอบพระอุโบสถ ซึ่งทำค้างมาแต่รัชกาลที่ ๓ ให้สำเร็จบริบูรณ์
๘ วัดมหาพฤฒาราม
เมื่อขุดคลองผดุงกรุงเกษม คลองผ่านไปน่าทางวัดตะเคียนเปนวัดโบราณ จึงทรงพระราชศรัทธาโปรดให้กรมหมื่นภูมินทรภักดี
๖๙
เปนแม่กองทรงบุรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม พระอุโบสถวิหาร ของเดิมก็รื้อสร้างใหม่ แลเดิมมีพระปรางค์ ๔ องค์ อยู่ระหว่างพระอุโบสถกับพระวิหาร ก็โปรดให้ก่อครอบใหม่ให้ใหญ่ขึ้น ทรงพระราช อุทิศบูชาพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ แล้วพระราชทานนามพระอารามว่า วัดมหาพฤฒาราม แลขณะเมื่อเจ้าเริ่มการปฏิสังขรณ์นั้น พระอาจารย์แก้วผู้เปนอธิการมีอายุได้ ๑๐๗ ปี มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ทรงเลื่อมใสจึงทรงตั้งเปนราชาคณะที่พระมหาพฤฒาจารย์ด้วย
๙ วัดปทุมคงคา
วัดปทุมคงคา พระยาสวัสดิวารีได้รับพระราชทานพระราชานุญาตปฏิสังขรณ์เมื่อรัชกาลที่ ๓ การค้างอยู่ ถึงรัชกาลที่ ๔ พระยาพิศาลศุภผล ชื่น ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตปฏิสังขรณ์ต่อไป พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงช่วยในส่วนปฏิสังขรณ์พระประธานที่ในพระอุโบสถ โปรดให้กรมขุนราชสีหวิกรม เปนนายช่าง แก้พระประธานเปนพระทรงเครื่องต้น แล้วยกพุทธอาศน์ให้สูงขึ้น แลเสิมฐานชุกชีออกมาทำเทวรูปถือดอกไม้ทองเงิน ๒ องค์
๑๐ วัดราชาธิวาศ
วัดสมอราย ได้เริ่มทรงปฏิสังขรณ์มาแต่ยังทรงผนวช ครั้งเสด็จประทับอยู่เมื่อก่อนจะเสด็จมาประทับวัดบวรนิเวศ ถึงในรัชกาลที่ ๔ โปรดให้พระยาเพ็ชรพิไชย หนู เมื่อยังเปนพระยาสามภพพ่ายเปนแม่กองทำการบุรณปฏิสังขรณ์ต่อมาคือต่อมุขขวางข้างน่าและหลังพระอุโบสถ
๗๐
สร้างพระเจดีย์ขึ้นข้างหลังพระอุโบสถ สร้างเสนาศน์ใหม่ แลสร้างเมรุปูนกับศาลาบริเวณสำหรับทำการปลงศพขึ้นข้างน่าพระอาราม พระราชทานนามพระอารามใหม่ว่า วัดราชาธิวาส
๑๑ วัดอรุณราชวราราม
วัดอรุณฯ เดิมมีนามว่า วัดอรุณราชธาราม ทรงแก้เปนวัดอรุณราชวรารามแลทรงบูรณ ปฏิสังขรณ์หลายอย่าง คือโปรดให้เชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัยไปบรรจุที่ พระพุทธอาศน์ในพระอุโบสถ ให้มหาชนได้สักการบูชา
แลที่พระอุโบสถนั้นโปรดให้สร้างบุษบกยอดปรางค์ขึ้นริมผนังทั้งด้านน่าด้านหลังพระอุโบสถ ด้านน่าสำหรับจะประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ด้านหลังสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระพุทธรูปฉลองพระองค์ส่วนพระองค์เอง (การประดิษฐานพระพุทธรูปค้างอยู่ได้ประดิษฐานพระพุทธรูป ฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อในรัชกาลที่ ๕) อนึ่งเดิมประดับกระเบื้องเคลือบเปนลายดอกไม้ร่วงแต่ที่ฝาผนังข้างนอกพระอุโบสถ โปรดให้ประดับเพิ่มเติมต่อออกมาจนเสารายรอบพระอุโบสถ
ที่พระวิหาร เดิมฝาไม่ได้ประดับกระเบื้อง โปรดให้ประดับใหม่ทั้งหลัง
รูปท้องสนามไชย ถ่ายจากหอกลาง
๗๑
๑๒ วัดกัลยาณมิตร
ที่วัดกัลยาณมิตรทรงสร้างหอไตรหลัง ๑ สร้างตรงที่ซึ่งสมเด็จพระไอยิกา กรมพระศรีสุดารักษ์ จอดแพที่ประทับเมื่อครั้งกรุงธนบุรีเปนราชธานี
๑๓ วัดบุบผาราม
วัดดอกไม้ ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ กับเจ้า พระยาทิพากรวงศ์ บุรณปฏิสังขรณ์ ทรงช่วยในส่วนพระอุโบสถ แล้วพระราชทานนามว่า วัดบุบผาราม
๑๔ วัดโมลีโลก
วัดโมลีโลก ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม อนึ่งพระตำหนักเดิมของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ซึ่งรื้อไปปลูกถวายเปน กุฎิเจ้าอาวาศที่วัดโมลีโลกเมื่อเสด็จสวรรคตนั้น โปรดให้ย้ายไปปลูกที่วัดเขมาภิรตาราม อันเปนวัดซึ่งสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ ฯ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ โปรดให้สร้างกฏิตึกถวายให้เจ้าอาวาศวัดโมลีโลก ทั้งหมู่ แทนพระตำหนักที่รื้อย้ายไปนั้น
๑๕ วัดหงษ์รัตนาราม
วัดนี้นามเดิมว่าวัดเจ้าขรัวหงษ์ แล้วเปลี่ยนมาเปนวัดหงษาราม สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีทรงบุรณปฏิสังขรณ์ด้วยกันกับวัดเขมาภิรตาราม ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับปฏิสังขรณ์วัดเขมา ฯ โปรดให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระปิ่นเกล้า
๗๒
เจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์วัดหงษ์ การยังไม่แล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จ ฯ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ พระราชทานนามว่าวัดหงษ์รัตนาราม
๑๖ วัดราชสิทธาราม
ที่วัดราชสิทธาราม ทรงสร้างพระเจดีย์ทรงเครื่องข้างน่าพระอาราม ๒ องค์ องค์ ๑ ขนานนามว่า พระศิราศนเจดีย์ อุทิศถวายพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกองค์ ๑ ทรงขนานพระนามว่า พระศิรจุมพฏเจดีย์ เปนส่วนของพระองค์เอง เหตุด้วยได้ทรงศึกษามาในสำนักสมเด็จพระสังฆราชสุก เมื่อยังเปนพระญาณสังวรเถรอยู่วัดราชสิทธ ฯ นั้น ทั้ง ๒ พระองค์
๑๗ วัดหิรัญรูจี
เดิมชื่อวัดน้อยบางไส้ไก่ เจ้าขรัวเงินพระบิดาของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีได้ทรงสถาปนาไว้เมื่อครั้งกรุงธนบุรี โปรดให้พระยาสีหราชเดโชไชยเปนแม่กองทำการปฏิสังขรณ์ทั้งพระอาราม แล้วพระราชทานนามว่า วัดหิรัญรูจี
๑๘ วัดราชโอรส
วัดราชโอรส ซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอู่หัว ทรงสร้างวัดจอมทองของโบราณไว้เมื่อรัชกาลที่ ๒ ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เชิญพระบรมอัฐิพระบาท
๗๓
สมเด็จ ฯพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปบรรจุไว้ที่พระพุทธอาศน์ในพระอุโบสถให้มหาชนได้สักการบูชา แลโปรดให้ปฏิสังขรณ์วิหารโถงที่ประดิษฐานพระสิทธารถของโบราณอยู่ที่ริมคลอง กับศาลารายที่รินคลองรวม ๖ หลัง
๑๙ วัดวงศมูลวิหาร
วัดใหม่ กรมขันธิเบศร์บวรทรงสร้างขึ้นข้างหลังวัง (คือ บริเวณที่ว่าการกระทรวงทหารเรือทุกวันนี้ เปนพระราชนิเวศน์เดิมของพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์เสด็จประทับเมื่อครั้งกรุงธนบุรี ในรัชกาลที่ ๑ เมื่อโปรดให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม จึงพระราชทานพระนิเวศน์เดิมให้กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ประทับ ถึงรัชกาลที่๒กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์โปรดให้กรมขุนธิเบศร์บวรซึ่งเปนลูกเธอพระองค์ใหญ่ประทับต่อมา จึงได้ทรงสร้างวัดขึ้นข้างหลังวัง) แต่สร้างค้างอยู่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้กรมหมื่นอนันตการฤทธิ ซึ่งได้ประทับอยู่ที่วังนั้นต่อมา เปนแม่กองสร้างวัดใหม่จนแล้ว พระราชทานนามว่า วัดวงศมูลวิหาร
๒๐ วัดชิโนรสาราม
สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรสได้ทรงสร้างวัดในคลองมอญวัด ๑ สำหรับจะเปนที่ประทับสำราญพระอิริยาบถ ได้ทรงสร้างพร้อมกับเมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างวัดบรมนิวาศ ทรง
๗๔
รฦกถึงพระคุณของสมเด็จกรมพระปรมานุชิต ฯ จึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้น ๒ องค์ แลโปรดให้เขียนฝาผนังข้างในพระอุโบสถพระราชทานเพิ่มเติม แล้วพระราชทานนามว่า วัดชิโนรสาราม
๒๑ วัดศรีสุดาราม
วัดชีปะขาว ในคลองบางกอกน้อย เปนวัดโบราณ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ทรงบุรณปฏิสังขรณ์ เมื่อรัชกาลที่ ๑นานมาน้ำเซาะตลิ่งพังเข้าไปทุกทีจนถึงน่าพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้เจ้าพระยามุขมนตรีเปนแม่กอง สร้างพระอุโบสถใหม่ย้ายเข้าไปให้พ้นอันตราย แลให้ลงเขื่อนกันที่น้ำเซาะแล้วพระราชทานนามพระอารามว่า
วัดศรีสุดาราม
๒๒ วัดบวรมงคล
วัดนี้ เดิมชื่อวัดลิงขบอยู่ริมแม่น้ำฝั่งตวันตก กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทรงบุรณปฏิสังขรณ์ในรัชกาลที่ ๒ ได้พระราชทานนามว่า วัดบวรมงคล ถึงรัชกาลที่ ๔ ชำรุดทรุดโทรมทั้งพระอารามจึงโปรดให้พระองค์เจ้าใย ลูกเธอในกรมพระราชวังบวรพระองค์นั้นเปนแม่กองปฏิสังขรณ์ทั้งพระอาราม
วัดหัวเมือง แขวงจังหวัดนนทบุรี
๒๓ วัดไชยพฤกษมาลา
วัดไชยพฤกษ์ เปนวัดโบราณร้างอยู่เมื่อสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้รื้ออิฐมาสร้าง
๗๕
กำแพงพระนคร ตอนซึ่งพระองค์ทรงเปนนายด้าน ครั้นถึงรัชกาลที่ ๒ ทรงสร้างวัดไชยพฤกษ์ใช้ยังไม่สำเร็จ มีรับสั่งให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ยังไม่ได้ทรงผนวชเปนแม่กองทำเปนการหลวง การค้างอยู่ตลอดรัชกาลที่ ๓ ด้วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวช ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดให้พระเจ้าลูก ยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศเปนแม่ กองสร้างต่อมา พระราชทานนามว่า วัดไชยพฤกษ์มาลา (การสำเร็จบริบูรณ์เมื่อในรัชกาลที่ ๕)
๒๔ วัดเขมาภิรตาราม
วัดเขมาเปนวัดโบราณ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีทรง บุรณปฏิสังขรณ์ เมื่อรัชกาลที่ ๒ ครั้นนานมาชำรุดทรุดโทรมไป ถึงรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดให้กรมหมื่นมนตรีรักษาซึ่งเปนพระโอรสเจ้าฟ้า กรมหลวงพิทักษมนตรี เปนแม่กองทำการบุรณปฏิสังขรณ์ต่อมา คือ
โปรดให้ถ่ายอย่างพระเจดีย์ที่วัดศรีอโยธยา (คือวัดเดิม) ในกรุงเก่ามาสร้างข้างหลังพระอุโบสถ สูง ๑๕ วา มีพระเจดีย์น้อยประจำทิศ ๔ องค์
ที่ในพระอุโบสถโปรดให้สร้างพระพุทธรูปมีพระอสีติสาวกแลเขียนฝาผนังทำบานประตูน่าต่างใหม่
สร้างกำแพงแก้วแลประตูรอบพระอุโบสถ แลสร้างการเปรียญศาลาทั้งปวงให้บริบูรณ์ทั้งพระอาราม
๗๖
โปรดให้ย้ายพระตำหนักของสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ ซึ่งถวายไว้ในวัดโมลีโลก มาปลูกเปนเสนาศน์สำหรับเจ้าอาวาสวัดเขมา แล้วพระราชทานนามพระอารามว่า วัดเขมาภิรตาราม
๒๕ วัดเฉลิมพระเกียรดิ์
วัดเฉลิมพระเกียรดิ์นั้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างที่จวนเดิมของพระยานนทบุรี ซึ่งเปนพระชนกสมเด็จพระศรีสุลาไลย พระพันปีหลวง การยังค้างอยู่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสร้างต่อมา เปนการทรงสนองพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์เปนแม่กองการบุรณจนสำเร็จทั้งพระอาราม
แขวงจังหวัดสมุทปราการ
๒๖ พระสมุทเจดีย์
พระสมุทเจดีย์นั้นในรัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างเปนพระเจดีย์ไม้ สิบสอง สูง ๑๓ วา ๓ ศอก อยู่กลางเกาะ มีศาลาสี่ทิศ ถึงรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ โปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์เปนแม่กอง พระยามหาอรรคนิกร พระอมรมหาเดช เปนนายงานทำการบุรณปฏิสังขรณ์ให้จัดซื้อศิลาถมขยายเกาะให้กว้างออกไป แล้วถ่ายแบบพระเจดีย์ กลมที่กรุงเก่ามาสร้างสวมพระเจดีย์ไม้สิบสองของเก่าถานกว้าง ๑๐ วา สูง ๒๐ วา ทำกำแพงและศาลารายสี่ทิศ สร้างพระวิหารหลวงข้าง
ท่าราชวรดิษฐ์ (ถ่ายในรัชกาลที่๕ แต่พระที่นั่งของเดิมยังอยู่บริบูรณ์)
๗๗
ด้านใต้พระเจดีย์หลัง ๑ สร้างหอระฆังข้างน่าพระวิหารหลวงแลสร้างวิหารน้อยข้างเหนือพระเจดีย์ ๒ หลังเปนที่สำหรับราษฎรฝากพระพุทธรูปแล้วก่อกระถางปลูกพระศรีมหาโพธิ ซึ่งทรงเพาะเมล็ดพรรณพระศรีมหาโพธิที่ได้มาแต่เมืองพุทธคยา ที่ขอบเกาะนั้นให้ทำเขื่อนแลคั่นบันไดศิลาก่อเรือนไฟแลหลักสำหรับผูกเรือรายรอบทั้งเกาะ การที่สร้างสิ้นเงินหลวง ๒๑,๒๔๒ บาท เงินมีผู้ศรัทธาเรี่ยราย ๓,๕๐๒ บาท รวมทั้งสิ้นเปนเงิน ๒๔,๗๔๔ บาท แต่ของหลวงที่จ่ายไม่ได้คิด..
(การที่ทรงบุรณปฏิสังขรณ์พระสมุทเจดีย์นี้ ปรากฎกระแสพระราชดำริห์ในพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่ในประกาศ ว่าเมื่อรัชกาลที่ ๒ ครั้งสร้างป้อมนารายน์ปราบศึก ป้อมพระกาฬ ป้อมประโคนไชย แลป้อมผีเสื้อสมุทนั้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จลงไปพระราชทานพระกฐินที่เมืองสมุทปราการเมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๓๖๖ ทอดพระเนตรเห็นเกาะน้อยมีอยู่ข้างเหนือป้อมผีเสื้อสมุทเกาะ ๑ จึงทรงพระราชดำริห์จะสร้างพระมหาสถูปขึ้นที่เกาะนั้นสักองค์ ๑ เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าการที่ทรงสร้างป้อมปราการขึ้นที่เมือง
สมุทปราการขึ้น เพื่อจะรักษาพระพุทธสาสนา จึงมีพระราชโองการดำรัสสั่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังดำรงพระยศ เปนพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กับสมเด็จเจ้าพระยา บรมมหาประยูรวงศ์เมื่อยังเปนเจ้าพระยาพระคลังให้เปนแม่กองจัดการจ้างเรือลูกค้าขนศิลามาถมที่เกาะนั้นให้แน่นหนามั่นคง ครั้นการถม
๗๘
ศิลาเสร็จแล้วจึงโปรดให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ แต่ยังดำรงพระยศเปนกรมหมื่นศักดิพลเสพ คิดอย่างเจดีย์ที่สร้าง ถวายทอดพระเนตร ทรงแก้ไขตัวอย่างจนพอพระราชหฤไทยแล้ว แต่ยังหาได้ลงมือสร้างไม่ ด้วยทรงพระราชดำริห์ว่าที่ดินพึ่งถมใหม่ เกรงจะทรุด จะรอไว้ให้ที่ดินอยู่ตัวเสียก่อน เปนแต่ทรงขนานนาม พระเจดีย์ไว้ว่าพระสมุทเจดีย์ การค้างอยู่เพียงนั้นก็สิ้นรัชกาลที่ ๒ ถึงรัชกาลที่ ๓ โปรดให้สร้างป้อมปราการที่ยังค้างอยู่ให้สำเร็จ แลให้สร้างป้อมนาคราชขึ้นที่เมืองสมุทปราการทางฝั่งตวันตก สร้างป้อมคงกระพันขึ้นที่ตำบลบางจะเกรง สร้างป้อมตรีเพ็ชรขึ้นที่ปากคลอง บางปลากดรวม ๓ ป้อม ครั้นถึงปีกุญ พ.ศ. ๒๓๗๐ จึงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เมื่อยังเปนเจ้าพระยาพระคลังเปน แม่กองสร้างพระสมุท เจดีย์ขึ้นตามกระแสพระราชดำริห์ในพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เปนพระเจดีย์รูปไม้สิบสอง (อย่างพระเจดีย์ที่วัดพระเชตุพน) ขึ้นกับศาลา ๔ หลัง พอสร้างพระเจดีย์เสร็จแล้วคนทั้งหลายก็พากันไปบูชาเปนการนักขัตฤกษ์ประจำปีในเดือน ๑๑ แรม ๘ ค่ำเสมอมาไม่ขาด แลพระสมุทเจดีย์นี้ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดให้สร้างศาลาข้างเหนือพระเจดีย์เพิ่มเติมขึ้นอิกหลัง ๑)
๒๗ วัดเกาะสีชัง
เมื่อเสด็จประพาศที่เกาะสีชังทรงพระราชศรัทธาให้เจ้าพระยา ทิพากรวงศ์เปนแม่กองสร้างวัดพระราชทานสำหรับพวกชาวเกาะจะได้
๗๙
ประพฤติกิจในพระสาสนาวัด ๑ สร้างพระอุโบสถก่ออิฐถือปูนบนเนินเขาข้างปลายแหลมด้านตวันออก ที่เชิงเนินสร้างการเปรียญ แลกุฎีสงฆ์เปนเครื่องไม้ครบทั้งวัด
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๒๘ วัดสุวรรณดาราราม
วัดสุวรรณดาราม เปนวัดของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ต้นพระบรมราชจักรีวงศ์ได้ทรงสถาปนาไว้เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานีเปนวัดร้างมาแต่เสียกรุงเก่า ถึงรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ กับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาให้คืนดีมีพระสงฆ์อยู่อย่างเดิม ถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์ แลโปรด ให้สร้างการเปรียญเสนาศน์ใหม่ ในรัชกาลที่ ๔ ก็ทรงสร้างเพิ่มเติม อิกหลายอย่างคือ
สร้างพระเจดีย์ใหญ่สำหรับพระอารามองค์ ๑
สร้างพระวิหารหลวงน่าพระเจดีย์หลัง ๑ โปรดให้จำลองรูป พระแก้วมรกฎขยายส่วนให้ใหญ่สร้างเปนพระประธานในพระวิหารหลวง (พระวิหารหลวงมาสำเร็จในรัชกาลที่ ๕)
สร้างศาลาโรงควงใหม่หลัง ๑ แลก่อกำแพงแก้วล้อมรอบบริเวณพระอุโบสถแลพระวิหาร
๘๐
โปรดให้ขุดคลองแต่คลองมขามเรียงผ่านวัดสุวรรณไปออกลำน้ำขื่อน่าพระนคร ให้เปนทางเรือไปมาถึงวัดได้ด้วย
นามพระอารามนั้นเดิมเรียกในราชการว่า วัดสุวรรณดาราม ทรงพระราชดำริห์ว่าความยังเคลือบคลุม จึงทรงแก้นามพระอารามเปนวัดสุวรรณดาราราม เพราะที่ในพระอุโบสถเพดานมีดาวทองจำหลัก (เหมือนที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) ทำไว้แต่รัชกาลที่ ๑
๒๙ วัดพระเจ้าพนันเชิง
พระพุทธรูปพระเจ้าพนันเชิงชำรุดร้าวอยู่ ทรงพระราชดำริห์ว่าวัดพระเจ้าพนันเชิง พระบรรพบุรุษในพระบรมราชจักรีวงศ์ได้เคยบุรณปฏิสังขรณ์มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังเปนราชธานี จึงโปรดให้ ปฎิสังขรณ์แล้วลงรักปิดทองใหม่ทั้งพระองค์
๓๐ วัดขุนยวม
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงผนวชอยู่ ได้เสด็จขึ้นไปประพาศที่กรุงเก่าเนือง ๆ ในสมัยนั้นวัดขุนยวนยังเปนวัดร้าง มีรับสั่งแก่พระธรรมราชา คุ้มวัดศาลาปูน ซึ่งเปนเจ้าคณะสงฆ์กรุงเก่า จะขอประทับอาไศรยที่วัดขุนยวม พระธรรมราชา คุ้ม ถวายอนุญาตแลจัดการทั้งปวงถวายตามพระประสงค์ ได้โปรดให้ปลูกตำหนักขึ้นในวัดนั้น แลทรงปฎิสังขรณ์ให้กลับเปนวัดมีพระสงค์ขึ้นอย่างแต่ก่อน
๘๑
๓๑ วัดเสนาศนาราม
วัดเสนาศน์ เปนวัดโบราณ เดิมชื่อวัดเสื่อ เมื่อขยายเขตรวังจันทรเกษมในครั้งกรุงเก่า เห็นจะเปนเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์ วัดเสื่ออยู่ในเขตกำแพงวังจึงเปนวัดไม่มีพระสงฆ์ตลอดสมัยครั้งกรุงเก่า แล้วเลยร้างอยู่กับวังจันทร์ ฯ ด้วยกัน จนถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างวังจันทรเกษม แลพระนารายน์ราชนิเวศน์ มีพระราชประสงค์จะทรงสร้างวัดเปนผาติกรรมไถ่พระราชวังเมืองลพบุรี ซึ่งสมเด็จพระนารายน์ได้ทรงพระราชอุทิศเปนที่วิสุงคามสิมาไว้นั้น จึงโปรดให้สร้างวัดเสื่อขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม ให้เปนวัดพระสงฆ์ธรรมยุติกาวัดแรกจะมีในจังหวัดกรุงศรีอยุธยา แลโปรดให้รื้อพระตำหนักเดิมที่วัดขุนยวนมาปลูกเปนตำหนักสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่เมื่อยังดำรงพระยศเปนกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์นั้นด้วย แล้วพระราชทานนามพระอารามว่า วัดเสนาศนาราม
๓๒ วัดขมิ้น
วัดขมิ้น เปนวัดโบราณอยู่ในบริเวณวังจันทรเกษมเหมือนวัดเสื่อ โปรดให้สร้างพระราชทานเปนวัดของเจ้าจอมมารดาเที่ยง แต่การยังค้างอยู่หาได้ทันจะนิมนต์พระสงฆ์มาอยู่ไม่
๘๒
๓๓ วัดขันแสน
วัดขุนแสนนั้นทรงพระราชดำริห์ว่า พระบุรพการีของพระบรมราชจักรีวงศ์ได้ตั้งนิวาศฐานอยู่ใกล้เคียง เมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้พระยาราชสงครามเปนนายงานสถาปนาอิกพระอาราม ๑ ได้ ก่อพระเจดีย์ใหญ่สวมพระเจดีย์ของเดิม แลสร้างพระวิหารหลวงยังไม่ ได้ยกเครื่องบนการค้างอยู่เพียงนั้น
๓๔ วัดชุมพลนิกายาราม
วัดชุมพล ฯ ที่บางปอิน เดิมสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงสร้างในที่มูลนิเวศฐานของพระพันปีหลวง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เจ้าพระยาพลเทพ หลง เปนแม่กองปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม นับในวัด ๑ ซึ่งทรงสร้างไถ่พระนารายน์ราชนิเวศน์
๓๕ พระพุทธบาท
ที่พระพุทธบาทนั้นได้ทรงบุรณปฏิสังขรณ์หลายอย่าง คือ
พระมณฑปเล็กที่สวมรอยพระพุทธบาทองค์ที่สร้างเมื่อรัชกาลที่ ๒ ไฟไหม้ม่านแล้วเลยไหม้พระมณฑปนั้นยับเยินไปแต่เมื่อรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดให้พระยาราชสงครามเปนนายงานสร้างเปลี่ยนใหม่
พระมณฑปใหญ่เครื่องเดิมชำรุด โปรด ฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติเปนแม่กอง รื้อเครื่องบนซ่อมแซมตัวไม้ใหม่
ข้างในพระมณฑปเดิมคาดด้วยแผ่นเงินชำรุดไป โปรด ฯ ให้กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ เปนนายงานสานสื่อเงินปูใหม่
๘๓
พระวิหารหลวง พระอุโบสถ ศาลาโรงธรรม คลังเครื่องพุทธบูชา แลกุฎีสงฆ์ ที่ชำรุดก็โปรดให้ปฏิสังขรณ์ทั่วทุกแห่ง
แลโปรดให้สร้างพระตำหนักที่ประทับในพระราชวังเดิมที่ท้ายพิกุลด้วย ในการที่ทรงบุรณปฏิสังขรณ์พระพุทธบาทครั้งนั้น เจ้านายแลข้าราชการผู้ใหญ่มีศรัทธาสร้างสถานต่างๆ โดยเสด็จในการพระราชกุศลด้วยก็หลายอย่าง คือ
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงบุรณปฏิสังขรณ์ตึกเก่าที่น่าวัดพระพุทธบาท หลัง ๑
กรมหลวงมเหศวรศิววิลาศ ทรงซ่อมแซมสระสามเส้นที่ขังน้ำสำหรับสัปรุษอาไศรยแห่ง ๑
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ สร้างศาลาที่พักของสัปรุษที่ท่าเรือ เปนเครื่องก่ออิฐถือปูน ๓ หลัง ขุดบ่อน้ำทำศาลาเครื่องไม้ในระยะทางขึ้นพระบาท ตั้งแต่บางโขมดจนถึงเขาตกหลายแห่ง สร้างกุฎีสงฆ์ที่วัดท้ายพิกุล ๗ หลัง ในบริเวณพระพุทธบาทสร้างโรงธรรมหลัง ๑ ศาลา ๙ ห้อง หลัง ๑
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่สมุหกลาโหม บุรณตึกเก่าที่ริมบ่อโพงหลัง ๑
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์บุรณโรงเครื่องริมประตูยักษ์หลัง ๑ สร้าง กุฎีสงฆ์ที่วัดท้ายพิกุลหลัง ๑
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนิรขึ้นไปยกยอดพระมณฑปเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓
๘๔
จังหวัดลพบุรี
๓๖ วัดกระวิศราราม
วัดขวิด เปนวัดโบราณอยู่ข้างใต้พระราชวังเมืองลพบุรี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้บุรณใหม่ทั้งพระอาราม นับในจำนวนวัดซึ่งทรงสร้างถ่ายพระนารายน์ราชนิเวศจากที่วิสุงคามสิมา พระราชทานนามว่า วัดกระวิศราราม แล้วนิมนต์พระสงฆ์รามัญนิกายมาอยู่ ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้สวดพระปริตสำหรับพระราชวัง
จังหวัดไชยนาท
๓๗ วัดธรรมามูล
วัดธรรมามูล เปนวัดโบราณอยู่บนไหล่เขา มีพระพุทธรูปเรียกกันว่า " พระธรรมจักร "เพราะที่พระหัดถ์มีรอยสำหรับพิมพ์แผ่นขี้ผึ้ง เปนดวงธรรมจักร เปนที่คนนับถือมาก พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบุรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ แล้วโปรดให้ประดิษ ฐานพระพุทธรูปโบราณ ซึ่งมีผู้นำมาถวายจากเมืองนครสวรรค์นั้นไว้เปนพระประธาน.
จังหวัดนครสวรรค์
๓๘ วัดเขาบวชนาค
บนยอดเขาบวชนาค ข้างฝั่งตวันออกใต้ปากน้ำโพธิ์ มีวัดโบราณวัด ๑ เปนที่นับถือของชาวเมือง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบุรณปฏิสังขรณ์ทั้งพระอุโบสถแลพระวิหาร
เรือพระที่นั่งอัคราชารเดช ลำแรก
๘๕
จังหวัดพิศณุโลก
๓๙ วัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุ เมืองพิศณุโลกอันเปนที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ แลพระศาสดา แต่เดิมนั้นวิหารพระชินสีห์แลวิหารพระศาสดาปรักหักพังจึงได้เชิญพระพุทธรูปทั้ง ๒ พระองค์ นั้นลงมาไว้ในกรุงเทพฯ แต่รัชกาลก่อน พระวิหารก็ทิ้งหักพังอยู่อย่างเดิม พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้บุรณพระวิหารนั้นขึ้นใหม่ทั้ง ๒ หลัง แล้วโปรดให้ปั้นจำลองพระพุทธชินสีห์แลพระศาสดาขึ้นไว้ณที่เดิมในวิหารนั้นด้วย
จังหวัดอุตรดิฐ
๔๐ พระธาตุพระฝาง
พระฝาง คือพระมหาธาติเมืองสวางคบุรี พังลงเมื่อปีมโรง พ.ศ. ๒๓๙๙ โปรดฯ ให้สร้างใหม่ให้บริบูรณ์อย่างเดิม
จังหวัดชลบุรี
๔๑ วัดบางพระ
วัดที่บางพระเปนวัดโบราณราษฎรในตำบลนั้นได้อาไศรยบวชเรียน และประกอบการกุศล พระอุโบสถเครื่องบนผุหมด พวกชาวบ้านไม่สามารถจะซ่อมแซมให้ดีอย่างเดิมได้พระครูกันทราจารย์ถวายพระพร ให้ทรงทราบ จึงโปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์เปนแม่กองปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดบางพระเสิมผนังขึ้นไป ๒ ศอก ทำเครื่องบนใหม่ แลสร้างพระเจดีย์สูง ๕ วา ขึ้นหลังพระอุโบสถอิกองค์ ๑
๘๖
จังหวัดระยอง
๔๒ พระเจดีย์ช่องแสมสาร
เมื่อเสด็จประพาศหัวเมืองชายทเลตวันออกเมื่อปีมเสงพ.ศ. ๒๔๐๐ โปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นไว้บนไหล่เขาที่แหลมเทียนช่องแสมสารองค์ ๑ สำหรับเปนที่หมายปากช่องให้เรือแล่นไปได้โดยสดวก
จังหวัดจันทบุรี
๔๓ พระเจดีย์วัดโยธานิมิตรแลเขาสระบาป
ในคราวเสด็จประพาศเมืองจันทบุรีเมื่อปีมะเสง พ.ศ. ๒๔๐๐ นั้น โปรดให้สร้างพระเจดีย์สูง ๘ วาไว้ที่วัดโยธานิมิตรองค์ ๑ พระเจดีย์สูง ๓ วาที่ธารนารายน์เขาสระบาปด้วยองค์ ๑
จังหวัดนครไชยศรี
๔๔ พระปฐมเจดีย์
เมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงผนวชอยู่นั้นได้เสด็จไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ทรงพระราชดำริห์ว่าเปนพระเจดีย์ใหญ่โตแลสถานเก่าก่อนแห่งอื่น ๆ บรรดามีในประเทศสยามนี้ สมควรจะบุรณปฏิสังขรณ์ให้คืนดีแล้วรักษาไว้ให้เปนสำคัญในตำนานพระสาสนาในประเทศนี้ ได้ทรงนำกระแสพระราชดำริห์ทูลพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งว่าพระปฐมเจดีย์อยู่ในป่าดอนห่างไกล
๘๗
กรุงเทพ ฯ จะไปปฏิสังขรณ์ก็จะรักษาไว้ไม่ได้ ก็ต้องทรงระงับพระราชดำริห์มาจนได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์เปนแม่กอง ครั้นสมเด็จเจ้าพระยาองค์นั้นถึงพิราลัย จึงโปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์เปนแม่กอง ทำการปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์มาจนตลอดรัชกาล
พระปฐมเจดีย์ เมื่อก่อนจะลงมือบุรณปฏิสังขรณ์เมื่อในรัชกาลที่ ๔ นั้น ได้โปรดให้ขุดชัณสูตรพื้นดินที่ในบริเวณ พบอิฐหลายขนาดสะสมกันอยู่หลายชั้น ขุดลงไปจนลึกถึง ๒ ศอก ๓ ศอกจึงถึงพื้นเดิมซึ่งปูดาดด้วยอิฐแผ่นใหญ่ ขนาดยาวศอก๑ น่าใหญ่๑๒ นิ้วน่าน้อย ๖ นิ้วเห็นได้ว่าองค์พระเจดีย์เคยหักพังลงมาได้มีผู้ศรัทธาเกลี่ยอิฐให้เปนเกาะขึ้นแล้วบุรณเปนพระเจดีย์อยู่บนนั้นครั้นนานมาทำนองยอดจะหักลงมาอิกจะมีผู้มาศรัทธาปฏิสังขรณ์ขึ้นอิกคราว ๑ จะเห็นว่าพระเจดีย์ยอดแหลมจะไม่ถาวรมั่นคง จึงเกลี่ยให้เสมอเพียงไหล่ที่ก่อองค์ปรางค์ต่อตั้งขึ้นไปแทนยอด ที่ริมขอบไพรฑีก่อกำแพงแก้วไว้เปนที่ทักษิณ ก่อบันไดลงมาถึงพื้นเนินเก่า พิเคราะห์ดูบันไดก่อทับปะองค์ระฆังเข้าไว้ เห็นจะเปนของทำทีหลัง แต่วิหารมีอยู่ด้านตวันออกบนเนินเรียงกันอยู่ทั้ง ๔ วิหาร วิหารพระนาคปรกอยู่ข้างทิศตวันออกเฉียงใต้หลัง ๑ ถัดมาถึงวิหารพระไสยาศน์หลัง ๑ วิหารไว้พระพุทธรูปต่างๆ หลัง ๑ วิหารพระป่าเลไลยที่สุดด้านตวันออกเฉียงเหนือหลัง ๑ เปนแถวกันมา แล้วมีพระเจดีย์ย่อมๆ เปนผีมือราษฎรชาวบ้านทำเล็กๆ ใหญ่ ๆ เปนของ
๘๘
ทำทีหลังอิกหลายองค์ ที่เปนของเดิมแท้นั้นมีวิหารหลวงแลพระอุโบสถอยู่ที่พื้นแผ่นดิน วิหารหลวง (อยู่ตรงพลับพลาทรงโปรยลงไป) เสาศิลาแลงมีปรากฏอยู่หลายต้น พระอุโบสถนั้นก็ตรงพระอุโบสถเดี๋ยวนี้ ลงไป กุฎีสงฆ์อยู่น่ากะเปาะข้างทิศใต้ แลยังพบของสำคัญหลายอย่างคือสระน้ำแลถนนอิฐปูเปนพื้น ที่จอมปลวกใหญ่ก็รื้อได้พระพุทธรูปในนั้นยังปรากฏอยู่ ได้โปรดให้วัดองค์พระปฐมเมื่อก่อนทรงปฏิสังขรณ์ ตั้งแต่แผ่นดินขึ้นไป ถึงหลังเกาะสูง ๔ วาบ้าง ๕ วาบ้าง ด้วยแผ่นดินไม่เสมอกัน ตั้งแต่หลังเกาะขึ้นไปเปนองค์พระเจดีย์กลมสูง ๑๔ วา ๒ ศอก องค์ปรางค์สูง ๒๐ วา ยอดนพศูลขึ้นไป ๘ ศอก รวมตั้งแต่หลังเกาะขึ้นไปตลอดยอดนพศูลคิดได้ ๔๐ วา ๒ ศอก
การปฏิสังขรณ์นั้น ส่วนองค์พระปฐมเจดีย์ของเดิมเปนอย่างไรโปรดให้คงไว้ให้สร้างพระมหาสถูปใหม่หุ้มองค์เดิมไว้ข้างใน เดิมคิดแบบพระมหาสถูปใหม่เปนอย่างพระเจดีย์กลมสามัญ ครั้นก่อขึ้นไปได้ถึง ๑๗ วา พังลงมาเมื่อเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ จึงทรงคิดรูปพระมหาสถูปเปนรูปใหม่ให้ฐานผายออกให้มากกว่าแต่ก่อน ไขส่วนสูงวัดด้วยวาทองธานพระกร ตั้งแต่พื้นดินขึ้นไปเสมอพื้นถมใหม่ชั้นพระระเบียงกลมสูง ๔ วา ๒ ศอกบ้าง ๕ วาบ้าง แต่พื้นพระระเบียงขึ้นไปถึงทักษิณที่หนึ่ง สูง ๖ ศอกคืบ ๒ นิ้ว ตั้งแต่พื้นทักษิณที่หนึ่งขึ้นไปถึงฐานบัวคว่ำสูง ๘ ศอกคืบ ตั้งแต่ทักษิณที่สองขึ้นไปถึงปาก ระฆังสูง ๙ วาคืบนิ้ว องค์ระฆังสูง ๑๔ วา ๔ นิ้ว บัลลังก์สูง ๓ วา
๘๙
คืบ ๖ นิ้วตั้งแต่บัลลังก์ถึงหลังฝาละมีสูง ๕ วาคืบ ๑๑ นิ้ว ปล้อง ฉนัย ๒๗ ปล้อง สูง ๑๕ วา ๒ ศอกคืบ ๕ นิ้ว บัลลังก์บัวแวงสูง ๓ วาคืบ ๖ นิ้ว ฐานทองเหลืองสูง ศอกคืบ ๒ นิ้ว ยอดนพศูลขึ้นไปตลอด ยอดมงกุฏสูง ๓ วานิ้ว คิดรวมตั้งแต่พื้นดินขึ้นไปตลอดยอดมงกุฏ คิดได้เปน ๓ เส้นคืบ ๖ นิ้ว ก่อฐานใหญ่รอบ ๕ เส้น ๑๖ วา ๓ ศอก ทักษิณที่หนึ่งก่อออกมากว้าง ๕ วา ตั้งแต่ลูกแก้วหลังบัวถลาขึ้นไป ก่อกว้าง ๔ วาบ้าง ๔ วาเศษบ้างตลอดถึงทักษิณที่องค์ปรางค์ตั้งอยู่ ก่อกว้าง ๗ วาบ้าง ๗ วา ๒ ศอกบ้าง ลดเข้าไปทุกทีจนกระทั่งที่ตั้งไพรฑีที่นั้นกว้าง ๓ วา ที่ปล้องฉนัยนั้น กว้าง ๕ ศอกจนตลอดยอดปรางค์ฐานล่างถึงจะชักเปน ๔ เหลี่ยมด้านหนึ่งยาว ๒ เส้น ๗ วา เท่ากับฐานกะเปาะทำไว้ทั้ง ๔ ด้าน ครั้นตัวอย่างตกลงแล้วได้ก่อพระฤกษ์ เมื่อ ณวันพฤหัศบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีวอกโทศก พ.ศ.๒๔๐๓ ในบริเวณองค์พระนั้นได้ก่อวิหารไว้ที่ทิศ ประดิษฐานรูปพระปฏิมากรทั้ง ๔ ปาง วิหารใหญ่ข้างทิศบูรพ์นั้นห้องนอกไว้พระพุทธรูปมานวิไชยได้ตรัสรู้ ห้องในไว้พระพุทธอาศน์เปนแท่นที่นมัสการ มุขน่าไว้พระพุทธรูปฉลองพระองค์ วิหารทิศทักษิณห้องนอกไว้พระเทศนาธรรมจักรโปรดปัญจวัคคีห้องหลังไว้พระนาคปรกซึ่งเปนของเดิม มุขหลังไว้รูปพระยาภาณ ทิศประจิมนั้นทำวิหารพระพุทธไสยาศน์ใช้ของเก่าหลังหนึ่ง พระพุทธไสยาศน์องค์เดิมยาว ๔ วา องค์ใหม่ยาว ๘ วา ๒ ศอก วิหารห้องเบื้องหลังไว้พระนิพพานพระองค์หนึ่ง วิหารทิศอุดรนั้นห้องนอกไว้พระประสูตร
๙๐
ห้องเบื้องหลังไว้พระป่าเลไลย์ซึ่งเปนของเดิม มุขหลังไว้รูปพระยากงแล้วชักระเบียงกลมล้อมรอบถึงกันทั้ง๔ ด้าน จดจารึกกถาพระธรรมบทไว้ทุกห้อง รอบนอกนั้นก่อหอระฆังรายรอบไปอิกชั้นหนึ่ง ชั้นล่างก่อกำแพงถมดินกะเปาะขึ้นมาทั้งสี่ทิศ บนกะเปาะด้านข้างตวันออกทำโรงธรรมข้างหนึ่ง โรงพระอุโบสถตรงพระอุโบสถเก่าขึ้นมาข้างหนึ่งประดิษฐานพระคันธารราษฎร์ซึ่งได้มาแต่วัดทุ่งพระเมรุ ด้านใต้บนกะเปาะจำลองรูปพระปฐมเจดีย์เดิมไว้ข้างตวันออกองค์หนึ่งสูง ๙ วาคืบ ยอดนพศูลศอกคืบ ๒ นิ้ว ต่ำกว่าองค์เดิมอยู่ ๒๖ วาศอก ๒นิ้ว ข้าง ตวันตกนั้นได้จำลองรูปพระเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเรียกว่าพระบรมธาตุใหญ่ศักดิสิทธิทำขึ้นไว้เดิมสูง ๓๗ วา ๒ ศอกตลอดยอดพุ่มจำลองใหม่สูง ๑๐ วา ๒ ศอกคืบ ยอดนพศูลสามศอกนิ้วกึ่ง ต่ำกว่าองค์เดิม ๒๖ วาคืบนิ้วกึ่ง เพื่อให้สัปรุษเห็นจะได้ส่งใจไปนมัสการพระธาตุเมืองนคร กะเปาะด้านตวันตกนั้นชั้นบนได้ประดิษฐานพระมหาโพธิเมื่อครั้งพระอาจารย์ดี พระอาจารย์เทพออกไปเกาะลังกาได้เข้ามา ชั้นล่างประดิษฐานไม้สำคัญที่ควรจะกระทำสักการบูชาเปนที่ระฦก คือไม้อัชปาละนิโครธ แปลว่าไม้ไทร ที่พระพุทธเจ้าฉันมธุปายาสได้ตรัสแล้วเสด็จไปเสวยวิมุติศุขอยู่ที่นั้ นอิกคราวหนึ่งถึง ๗ วัน แล้วเสด็จไปอาไศรย อยู่ใต้ร่มไม้มุจลินท์ คือไม้จิก คราวนั้นฝนตกหนัก พระยานาคขึ้นมาทำกายวงล้อมพระพุทธเจ้าแล้วเลิกพังพานปกเบื้องบน ฝนก็ไม่รั่วน้ำก็ไม่ท่วมเข้าไปได้ พระองค์อยู่ใต้ร่มไม้จิก ๗ วันแล้วเสด็จมาประทับอยู่ใต้ร่มไม้ราชายัตน คือไม้เกษ ครั้งนั้นได้รับสตูก้อนสตูผงของ
๙๑
นายตปุสสภัลลิกะพ่อค้าเกวียน ตั้งแต่ได้ตรัส ๔๘ วันมาเสวยพระกระยาหารในวันที่สี่สิบเก้า แลไม้พระหูบุตนิโครธ คือไม้กร่างที่พระองค์ได้พบพระมหากัสสปในร่มไม้นั้น สาลรุกโข คือไม้รังเปนทพระองค์ได้ประสูตรในร่มไม้นั้นอย่างหนึ่ง ปรินิพพานในใต้ต้นรังอย่างหนึ่ง เปนสองอย่างด้วยกัน ไม้ชมพู คือไม้หว้า เมื่อพระองค์ยังเยาว์อยู่ตามเสด็จพระราชบิดาไปแรกนาขวัญได้ประทับอยู่ ในร่มไม้นั้น ก็ได้พิจารณากรรมฐานถึงปฐมฌานเปนปฐมที่หนึ่ง ครั้งนั้นเกิดอัศจรรย์หลายอย่างจนแผ่นดินไหวเงาไม้ก็มิได้ย้ายไปตามพระอาทิตย์ ไม้อัมพวา คือไม้มะม่วงที่พระองค์ได้กระทำยมกปาติหารในยอดไมมะม่วงนั้น ไม้ที่พรรณามานี้ก็คล้าย ๆ กันกับไม้พระศรีมหาโพธิ เรียกว่า สัตตมหาสถานจึงเอาประดิษฐานไว้เปนที่รฦกด้วย กะเปาะข้างทิศเหนือนั้นทำเปนคลังหนึ่ง โรงประโคมหลังหนึ่ง ระหว่างกะเปาะทำเปนภูเขาไว้ทั้งสี่ทิศ น่าภูเขาออกมามีรั้วล้อมเหล็กล้อมชั้นหนึ่ง น่ารั้วเหล็กออกมาทำเปนฐานพระมหา โพธิทั้งสี่ทิศ ได้ผลมาแต่เมืองพุทธคยาบุรีว่าเปนหน่อเดิมที่พระได้ตรัส พระมหาโพธิต้นนั้นมีพระระเบียงล้อมถึง ๗ ชั้น พวกพราหมณ์หวงแหนอยู่แน่นหนา เจ้าเมืองอังกฤษจึงไปขอเอาผลและใบมาถวายเข้ามาทรงเพาะได้งอกงามดีประทานให้ไปปลูกที่วัดหลวงทุกวัด น่าชานพระมหาโพธิออกมาชักกำแพงปีกกามีหลังคาออกมาพอคนอาไศรยได้ บรรจบกะเปาะออกมาธงสิ่ทิศ ที่มุมมีหอกลองหลัง ๑ หอระฆัง ๑ สลับกันทั้ง ๔ มุม คิดจะมิให้ของโบราณเสื่อมสูญ ไปเที่ยวเก็บเอาศิลาใหญ่อยู่ในป่าในรกเอามาไว้ให้ดูทุกสิ่ง
๙๒
จังหวัดสุพรรณบุรี
๔๕ วัดพระป่าเลไลย
พระพุทธรูป ป่าเลไลยองค์ใหญ่ของโบราณซึ่งนับถือกันในเมือง สุพรรณ บุรี วิหารชำรุดองค์พระก็ชำรุดไปบ้าง โปรดให้เจ้าพระยานิกรบดินทร ที่สมุหนายกเปนแม่กองปฏิสังขรณ์ทั้งพระวิหารและองค์พระพุทธรูปให้บริบูรณ์ดีอย่างเก่า
๙๓
จังหวัดสมุทสงคราม
๔๖ วัดอัมพวันเจติยาราม
วัดอัมพวา ซึ่งสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีทรงสร้างในเขตร พระนิเวศน์สถานเดิมนั้นชำรุดซุดโซม พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถทั้งหลัง แล้วสร้างศาลาโรงธรรมขึ้นข้างน่าพระอารามหลัง ๑ แล้วพระราชทานนามว่า วัดอัมพวันเจติยาราม
จังหวัดเพ็ชร์บุรี
๔๗ วัดมหาสมณาราม
วัดมหาสมณ เปนวัดโบราณที่อยู่ไหล่เขามหาสมณ ซึ่งทรงแปลงนามว่าเขามหาสวรรค์นั้น เมื่อสร้างพระนครคิรีโปรดให้บุรณปฏิสังขรณวัดมหาสมณใหม่ทั้งพระอาราม พระราชทานนามใหม่ว่า วัดมหา สมณาราม
๔๘ พระธาตุจอมเพ็ชร์
ที่บนยอดเขามหาสวรรค์ยอดกลาง เดิมมีพระเจดีย์สร้างไว้แต่โบราณองค์ ๑ โปรดให้ก่อหุ้มพระเจดีย์เดิมนั้นให้ใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน สูงเส้น ๑ แล้วทรงขนานนามว่า พระธาตุจอมเพ็ชร์
๔๙ พระสุทธเสลเจดีย์
ที่ยอดเขามหาสวรรค์ยอดใต้ โปรดให้สร้างพระเจดีย์ศิลาทึบองค์ ๑ ทำศิลาเปนซีก ๆ ไปจากเกาะสีชังไปประกอบเปนพระเจดีย์
๙๔
ฐาน ๖ ศอก สูง ๔ วา ๒ ศอก ทรงขนานนามว่าพระสุทธเสลเจดีย์ แล้วสร้างพระวิหารน้อยข้างน่าพระเจดีย์หลัง ๑ มีหอระฆังอยู่ข้างน่าวิหาร ชั้นต่ำต่อวิหารลงมาสร้างศาลาและพระปรางค์เขมรอิกองค์ ๑
๕๐ ถ้ำเขาหลวง
ที่ถ้ำใหญ่เขาหลวงเมืองเพ็ชรบุรีมีพระพุทธรูปสร้างไว้แต่โบราณบ้าง โปรดให้แต่งถ้ำนั้นทำบันไดศิลาลงถ้ำได้อิกทาง ๑ โปรดให้สร้างพระพุทธรูปในถ้ำนั้น ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลก่อน ๆ บ้าง เปนส่วนของพระองค์เองบ้าง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระบรมวงศานุวงศ์แลเจ้าจอมฝ่ายในสร้างบ้าง ตกแต่งงดงามทั้งถ้ำ
จังหวัดสงขลา
๕๑ พระเจดีย์บนยอดเขาตังกวน
ครั้งเสด็จประพาศเมืองสงขลาเมื่อปีมะแมพ.ศ. ๒๔๐๒ เสด็จกลับแล้วโปรดให้พระยาสามภพพ่ายเปนนายช่าง เจ้าพระยาสงขลา สังข์ เปนแม่กองสร้างพระเจดีย์บนยอดเขาตัวกวนริมเมืองสงขลาองค์ ๑ สูง ๙ วา ๓ ศอก เปนที่รฦกในการที่เสด็จพระราชดำเนินนั้น.
สถานที่ต่าง ๆ และพระเจดีย์วิหารซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างตามที่กล่าวมาในหนังสือนี้ คัดจากจดหมายเหตุเจ้าพระยาทิพากรวงศ์เป็นพื้น ที่ไม่ปรากฏในจดหมายเหตุของ
๙๕
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ พบที่อื่นก็มีบ้าง การที่เรียบเรียงมีเวลาน้อยเกรงจะไม่ถูกถ้วนหมด และบางทีจะวิปลาศพลาดพลั้งบ้าง ถ้าพลาดพลั้งไปต้องขออภัยแก่ท่านผู้อ่าน
อนึ่งรูปต่าง ๆ ที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ เปนของหลวงอรรคนีนฤมิตร (จิตร) ถ่ายไว้ ได้มาจากพระฉายาสาทิศกร (สอาด จิตราคนี) กรมแผนที่ทหารบกได้จัดการพิมพ์สำหรับสมุดเล่มนี้.
|
14602
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=14602
|
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๖
|
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๖
เรื่องตำนานวังเก่า
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์
หม่อมราชวงศ์หญิงโต จิตรพงศ ณกรุงเทพ
ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์
พิมพ์ในการกุศล
สนองคุณหม่อมเจ้าแดง บิดา
เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๖๕
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ โสภณพิพรรฒธนากร
คำนำ
หม่อมราชวงศหญิงโต จิตรพงศ ณกรุงเทพ ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ ธิดาผู้เปนเจ้าภาพงานศพหม่อมเจ้าแดง ต จ, ม ป ร๔, จ ป ร๔, ว ป ร๔, ในพระเจ้าบรมวงศเธอชั้น ๓ พระองค์เจ้างอนรถ แจ้งความมายังหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับ พระนคร ขอให้กรรมการหอพระสมุด ฯ ช่วยเลือกเรื่องหนังสือ สำหรับจะพิมพ์แจกเมื่อพระราชทานเพลิงศพเจ้าบิดา พร้อมกับศพหม่อมเจ้าหญิงอ่าง จ จ, ม ป ร ๔, ในพระเจ้าบรมวงศเธอชั้น ๓ กรมหมื่นเชษฐาธิเบนทร ซึ่งหม่อมราชวงศหญิงโตรับเปนเจ้าภาพสนองพระคุณแต่หนหลังด้วยอิกศพหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงแต่งเรื่องตำนานวังเก่า จัดเปนหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๖ ให้หม่อมราชวงศหญิงโตพิมพ์แจกตามประสงค์ เหตุใดข้าพเจ้าจึงได้แต่งเรื่องตำนานวังเก่าให้พิมพ์ ในงานศพหม่อมเจ้าแดง ข้อนี้จะบอกอธิบายต่อไปข้างตอนท้ายคำนำ ในที่นี้จะกล่าวถึงเรื่องประวัติของหม่อมเจ้าหญิงอ่างและหม่อมเจ้าแดงก่อน
ประวัติหม่อมเจ้าหญิงอ่างและหม่อมเจ้าแดง
กรมหมื่นเชษฐาธิเบนทรทรงพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าโกเมนเปนพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูตรในรัชกาลที่ ๒ เมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๓๕๘ ทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นเชษฐาธิเบนทรในรัชกาลที่ ๔ และสิ้นพระชนม์ในรัชกาลนั้น เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๐๔
หม่อมเจ้าหญิงอ่าง ประสูตรในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ปีชวด พ.ศ. ๒๓๘๓ หม่อมราชวงศเอี่ยม ธิดาหม่อมเจ้าโสวัจในกรม
หมื่นนราเทเวศรเปนหม่อมมารดา หม่อมเจ้าหญิงอ่างได้เข้าไปอยู่กับพระองค์เจ้าวงเดือนเสด็จป้า ที่ตำหนักในพระบรมมหาราชวังแต่ยังน้อย หม่อมเอี่ยมมารดาก็ได้เข้าไปอยู่ด้วย พระองค์เจ้าวงเดือนมีน่าที่เปนใหญ่ในพนักงาน "สรงพระพักตร" คือปรุงพระสุคนธ์ถวายเปนต้น จึงทรงฝึกหัดหม่อมเจ้าหญิงอ่างในน่าที่ราชการนั้น จนได้มีตำแหน่ง ในพนักงานสรงพระพักตรในรัชกาลที่ ๔ มาจนตลอดรัชกาลนั้น ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระองค์เจ้าวงเดือนสิ้นพระชนม์แล้ว โปรด ฯ ให้หม่อมเจ้าหญิงอ่างย้ายตำแหน่งไปเปนพนักงานเครื่องนมัสการ รับ ราชการในตำแหน่งนี้มาจนตลอดชนมายุ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์จตุตถจุลจอมเกล้าฝ่ายใน กับเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๔ ชั้นที่ ๔ เปนเกียรติยศ
หม่อมเจ้าแดง ในพระเจ้าบรมวงศเธอชั้น ๓ พระองค์เจ้างอนรถนั้นประสูตรในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๙๓ หม่อมเจ้าแดงได้เขียนเล่าเรื่องประวัติของเธอเองให้หม่อมราชวงศหญิงโตไว้ สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศทรงคัดประทานมาดังนี้
หนังสือหม่อมเจ้าชายแดง เขียนให้หม่อมราชวงศหญิงโต
เมื่อพระพุทธศักราชได้ ๒๔๕๑
พระเจ้าราชวรวงศเธอ๑ พระองค์เจ้างอนรถ เปนพระโอรสที่ ๑๕ ในรัชกาลที่ ๓ ประสูตรณพระราชวังเดิมที่แม่โตอยู่เดี๋ยวนี้ เมื่อ
๑ หม่อมเจ้าแดงแต่งเรื่องประวัติเมื่อรัชกาลที่ ๕ เวลานั้นพระเจ้าลูกเธอรัชกาลที่ ๓ ยังทรงศักดิเปนพระเจ้าราชวรวงศเธอ มาเปลี่ยนเปนพระเจ้าบรมวงศเธอในรัชกาลปัจจุบันนี้
วันพฤหัศบดี เดือนยี่ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีกุญสปตศก จุลศักราช ๑๑๗๗ (พ.ศ. ๒๓๕๘) สิ้นพระชนม์ณวันพฤหัศบดีเดือน ๑๑ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีจอ โทศก จุลศักราช ๑๒๑๒ ในเวลานั้นอายุพ่อได้ ๘๒ วัน พระเจ้าราช วรวงศเธอ พระองค์เจ้าวงเดือนเสด็จป้า กับพระเจ้าราชวรวงศเธอ พระองค์เจ้าแสงจันทรเสด็จอา ทรงพระเมตตารับเอาพ่อเข้าไปเลี้ยงไว้ ที่ตำหนักในพระบรมมหาราชวัง
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ อายุพ่อประมาณได้ ๔ ปี ๕ ปี ก็ได้ขึ้นเฝ้า ฯ และตามเสด็จต่อท้ายพระเจ้าลูกเธอ และได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณเปนลำดับมา เปนเคราะห์ดีของพ่อ เผอิญทรงพระมหากรุณาได้พระราชทานหีบทองกับพานทองรองหีบเปนเกียรติยศ พ่ออุส่าห์รักษาตัวมิให้มีข้อขุ่นเคืองในใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย พระบรมวงศานุวงศ์ทุก ๆ พระองค์ก็ทรงพระเมตตากรุณา ทั้งข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ก็เมตตากรุณาพ่อ
พ่อได้รับพระมหากรุณาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปัจจุบันนี้๑มาแต่ยังทรงพระเยาว์ เคยทรงเล่นหัวกับพ่อ ครั้นโสกันต์แล้วเสด็จ ออกเล่นอยู่ที่โรงช้างพลายหนูพุก จนเสด็จไปประทับอยู่พระตำหนักสวนกุหลาบ พ่อก็ได้ไปเฝ้าบ่อย ๆ เมื่อเวลาตามเสด็จพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ประพาศหัวเมืองต่าง ๆ ก็ได้ทรงใช้สอยพ่อมาก จนถึงปีมโรงสัมฤทธิศก (พ.ศ.๒๔๑๑) เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พ่อก็ได้สนองพระคุณต่อมา ได้รับพระมหากรุณาเปนลำดับมาจนทุกวันนี้
๑ หมายความว่าพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เรื่องท้องพระโรงวัดราชาธิวาส เสด็จป้าพระองค์เจ้าวงเดือนรับสั่งเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชดำริห์จะทรงทำตำหนักตึกในพระบรมมหาราชวัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อตำหนักฝากระดานไปปลูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอที่ออกวัง "เจ้าน้องงอนรถ" อยากทำท้องพระโรงเอง จึงได้กราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ จึงพระราชทานเงินค่าทำท้องพระโรง และท้องพระโรงหลังนี้ "เจ้าน้องงอนรถลงแรงมาก เขียนเองสลักเอง" โดยรับสั่งเล่าอย่างนี้ ภายหลังพระราชทานวังเสด็จพ่อแก่พระองค์เจ้าเปียก ครั้นสิ้น พระชนม์แล้ว พระราชทานกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ ต่อมา ก็ไม่มีผู้รักษาเกือบจะเปนอันตรธานไป เดชะบุญในรัตนโกสินทรศก ๑๒๗ (พ.ศ.๒๔๕๑) นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิสังขรณ์วัดราชา ธิวาส ทรงระลึกได้โดยได้เคยเสด็จพระราชดำเนินประทับในท้องพระโรงนี้หลายคราว ทรงพระราชดำริห์เห็นว่าเปนท้องพระโรงที่ทำงดงาม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้รื้อไปปลูกไว้เปนหอสวดมนต์ที่วัดราชาธิวาส ได้ดำรงอยู่ในพระสาสนาต่อไป พ่อดีใจเปนล้นเหลือ๑
๑ ที่หม่อมเจ้าแดงเอาเรื่องท้องพระโรงมาเล่าไว้ในเรื่องประวัติด้วยนั้น เพราะความพึ่งปรากฎว่าท้องพระโรงหลังนั้นเปนของพระองค์เจ้างอนรถทรงสร้าง และสลักด้วยฝีพระหัตถ์ เมื่อย้ายไปปลูกที่วัดราชาธิวาส หม่อมเจ้าแดงเขียนเรื่องประวัติ จึงเล่าเรื่องท้องพระโรงไว้ด้วย
เรื่องประวัติของหม่อมเจ้าแดงอันสมควรจะกล่าว แต่ไม่ปรากฎในหนังสือที่เธอเรียบเรียงไว้ยังมีอยู่อิก คือเมื่อหม่อมเจ้าแดงเข้าไปอยู่ ที่ตำหนักพระองค์เจ้าวงเดือนแต่ยังเยาว์นั้น หม่อมราชวงศหญิงเอี่ยมหม่อมมารดาของหม่อมเจ้าหญิงอ่าง ได้เปนผู้เลี้ยงดูให้อยู่ด้วยกันกับหม่อมเจ้าหญิงอ่าง ๆ แก่กว่าหม่อมเจ้าแดงหลายปี ก็ได้เปนผู้ช่วย ดูแลเลี้ยงหม่อมเจ้าแดงด้วย หม่อมเจ้าแดงจึงเคารพนับถือหม่อมราชวงศเอี่ยมเหมือนมารดา และสนิทชิดชอบกับหม่อมเจ้าหญิงอ่างเหมือนเช่นเปนเจ้าพี่เจ้าน้องร่วมกรมกันสืบมา ครั้นหม่อมเจ้าแดงเติบใหญ่ มีบุตรธิดา มักเลี้ยงไว้ไม่รอด หม่อมราชวงศหญิงโตเปนคนแรกที่ อยู่ได้จนโต หม่อมเจ้าหญิงอ่างจึงรับไปเลี้ยงที่ในพระบรมมหาราชวัง หม่อมเจ้าหญิงอ่างได้เปนผู้อุปการะเลี้ยงดูหม่อมราชวงศหญิงโตต่อมาอิกชั้นหนึ่ง จนหม่อมราชวงศหญิงโตเติบใหญ่ ได้เปนชายาในสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ จึงทำปฏิการะสนองพระคุณหม่อมเจ้าหญิงอ่างสืบมาจนเปนเจ้าภาพงานศพเปนที่สุด
หม่อมเจ้าแดงนั้น เรื่องประวัติตามที่ทราบกันอยู่ในเจ้านาย ดูแปลกกับหม่อมเจ้าองค์อื่น ๆ โดยมาก คืออาภัพด้วยพระบิดาสิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์ ไม่ได้โอกาศที่จะได้รับรู้วิชาการโดยกระบวรฝึกหัด ในสำนักงานตามแบบเก่า ครั้นถึงสมัยเมื่อได้ความรู้กันโดยกระบวร ร่ำเรียน หม่อมเจ้าแดงก็มีอายุมากเกินกว่าที่จะเข้าโรงเรียนเสียแล้ว ทั้งเปนผู้ซึ่งกำลังร่างกายไม่แข็งแรง จึงไม่ได้รับราชการมีตำแหน่ง ในกรมหนึ่งกรมใด แต่ได้อาศรัยโอกาศที่เข้าไปอยู่ในพระบรม มหาราชวัง เพราะเปนกำพร้าแต่ยังเยาว์ กับทั้งที่มีอัธยาศรัย
สุภาพเรียบร้อย เปนเหตุให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตา โปรด ฯ ให้เฝ้าแหนตามเสด็จในหมู่พระเจ้าลูกเธอ ก็เลยได้คุ้นเคยชอบพระราชอัธยาศรัยของพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวมาแต่ทรงพระเยาว์ ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติหม่อมเจ้าแดงจึงเปนผู้ซึ่งสนิทในพระองค์ยิ่งกว่าหม่อมเจ้าองค์อื่น ๆ โดยมาก ได้พระราชทานที่สร้างตำหนักที่ริมถนนราชินีต่อกับบริเวณที่ว่าการกระทรวงเกษตราธิการบัดนี้ และได้พระราชทานเบี้ยหวัดมากกว่าหม่อมเจ้าชั้นเดียวกัน หากขาดความสามารถด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้ว จึงมิได้ทรงตั้งแต่งให้มีตำแหน่งในราชการ ความข้อนี้หม่อมเจ้าแดง ก็แจ้งตระหนักมิได้ทเยอทยาน แต่อุสาหะเข้าเฝ้าแหนเปนนิจมิได้มี เวลาที่จะขาด ความหมั่นของหม่อมเจ้าแดงปรากฏในพระราชสำนักครั้งรัชกาลที่ ๕ จนเจ้านายพอพระหฤทัยที่จะยกเปนตัวอย่าง เมื่อทรงสรรเสริญคนหมั่นมักตรัสว่า "หมั่นเหมือนเจ้าแดง" ดังนี้ และ อาศรัยความหมั่นนั้นเปนเหตุพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเงินเบี้ยหวัดพิเศษแก่หม่อมเจ้าแดงในงานเฉลิมพระชนม์พรรษาปีละ ๔๐๐ บาททุกปีมา มีหม่อมเจ้าแดงองค์เดียวที่ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดพิเศษเช่นนั้น มาจนในรัชกาลปัจจุบันนี้ เมื่อหม่อมอมรวงศวิจิตร (ม.ร.ว.ถม คเนจร ณกรุงเทพ) ปลัดมณฑลอิสาณไปถึงแก่กรรมในราชการ จึงพระราชทานเบี้ยหวัดพิเศษแก่หม่อมเจ้าเมฆิน ในพระเจ้าบรมวงศเธอชั้น ๓ กรมหมื่น อมเรนทรบดินทรผู้บิดา ซึ่งหม่อมอมรวงศวิจิตรเคยเลี้ยงดูอยู่นั้น เพิ่มขึ้นอิกองค์หนึ่ง ได้รับพระราชทานจนตลอดชนมายุทั้ง ๒ องค์
หม่อมเจ้าแดงมีอัธยาศรัยสุภาพอ่อนโยน เปนเหตุให้ผู้ที่ได้สมาคมชอบพอ โดยเฉพาะในราชสกุล ไม่เลือกว่าเจ้านายที่ทรงพระเกียรติยศชั้นใด ฤๅมีพระชัณษารุ่นใด ที่ได้ทรงคุ้นเคยแล้วจะไม่โปรดหม่อมเจ้าแดงนั้นเห็นจะมีน้อย.
เมื่อรัชกาลที่ ๕ หม่อมเจ้าแดงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ตติยจุลจอมเกล้า สำหรับสกุลพระเจ้าบรมวงศเธอ พระองค์เจ้างอนรถ อย่าง ๑ เหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๔ ชั้นที่ ๔ อย่าง ๑ เหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๕ ชั้นที่ ๔ อย่าง ๑ มาถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ชั้นที่ ๔ อิกอย่าง ๑
หม่อมเจ้าหญิงอ่างประชวรสิ้นชีพตักษัยที่วังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ คำณวนชนมายุได้ ๗๗ ปี
หม่อมเจ้าแดงประชวรสิ้นชีพตักษัยที่วังริมถนนราชินี เมื่อ วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๙ คำณวนชนมายุได้ ๖๗ ปี
กำหนดงานปลงศพหม่อมเจ้าทั้ง ๒ องค์นั้น จะได้รับพระราชทานเพลิงในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ สิ้นเนื้อความในเรื่องประวัติของหม่อมเจ้าหญิงอ่างและหม่อมเจ้าแดงเพียงเท่านี้
อนึ่งในการปลงศพหม่อมเจ้าแดงนั้น หม่อมราชวงศหญิงโตปรารภจะสร้างสิ่งซึ่งจะเปนถาวรประโยชน์สืบอายุพระสาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลสนองพระคุณ และเปนที่เชิดชูชื่อท่านบิดาไว้ในวัดพระเชตุพน ฯ
อันเปนที่บำเพ็ญการกุศลของสกุลมาแต่ก่อน ได้ไปหารือพระญาณโพธิ (ใจ) พระราชาคณะในวัดนั้น ทราบว่าศาลาที่พระภิกษุสามเณรจะเล่าเรียนพระปริยัติธรรมเปนของต้องการอยู่ในวัดพระเชตุพน ฯ จึงนำความ นั้นกราบทูลแด่สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ ก็ทรงอนุโม ทนายินดีที่จะรับช่วยจัดการให้สมประสงค์ จึงทรงคิดแบบอย่างแล้วสร้างศาลาเรียนหลัง ๑ โดยฝีมืออย่างประณีต ณที่ซึ่งพระสงฆ์แสดงถวายในบริเวณคณะกลาง ทรงขนานนามว่า "ศาลาแดง" กำหนด จะได้ฉลอง และเปิดเปนที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรมต่อเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าแดงเปนต้นไป.
กรรมการหอพระสมุด ฯ ขออนุโมทนากุศลบุญราษีทักษิณานุปทานซึ่งหม่อมราชวงศหญิงโต จิตรพงศ ณกรุงเทพ บำเพ็ญในการปลง ศพสนองพระคุณเจ้าบิดา และหม่อมเจ้าหญิงอ่างผู้เปนบุรพการีด้วยความกตัญญูกตเวที และได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันแพร่หลายเปนครั้งแรก หวังใจว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับสมุดเล่มนี้ไป คงจะพอใจและอนุโมทนาด้วยทั่วกัน.
สภานายก
หอพระสมุดวิชรญาณ
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕
สารบาน
อธิบายเรื่องตำนานวังเก่า น่า ก
ตำนานวังเก่า ตอนที่ ๑ ว่าด้วยพระราชวังทั้ง ๓ " ๑
ว่าด้วยลูกเธอและหลานเธอในรัชกาลที่ ๑ " ๑
ว่าด้วยสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ " ๒
ว่าด้วยพระบรมมหาราชวัง " ๖
ว่าด้วยพระราชวังบวรสถานมงคล " ๙
ว่าด้วยพระราชวังบวรสถานพิมุข " ๑๑
ตอนที่ ๒ ว่าด้วยวังเจ้านายสร้างในรัชกาลที่ ๑ " ๑๔
๑ วังริมป้อมพระสุเมรุ " ๑๔
๒ วังริมป้อมจักรเพชร์ " ๑๕
๓ วังริมวัดโพธิ " ๑๕
๔ วังปากคลองวัดชนะสงคราม " ๑๗
๕ วังสวนมังคุด " ๑๘
๖ วังบ้านปูน " ๑๙
๗ พระนิเวศน์เดิม " ๒๐
๘ พระราชวังเดิม " ๒๑
๙ วังคลังสินค้า " ๒๓
๑๐ วังท่าเตียน " ๒๓
๑๑ วังถนนน่าพระลาน วังตวันออก " ๒๔
๑๒ วังถนนน่าพระลาน วังกลาง " ๒๕
๑๓ วังถนนน่าพระลาน วังตวันออก " ๒๖
๑๔ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๑ น่า ๒๗
๑๕ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๒ " ๒๗
๑๖ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๓ " ๒๘
๑๗ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๔ " ๒๘
๑๘ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๕ " ๒๙
๑๙ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๖ " ๒๙
๒๐ วังริมสนามชัย วังเหนือ " ๒๙
๒๑ วังริมสนามชัย วังกลาง " ๒๙
๒๒ วังริมสนามชัย วังใต้ " ๓๐
๒๓ วังริมสนามวังน่า วังที่ ๑ " ๓๑
๒๔ วังริมสนามวังน่า วังที่ ๒ " ๓๒
๒๕ วังริมสนามวังน่า วังที่ ๓ " ๓๒
๒๖ วังริมสนามวังน่า วังที่ ๔ " ๓๓
ตอนที่ ๓ ว่าด้วยวังเจ้านายสร้างในรัชกาลที่ ๒ " ๓๔
ว่าด้วยลักษณสร้างวังเจ้านายแต่โบราณ " ๓๔
ว่าด้วยพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๒
ที่ออกวังในรัชกาลนั้น " ๓๗
๑ วังริมสพานช้างโรงสี วังเหนือ " ๓๘
๒ วังริมสพานช้างโรงสี วังใต้ " ๓๘
๓ วังท้ายหับเผย วังที่ ๑ " ๓๙
๔ วังท้ายหับเผย วังที่ ๒ " ๓๙
๕ วังท้ายหับเผย วังที่ ๓ น่า ๔๐
๖ วังถนนบ้านหม้อ " ๔๐
๗ วังถนนสามชัย วังที่ ๑ " ๔๑
๘ วังถนนสามชัย วังใต้ " ๔๑
๙ วังริมแม่น้ำ ใต้วัดพระเชตุพน " ๔๑
ว่าด้วยพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๒
ที่ออกวังในรัชกาลที่ ๓ " ๔๒
๑๐ วังถนนจักรเพชร์ " ๔๔
๑๑ วังถนนสพานหัวจรเข้ " ๔๕
๑๒ วังริมประตูสำราญราษฎร์ วังตวันออก " ๔๕
๑๓ วังริมประตูสำราญราษฎร์ วังกลาง " ๔๕
๑๔ วังริมประตูสำราญราษฎร์ วังตวันตก " ๔๖
๑๕ วังริมพระนิเวศน์เดิม ที่ ๑ " ๔๖
๑๖ วังถนนพระอาทิตย์ วังที่ ๑ " ๔๗
ว่าด้วยพระเจ้าลูกเธอ ในกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
ที่ออกวังในรัชกาลที่ ๒ " ๔๗
๑๗ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๑ " ๔๗
๑๘ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๒ " ๔๘
๑๙ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๓ " ๔๘
๒๐ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๔ " ๔๘
๒๑ วังริมพระนิเวศน์เดิม วังที่ ๒ " ๔๘
๒๒ วังริมพระนิเวศน์เดิม วังที่ ๓ " ๔๙
ว่าด้วยพระเจ้าลูกเธอ ในกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
ที่ออกวังในรัชกาลที่ ๓ น่า ๔๙
๒๓ วังถนนโรงครก วังที่ ๑ " ๕๐
๒๔ วังถนนโรงครก วังที่ ๒ " ๕๐
๒๕ วังคลองตลาด วังที่ ๑ " ๕๐
๒๖ วังหลังวัดชนะสงคราม " ๕๑
๒๗ วังริมคลองบางลำภู วังที่ ๓ " ๕๑
ตอนที่ ๔ ว่าด้วยวังเจ้านายสร้างในรัชกาลที่ ๓ " ๕๒
ว่าด้วยพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๓
ที่ออกวังในคราวแรก " ๕๒
๑ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๑ " ๕๓
๒ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๒ " ๕๓
๓ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๓ " ๕๓
๔ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๔ " ๕๔
๕ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๕ " ๕๔
ว่าด้วยพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๓
ที่ออกวังในตอนกลาง " ๕๕
๖ วังริมแม่น้ำ (เหนือป้อมมหาฤกษ์) " ๕๖
๗ วังริมแม่นำ้ (ใต้ปัอมมหาฤกษ)์ " ๕๖
๘ วังถนนสนามชัย วังที่ ๓ " ๕๖
ว่าด้วยพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๓
ที่ออกวังในตอนหลัง " ๕๗
๙ วังถนนเฟื่องนคร วังเหนือ " ๕๗
๑๐ วังถนนเฟื่องนคร วังใต้ น่า ๕๗
๑๑ วังริมคลองสพานถ่าน " ๕๗
๑๒ วังคลองตลาด วังที่ ๒ " ๕๘
๑๓ วังถนนมหาชัย วังเหนือ " ๕๙
๑๔ วังถนนมหาชัย วังกลาง " ๕๙
๑๕ วังถนนมหาชัย วังใต้ " ๖๐
ว่าด้วยพระเจ้าลูกเธอ ในกรมพระราชวังบวร
มหาศักดิพลเสพที่ได้ออกวัง " ๖๐
๑๖ วังถนนพระอาทิตย์ วังที่ ๒ " ๖๑
๑๗ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๕ " ๖๑
ตอนที่ ๕ ว่าด้วยสร้างวังในรัชกาลที่ ๔ " ๖๒
ว่าด้วยพระราชวังที่เสด็จประพาศครั้งกรุงศรีอยุธยา " ๖๒
ว่าด้วยการสร้างพระราชวังสำหรับประพาศในรัชกาลที่ ๔ " ๖๓
พระราชวังประทุมวัน " ๖๔
พระราชวังนันทอุทยาน " ๖๔
พระราชวังสราญรมย์ " ๖๕
พระราชวังเมืองสมุทปราการ " ๖๖
พระราชวังบางปอิน " ๖๖
พระราชวังจันทรเกษม " ๖๖
พระราชวังท้ายพิกุล ที่เขาพระพุทธบาท " ๖๗
พระนารายยราช์นิเวศน์ ที่เมืองลพบุรี " ๖๗
พระนครปฐม ที่จังหวัดนครไชยศรี น่า ๖๘
พระนครคิรี เมืองเพ็ชรบุรี " ๖๙
ว่าด้วยพระบวรราชวังสร้างในรัชกาลที่ ๔ " ๖๙
พระบวรราชวังใหม่ ในกรุงเทพ ฯ " ๖๙
พระบวรราชวังสีทา ที่จังหวัดสระบุรี " ๗๐
ว่าด้วยวังเจ้านายสร้างในรัชกาลที่ ๔ " ๗๑
๑ วังกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ " ๗๒
๒ วังกรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธร " ๗๓
ว่าด้วยการสร้างวังพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๔ " ๗๓
๓ วังกรมพระนเรศวรฤทธิ์ " ๗๗
๔ วังกรมหลวงพิชิตปรีชากร " ๗๗
๕-๖ วังกรมหลวงอดิศรอุดมเดช " ๗๗
๗ วังกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ " ๗๘
๘ วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ " ๗๘
๙ วังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร " ๗๙
๑๐ วังกรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ " ๗๙
๑๑ วังกรมขุนสิริธัชสังกาศ " ๗๙
๑๒ วังกรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ " ๘๐
๑๓ วังพระองค์เจ้ากาพย์กนกรัตน " ๘๐
๑๔-๑๕ วังสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศวโรปการ " ๘๐
๑๖ วังสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศวรเดช " ๘๑
๑๗ วังสมเด็จ ฯ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส น่า ๘๑
๑๘ วังกรมพระสมมตอมรพันธุ์ " ๘๑
๑๙ วังกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา " ๘๑
๒๐ วังกรมหมื่นพงศาดิศรมหิป " ๘๒
๒๑ วังกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ " ๘๒
๒๒ วังกรมพระดำรงราชานุภาพ " ๘๒
๒๓-๒๔ วังกรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา " ๘๒
๒๕ วังกรมขุนมรุพงศสิริพัฒน์ " ๘๒
๒๖ วังกรมหลวงสวัสดิวัตนวิศิษฏ์ " ๘๓
๒๗-๒๘ วังกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย " ๘๓
ว่าด้วยลูกเธอ ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ออกวังในรัชกาลที่ ๔ " ๘๓
๒๙ วังกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (วังใหม่) " ๘๕
๓๐ วังกรมหมื่นบริรักษ์นรินทรฤทธิ์ " ๘๖
๓๑ วังกรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ " ๘๖
๓๒ วังพระองค์เจ้าโต " ๘๖
๓๓ วังกรมหมื่นวรวัฒน์ศุภากร " ๘๗
๓๔ วังกรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ " ๘๗
ตอนที่ ๖ ว่าด้วยสร้างวังในรัชกาลที่ ๕ " ๘๘
ว่าด้วยพระราชวังที่ทรงสร้างใหม่ " ๘๘
พระราชวังดุสิต " ๘๘
พระตำหนักพญาไท น่า ๘๙
พระราชวังบางปอิน " ๘๙
ว่าด้วยพระราชวังเมืองราชบุรี " ๙๐
พระราชวังริมน้ำ ที่เมืองราชบุรี " ๙๑
พระราชวังบนเขาสัตนาถ " ๙๑
พระราชวังจุฑาธุชราชฐาน " ๙๒
พระราชวังรัตนรังสรรค์ " ๙๒
พระราชวังบ้านปืน " ๙๔
ว่าด้วยวังกรมพระราชวังบวร ฯ ทรงสร้างในรัชกาลที่ ๕ " ๙๕
ว่าด้วยวังเจ้านายรัชกาลอื่นสร้างในรัชกาลที่ ๕ " ๙๕
๑ วังสวนหลวง วังเหนือ " ๙๖
๒ วังสวนหลวง วังใต้ " ๙๖
ว่าด้วยการสร้างวังสำหรับพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๕ " ๙๖
๑ วังสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ " ๙๗
๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน " ๙๘
๓ วังสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต " ๙๘
๔ วังสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ " ๙๘
๕ วังสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมหลวงนครราชสิมา " ๙๙
๖ วังสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ " ๙๙
๗ วังสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนเพ็ชร์บูรณ์อินทราไชย " ๙๙
๘ วังสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา " ๑๐๐
๙ วังสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนลพบุรีราเมศวร์ น่า ๑๐๐
๑๐ วังกรมพระจันทบุรีนฤนาถ " ๑๐๐
๑๑ วังกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ " ๑๐๐
๑๒ วังกรมหลวงปราจิณกิติบดี " ๑๐๑
๑๓ วังกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช " ๑๐๑
๑๔ วังกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ " ๑๐๑
๑๕ วังกรมหลวงกำแพงเพชรอัครโยธิน " ๑๐๑
๑๖ วังกรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม " ๑๐๑
๑๗ วังกรมขุนสิงหวิกรมเกรียงไกร " ๑๐๒
๑๘ วังกรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี " ๑๐๒
๑๙ วังกรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส " ๑๐๒
๒๐ วังกรมขุนไชยนาทนเรนทร " ๑๐๒
ว่าด้วยวังหลานเธอในรัชกาลที่ ๕ " ๑๐๒
ว่าด้วยวังลูกเธอ ในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๕ " ๑๐๓
สารบานวังเก่าตามรายพระนามเจ้านาย " ๑๐๖
บอกแก้คำผิด
คำว่า "กรมหมื่นนรินทรภักดี" น่า ๒ บันทัด ๔ ให้แก้เปน
"กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์"
คำว่า "กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์" น่า ๑๖ บันทัด ๑๗ ให้แก้เปน
"กรมหมื่นนรินทรเทพ"
คำว่า "พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าโต" น่า ๒๘ บันทัด ๑๕ ให้แก้เปน "พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าโต"
คำว่า "พระองค์เจ้าศรีสังข์ ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ" น่า ๔๙ บันทัด ๓ ให้แก้เปน "พระองค์เจ้าศรีสังข์ ใน
กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์"
อธิบายเรื่องตำนานวังเก่า
เรื่องตำนานวังเก่านี้ พระเจ้าบรมวงศเธอชั้น ๓ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณทรงริแต่งขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๕ ว่าด้วยสร้างพระราชวังและวังเจ้านายครั้งรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๒ แล้วโปรดให้เขียนเปนหนังสือเส้นหมึกประทานชำร่วยแก่เจ้านายที่ไปถวายรดน้ำสงกรานต์ ข้าพเจ้าได้ประทานฉบับ ๑ อ่านแล้วเก็บรักษามาจนรัชกาลปัจจุบันนี้ ค้นหนังสือไปพบเข้า นึกว่าหนังสือเรื่องนั้นถ้าแต่งต่อเสียให้บริบูรณ์ ก็จะเปนประโยชน์ในทางความรู้ สมควรจะพิมพ์เปนหนังสือหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครได้ แต่การที่จะแต่งต่อนั้น เห็นว่าตำนานวังเจ้านาย รัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๕ พอจะสืบเรื่องได้ไม่ยาก ลำบากอยู่แต่เรื่องวังเจ้านายรัชกาลที่ ๓ ไม่รู้ว่าจะสืบถามหาเรื่องราวที่ผู้ใดดี จึงทูลปฤกษาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ ทรงแนะนำให้ถามหม่อมเจ้าแดง ในพระเจ้าบรมวงศเธอชั้น ๓ พระองค์เจ้างอนรถ ข้าพเจ้าทำตามทรงแนะนำก็ทราบเรื่องวังเจ้านายครั้งรัชกาลที่ ๓ สมประสงค์ ได้จดเปนหัวข้อไว้ แต่ยังหาได้แต่งขึ้นเปนเรื่องสำหรับพิมพ์ไม่
ครั้นหม่อมเจ้าแดงสิ้นชีพตักษัย หม่อมราชวงศหญิงโต จิตรพงศ ณกรุงเทพ ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ ประสงค์จะพิมพ์หนังสือเปนของแจกเนื่องในทักษิณานุปทาน ที่บำเพ็ญสนองพระคุณบิดา ขอให้ข้าพเจ้าช่วยจัดการพิมพ์หนังสือนั้น สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศทรงเตือนถึงเรื่องตำนานวังเก่าที่ข้าพเจ้าได้ไต่ถามหม่อมเจ้าแดงไว้ ทรงพระดำริห์ว่าถ้าพิมพ์หนังสือเรื่องนั้นได้ก็
ข
จะเหมาะดี ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย จึงได้แต่งเรื่องตำนานวังเก่าที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ขึ้นใหม่ทั้งเรื่อง
การที่แต่งหนังสือเรื่องนี้ได้อาศรัยสอบแผนที่เก่าซึ่งมีอยู่ในกรมแผนที่ประกอบกับความรู้ที่สืบสวนได้ความแต่ที่ต่าง ๆ คือในหนังสือพงศาวดารและจดหมายเหตุบ้าง ในหนังสือซึ่งกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณทรงพระนิพนธ์ไว้บ้าง ได้จากคำชี้แจงของหม่อมเจ้าแดงบ้าง ไต่ถาม หม่อมเจ้าอุทัย ในพระเจ้าราชวรวงศเธอชั้น ๒ กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ และท่านผู้อื่นได้ความต่อมาในเวลาเมื่อจะแต่งหนังสือนี้อิกบ้าง แต่เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเรียบเรียงไว้ในหนังสือนี้ จะรับว่าถูกถ้วนทีเดียว ไม่ได้ ด้วยเปนการเก่าแก่ ความบางแห่งหมดตัวผู้รู้ต้องสันนิษฐาน เอาเองก็มี ที่ไม่รู้ว่าจะสันนิษฐานอย่างไรทีเดียวก็มี ถึงกระนั้นก็ดี เข้าใจว่าเรื่องราวเพียงเท่าที่ได้ความมาเรียบเรียงไว้ในสมุดเล่มนี้ คง จะเปนประโยชน์ในทางความรู้ได้บ้าง.
ตำนานวังเก่าในกรุงเทพ ฯ
ตอนที่ ๑ ว่าด้วยพระราชวังทั้ง ๓
เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เริ่มทรงสร้างกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร ฯ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕ นั้น เจ้านายพระองค์ชาย ซึ่งเจริญพระชัณษาสมควรจะเสด็จอยู่วังต่างหากมีเจ้าฟ้า ๗ พระองค์ พระองค์เจ้า ๓ พระองค์ รวมเปน ๑๐ พระองค์ ด้วยกัน คือ
สมเด็จพระอนุชาธิราช มหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์ ๑
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา พระองค์ ๑
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (คือ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เวลานั้นพระชัณษาได้ ๑๖ ปี) พระองค์ ๑
สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (ซึ่งต่อมาทรงสถาปนาเปนกรมพระราชวังหลัง) พระองค์ ๑
สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์ พระองค์ ๑
สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทรรณเรศร์ พระองค์ ๑ (สมเด็จพระเจ้าหลานเธอทั้ง ๒ พระองค์นี้ เปนพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี)
๑
๒
สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ (เปนโอรสของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์น้อย เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์) พระองค์ ๑
กรมหมื่นนรินทรภักดี พระภัศดาของพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้ากุ (ซึ่งทรงสถาปนาพระนามพระอัฐิเปนกรมหลวงนรินทรเทวีเมื่อในรัชกาลที่ ๔) พระองค์ ๑
พระองค์เจ้าขุนเณร เปนพระอนุชาของกรมพระราชวังหลัง แต่มิได้ร่วมพระชนนี พระองค์ ๑
หม่อมเรือง ซึ่งกรมพระราชวังบวร ฯ ทูลขอให้ยกขึ้นเปนเจ้าเพราะทรงนับถือเปนพระภาดา โดยได้กระทำสัตย์ไว้ต่อกัน (ภายหลังได้เปนกรมขุนสุนทรภูเบศร์) พระองค์ ๑
เจ้านายพระองค์ชายนอกนี้ยังทรงพระเยาว์อยู่ทั้งนั้น วังซึ่งสร้างพร้อมกรุงรัตนโกสินทร จึงมีแต่พระราชวังหลวง พระราชวังบวรสถานมงคล กับวังเจ้านายอิก ๘ วัง (แลใน ๘ วังนั้น ต่อมาทรงสถาปนาเปนพระราชวังหลังวัง ๑) รวมทั้งสิ้นเปน ๑๐ วังด้วยกัน
วังซึ่งสร้างในชั้นแรก การเลือกที่ตั้งวังเนื่องด้วยการสร้างพระนคร อมรรัตนโกสินทร ฯ เปนสำคัญ เพราะฉนั้นจะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่สร้างพระนคร ฯ อันเปนปัจจัยแก่การสร้างวังให้ปรากฎก่อน แล้วจึงจะกล่าวบรรยายถึงเรื่องวังต่อไป
เดิมเมืองธนบุรีตั้งอยู่ทางฝั่งแม่น้ำฟากตวันตกฝั่งเดียว ครั้นขุนหลวงพระยาตากมาตั้งเมืองธนบุรีเปนราชธานี จะขยายบริเวณเมือง
๓
ให้ใหญ่โตออกไปให้สมกับที่เปนราชธานี จึงให้ขุดคูแล้วสร้างปราการพระนครทางข้างฟากตวันออกอิกฝ่ายหนึ่ง(คือ แนวคลองตลาดทุกวันนี้๑) ทางข้างฟากตวันตกก็ให้ขุดคูเมืองธนเดิมก่อปราการต่อขึ้นไปทางข้างเหนือ จนถึงคลองบางกอกน้อย แนวคูกรุงธนบุรีด้านตวันตก ปากคูข้างใต้ต่อคลองบางกอกใหญ่ที่ริมวัดโมลีโลก ผ่านหลังวัดอรุณ ฯ แลบ้านขมิ้นไปออกคลองบางกอกน้อยที่หลังวัดอมรินทร ยังเปน คลองเรืออยู่จนบัดนี้ เว้นแต่ที่ตรงปากคูตอนต่อคลองบางกอกน้อยนั้นถมเสียเมื่อทำทางรถไฟสายตวันตก การที่สร้างกรุงธนบุรีจึงเปลี่ยน แผนที่เมืองเดิม ซึ่งตั้งฝั่งเดียวเอาแม่น้ำไว้ทางน่าเมือง กลายเปน เมืองตั้งสองฟากเอาแม่น้ำไว้กลางเมือง
แผนที่เมืองอย่างที่เอาลำน้ำไว้กลางเมืองเช่นว่านี้มักเรียกกันว่า "เมืองอกแตก" ชวนให้เข้าใจว่าปราศจากชัยภูมิ แต่ที่จริงเปนแบบอย่างอันหนึ่งซึ่งนับถือกันมาแต่โบราณ เมืองโบราณที่สร้างปราการสองฟากเอาลำน้ำไว้กลางเช่นนี้มีหลายเมือง คือ เมืองพิษณุโลก เมืองเพ็ชร์บูรณ์ เมืองสรรคบุรี เมืองสุพรรณบุรีเปนต้น เพราะมีประโยชน์ ในการบางอย่าง เช่นอาจจะเอาพาหนะสำหรับใช้ทางน้ำรักษาไว้ได้ในเมือง มิให้เปนอันตรายในเวลามีข้าศึกมาตั้งประชิดติดเมืองนั้นเปนต้น ความข้อนี้มีเหตุการณ์เปนอุทาหรณ์ปรากฎมาเมื่อก่อนสร้างกรุงธนบุรีไม่ช้านัก คือ เมื่อพระเจ้ามังลองยกทัพพม่ามาตีกรุงศรีอยุธยา กองทัพพม่า
๑ คลองนี้มักเรียกกันเปน ๒ ชื่อ ตอนข้างใต้เรียกว่า คลองตลาด ตอนข้างเหนือเรียกว่า คลองโรงไหม จะเรียกในหนังสือนี้ว่า คลองคูเมืองเดิมทั้ง ๒ ตอน.
๔
เข้ามาได้จนชานพระนคร มาตั้งอยู่ข้างด้านเหนือ กรุงศรีอยุธยาไม่มีที่ไว้เรือในกำแพงพระนคร ต้องถอยเรือทั้งปวงทั้งเรือหลวงและเรือสินค้าของราษฎรลงมารวมรักษาไว้ในแม่น้ำที่ตรงปากคูข้างใต้พระนคร (คือราวปากคลองตะเคียนทุกวันนี้) ข้าศึกยกอ้อมลงมาเผาเรือเสียเกือบหมด บางทีจะเปนด้วยเหตุที่ปรากฎในคราวซึ่งกล่าวนี้เอง พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงเอาแบบเมืองสองฟากลำน้ำมาสร้างกรุงธนบุรี หาได้สร้างโดยปราศจากความพินิจพิจารณาไม่ แต่ภายหลังมา เมื่อครั้งอะแซหวุ่นกี้เข้ามาตีหัวเมืองเหนือ พม่ามาตั้งล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ พระบาทสม เด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กับสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงรักษาเมืองต่อสู้ในครั้งนั้น ได้ทดลองรักษา "เมืองอกแตก" ต่อสู้พม่าข้าศึก ทรงทราบประจักษ์ว่า เมืองที่ตั้งสองฟากเอาแม่น้ำไว้กลางเมือง เวลาต่อสู้มีทางเสียเปรียบข้าศึก ด้วยลำแม่น้ำกีดขวางอยู่ในเมือง เวลาศึกหนักทางด้านไหนจะส่งกำลังทางด้านอื่นไปช่วยกันไม่สดวก แม่น้ำที่เมืองพิษณุโลกยังว่าแคบแลตื้นพอทำสพานเรือกให้รี้พลข้ามได้ แต่แม่น้ำข้างตอนใต้เช่นที่กรุงธนบุรีทั้งกว้างและฦก จะทำสพานข้ามก็ขัดสน ถ้ามีกองทัพใหญ่ของข้าศึกเข้ามาได้ถึงชานพระนคร เห็นจะรักษายากเต็มที พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงประจักษ์แจ้งความข้อนี้แก่พระราชหฤทัย ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงย้ายพระนครมาสร้างทางฝั่งตวันออกแต่ฟากเดียว ความที่กล่าวมานี้เปนเนื้อเรื่องที่มีมาในพระราชพงศาวดาร
๕
แต่เปนข้อที่น่าวินิจฉัยในเรื่องสร้างกรุงรัตนโกสินทรนี้ ด้วยความปรากฎว่า พอพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จผ่านพิภพ ในเดือนนั้นเองก็โปรด ฯ ให้ลงมือสร้างพระนครใหม่ ความอันนี้ส่อให้เห็นว่าการที่ย้ายพระนครนั้นเปนการที่ได้ดำริห์แลได้สำรวจตรวจที่ชัยภูมิ์ไว้แต่ก่อนแล้ว การใหญ่โตถึงปานนั้นใช่วิสัยที่จะทำโดยทรงพระราชดำริห์เปนปัจจุบันทันด่วน เมื่อคิดดูระยะเวลาตั้งแต่ศึกอะแซหวุ่นกี้มาจนเปลี่ยนรัชกาลกรุงธนบุรีมีถึง ๕ ปี เรื่องที่จะย้ายพระนครมาตั้งฟากเดียวน่าที่จะได้เคยเปนปัญหาวินิจฉัยกันมาแต่ครั้งกรุงธนบุรี ข้างฝ่ายพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระราชดำริห์เห็นควรจะย้าย แต่ฝ่ายพระเจ้ากรุงธนบุรีจะไม่เห็นชอบด้วย ฤๅมิฉนั้นจะผัดผ่อนหาเวลาที่เปนโอกาศ การจึงค้างอยู่ แต่คงได้ทรงตรวจตราเห็นที่ชัยภูมิมาแต่ครั้งกรุงธนบุรีแล้ว พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงอาจทรงสั่งให้ย้ายพระนครได้ในทันที
ทำเลที่สร้างพระนครใหม่ ถึงว่าใกล้กับเมืองธนุบรีเดิมเพียงตรงกันข้ามฟากแม่น้ำก็จริง แต่เปนที่ชัยภูมิผิดกันด้วยอยู่หัวแหลมได้แม่น้ำเปนคูเมืองสองด้าน ต้องขุดคลองเปนคูเมืองแต่ ๒ ด้าน พื้นที่ทางด้านตวันออก พ้นคลองคูออกไปในสมัยนั้นก็ยังเปนที่ลุ่ม เรียกว่าทะเลตมมาแต่โบราณ ถึงข้าศึกจะเข้ามาได้ถึงแขวงกรุงเทพ ฯ จะเข้าถึงชานพระนครทางด้านนั้นก็ยาก ด้วยมีทางเดินแต่เฉพาะบางแห่ง เพราะเหตุนี้เมื่อสร้างพระนคร เดิมกะจะสร้างสพานช้าง คือสพานอย่างที่ก่ออิฐทอดไม้เหลี่ยมเปนพื้น สำหรับให้ช้างเดินข้ามคูทางด้านตวัน
๖
ออก พระพิมลธรรมวัดโพธารามถวายพระพรห้าม จึงได้ทรงพระราชดำริห์เห็นชอบด้วย เพราะเห็นว่าถ้าข้าศึกจับต้นทางได้แล้ว ก็จะอาศรัย สพานข้ามเข้าตีพระนครได้สดวกขึ้น
ที่พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรีบสร้างพระนครใหม่ครั้งนั้น เพราะทรงคาดว่าจะมีศึกพม่ามาอิกในไม่ช้า ข้อที่ทรงคาดนี้ก็ไม่ผิด พอสร้างพระนครแล้วเมื่อปีมะเสง พ.ศ. ๒๓๒๘ ในปีนั้นเองศึกพม่าก็มีมา คือ คราวศึกใหญ่ที่พม่ายกมาทุกทาง แต่หากไทยไปสกัดตีกองทัพหลวงของพม่าแตกเสียแต่ที่ตำบลลาดหญ้าแขวงเมืองกาญจนบุรี ข้าศึกจึงมิได้เข้ามาถึงพระนคร เพราะพระนครใหม่สร้างในเวลาระแวงว่าจะมีศึกพม่าดังกล่าวมา การที่สร้างจึงทำเปน ๒ ระยะ คือระยะเบื้องต้นคงรักษากรุงธนบุรีเดิมเปนที่มั่น เปนแต่ย้ายพระราชวังกับสถานที่ต่าง ๆ ในรัฐบาลมาตั้งในกรุงธนบุรีทางฟากตวันออก ถึงระยะที่ ๒ จึงขุดคูขยายเขตร์พระนครออกไปทางตวันออกแต่ฝั่งเดียว แล้วรื้อกำแพงธนบุรีทางข้างฝั่งตวันตกเสีย คงรักษาแต่ที่ริมแม่น้ำเปนเขื่อนน่าของพระนครที่สร้างใหม่ บรรดาวังที่สร้างพร้อมกับกรุงเทพ ฯ สร้างโดยมีเหตุการณ์ที่กล่าวมาเปนปัจจัยทั้งนั้น จะกล่าวบรรยายเปนรายวังต่อไป
พระบรมมหาราชวัง
เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงย้ายพระราชวังมาตั้งทางฝั่งตวันออก ทำเลที่ในกำแพงกรุงธนุบรีทางฝั่งนี้ ตั้งแต่ปากคลองคูเมืองเดิมข้างเหนือลงมาจนปากคลองข้างใต้ มาจนริมแม่
๗
น้ำมีที่ผืนใหญ่ที่จะสร้างพระราชวังได้แต่ ๒ แปลง ๆ ข้างใต้อยู่ในระหว่างวัดโพธิ์ (เชตุพน) กับวัดสลัก (มหาธาตุ) แปลงข้างเหนือ อยู่แต่เหนือวัดสลักขึ้นไปจนคลองคูเมือง จึงสร้างพระราชวังหลวงในที่แปลงใต้สร้างพระราชวังบวรสถานมงคลในที่แปลงเหนือ ด้วยเหตุนี้พระราชวังหลวงกับวังน่าในกรุงเทพ ฯ นี้จึงใกล้ชิดกัน ผิดกับที่กรุงศรีอยุธยา
ท้องที่ตรงที่สร้างพระราชวังหลวงนี้ เมื่อครั้งกรุงธนบุรีให้พวกจีนซึ่งขึ้นอยู่ในพระยาราชาเศรษฐี๑ ตั้งบ้านเรือน เมื่อจะสร้างพระราชวัง โปรดให้พวกจีนย้ายลงไปตั้งบ้านเรือนอยู่ระหว่างวัดสามปลื้ม (จักร วรรดิ) กับวัดสำเพ็ง (ประทุมคงคา) จึงเลยเปนตลาดจีนมาจนทุกวันนี้
พระราชวังหลวงที่สร้างขึ้นในกรุงเทพ ฯ นี้ ถ่ายแผนที่พระราชวังหลวงในกรุงศรีอยุธยามาสร้างแทบทุกอย่าง เปนต้นว่าสร้างชิดข้างแม่น้ำแลหันน่าวังขึ้นข้างเหนือน้ำ เอาลำแม่น้ำไว้ข้างซ้ายวังอย่างเดียวกัน เอากำแพงเมืองด้านข้างแม่น้ำเปนกำแพงพระราชวังชั้นนอกอย่างเดียวกัน วางพระราชมณเฑียรรายเรียงเปนระยะอย่างเดียวกัน หมู่พระมหามณเฑียรตรงกับพระวิหารสมเด็จที่กรุงเก่า พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตรงกับพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ มิได้สร้างแต่พระที่นั่ง
๑ ขุนนางหัวน่าจีนแต่ก่อน ๒ คน เปนที่พระยาโชฎึกคน ๑ พระยาราชาเศรษฐีคน ๑ ครั้นมาภายหลังรวมเปนคนเดียว จึงมีชื่อว่าพระยาโชฎึกราชเศรษฐี เหมือนขุนนางหัวน่าแขก แต่ก่อนก็เปนที่พระจุฬาคน ๑ พระราชมนตรีคน ๑ เมื่อรวมเปนคนเดียว จึงชื่อว่าพระยาจุฬาราชมนตรี ดังนี้
๘
องค์กลางที่ตรงพระที่นั่งสรรเพ็ชญปราสาท (พึ่งมาสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทต่อรัชกาลที่ ๕) วัดพระศรีรัตนศาสดารามก็สร้างตรงกับวัดพระศรีสรรเพ็ชญที่ในพระราชวังกรุงเก่า แต่เครื่องที่ปลูกสร้างพระราชวังในชั้นแรกใช้เครื่องไม้ทั้งสิ้น แม้พระราชมณเฑียรฤๅป้อมปรา การรอบพระราชวังก็เปนเครื่องไม้ มาอิกชั้นหนึ่งจึงได้ทำป้อมปราการรอบพระราชวังเปนเครื่องก่ออิฐถือปูน แล้วทำพระราชมณเฑียรและพระมหาปราสาทเปลี่ยนเปนก่ออิฐถือปูน ที่เปนเครื่องก่ออิฐถือปูนมาแต่แรกมีแต่วัดพระศรีรัตนศาสดารามแห่งเดียว ตำหนักรักษาศาลาลูกขุนและคลังทั้งปวงยังเปนเครื่องไม้มาจนรัชกาลที่ ๓ จึงได้จับเปลี่ยนเปนเครื่องก่ออิฐถือปูนแต่นั้นมา
เขตร์พระราชวังหลวงซึ่งสร้างเมื่อรัชกาลที่ ๑ นั้น ด้านเหนือ ด้าน ตวันออก ด้านตวันตก ตรงเท่าทุกวันนี้ แต่เขตร์ด้านใต้ครั้งนั้นสุดเพียงป้อมอนันตคิรี เปนป้อมมุมพระราชวังทิศตวันออกเฉียงใต้ แนวกำแพงพระราชวังแต่ป้อมอนันตคิรีตรงมาทางทิศตวันตก (เข้าใจว่าตามแนวที่สร้างแถวเต๊งชั้นนอกข้างในพระราชวังนั้น) มาบรรจบป้อมสัตบรร พต ถึงรัชกาลที่ ๒ จึงขยายเขตร์พระราชวังทางด้านใต้ออกไปเท่าทุกวันนี้ และสร้างประตูพิทักษ์บวร ประตูสุนทรทิศา สกัดในระหว่างกำแพงพระราชวังชั้นในกับกำแพงเมือง ซึ่งเรียกกันว่า "ประตูแดง" แต่ก่อนนั้นมาประตูทั้ง ๒ นี้หามีไม่
การปลูกสร้างแก้ไขพระราชมณเฑียรและสถานที่ต่าง ๆ ที่ในพระราชวังในรัชกาลหลัง ๆ มีมากมายหลายอย่างนัก จะพรรณาในหนังสือ
๙
นี้ก็จะยืดยาวเกินเจตนาไป ขอยุติเพียงกล่าวถึงการชั้นแรกสร้างดังได้แสดงมาเท่านี้
นามที่เรียกว่า "พระบรมมหาราชวัง" พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พึ่งทรงบัญญัติขึ้นเมื่อในรัชกาลที่ ๔ แต่ก่อนมาในบัตร์หมายใช้ว่า "พระราชวังหลวง" ตามแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา เข้าระเบียบกับ "พระราชวังบวรสถานมงคล" และพระราชวังบวรสถานพิมุข แต่เรียกกันเปนสามัญว่า "วังหลวง วังน่า วังหลัง" ถึงรัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราชให้มีพระเกียรติยศอย่างพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เปนพระราชา ๒ พระองค์ ในแผ่นดินนั้นก็ต้องมีราชาศัพท์สำหรับจะใช้ในที่หมายความว่าฝ่ายพระองค์ไหนฝ่ายเดียว จึงทรงบัญญัติให้ใช้คำว่า "บรม" เพิ่มเข้าในฝ่ายวังหลวง คำ "บวร" เพิ่มเข้าในฝ่ายวังน่า เปนต้น ดังเช่นพระราชโองการก็เปนพระบรมราชโองการ และพระบวรราชโองการ พระราชวังหลวงและพระราชวังบวรสถานมงคลก็เปนพระบรมมหาราชวังและพระบวรราชวังดังนี้ ครั้นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตราชาศัพท์ส่วนข้างวังหน้า เช่นพระบวรราชโองการและพระบวรราชวังเปนต้นก็สูญไป แต่ฝ่ายข้างวังหลวงไม่ได้มีรับสั่งให้เลิกศัพท์ที่เติมใหม่ก็คงใช้คำ "บรม" ต่อมา จึงเรียกว่า พระบรมมหาราชวังอยู่จนทุกวันนี้
พระราชวังบวรสถานมงคล
เมื่อรัชกาลกรุงธนบุรีไม่มีพระมหาอุปราช ในกรุงธนบุรีจึงมีแต่พระราชวังหลวง ไม่มีพระราชวังบวรสถานมงคล ฤๅที่เรียกกันตาม
๒
๑๐
แบบอย่างครั้งกรุงเก่าว่า "วังน่า" ถึงรัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนาสม เด็จพระอนุชาธิราชเปนพระมหาอุปราช จึงต้องสร้างพระราชวังบวรสถานมงคลขึ้นใหม่ ตรงที่วังน่าซึ่งเปนพิพิธภัณฑ์สถานบัดนี้๑ ที่เลือกที่สร้างพระราชวังบวร ฯ ตรงนี้ เพราะในที่กำแพงกรุงธนทางฝั่ง ตวันออก อันเปนที่มั่นในเวลาสร้างพระนครอมรรัตนโกสินทร มีที่ผืนใหญ่แต่ ๒ แปลงดังกล่าวมาแล้ว ที่แปลงใต้สร้างพระราชวังหลวง ยังเหลือที่แปลงเหนือจึงสร้างพระราชวังบวร ฯ แต่ที่แปลงนี้แคบ ต้องทำผาติกรรมถวายที่เพิ่มเติมเขตร์ วัดสลักทางด้านตวันออกแลกที่วัดทางด้านเหนือไปเปนเขตร์ พระราชวังบวร ฯ และบางทีจะเปนเพราะเหตุอันนี้เอง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงทรงสร้างวัดสลัก (คือวัดมหาธาตุบัดนี้)
ครั้งนั้นการรักษาพระนครซึ่งสร้างใหม่จัดอนุโลมตามแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา เอาท้องที่ที่ตั้งพระราชวังทั้ง ๒ เปนเขตร์ปันนาที่ ให้รี้พลฝ่ายพระราชวังหลวงรักษาทางด้านใต้ รี้พลฝ่ายวังน่ารักษาทางด้านเหนือ มาบรรจบกันที่ประตูสำราญราษฎร์ (ซึ่งคนมักเรียกกันว่าประ ตูผี) การปกครองท้องที่ในพระนครก็แบ่งเปนอำเภอวังหลวงอำเภอวังน่า อนุโลมตามเขตร์นั้น สืบมาจนรัชกาลหลัง ๆ พึ่งมาเลิกเมื่อรัชกาลที่ ๕
๑. เมื่อขยายที่ท้องสนามหลวงในรัชกาลที่ ๕ รื้อพระราชวังบวร ฯ ชั้นนอกทำสนามเสียมาก ถ้าสังเกตที่พื้นสนามหลวง ยังจะแลเห็นแนวป้อมกำแพงวังของเดิมได้จนบัดนี้
๑๑
เรื่องราวพระราชวังบวรสถานมงคลต่อมามีอยู่ในหนังสือ "เรื่องตำนานวังน่า" โดยพิสดาร ได้พิมพ์ไว้ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๓ แล้ว จะไม่กล่าวซ้ำในที่นี้
พระราชวังหลัง
ชื่อที่เรียกวังน่าก็ดี วังหลังก็ดี เรียกตามแบบอย่างครั้งกรุงเก่าที่กรุงเก่านั้น วังจันทรเกษมอันเปนที่ประทับของพระมหาอุปราช อยู่ทางข้างด้านน่าพระราชวังหลวง จึงเรียกกันว่า วังน่า วังสวนหลวง (ตรงที่ตั้งโรงทหารบัดนี้) อยู่ข้างด้านหลังพระราชวังหลวง จึงเรียกกันว่า "วังหลัง" เรียกกันมาแต่ก่อนมีกรมพระราชวังหลัง ครั้นสถาปนากรมพระราชวังหลังขึ้นเมื่อรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา จึงขนานนามกรมว่า "กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข" ในกรุงเทพ ฯ นี้พระราชวัง บวรสถานมงคลยังอยู่ข้างด้านน่าพระราชวังหลวงเรียกว่า วังน่าก็ถูกตามแผนที่ แต่พระราชวังหลังนั้นผิดทิศห่างไกล ที่เรียกว่า วังหลัง จึงคงหมายความแต่ว่า เปนที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขเท่านั้น
พระราชวังหลังสร้างที่ตำบลสวนลิ้นจี่ (คือตรงที่ตั้งโรงสิริราชพยา บาลบัดนี้) ตั้งแต่กรมพระราชวังหลังดำรงพระยศเปนสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ด้วยที่ตรงนั้นมีป้อมปราการเปนมุมเมืองมาแต่ครั้งกรุงธนบุรี จึงเปนที่สำคัญสำหรับป้องกันพระนครทางฝั่งตวันตก มาสถาปนาเปนพระราชวังหลังต่อชั้นหลัง
๑๒
แต่จะก่อสร้างแปลกกับวังเจ้านายต่างกรมอย่างใดบ้าง ไม่ปรากฎสิ่งสำคัญเหลืออยู่ สืบก็ไม่ได้ความ
อนึ่งที่ซึ่งสร้างพระราชวังหลังนั้น บางทีจะสร้างตรงที่พระนิเวศน์เดิมของกรมพระราชวังหลัง ครั้งทรงปฏิบัติราชการกรุงธนบุรีก็เปนได้ ด้วยกล่าวกันมาว่าเมื่อครั้งกรุงธนบุรีนั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี พระพี่นางพระองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงตั้งพระนิเวศน์สถานอยู่ที่ตำบลสวนมังคุด แล้วทรงสร้างสวนลิ้นจี่นั้นขึ้น สมเด็จพระพี่นางพระองค์นั้นมีพระโอรสทรงปฏิบัติราชการครั้งกรุงธนบุรีถึง ๓ พระองค์ พระองค์ใหญ่ (คือกรมพระราชวังหลัง) ได้เปนพระยาสุริยอภัย พระองค์กลาง (คือกรมหลวงธิเบศร์บดินทร์) ได้เปนพระอภัยสุริยา พระองค์น้อย (คือกรมหลวงนรินทร์รณเรศร์) ได้เปนหลวงฤทธินายเวรมหาดเล็ก บางทีจะทรงโอนสวนลิ้นจี่ประทานกรมพระราชวังหลัง ซึ่งเปนพระโอรสผู้ใหญ่ให้ตั้งนิวเศน์สถาน เพราะฉนั้นจึงปรากฎในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี ครั้งพระยาสรรค์เข้ามาตีพระนคร กรมพระราชวังหลังยกกองทัพเข้ามาจากเมืองนครราชสีมา มาตั้งอยู่ที่ "พระนิเวศน์สถานเดิม" พระยาสรรค์ยุให้เจ้ารามลักษณ์ไปรบกับกรมพระราชหลัง กองทัพเจ้ารามลักษณ์ไปตั้งที่บ้านปูน และวางคนรายโอบขึ้นไปจนวัดบางว้าน้อย แล้วเอาไฟเผาบ้านเรือนราษฎรขึ้นไปแต่ข้างใต้ หมายจะให้ไหม้พระนิเวศน์สถานของกรมพระราชวังหลัง ตามความที่ปรากฎนี้บ่งว่า ขณะนั้นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี
๑๓
ประทับอยู่ที่สวนมังคุด กรมพระราชวังหลังเสด็จอยู่ที่สวนลิ้นจี่ ตั้งค่ายรักษาทั้ง ๒ แห่ง ฤๅชักแนวค่ายตลอดถึงกัน ด้วยพระนิเวศน์สถานทั้ง ๒ แห่งเกือบจะต่อติดไม่ห่างกัน
ต่อมาถึงตอนปลายรัชกาลที่ ๑ เมื่อกรมพระราชวังหลังทิวงคตแล้วที่พระราชวังหลังแบ่งเปน ๔ วัง คือ วังเดิม อันเปนตอนพระราชมณเฑียรของกรมพระราชวังหลังนั้น พระอรรคชายา ซึ่งเรียกกันว่า "เจ้าครอกข้างใน" ประทับทรงปกครองเชื้อวงศ์ของกรมพระราชวังหลังอยู่กับพระองค์เจ้าหญิงกระจับ พระองค์เจ้าหญิงจงกล ซึ่งเปนพระธิดา และพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ซึ่งเปนพระโอรสองค์น้อย ส่วนพระโอรสซึ่งทรงพระเจริญแล้ว ๓ พระองค์นั้น แบ่งที่วังหลังข้างตอนใต้ลงมา ตั้งวังเปน ๓ วัง วังเหนือเรียกกันว่า "วังน้อย" เปนที่ประทับของกรมหลวงเสนีบริรักษ์ ถัดลงมาถึง "วังกลาง" เปนที่ประทับของกรมหมื่นนเรศร์โยธี วังใต้เรียกกันว่า "วังใหญ่" เปนที่ประทับของกรมหมื่นนราเทเวศร์ เจ้าข้างในและต่างกรมในพระราชวังหลังทั้ง ๓ พระองค์เสด็จอยู่มาจนรัชกาลที่ ๓ แต่พระองค์เจ้าปฐมวงศ์นั้นทรงผนวชอยู่วัดระฆังตลอดมาจนสิ้นพระชนม์มายุในรัชกาลที่ ๓ ครั้นสิ้นพระชนม์ไปหมดแล้ว หม่อมเจ้าหม่อมราชวงศ์ในกรมก็อยู่ต่อมา หาได้มีเจ้านายพระองค์อื่นเสด็จไปอยู่พระราชวังหลังไม่
ตอนที่ ๒ ว่าด้วยวังเจ้านายสร้างในรัชกาลที่ ๑
วังเจ้านายเมื่อรัชกาลที่ ๑ สร้างเปน ๒ คราว คือสร้างพร้อมกับกรุงรัตนโกสินทรคราว ๑ สร้างเพิ่มเติมเมื่อตอนปลายรัชกาลอิกคราว ๑ วังเจ้านายซึ่งสร้างพร้อมกับกรุงรัตนโกสินทรนั้น สร้างทางพระนครใหม่ฟากตวันออก ๔ วัง ศร้างทางกรุงธนฟากตวันตก ๔ วัง จะกล่าวพรรณาว่าเปนรายวังต่อไป จะว่าด้วยวังทางฝั่งตวันออกก่อน
๑ วังริมป้อมพระสุเมรุ
วังนี้สร้างเปนที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา อยู่ตรงมุมพระนครด้านเหนือ (ยังมีประตูวังก่ออิฐ ปรากฎอยู่หลังป้อมพระสุเมรุจนบัดนี้) ที่สร้างวังนี้เดิมอยู่ในเขตร์พระนิเวศน์สถานของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เมื่อครั้งทรงปฏิบัติราชการกรุงธนบุรี แต่สมัยนั้นเปนที่อยู่นอกกำแพงเมืองข้างด้านเหนือที่สร้างพระตำหนักเห็นจะอยู่ริมแม่น้ำ ครั้นสร้างพระนครใหม่ แนวกำแพงเมืองผ่านกลางที่ แล้วเลี้ยวที่ปากคลองบางลำภูอันเปนคูพระนครใหม่ไปทางทิศตวันออก จึงสร้างป้อมพระสุเมรุเปนป้อมใหญ่ประจำมุมพระนครข้างด้านเหนือลงตรงนั้น ถือว่าเปนที่สำคัญในการป้องกันพระนครแห่ง ๑ เมื่อกรมพระราชวังบวร ฯ เสด็จมาประทับที่พระราชวังบวร ฯ แล้ว จึงพระราชทานที่พระนิเวศน์สถานเดิมตอนในกำแพงพระนครที่สร้างใหม่ ให้สร้างวังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา เพื่อประโยชน์ในการรักษาพระนครทางด้านนั้น
๑๕
วังนี้ตั้งแต่เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาสิ้นพระชนม์แล้ว หาปรากฎว่า ได้โปรด ฯ ให้เจ้านายต่างกรมฤๅพระองค์เจ้าพระองค์ใดเสด็จไปประทับไม่ กล่าวกันว่าเพราะพระภูมิเจ้าที่ร้ายแรงนัก
๒ วังริมป้อมจักรเพ็ชร
วังนี้เปนที่สำคัญสำหรับการรักษาพระนครข้างใต้ เหมือนอย่างวังเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาเปนที่สำคัญสำหรับรักษาพระนครข้างเหนือ เพราะกำแพงพระนครสร้างตามแนวลำแม่น้ำลงไปเลี้ยวเข้าคูพระนคร (ที่เรียกกันว่าคลองโอ่งอ่างบัดนี้) ที่ตรงนั้นสร้างป้อมจักรเพ็ชรไว้เปนป้อมมุมพระนครข้างใต้ เหมือนอย่างสร้างป้อมพระสุเมรุไว้ตรงมุมพระนครข้างเหนือ จึงโปรดให้สร้างวังเปนที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พระโอรสพระองค์ใหญ่ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระพี่นางพระองค์น้อย ที่ใต้วัดเลียบใกล้กับป้อมจักรเพ็ชรนั้น (มุมวังอยู่ตรงศาลเจ้าที่เชิงสพานวัดราชบุรณะบัดนี้) วังนี้เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์สิ้นพระชนม์แล้ว ก็หา ปรากฎว่าโปรดให้เจ้านายต่างกรมหรือพระองค์เจ้าพระองค์ใดเสด็จไปอยู่ไม่
๓ วังริมวัดโพธิ์
วังนี้เปนที่ประทับของกรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ พระสามีของพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้ากุ (ซึ่งทรงสถาปนาพระอัฐิเปนกรมหลวง นรินทรเทวีเมื่อในรัชกาลที่ ๔) อยู่ติดเขตร์วัดโพธิ์ (เชตุพน) ข้าง
๑๖
ด้านเหนือ เพราะฉนั้นคนทั้งหลายจึงได้ขานพระนามพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์เจ้ากุ ว่า "เจ้าครอกวัดโพธิ์" กล่าวกันว่าวังอยู่ตรงที่สร้างวิหารพระนอนวัดพระเชตุพน ด้วยในสมัยเมื่อแรกสร้างพระนครนั้น เขตร์พระราชวังหลวงด้านใต้ยังอยู่เพียงแนวแถวเต๊งตรงป้อมอนันตคิรีทางด้าน ตวันออกมาหาป้อมสัตบรรพตทางด้านตวันตก (ขยายเขตร์พระราชวังออกไปเท่าทุกวันนี้ต่อในรัชกาลที่ ๒ เขตร์วัดพระเชตุพนทางด้านตวันตกก็พึ่งขยายขึ้นมาทางพระราชวังต่อในรัชกาลที่ ๓) ที่ตั้งแต่เขตร์พระราชวังลงไปจนวัดโพธิ์ เมื่อชั้นแรกสร้างกรุงเทพ ฯ เปนบ้านเสนาบดีคือบ้านเจ้าพระยารัตนาพิพิธที่สมุหนายก แล้วถึงบ้านเจ้าพระยามหาเสนาบุนนาค แล้วจึงถึงวังกรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ ล้วนหันน่าออกถนนริมกำแพงเมือง ซึ่งเรียกกันว่าถนนท้ายสนม
ที่วังนี้บางทีจะเปนที่พระนิเวศน์เดิมของกรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ ด้วยทำราชการเปนตำแหน่งนายกวดหุ้มแพรมหาดเล็กครั้งกรุงธนบุรี และเปนบุตร์เจ้าพระยามหาสมบัติแต่ก่อน กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์สิ้นชีพตักไษยในรัชกาลที่ ๒ แต่พระองค์เจ้ากุยังเสด็จอยู่มาจนรัชกาลที่ ๓ เมื่อพระองค์เจ้ากุสิ้นพระชนม์แล้ว พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงขยายเขตร์วัดพระเชตุพน จึงโปรดให้กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์กับกรมหมื่นนเรนทรบริรักษ์ พระโอรสของกรมหลวงนรินทรเทวี ย้ายไปอยู่วังที่สร้างพระราชทานใหม่ใกล้ประตูสพานหัน (เดี๋ยวนี้รวมอยู่ในเขตร์วังบูรพาภิรมย์ทั้ง ๒ วัง)
๑๗
๔ วังปากคลองวัดชนะสงคราม
วังนี้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทโปรดให้สร้างเปนที่ประทับของกรมขุนสุนทรภูเบศร์ ๆ นี้มีนามเดิมว่า หม่อมเรือง มิได้เปนเชื้อสายในพระราชวงศ์ เดิมตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองชลบุรี เมื่อเวลาบ้านเมืองเปนจลาจลครั้งเสียกรุงเก่าแก่พม่าข้าศึก ได้มีอุปการะแก่กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และได้ปฏิญาณเปนพี่น้องกัน ครั้นเมื่อประดิษฐานพระราชวงศ์ กรมพระราชวังบวร ฯ จึงทูลขอให้ยกขึ้นเปนเจ้า เดิมได้เปนที่เจ้าบำเรอภูธรราชนิกูล ครั้นต่อมามีความชอบในการสงคราม จึงทรงสถาปนาเปนกรมหมื่น แล้วเลื่อนเปนกรมขุนสุนทรภูเบศร์
กรมขุนสุนทรภูเบศร์รับราชการอยู่ในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงห นาท กรมพระราชวังบวร ฯ จึงให้สร้างวังประทานที่ริมคลองคูเมืองเดิมทางฝั่งเหนือ ตรงพระราชวังบวร ฯ ข้าม (อยู่ริมปากคลองวัดชนะสงครามฟากตวันตกไปจนจดเขตร์โรงพยาบาลทหารเดี๋ยวนี้) วังนี้ถึงรัชกาลที่ ๓ เปนวังเจ้าฟ้าอิศราพงศ์ หม่อมเจ้าในเจ้าฟ้าอิศราพงศ์ได้ครอบครองสืบมา ทุกวันนี้เปนที่บ้านพระยาพจนปรีชา (ม.ร.ว. สำเริง อิศรศักดิ์ ณกรุงเทพ) ซึ่งเปนนัดดาของเจ้าฟ้าอิศราพงศ์
ทีนี้จะกล่าวถึงวังเจ้านายที่ตั้งทางฝั่งแม่น้ำฟากตวันตกต่อไป ลักษณแผนที่ริมแม่น้ำทางฝั่งตวันตกเมื่อครั้งกรุงธนเปนราชธานีนั้น พระราชวังตั้งอยู่สุดกำแพงกรุงธนบุรีข้างใต้ คือแต่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ขึ้นมาจนถึงคลองเหนือวัดแจ้ง เรียกว่าคลองนครบาล หมดเขตร์พระราชวังเพียงนี้
๓
๑๘
ตั้งแต่คลองนครบาลขึ้นไปจนคลองมอญเปนที่วังเจ้าและตั้งคุกในตอนนี้ เหนือคลองมอญขึ้นไปถึงบ้านเสนาบดี คือบ้านพระยาธรรมา (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) ซึ่งเปนบ้านเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชในรัชกาลที่ ๑ แล้วถึงพระนิเวศน์สถานพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก อยู่ในบริเวณที่ว่าการกระทรวงทหารเรือทุกวันนี้ ต่อพระนิเวศน์สถานเดิมขึ้นไปถึงอู่ก่ำปั่นอยู่ติดกับเขตร์วัดบางว้าใหญ่ (คือวัดระฆังบัดนี้ แต่ ว่าเขตร์วัดข้างเหนือในสมัยนั้น กล่าวกันว่าอยู่เพียงราวพระอุโบสถบัดนี้) เหนือวัดบางว้าใหญ่ขึ้นไปจนคลองบางกอกน้อย อันเปนที่สุดกำแพงกรุงธนบุรีข้างฝ่ายเหนือ เรียกว่าตำบลบ้านปูน ตำบลสวนมังคุด และตำบลสวนลิ้นจี่ เปน ๓ ตำบล มีคำกล่าวกันอิกนัยหนึ่งว่า เดิมเรียกบ้านปูนตำบลเดียว ว่าสวนมังคุดและสวนลิ้นจี่นั้นเปนของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดีทรงสร้าง แต่พิเคราะห์ดูเห็นท้องที่ยืดยาวมากนักจึงเข้าใจว่าจะเรียกนามเปน ๓ ตำบลมาแต่เดิม
๕ วังสวนมังคุด
วังนี้เดิมเปนพระนิเวศน์สถานของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี เมื่อครั้งกรุงธนเปนราชธานี ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างกรุงรัตนโกสินทร สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดีเสด็จเข้าไปประทับอยู่ในพระราชวังหลวง จึงประทานพระนิเวศน์สถานที่ตำบลสวนมังคุด ให้เปนวังเจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทรรณเรศร์ ซึ่งเปนพระโอรสพระองค์น้อยเสด็จประทับต่อมา เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร
๑๙
รณเรศร์สิ้นพระชนม์แล้ว หม่อมเจ้าในกรมอยู่วังนี้ต่อมาจนรัชกาลที่ ๓ แต่เห็นจะหมดสิ้นผู้สามารถจะปกครอง จึงปรากฎว่าเมื่อปีที่ ๖ ในรัชกาลที่ ๓ นั้น ที่วังสวนมังคุดซุดโซมมาก เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ทรงซื้อ แล้วย้ายไปสร้างวังใหม่ณที่นั้น ประทับอยู่ได้ปี ๑ ก็สิ้นพระชนม์ กรมหมื่นเทวานุรักษ์ พระโอรสพระองค์ใหญ่ได้ครอบครองต่อมา ครั้นกรมหมื่นเทวานุรักษ์สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ แต่นั้นหม่อมเจ้าในกรมขุนอิศรานุรักษ์ก็อยู่ต่อมา ยังมีกำแพงวังปรากฎอยู่มักเรียกกันว่า "วังกรมเทวา" แต่หาได้มีเจ้านายพระองค์อื่นเสด็จไปประทับไม่
๖ วังบ้านปูน
วังนี้เปนที่ประทับของพระองค์เจ้าขุนเณร อันเปนพระอนุชาต่างชนนีกับกรมพระราชวังหลัง เดิมพระองค์เจ้าขุนเณรจะตั้งนิเวศน์สถานอยู่ณที่ใดหาปรากฎไม่ ปรากฎแต่ว่าพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนาให้มียศเปนพระองค์เจ้า และมีพระเกียรติยศ ปรากฎในหนังสือพระราชพงศาวดารเมื่อเปนนายกองโจรครั้งรบพม่าที่ลาดหญ้า เมื่อเปนพระองค์เจ้าแล้วตั้งวังอยู่ที่บ้านปูนในระหว่างวังเจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทรรณเรศร์กับเขตร์วัดระฆัง ยังมีทางเดินเรียกกันว่า "ตรอกเจ้าขุนเณร" ปรากฎอยู่ทุกวันนี้ คงจะเปนแต่วังอย่างน้อย หาเปนทสำคัญอันใดไม่
๒๐
๗ พระนิเวศน์เดิม
ได้กล่าวมาแล้ว ว่าในสมัยเมื่อกรุงธนบุรีเปนราชธานี พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงตั้งพระนิเวศน์สถานอยู่ตรงที่ว่าการกระทรวงทหารเรือทุกวันนี้ เมื่อเสด็จมาประทับในพระราชวังที่นั้นเรียกว่า "จวนเดิม" พระราชทานให้เปนวังของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ คือพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อยังดำรงพระยศเปนสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ด้วยอยู่ใกล้ตรงกับพระราชวังหลวงข้ามนับว่าเปนที่สำคัญแห่ง ๑ ต่อมาเมื่อโปรด ฯ ให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม โปรด ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ พระบัณฑูรน้อยเสด็จประทับที่พระนิเวศน์เดิมต่อมาจนตลอดรัชกาลที่ ๑ เมื่อพระบัณฑูรน้อยทรงรับอุปราชาภิเษก เสด็จไปประทับพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๒ กรมพระราชวังบวร ฯ โปรดให้กรมขุนธิเบศร์บวร ซึ่งเปนพระโอรสพระองค์ใหญ่ประทับที่พระนิเวศน์เดิมต่อมา ครั้นกรมขุนธิเบศร์บวรสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒ เสด็จไปประทับต่อมาจนในรัชกาลที่ ๕ เมื่อกรมหมื่น อนัตการฤทธิ์สิ้นพระชนม์แล้ว พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานที่พระนิเวศน์เดิมให้สร้างที่ว่าการทหารเรือขยายต่อออกมาให้พอราชการ และโปรด ฯ ให้สร้างกำแพงมีใบเสมาหมายไว้เปนสำคัญ ให้ปรากฎว่าพระนิเวศน์เดิมอยู่ตรงนั้น
๒๑
๘ พระราชวังเดิม
เมื่อสร้างพระนครใหม่ ย้ายพระราชวังมาตั้งทางฝั่งตวันออก ที่พระราชวังเดิมครั้งกรุงธนบุรีว่างอยู่ แต่เปนที่สำคัญเพราะมีป้อมปราการสำหรับรักษาพระนครทางด้านใต้ฝ่ายตวันตก พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรด ฯ ให้กั้นเขตร์วังเข้าไปให้แคบกว่าเก่า คงไว้เปนวังสำหรับเจ้านาย ชั้นแรกโปรด ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศร์บดินทร พระโอรสพระองค์กลางของสมเด็จพระพี่นางเธอพระองค์ใหญ่เสด็จไปประทับ ครั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศร์ บดินทรสิ้นพระชนม์ จึงโปรด ฯ ให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม ตั้งแต่ยังเสด็จดำรงพระยศเปนสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร และเมื่อพระราชทานอุปราชาภิเษกเปนกรมพระราชวังบวร ฯ แล้วก็โปรด ฯ ให้เสด็จประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมต่อมาจนตลอดรัชกาลที่ ๑ ในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรด ฯ ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีเสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม ครั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีสิ้นพระชนม์ จึงพระราชทานพระราชวังเดิมให้เปนที่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับต่อมา ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ตลอดรัชกาล สมเด็จพระศรีสุเยนทราบรมราชินีเสด็จออกไปประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมกับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวและเสด็จสวรรคตที่พระราชวังเดิมนั้น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังเสด็จดำรงพระยศเปนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
๒๒
เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศร์รังสรรค์เสด็จประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมมาจนตลอดรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับบวรราชาภิเษกเสด็จไปประทับณพระบวรราชวัง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จไปประทับณพระราชวังเดิมต่อมาจนสิ้นพระชนม์ใน รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ เสด็จไปประทับณพระราชวังเดิม เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศ์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงพระราชทานพระราชวังเดิมให้เปนที่จัดตั้งโรงเรียนนายเรือมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
วัง ๘ วังที่พรรณามา นับว่าเปนวังตั้งพร้อมกับกรุงรัตนโกสินทร ครั้นต่อมาในรัชกาลที่ ๑ เมื่อเจ้านายพระองค์ชายซึ่งยังทรงพระเยาว์อยู่ในเวลาเมื่อสร้างกรุง ฯ ทรงพระเจริญถึงเวลาควรจะออกอยู่วังต่างหาก พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรด ฯ ให้สร้างวังเพิ่มเติมขึ้นอีก และวังซึ่งสร้างเพิ่มเติมนี้อยู่ทางฝั่งตวันออกทั้งนั้น สร้างที่ริมแม่น้ำข้างท้ายโรงวิเสทลงไปจนท่าเตียน ๒ วัง สร้างที่ริมถนนน่าพระลานแต่ท่าพระขึ้นไปจนน่าประตูวิเศษไชยศรี ๓ วัง สร้างที่ริมถนนหลักเมืองทั้ง ๒ ฟาก ๆ ละ ๓ วัง รวมเปน ๖ วัง๑ ฝ่ายกรมพระราชวังบวร ฯ ก็ทรงสร้างวังสำหรับลูกเธอที่ทรงพระเจริญขึ้นที่ริมสนามน่าพระราชวังบวร ฯ อิก ๔ วัง รวมเปนวังที่สร้างเพิ่มเติมในรัชกาลที่ ๑ เปน ๑๘ วังด้วยกัน จะพรรณาเปนลำดับกับวังที่กล่าวมาแล้วต่อไป
๑ วังที่ถนนหลักเมืองจะเปน ๕ วังฤๅ ๖ วัง และวังริมสนามชัยจะสร้างแต่รัชกาลที่ ๑ ฤๅมาสร้างต่อรัชกาลที่ ๒ สงสัยอยู่บ้าง จะอธิบายเมื่อกล่าวถึงวังนั้น ๆ
๒๓
๙ วังคลังสินค้า
วังนี้อยู่ริมแม่น้ำใต้ตำหนักแพ (เห็นจะอยู่ราวที่หมู่ตึกเหนือโรงโม่หินบัดนี้) สร้างพระราชทานสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี พระโอรสพระองค์กลางของสมเด็จพระพี่นางพระองค์น้อย เล่ากันมาว่าถึงรัชกาลที่ ๒ เกิดไฟไหม้วังนี้หมด เวลานั้นประจวบพระราชวังเดิมว่างมาแต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงโปรดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีเสด็จไปประทับที่พระราชวังเดิม ส่วนที่วังที่ไฟไหม้นั้น ภายหลังโปรดให้สร้างโรงวิเสทและคลังสินค้า แต่จะสร้างในรัชกาลที่ ๒ ฤๅรัชกาลที่ ๓ ข้อนี้ไม่ทราบแน่
๑๐ วังท่าเตียน
วังนี้อยู่ต่อวังเจ้าฟ้ากรมหลวงพิททักษมนตรีลงไปข้างใต้จนต่อบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุญ) ซึ่งอยู่ที่ท่าเตียน โปรด ฯ ให้สร้างพระราชทานสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ พระโอรสพระองค์น้อยของสมเด็จพระพี่นางพระองค์น้อย เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ประทับอยู่วังนี้จนในรัชกาลที่ ๓ ย้ายไปประทับที่วังสวนมังคุดฟากข้างโน้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานวังท่าเตียนให้กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๑ ประทับต่อมา
๒๔
ในเรื่องวังกรมหมื่นสุรินทรรักษ์นี้มีข้อสงสัยอยู่ ด้วยเสด็จออกจากวังแต่ในรัชกาลที่ ๒ จะประทับอยู่ที่ไหนก่อนเสด็จมาประทับวังท่าเตียนสืบหาได้ความไม่ สันนิษฐานว่าบางทีจะได้พระราชทานที่วังคลังสินค้า เสด็จประทับต่อเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีก็เปนได้ แต่ที่วังนั้นไฟไหม้ตำหนักเก่าเสียหมด เห็นจะสร้างแต่เปนตำหนักประทับชั่วคราว ครั้นถึงรัชกาลที่ ๓ วังเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ว่าง ทำนองจะเปนวังมีตำหนักรักษาบริบูรณ์กว่า จึงโปรด ฯ ให้ย้ายไปประทับที่วังท่าเตียนเอาที่วังก่อนทำคลังสินค้าและโรงวิเสท บางทีเรื่องจะเปนเช่นว่านี้
กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ประทับอยู่ที่วังท่าเตียนจนสิ้นพระชนม์ เจ้าจอมมารดาตานีของกรมหมื่นสุรินทรรักษ์อยู่ต่อมาจนอสัญกรรม และหม่อมเจ้าในกรมหมื่นสุรินทรรักษ์อยู่ต่อมา จนถึงรัชกาลที่ ๔ จึงสร้างศาลต่างประเทศกับตึกหลวงที่ตรงวังนั้น
๑๑ วังถนนน่าพระลาน วังตวันตก
วังนี้อยู่ในพระนครใกล้ประตูท่าพระ โปรด ฯ ให้สร้างพระราชทานสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิต ซึ่งเรียกกันว่า "เจ้าฟ้าเหม็น" พระราชนัดดา ประทับอยู่จนตลอดพระชนมายุถึงรัชกาลที่ ๒ พระราชทานให้เปนที่ประทับของพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จดำรงพระยศเปนพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติในรัชกาลที่ ๓ พระราชทานให้เปนที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ๆ สิ้นพระชนม์ พระราชทานให้เปนที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ
๒๕
พระองค์เจ้าชุมสาย ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นแล้วเลื่อนเปนกรมขุนราชสีหวิกรมในรัชกาลที่ ๔ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์เมื่อปีสิ้นรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ พระราชทานให้เปนที่ประทับของกรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๓ เมื่อกรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติสิ้นพระชนม์แล้ว จึงพระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ เสด็จประทับมาจนทุกวันนี้
๑๒ วังถนนน่าพระลาน วังกลาง
วังนี้อยู่ริมถนนน่าพระลานต่อวังท่าพระมาทางตวันออก โปรด ฯ ให้สร้างเปนที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอรุโณทัย ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นศักดิพลเสพ เสด็จอยู่มาจนรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงรับอุปราชาภิเษกเสด็จไปประทับที่พระราชวังบวร ฯ (ที่วังกลางว่างอยู่จนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์เสด็จออกวัง จึงพระราชทานวังกลางให้เปนที่ประทับ ครั้นกรมหลวงเทพพลภักดิ์สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๐ โปรด ฯ ให้เจ้าฟ้าอาภรณ์เสด็จไปประทับณวังน่าประตูวิเศษไชยศรี๑) พระราชทานวังกลางให้เปนที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าชายกลาง ซึ่งพระราชทานพระนามในรัชกาลที่ ๔ ว่า เจ้าฟ้ามหามาลา กรมขุนบำราบปรปักษ์ เสด็จอยู่จนสมเด็จเจ้าฟ้าอาภรณ์สิ้นพระชนม์ ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ
๑ ความที่ในวงกล่าวตามสันนิษฐานของข้าพเจ้า ด้วยเมื่ออุปราชาภิเษกกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ สมเด็จเจ้าฟ้าอาภรณ์พระชัณษาได้เพียง ๑๐ ปี แต่คงต้องออกวังก่อนสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา.
๔
๒๖
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้รวมวังน่าประตูวิเศษไชยศรีกับวังกลางเปนวังเดียว เปนที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนบำราบปรปักษ์และประทับต่อมาในรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงเลื่อนเปนกรมพระแล้วเปนกรมพระยา แล้วจึงสิ้นพระชนม์ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ ซึ่งเปนพระโอรสพระองค์ใหญ่ได้เสด็จอยู่ต่อมาจนตลอดพระชนมายุอิกพระองค์หนึ่ง แล้วจึงตั้งเปนโรงงานช่างสิบหมู่ ซึ่งจัดเปนที่ว่าการกรมศิลปากรในรัชกาลปัจจุบันนี้.
๑๓ วังถนนน่าพระลาน วังตวันออก
วังนี้อยู่ริมถนนน่าพระลาน ต่อวังกลางมาทางตวันออกจนถึงมุมถนนน่าพระธาตุ อยู่ตรงประตูวิเศษไชยศรีทางเข้าพระราชวัง โปรด ฯ ให้สร้างพระราชทานเปนที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอภัยทัต ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นเทพพลภักดิ์ ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๓ เลื่อนเปนกรมหลวงเสด็จอยู่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ แล้วพระบาทสม เด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้เปนที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ต่อมา ครั้นสมเด็จเจ้าฟ้าอาภรณ์สิ้นพระชนม์ ถึงรัชกาลที่ ๔ โปรดให้รวมกับวังกลาง เปนที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาบำราบปรปักษ์ดังกล่าวมาแล้วในเรื่องวังกลาง
วังซึ่งสร้างที่ถนนหลักเมือง ๖ วังนั้น สร้างทางฟากถนนข้างเหนือ ๓ วัง ฟากถนนข้างใต้ ๓ วัง ตั้งแต่ริมศาลหลักเมืองไปจนถึงริมคลองคูเมืองเดิม ซึ่งเรียกว่าคลองตลาดในบัดนี้ ชื่อวังทั้ง ๖ นั้น มักเรียกเปลี่ยนไปตามพระนามเจ้านายซึ่งเสด็จประทับอยู่ภาย
๒๗
หลัง จะเรียกในหนังสือนี้ให้สดวกแก่ผู้อ่าน จึ่งสมมตเรียกวังทางฟากถนนข้างเหนือว่า วังที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๕ เรียกวังทางฟากถนนข้างใต้ว่าวังที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๖ ตั้งต้นแต่ทางหลักเมืองไปหาคลอง
๑๔ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๑
วังนี้โปรด ฯ ให้สร้างพระราชทานเปนที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าสุริยา ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นรามอิศเรศร์ ในรัชกาลที่ ๒ เลื่อนเปนกรมขุนในรัชกาลที่ ๓ แล้วเลื่อนเปนกรมพระในรัชกาลที่ ๔ เสด็จประทับอยู่จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นอลงกตกิจปรีชา (ซึ่งได้หม่อมเจ้าในกรมพระรามอิศเรศร์เปนชายา) เสด็จไปประทับที่วังนี้ต่อมาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ นั้น ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ จึงรื้อวังทำโรงช้าง
๑๕ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๒
วังนี้โปรด ฯ ให้สร้างพระราชทานเปนที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าทับ ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นจิตรภักดีในรัชกาลที่ ๒ กรมหมื่นจิตรภักดีสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้ามรกต ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมขุนสถิตย์สถาพรเมื่อในรัชกาลที่ ๔ เสด็จไปประทับครั้นกรมขุนสถิตย์สถาพรสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอม
๒๘
เกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้พระองค์เจ้าชุมแสงในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒ ประทับ เมื่อพระองค์เจ้าชุมแสงสิ้นพระชนม์แล้วจึงรื้อวังสร้างโรงม้าแซง
๑๖ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๓
วังนี้ปรากฏว่าพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าดารากร ซึ่งทรงสถา ปนาเปนกรมหมื่นศรีสุเทพในรัชกาลที่ ๓ เสด็จประทับอยู่ แต่เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๑ พระชัณษากรมหมื่นศรีสุเทพได้เพียง ๑๔ ปี จะได้กะการสร้างไว้แต่ในรัชกาลที่ ๑ มาสร้างวังนี้ต่อในรัชกาลที่ ๒ ก็อาจจะเปนได้ กรมหมื่นศรีสุเทพสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนรื้อวังทำโรงช้างในรัชกาลที่ ๕
๑๗ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๔
วังนี้โปรด ฯ ให้สร้างพระราชทานเปนที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าคันธรส ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ เมื่อในรัชกาลที่ ๒ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๒ จึงโปรด ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าโต ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นอินทร อมเรศร์เมื่อรัชกาลที่ ๓ แล้วเลื่อนเปนกรมหลวงมหิศวรินทรามเรศร์เมื่อรัชกาลที่ ๔ เสด็จประทับต่อมาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ แล้วพระองค์เจ้าหญิงสายสมร พระน้องร่วมเจ้าจอมมารดากับกรมหลวงมหิศวรินทรามเรศร์เสด็จประทับอยู่ต่อมาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ แล้วจึงได้รื้อวังสร้างหมู่ตึกอันเปนที่ว่าการกระทรวงกลาโหมบัดนี้
๒๙
๑๘ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๕
วังนี้โปรด ฯ ให้สร้างพระราชทานเปนที่ประทับพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากล้ายเสด็จอยู่ พระองค์เจ้ากล้ายสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๑ นั้น ถึงรัชกาลที่ ๒ โปรด ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสุทัศน์ ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นไกรสรวิชิตในรัชกาลที่ ๓ เสด็จอยู่ต่อมา กรมหมื่นไกรสรวิชิตสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ หม่อมเจ้าและหม่อมราช วงศ์ในกรมนั้นได้อยู่ต่อมา จนเจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว. คลี่ สุทัศน์ ณกรุงเทพ) ได้อยู่เปนที่สุด พึ่งรื้อวังเมื่อแต่งท้องสนามหลวงในรัชกาลที่ ๕
๑๙ วังถนนหลักเมือง วังที่ ๖
วังนี้ไม่ปรากฏพระนามเจ้านายที่ได้เสด็จอยู่ เข้าใจว่าเดิมเห็นจะสร้างพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทับทิม ซึ่งทรงสถา ปนาเปนกรมหมื่นอินทรพิพิธในรัชกาลที่ ๒ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๒ โปรด ฯ ให้เสด็จไปประทับที่วังริมสนามชัย ที่วังนี้จะเปนวังเจ้านายพระองค์ใดต่อมา ฤๅจะตั้งโรงไหมของหลวงแต่เมื่อรัชกาลที่ ๒ หาทราบแน่ไม่ ทราบแต่ว่าที่ตรงนั้นเปนโรงไหมมาแต่รัชกาลที่ ๓ จนรื้อสร้างโรงทหาร
๒๐ วังริมสนามชัย วังเหนือ
วังนี้ปรากฏว่าเปนที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทับทิม ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นอินทรพิพิธเมื่อในรัชกาลที่ ๒ อาจจะสร้างพระราชทานเมื่อในรัชกาลที่ ๑ เพราะเปนพระเจ้าลูกยาเธอชั้นใหญ่ ฤๅมิฉนั้นจะเสด็จอยู่วังที่ ๖ ที่ถนนหลักเมืองก่อน ย้ายมา
๓๐
ประทับอยู่วังนี้ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อจะสร้างโรงไหมก็เปนได้ กรมหมื่นอินทรพิพิธสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๒ ต่อมาโปรด ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าดวงจักร์ ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ เมื่อในรัชกาลที่ ๓ นั้นเสด็จอยู่ กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ หม่อมเจ้าดิศในกรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ ซึ่งทรงสถา ปนาเปนพระองค์เจ้าประดิษฐวรการเมื่อในรัชกาลที่ ๕ ได้อยู่ต่อมา จนสร้างเปนสวนสราญรมย์ ในรัชกาลที่ ๕
๒๑ วังริมสนามชัย วังกลาง
วังนี้เปนที่ประทับของพระองค์เจ้าไกรสร ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นรักษ์รณเรศร์เมื่อในรัชกาลที่ ๒ แล้วเลื่อนเปนกรมหลวงในรัชกาลที่ ๓ ต่อมาเปนที่ประทับของพระองค์เจ้าคเนจร ซึ่งทรงสถาปนาเปนพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นอมเรนทรบดินทรเมื่อในรัชกาลที่ ๓ กรมหมื่นอมเรนทรบดินทรเสด็จอยู่ที่วังนี้มาจนสร้างเปนสวนสราญรมย์เมื่อในรัชกาลที่ ๕
๒๒ วังริมสนามชัย วังใต้
วังนี้สร้างเปนที่ประทับของพระองค์เจ้าสุริยวงศ์ พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นสวัสดิวิชัย เมื่อในรัชกาลที่ ๓ แล้วเลื่อนเปนกรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิ์ สุขวัฒนวิชัย เมื่อในรัชกาลที่ ๔ ประทับอยู่จนสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพเสด็จอยู่ต่อมา ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ จะพระราชทานวังอื่นแลกที่ทำสวนสราญ
๓๑
รมย์ กรมขุนวรจักรธรานุภาพไม่รับพระราชทาน ไปทรงซื้อที่สวนสร้างวังที่ริมถนนเจริญกรุง (ตรงมุมถนนวรจักร์บัดนี้) สร้างวังโดยลำภังพระองค์ แล้วเสด็จอยู่ที่นั้นต่อมาจนตลอดพระชนมายุ
วังซึ่งกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทโปรดให้สร้างสำหรับลูกเธอ ๔ วังนั้น สร้างริมสนามน่าพระราชวังบวร ฯ (ประมาณตั้งแต่น้ำพุนางธรณีมาจนตรางลหุโทษเพียงตรงกับแนวถนนพระจันทร์ทุกวันนี้) พื้นที่ตรงนั้น ด้านตวันตกจดแนวสนาม ด้านตวันออกตกคลองคูเมืองเดิมรูปที่เปนชายธง จึงสร้างวังเรียงตามแนวแต่เหนือลงมาหาใต้ ๓ วัง สร้างวังที่ ๔ ตรงหลังวังที่ ๓ หันน่าไปหาคลองคูเมืองเดิม เพราะพื้นที่ตอนข้างใต้กว้างกว่าข้างเหนือ วังทั้ง ๔ นี้เจ้านายพระองค์ใดจะได้ประทับบ้าง เกรงจะกล่าวไม่ได้ถูกถ้วนทีเดียว จะพรรณาเพียงเท่าที่สืบได้ความเมื่อจะแต่งหนังสือนี้
๒๓ วังริมสนามวังน่า วังที่ ๑
วังนี้อยู่ข้างเหนือวังแถวเดียวกัน สร้างเปนที่ประทับของพระองค์เจ้าลำดวน ซึ่งเปนลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ ต่อมาเปนที่ประทับของกรมหมื่นเสนีเทพ ในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จอยู่มาจนรัชกาลที่ ๓ เมื่อกรมหมื่นเสนีเทพสิ้นพระชนม์แล้ว หม่อมเจ้าในกรมมีหม่อมเจ้าพุ่ม ซึ่งรับราชการในตำแหน่งหมอม้าหลวงนั้นเปนต้นอยู่ต่อมา ถึงรัชกาลที่ ๔ แบ่งที่วังนี้อยู่กันเปน ๒ ส่วน ทางริมคลองข้างเหนือเปนวังพระองค์เจ้าชายเริงคนอง (ป๊อก) ในกรมพระราชวังบวร
๓๒
มหาศักดิพลเสพ ซึ่งย้ายมาจากที่อื่น ข้างใต้เปนบ้านเรือนพวกเชื้อสายกรมหมื่นเสนีเทพอยู่ต่อมา ถึงรัชกาลที่ ๕ แบ่งที่ตอนริมสพานสร้างวังกรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ ลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวอิกวัง ๑ เปนเช่นนี้จนรื้อทำสนามหลวง
๒๔ วังริมสนามวังน่า วังที่ ๒
วังนี้เปนวังกลางในแถววังริมสนามวังน่า สร้างเปนที่ประทับของพระองค์เจ้าอินทปัต ต่อมาเปนที่ประทับของกรมขุนนรานุชิต ในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อกรมขุนนรานุชิตสิ้นพระชนม์แล้ว เชื้อสายอยู่ต่อมาจนรัชกาลที่ ๕ จึงแบ่งที่วังนี้เปนสองส่วน ทางริมคลองพวกเชื้อสายกรมขุนนรานุชิตอยู่ต่อมา ทางริมสนามเปนวังพระองค์เจ้านันทวันลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ แล้วกรมหมื่นชาญชัยบวรยศในกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญประทับต่อมาจนรื้อทำสนามหลวง
๒๕ วังริมสนามวังน่า วังที่ ๓
วังนี้ให้สร้างเปนที่ประทับของพระองค์เจ้าช้าง ต่อมาเปนที่ประ ทับของพระองค์เจ้าบัว ในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จอยู่มาจนรัชกาลที่ ๓ แล้วหามีเจ้านายพระองค์ใดประทับไม่ เปนที่ว่างอยู่ช้านาน จนถึงรัชกาลที่ ๕ จึงเปนที่ประทับของพระองค์เจ้าสุธารสลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลนั้น
๓๓
๒๖ วังริมสนามวังน่า วังที่ ๔
วังนี้ที่จริงมิได้อยู่ริมสนาม เพราะอยู่ตรงหลังวังที่ ๓ แต่อยู่ในแถววังหมู่เดียวกัน จึงสงเคราะห์เข้าในพวกวังริมสนามด้วย วังนี้สร้างเปนที่ประทับของพระองค์เจ้าก้อนแก้ว ต่อมาเปนที่ประทับของพระองค์เจ้ามั่ง แล้วพระองค์เจ้านพเก้า ในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จอยู่มาจนในรัชกาลที่ ๔ แล้วเปนที่ประทับของพระองค์เจ้ากำภู ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ เสด็จอยู่มาจนในรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระองค์เจ้ากำภูสิ้นพระชนม์แล้ว หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนสร้างตรางลหุโทษ
วังซึ่งสร้างเพิ่มเติมในรัชกาลที่ ๑ รวม ๑๘ วัง เจ้านายได้เสด็จประทับดังได้แสดงมา
๕
ตอนที่ ๓ ว่าด้วยวังเจ้านายสร้างในรัชกาลที่ ๒
ก่อนพรรณาถึงวังเจ้านายซึ่งสร้างในรัชกาลที่ ๒ จะกล่าวถึงลักษณการสร้างวังตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ มาจนรัชกาลที่ ๓ อันเข้าใจว่าทำตามประเพณีครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี คือเจ้านายพระองค์ชายเมื่อโสกันต์ และเสร็จทรงผนวชเปนสามเณรแล้ว ในตอนพระชัณษายังไม่ถึง ๒๐ ปี ยังประทับอยู่ในพระราชวัง บางพระองค์คงอยู่ตำหนักในพระราชวังชั้นในอย่างเดิม บางพระองค์ก็โปรด ฯ ให้จัดตำหนักให้ประทับอยู่ในพระราชวังชั้นนอก บางพระองค์ก็เสด็จไปประทับอยู่กับเจ้านายที่ออกวังแล้ว เริ่มกะการสร้างวังพระราชทานในตอนนี้ จะสร้างวังที่ตรงไหนก็ให้กรมนครบาลไล่ที่ บอกให้ราษฎรบรรดาอยู่ในที่นั้นรื้อถอนเหย้าเรือนย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะตามกฏหมายถือว่าที่แผ่นดินเปนของหลวงและเจ้านายเมื่อทรงกรมแล้วย่อมมีน่าที่ควบคุมรี้พลเปนกำลังราชการที่วังก็เหมือนอย่างเปนที่ทำการรัฐบาลแห่งหนึ่ง อิกประการ ๑ ที่ดินในสมัยนั้นก็ยังหาสู้จะมีราคาเท่าใดไม่ เรือนชานทั้งปวงเล่าก็เปนแต่เครื่องไม้มุงจากเปนพื้น อาจจะรื้อถอนย้ายไปหาที่ปลูกใหม่ได้โดยง่าย ครั้นจำเนียรกาลนานมาเมื่อสร้างวังหลายแห่งขึ้น มีคนต้องย้ายบ้านเรือนเพราะทำวังบ่อยเข้า ก็เกิดคำพูดกันเปนอุประมาในเวลาที่ใครถูกผู้อื่นจะเอาที่ แม้จนไล่จากที่นั่งอันหนึ่งให้ไปนั่งยังที่อื่น ก็มักเรียกกันว่า "ไล่ที่ทำวัง" ดังนี้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
๓๕
พระราชดำริห์เห็นว่าราษฎรเดือดร้อน ถึงรัชกาลที่ ๔ จึงโปรด ฯ ให้พระราชทานค่าชดใช้แก่ผู้ที่ถูกย้ายบ้านเรือนเพราะสร้างวัง ถ้าเปนที่มีเจ้าของน้อยตัว ก็ให้ว่าซื้อตามราคาซื้อขายกันในพื้นเมือง ถ้าเปนที่คนอยู่แห่งละเล็กละน้อยหลายเจ้าของด้วยกัน ก็พระราชทานค่าที่ตามขนาดคิดเปนราคาวาจตุรัสละบาท ๑ (อันถือว่าเปนปานกลางของราคาที่ดินในสมัยนั้น) คำที่พูดกันว่า "ไล่ที่ทำวัง" ก็สงบไป แต่บางทีก็ไม่ต้องหาที่ทำวัง เพราะพระราชทานวังเก่าที่มีว่างอยู่บ้าง และเจ้านายบางพระองค์ได้ทรงรับมรดกบ้านเรือนของญาติวงศ์ฝ่ายข้างเจ้าจอมมารดา ก็โปรด ฯ ให้สร้างวังในที่นั้นบ้าง
ลักษณวังที่สร้างนั้นต่างกันเปน ๒ อย่าง ถ้าเปนวังเจ้าฟ้าสร้างกำแพงวังมีใบเสมา ถ้าวังพระองค์เจ้าจะมีใบเสมาไม่ได้ ประเพณีอันนี้เข้าใจว่าจะมีมาเก่าแก่ ด้วยในกฎมณเฑียรบาลกำหนดพระราชกุมารเปนเจ้านายครองเมืองชั้น ๑ เปนหน่อพระเยาวราชชั้น ๑ เจ้านายครองเมืองนั้นที่มากำหนดเปนชั้นเจ้าฟ้า ในสมัยเมื่อเลิกประเพณีให้เจ้านายออกไปครองหัวเมือง ซึ่งสร้างวังให้มีกำแพงใบเสมา เห็นจะเปนเครื่องหมายขัติยศักดิ์ว่าเปนชั้นเจ้านายครองเมืองตามโบราณราชประเพณี ส่วนตำหนักนั้นก็ผิดกันที่ท้องพระโรง ท้องพระโรงวังเจ้าฟ้าทำหลังคามีมุขลดเปน ๒ ชั้น ถ้าเปนท้องพระโรงวังพระองค์เจ้าหลังคาชั้นเดียว๑ แต่
๑ มีท้องพระโรงเจ้าฟ้า ฯ รื้อไปปลูกถวายเปนการเปรียญอยู่ที่วัดย่านอ่างทอง ในแขวงอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังปรากฎอยู่หลัง ๑ ท้องพระโรงวังพระองค์เจ้ารื้อไปจากวังกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ ปลูกเปนหอสวดมนต์วัดราชาธิวาสอยู่บัดนี้หลัง ๑
๓๖
ตำหนักที่ประทับนั้นเห็นจะผิดกันแต่ขนาด แต่แบบแผนเปนอย่างเดียวกัน มีเรือนห้าห้องสองหลังแฝดเปนตำหนักใหญ่ที่เสด็จอยู่หลัง ๑ มีเรือนห้าห้องหลังเดียวเปนตำหนักน้อย เห็นจะสำหรับเปนที่อยู่ของพระชายาแลพระโอรสธิดาหลัง ๑ (บางคนอธิบายว่าสำหรับเจ้าจอมมารดาอยู่แต่เห็นว่าจะมิใช่ เพราะเจ้าจอมมารดาจะมีโอกาศออกมาอยู่วังได้ต่อเมื่อรัชกาลนั้นล่วงไปแล้ว เหตุใดจะโปรด ฯ ให้สร้างเตรียมไว้ก่อน) นอกจากท้องพระโรงกับตำหนัก ๓ หลังที่กล่าวมา ก็มีเรือนสำหรับบริวารชนทั้งฝ่ายน่าฝ่ายใน วังชั้นเดิมสร้างด้วยเครื่องไม้แก่นหลังคามุงกระเบื้องทั้งนั้น แผนผังก็วางเปนอย่างเดียวกัน คือปลูกท้องพระโรงหันด้านยาวออกน่าวัง ตำหนัก ๓ หลังที่เสด็จอยู่แลตำหนักน้อยหันด้านสกัดต่อหลังท้องพระโรง มีชาลาอยู่ระหว่างกลาง วังที่เคยเห็นเปนดังนี้ทั้งนั้น มาเริ่มสร้างตำหนักเปนตึกต่อในรัชกาลที่ ๓ แต่ก็เปนของเจ้านายที่เสด็จอยู่วังนั้น ๆ ทรงสร้างเองตามพระอัธยาศรัย เช่นตำหนักตึกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างไว้ที่พระราชวังเดิมนั้นเปนต้น
เล่ากันมาว่าประเพณีเจ้านายเสด็จออกอยู่วังแต่ก่อน ถ้าเปนวังสร้างใหม่ มักไปปลูกตำหนักพักชั่วคราวประทับอยู่ก่อน เพราะการสร้างตำหนักพระราชทานเปนพนักงานของกรมช่างทหารใน กว่าจะสร้างสำเร็จเสร็จหมดเห็นจะช้า เมื่อเจ้านายเสด็จอยู่วังสิ้นพระชนม์ลง ถ้ามีวงศ์วารจะครอบครองวังได้ ก็ได้ครอบครองต่อมา เว้นแต่เปนที่วังสำคัญเช่นพระราชวังเดิมเปนต้น แลวังที่วงศ์วารไม่สามารถจะปกครอง
๓๗
ได้ จึงโปรด ฯ ให้เจ้านายพระองค์อื่นเสด็จไปอยู่ ส่วนวงศ์วารของเจ้านายพระองค์ก่อนนั้น ก็ทรงพระกรุณาหาที่อยู่พระราชทานตามคุณานุรูปประเพณีการสร้างวังมีมาดังนี้
วังที่สร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๒ จะเปนกี่วังสืบทราบจำนวนไม่ได้แน่พิจารณาตามพระชัณษาพระเจ้าลูกเธอ ซึ่งทรงพระเจริญวัยได้ออกวังในรัชกาลที่ ๒ มี ๑๔ พระองค์ คือ
๑ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานวังเจ้าฟ้าเหม็น
๒ กรมหมื่นสุนทรธิบดี สร้างวังใหม่
๓ กรมหมื่นเสพสุนทร สร้างวังใหม่
๔ สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร สร้างวังใหม่
๕ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร สร้างวังใหม่
๖ กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ สร้างวังใหม่แลสร้างในรัชกาลที่ ๓ อิกวัง ๑
๗ พระองค์เจ้าเรณู วังเดิมอยู่ที่ไหนสืบไม่ได้ความ ได้พระราชทานวังกรมหมื่นสุนทรธิบดีในรัชกาลที่ ๓
๘ พระองค์เจ้าอำไพ ทรงผนวชอยู่จนรัชกาลที่ ๓ วังอยู่ที่ไหนสืบไม่ได้ความ
๙ พระองค์เจ้าเนียม สร้างวังใหม่
๑๐ พระองค์เจ้าขัติยวงศ วังอยู่ที่ไหนสืบไม่ได้ความ
๑๑ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ สร้างวังใหม่
๑๒ กรมหมื่นสนิทนเรนทร สร้างวังใหม่
๓๘
๑๓ กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศร์ ได้พระราชทานวังกรมหมื่นศรีสุเรนทร์
๑๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชวังเดิม
วังที่สร้างใหม่ ๙ วังชั้นนี้ สร้างที่ริมคลองคูเมืองเดิมใกล้สพานช้างโรงสี ๒ วัง ทางท้ายหับเผย ๕ วัง ที่บ้านหม้อวัง ๑ ริมแม่น้ำที่ใต้วัดพระเชตุพนวัง ๑ จะพรรณาเปนรายวังต่อไป
๑ วังริมสพานช้างโรงสี วังเหนือ
วังนี้อยู่ทางฝั่งคลองคูเมืองฟากตวันออก ริมถนนเสาชิงช้าฟากเหนือ สร้างพระราชทานกรมหมื่นสนิทนเรนทร์ ครั้นกรมหมื่นสนิทนเรนทร์สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้เปนวังกรมหลวงสรรพศิลป์ปรีชา ซึ่งเปนพระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดากับกรมหมื่นสนิทนเรนทร์ กรมหลวงสรรพศิลป์ปรีชาเสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซื้อพระราชทานเปนวังกรมหมื่นภูธเรศรธำรงศักดิ์ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซื้อสร้างตึกแถว พระราชทานชื่อว่าตำบลแพร่งภูธรบัดนี้
๒ วังริมสพานช้างโรงสี วังใต้
วังนี้อยู่ริมถนนเสาชิงช้าฟากใต้ (ตรงที่สร้างศาลากระทรวงนครบาลบัดนี้) สร้างพระราชทานพระองค์เจ้าเนียมเสด็จอยู่มาจนสิ้น
๓๙
พระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ ต่อนั้นเปนที่ประทับของพระองค์เจ้าสว่าง พระองค์เจ้าอุทัย พระองค์เจ้าแฉ่ง ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ซึ่งร่วมเจ้าจอมมารดากัน พระองค์เจ้าสว่างมีพระชนม์มาจนถึงรัชกาลที่ ๔ พระองค์เดียว๑ เมื่อพระองค์เจ้าสว่างค์สิ้นพระชนม์แล้วหา ปรากฎว่าเปนวังเจ้านายพระองค์ใดต่อมาไม่
๓ วังท้ายหับเผย วังที่ ๑
วังนี้อยู่ริมคลองคูเมืองเก่าฝั่งตวันตก แต่ถนนศาลพระเสอเมืองลงไปข้างใต้ สร้างพระราชทานกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ หม่อมเจ้าชายใหญ่ ซึ่งทรงสถาปนาเปนพระองค์เจ้าชิดเชื้อพงศ์ในรัชกาลที่ ๔ กับหม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมา ในเวลานี้เชื้อสายกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ก็ยังครอบครองอยู่
๔ วังท้ายหับเผย วังที่ ๒
วังนี้อยู่ต่อวังที่ ๑ มาทางตวันตก หันน่าวังออกถนนสพานหัวจรเข้ (ถนนพระพิพิธ) สร้างพระราชทานกรมหลวงภูวเนตร์นรินทร์ฤทธิ์๒ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมา เดี๋ยวนี้เชื้อสายกรมหลวงภูวเนตร์ ฯ ก็ยังปกครองอยู่
๑ สงสัยว่าวังนี้เดิมจะเปน ๒ วัง บางทีจะเปนวังพระองค์เจ้าเรณู ฤๅพระองค์เจ้าขัติยวงศ์ แต่สืบไม่ได้ความแน่.
๒ วังท้ายหับเผยที่ ๒ และที่ ๓ นี้ ชั้นเดิมกรมพระพิทักษ์ ฯ ประทับวังไหนไม่ทราบชัด เพราะต่อมารวมเข้าเปนวังเดียว
๔๐
๕ วังท้ายหับเผย วังที่ ๓
วังนี้อยู่ต่อวังที่ ๒ มาทางตวันตก ตามถนนพระพิพิธ สร้างพระราชทานกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ ฯ (กรมพระพิพิธ ฯ กรมพระพิทักษ์ ฯ กรมหลวงภูวเนตร์ ฯ ทั้ง ๓ พระองค์นี้ร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกัน) แต่ยังเสด็จประทับตำหนักปลูกพักชั่วคราวมาจนรัชกาลที่ ๓ จนเกิดไฟไหม้วังกรมหมื่นสุนทรธิบดี ตลอดไปจนบ้านหม้อ เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๗๔ กรมพระพิทักษ์ ฯ จึงย้ายวังไปสร้างใหม่ (ในที่ซึ่งไฟไหม้ว่างอยู่) ทางริมคลองคูเมืองเดิมฟากตวันออก ตรงกับวังที่ ๑ ข้าม ส่วนวังที่ ๓ เดิมนั้น (ได้ยินว่า) กรมหลวงวงศาธิราชสนิทได้ประทับมาจนทรงรับกรมหมื่นแล้ว พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้ไปประทับที่วังเดิมของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร อันอยู่ริมแม่น้ำข้างใต้วัดพระเชตุพน วังที่ ๓ เดิมจึงรวมเปนวังเดียวกับวังที่ ๒ สืบมา
๖ วังถนนบ้านหม้อ
วังกรมพระพิทักษ์ ฯ ทรงสร้างใหม่ดังกล่าวมาแล้ว เสด็จประทับ ณวังนั้นมาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ หม่อมเจ้าชายใหญ่ ซึ่งทรงสถาปนาเปนพระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงคฤทธิ์ในรัชกาลที่ ๕ กับหม่อมเจ้าในกรมได้อยู่ต่อมา ครั้นพระองค์เจ้าสิงหนาท ฯ สิ้นพระชนม์ เจ้า พระยาเทเวศร์วงศวิวัฒน์ได้ครอบครองมา และพระยาศรีกฤดากร (ม.ล. วราห์ กุญชร ณกรุงเทพ) บุตร์เจ้าพระยาเทเวศร์ได้ครอบครองอยู่บัดนี้
๔๑
๗ วังถนนสนามชัย วังที่ ๑
วังนี้สร้างพระราชทานกรมหมื่นสุนทรธิบดี ในจดหมายเหตุเก่าว่าที่สร้างวังนั้น เดิมเปนบ้านเจ้าพระยามหาเสนาบดี (ปลี) ที่สมุหพระกลาโหม ซึ่งไปถึงอสัญกรรมคราวตีเมืองทวายเมื่อรัชกาลที่ ๑ และว่าอยู่ใกล้หอกลอง (อันปลูกในบริเวณสวนเจ้าเชตบัดนี้) จึงสันนิษฐานว่าวังนี้เห็นจะหันน่าวังออกถนนสนามชัย ตั้งแต่ถนนพระพิพิธไปทางใต้๑ กรมหมื่นสุนทรธิบดีเสด็จอยู่มาจนรัชกาลที่ ๓ เกิดเหตุไฟไหม้เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๗๔ กรมหมื่นสุนทรธิบดีสิ้นพระชนม์ในไฟ ต่อมาพระราชทานวังนั้นให้เปนวังพระองค์เจ้าเรณู เสด็จอยู่จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ หม่อมเจ้าในกรมได้อยู่ต่อมาจนรัชกาลที่ ๕
๘ วังถนนสนามชัย วังใต้
วังนี้หันน่าวังออกถนนสนามชัย ต่อวังที่ ๑ ไปทางใต้ แต่จะไปหมดเขตร์วังเพียงไหนหาทราบไม่ สร้างพระราชทานกรมหมื่นเสพสุนทร เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ กรมหมื่นถาวรวรยศได้เสด็จอยู่ต่อมาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕
๙ วังริมแม่น้ำ ใต้วัดพระเชตุพน
ที่วังนี้อยู่เหนือเขตร์โรงเรียนราชินีบัดนี้ เดิมเปนที่บ้านเจ้าพระยาพระคลัง (หน) รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเปนบิดาของเจ้าจอมมารดาสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร ๆ ได้ทรงรับมรดก จึงโปรด ฯ ให้สร้างวังที่
๑ ผู้มีอายุบางคนว่าวังกรมหมื่นสุนทรธิบดีอยู่ริมคลองดูเหมือนเดิมฝั่งตวันตกใกล้ ป ากคลอง (ตลาด) แต่คำนี้ขัดกับความในจดหมายเหตุเก่า จิงไม่ฟัง
๖
๔๒
ตรงนั้น เสด็จอยู่มาจนในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ให้สร้างวังใหม่ (ริมถนนมหาชัย) ใกล้ประตู สพานหัน ๓ วัง๑ และโปรด ฯ ให้สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรเสด็จไปประทับอยู่ที่วังใต้ เปนประธานการรักษาพระนครทางด้านนั้น ที่วังเดิม (ทำนองสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรจะถวายคืน) จึงโปรด ฯ ให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จไปประทับ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ โปรด ฯ ให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จไปประทับพระราชวังเดิม (ทำนองกรมหลวงวงศา ฯ จะถวายที่วังเดิมคืน จึงพระราชทานที่วังนั้นแก่เจ้าพระยาธรรมา (บุญศรี) ซึ่งเปนเจ้าพระยาสุธรรมมนตรีในรัชกาลที่ ๕ เพราะที่บ้านติดต่ออยู่ทางเหนือ เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีแบ่งให้พระยาธรรม จรรยานุกูลมนตรี (เจริญ) ผู้เปนบุตร์ใหญ่ ซึ่งได้ถวายตัวเปนข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งบ้านเรือนต่อมาบุตรหลานพระยาธรรมจรรยา (เจริญ) ยังปกครองมาจนทุกวันนี้
พระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งยังทรงพระเยาว์ได้เสด็จออกวังต่อในรัชกาลที่ ๓ รวม ๑๔ พระองค์ คือ
๑ กรมพระเทเวศร์วัชรินทร สร้างวังใหม่
๒ กรมหลวงสรรพศิลป์ปรีชา เดิมประทับอยู่บ้านคุณตา อยู่ทางหลังวัดชนะสงครามก่อน แล้วได้พระราชทานวังเก่าริมสพานช้างโรงสี วังเหนือ
๑ วังทั้ง ๓ นั้น เดี๋ยวนี้รวมอยู่ในเขตร์วังบูรพาภิรมย์
๔๓
๓ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ประทับที่วังเก่าท้ายหับเผย วังที่ ๓ แล้วเสด็จไปอยู่วังเก่าริมแม่น้ำที่ใต้วัดพระเชตุพน ที่สุดเสด็จอยู่พระราชวังเดิม
๔ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับพระราชวังเดิมจนได้บวรราชาภิเษก
๕ กรมขุนสถิตย์สถาพร เสด็จอยู่วังเก่า วังที่ ๒ ที่ถนนหลักเมือง
๖ กรมหมื่นถาวรวรยศ เดิมเสด็จอยู่ที่ข้างวัดราชบุรณะ อันเปนที่โรงเรียนสวนกุหลาบบัดนี้ ถึงรัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทานวังเก่า คือ วังกรมหมื่นเสพสุนทรซึ่งสร้างเมื่อรัชกาลที่ ๒ ส่วน ๑ ข้างใต้
๗ กรมหมื่นอลงกตกิจปรีชา ในรัชกาลที่ ๓ เสด็จอยู่ที่ข้างวัดราชบุรณะ อันเปนที่โรงเรียนสวนกุหลาบบัดนี้ มาได้พระราชทานวังกรมพระรามอิศเรศร คือวังที่ ๑ ถนนหลักเมืองเมื่อรัชกาลที่ ๔
๘ กรมหลวงวรศักดาพิศาล ได้ยินว่าเดิมเสด็จอยู่กับสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรมาจนรัชกาลที่ ๓ จึงสร้างวังพระราชทานที่ริมถนนพระพิพิธ
๙ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ ได้ที่วังใหม่ที่ริมประตูสำราญราษฎร์ แต่มิได้สร้างวังจนรัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทานวังที่ถนนมหาชัย วังที่ ๒
๑๐ เจ้าฟ้าอาภรณ์ ได้พระราชทานวังเก่าที่ถนนน่าพระลาน วังกลาง แล้วเสด็จมาประทับวังตรงประตูวิเศษไชยศรี
๑๑ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ได้พระราชทานที่วังใหม่เคียงวังกรมหมื่นภูบาล ฯ (กรมหมื่นภูบาล ฯ กรมขุนวรจักร ฯ พระองค์เจ้า
๔๔
เกยูร ทั้ง ๓ พระองค์นี้ร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกัน) แต่มิได้สร้างวังจนรัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทานวังเก่าที่ริมสนามชัย วังใต้ ครั้นรัชกาลที่ ๕ ไปสร้างเปนของส่วนพระองค์ที่ถนนเจริญกรุง (ที่มุมถนนวรจักร์บัดนี้ข้างฟากใต้)
๑๒ พระองค์เจ้าเกยูร ได้พระราชทานที่วังใหม่อยู่ใกล้กับวังกรมหมื่นภูบาล ฯ และกรมขุนวรจักร์ ฯ แต่ประทับพักอยู่มิได้สร้างวังจนสิ้นพระชนม์
๑๓ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ได้พระราชทานวังเก่าวังกลาง ที่ถนนน่าพระลาน แล้วได้วังน่าประตูวิเศษไชยศรีรวมกันเปนวังเดียว
๑๔ เจ้าฟ้าปิ๋ว เสด็จอยู่วังกลางที่ถนนน่าพระลาน สิ้นพระชนม์ก่อนสร้างวัง
วังสร้างสำหรับพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๒ ที่มาสร้างในรัชกาลหลังรวม ๕ วัง คือ
๑๐ วังถนนจักรเพ็ชร
วังนี้เดิมเปนที่บ้านของเจ้าจอมมารดากรมพระเทเวศรวัชรินทร ๆ ได้ทรงรับมรดกจึงสร้างวังณที่นั้น (อยู่ตรงสนามสามัคยาจารย์บัดนี้) กรมพระเทเวศรเสด็จประทับอยู่จนสิ้นพระชนม์เมื่อรัชกาลที่ ๕ หม่อมเจ้าชาย ซึ่งทรงสถาปนาเปนพระองค์เจ้าวัชรีวงศ กับหม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนถึงชั้นเชื้อสาย จึงทรงซื้อที่สร้างตึกแถวแลทำโรงเรียน
๔๕
๑๑ วังถนนสพานหัวจรเข้
วังนี้อยู่ริมถนนพระพิพิธฟากใต้ ต่อกับหลังวังถนนสนามชัยวังที่ ๑ ดูเหมือนจะแบ่งเขตร์ ที่วังที่ ๑ นั้นเองมาสร้างวังนี้ เพราะสร้างต่อรัชกาลที่ ๓ พระราชทานกรมหลวงวรศักดาพิสาล ซึ่งยังไม่มีที่วัง ทราบว่าเสด็จอยู่กับสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรมาแต่ก่อน กรมหลวง วรศักดา ฯ เสด็จประทับอยู่วังนี้มาจนสิ้นพระชนม์ ในรัชกาลที่ ๕ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนทรงซื้อทำโรงทหาร
๑๒ วังริมประตูสำราญราษฎร์ วังตวันออก
วังนี้อยู่สุดถนนทางประตูสำราญราษฎร์ เปนที่วังกรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ เข้าใจว่าสร้างแต่ตำหนักพักชั่วคราว เสด็จประทับมาจนในรัชกาลที่ ๔ จึงได้พระราชทานวังที่ถนนมหาชัย วังกลาง ซึ่งกรมหมื่นนรินทรเทพประทับเมื่อรัชกาลที่ ๓ ครั้นกรมหมื่นภูบาล ฯ เสด็จย้ายไปจากวังนี้ ทูลถวายที่วังเดิม แต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขอซื้อ พระราชทานเปนที่วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์
๑๓ วังประตูสำราญราษฎร์ วังกลาง
วังนี้ได้ยินว่าเปนที่ประทับของพระองค์เจ้าเกยูร (บางทีเดิมจะยังไม่ได้ปันเขตร์วังทีเดียว กรมหมื่นภูบาล ฯ กับกรมขุนวรจักร์ ฯ เห็นจะประทับอยู่พระองค์ละฝ่าย เจ้าจอมมารดาอยู่กลาง พระองค์เจ้าเกยูรเปนพระองค์น้อย เสด็จอยู่กับเจ้าจอมมารดาจึงอยู่กลาง) เสด็จประทับอยู่จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ ต่อมาที่วังนี้ปันเปนเขตรวังตวันออกและวังตวันตกคงแต่ ๒ วังต่อมา
๔๖
๑๔ วังประตูสำราญราษฎร์ วังตวันตก
วังนี้เปนที่ประทับของกรมขุนวรจักร์ธรานุภาพ เสด็จอยู่มาจนในรัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทานวังริมสนามชัย วังเหนือ อันเปนวังของกรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิ์ ฯ อยู่แต่ก่อน จึงเสด็จย้ายไปจากวังนี้ กรมขุนวรจักร์ ฯ ทูลถวายที่วัง แต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขอซื้อ พระราชทานเปนที่วังกรมหมื่นราชศักดิสโมสร
รวมวังซึ่งสร้างใหม่สำหรับพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๒ เปน ๑๔ วังด้วยกัน
ฝ่ายวังน่าเมื่อรัชกาลที่ ๒ ลูกเธอที่พระชัณษาถึงกำหนดออกวังในเวลาเมื่อกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ยังดำรงพระชนม์ มีแต่ ๓ พระองค์
๑ กรมขุนธิเบศรบวร โปรดให้อยู่พระนิเวศน์เดิม
๒ กรมหมื่นอมรมนตรี สร้างวังใหม่
๓ กรมหมื่นกระษัตริย์ศรีศักดิเดช สร้างวังใหม่
วังที่กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ทรงสร้างพระราชทานลูกเธอ จึงมีแต่ ๒ วัง
๑๕ วังริมพระนิเวศน์เดิม ที่ ๑
ที่วังนี้เข้าใจว่าเห็นจะปันที่ดินอันอยู่ในเขตร์พระนิเวศน์เดิมข้างตอนใต้สร้างวังพระราชทานกรมหมื่นอมรมนตรี เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ หม่อมเจ้าในกรมเห็นจะอยู่ต่อมา จนพระราชทานเปนที่กรมทหารเรือพร้อมกับพระนิเวศน์เดิมเมื่อรัชกาลที่ ๕
๔๗
๑๖ วังถนนพระอาทิตย์ วังที่ ๑
ที่สร้างวังนี้เดิมเปนที่บ้านเสนาบดีฝ่ายพระราชวังบวร ฯ เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ เขตร์อยู่ติดกับวังเจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาต่อลงมาข้างใต้ สร้างวังพระราชทานกรมหมื่นกระษัตริย์ศรีศักดิเดช เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ หม่อมเจ้าในกรมได้อยู่ต่อมาจนเชื้อสาย คือ พระยาวรพงศพิพัฒน์ (ม.ร.ว. เย็น อิศรเสนา ณกรุงเทพ) เปนต้น ได้อยู่ในทุกวันนี้
ลูกเธอในกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ซึ่งยังทรงพระเยาว์ ในเมื่อเวลาพระราชบิดาสวรรคต แต่ทรงเจริญพระชัณษาถึงกำหนดออกวังในรัชกาลที่ ๒ รวม ๖ พระองค์ โปรดให้สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมคลองคูเมืองเดิมทางฝั่งเหนือ แถวสพานเสี้ยว (แต่โรงกระ ษาปณ์เลี้ยวมาจนคลองวัดบุรณสิริ) ๔ วัง สร้างวังข้างหลังพระนิเวศน์เดิมทางแม่น้ำฟากตวันตก ๒ วัง จะพรรณาเปนรายวังต่อไป
๑๗ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๑ (นับแต่ตวันตกไปตวันออก)
วังนี้สร้างพระราชทานพระองค์เจ้าภุมริน เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ พระองค์เจ้านุชในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพได้เสด็จอยู่ต่อมาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ กรมหมื่นชาญชัยบวรยศในกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญประทับต่อมา แล้วทรงแลกกับวังที่ ๑ ริมท้องสนามวังน่า ซึ่งหม่อมเจ้าในกรมหมื่นบริรักษ์นรินทรฤทธิ์
๔๘
กับหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้านันทวันอยู่นั้น หม่อมเจ้าใน ๒ พระองค์นั้น มีหม่อมเจ้าศรีไสเฉลิมศักดิ์ ในกรมหมื่นบริรักษ์ ฯ เปนต้น จึงย้ายมาอยู่ที่วังนี้
๑๘ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๒
วังนี้สร้างพระราชทานพระองเจ้าใย เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ เข้าใจว่าหม่อมเจ้าในกรมแลเชื้อสายอยู่ต่อมา จนรื้อทำถนน
๑๙ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๓
วังนี้สร้างพระราชทานพระองค็เจ้าภุมเรศ ซึ่งทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นอมเรศรัศมีในรัชกาลที่ ๔ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ แล้วเชื้อสายอยู่ต่อมาจนรื้อทำถนน
๒๐ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๔
วังนี้สร้างพระราชทานพระองค์เจ้าทับทิม เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ พระองค์เจ้าศรีสังข์ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพได้เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์
๒๑ วังริมพระนิเวศน์เดิม วังที่ ๒
วังนี้ทราบแต่ว่าสร้างในเขตร์พระนิเวศน์เดิมข้างด้านหลัง สร้างพระราชทานพระองค์เจ้าเสือ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ แล้วเชื้อสายอยู่ต่อมา จนรวมเปนที่กรมทหารเรือ
๔๙
๒๒ วังริมพระนิเวศน์เดิม วังที่ ๓
วังนี้สร้างพระราชทานพระองค์เจ้ากระต่าย ซึ่งร่วมจอมมารดากับพระองค์เจ้าเสือ ว่าอยู่เคียงกับวังที่ ๒ พระองค์เจ้ากระต่ายสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ ที่วังนี้เห็นจะรวมกับวังที่ ๒ ต่อมา
ลูกเธอในกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ซึ่งยังทรงพระเยาว์อยู่ในเวลาเมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๒ ได้ออกวังต่อรัชกาลที่ ๓ มี ๙ พระองค์ คือ
๑ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงผนวชอยู่วัดมหา ธาตุแล้วเสด็จไปอยู่วัดบวรนิเวศวิหารจนตลอดพระชนมายุ
๒ พระองค์เจ้าชุมแสง เดิมเสด็จอยู่ที่ไหนหาทราบไม่ ในรัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทานวังถนนหลักเมือง วังที่ ๒ ซึ่งกรมขุนสถิตย์สถาพรเสด็จอยู่ก่อน
๓ พระองค์เจ้าสาททิพากร (ร่วมจอมมารดาเดียวกับสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แลกรมหมื่นอนันตการฤทธิ์) สร้างวังใหม่
๔ กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ สร้างวังใหม่ แล้วย้ายไปประทับพระนิเวศน์เดิม
๕ พระองค์เจ้าศรีสังข์ ได้พระราชทานวังเก่า วังที่ ๓ ที่สพานเสี้ยวซึ่งพระองค์เจ้าทับทิมเสด็จอยู่ก่อน
๖ พระองค์เจ้ารัชนิกร สร้างวังใหม่
๗ พระองค์เจ้าทัดทรง ไม่ทราบว่าประทับที่ไหน
๘ กรมหมื่นสิทธิสุขุมการ สร้างวังใหม่
๙ พระองค์เจ้าสุดวอน สร้างวังใหม่
๗
๕๐
วังลูกเธอในกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ซึ่งสร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๓ รวม ๕ วัง ดูเหมือนจะมีแต่วังกับตำหนักชั่วคราวทั้งนั้น จะพรรณาเปนรายวังต่อไป
๒๓ วังถนนโรงครก วังที่ ๑
วังนี้เปนที่ประทับของพระองค์เจ้าสาททิพากร เดิมเปนที่บ้านของคุณตา (อยู่ตรงศาลสถิตย์ยุติธรรมบัดนี้) แบ่งกันกับกรมหมื่น อนันตการฤทธิ์สร้างเปน ๒ วัง พระองค์เจ้าสาททิพากรประทับอยู่ที่วังนี้จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓
๒๔ วังถนนโรงครก วังที่ ๒
วังนี้อยู่ต่อกับวังที่ ๑ เปนที่ประทับของกรมหมื่นอนันตการฤทธิ์เสด็จอยู่มาจนรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด ฯ ให้เสด็จไปประทับพระนิเวศน์เดิม
๒๕ วังคลองตลาด วังที่ ๑
วังนี้อยู่สุดข้างเหนือของหมู่วังซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชทานพระเจ้าลูกเธอ ที่ริมคลองคูเมืองเดิม (คลองตลาด) ฝั่งเหนือ ตอนใกล้ปากคลองข้างใต้ เดิมเปนที่บ้านของบิดาเจ้าจอมมารดากรมหมื่นสิทธิสุขุมการ ๆ ได้ทรงรับมรดกจึงสร้างวังเสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ เมื่อรัชกาลที่ ๕ แล้วหม่อมเจ้าชายใหญ่ ซึ่งทรงสถาปนาเปนพระองค์เจ้าวัฒนาในรัชกาลที่ ๕ กับหม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนรื้อทำถนน
๕๑
๒๖ วังหลังวัดชนะสงคราม
วังนี้เปนที่ประทับของพระองค์เจ้ารัชนิกร อยู่ริมคลองหลังวัดชนะสงคราม บางทีจะเปนแต่เสด็จอยู่ที่บ้านเดิมของพระญาติฝ่ายจอมมารดาซึ่งได้รับมรดก แต่เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์เมื่อรัชกาลที่ ๕ แล้วเชื้อสายอยู่ต่อมา
๒๗ วังริมคลองบางลำภู วังที่ ๓
วังนี้เปนที่ประทับของพระองค์เจ้าสุดวอน ว่าอยู่ตรงน่าวัดบวรนิเวศข้ามฟาก บางทีจะเปนบ้านพระญาติฝ่ายจอมมารดา แต่เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓
วังลูกเธอของกรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งสืบไม่ได้ความว่าอยู่ที่ไหนมีอยู่วัง ๑ คือ วังพระองค์เจ้าทัดทรง ได้ยินว่าเสด็จไปอยู่สวนแห่งใดแห่งหนึ่ง เพราะไม่เอาพระไทยใส่ที่จะทำราชการ ถึงพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกพระนามอ้างเปนตัวอย่างประกาศพิธีแจกเบี้ยหวัด
รวมวังลูกเธอในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒ ซึ่งสร้างใหม่ ๑๓ วัง คิดรวมจำนวนวังซึ่งสร้างสำหรับเจ้านายรัชกาลที่ ๒ ทั้งวังหลวงวังน่าเปน ๒๗ วังด้วยกัน
ตอนที่ ๔ ว่าด้วยวังเจ้านายสร้างในรัชกาลที่ ๓
พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๓ ทรงเจริญพระชัณษาทันได้ออกวังในรัชกาลนั้นหมดทุกพระองค์ เปนแต่ออกวังต่างคราวกัน พระเจ้าลูกเธอที่ออกวังคราวแรก ๖ พระองค์ คือ
๑ สมเด็จ ฯ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ สร้างวังใหม่
๒ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ได้พระราชทานวังถนนน่าพระลานริมประตูท่าพระ ที่พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประทับอยู่ก่อน
๓ กรมหมื่นเชษฐาธิเบน สร้างวังใหม่
๔ กรมหมื่นอมเรนทรบดินทร สร้างวังใหม่
๕ พระองค์เจ้างอนรถ สร้างวังใหม่
๖ กรมหมื่นภูมินทรภักดี สร้างวังใหม่
วังที่สร้างใหม่ ๕ วังตอนนี้ สร้างในที่แปลง ๑ ด้านเหนือจดถนนเขตร์วัดพระเชตุพน ด้านตวันออกจดถนนสนามชัย ด้านตวันตกจดถนนมหาราชริมกำแพงพระนคร ด้านใต้ถนนทั้ง ๒ นั้นไปบรรจบกันที่เปนชายธงตรงสพานข้ามคลอง (ตลาด) คูเมืองเดิม วังทางตอนเหนือสร้างเปนคู่ หลังวังจดกัน หันน่าวังออกถนนสนามชัย ๒ วัง หันน่าวังออกถนนมหาราช ๒ วัง วังที่สุดทางใต้เปนวังเดียวด้วยรูปที่เปนชายธง จะพรรณาเปนรายวังต่อไป
๕๓
๑ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๑
วังนี้หันน่าออกถนนสนามชัย เปนวังเหนือ สร้างพระราชทานกรมหมื่นเชษฐาธิเบน เสด็จอยู่จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ พระราชทานเปนวังกรมหลวงอดิศรอุดมเดช ทีหลังเสด็จไปสร้างวังอยู่ที่อื่น จึงโปรด ฯ ให้ซื้อที่วังนี้สร้างสถานสำหรับราชการในรัชกาลปัจจุบันนี้.
๒ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๒
วังนี้เปนวังเหนือถนนมหาราช ตรงหลังวังที่ ๑ สร้างพระราชทานกรมหมื่นอมเรนทรบดินทร์ ครั้นโปรด ฯ ให้กรมหมื่นอมเรนทรบดินทร์เสด็จไปประทับที่วังริมท้องสนามชัยวังใต้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานวังนี้แก่พระองค์เจ้าลำยอง เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ พระราชทานเปนวังของกรมหมื่นทิวากรวงศประวัติ (แต่กรมหมื่นทิวากร ฯ เสด็จอยู่ในวังกรมหลวงอดิศร ฯ ซึ่งเปนพระเชษฐาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกัน หาได้สร้างตำหนักขึ้นในวังนี้ไม่) ครั้นกรมหมื่นทิวากร ฯ เสด็จไปสร้างวังอยู่ที่อื่น และสิ้นพระชนม์แล้ว จึงทำสถานที่สำหรับราชการในรัชกาลปัจจุบันนี้.
๓ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๓
วังนี้หันน่าวังออกถนนสนามชัย เปนวังกลาง สร้างพระราชทานพระองค์เจ้างอนรถ ๆ เสด็จอยู่จนสิ้นพระชนม์เมื่อรัชกาลที่ ๓ จึงพระราชทานพระองค์เจ้าเปียกเสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ ถึง
๕๔
รัชกาลที่ ๕ พระราชทานเปนกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนทำสถานสำหรับราชการ
๔ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๔
วังนี้เปนวังกลางทางที่หันน่าออกถนนมหาราช สร้างพระราชทานกรมหมื่นภูมินทรภักดี เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนสร้างสถานที่สำหรับราชการในรัชกาลปัจจุบันนี้
๕ วังท้ายวัดพระเชตุพน วังที่ ๕
วังนี้อยู่ปลายที่ทางข้างใต้ เขตร์วังจดถนนมหาชัยด้าน ๑ จดถนนมหาราชด้าน ๑ จดทางสามแพร่งที่สองถนนนั้นร่วมกันทางใต้วังด้าน ๑ พวกจีนเรียกวังนี้ว่า "ซากั๊กวัง" หมายความว่าวังที่ทางสามแพร่ง วังนี้เข้าใจว่าเดิมสร้างพระราชทานสมเด็จ ฯ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ครั้นต่อมา ทำนองจะทรงพระราชดำริห์เห็นว่าคับแคบนัก จึงสร้างวังพระราชทานใหม่ที่ริมแม่น้ำเหนือปากคลองตลาด ส่วนวังที่ ๕ พระราชทานเปนที่ประทับของกรมหมื่นอุดมรัตนราษี สมเด็จ ฯ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมา ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานวังสมเด็จ ฯ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ที่ปากคลองตลาดแก่กรมหมื่นอุดม ฯ โปรด ฯ ให้พระองค์เจ้ามงคลเลิศ กับหม่อมเจ้าองค์อื่นในสมเด็จ ฯ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์มาอยู่ที่วังที่ ๕ พระองค์เจ้ามงคลเลิศ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ หม่อมเจ้าฉายเฉิด ซึ่งทรงสถาปนา
๕๕
เปนกรมหมื่นนฤบาลมุขมาตย์เมื่อรัชกาลที่ ๕ เสด็จอยู่ต่อมาจนสิ้นพระชนม์แล้วเชื้อสายอยู่ต่อมาจนสร้างเปนสถานที่สำหรับราชการ ในรัชกาลปัจจุบันนี้
พระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๓ เสด็จออกวังในสมัยเปนตอนกลาง ๖ พระองค์ ได้พระราชทานวังเก่าซึ่งพระเจ้าลูกเธอสิ้นพระชนม์บ้าง สร้างวังใหม่พระราชทานบ้าง มีรายพระนามดังนี้
๗ กรมขุนราชสีหวิกรม เสด็จอยู่วังถนนน่าพระลานที่ริมประตูท่าพระแทนพระองค์เจ้าลักขณานุคุณที่สิ้นพระชนม์
๘ พระองค์เจ้าเปียก เสด็จอยู่วังที่ ๓ ท้ายวัดพระเชตุพน แทนพระองค์เจ้างอนรถซึ่งสิ้นพระชนม์
๙ กรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ สร้างวังใหม่
๑๐ กรมหมื่นอุดมรัตนราษี เสด็จอยู่วังที่ ๕ ท้ายวัดพระเชตุพน แทนสมเด็จ ฯ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ซึ่งเสด็จย้ายไปอยู่วังใหม่
๑๑ พระองค์เจ้าลำยอง เสด็จอยู่วังที่ ๒ ท้ายวัดพระเชตุพนแทนกรมหมื่นอมเรนทร ฯ ซึ่งเสด็จย้ายไปอยู่วังอื่น
๑๒ พระองค์เจ้าเฉลิมวงศ์ สร้างวังใหม่
วังซึ่งสร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๓ ในตอนนี้ ๓ วัง สร้างที่ริมแม่น้ำเคียงป้อมมหาฤกษ์ (อันเปนโรงเรียนราชินีบัดนี้) ๒ วัง สร้างถนนริมสนามชัยฟากตวันออกวัง ๑ จะพรรณาเปนรายวังต่อไป
๕๖
๖ วังริมแม่น้ำ เหนือป้อมมหาฤกษ์
วังนี้เขตร์วังด้านเหนือต่อกับวังแรกของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรด้านใต้จดป้อม สร้างพระราชทานพระองค์เจ้าเฉลิมวงศ์ ครั้นพระองค์เจ้าเฉลิมวงศ์สิ้นพระชนม์ พระราชทานกรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานเปนที่วังสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสด็จพักอยู่จนย้ายมาประทับวังใหม่ที่สพานถ่าน ที่วังเดิมนั้นโปรด ฯ ให้สร้างเปนโรงเรียนสุนันทาลัย (คือโรงเรียนราชินีบัดนี้)
๗ วังริมแม่น้ำ ใต้ป้อมมหาฤกษ์
วังนี้เขตร์วังด้านใต้ตกปากคลองตลาด ด้านเหนือจดป้อมมหาฤกษ์สร้างพระราชทานสมเด็จ ฯ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ ถึงรัชกาลที่ ๔ พระราชทานเปนวังของกรมหมื่นอุดมรัตนราษี ครั้นกรมหมื่นอุดม ฯ สิ้นพระชนม์ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมา จนสร้างเปนโรงเรียนสุนันทาลัยในรัชกาลที่ ๕
๘ วังถนนสนามชัย วังที่ ๓
วังนี้เข้าใจว่าแบ่งที่วังถนนสนามชัยวังที่ ๒ (คือ วังที่สร้างพระราชทานกรมหมื่นเสพสุนทรในรัชกาลที่ ๒) มาสร้างเปนวังขึ้นอิกวัง ๑ หันน่าวังออกถนนสนามชัย ตรงข้ามฟากถนนกับวังที่ ๕ ท้ายวัดพระเชตุพน สร้างพระราชทานกรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ เสด็จอยู่มาจนถึงรัชกาลที่ ๕ โปรด ฯ ให้เสด็จมาประทับที่วังถนนน่าพระลานริมท่าช้าง
๕๗
แทนกรมขุนราชสีหวิกรม วังที่ ๓ นั้นพระราชทานกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเสด็จอยู่มา แล้วถวายที่สร้างโรงทหาร
พระเจ้าลูกเธอรัชกาลที่ ๓ เสด็จออกวังเปนตอนหลัง ๔ พระองค์ สร้างวังใหม่พระราชทานทั้งนั้น คือ
๑ กรมขุนภูวนัยนฤเบนทราภิบาล
๒ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ
๓ กรมขุนเจริญผลพูนสวัสดิ
๔ พระองค์เจ้าจินดา
วัง ๔ วังที่สร้างตอนนี้ สร้างที่ริมถนนเฟื่องนคร ๒ วัง สร้างริมคลองสพานถ่านวัง ๑ สร้างที่ริมคลองคูเมืองเดิม ทางด้านใต้วัง ๑ จะพรรณาเปนรายวังต่อไป
๙ วังถนนเฟื่องนคร วังเหนือ
วังนี้หันน่าวังออกถนนเฟื่องนคร หลังวังจดคลองคูเมืองเดิมที่วังอยู่ในเขตร์ข้างด้านใต้ของศาลาว่าการกระทรวงนครบาลบัดนี้ เปนที่วังกรมขุนภูวนัยนฤเบนทราธิบาล เสด็จประทับอยู่จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนสร้างเปนศาลากระทรวงนครบาล
๑๐ วังถนนเฟื่องนคร วังใต้
วังนี้ต่อวังที่ ๑ ไปทางใต้ อยู่ตรงบริเวณศาลาว่าการกระทรวงคมนาคมบัดนี้ แต่เขตร์วังทางด้านใต้เดิมถึงน่าพระอุโบสถวัดราชบพิธ เปนที่ประทับของกรมขุนเจริญผลพูนสวัสดิ ถึงรัชกาลที่ ๕ ทรงสร้าง
๘
๕๘
ตำหนักตึกพระราชทานหันน่าวังกลับมาออกถนนอัษฎางค์ เมื่อกรมขุนเจริญ ฯ สิ้นพระชนม์แล้ว จึงสร้างที่ว่าการกระทรวงโยธาธิการ ซึ่งเปลี่ยนนามเปนกระทรวงคมนาคมในรัชกาลปัจจุบันนี้
๑๑ วังริมคลองสพานถ่าน
วังนี้อยู่ตรงที่สร้างวัดราชบพิธ ที่วังเดิมหลังวังจดคลองสพานถ่านหันน่าวังมาทางเหนือ เปนที่ประทับของกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ เสด็จอยู่มาจนรัชกาลที่ ๕ ต้องการที่สร้างวัดราชบพิธ จึงโปรด ฯ ให้เสด็จไปประทับที่วังท้ายวัดพระเชตุพนวังที่ ๓
๑๒ วังคลองตลาด วังที่ ๒
วังคลองตลาดวังที่ ๑ เปนวังของกรมหมื่นสิทธิสุขุมการในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒ ได้พรรณาไว้ในตอนว่าด้วยวังครั้งรัชกาลที่ ๒ แล้ว วังที่ ๓ ก็อยู่ริมคลองตลาดฝั่งเหนือ เขตร์ต่อวังที่ ๑ ไปจนเชิงสพานช้างทางปากคลอง สร้างพระราชทานพระองค์เจ้าจินดา ประทับอยู่ไม่ช้าสิ้นพระชนม์แต่ในรัชกาลที่ ๓ นั้น วังนี้หาปรากฎว่าเจ้านายพระองค์ใดเสด็จมาอยู่ต่อมาไม่ นึกสงสัยว่าวังที่ ๑ กับวังที่ ๒ ที่คลองตลาดนี้ เดิมจะเปนวังพระองค์เจ้าจินดาวังเดียวดอกกระมัง บางทีจะแบ่งที่พระราชทานกรมหมื่นสิทธิสุขุมการต่อในรัชกาลที่ ๔ ก็อาจจะเปนได้ ที่ ๒ วังเดี๋ยวนี้ทำเปนถนนราชินีทั้งนั้น
๕๙
ในรัชกาลที่ ๓ โปรดให้สร้างวังใหม่ที่ริมถนนมหาชัยใกล้ประตู สพานหัน ๓ วัง ด้วยที่ตรงนั้นเปนทำนองด่านต้นทางที่จะไปสำเพ็ง ทรงพระราชดำริห์เห็นว่าควรจะมีเจ้านายไปประทับอยู่เปนประธาน อย่างเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ เสด็จประทับอยู่ทางพระนครด้านนั้นเมื่อรัชกาลที่ ๑ วัง ๓ วังนั้นเดี๋ยวนี้รวมเปนวังบูรพาภิรมย์วังเดียว แต่เมื่อยังเปน ๓ วังเจ้านายที่เสด็จประทับมีรายพระนามดังนี้
๑๓ วังถนนมหาชัย วังเหนือ
วังนี้เปนที่ประทับของกรมหมื่นนเรนทรบริรักษ์ พระโอรสพระองค์น้อยของกรมหลวงนรินทรเทวี ซึ่งเปนพระเจ้าน้องนางเธอในพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เดิมเสด็จอยู่ที่วังริมวัดโพธิ์ (พระเชตุพน) ครั้นจะขยายที่วัดเมื่อทำวิหารพระนอน พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด ฯ ให้เสด็จไปประทับที่วังใหม่ริมถนนมหาชัยวัง ๑ กรมหมื่นนเรนทรบริรักษ์สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เชื้อสายได้อยู่ต่อมาจนรวมเปนวังบูรพาภิรมย์เมื่อในรัชกาลที่ ๕
๑๔ วังถนนมหาชัย วังกลาง
วังนี้อยู่ต่อวังเหนือไปทางใต้ เปนที่ประทับของกรมหมื่นนรินทรเทพพระโอรสองค์ใหญ่ของกรมหลวงนรินทรเทวี เสด็จย้ายไปจากวังริมวัดโพธิ์ พร้อมกับกรมหมื่นนเรนทรบริรักษ์ แลสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เหมือนกัน ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ให้กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์เสด็จไปประทับที่วังนี้ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ จึงรวมที่สร้างเปนวังบูรพาภิรมย์
๖๐
๑๕ วังถนนมหาชัย วังใต้
วังนี้เขตร์ต่อวังกลางไปทางใต้ สร้างพระราชทานสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนสร้างวังบูรพาภิรมย์ในรัชกาลที่ ๕
พระองค์เจ้าลูกเธอ ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ได้ออกวัง ๙ พระองค์ คือ
๑ พระองค์เจ้าสว่าง ได้พระราชทานวังเหนือสพานช้างโรงสีที่พระองค์เจ้าเนียมเสด็จอยู่แต่ก่อน
๒ พระองค์เจ้ากำภู ได้พระราชทานวังที่ ๔ ริมสนามวังน่าที่พระองค์เจ้านพเก้าเสด็จอยู่แต่ก่อน
๓ พระองค์เจ้าอุทัย เสด็จอยู่วังเดียวกับพระองค์เจ้าสว่าง เพราะร่วมจอมมารดาเดียวกัน
๔ กรมหมื่นอานุภาพพิศาลศักดิ สร้างวังใหม่
๕ เจ้าฟ้าอิศราพงศ์ ได้พระราชทานวังที่ริมปากคลองวัดชนะสงคราม ที่กรมขุนสุนทรภูเบศร์เสด็จอยู่แต่ก่อน
๖ พระองค์เจ้านุช ได้พระราชทานวังสพานเสี้ยววังที่ ๑ ที่พระองค์เจ้าภุมรินเสด็จอยู่แต่ก่อน
๗ พระองค์เจ้าแฉ่ง เสด็จอยู่วังเดียวกับพระองค์เจ้าสว่าง เพราะร่วมจอมมารดาเดียวกัน
๘ พระองค์เจ้าเริงคนอง (ชายป๊อก) เดิมเสด็จอยู่กับกรมหมื่นอานุภาพ ฯ แล้วได้พระราชทานที่ส่วน ๑ ในวังริมสนามน่าวังที่ ๑
๖๑
๙ พระองค์เจ้าอินทวงศ์ สร้างวังใหม่
วังเจ้านายวังน่าในรัชกาลที่ ๓ สร้างใหม่แต่ ๒ วัง เพราะกรมพระราชวังบวร ฯ จะเลือกหาที่อย่างวังหลวงไม่ได้ ได้แต่สร้างในที่ซึ่งขึ้นอยู่ในกรมพระราชวังบวร ฯ จะพรรณาเปนรายวังต่อไป
๑๖ ถนนพระอาทิตย์ วังที่ ๒
ที่วังนี้อยู่ต่อไปข้างเหนือโรงพยาบาลทหารบัดนี้ เดิมเปนที่บ้านเสนาบดีวังน่าครั้งรัชกาลที่ ๑ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพโปรดให้สร้างวังกรมหมื่นอานุภาพพิศาลศักดิ เสด็จมาอยู่จนสิ้นพระชนม์ ในรัชกาลที่ ๕ แล้วกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญประทานเปนที่วังแก่พระองค์เจ้าวรวุฒิอาภรณ์ลูกเธอ เสด็จมาอยู่จนทุกวันนี้
๑๗ วังสพานเสี้ยว วังที่ ๕
วังนี้อยู่ริมคลองหลอดตรงวัดบุรณสิริข้าม ว่าเดิมเปนที่บ้านพระยาพิชัยบุรินทรา เสนาบดีกรมเมืองวังน่า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพประทานให้เปนวังพระองค์เจ้าอินทวงศ์ เสด็จมาอยู่จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้เปนวังกรมหมื่นพิศาลบวรศักดิพระเจ้าลูกเธอ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลปัจจุบันนี้พระราชทานเปนวังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
วังเจ้านายที่สร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๓ วังเจ้านายฝ่ายพระราชวังหลวง ๑๕ วัง วังเจ้านายฝ่ายพระราชวังบวร ๒ วัง รวมเปน ๑๗ วัง ดังพรรณามา.
ตอนที่ ๕ ว่าด้วยสร้างวังในรัชกาลที่ ๔
พระราชวัง
ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระราชวัง แลตำหนักที่เสด็จประพาศขึ้นหลายแห่ง ทั้งที่ในกรุงเทพฯ และในหัวเมือง เหตุเพราะมามีประเพณีการเสด็จแปรพระราชสำนักไปประทับแรมณที่ประพาศขึ้น
อันประเพณีแปรพระราชสำนักนี้ เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี ปรากฎว่ามีพระราชวังเปนที่สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาศ ๙ แห่ง คือ ในจังหวัดพระนคร ฯ มีพระตำหนักนครหลวงแห่ง ๑ พระตำหนักที่ท่าเจ้าสนุกแห่ง ๑ พระราชวังบางปอินแห่ง ๑ ตามหัวเมืองมีพระราชวังในแขวงจังหวัดพระพุทธบาทที่ท้ายพิกุลแห่ง ๑ พระตำหนักที่ธารเกษมแห่ง ๑ ในแขวงจังหวัดลพบุรีมีพระราชวังที่ในเมืองแห่ง ๑ พระตำหนักที่ทเลชุบศรแห่ง ๑ ในแขวงจังหวัดเพ็ชร์บุรี มีพระราชวังที่ในเมืองแห่ง ๑ พระตำหนักที่ปากน้ำบางตบูนแห่ง ๑ ครั้นมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เปนราชธานี เมื่อรัชกาลที่ ๑ มีการทัพศึกต้องเสด็จไปทำสงครามเนือง ๆ เวลาว่างการสงครามก็ทรงเสด็จสร้างพระนครถึงรัชกาลที่ ๒ รัชกาลที่ ๓ แม้ไม่มีการสงครามที่ต้องเสด็จพระราชดำเนินการสร้างพระนครก็ยังมีต่อมา อีกประการ ๑ พระราชวังที่พระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาเสด็จประพาศนั้น เมื่อย้ายราชธานีลงมาตั้งข้าง
๖๓
ใต้ ก็ เปนที่ห่างไกลไปมาไม่สดวกเหมือนครั้งกรุงเก่า ในรัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ จึงมักเสด็จประพาศแต่ที่ใกล้ ๆ อันไปมาถึงกรุงเทพ ฯ ได้ในวันเดียว เช่นเมืองประทุมธานีแลเมืองสมุทปราการเปนต้น
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ มามีการเปลี่ยนแปลงโดยมูลเหตุ ๒ ประการ คือ ประการที่ ๑ เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ในรัชกาลที่ ๓ นั้น ได้เคยเสด็จไปเที่ยวธุดงค์ตามหัวเมืองหลายมณฑล พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังเปนกรม ก็ได้เคยเสด็จไปเที่ยวประพาศตามหัวเมืองเนือง ๆ ทรงประจักษ์แจ้งแก่พระปรีชาญาณว่า การเสด็จประพาศหัวเมืองเปนประโยชน์แก่ราชการบ้านเมือง ด้วยสามารถจะทรงทราบกิจสุขทุกข์ของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้กว้างขวาง อิกประการ ๑ เมื่อถึงรัชกาลที่ ๔ เกิดมีเรือกลไฟใช้สอยเปนพาหนะ อาจจะไปมาทางไกลได้รวดเร็วกว่าแต่ก่อน ด้วยเหตุ ๒ ประการที่กล่าวมาเปนอาทิ ทั้งประกอบด้วยเหตุอื่นอันจะกล่าวต่อไปข้างน่า จึงทรงสร้างพระราชวังและตำหนักที่ประพาศณที่ต่าง ๆ
พระราชวังที่สร้างใหม่ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างที่ในกรุงเทพ ฯ ๓ แห่ง คือ พระราชวังประทุมวันแห่ง ๑ พระราชวังนันทอุทยานแห่ง ๑ พระราชวังสราญรมย์แห่ง ๑ ทรงสร้างตามหัวเมือง ๗ แห่ง คือ ที่เมืองสมุทปราการแห่ง ๑ ที่บาง ปอินในแขวงกรุงเก่าแห่ง ๑ วังจันทรเกษมในกรุงเก่าแห่ง ๑ ที่ท้ายพิกุลเขาพระพุทธบาทแห่ง ๑ พระนารายน์ราชนิเวศน์ณเมืองลพบุรีแห่ง ๑ พระนครปฐมในแขวงเมืองนครไชยศรีแห่ง ๑ พระนครคิรีณเมืองเพ็ชร์
๖๔
บุรีแห่ง ๑ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชวังใหม่ในกรุงเทพ ฯ แห่ง ๑ ทรงสร้างตำหนักที่ประพาศณตำบลสีทาในแขวงเมืองสระบุรีแห่ง ๑ จะพรรณนาเปนรายวังต่อไป
พระราชวังประทุมวัน
พระราชวังนี้สร้างในที่นาหลวงทุ่งบางกะปิ อยู่ริมคลองแสนแสบฝั่งใต้ ที่นาตำบลนี้มีบัวหลวงมากมาแต่ก่อน จึงโปรด ฯ ให้ขุดสระแต่งที่และสร้างวังน้อยเปนที่เสด็จประพาศแห่ง ๑ ที่พระราชวังสระประทุมเดี๋ยวนี้พระราชทานเปนวังสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชร์บูรณ์อินทราไชย
พระราชวังนันทอุทยาน
พระราชวังนี้สร้างทางจังหวัดธนบุรี ในที่สวนริมคลองมอญข้างฝั่งเหนือ เหตุที่จะทรงสร้างพระราชวังนันทอุทยานนั้น ได้ยินว่าเพราะทรงปรารถว่าถ้าพระองค์เสด็จสวรรคต และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับรัชทายาท พระเจ้าลูกเธอซึ่งยังทรงพระเยาว์และเจ้าจอมมารดาอยู่ในพระบรมมหาราชวังจะกีดขวาง จึงโปรด ฯ ให้ซื้อสวนสร้างพระราชวังนันทอุทยานทำเปนที่เสด็จประพาศ โดยจำนงพระราชหฤทัยให้เปนที่ประทับของพระเจ้าลูกเธอกับเจ้าจอมมารดาในเวลาพระองค์เสด็จล่วงลับแล้ว แต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเสียก่อน จึงพระราชทานที่นันทอุทยานกับทั้งพระที่นั่งซึ่งทรงสร้างในที่นั้นแก่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนตำหนักข้างใน
๖๕
ซึ่งเตรียมไว้จะให้เปนที่พระเจ้าลูกเธอเสด็จอยู่กับเจ้าจอมมารดานั้น โปรด ฯ ให้รื้อไปสร้างเปนตำหนักตามวังพระเจ้าลูกเธอ ดังจะกล่าวต่อไปข้างน่า
พระราชวังสราญรมย์
พระราชวังนี้สร้างตรงที่ตึกดินเก่า ใกล้พระบรมมหาราชวังทางด้านตวันออก สร้างในตอนปลายรัชกาลที่ ๔ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว ด้วยทรงพระราชดำริห์ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชัณษาพอทรงพระผนวชพระแล้ว จะทรงมอบเวรราชสมบัติพระราชทาน ส่วนพระองค์จะเสด็จออกไปประทับเปนพระเจ้าหลวงอยู่ณพระราชวังสราญรมย์ แต่เสด็จสวรรคตเสียก่อน ไม่ได้เปนดังพระราชประสงค์ ในรัชกาลที่ ๕ พระราชทานพระราชวังสราญรมย์ให้เปนที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้า ฯ กรมพระจักรพรรดิพงศเมื่อแรกเสด็จออกวัง ครั้นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ฯ พระองค์ใหญ่เสด็จไปประทับพระราชวังเดิมแล้ว จึงพระราชทานให้เปนที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์น้อย เจ้าฟ้า ฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศวรเดช เสด็จอยู่จนสร้างวังบูรพาภิรมย์แล้ว ต่อมาได้จัดวังสราญรมย์เปนศาลาว่าการกระทรวงต่างประเทศอยู่คราว ๑ แล้วใช้เปนที่รับเจ้านายต่างประเทศที่มาเปนแขกเมือง ได้โปรด ฯ ให้สร้างซ่อมแปลงใหม่ทั้งวัง ครั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันนี้ เมื่อยังเสด็จดำรงพระยศเปนสมเด็จพระยุพราช เสด็จกลับจากทรงศึกษาวิชาการในประเทศยุโรป จึงพระราชทานให้เปนที่เสด็จประทับแห่ง ๑ มาจนตลอดรัชกาลที่ ๕
๙
๖๖
พระราชวังเมืองสมุทปราการ
พระราชวังนี้สร้างที่ริมแม่น้ำฝั่งตวันออก (อยู่ตรงสถานีรถไฟบัดนี้) ถึงรัชกาลที่ ๕ พระราชทานให้เปนที่ใช้ราชการ ได้เปนสถานีโทรเลขเปนเดิมมา แต่พระที่นั่งและเรือนโรงต่าง ๆ เปนของสร้างด้วยเครื่องไม้ผุพังเสียแล้วโดยมาก
พระราชวังบางปอิน
พระราชวังแห่งนี้พระเจ้าปราสาททองทรงสร้าง เปนที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาศเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี ครั้นเสียกรุงเก่าแก่พม่าข้าศึก ก็ทิ้งร้างมาจนถึงรัชกาลที่ ๔ จึงกลับเปนที่เสด็จประพาศอิก พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ให้สร้างพระที่นั่งขึ้นองค์ ๑ (ตรงที่สร้างพระที่นั่งวโรภาศพิมานบัดนี้) พระราชทานนามว่า พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ตามนามปราสาทที่พระเจ้าปราสาททองทรงสร้างไว้แต่เดิม มีตำหนักฝ่ายในหลัง ๑ และสร้างพลับพลาสำหรับเสด็จประพาศไร่แตงที่เกาะนอกอีกหลัง ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ จึงทรงสร้างพระราชวังอันปรากฎอยู่บัดนี้
พระราชวังจันทรเกษม
พระราชวังนี้สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างเมื่อเสด็จดำรงพระยศเปนพระยุพราช แล้วเปนที่ประทับของพระมหาอุปราชต่อมาในสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี ไฟไหม้เสียเมื่อในรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐครั้ง ๑ เมื่อเสียกรุงเก่าก็ถูกข้าศึกเผาอีกครั้ง ๑ จึงเปนวังร้างมาจนรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้สร้าง
๖๗
ขึ้นเปนที่ประทับเวลาเสด็จประพาศกรุงเก่า ในรัชกาลที่ ๕ ก็ได้เสด็จประทับที่พระราชวังจันทรเกษมต่อมา จนสร้างพระราชวังที่บางปอินแล้วจึงพระราชทานวังจันทรเกษมให้เปนที่ว่าการมณฑลอยุธยา
พระราชวังท้ายพิกุลที่เขาพระพุทธบาท
พระราชวังนี้พระเจ้าทรงธรรมทรงสร้างพร้อมกับบริเวณวัดพระพุทธบาท เปนที่ประทับเวลาเสด็จขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท ของเดิมยังเหลืออยู่แต่กำแพงวัง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้สร้างพระตำหนักและเรือนราชบริพารขึ้นในบริเวณพระราชวังนั้น เปนเครื่องขัดแตะถือปูนบ้าง เครื่องไม้บ้าง แต่บัดนี้ผุพังไปหมดแล้ว
พระนารายน์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรี
พระราชวังนี้มีมาแต่ครั้งเมืองลพบุรีเปนราชธานี สมเด็จพระนารายน์มหาราชทรงสร้างใหม่ตรงที่วังเดิมนั้น แต่พระราชมณเฑียรและสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งสร้างครั้งสมเด็จพระนารายน์นั้นชำรุดปรักหักพังเสียโดยมาก เพราะทิ้งร้างมาตั้งแต่เสียกรุงเก่า พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้สร้างซ่อมแซมสิ่งซึ่งยังจะใช้ได้ เช่น ประตูและกำแพงเปนต้น ส่วนพระราชมณเฑียรของเก่าทรงสร้างแต่พระที่นั่งจันทรพิศาลองค์ ๑ นอกจากนั้นทรงสร้างพระที่นั่งที่เสด็จประทับและตำหนักข้างในเปนของใหม่ทั้งหมด แต่ของเดิมที่ร้างนั้นก็ยังรักษาไว้เพียงเท่าที่เหลืออยู่มิได้รื้อทำลาย
๖๘
เหตุที่สร้างพระราชวังที่เมืองลพบุรีเมื่อรัชกาลที่ ๔ นั้น เนื่องด้วยราชการแผ่นดิน ด้วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์ว่า ราชธานีอยู่ที่กรุงเทพ ฯ อยู่ใกล้ทเล ถ้าหากเกิดสงครามกับต่างประเทศ บางทีข้าศึกอาจจะเอาเรือกำปั่นรบขึ้นมาถึงราชธานีได้ เพราะฉนั้นสมควรจะมีราชธานีไว้อิกสักแห่ง ๑ สำหรับจะได้ตั้งต่อสู้ข้าศึกซึ่งมีกำลังมาในทางทเล ได้โปรด ฯ ให้ตรวจดูที่อื่นเห็นไม่เหมาะเท่าเมืองลพบุรี ซึ่งสมเด็จพระนารายน์มหาราชได้ทรงตั้งเปนราชธานีสำหรับต่อสู้ข้าศึกทางทเล โดยทรงพระราชดำริห์อย่างเดียวกัน
พระนารายน์ราชนิเวศน์ได้เปนที่ประทับเวลาเสด็จประพาศทั้งในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ จนสร้างทางรถไฟแล้ว จึงพระราชทานที่วังให้เปนที่ใช้ราชการมาจนทุกวันนี้
พระนครปฐม ที่จังหวัดนครไชยศรี
พระราชวังแห่งนี้ทรงสร้างเนื่องในการปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ด้วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์ว่า พระปฐมเจดีย์เปนมหาเจดีย์สถานที่บรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างแต่แรกพระสาสนามาประดิษฐานในสยามประเทศนี้ เก่าก่อนพระสถูปเจดีย์องค์อื่น ๆ ทั้งหมด แม้มหานครเดิมอันตั้งอยู่ที่ประดิษฐานพระปฐมเจดีย์นั้นร้างกลายเปนป่าเปลี่ยว มหาชนก็ยังเลื่อมใสไปบูชาพระปฐมเจดีย์ต่อมามิได้ขาด จึงทรงพระราชศรัทธาโปรด ฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ทั่วทั้งบริเวณ และโปรด ฯ ให้ขุดคลองมหาสวัสดี คลองเจดีย์บูชา ให้ทางไปมากับกรุงเทพ ฯ สดวกขึ้น ถึงกระนั้นการที่ไปมา
๖๙
ในระหว่างกรุงเทพ ฯ กับพระปฐมเจดีย์ในสมัยนั้น ต้องค้างกลางทางคืนหนึ่งจึงถึง จำเปนต้องสร้างที่ประทับแรมที่พระปฐมเจดีย์ จึงโปรด ฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้นที่ริมบริเวณพระปฐมเจดีย์ ทำนองเดียวกับพระราชวังซึ่งพระมหากษัตริย์ครั้งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างที่ริมบริเวณพระพุทธบาทฉนั้น พระราชทานนามว่า "พระนครปฐม"
พระนครปฐมได้เปนที่เสด็จประทับทั้งในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ จนสร้างทางรถไฟแล้ว จึงพระราชทานพระราชวังนครปฐมให้เปนที่สำหรับราชการมณฑลเทศาภิบาล แต่ของเดิมชำรุดปรักหักพังเสียมาก จึงคงรักษาไว้แต่ตัวพระที่นั่งประทับหลังเดียว ใช้เปนที่ประชุมประชาภิบาลอยู่บัดนี้
พระนครคิรี เมืองเพ็ชร์บุรี
พระราชวังแห่งนี้สร้างบนยอดเขามหาสวรรค์ เปนที่ประทับเวลาเสด็จประพาศเมืองเพ็ชร์บุรี ได้เสด็จประทับหลายคราว ทั้งในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ในรัชกาลที่ ๕ ได้โปรด ฯ ให้ซ่อมแซมใหม่หมดครั้ง ๑ ยังบริบูรณ์ดีอยู่จนทุกวันนี้
พระบวรราชวังใหม่ในกรุงเทพ ฯ
พระบวรราชวังใหม่แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้สร้างที่ริมคลองคูเมืองเดิมทางฝั่งเหนือพระบวรราชวัง (คือตรงที่สร้างโรงกระษาปณ์สิทธิการบัดนี้) เหตุที่สร้างวังใหม่นั้น ได้ยิน มาว่าเดิมพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระที่นั่งเก๋งจีนขึ้นเปนที่ประทับในพระบวรราชวัง ครั้นเสด็จไปประทับที่พระที่นั่งเก๋งนั้น
๗๐
เผอิญประชวรเสาะแสะไม่มีเวลาปรกติ จีนแสถวายพยากรณ์ว่า พระที่นั่งเก๋งนั้นปลูกผิดหวงจุ๊ยเปนอัปมงคล จึงโปรด ฯ ให้หาที่แล้วรื้อพระที่นั่งเก๋งไปปลูกเปนวังใหม่ หมายจะเสด็จไปประทับสำราญพระราชอิริยบถณที่นั้น การยังไม่ทันจะสำเร็จดังพระราชประสงค์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด ฯ ให้แบ่งปันที่พระบวรราชวังใหม่นั้น เปนที่วังของพระองค์เจ้าภาณุมาศ พระองค์เจ้าเบญจางค์ พระองค์เจ้ายุคุนธร พระองค์เจ้ากระจ่าง พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔ พระองค์ด้วยกัน พระองค์เจ้าภานุมาศกับพระองค์เจ้าเบญจางค์ได้ประทับอยู่ที่พระที่นั่งเก๋งองค์ละครึ่ง เจ้านายทั้ง ๔ พระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ ที่พระบวรราชวังใหม่ก็เปนที่ว่าง ครั้นเมื่อจะสร้างโรงกระษาปณ์สิทธิการ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรารภเสียดายพระที่นั่งเก๋งของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะได้ทรงสร้างโดยฝีมือช่างอย่างประณีต จึงโปรด ฯ ให้รื้อไปปลูกไว้ในพระราชวังดุสิต เปนที่พักของพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในเวลาเสด็จไปเฝ้า ฤๅแปรสถานไปประทับเปนครั้งเปนคราว พระที่นั่งเก๋งนั้นยังอยู่ในพระราชวังดุสิตจนบัดนี้.
พระบวรราชวังสีทาที่จังหวัดสระบุรี
พระบวรราชวังแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างที่ริมแม่น้ำสักฝั่งตวันตกณตำบลบ้านสีทา ในแขวงจังหวัดสระบุรีสร้างคราวเดียวกับเมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
๗๑
สร้างพระนารายน์ราชนิเวศน์ที่เมืองลพบุรี เพราะมูลเหตุเกิดแต่คราวหาที่สร้างราชธานีสำหรับเวลาสงครามดังกล่าวมาแล้ว ได้โปรด ฯ ให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปตรวจเมืองนครราชสิมา ทรงเห็นภูมิลำเนากันดารน้ำไม่เหมาะ มาโปรดที่เขาคอกในแขวงจังหวัดสระบุรีว่าเหมือนเปนป้อมอยู่โดยธรรมดา จึงทรงสร้างที่ประทับขึ้นณตำบลบ้านสีทา อันอาจไปมาถึงเขาคอกได้สดวก แล้วเสด็จไปประทับณที่นั้น เพื่อตกแต่งเขาคอกไว้เปนป้อมปราการสำหรับต่อสู้ข้าศึกแห่ง ๑ ได้เสด็จไปประพาศที่วังสีทาเนือง ๆ จนตลอดพระชนมายุ แต่วังนั้นล้วนสร้างเปนเครื่องไม้ ครั้นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้รื้อตำหนักลงมาสร้างวังพระราชทานพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวบ้าง ที่เหลืออยู่ก็หักพังสูญไปหมด เดี๋ยวนี้ที่ซึ่งเคยเปนพระบวรราชวังก็กลับเปนที่บ้านราษฎรไปอย่างเดิม
วังเจ้านายสร้างในรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระเจ้าลูกยาเธอประสูตรก่อนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ๒ พระองค์ ต่อมาทรงสถาปนาเปนกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศพระองค์ ๑ กรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธรพระองค์ ๑ เจ้าจอมมารดาเปนธิดาพระอินทรอภัย โอรสของพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ในรัชกาลที่ ๓ กรมหมื่นมเหศวร ฯ ตามเสด็จไปอยู่วัดบวรนิเวศไปเกิดประชวรพระโรคเรื้อรัง เวลานั้นพระอินทรอภัยสิ้นชีพเสียแล้ว พระพงศ
๗๒
นรินทรพี่ชายพระอินทรอภัยจึงรับพระองค์ไปรักษาพยาบาล ด้วยพระพงศนรินทรเปนจางวางกรมหมออยู่ในรัชกาลที่ ๓ กรมหมื่นมเหศวร ฯ ได้เสด็จไปประทับอยู่ที่บ้านพระพงศนรินทร อันอยู่ริมคลองบางลำภู (ตรงที่เชิงสพานนรรัตนบัดนี้) ทางฝั่งเหนือเคียงกันกับบ้านพระอินทรอภัยจนทรงพระเจริญเปนหนุ่ม พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่า กรมหมื่นมเหศวร ฯ เสด็จอยู่ที่บ้านพระพงศนรินทรต่อไปจะกีดกับครอบครัวของพระพงศนรินทร จึงดำรัสวานพระพงศนรินทรให้ช่วยหาซื้อที่สร้างวังกรมหมื่นมเหศวร ฯ พระพงศนรินทรซื้อได้ที่สวนใกล้วัดบวรนิเวศ อยู่ริมคลองบางลำภูฝั่งเหนือไม่ห่างจากบ้านพระพงศนรินทรนัก พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้ปลูกตำหนักประทานกรมหมื่นมเหศวร ฯ และกรมหมื่นวิษณุนารถ ฯ เสด็จอยู่ด้วยกันในที่นั้นมาจนตลอดรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๔ จึงโปรด ฯ ให้สร้างวังพระราชทานกรมหมื่นมเหศวร ฯ และกรมหมื่นวิษณุนารถ ฯ เปนวังพระเจ้าลูกยาเธอสร้างชั้นแรกในรัชกาลที่ ๔ มี ๒ วัง จะพรรณาเปนรายวังต่อไป
๑ วังกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ
วังนี้อยู่ริมคลองบางลำภูฝั่งเหนือ (ที่เชิงสพานนรรัตนบัดนี้) เดิมเปนที่บ้านพระพงศนรินทรกับบ้านพระอินทรอภัย คุณตาของกรมหมื่นมเหศวร ฯ ถึงรัชกาลที่ ๔ มีแต่วงศ์วารอยู่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด ฯ ให้ซื้อสร้างเปนวังกรมหมื่นมเหศวร ฯ เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ พระองค์เจ้าและหม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนถึงเชื้อสาย.
๗๓
๒ วังกรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธร
วังนี้อยู่ริมคลองบางลำภูฝั่งเหนือ คือที่ซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้กรมหมื่นมเหศวร ฯ กับกรมหมื่นวิษณุนารถ ฯ ประทับอยู่เมื่อในรัชกาลที่ ๓ นั้น ถึงรัชกาลที่ ๔ โปรด ฯ ให้สร้างเปนวังกรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธร เสด็จอยู่มาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ พระองค์เจ้าและหม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนถึงเชื้อสาย
พระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งประสูตร์เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วนั้น ล้วนทรงพระเยาว์ไม่ทันได้อกวังในรัชกาลที่ ๔ แต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงจัดซื้อที่สำหรับจะสร้างวังพระเจ้าลูกยาเธอที่เปนชั้นใหญ่และชั้นกลางหลายพระองค์ ได้ลงมือสร้างตำหนักแต่ในรัชกาลที่ ๔ บ้าง ยังมิได้ลงมือสร้างบ้าง ที่วังที่ได้กะไว้ในรัชกาลที่ ๔ บางแห่งเปลี่ยนไปโดยเหตุที่จะแสดงต่อไปข้างน่า แต่สร้างวังใหม่ในที่ซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้นั้นโดยมาก จะพรรณาโดยลำดับพระองค์ต่อไป คือ
๑ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมได้พระราชทานที่ให้สร้างวังที่บ้านเจ้าพระยาพลเทพ ฯ (หลง) ที่ริมคลองคูเมืองเดิมฟากใต้ (ตรงปลายถนนอัษฎางค์ต่อกับถนนจักรเพชร์บัดนี้ พระราชดำริห์ดูเหมือนจะโปรด ฯ ให้สร้างวังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศ และวังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศวรเดช
๑๐
๗๔
ติดต่อกันไปกับวังนี้ด้วย) แต่ยังมิได้สร้างวัง เปนแต่ให้ข้าในกรมไปอยู่รักษาที่นั้น เพราะพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าอยู่หัวเสด็จอยู่ประจำใกล้พระองค์ พระราชทานพระตำหนักสวนกุหลาบที่ในพระบรมมหาราชวังให้เปนที่ประทับ ต่อมาพระราชทานพระราชวังนันทอุทยานอีกแห่ง ๑ ก็เปนแต่อย่างที่ประพาศ หาได้ไปประทับอยู่ประจำไม่ ครั้นพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระราชทานที่บ้านเจ้าพระยาพลเทพ ฯ (หลง) ซึ่งได้กะไว้ว่าจะสร้างวังแต่เดิมนั้น แก่พระยาพิชัยสงคราม (อ่ำ) อันเปนปลัดกรมข้าหลวงเดิม โดยได้อยู่รักษาที่นั้นมาแต่ในรัชกาลที่ ๔
๒ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสวตวรลาภ ได้พระราชทานที่ให้สร้างวังที่มุมถนนเจริญกรุงฟากเหนือต่อกับถนนมหาชัย แต่พระองค์เจ้าเสวตวรลาภสิ้นพระชนม์เสียแต่ยังทรงพระเยาว์ หาทันได้สร้างวังไม่ ถึงรัชกาลที่ ๕ ที่นั้นแบ่งสร้างโรงหวยตอน ๑ พระราชทานเปนวังพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลังการตอน ๑ ต่อมาพระองค์เจ้าอลังการย้ายไปอยู่ที่อื่น และเลิกอากรหวย ที่ก็กลับคืนเปนของหลวง
๓ กรมพระนเรศวรวรฤทธิ์ สร้างวังใหม่
๔ กรมหลวงพิชิตปรีชากร สร้างวังใหม่
๕ กรมหลวงอดิศรอุดมเดช สร้างวังใหม่ในที่วังเก่า
๖ กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ สร้างวังใหม่ในที่วังเก่า
๗ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ได้พระราชทานวังเก่า
๗๕
๘ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ สร้างวังใหม่ในที่วังเก่า
๙ กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร สร้างวังใหม่ในที่วังเก่า
๑๐ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระจักพรรดิ์พงศ์โปรด ฯ ให้เสด็จประทับ ณพระราชวังเดิม
๑๑ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย สร้างวังใหม่ แต่วังยังไม่ทันแล้วสิ้นพระชนม์เสียก่อน ที่วังนั้นเป็นวังสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการต่อมา
๑๒ กรมหมนทิวากรวงศ์ประวัติ ได้พระราชทานวังเก่าแล้วสร้างวังใหม่
๑๓ กรมขุนสิริธัชสังกาศ สร้างวังใหม่
๑๔ กรมหลวงสรรพสาตร์ศุภกิจ สร้างวังใหม่
๑๕ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้พระราชทานที่ริมประตูสำราญราษฎร์ ใต้วัดเทพธิดา (ตรงกับวังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ข้ามฟากถนนบำรุงเมือง) แต่เสด็จประทับอยู่วังกรมหลวงพิชิตปรีชากร ต่อมาเสด็จไปสำเร็จราชการมณฑลอิสาณ ประทับอยู่ณเมืองอุบลหลายปี ครั้นเสด็จกลับมาได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีในกระทรวงวัง ประทับอยู่ที่ตำหนักในบริเวณพระราชวังดุสิตจนตลอดพระชนมายุ หาได้สร้างวังใหม่ไม่
๑๖ พระองค์เจ้ากาพย์กนกรัตน สร้างวังใหม่
๑๗ สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ได้พระราชทานวังเก่าแล้วสร้างวังใหม่
๗๖
๑๘ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช สร้างวังใหม่ในที่วังเก่า
๑๙ สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส สร้างวังใหม่
๒๐ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ สร้างวังใหม่
พระเจ้าลูกเธอชั้นใหญ่และชั้นกลางที่ได้พระราชทานที่วังเมื่อรัชกาลที่ ๔ เพียงนี้ นอกจากนี้เปนชั้นเล็ก เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๔ ยังทรงพระเยาว์นัก มาได้พระราชทานที่วังในรัชกาลที่ ๕ คือ
๒๑ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา สร้างวังใหม่
๒๒ กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป สร้างวังใหม่
๒๓ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ สร้างวังใหม่
๒๔ กรมพระดำรงราชานุภาพ สร้างวังใหม่
๒๕ พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ ได้พระราชทานที่บ้านเจ้าเขมรที่เชิงสพานดำรงสถิตย์ฟากตวันออก แต่สิ้นพระชนม์เสียก่อนไม่ทันสร้างวัง
๒๖ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา สร้างวังใหม่
๒๗ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ ได้พระราชทานวังเก่า คือ วังริมท่าพระถนนน่าพระลาน ที่พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประทับอยู่แต่ก่อน
๒๘ กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ สร้างวังใหม่
๒๙ กรมหลวงสวัสดิ์วัตนวิศิษฏ์ สร้างวังใหม่
๓๐ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย สร้างวังใหม่
๗๗
รวมจำนวนวังพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๔ ที่สร้างในที่ใหม่ ๑๘ วังสร้างในที่วังเก่า ๕ วัง เปน ๒๓ วัง ได้แสดงพรรณาถึงวังกรมหมื่นมเหศวร ฯ วังกรมหมื่นวิษณุนารถ ฯ มาแล้ว ๒ วัง จะกล่าวพรรณาถึงวังอื่นต่อไป
๓ วังกรมพระนเรศวรวรฤทธิ์
วังนี้อยู่ริมแม่น้ำเหนือพระราชวังบวร ฯ หลังวังออกถนนพระอาทิตย์เดิมเปนที่บ้านของเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรีย) ปู่ของเจ้าจอมมารดากลิ่น เจ้าพระยามหาโยธาได้ทำพินัยกรรมถวายแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงโปรด ฯ ให้สร้างวังณที่นี้
๔ วังกรมหลวงพิชิตปรีชากร
วังนี้อยู่ริมถนนมหาชัย ต่อวังบูรพาภิรมย์ทางด้านเหนือมาจนถนนเจริญกรุง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศรับเปนธุระเลือกหาที่ และสร้างวังแต่ในรัชกาลที่ ๔ ด้วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมอบกรมหลวงพิชิต ฯ ให้เปนหลานของท่าน กรมหลวงพิชิต ฯ ประทับอยู่ที่วังนี้ตลอตพระชนมายุ หม่อมเจ้าในกรมยังปกครองอยู่จนทุกวันนี้
๕-๖ วังกรมหลวงอดิศรอุดมเดช
ในรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงซื้อที่บ้านเจ้าพระยาธรรมา (เสือ) ที่บางลำภู (อยู่ตรงที่ตลาดยอดบัดนี้) กะจะสร้างวังกรมหลวงอดิศร ฯ (และเข้าใจว่าวังกรมหมื่นทิวากร ฯ ซึ่งร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันด้วย) แต่ยังไม่ทันได้สร้างวัง ถึงรัชกาลที่ ๕ พระราชทานที่วังกรมหมื่นเชษฐา
๗๘
ธิเบน (คือ วังที่ ๑ แถววังท้ายวัดพระเชตุพน) ซึ่งว่างอยู่ แก่กรมหลวงอดิศร ฯ และโปรด ฯ ให้สร้างตำหนักใหม่พระราชทานกรมหลวงอดิศร ฯ ด้วย กรมหลวงอดิศร ฯ เสด็จอยู่วังนี้จนรัชกาลปัจจุบันนี้จึงย้ายวังไปสร้างใหม่ริมแม่น้ำถนนพระอาทิตย์
๗ วังกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์
วังนี้พื้นที่เดิมเปนวังกรมหลวงสรรพศิลป์ปรีชา คือ วังริมสพานช้างโรงสีวังเหนือ กรมหลวงสรรพศิลป์ ฯ สิ้นพระชนม์ ที่ว่างอยู่ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานให้เปนวังกรมหมื่นภูธเรศ ฯ โปรด ฯ ให้รื้อตำหนักข้างในที่พระราชวังนันทอุทยานมาหมู่ ๑ สร้างเปนตำหนัก กรมหมื่นภูธเรศ ฯ ประทับอยู่ที่วังนี้จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ หม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมาจนทรงซื้อสร้างตึกและตัดเปนถนนแพร่งภูธรบัดนี้
๘ วังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์
วังนี้อยู่ริมถนนบำรุงเมืองฟากใต้ ตรงต่อกับถนนที่ใกล้ประตูสำราญราษฎร์ พื้นที่เดิมเปนวังกรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ทั้งวังกับวังพระองค์เจ้าเกยูรด้วยกึ่งหนึ่ง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซื้อพระราชทานกรมหลวงพรหม ฯ และโปรด ฯ ให้รื้อตำหนักที่พระราชวัง นันทอุทยานมาสร้างเปนตำหนักด้วย กรมหลวงพรหม ฯ เสด็จอยู่ที่วังนี้จนรัชกาลปัจจุบันนี้ จึงย้ายไปประทับที่วังถนนพระราม ๑
๗๙
๙ วังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร
วังนี้อยู่ริมถนนบำรุงเมืองฟากใต้ ต่อวังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์มาทางตวันตก ที่เดิมเปนวังกรมขุนวรจักร์ธรานุภาพทั้งวังกับวังพระองค์เจ้าเกยูรครึ่งวัง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซื้อพระราชทานกรมหมื่นราชศักดิ์ ฯ และโปรด ฯ ให้รื้อตำหนักที่ พระราชวังนันทอุทยานมาสร้างเปนตำหนักด้วย
๑๐ วังกรมหมื่นทิวากรวงศประวัติ
เดิมกรมหมื่นทิวากร ฯ ได้พระราชทานวังเก่า คือ วังที่ ๒ แถวท้ายวัดพระเชตุพน ที่พระองค์เจ้าลำยองเสด็จอยู่ก่อนนั้น แต่เสด็จอยู่วังกรมหลวงอดิศรอุดมเดช หาได้สร้างวังไม่ ภายหลังจึงไปทรงซื้อที่สร้างวังที่ริมแม่น้ำณตำบลสามเสน ข้างเหนือวัดส้มเกลี้ยงประทับอยู่ในวังนั้นต่อมาจนตลอดพระชนมายุ
๑๑ วังกรมขุนสิริธัชสังกาศ
วังนี้อยู่ริมถนนบำรุงเมืองฟากใต้ ต่อวังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสรมาทางตวันตกจนถึงคลองวัดสุทัศน์ เดิมเปนที่บ้านพระยาเทพอรชุน พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงซื้อพระราชทานกรมขุนสิริธัชสังกาศ และโปรด ฯ ให้รื้อตำหนักที่พระราชวังนันทอุทยานมาสร้างเปนตำหนักกรมขุนสิริธัช ฯ เสด็จอยู่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ หม่อมเจ้าอุปพัทธพงศ หม่อมเจ้าชายใหญ่ได้รับมรดกอยู่ต่อมาจนทุกวันนี้
๘๐
๑๒ วังกรมหลวงสรรพสาตร์ศุภกิจ
วังนี้อยู่ริมถนนบ้านตะนาวฟากตวันตก พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้ซื้อพระราชทานกรมหลวงสรรพสาตร์ ฯ เสด็จอยู่มาจนตลอดพระชนมายุ
๑๓ วังพระองค์เจ้ากาพย์กนกรัตน
วังนี้อยู่ริมคลองคูเมืองเดิม ต่อวังกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ไปทางเหนือ ได้ลงมือสร้างตำหนักยังค้างอยู่ พระองค์เจ้ากาพย์กนกรัตน์สิ้นพระชนม์หาทันได้เสด็จอยู่ไม่
๑๔-๑๕ วังสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ
เดิมเมื่อรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด ฯ ให้ซื้อที่ริมถนนบำรุงเมืองฟากเหนือ ตอนริมคลองวัดสุทัศน์ (ตรงข้ามกับวังกรมขุนสิริธัชสังกาศ) พระราชทาน แต่ยังไม่ทันสร้างวังถึงรัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานวังเก่าที่ริมแม่น้ำตอนเหนือป้อมมหาฤกษ์อันเปนวังกรมหมื่นภูบดี ฯ อยู่ก่อนนั้น เสด็จอยู่ที่วังนั้นกับพระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย ครั้นพระองค์เจ้าอุณากรรณ ฯ สิ้นพระชนม์ จึงได้พระราชทานที่วังเดิมของพระองค์เจ้าอุณากรรณที่ริมสพานถ่าน สร้างวังแล้วเสด็จไปประทับอยู่วังนั้นจนรัชกาลปัจจุบันนี้ ทรงพระกรุณาโปรด ฯ สร้างวังเทวะเวสม์พระราชทานที่ริมแม่น้ำตำบลบางขุนพรหม จึงเสด็จย้ายไปประทับที่วังเทวะเวสม์มาจนบัดนี้
๘๑
๑๖ วังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
วังนี้อยู่ริมถนนมหาชัยใกล้ประตูสพานหัน สร้างในรัชกาลที่ ๕ ในที่วังเก่า ๓ วัง คือ วังสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรวัง ๑ วังกรมหมื่นนเรนทรบริรักษ์ (ซึ่งกรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ได้เสด็จอยู่เมื่อรัชกาล ที่ ๔) วัง ๑ วังกรมหมื่นนรินทรเทพวัง ๑ รวมกันพระราชทานนามว่า "วังบูรพาภิรมย์"
๑๗ วังสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส
วังนี้อยู่ริมถนนมหาชัย ต่อวังกรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ไปทางใต้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่ ได้ลงมือสร้างตำหนักยังไม่ทันแล้ว สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงผนวช แล้วเลยเสด็จดำรงสมณภาพอยู่จนตลอดพระชนมายุ
๑๘ วังกรมพระสมมตอมรพันธุ์
วังนี้อยู่ริมถนนบำรุงเมืองฟากเหนือ (ตรงข้ามกับวังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร) หลังวังจดเขตร์วัดเทพธิดา กรมพระสมมตอมรพันธุ์ประทับอยู่วังนี้ตลอดพระชนมายุ เดี๋ยวนี้เปนของหม่อมเจ้ามงคลประวัติในกรมพระสมมต ฯ
๑๙ กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา
วังนี้อยู่ริมถนนมหาชัย ต่อวังสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสไปทางใต้
๑๑
๘๒
๒๐ วังกรมหมื่นพงศาดิศรมหิป
วังนี้อยู่หลังวังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสรไปทางใต้ ด้านตวันตกจดคลองวัดสุทัศน์
๒๑ วังกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
วังนี้อยู่ริมถนนบ้านตะนาว ต่อวังกรมหลวงสรรพสาตร์ศุภกิจไปทางใต้ ต่อมากรมพระนราธิปประพันธ์พงศทรงตัดถนนแพร่นราผ่านกลางวัง
๒๒ วังกรมพระดำรงราชานุภาพ
วังเดิมสร้างที่บ้านพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ) ซึ่งได้ทรงรับมรดก อยู่ที่ริมถนนเจริญกรุงฟากเหนือ ริมเชิงสพานดำรงสถิตย์ประทับอยู่วังนี้มาจนรัชกาลปัจจุบันนี้ จึงสร้างวังวรดิศที่ถนนหลานหลวงแล้วย้ายไปประทับที่วังวรดิศต่อมา
๒๓ - ๒๔ วังกรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา
วังเดิมอยู่ริมแม่น้ำที่ใต้ปากคลองตลาด พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ให้สร้างวังที่ริมถนนเจริญกรุงฟากเหนือตรงตลาดน้อยพระราชทานแลกวังเดิม จึงย้ายไปประทับที่วังตลาดน้อยต่อมาจนตลอดพระชนมายุ เดี๋ยวนี้เปนของพระองค์เจ้าธานีนิวัติ
๒๕ วังกรมขุนมรุพงศสิริพัฒน์
วังเดิมอยู่ริมคลองวัดสุทัศน์ ในระหว่างวังกรมขุนสิริธัชสังกาศกับวังกรมหมื่นพงศาดิศรมหิป ประทับอยู่ที่วังนี้จนถึงรัชกาลปัจจุบันนี้
๘๓
ทรงสร้างวังใหม่ที่ตำบลมักกะสัน ถวายที่วังเดิมกับทั้งตำหนักให้ตั้งเปนโรงเรียน ทรงอุทิศสนองพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว จึงตั้งเปนโรงเรียนสตรีมีชื่อว่า "โรงเรียนเบญจมราชาลัย"
๒๖ วังกรมหลวงสวัสดิวัตนวิศิษฎ์
วังนี้อยู่ริมถนนพระราม ๑ ฟากเหนือ ในอำเภอประทุมวัน
๒๗ - ๒๘ วังกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย
วังเดิมอยู่ริมถนนมหาชัย ต่อวังกรมหมื่นพงศาดิศรมหิปไปทางใต้ครั้นทรงสร้างวังใหม่ที่ริมแม่น้ำณตำบลสามเสน รัฐบาลจึงซื้อที่วังเดิมทำเรือนจำเมื่อขยายเขตร์คุก กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยประทับอยู่ที่วังณตำบลสามเสนจนตลอดพระชนมายุ แล้วแบ่งที่วังประทานหม่อมเจ้าในกรมอยู่ต่อมา
พระองค์เจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ออกวังในเวลาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมีพระชนม์แต่ ๓ พระองค์
๑ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ สร้างวังใหม่
๒ พระองค์เจ้าสุธารส ได้ยินว่าเดิมพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับเลี้ยง จึงแบ่งที่วังพระองค์เจ้าเรณูที่ริมถนนสนามชัย ตอนต่อวังกรมหมื่นถาวรวรยศไปทางเหนือ พระราชทานเปนที่วัง เสด็จอยู่วังนี้มาจนถึงรัชกาลที่ ๕ ต้องการที่ใช้ราชการ จึงโปรด ฯ ให้ย้ายไปประทับที่วังเก่าริมสนามวังน่า วังที่ ๓ (ซึ่งเปนวังของพระองค์เจ้าช้างเมื่อรัชกาลที่ ๑ นั้น) เสด็จอยู่ที่วังนี้มาจนตลอดพระชนมายุ
๘๔
๓ กรมหมื่นพิศาลบวรศักดิ์ ได้พระราชทานวังเก่า คือวังที่ ๕ ในแถววังสพานเสี้ยวซึ่งพระองค์เจ้าอินทวงศ์ประทับอยู่แต่ก่อน เสด็จอยู่ที่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระองค์เจ้าลูกเธอยังไม่ได้ออกวังหลายพระองค์ ที่เจริญพระชัณษาสมควรจะออกวัง พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดที่วังพระราชทาน ๗ พระองค์ คือ
๔ พระองเจ้าภาณุมาศ
๕ พระองค์เบญจางค์
๖ พระองค์เจ้ายุคุนธร
๗ พระองค์เจ้ากระจ่าง
สี่พระองค์นี้ทรงแบ่งที่พระบวรราชวังใหม่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างค้างอยู่นั้น พระราชทานพระองค์ละส่วน พระที่นั่งเก๋งได้แก่พระองค์เจ้าภาณุมาศกึ่ง ๑ พระองค์เจ้าเบญจางค์กึ่ง ๑
๘ กรมหมื่นบริรักษ์นรินทรฤทธิ์ สร้างวังใหม่
๙ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ เดิมอยู่วังเดียวกับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ จนถึงรัชกาลที่ ๕ กรมพระราชวังบวร ฯ จึงสร้างวังใหม่ประทาน
๑๐ พระองค์เจ้าโต สร้างวังใหม่
พระองค์เจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเปนชั้นเล็กมาได้ออกวังต่อรัชกาลที่ ๕ มี ๔ พระองค์ คือ
๑๑ กรมหมื่นวรวัฒนศุภากร สร้างวังใหม่
๘๕
๑๒ พระองค์เจ้านันทวัน ได้พระราชทานวังเก่าที่ริมสนามวังน่า วังที่ ๒ ซึ่งกรมขุนนรานุชิตประทับอยู่ก่อน
๑๓ กรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ ได้พระราชทานที่วังเก่าริมสนามวังน่า วังที่ ๑ ซึ่งกรมหมื่นเสนีเทพเสด็จอยู่ก่อน ประทับอยู่ก่อนแล้วจึงสร้างวังใหม่
๑๔ พระองค์เจ้าสนั่น ได้พระราชทานที่วังริมถนนหลังวัดชนะสงคราม
แต่พระองค์เจ้าวัฒนากับพระองค์เจ้าพรหเมศ ๒ พระองค์ ประทับอยู่ในบริเวณพระราชวังบวร ฯ ไม่ได้ออกวังจนตลอดพระชนมายุ
แต่นี้จะพรรณาวังเจ้านายฝ่ายพระบวรราชวังในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งสร้างใหม่เปนรายวังต่อไป
๒๙ วังกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
วังนี้อยู่ริมคลองคูเมืองเดิมฟากเหนือ เขตร์วังตั้งแต่ถนนพระอาทิตย์มาจนต่อเขตร์วังเจ้าฟ้าอิศราพงศ (คือที่สร้างโรงพยาบาลทหารบัดนี้) เดิมเปนที่บ้านข้าราชการฝ่ายพระราชวังบวร พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงซื้อสร้างวังพระราชทานกรมพระราชวังบวร ฯ เมื่อยังดำรงพระยศเปนกรมหมื่นบวรวิชัยชาญ เสด็จอยู่ที่วังนี้จนรับอุปราชาภิเษกในรัชกาลที่ ๕ แต่เดิมสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินกะว่าจะให้กรมพระราชวังบวร ฯ คงประทับอยู่ที่วังนี้ เปนแต่เสด็จเข้าไปทำการพระราชพิธีฤๅรับแขกเมืองในพระราชวังบวร ฯ จึงให้ไปถ่ายแบบตึกที่เมืองสิงคโปร์มาสร้างตำหนัก
๘๖
ขึ้น และให้ทำสพานข้ามคลองและทำฉนวนเปนทางเสด็จตั้งแต่วังเข้าไปจนถึงพระราชวังบวร ฯ คนทั้งหลายจึงเรียกวังนี้ว่า "วังใหม่" แต่ต่อมากรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเสด็จเข้าไปประทับในพระราชวังบวร ฯ ประทานวังใหม่ให้เปนวังพระองค์เจ้าวิไลยวรวิลาศ พระองค์เจ้าชายใหญ่ครึ่ง ๑ ประทานพระองค์เจ้าชัยรัตนวโรภาสซึ่งทรงพระเมตตามากครึ่ง ๑ เปนวังของพระองค์เจ้า ๒ พระองค์นั้นมาจนซื้อที่สร้างโรงพยาบาลทหาร
๓๐ วังกรมหมื่นบริรักษ์นรินทรฤทธิ์
วังนี้อยู่ริมแม่น้ำข้างใต้ท่าช้างวังน่า ได้ยินว่าเดิมเปนที่ทำการแต่งเรือกำปั่นรบของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมหมื่นบริรักษ์มีน่าที่ทรงทำการนั้น จึงประทับอยู่ณที่นั้นแต่เดิมมาจนตลอดพระชนมายุ
๓๑ วังกรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์
เมื่อในรัชกาลที่ ๔ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ประทับอยู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญที่ "วังใหม่" ถึงรัชกาลที่ ๕ กรมพระราชวังบวร ฯ จึงทรงซื้อที่ริมแม่น้ำข้างใต้ป้อมพระสุเมรุ อันเปนที่บ้านข้าราชการวังน่าอยู่ก่อนสร้างวังประทาน กรมหมื่นสถิตย์ ฯ ประทับอยู่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ แล้วรัฐบาลจึงซื้อ ที่สร้างที่ว่าการกรมตำรวจภูธร
๓๒ วังพระองค์เจ้าโต
วังนี้อยู่ริมถนนจักรพงศตรงน่าวัดชนะสงครามข้าม พระองค์เจ้าโตได้รับมรดกคุณตา จึงสร้างวังอยู่ณที่นั้นจนตลอดพระชนมายุ
๘๗
๓๓ วังกรมหมื่นวรวัฒนศุภากร
วังนี้อยู่ริมถนนเข้าสารฟากใต้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชทาน กรมหมื่นวรวัฒนศุภากรได้ประทับอยู่ต่อมาตลอดจนพระชนมายุ
๓๔ วังกรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ
เดิมกรมหมื่นจรัสพร ฯ ประทับอยู่ที่วังเก่า คือ วังที่ ๑ ริมสนามวังน่า ครั้นเมื่อสร้างถนนราชดำเนิน ที่วังนั้นถูกทำถนน พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานวังใหม่ที่ริมถนนสามเสนฟากตวันตกตรงข้ามกับปากถนนใบพร คือถนนอู่ทองในบัดนี้ กรมหมื่นจรัสพร ฯ ประทับอยู่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ
วังสร้างใหม่สำหรับเจ้านายในรัชกาลที่ ๔ วังเจ้านายฝ่ายพระราชวังหลวง ๒๘ วัง วังเจ้านายฝ่ายพระราชวังบวร ๖ วัง รวม ๓๔ วังด้วยกันดังพรรณามา
ตอนที่ ๖ ว่าด้วยสร้างวังในรัชกาลที่ ๕
ในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชวังใหม่ในกรุงเทพ ฯ ๒ แห่ง คือพระราชวังดุสิตแห่ง ๑ พระตำหนักพญาไทแห่ง ๑ สร้างพระราชวังตามหัวเมือง ๖ แห่ง คือ ในเขตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทรงสร้างพระราชวังบางปอินแห่ง ๑ ในเขตรจังหวัดราชบุรี ทรงสร้างพระราชวังที่ริมน้ำทางฝั่งตวันตก ตรงเมืองข้ามแห่ง ๑ พระราชวังบนเขาสัตนาถแห่ง ๑ ในเขตรจังหวัด สมุทปราการ ทรงสร้างพระราชวังจุฑาธุชราชฐานที่เกาะสิชังแห่ง ๑ ในเขตรจังหวัดระนอง สร้างพระราชวังรัตนรังสรรค์แห่ง ๑ ในเขตรจังหวัดเพ็ชร์บุรี ทรงสร้างพระราชวังที่บ้านปืนแห่ง ๑ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทรงบุรณะวังในกรุงเทพ ฯ แห่ง ๑ ทรงสร้างวังตามหัวเมือง ๑ แห่งจะพรรณาเปนลำดับต่อไป
พระราชวังดุสิต
ที่พระราชวังดุสิตเมื่อก่อนจะสร้างเปนพระราชวังนั้น เปนที่สวนต่อท้องนาทุ่งสามเสน พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประพาศ ทรงพระราชดำริห์ว่าเปนที่เย็นสบายดี จึงโปรด ฯ ให้ซื้อที่ตอนชายทุ่งแล้วสร้างพลับพลาขึ้น เปนที่เสด็จไปประทับแรมสำราญพระราชอิริยาบถในวันเสาร์วันอาทิตย์ปลายสัปดาหะ พระราชทานนามว่า "สวนดุสิต" ต่อมาเมื่อทรงสร้างถนนหนทางขยาย
๘๙
ชานพระนครกว้างขวางออกไปทั้งทางด้านตวันออกด้านใต้และด้านเหนือที่สวนดุสิตกลายเปนติดต่อกับบริเวณพระนครไปมาได้สดวก จึงทรงสร้างเปนพระราชวังที่เสด็จประทับอยู่เปนนิจ เสด็จเข้ามาประทับที่ในพระบรมมหาราชวังแต่เปนครั้งเปนคราว ตั้งแต่สร้างพระราชวังแล้วพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จประทับอยู่พระราชวังดุสิตจนตลอดรัชกาล ถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ก็เปนที่เสด็จประทับต่อมา
พระตำหนักพญาไท
ที่สร้างพระตำหนักแห่งนี้เดิมเปนที่สวนริมคลองสามเสนต่อกับท้องทุ่งพญาไท เมื่อสร้างพระราชวังดุสิตแล้วตัดถนน "ซังฮี้" ซึ่งบัดนี้เรียกว่าถนน "ราชวิถี" ผ่านไปทางสวนนั้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ ให้ซื้อที่สร้างสวนผักตอน ๑ ทำนาตอน ๑ แล้วสร้างตำหนักสำหรับเสด็จประพาศขึ้นณที่นั้น พระราชทานนามว่า "ตำหนักพญาไท" ถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จออกไปประทับอยู่ที่พระตำหนักพญาไทจนตลอดพระชนมายุ เมื่อสมเด็จพระบรมราชินีพันปีหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันนี้โปรด ฯ ให้สร้างพระราชมณเทียรสถานเปนที่เสด็จประทับต่อมา
พระราชวังบางปอิน
พระราชวังนี้อยู่ที่เกาะบางปอินในเขตร์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดิมพระเจ้าปราสาททองทรงสร้างเปนพระราชวังที่เสด็จประพาศ แล้ว
๑๒
๙๐
พระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่นก็ได้เสด็จประพาศต่อมาจนตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี ตั้งแต่เสียกรุงเก่าพระราชวังบางปอินเปนที่ทิ้งร้างมาจนถึงรัชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรด ฯ ให้สร้างเปนที่เสด็จประพาศอิก แต่สิ่งซึ่งสร้างครั้งพระเจ้าปราสาททองปรักหักพังหมดเหลือแต่สระกว้างเส้น ๑ ยาว ๑๐ เส้นสิ่งซึ่งสร้างขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๔ มีแต่พระที่นั่ง (อยู่ตรงพระที่นั่ง วโรภาศพิมานบัดนี้) หลัง ๑ พระราชทานนามตามปราสาทของเดิมซึ่งพระเจ้าปราสาททองทรงสร้าง ว่าพระที่นั่งไอสวรรย์ทิพอาสน์ กับตำหนักข้างในอยู่ข้างเหนือหลัง ๑ กับพลับพลาโถงที่เกาะนอกสำหรับเสด็จประพาศไร่แตงหลัง ๑ พระราชวังที่ปรากฎอยู่บัดนี้เปนของพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างใหม่ทั้งนั้น ด้วยโปรดพระราชวังนี้ เสด็จไปประพาศเสมอมิได้ขาดจนตลอดรัชกาล มาถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ก็ยังเปนที่เสด็จประพาศต่อมา
พระราชวังเมืองราชบุรี
การสร้างพระราชวังที่เมืองราชบุรี เกิดแต่รัฐบาลประสงค์จะทนุบำรุงหัวเมืองทางฝ่ายตวันตกให้เจริญขึ้น ได้ขุดคลองภาษีเจริญเมื่อปลายรัชกาลที่ ๔ แลขุดคลองดำเนินสดวกต่อมาในรัชกาลที่ ๕ ทางไปมาค้าขายในระหว่างเมืองราชบุรีกับกรุงเทพ ฯ สดวกขึ้น สมเด็จเจ้า พระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งเปนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ในสมัยนั้น ได้ไปยังเมืองราชบุรีเนือง ๆ เห็นว่าควรเปนที่เสด็จประพาศอิก
๙๑
แห่ง ๑ ด้วยเปนที่สบายและไปมาถึงกรุงเทพ ฯ สดวกกว่าที่ประพาศเมืองเพ็ชร์บุรีในรัชกาลที่ ๔ จึงได้โปรด ฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยา ฯ กับเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ซึ่งได้เคยอำนวยการสร้างพระนครคิรีที่เมืองเพ็ชร์บุรีมาด้วยกัน สร้างพระราชวังที่เมืองราชบุรี
พระราชวังริมน้ำที่เมืองราชบุรี
วังนี้สร้างตรงที่พลับพลาเดิม อยู่ทางฝั่งตวันตกตรงเมืองราชบุรีข้าม ได้ก่อกำแพงล้อมรอบและสร้างพระที่นั่งเปนตึกหลังใหญ่อยู่กลางหลัง ๑ การค้างอยู่ ทีหลังโปรด ฯ ให้ใช้เปนโรงทหารอยู่ระยะ ๑ ครั้นย้ายโรงทหารไปที่อื่น พระราชทานให้เปนที่สร้างโรงตำรวจภูธร ได้ตั้งโรงตำรวจภูธรอยู่ณที่นั้นจนบัดนี้
พระราชวังบนเขาสัตนาถ
พระราชวังนี้สร้างบนยอดเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง อยู่ทางฝั่งตวันตก ห่างลำน้ำขึ้นไประยะทาง ๘๐ เส้น ทำถนนรถและวางรางเหล็ก สำหรับรถขนของตั้งแต่วังริมน้ำขึ้นไปจนถึงเขาสัตนาถ และมีตำหนักสร้างบนยอดเขามอ พ้นเขาสัตนาถไปอิก ๒ ลูก สำหรับเปนที่ประทับของเจ้านายที่ไปตามเสด็จ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไประทับที่พระราชวังเขาสัตนาถ และเคยเสด็จออกรับแขกเมืองราชทูตโปรตุเกศเฝ้าณที่นั้น แต่ได้เสด็จไปประทับเพียงคราวเดียว แล้วก็ทิ้งร้างมาจนบัดนี้
๙๒
พระราชวังจุฑาธุชราชฐาน
พระราชวังนี้อยู่ที่เกาะศรีชังในทเลอ่าวสยาม เขตร์จังหวัดสมุทปราการ เกาะศรีชังนี้เปนที่เสด็จประพาศมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ เพราะเปนระยะที่พักทอดเรือพระที่นั่งในเวลาเสด็จประพาศทเล มาถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อยังมิได้สร้างทางรถไฟ แพทย์มักจะแนะนำให้คนไข้ไปพักรักษาตัวหาอากาศทเลบำรุงกำลังที่เกาะศรีชัง ด้วยการไปมาสดวกกว่าที่ชายทเลทางอื่น ๆ ในสมัยนั้น แม้สมเด็จพระบรมราชินีนาถและสม เด็จพระเจ้าลูกยาเธอเวลาประชวรก็เสด็จประทับรักษาพระองค์ที่เกาะศรีชังเนือง ๆ เพราะเหตุนี้พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรด ฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้นที่เกาะศรีชัง สร้างเปนตำหนักเครื่องไม้เปนพื้น แต่ต่อมามีเรือพระที่นั่งมหาจักรี (ลำเก่า) แล้ว มักเสด็จประพาศหัวเมืองทางแหลมมลายู หาใคร่จะได้เสด็จประทับที่เกาะศรีชังไม่ ครั้นมีทางรถไฟการไปมาทางอื่นสดวกขึ้น และที่สุดทรงสร้างพระราชวังดุสิตแล้ว จึงโปรด ฯ ให้รื้อพระที่นั่งองค์ใหญ่ที่เกาะศรีชังที่ปลูกค้างอยู่ มาสร้างเปนพระที่นั่งวิมานเมฆที่สวนดุสิต แต่นั้นก็เปนอันเลิกพระราชวังที่เกาะศรีชัง
พระราชวังรัตนรังสรรค์
พระราชวังแห่งนี้อยู่ในเมืองระนอง เรื่องตำนานพระราชวังรัตนรังสรรค์เนื่องด้วยเรื่องตำนานเมืองระนอง เดิมเมืองระนองเปนแต่เมืองขึ้นของเมืองชุมพร (อย่างอำเภอทุกวันนี้) เมื่อในชั้นรัชกาลที่ ๓ จีนคอซูเจียง ซึ่งตั้งค้าขายอยู่ในเมืองตะกั่วป่า ไปพบแร่ดีบุกที่เมือง
๙๓
ระนอง จึงขออนุญาตไปทำเหมืองแร่ดีบุกในที่นั้น การทำแร่มีผลเจริญขึ้น จีนคอซูเจียงก็ไปตั้งบ้านเรือนเปนหลักแหล่งอยู่ณเมืองระนอง ต่อมาได้รับประทวนครั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ เมื่อยังเปนเจ้าพระยาพระคลังที่สมุหพระกลาโหม ตั้งให้เปนหลวงรัตนเศรษฐีตำแหน่งผู้รักษาเมืองระนอง (เท่ากับนายอำเภอทุกวันนี้) เมื่อตอนปลายรัชกาลที่ ๓ จนถึงรัชกาลที่ ๔ หลวงรัตนเศรษฐีทนุบำรุงเมืองระนองเจริญขึ้นโดยลำดับ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริห์เห็นว่ามีบำเหน็จความชอบ อิกประการ ๑ ทรงพระราชดำริห์ว่าเมืองระนองอยู่ต่อแดนอังกฤษ จึงโปรด ฯ ให้ยกเมืองระนองเปนเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพ ฯ และเลื่อนบันดาศักดิหลวงรัตนเศรษ ฐี (คอซูเจียง) ขึ้นเปนพระ ต่อมาถึงตอนปลายรัชกาลพระราชทานสัญญาบัตร์เลื่อนขึ้นเปนพระยารัตนเศรษฐี มาถึงรัชกาลที่ ๕ พระยารัตนเศรษฐี (คอซูเจียง) แก่ชรา ขอพระราชทานพระบรมราชา นุญาตออกจากตำแหน่งน่าที่ผู้ว่าราชการเมืองระนอง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนบันดาศักดิ์เปนพระยาดำรงสุจริต มหิศรภักดี ตำแหน่งจางวางกำกับราชการเมืองระนอง และทรงตั้งพระศรีโลหภูมิพิทักษ์ (คอซิมก๊อง) บุตรพระยาดำรงสุจริต ฯ เปนพระยารัตนเศรษ ฐีผู้ว่าราชการเมืองระนองต่อมา
ถึง พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาศหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตวันตก เปนครั้งแรกที่จะได้เสด็จไปถึงเมืองระนอง พระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง) สร้างที่ประทับ
๙๔
รับเสด็จที่บนเนินควนอันอยู่กลางเมือง สร้างล้วนด้วยเครื่องก่อประกอบกับไม้แก่นอย่างมั่นคง ประสงค์จะถวายเปนราชพลีสนองพระเดชพระคุณ ซึ่ง ได้ทรงชุบเลี้ยงสกุลวงศ์มา พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทอดพระเนตร์เห็นดำรัสว่า ทำงดงามมั่นคงสมควรจะเปนวังยิ่งกว่าจะเปนพลับพลา จึงพระราชทานนามว่า "พระราชวังรัตนรังสรรค์" ให้เปนเกียรติยศแก่เมืองระนองและสกุลของพระยารัตนเศรษฐีด้วย แต่ทรงพระราชดำริห์ว่าที่เมืองระนองนาน ๆ จะเสด็จประพาศครั้งหนึ่ง วังทิ้งไว้เปล่าก็จะชำรุดซุดโซมเสีย จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาต ว่าโดยปรกติให้ใช้พระราชวังนั้นเปนศาลารัฐบาล และทำการพิธีสำหรับบ้านเมือง ต่อมีการเสด็จประพาศเมื่อใดจึงให้จัดเปนที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันนี้ได้เสด็จไปประทับที่พระราชวังรัตนรังสรรค์ เมื่อยังดำรงพระยศเปนสมเด็จพระยุพราชครั้ง ๑ ถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ก็ได้เสด็จไปประ ทับอิกครั้ง ๑
พระราชวังบ้านปืน
พระราชวังนี้อยู่ที่เมืองเพ็ชร์บุรี สร้างในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ เหตุด้วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จอยู่ในกรุงเทพ ฯ ถึงฤดูฝนชุกในเดือนกันยายนมักประชวร ได้ลองเสด็จ ฯ แปรสถานไปประทับตามหัวเมือง ทรงสำราญที่เมืองเพ็ชร์บุรีจึงโปรด ฯ ให้สร้างพระราชวังขึ้นที่ตำบลบ้านปืน ริมลำน้ำฝั่งตวันตกทางใต้เมืองเพ็ชร์บุรีเพราะพระนครคิรีซึ่งสร้างไว้แต่รัชกาลที่ ๔ อยู่บนยอดเขาไม่เหมาะแก่
๙๕
การที่จะเสด็จไปประทับในฤดูฝน แต่การสร้างพระราชวังที่บ้านปืนเมื่อรัชกาลที่ ๕ สำหรับเพียงทำถนนหนทางและปลูกพระตำหนักเครื่องไม้เปนที่ประทับชั่วคราว ส่วนพระราชมณเฑียรนั้นค้างอยู่ มาสร้างสำเร็จได้เสด็จประทับในรัชกาลปัจจุบันนี้ และพระราชทานนามว่า "พระรามราชนิเวศน์" สืบมา
กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญได้ทรงสร้างวัง ๔ แห่ง คือบุรณะ "วังใหม่" ข้างเหนือพระราชวังบวร ฯ ที่ได้พรรณามาในเรื่องวังครั้งรัชกาลที่ ๔ นั้นแห่ง ๑ สร้างตำหนักเปนที่ประทับที่ริมป้อมเสือซ่อนเล็บ แขวงจังหวัดสมุทปราการ เมื่อทรงอำนวยการบุรณะป้อมนั้นแห่ง ๑ สร้างตำหนักที่ประพาศณที่นาวังน่า ที่ตำบลบางนาแขวงจังหวัดพระประแดงแห่ง ๑ ที่ตำบลบางยี่โท แขวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่ง ๑ ตำหนักที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทรงสร้างตามหัวเมืองล้วนเปนเครื่องไม้ทุกแห่ง ทุกวันนี้หามีแห่งใดเหลืออยู่ไม่
วังเจ้านาย
วังเจ้านายสร้างในรัชกาลที่ ๕ มีมาก เพราะเมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระเจ้าน้องยาเธอยังไม่ได้ออกวังทั้งนั้น ที่มีวังเตรียมไว้แล้วก็มี ที่ยังทรงพระเยาว์ไม่มีที่วังก็หลายพระองค์ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงจัดสร้างวังพระราชทานทุกพระองค์ ส่วนวังพระเจ้าน้องยาเธอได้พรรณาเปนรายวังมาในตอนว่าด้วยวังพระเจ้าลูกยาเธอรัชกาลที่ ๔ แล้วแต่ยังมีวังสร้างใหม่สำหรับเจ้านายชั้นอื่นอิก คือเมื่อสร้างพระราชอุทยาน
๙๖
สราญรมย์ เขตร์พระราชอุทยานถูกที่วังซึ่งสร้างครั้งรัชกาลที่ ๑ ที่ริมสนามชัยทั้ง ๓ วัง ในขณะนั้นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐ วรการประทับอยู่วังเหนือ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอมเรนทร บดินทรประทับอยู่วังกลาง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพประทับอยู่วังใต้ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสร้างวังใหม่พระราชทานแทนวังเดิมทั้ง ๓ พระองค์ แต่กรมขุนวรจักร์ ฯ สมัครจะทรงสร้างวังโดยลำภังพระองค์ ไปทรงซื้อที่สวนที่ริมถนนเจริญกรุง ตอนนอกพระนครสร้างวังใหม่ (ที่ริมถนนวรจักร์บัดนี้) จึงคงต้องสร้างวังพระราชทานแต่ ๒ แห่ง โปรด ฯ ให้จัดที่สวน (ครั้งรัชกาลที่ ๓) ที่ริมคลอง (ตลาด) คูเมืองเดิมฟากตวันตก ตั้งแต่เชิงสพานหัวจรเข้ไปทางใต้สร้างเปนวัง
๑ วังสวนหลวง วังเหนือ
เปนวังกรมหมื่นอมเรนทรบดินทร เสด็จประทับอยู่จนตลอดพระชนมายุ
๒ วังสวนหลวง วังใต้
เปนวังพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ ประทับอยู่จนตลอดพระชนมายุ
เมื่อวังทั้ง ๒ นี้ว่าง จึงโปรด ฯ ให้สร้างสถานที่ว่าการกระทรวงเกษตราธิการในที่นั้นต่อมา.
การสร้างวังสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ในรัชกาลที่ ๕ ผิดกับรัชกาลก่อน ๆ ด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกยาเธอเสด็จไปศึกษาวิชาการณประเทศยุโรปอยู่หลาย ๆ ปีแทบทุก
๙๗
พระองค์ การสร้างวังโปรด ฯ ให้รอไว้ลงมือสร้างต่อเมื่อเสด็จกลับด้วยพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะให้เจ้าของวังทรงเลือกแบบอย่างตามพอพระหฤทัย ไม่สร้างเปนวังแบบเดียวกันอย่างรัชกาลก่อน ๆ เพราะฉนั้นวังสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๕ จึงได้สร้างต่อตอนปลายรัชกาลโดยมาก ที่ยังไม่ทันสร้างก็มี อิกประการ ๑ ในรัชกาลที่ ๕ พระนครมั่งคั่ง็ สมบูรณ์ขึ้นกว่าแต่ก่อน ที่ในพระนครบ้านเรือนยัดเยียดหนาแน่น จึงโปรด ฯ ให้ทำถนนขยายเขตร์พระนครให้กว้างขวางออกไปทั้งทางด้านเหนือด้านตวันออกและด้านใต้ ทรงพระราชดำริห์ว่าที่ชานพระนครอยู่เปนผาสุกกว่าในพระนคร วังสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๕ จึงสร้างที่ชานพระนครทั้งนั้น จะพรรณาต่อไป.
๑ วังสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
เดิมสร้างวังใหม่ที่ทุ่งประทุมวัน "เรียกกันว่าวังกลางทุ่ง" ต่อมามีพระราชประสงค์จะใคร่ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ เสด็จประทับอยู่ใกล้พระองค์ในเวลาทรงศึกษาราชการแผ่นดิน เหมือนอย่างเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยโปรด ฯ ให้พระองค์เสด็จประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังเมื่อรัชกาลก่อน จึงโปรด ฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นที่โรงแสงเก่า (คือ พระที่นั่งภาณุมาศจำรูญบัดนี้) แต่สร้างยังไม่ทันแล้วเสร็จ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สวรรคตเสียก่อน จึงหาได้ประทับไม่
๑๓
๙๘
๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนี้
เดิมกะจะสร้างวังที่ริมแม่น้ำน่าวัดราชบุรณะ ครั้นเมื่อเสด็จไปศึกษาวิชาการอยู่ณประเทศยุโรป ทรงเฉลิมพระเกียรติยศเปนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เมื่อเสด็จกลับมาจึงโปรด ฯ ให้ประทับที่พระราชวังสราญรมย์ แล้วโปรด ฯ ให้สร้างพระตำหนักสวนจิตรลดา (คือพระตำหนักหลังเหนืออันรวมอยู่ในบริเวณสวนปารุสกวันบัดนี้) พระราชทานเปนที่ประทับที่สวนดุสิตอิกแห่ง ๑ ต่อมาได้โปรด ฯ ให้สร้างวังจันทร์ที่ริมถนนเบ็ญมาศ (คือถนนราชดำเนินนอกบัดนี้) ตอนต่อกับถนนลูกหลวงเชิงสพานมัฆวานรังสรรค์ เปนที่ประทับสำหรับพระเกียรติยศ แต่สร้างยังไม่ทันแล้วสิ้นรัชกาลที่ ๕ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ หาได้ประทับที่วังจันทร์ไม่
๓ วังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมแม่น้ำตำบลบางขุนพรหม จึงเรียกกันว่า "วังบางขุนพรหม" เสด็จประทับอยู่ณบัดนี้
๔ วังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
เดิมกะจะสร้างวังที่ริมแม่น้ำ ตรงถนนจักรเพ็ชร์ ตอนน่าวัดราชบุรณะ ครั้นเมื่อเสด็จกลับจากยุโรป โปรด ฯ ให้สร้างพระตำหนักปารุสกวัน (คือพระตำหนักหลังใต้) พระราชทานเปนที่ประทับในสวนดุสิตมาจนตลอดรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ ทรงสมัคจะประทับอยู่
๙๙
ที่พระตำหนักปารุสกวันต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรด ฯ พระราชทาน พระราชตำหนักจิตรลดาเดิมให้รวมเปนบริเวณเดียวกับสวนปารุสกวัน ให้สมเด็จพระอนุชาธิราช ฯ เสด็จประทับต่อมาจนตลอดพระชนมายุ.
๕ วังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสิมา
เดิมกะที่วังที่ริมแม่น้ำตอนใต้ปากคลอง (ตลาด) คูเมืองเดิมครั้นเสด็จกลับจากทรงศึกษาในยุโรป พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะให้ทรงศึกษาราชการอยู่ใกล้พระองค์ จึงโปรด ฯ ให้สร้างพระตำหนักพักชั่วคราวพระราชทานที่สวนดุสิต ตรงริมถนนใบพร (คือถนนอู่ทองบัดนี้) พระราชทานนามที่บริเวณตำหนักนั้นว่า "สวนกุหลาบ" เสด็จอยู่มาจนตลอดรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ขยายเขตร์ที่สวนกุหลาบกว้างขวางกว่าแต่ก่อน และสร้างพระตำหนักกับท้องพระโรงเปนเครื่องถาวรพระราชทานเสด็จประทับอยู่จนทุกวันนี้ .
๖ วังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์
พระราชทานที่วังริมถนนประทุมวัน (คือ ถนนพระราม ๑ บัดนี้) ข้างฟากเหนือจนตกคลองแสนแสบ ยังกำลังทรงศึกษาณประเทศยุโรปจึงไม่ได้สร้างพระตำหนักจนตลอดรัชกาลที่ ๕
๗ วังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชร์บูรณ์อินทราไชย
เดิมกะที่จะสร้างวังริมแม่น้ำระหว่างวังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ กับวังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสิมา
๑๐๐
ครั้นเสด็จกลับจากทรงศึกษาในประเทศยุโรปในรัชกาลปัจจุบันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานที่พระราชวังประทุมวันครั้งรัชกาลที่ ๔ ให้สร้างวังเสด็จประทับอยู่ในบัดนี้.
๘ วังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยธรรมราชา
เดิมกะที่วังที่ริมถนนอัษฎางค์ในพระนคร ตอนต่อกับถนนจักรเพ็ชร์ คือตรงที่ซึ่งพระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้เจ้าอยู่หัวได้ทรงกะว่าจะสร้างวังพระราชทานพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่เดิม และได้โปรด ฯ ให้พระยาพิชัยสงคราม (อ่ำ) อยู่เมื่อในรัชกาลที่ ๕ นั้น ครั้นเสด็จกลับมาจากทรงศึกษาในยุโรปในรัชกาลปัจจุบันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานที่ให้สร้างวังที่ริมถนนสามเสนฟากตวันตก ตอนริมคลองสามเสน ใช้นามวังว่า "วังสุโขทัย" เสด็จประทับอยู่ในบัดนี้.
๙ วังสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมขุนลพบุรีราเมศวร์
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมถนนลูกหลวงต่อถนนดวงดาว (คือ ถนนนครราชสิมาใต้บัดนี้) เสด็จประทับมาแต่รัชกาลที่ ๕ จนบัดนี้.
๑๐ วังกรมพระจันทบุรีนฤนาถ
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมแม่น้ำ ใต้ปากคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งออกแม่น้ำข้างเหนือ เสด็จประทับมาแต่รัชกาลที่ ๕ จนบัดนี้.
๑๑ วังกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมถนนสามเสนฟากตวันตก ริม สพานเทเวศรนฤมิตร์ เสด็จประทับอยู่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ.
๑๐๑
๑๒ วังกรมหลวงปราจิณกิติบดี
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมถนนลูกหลวงต่อกับถนนสามเสนฟาก ตวันออกที่เชิงสพานเทเวศรนฤมิตร์ เสด็จประทับที่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ.
๑๓ วังกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมถนนกรุงเกษม ต่อคลองมหานาคฟากเหนือ เสด็จประทับที่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ.
๑๔ วังกรมหลวงชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมถนนลูกหลวง ตอนต่อปากคลองเปรมประชากรฟากใต้ เสด็จประทับมาแต่รัชกาลที่ ๕ จนบัดนี้.
๑๕ วังกรมหลวงกำแพงเพ็ชร์อัครโยธิน
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมถนนหลวงฟากเหนือตอนต่อถนน บริพัตร์ เสด็จประทับมาแต่รัชกาลที่ ๕ จนบัดนี้.
๑๖ วังกรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม
เดิมได้พระราชทานที่สร้างวังที่ริมถนนกรุงเกษม ตอนต่อถนนหลานหลวงฟากเหนือ ตรงที่เปนบ้านเจ้าพระยาศรีวิไชยชนินทร์และบ้านพระยาสุริยานุวัตร์อยู่บัดนี้, แต่กรมหมื่นพิชัย ฯ ทรงสมัคจะสร้างวังที่บ้านเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง เจ้าคุณตา ซึ่งได้ทรงรับมรดก พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงรับซื้อที่ ๆ ได้พระราชทานนั้นและสร้างพระตำหนักพระราชทานที่วังใหม่ อยู่ริมแม่น้ำข้างใต้ตลาดท่าเตียน กรมหมื่นพิชัย ฯ ประทับอยู่ที่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ.
๑๐๒
๑๗ วังกรมขุนสิงหวิกรมเกรียงไกร
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมถนนกรุงเกษม ตอนต่อกับถนนหลานหลวงฟากใต้ เสด็จประทับมาแต่รัชกาลที่ ๕ จนบัดนี้.
๑๘ วังกรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมถนนพายัพ (คือถนนนครไชยศรีบัดนี้) ข้างฟากใต้ ต่อกับที่ซึ่งพระราชทาน เจ้าดารารัศมี พระราชชายา ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำ เสด็จประทับอยู่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ
๑๙ วังกรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาศ
สร้างวังใหม่พระราชทานที่ริมถนนลูกหลวง ตอนต่อถนนนคร สวรรค์ฟากใต้ เสด็จประทับที่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ
๒๐ วังกรมขุนชัยนาทนเรนทร
ได้พระราชทานที่สร้างวังที่ริมถนนหลวงฟากใต้ ตอนตรงกับวัดเทพศิรินทราวาส ส่วนตำหนักนั้น เมื่อเสด็จกลับจากทรงศึกษา ณประเทศยุโรปในรัชกาลปัจจุบันนี้ สร้างเปนตำหนักพักชั่วคราว ยังไม่ได้สร้างตำหนักเครื่องถาวร
อนึ่ง เมื่อพระราชทานที่พระราชวังเดิมให้เปนโรงเรียนนายเรือในรัชกาลที่ ๕ พระองค์เจ้าและหม่อมเจ้าในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศจะต้องย้ายจากวังนั้น พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างวังพระราช
๑๐๓
ทานวัง ๖ วัง วังเหล่านี้หันน่าออกถนนหลวง ๓ วัง หันน่าออกถนนดำรงรักษ์ ๓ วัง หลังวังติดกัน
วังที่ ๑ ทางถนนดำรงรักษ์ ฝ่ายตวันออก พระราชทานกรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ์
วังที่ ๒ ทางถนนดำรงรักษ์ อยู่กลาง พระราชทานหม่อมเจ้าดนัยวรนุชอยู่ที่วังนี้จนสิ้นชีพตักษัย
วังที่ ๓ ทางถนนดำรงรักษ์ ฝ่ายตวันตก พระราชหม่อมเจ้าปิยบุตรอยู่ที่วังนี้จนสิ้นชีพตักษัย
วังที่ ๑ ทางถนนหลานหลวง ฝ่ายตวันออก พระราชทานกรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์
วังที่ ๒ ทางถนนหลานหลวง อยู่กลาง พระราชทานหม่อมเจ้าดรุณวัยวัฒน
วังที่ ๓ ทางถนนหลานหลวง ฝ่ายตวันตก พระราชทานหม่อมเจ้าทศสิริวงศ์
พระองค์เจ้าในกรมพระราชวังบวรรัชกาลที่ ๕ ได้ออกวัง ๑๐ พระองค์ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญประทานวังเก่าบ้าง เมื่อกรมพระราชวังบวร ฯ ทิวงคตยังไม่ทันได้ประทานวังเก่าบ้าง จะกล่าวเปนรายพระองค์ต่อไป
๑ พระองค์เจ้าวิลัยวรวิลาศ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญประทาน "วังใหม่" ครึ่งหนึ่ง คือวังเดิมของกรมพระราชวัง ฯ ที่ริมคลองคูเมืองเดิมฟากเหนือ ประทานพระองค์เจ้าวิลัยวรวิลาศ ตอน
๑๐๔
ทางตวันออก ประทับอยู่ที่วังนี้จนจัดซื้อสร้างโรงพยาบาลทหารในรัชกาลที่ ๕
๒ กรมหมื่นชาญชัยบวรยศ เดิมกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญประทานวังสพานเสี้ยว วังที่ ๑ (คือที่พระองค์เจ้านุชประทับอยู่แต่ก่อน) ต่อมาเมื่อพระองค์เจ้านันทวันสิ้นพระชนม์ หม่อมเจ้าในกรมหมื่นบริรักษ์นรินทร์ฤทธิ์ กับหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้านันทวันตกลงแลกวังกับกรมหมื่นชาญชัย ฯ กรมหมื่นชาญชัย ฯ ย้ายมาประทับที่วังสนามวังน่าวังที่ ๒ จนเมื่อจะต้องการที่ทำถนนราชดำเนิน พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานวังใหม่ที่ริมถนนสามเสนฟากตวันตกตอนใกล้กับถนนซังฮี้ (คือถนนราชวิถีบัดนี้) กรมหมื่นชาญชัย ฯ ประทับอยู่ที่วังนี้มาจนตลอดพระชนมายุ
๓ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่วังที่บ้านลาว หลังวังบูรพาภิรมย์
๔, พระองค์เจ้าสุทัศน์นิภาธร พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานบ้านพันเงินซึ่งตกเปนที่หลวง อยู่ใกล้วัดราชสิทธารามแขวงจังหวัดธนบุรีเปนที่วัง ประทับอยู่ที่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ
๕ พระองค์เจ้าโอภาสไพศาล อยู่วังกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสรสิ้นพระชนม์เสียก่อนได้พระราชทานที่วัง
๖ พระองค์เจ้ารุจาวรฉวี อยู่บ้านพระยาภักดีภูบาล ซึ่งเปนคุณตาที่ตรอกถนนบ้านตะนาว
๑๐๕
๗ พระองค์เจ้าวิบูลย์พรรณรังษี อยู่บ้านพระยาจำนงสรไกรซึ่งเปนคุณตา ที่ริมแม่น้ำใต้ตำหนักแพวังน่า จนตลอดพระชนมายุ
๘ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่วังที่ริมคลองบางกอกใหญ่ฟากใต้ ณตำบลบ้านมอญ ในแขวงจังหวัดธนบุรี
๙ พระองค์เจ้าชัยรัตนวโรภาศ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญประทาน "วังใหม่" ครึ่งหนึ่ง ตอนออกถนนพระอาทิตย์ ประทับอยู่ที่วังนี้จนตลอดพระชนมายุ
๑๐ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์ อยู่บ้านพระยาทิพมณเฑียร ซึ่ง เปนคุณตาที่ริมถนนเฟื่องนคร ตอนตกคลองหลอดฟากใต้ จนตลอดพระชนมายุ
เรื่องวังที่สร้างในรัชกาลที่ ๕ สิ้นความเพียงเท่านี้
๑๐๖
สารบานวังเก่าตามรายพระนามเจ้านาย
ในรัชกาลที่ ๑
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท น่า ๑,๑๐,๑๔
กรมพระราชวังหลัง น่า ๑,๑๑
เจ้าฟ้า กรมหลวงอิศรสุนทร (พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธเลิศหล้า นภาลัย) น่า ๑,๒๐,๒๑
เจ้าฟ้า กรมหลวงเสนานุรักษ์ (พระบัณฑูรน้อย) น่า ๒๐
เจ้าฟ้า กรมหลวงจักรเจษฎา น่า ๑,๑๔
เจ้าฟ้า กรมหลวงธิเบศรบดินทร น่า๑,๒๑
เจ้าฟ้า กรมหลวงนรินทรรณเรศร น่า ๑,๑๘
เจ้าฟ้า กรมหลวงเทพหริรักษ์ น่า ๒,๑๕
เจ้าฟ้า กรมหลวงพิทักษมนตรี น่า ๒๑,๒๓
เจ้าฟ้า กรมขุนอิศรานุรักษ์ น่า ๑๙,๒๓
เจ้าฟ้า กรมขุนกระษัตรานุชิต น่า ๒๔
พระองค์เจ้ากล้าย น่า ๒๙
กรมหมื่นอินทรพิพิธ น่า ๒๙
กรมหลวงเทพพลภักดิ์ น่า ๒๖
กรมหมื่นศักดิ์พลเสพ (กรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ ๓) น่า ๒๕
กรมหมื่นจิตรภักดี น่า ๒๗
กรมหมื่นศรีสุเรนทร น่า ๒๘
กรมพระอิศเรศร น่า ๒๗
สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงผนวชแต่ยังไม่ออกวัง
๑๐๗
กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ น่า ๒๓
กรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิ์ น่า ๓๐
กรมหลวงรักษรณเรศร น่า ๓๐
กรมหมื่นศรีสุเทพ น่า ๒๘
กรมหมื่นณรงคหริรักษ์ น่า ๓๐
กรมหมื่นไกรสรวิชิต น่า ๒๙
ในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๑
พระองค์เจ้าลำดวน น่า ๓๑
พระองค์เจ้าอินทปัต น่า ๓๒
พระองค์เจ้าก้อนแก้ว น่า ๓๓
พระองค์เจ้าช้าง น่า ๓๒
กรมหมื่นเสนีเทพ น่า ๓๑
พระองค์เจ้ามั่ง น่า ๓๓
พระองค์เจ้าสิงหราช สืบไม่ได้ความ
กรมขุนนรานุชิต น่า ๓๒
พระองค์เจ้าบัว น่า ๓๒
พระองค์เจ้าสุก สืบไม่ได้ความ
พระองค์เจ้าเพ็ชร์หึง สืบไม่ได้ความ
พระองค์เจ้านพเก้า น่า ๓๓
พระองค์เจ้าเณร สืบไม่ได้ความ
๑๐๘
ในกรมพระราชวังหลัง
กรมหมื่นนราเทเวศร น่า ๑๓
กรมหมื่นนเรศรโยธี น่า ๑๓
กรมหลวงเสนีบริรักษ์ น่า ๑๓
พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ น่า ๑๓
เจ้านายนอกพระราชวงศ์
กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ น่า ๒,๑๕
พระองค์เจ้าขุนเณร น่า ๒,๑๙
กรมขุนสุนทรภูเบศร น่า ๒,๑๗
ในรัชกาลที่ ๒
พระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว น่า ๒๔,๓๗
กรมหมื่นสุนทรธิบดี น่า ๓๗,๔๑
กรมหมื่นเสพสุนทร น่า ๓๗,๔๑
สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร น่า ๒๗,๔๑,๔๒,๖๐
กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร น่า ๓๗,๓๙
กรมพระพิทักษ์เทเวศร น่า ๓๗,๔๐
พระองค์เจ้าเรณู น่า ๓๗,๔๑
พระองค์เจ้าอำไพ น่า ๓๗
พระองค์เจ้าเนียม น่า ๓๗,๓๘
พระองค์เจ้าขัติยวงศ น่า ๓๗
กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ น่า ๓๗,๓๙
๑๐๙
กรมหมื่นสนิทนเรนทร น่า ๓๗,๓๘
กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ น่า ๒๘,๓๘
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว น่า ๒๑,๓๘,๖๒,๖๓,๖๔,
๖๕,๖๖,๖๗,๖๘,๖๙,๙๐
กรมพระเทเวศรวัชรินทร น่า ๔๒,๔๔
กรมหลวงสรรพศิลป์ปรีชา น่า ๓๘,๔๒
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท น่า ๒๒,๔๐,๔๒,๔๓
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว น่า ๒๑,๔๓,๖๒,๖๙
กรมขุนสถิตย์สถาพร น่า ๒๗,๔๓
กรมหมื่นถาวรวรยศ น่า ๔๑,๔๓
กรมหมื่นอลงกตกิจปรีชา น่า ๒๗,๔๓
กรมหลวงวรศักดาพิศาล น่า ๔๓,๔๕
กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ น่า ๔๓,๔๕,๕๙
เจ้าฟ้าอาภรณ์ น่า ๒๕,๒๖,๔๓
กรมขุนวรจักรธรานุภาพ น่า ๓๐,๓๑,๔๓,๔๖
พระองค์เจ้าเกยูร น่า ๔๔,๔๕
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ น่า ๒๕,๒๖,๔๔
เจ้าฟ้าปิ๋ว น่า ๔๔
ในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๒
กรมขุนธิเบศรบวร น่า ๒๐,๔๖
กรมหมื่นอมรมนตรี น่า ๔๖
๑๑๐
กรมหมื่นกระษัตริย์ศรีศักดีเดช น่า ๔๖,๔๗
พระองค์เจ้าภุมริน น่า ๔๗
กรมหมื่นอมเรศรรัศมี น่า ๔๘
พระองค์เจ้าเสือ น่า ๔๘
พระองค์เจ้าใย น่า ๔๘
พระองค์เจ้ากระต่าย น่า ๔๙
พระองค์เจ้าทับทิม น่า ๔๘
สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ น่า ๔๙
พระองค์เจ้าชุมแสง น่า ๒๘,๔๙
พระองค์เจ้าสาททิพากร น่า ๔๙,๕๐
กรมหมื่นอนันตการฤทธิ น่า ๒๐,๔๙,๕๐
พระองค์เจ้าศรีสังข์ น่า ๔๘,๔๙
พระองค์เจ้ารัชนีกร น่า ๔๙,๕๑
พระองค์เจ้าทัดทรง น่า ๔๙
กรมหมื่นสิทธิสุขุมการ น่า ๔๙,๕๐
พระองค์เจ้าสุดวอน น่า ๔๙,๕๑
ในรัชกาลที่ ๓
สมเด็จ ฯ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ น่า ๕๒,๕๔,๕๖
พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ น่า ๒๔,๕๒
กรมหมื่นเชษฐาธิเบน น่า ๕๒,๕๓
กรมหมื่นอมเรนทรบดินทร น่า ๓๐,๕๒,๕๓,๙๖
๑๑๑
พระองค์เจ้างอนรถ น่า ๕๒,๕๓
กรมหมื่นภูมินทรภักดี น่า ๕๒,๕๔
กรมขุนราชสีหวิกรม น่า ๒๕,๕๕
พระองค์เจ้าเปียก น่า ๕๓,๕๕
กรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ น่า ๒๕,๕๕,๕๖
กรมหมื่นอุดมรัตนรังษี น่า ๕๔,๕๕,๕๖
พระองค์เจ้าลำยอง น่า ๕๓, ๕๕
พระองค์เจ้าเฉลิมวงศ น่า ๕๕,๕๖
กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย น่า ๕๖
กรมขุนภูวนัยนฤเบนทราธิบาล น่า ๕๗
กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ น่า ๕๔,๕๗,๕๘
กรมขุนเจริญผลภูลสวัสดิ์ น่า ๕๗
พระองค์เจ้าจินดา น่า ๕๗,๕๘
ในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๓
พระองค์เจ้าสว่าง น่า ๓๙,๖๐
พระองค์เจ้ากำภู น่า ๓๓,๖๐
พระองค์เจ้าอุทัย น่า ๓๙,๖๐
กรมหมื่นอานุภาพพิศาลศักดิ์ น่า ๖๐,๖๑
เจ้าฟ้าอิศราพงศ น่า ๑๗,๖๐
พระองค์เจ้านุช น่า ๔๗, ๖๐
พระองค์เจ้าแฉ่ง น่า ๓๙, ๖๐
พระองค์เจ้าเริงคนอง น่า ๓๑, ๖๐
พระองค์เจ้าอินทวงศ น่า ๖๑
๑๑๒
ในรัชกาลที่ 4
กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ น่า ๗๒
กรมหมื่นวิษณุนารถนิภาธร น่า ๗๓
พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว น่า ๖๔,๖๖,๖๗,๖๘,
๖๙,๗๓,๗๔,๘๘,๘๙,๙๐,๙๑,๙๒,๙๓,๙๔
พระองค์เจ้าเสวตรวรลาภ น่า ๗๔
กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ น่า ๗๔,๗๗
กรมหลวงพิชิตปรีชากร น่า ๗๔,๗๗
กรมหลวงอดิศรอุดมเดช น่า ๕๓,๗๔,๗๗,๗๘
กรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ น่า ๓๘,๗๔,๗๘
กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม น่า ๕๗,๖๑,๗๔
กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ น่า ๔๕,๗๕,๗๘
กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร น่า ๔๖,๗๕,๗๙
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระจักรพรรดิพงศ น่า ๒๒,๖๕,๗๕
พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรชัย น่า ๗๕
กรมหมื่นทิวากรวงศประวัติ น่า ๕๓,๗๕,๗๙
กรมขุนสิริธัชสังกาศ น่า ๗๕,๗๙
กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ น่า ๗๕,๘๐
กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ น่า ๗๕
พระองค์เจ้ากาพย์กนกรัตน น่า ๗๕,๘๐
สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศวโรปการ น่า ๕๖,๗๕,๘๐
๑๑๓
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศวรเดช น่า ๖๕,๗๖,๘๑
สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส น่า ๗๖,๘๑
กรมพระสมมตอมรพันธุ์ น่า ๗๖, ๘๑
กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา น่า ๗๖,๘๑
กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป น่า ๗๖, ๘๒
กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ น่า ๗๖,๘๒
กรมพระดำรงราชานุภาพ น่า ๗๖, ๘๒
พระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ น่า ๗๖
กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา น่า ๗๖,๘๒
สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระนริศรานุวัติวงศ น่า ๒๕,๗๖
กรมขุนมรุพงศสิริพัฒน์ น่า ๗๖,๘๒,๘๓
กรมหลวงสวัสดิ์วัตนวิศิษฎ์ น่า ๗๖,๘๓
กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย น่า ๗๖,๘๓
ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ น่า ๘๓,๘๕,๙๕
พระองค์เจ้าสุธารส น่า ๓๒, ๘๓
กรมหมื่นพิศาลบวรศักดิ์ น่า ๖๑,๘๔
พระองค์เจ้าภาณุมาศ น่า ๗๐,๘๔
กรมหมื่นบริรักษ์นรินทรฤทธิ์ น่า ๘๔,๘๖
พระองค์เจ้าเบญจางค์ น่า ๗๐, ๘๔
๑๑๔
พระองค์เจ้าชายยุคุนธร น่า ๗๐,๘๔
พระองค์เจ้ากระจ่าง น่า ๗๐,๘๔
พระองค์เจ้าโตสินี น่า ๘๔,๘๖
กรมหมื่นวรวัฒน์สุภากร น่า ๘๔,๘๗
พระองค์เจ้านันทวัน น่า ๓๒,๘๕
พระองค์เจ้าพรหเมศ สืบไม่ได้ความ
กรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ น่า ๓๒,๘๕
พระองค์เจ้าสนั่น น่า ๘๕
ในรัชกาลที่ ๕
กรมพระจันทบุรีนฤนาถ น่า ๑๐๐
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ น่า ๑๐๐
กรมหลวงปาจิณกิติบดี น่า ๑๐๑
กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช น่า ๑๐๑
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ น่า ๙๗
กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ น่า ๑๐๑
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัตยุบัน น่า ๖๕,๘๙,๙๐,๙๔,
๙๕,๙๘
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมหลวงนครสวรรควรพินิต น่า ๙๘
กรมหลวงกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน น่า ๑๐๑
กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม น่า ๑๐๑
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ น่า ๙๘
๑๑๕
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนลพบุรีราเมศวร์ น่า ๑๐๐
กรมขุนสิงหวิกรมเกรียงไกร น่า ๑๐๒
กรมขุนสรรควิสัยนรบดี น่า ๑๐๒
กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาศ น่า ๑๐๒
กรมขุนชัยนาทนเรนทร น่า ๑๐๒
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมหลวงนครราชสีมา น่า ๙๙
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนสงขลานครินทร น่า ๙๙
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราไชย น่า ๖๔,๙๙
สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา น่า ๑๐๐
ในกรมพระราชวังบวร ฯ รัชกาลที่ ๕
พระองค์เจ้าวิลัยวรวิลาศ น่า ๘๖,๑๐๓
กรมหมื่นชาญชัยบวรยศ น่า ๓๒,๔๗,๑๐๔
กรมหมื่นกวีพจนสุปรีชา น่า ๑๐๔
พระองค์เจ้าสุทัศน์นิภาธร น่า ๑๐๔
พระองค์เจ้าวรวุฒิอาภรณ์ น่า ๖๑
พระองค์เจ้าโอภาสไพศาลรัศมี น่า ๑๐๔
พระองค์เจ้ารุจาวรฉวี น่า ๑๐๔
พระองค์เจ้าวิบูลยพรรณรังษี น่า ๑๐๕
กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ น่า ๑๐๕
พระองค์เจ้าชัยรัตนวโรภาส น่า ๘๖, ๑๐๕
พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ น่า ๑๐๕
๑๑๖
พระองค์เจ้าหลานเธอ ที่ได้รับวังมรดก
กรมหมื่นนรินทรเทพ น่า ๑๖,๕๙
กรมหมื่นนเรนทรบริรักษ น่า ๑๖,๕๙
กรมหมื่นเทวานุรักษ น่า ๑๙
กรมหมื่นปราบปรปักษ น่า ๒๖
พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ น่า ๓๐,๙๖
พระองค์เจ้าชิดเชื้อพงศ์ น่า ๓๙
พระองค์เจ้าสิงหนาท น่า ๔๐
พระองค์เจ้าวัชรีวงศ์ น่า ๔๔
พระองค์เจ้าวัฒนา น่า ๕๐
พระองค์เจ้ามงคลเลิศ น่า ๕๔
กรมหมื่นนฤบาลมุขมาตย์ น่า ๕๕
พระองค์เจ้าอลังการ น่า ๗๔
พระองค์เจ้าธานีนิวัติ น่า ๘๒
พระองค์เจ้าและหม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งได้พระราชทานวัง
กรมหมื่นอนุพงศ์จักรพรรดิ น่า ๑๐๓
กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ น่า ๑๐๓
หม่อมเจ้าดนัยวรนุช น่า ๑๐๓
หม่อมเจ้าดรุณวัยวัฒน์ น่า ๑๐๓
หม่อมเจ้าทศสิริวงศ์ น่า ๑๐๓
หม่อมเจ้าปิยบุตร น่า ๑๐๓
|
14604
|
78199
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=14604
|
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๗
|
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๗
เรื่อง ไทยกับฝรั่งเศสเปนไมตรีกัน ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์
แปลจากภาษาฝรั่งเศส ของมองซิเออร์ ลันเย
พระยาปฏิภาณพิเศษ พิมพ์ในงานพระราชเพลิงศพ
พระยาเพ็ชรพิไชย (เจิม อมาตยกุล)
เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๖๕
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๗
เรื่อง ไทยกับฝรั่งเศสเปนไมตรีกัน ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์
แปลจากภาษาฝรั่งเศส ของมองซิเออร์ ลันเย
พระยาปฏิภาณพิเศษ พิมพ์ในงานพระราชเพลิงศพ
พระยาเพ็ชรพิไชย (เจิม อมาตยกุล)
เมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๖๕
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
|
14611
|
7251
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=14611
|
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๕
|
ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๕<br>
เรื่อง จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาค ๒<br>
พิมพ์ในงารพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงทรามสงวน อภัยรณฤทธิ์ ท.จ.<br>
เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๖๙<br>
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ โสภณพิพรรฒธนากร<br>
-----<br>
คำนำ<br>
หนังสือจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้ง กรุงศรีอยุธยาที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้เปนหนังสือเรื่องใหญ่ บาดหลวง โลเนรวบรวมพิมพ์เปนภาษาฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. ๑๙๒๐ (พ.ศ.๒๔๖๓) กรรมการ แห่งสภานี้ได้จัดให้มีผู้แปลเปนภาษาไทย แลให้ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ อ่านตรวจรับรองว่าถูกต้องแล้ว กรรมการจึงจัดไว้ในหนังสือ สำรองพิมพ์ ได้พิมพ์ในงาศพคุณหญิงถนอม เพ็ชรพิชัย มาภาค ๑ แล้ว
บัดนี้ มหาเสวกเอก เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี แจ้งความมายังราชบัณฑิตยสภาว่าในงานศพ คุณหญิงทรามสงวน อภัยรณฤทธิ์ ซึ่งจะได้พระราชทานเพลิงในปีนี้ ท่านผู้หญิง ธรรมาธิกรณาธิบดี ผู้เปน
ธิดาพร้อมด้วยพี่น้องใคร่พิมพ์หนังสือถวายแลแจกในงานนั้นเรื่อง ๑ ขอให้กรรมการเลือกเรื่องหนังสือให้กรรมการเห็นว่า หนังสือเรื่องนี้เหมาะจึงเลือกให้ท่านผู้หญิงธรรมาธิกรณาธิบดีพิมพ์ตามประสงค์
เหตุที่บาดหลวงฝรั่งเศสจะเข้ามาตั้งในกรุงศรีอยุธยาเปนอย่างไร กรมพระดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้ ในต้นแห่งภาค ๑ แล้ว<br>
อุปนายก<br>
ราชบัณฑิตยสภา<br>
วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๙
----<br>
(๑)<br>
ประวัติ คุณหญิงทรามสงวน อภัยรณฤทธิ์<br>
พระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ ทรงเรียบเรียง<br>
คุณหญิงทรามสงวน อภัยรณฤทธิ์ (ถวิล อมาตยกุล) ท จ. ว ป ร ๓. ปปร. ๔. เกิดในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันอังคารที่ ๕ กรกฎาคม ปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ เปนธิดาพระวิสูตรโยธามาตย์ (โหมด อมาตยกุล) ซึ่งต่อมาได้เปนที่พระยากระสาปนกิจโกศล มารดาชื่อพลอยเปนธิดาพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน ไกรฤกษ์)มีพี่ร่วมมารดากัน ๓ คน คือ นายสำอางคน ๑ พระยาเพ็ชร์พิไชย (เจิม) คน ๑ พระยาอภิรักษ์ ราชอุทยาน (แฉล้ม) คน ๑ คุณหญิงทรามสงวนเปนน้องน้อย ทั้งเปน ธิดาคนเดียว จึงเปนที่รักยิ่งของบิดามารดามาตั้งแต่น้อย แลเปนที่ หวงแหนของบิดามารดาในเวลาเมื่อเติบใหญ่ขึ้น ข้าพเจ้าผู้แต่งเรื่องประวัติ นี้อายุเด็กกว่าคุณหญิงทรามสงวนมาก แต่ทันได้ยินคำที่กล่าวกันในสมัยเมื่อคุณหญิงทรามสงวนเปนนางสาวว่า "ราวกับเจ้าฟ้า" ด้วยจะประสงค์สิ่งอันใดบิดามารดาตามใจไม่มีที่จะขัด แลมีตระกูลอื่นใคร่จะขอสู่อยู่ไม่น้อย เพราะบิดาสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ แลคุณหญิงทรามสงวนเองก็สวย แต่หากเจ้าตัวไม่วอแว จึงไม่มีใครสามารถ เข้าใกล้ได้
(๒)<br>
บุตรของพระยามหาอำมาตย์ (ป้อม) ผู้เปนต้นอมาตยกุล ได้เปนพระยาข้าราชการผู้ใหญ่ ๔ คนคือ พระยาธรรมสารนิติ (พลับ) คน ๑ พระยาอุไทยมนตรี (ขลิบ) ผู้ว่าราชการเมืองปราจิณบุรีคน ๑ พระยา
กระสาปนกิจโกศล (โหมด) คน ๑ พระยาเจริญราชไมตรี (ตาษ) ภายหลังได้เลื่อนเปนพระยาธรรมสารนิติคน ๑ บ้านเรือนพระยากระสาปนฯกับพระยาเจริญ ฯ อยู่ติดกัน ที่ริมแม่น้ำตรงน่าวัดราชบุรณะ พระยาเพ็ชร์พิไชย (เจิม) ได้แต่งงานกับคุณหญิงถนอมธิดาพระยาเจริญ ฯ เปนคู่แรก แล้วพระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน (แฉล้ม) ได้คุณหญิงอนงค์ธิดาพระยาเจริญ ฯ อีกคน ๑ เปนคู่ที่ ๒ แล้วพระยาเจริญ ฯ จึงขอคุณหญิงทรามสงวนให้แก่พระยาอภัยรณฤทธิ์(ถวิล)เมื่อยังเปนที่จมื่นราชามาตย์อันเปนบุตรสืบสกุล เปนคู่ที่ ๓ ได้ยินว่าเดิมบิดามิใคร่จะเต็มใจยกให้ด้วยหวงแหน หากทราบว่าเจ้าตัวเองทั้ง ๒ ฝ่ายรักกัน จึงยอมอนุญาต
ให้แต่งงารเมื่อปีขาล พ.ศ.๒๔๒๑ งารอาวาหมงคลครั้งนั้นเปนการใหญ่ถึงเลื่องลือ เปนต้นว่าเรือนหอก็สร้างเปนตึกสามชั้นใหญ่โต (ตึกนั้นยังปรากฎอยู่จนบัดนี้) ไม่เคยมีของใครเหมือน
เรื่องประวัติของคุณหญิงทรามสงวนในตอนต้นดังกล่าวมา เมื่อมาคิดดูในเวลานี้ก็น่าพิศวงอย่างหนึ่ง ด้วยสัตรีอันสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ แลบิดามารดาตามใจด้วยความรักมาตั้งแต่น้อยจนเติบใหญ่เช่นคุณหญิงทรามสงวน ถ้าจะกลายเปนคนมีทิฎฐิมานะหรือทนงตัวไปในทางที่ผิด ก็ไม่น่าจะประหลาดใจ แต่ความจริงที่ปรากฎ ตั้งแต่คุณหญิงทรามสงวน
(๓)<br>
แต่งงารแล้ว กลายเปนภรรยาอย่างดีที่สุด ซึ่งพระยาอภัยรณฤทธิ์ จะพึงหาได้ ทั้งในการที่เปนแม่เรือนแลเปนกำลังที่เปนอุปการะสามีด้วยความฉลาดแลมิได้ลบหลู่เกียรติยศสามี จึงได้มีความเจริญสุขด้วย กันมาช้านาน จนมรณภัยพรากจากกัน แต่คุณหญิงทรามสงวนไม่แต่เคยมีความสุขอย่างเดียว ถึงความทุกข์ก็น่าจะได้เคยรู้สึกถึงสาหัส เช่นเมื่อครั้งบิดาแลบรรดาพี่พากันต้องอัปภาคครั้งหนึ่ง แต่หากมีสติหน่วงเหนี่ยว มิให้พลอยวุ่นไป แลถือเอาฐานะที่เปนผู้มีเรือนต่างหากแล้ว ตั้งหน้าพยายามรับราชการช่วยแก้ความอัปภาคของวงศ์ญาติต่อมา
เรื่องประวัติของคุณหญิงทรามสงวนตอนที่จะได้โอกาศสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แลทรงพระเมตตามาทุกพระองค์ถึง ๓ รัชกาลนั้น เดิมคุณหญิงทรามสงวนเข้าไปพึ่งพระบารมีในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ แล้วรับราชการต่าง ๆ ในส่วนพระองค์ สนองพระเดชพระคุณได้ดังพระราชหฤทัย จนเปนผู้ซึ่งทรงพระเมตตามากคน ๑ แลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงคุ้นเคยแต่นั้นมา ครั้นถึงปีฉลู พ.ศ. ๒๔๓๒ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำการเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๓ รอบ ทรงพระกรุณาโปรด ฯ ให้สำรวจผู้มีบรรดาศักดิ์ซึ่งเปนสหชาตเกิดร่วม ปีพระบรมราชสมภพ ทั้งพระราชาคณะเจ้านายข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน ได้จำนวนประมาณ ๔๐ คน ส่วนภรรยาข้าราชการนับแต่ผู้ซึ่งทรงคุ้นเคยมีไม่กี่คน คุณหญิงทรามสงวนกับสามีเมื่อยังเปน
(๔)<br>
ที่พระพรหมบริรักษ เจ้ากรมตำรวจ เกิดปีเดียวกันแลสหชาตทั้ง ๒ คน ได้รับเชิญนั่งโต๊ะหลวง แลได้รับพระราชทานเครื่องอุปโภคมีหีบหมากเปนต้น ซึ่งโปรดให้สร้างขึ้นด้วยเงินจำหลักลายรูปโคปีฉลู แลมีอักษร
แสดงเปนที่รลึกว่า พระราชทานสหชาตเมื่องารเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๓ รอบ
ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๓๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้จัดตั้งสภาอุณาโลมแดง อันเปนต้นของสภา
กาชาดบัดนี้ โปรดให้สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ดำรง
ตำแหน่งองค์สภานายิกา จึงทรงชักชวนบรรดานารีมีบรรดาศักดิ์ตั้งแต่เจ้านายแลหม่อมห้าม พระราชวงศ์ ตลอดจนภรรยาข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ให้ช่วยกันรับหน้าที่ประกอบการต่าง ๆ ช่วยสภาอุณาโลมแดง
ครั้งนั้นคุณหญิงทรามสงวนรับทำยาไทย แลดูแลการพยาบาลคนไข้ด้วย ทำการโดยเอื้อเฟื้อแขงแรง จนได้รับเลือกเปนกรรมการคน ๑
ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๓๘ เมื่อทรงสถาปนาเครื่องราชอิศริยาภรณ์ จุลจอมเกล้าฝ่ายใน เวลานั้นสามียังไม่ได้รับพระราชทานพานทอง แต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้าแก่คุณหญิงทรามสงวน ด้วยเปนผู้มีบำเหน็จความชอบ ในส่วนตัว แลต่อมาเมื่อสามีได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเปนพระยามหาเทพได้รับพระราชทานพานทองเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒ คุณหญิงทรามสงวนก็ได้รับ
พระราชาทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ เลื่อนขึ้นเปนชั้นตติยจุลจอมเกล้าด้วย
(๕)<br>
ถึงปีฉลู พ.ศ. ๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีงารฉลองพระชนมพรรษาครบ ๔ รอบ แลดำรัสสั่งให้เชิญพวกสหชาตมารับพระราชทานเลี้ยง แลพระราชทานเครื่องอุปโภคเหมือน หนหลัง คราวนี้ของพระราชทานเปลี่ยนเปนเครื่องเงินกาไหล่ทอง จำนวน พวกสหชาตมีน้อยลงกว่าครั้งปีฉลู พ.ศ. ๒๔๓๒ เกือบครึ่งหนึ่ง ด้วย พากันถึงมรณไปเสียมาก จนเปนที่สลดพระราชหฤทัยในสมเด็จพระพุทธ เจ้าหลวง แลให้ทรงพระกรุณาแก่พวกสหชาตที่ยังเหลืออยู่ยิ่งขึ้นกว่า แต่ก่อน พระยาอภัยรณฤทธิ์กับคุณหญิงทรามสงวนก็อยู่ในพวกสหชาตที่ยังเหลืออยู่ทั้ง ๒ คนด้วยกัน
พอสิ้นรัชกาลที่ ๕ พระยาอภัยรณฤทธิ์ (ถวิล อมาตยกุล) ก็ถึงอนิจกรรม แต่เมื่อในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาคุณหญิงทรามสงวนมาก ด้วยได้ทรงคุ้นเคยชอบพระราชอัธยาศัยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แลเมื่อสามีถึงนิจกรรมแล้ว คุณหญิงทรามสงวนก็ยังรับราชการต่าง ๆ สนองพระเดชพระคุณในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินี พันปีหลวง ต่อมาอย่างเดิม แต่มาถึงตอนนี้คุณหญิงทรามสงวนปรารภถึงอัตภาพซึ่งเปนหม้ายแลเปน ผู้ปกครองบุตรธิดาอยู่คนเดียว เห็นว่าอายุก็เข้าในเขตความชรา แลบุตรธิดาก็สามารถเลี้ยงตนเองได้โดยมากแล้ว แลจึงคิดจัดการแบ่ง สมบัติเสียให้ทันตาเห็นสิ้นห่วงใย ในการนี้ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว จนจัดสำเร็จ
(๖)<br>
ตลอด แล้วย้ายจากบ้านเดิมไปสร้างบ้านเรือนอยู่ที่ใหม่ที่ริมถนนพระราม ๕ แขวงอำเภอสามเสน บ้านนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า " บ้านสงวนสุข " ได้อยู่ต่อมาจนตลอดอายุ
ในรัชกาลที่ ๖ คุณหญิงทรามสงวนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์เลื่อนเปนชั้นทุติยจุลจอมเกล้า นับว่าเสมอชั้นภรรยาเจ้า พระยา ได้รับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ชั้นที่ ๓ กับทั้งเข็มข้าหลวงเดิมแลเข็มกลัดพระบรมนามาภิธัยประดับเพ็ชร์ด้วย ในส่วนเครื่องประดับเกียรติยศซึ่งสมเด็จพระศรีพัชริทรา บรมราชินี พันปีหลวง พระราช ทานนั้น คือเข็มพระรูปกรอบประดับเพ็ชร์ ๑ เข็มอักษรพระนามประดับเพ็ชร์ ๑
ถึงรัชกาลปัจจุบันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรำลึกถึงความหลัง ซึ่งได้ทรงคุ้นเคยคับคุณหญิงทรามสงวนมาตั้งแต่ยังทรง พระเยาว์ ทรงยกย่องว่าเปนผู้มีความชอบมาในพระองค์ พระราชทาน
เหรียญรัตนาภรณ์ชั้นที่ ๔ เปนบำเหน็จ แต่คุณหญิงทรามสงวนมิได้มีโอกาศที่จะสนองพระเดชพระคุณต่อไป ด้วยแก่ชราแล้วเลยป่วยเปนโรคหัวใจพิการ ถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ คำนวณอายุได้ ๗๔ ปี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหีบทอง ทึบลายก้านขด กับฉัตรเบญจาประดับศพ เสมอชั้นข้าราชการพานทองเปนเกียรติยศ
(๗)<br>
คุณหญิงทรามสงวนมีบุตร ๔ คน แลธิดา ๓ คน รวม ๗ คน คือ
๑ พระยาอภัยรณฤทธิ์ (กระเษียร อมาตยกุล) ได้แต่งงารกับ คุณหญิงเผื่อน ธิดาพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ฮวด โชฏิกพุกกณะ)
๒ พระยาวิชิตสรสาตร (อำนวย อมาตยกุล) ได้แต่งงารกับ คุณหญิงพูน ธิดาพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (มิ้น เลาหเศรษฐี)
๓ พระยาอรรถกลวทาวัท (กระแส อมาตยกุล) ไดัแต่งงารกับเพ็ญ ธิดาหลวงฤทธินายเวร (พุด เทพหัสดิน ณอยุธยา)
๔ ท่านผู้หญิงธรรมาธิกรณาธิบดี (นงเยาว์) สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ดำรัสขอ แล้วพระราชทานเจ้าพระยาธรรมา ธิกรณาธิบดี (ม ร ว. ปุ้ม มาลากุล ณอยุธยา)
๕ นางสารกิจพิศาล (ชลอ อมาตยกุล) ได้แต่งงารกับพระสารกิจพิศาล (ดำริห์ อมาตยกุล) บุตรหลวงพิเทศพิไสย (ประวัติ อมาตยกุล)
๖ พระยารักษาเทพ (เชาวน์ อมาตยกุล) ได้แต่งงารกับวลี ธิดานายประยูร อมาตยกุล
๗ นางสาวสนาน อมาตยกุล
ในที่สุดเรื่องประวัติของคุณหญิงทรามสงวน อภัยรณฤทธิ์ จะกล่าวถึงอัธยาศัยแลคุณสมบัติของคุณหญิงทรามสงวน ว่าตามความคิดของข้าพเจ้าเองซึ่งได้เปนมิตรกับคุณหญิงทรามสงวน ตั้งแต่รู้จักกันมา จนตลอดอายุ ส่วนคุณสมบัติข้อสำคัญนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าตรงตามบทพระ บาลีว่า " อตฺตสมฺมาปณิธิ " คือตั้งตนไว้ ในที่ชอบ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงแล
(๘)<br>
ไม่ถ่อมฐานะของตนเกินไปทั้ง ๒ สถาน จะคบค้าสมาคมกับผู้ใดไม่ว่า ที่มียศศักดิ์สูงกว่าหรือเสมอกันหรือต่ำกว่า ที่สุดแม้มีอาชีพต่างกันประการใด คุณหญิงทรามสงวนย่อมวางตนเหมาะแก่การสมาคม จึงไม่มีผู้ใดจะรังเกียจ ใครได้คบหาสมาคมก็มีแต่ชอบมิมากก็น้อย แม้ตามเรื่องประวัติตั้งแต่สมัยเมื่อยังเปนสาว แลสมัยเมื่อมีสามีตลอดมาจนถึงสมัยเมื่อเปนหม้ายแลแก่ชรา ก็รู้จักวางตนเหมาะแก่ฐานะทุก สมัยมา เห็นจะเปนด้วยข้อนี้เปนสำคัญ จึงมีผู้ที่ชอบพอกับคุณหญิงทรามสงวนมาก แลมีทุกชั้นบรรดาศักดิ์ ข้อที่ข้าพเจ้ากล่าวอ้างตามความเห็นท่านผู้อื่นจะเห็นชอบด้วยหรือคิดเห็นเปนอย่างอื่นก็ตาม แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงจะเห็นพ้องกันหมด ว่าในบันดาสัตรีที่มีผู้ชอบพอกว้าง ขวาง จะหาผู้อื่นในฐานะเช่นเดียวกันให้เสมอเหมือนคุณหญิงทรามสงวนเห็นจะหาได้ โดยยาก
-----<br>
สารบารพ์<br>
(๒)<br>
(๓)<br>
(๔)<br>
(๕)<br>
(๖)<br>
----<br>
จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช<br>
เรื่องมองเซนเยอร์ลาโน (ต่อ) แต่ ค.ศ.๑๖๗๙ - ๑๖๙๖ (พ.ศ. ๒๒๒๒ - ๒๒๓๙)<br>
ว่าด้วยการแต่งทูตไปประเทศฝรั่งเศส <br>
ต่อมา ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙)<br>
ว่าด้วยความฉลาดผันแปรของคอนซตันตินฟอลคอน ที่เกี่ยวด้วยการจะแต่งทูตไทยไปยังประเทศฝรั่งเศสอีกคราวหนึ่ง<br>
จดหมายเหตุของฟอลคอนให้ไว้แก่บาดหลวงตาชา
เดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๖๘๔ (พ.ศ. ๒๒๒๘)
ท่านจะต้องรีบร้อนอย่างที่สุดที่จะจัดการพูดกับสังตปาปา พูดกับแปร์เยเนราล (Pe're Ge'ne'ral) แลพูดกับบาดหลวงเดอลาเชซ์ (De la Chaise) เพื่อขอรับของต่าง ๆ จากพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสโดยเร็วที่สุด สำหรับเปนการตั้งเค้าของสาสนาคริสเตียนในประเทศสยาม ของต่าง ๆ
ที่ต้องการเหล่านี้จะได้บรรยายต่อไป แลเปนเรื่องที่ข้าพเจ้าได้พูดกับท่านไว้หลายคราวแล้ว ทั้งนี้ขอให้เปนความลับในระหว่างเราสองคนเท่านั้น อย่าได้ ให้แพร่หลายออกไปเลยเปนอันขาด
๑
๒
คือจะต้องจัดเรือของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสบันทุกคน ๖๐หรือ๗๐ คน ซึ่งเปนคนที่เฉลียวฉลาดไหวพริบในการงารทั้งปวง ทั้งต้องเปนคนที่ ซื่อตรงด้วย คนเหล่านี้จะต้องมีทุนติดตัวมาสำหรับหาเลี้ยงตัวเองได้ แลจะต้องเข้าทำราชการของพระเจ้ากรุงสยามโดยไม่คิดหาผลประโยชน์
อย่างใด ข้อนี้สำหรับป้องกันคนพูดครหานินทาต่าง ๆ เมื่อคนพวกนี้ ไดทำการดีเลื่อนตำแหน่งหรือหน้าที่ขึ้นจะได้ไม่มีคนขัดขวางต่าง ๆ ถ้าหากว่า แปร์เยเนราล
คณะนั้นมาบ้างแล้ว เปนการจำเปนที่บาดหลวงเหล่านี้จะต้องแต่งตัวอย่างคนสามัญ แลไม่ควรจะให้พวกที่มาด้วยพร้อมกันรู้จักด้วยจึงจะดี ถ้าหากว่าพวกนี้จะขาดเหลืออย่างใด ข้าพเจ้ารับรองจะช่วยทุกอย่าง แลจะเอาอำนาจของข้าพเจ้าช่วยอุดหนุนพวกนี้ ให้เขาได้รับตำแหน่งหน้าที่อย่างดีที่มีอยู่ในเมืองไทย เช่นตั้งให้เขาเปนผู้ว่าราชการเมือง ผู้บังคับการป้อมเปนต้น แลจะจัดการให้เขาได้บังคับบัญชากองทัพทั้งบก แลเรือ ทั้งข้าพเจ้าจะเปนผู้หาหนทางให้พวกนี้ได้เข้าทำราชการในพระราชวัง แลทำการในหน้าที่ของรัฐบาลต่าง ๆ จนที่สุดหน้าที่อันสำคัญในส่วนเกี่ยวแต่ฉเพาะในพระราชวังของพระเจ้ากรุงสยามก็จะให้ตกในหน้า ที่ของคนเหล่านี้ กล่าวโดยสั้น ๆ ก็คือข้าพเจ้าจะได้ใช้พวกนี้ เหมือนอย่างเปนที่ปรึกษาของข้าพเจ้าในงารการทั้งปวง ดังข้าพเจ้าได้อธิบายให้ท่านทราบหลายครั้งแล้ว แลเพื่อจะให้การนี้เปนผลที่สุดโดยรวดเร็วแลแน่นอนนั้นจะต้องกราบทูลพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ว่าเปนการจำเปนที่จะต้อง
๓
ยึดเมืองสงขลาไว้ก่อน แล้วให้ส่งคนแลทหารมาอยู่ซึ่งเปนการสำคัญมาก เพราะเหตุว่าถ้าได้จัดเมืองนี้เปนที่เรียบร้อยแล้ว ก็หมดอันตรายไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป เมื่อเปนเช่นนั้นแล้ว บันดาพ่อค้าก็จะตั้งการ ค้าขายได้ แลเปนทางดีสำหรับป้องกันแลปกครองคณะฝรั่งเศสใน เมืองเขมร เมืองจำปา เมืองญวน แลเมืองตังเกี๋ย แลถ้าจะจัดการให้ สินค้าทั้งหลายได้โอนเข้าไปอยู่ในเมืองไทยเมื่อไร ก็จะไม่เปนการ ยากอันใด
อีกประการ ๑ เปนการจำเปนที่จะต้องเลือกคัดคนที่จะส่งมายังเมืองไทยนี้ ให้เปนคนที่มีเรือของตัวเองบ้าง แลให้คนเหล่านี้พาเรือของ ตัวมาด้วย เพราะนอกจากการที่เรือเหล่านี้จะเปนประโยชน์ต่อเขาเอง ข้าพเจ้าก็เต็มใจจะใช้เรือของพวกนี้มากกว่าจะใช้เรืออื่น ๆ แลข้าพเจ้าจะได้จัดการหาหนทางให้เจ้าของเรือพวกนี้ได้ทำการค้าขายให้เจริญ ซึ่งเขาจะทำไม่ได้ในเรือของบริษัท
เพื่อให้ความคิดอันนี้เปนผลสำเร็จนั้น อะไร ๆ ก็พร้อมหมดแล้วไม่มีขาดเหลือบกพร่องเลย ที่เมืองนี้เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ทุกอย่าง ยังมีเหล็กดีบุกแลทองแดงสำหรับทำเครื่องมือต่าง ๆ ได้ทุกอย่างจนที่สุดจะหล่อปืนใหญ่ก็ได้ เพราะเครื่องมือที่จะทำมีพร้อมอยู่แล้ว ยังขาด แต่คนที่จะทำเท่านั้น ซึ่งจะต้องรีบจัดการอย่างลับที่สุด ดังข้าพเจ้า ได้อธิบายให้ท่านทราบไว้แล้ว
บางทีจะมีผู้คัดค้านว่า ถ้าพระเจ้ากรุงสยามสวรรคตเสียแล้วแลของต่าง ๆ เหล่านี้ได้มาถึงสันดอนแล้ว การที่คิดไว้ก็จะต้องล้มละลาย
๔
หมด แต่ข้าพเจ้ารับรองแลรับสัญญาว่า ผู้ที่จะเสวยราชสมบัติแทน
พระเจ้ากรุงสยามต่อไปนั้น จะยอมการต่าง ๆ ทุกอย่างดีกว่าพระองค์
ผู้ที่สวรรคต แลจะได้รับความสดวกจากพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่มากขึ้น
ทั้งการที่เกี่ยวด้วยสาสนาก็จะง่ายแลสดวกขึ้นด้วย
ความเห็นแลความคิดต่าง ๆ ดังได้กล่าวมานี้ จะต้องจัดการโดย
ระมัดระวังแลโดยเร็วที่สุด ดังข้าพเจ้าได้อธิบายให้ท่านแลเชอวาเลีย
เดอโชมองเข้าใจอยู่แล้ว เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงขอร้องต่อท่าน ขอให้
จัดการในเรื่องนี้ต่อพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสด้วย
ข้าพเจ้าหวังใจว่าท่านจะได้เดิรทางโดยสวัสดิภาพ แลหวังใจว่า
ท่านคงจะได้กลับมาโดยเร็วด้วย
เขียนในเรือของข้าพเจ้า ที่ปากน้ำเจ้าพระยาในเมืองไทย
ณวันที่ เดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๖๘๕ (พ.ศ. ๒๒๒๘)<br>
จดหมายเหตุของบาดหลวงวาเช<br>
ว่าด้วยการรับรองราชทูตที่เมืองเบรสต์ (Brest)<br>
เมื่อวันที่ ๑๘ เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙)<br>
เรือได้ทอดสมอที่ท่าเรือเมืองเบรสต์ ข้าพเจ้าได้รีบขึ้นบกไปก่อนเพื่อจะไปบอก
มองซิเออร์ เดอคลูโซ (Decluseaux) หัวหน้ากระทรวงทหารเรือของ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสให้ทราบ ข้าพเจ้าได้เล่ารายเลอียดถึงการที่พระเจ้า
๕
กรุงสยามได้ทรงรับรองราชทูตฝรั่งเศส แลในข้อนี้มองซิเออร์เดอโชมอง แลมองซิเออร์เดอชัวซีก็ได้เล่าความตรงกัน เพราะฉนั้นมองซิเออร์ เดอคลูโช จึงเตรียมการรับรองราชทูตสยาม ให้เปนการใหญ่โตงดงาม สมกับที่พระเจ้ากรุงสยามได้รับรองราชทูตฝรั่งเศสที่เมืองไทยมาแล้ว บ้านที่มองซิเออร์เดอคลูโชพักอยู่นั้น เปนบ้านของหลวงใหญ่โตแล เครื่องประดับประดาเปนของงดงามมาก มองซิเออร์เดอคลูโซได้พักอยู่ ในห้องเล็กห้องเดียวพร้อมกับภรรยา พวกนั้นได้ยกให้ราชทูตแล ข้าราชการสยามอยู่ทั้งหมด ในชั้นแรกมองซิเออร์เดอคลูโซได้ส่งเสบียง แลของรับประทานต่าง ๆ มายังเรืออัวโซ แลเรือมาลีน ครั้นเวลา ประมาณบ่าย ๔ โมง มองซิเออร์เดอคลูโซ ได้มาเองพร้อมด้วย เจ้าพนักงารนายทหารทั้งบกแลเรือ แลพวกผู้ดี ๆ ที่อยู่ในเมืองเบรสต์ ด้วย เมื่อได้ทักทายปราไสยกันตามธรรมเนียมแล้ว มองซิเออร์ เดอคลูโซได้ขอให้ท่านราชทูตได้โปรดพักบนเรือก่อน ในวันนี้อย่าเพ่อ ขึ้นบกเลย เพราะท่านราชทูตได้มาถึงโดยไม่ทันรู้ตัว จึงไม่ได้เตรียม การไว้รับรองตามเกียรติยศ ที่ควรจะรับรองท่านราชทูตในเมืองฝรั่งเศส แล้วมองซิเออร์เดอคลูโซได้กลับไปเตรียมการรับรองแลสั่งการงารต่าง ๆ ตลอดรุ่ง ครั้นรุ่งขึ้นพอสว่าง ป้อมที่หน้าเมืองได้ยิงปืนใหญ่ ๕๐ นัด แล บันดาพลทหารที่ประจำอยู่บนป้อมนั้นได้ ยิงปืนเล็กพร้อมกัน ยังมีปืน ใหญ่อีกกว่า ๒๐๐ กระบอก ซึ่งอยู่ตามสพานแลที่อื่น ได้ยิงไม่หยุด ตลอดวัน พวกเรือที่มีปืนใหญ่ก็ยิงเหมือนกัน ครั้นเวลาบ่ายประมาณ
๖
๒ โมง มองซิเออร์เดอคลูโซ กับท่านผู้ว่าราชการเมืองแลข้าราชการ เจ้าพนักงารทั้งหลาย แลกับตันนายเรือได้พร้อมกันนำเรือลำหนึ่งซึ่ง ดาดแลประดับด้วยผ้าลายทอง ปักธงทิวทำด้วยแพรสีขาวปักทอง ที่ท้ายเรือทำเปนคูหาอย่างงดงามน่าชมบัญจุคนได้ ๑๐ คน เรือลำนี้มี คนตีกรรเชียง ๕๐ คน แต่งตัวอย่างเรียบร้อยทุกคน แลมีปืนใหญ่ขนาด ย่อมทาเงิน ๓ กระบอก มีแตร มีฉาบ มีปี่ มีซอนับไม่ถ้วนด้วย ท่าน ที่ออกชื่อมาแล้วนั้นได้นำเรือลำนี้มาอย่างช้า แลเรือทั้งหลายได้เดิรมา เปนกระบวรอย่างเรียบร้อยจนถึงเรือที่ท่านราชทูตสยามอยู่ เจ้าพนักงาร เหล่านี้ได้รออยู่ครึ่งชั่วโมงเพื่อให้ท่านราชทูตเตรียมตัว ครั้นแล้วท่าน ราชทูตสยามได้ลงมาในเรือ นั่งณที่เกียรติยศ มองซิเออร์เดอโชมอง กับมองซิเออร์เดอชัวซีตามหลังท่านราชทูตสยามลงมา มองซิเออร์ เดอคลูโซหัวหน้ากระทรวงทหารเรือนั่งข้างขวา ท่านผู้ว่าราชการเมือง นั่งข้างซ้าย ล่ามแลตัวข้าพเจ้านั่งเคียงผู้ว่าราชการเมือง ส่วนข้าราชการ ไทยที่มาในคณะราชทูตนั้นได้ลงเรือลำอื่น ๆ ซึ่งได้จัดเตรียมไว้ พระราช สาส์นของพระเจ้ากรุงสยามนั้น บัญจุหีบทองคำวางอยู่บนตักท่านราชทูต
ที่ ๑ พอต่างคนได้นั่งตามที่แล้วก็ได้ออกเรือทันที เรือชื่ออัวโซได้ ยิงปืนใหญ่ทุกกระบอก เรือชื่อมาลีนก็ยิงเหมือนกัน ฝ่ายบนป้อม ที่ท่าเรือแลเรือทุก ๆ ลำได้ยิงตอบพร้อมกัน แลได้ยิงต่อไปจนดึกแล้ว ก็ยังไม่หยุดยิง ครั้นขึ้นไปบนบกแล้ว มีทหารถืออาวุธทั้งกองแล เจ้าพนักงารพลเรือนมาพร้อมอยู่ณที่นั้น ตั้งกองเปนสองแถวให้พวก
๗
เราเดิรในระหว่ากลาง ยังมีราษฎรชาวบ้านอีกเปนอันมากได้มา จากที่ต่าง ๆ พร้อมกันอยู่ที่นี่ทั้งสิ้น พอพวกเราได้ขึ้นไปบนบ้านแล้ว ท่านหัวหน้าราษฎร (Mayor) แลเจ้าพนักงารรอง ๆ (Alderman) ได้มาหาพร้อมกันแลกล่าวคำรับรองท่านราชทูต ทั้งเอาของมาให้ คือสุราต่าง ๆ เครื่องกวน เทียนไขแลผลไม้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระดูนั้น ฝ่าย ภรรยาของมองซิเออร์เดอคลูโซ ก็ได้รวบรวมบันดาผู้หญิงผู้ดีใน เมืองเบรสต์ ล้วนแต่แต่งตัวอย่างงดงามที่สุด พอท่านราชทูตไทยได้ เดิรเข้าไปในห้องใหญ่ ผู้หญิงเหล่านี้ก็คำนับพร้อมกัน ตั้งแต่เกิดมา ครั้งนี้เปนครั้งแรกที่ท่านราชทูตสยามได้จูบหญิงชาวต่างประเทศที่แก้ม แลในเรื่องจูบกันนี้เพื่อกันไม่ให้ท่านราชทูตตกใจ ก็ได้บอกให้รู้ตัวกัน ไว้เสร็จแล้ว ท่านราชทูตที่ ๑ ได้จับมือมาดามเดอคลูโซ ๆ จึงได้พาท่านราชทูตเข้าไปในห้องอันงดงามห้องหนึ่ง ซึ่งได้เตรียมการเลี้ยงไว้อย่างใหญ่โตอยู่ในห้องนั้นแล้ว ครั้นกลางคืนเวลายาม ๑ ได้จัดโต๊ะ รับประทานอาหารไว้ ๒๔ ที่ แลได้เลี้ยงอาหารล้วนแต่อย่างอร่อย น่ารับประทานแลเปนของที่หายากทั้งนั้น นอกจากโต๊ะใหญ่นี้ ยังมีโต๊ะเล็กอีก ๖ โต๊ะ ๆ หนึ่งนั่งได้ ๘ คน ทั้งโต๊ะใหญ่โต๊ะเล็กเหล่านี้ รับประทานพร้อมกันหมด ในระหว่างที่รับประทานอยู่นั้นก็มีมโหรีบัลเลงเพลงต่าง ๆ แลมีคนเสียงอย่างไพเราะร้องรับด้วย เมื่อเสร็จการเลี้ยงแล้วต่างคนก็ลากลับไป เพื่อท่านราชทูตจะได้พัก สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าประหลาทใจนั้นก็ที่ได้เห็นท่านราชทูตไม่มีความสทกสท้านเลย แลวาง
๘
ท่าทางสมเกียรติยศ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าทำนายว่าการข้างหน้าคงจะเปนผลดี
จริงอยู่ตามทางได้สนทนากันอยู่เสมอ ๆ ถึงธรรมเนียมแลแบบแผน ดีต่าง ๆ ของประเทศฝรั่งเศส เพราะฉนั้นเมื่อท่านราชทูตได้มาเห็นเข้าแล้วจึงไม่รู้สึกแปลกอะไร ไม่เหมือนกับคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย
ในระหว่างที่ยังคอยฟังข่าวจากพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสอยู่นั้น มองซิ เออร์เดอคลูโซก็คอยระวังที่จะทำให้ท่านราชทูตเพลิดเพลินอยู่เสมอ จึงคิดอ่านหาเรื่องแปลก ๆ ใหม่ ๆ ให้ดูทุกวัน บางทีก็ไปชมเรืออย่างงาม ที่สุด บางทีก็ไปดูการทำเชือก วันนี้ไปดูทหารปืนใหญ่ซ้อมปืน พรุ่งนี้ไปดูการหล่อปืนใหญ่แลหล่อลูกแตก สิ่งที่ท่านราชทูตชอบดูมากก็คือ ความชำนาญแลว่องไวของคนทำเชือก ภายในเวลาสามชั่วโมงได้เห็นทำเชือกยาว ๑๕๐ วา โต ๑๐ นิ้ว เปนการเสร็จบริบูรณ์ การเที่ยวตามห้างต่าง ๆ กินเวลาวันหนึ่ง แลการไปดูที่เก็บอาวุธต่าง ๆ ก็ไปดูเสีย วันหนึ่งเหมือนกัน ท่านราชทูตได้ชมเครื่องสำหรับล้างบ่อน้ำว่าดีมาก แลได้ประหลาทใจเมื่อได้เห็นการเอียงเรือสำหรับขูดล้างท้องเรือเปนการง่ายเช่นนี้ แต่อะไรจะทำให้ประหลาทใจยิ่งกว่าที่เห็นคนทำงารมากมายก่ายกองในท่าเรือเมืองฝรั่งเศสฉเพาะแต่แห่งเดียวเท่านี้ เปนไม่มี<br>
ว่าด้วยราชทูตถึงกรุงปารีส<br>
พอคนในราชสำนักของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ซึ่งจะเปนคนประจำอยู่กับท่านราชทูตจนกว่าราชทูตจะออกจากประเทศฝรั่งเศส ได้มาถึง
๙
แล้ว ก็ได้เตรียมการทุกอย่างที่จะไปยังกรุงปารีสต่อไป บันดาเมือง ต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในระยะทางที่ท่านราชทูตจะต้องผ่านไปนั้นได้รับคำสั่งจากเสนาบดี ให้จัดการรับรองท่านราชทูตให้เต็มเกียรติยศ เพราะฉนั้น พวกชาวบ้านจึงออกมาคอยรับตามประตูบ้าน เมืองไหนที่มีปืนใหญ่ก็ได้ยิงปืนรับ พวกเจ้าพนักงารฝ่ายพลเรือนก็มากล่าวคำรับรองแลเอาของมาให้ พวกบาดหลวงคณะต่าง ๆ ก็มาแสดงความยินดีในการที่ท่านราชทูตได้มาถึงโดยสวัสดิภาพ พวกผู้หญิงก็มาดูท่านราชทูต รับประทานอาหาร กล่าวสั้น ๆ ก็คือบันดาชนทั่วไปไม่ว่าคนใหญ่ คนเล็ก คนชั้นสูงหรือชั้นต่ำ ดูพร้อมใจกันมาแสดงความยินดีที่ราชทูตได้มาถึงประเทศฝรั่งเศส เมื่อไปถึงที่แห่งใดก็ได้ใช้จ่ายเงินของพระ เจ้ากรุงฝรั่งเศสทุกแห่ง แลในหมู่บ้านเล็ก ๆ ก็ได้ทำการรับรองไม่น้อยกว่าในเมืองใหญ่ ตอนจากเมืองเบรสต์ถึงเมืองออเลียง
ต้องใช้รถเช่าธรรมดา ที่เมืองออเลียงมีรถอย่างสอาดมาคอยรับ แลรถเหล่านี้ได้พาไปจนถึงเมืองแบนี (Berny) เพราะที่เมืองนี้เครื่องเรือน ในที่พักท่านราชทูตเปนเครื่องเรือนของหลวงทั้งนั้น ได้พักอยู่ที่เมืองนี้ประมาณเดือน ๑ เพื่อคอยให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสเสด็จกลับจากพระราชวังเวอซาย เวลาที่พักอยู่ในเมืองนี้เปนเวลาที่สนุกแลสบายมาก เพราะมีคนมาหามากแลมาจากรอบทิศ แต่ที่มามากกว่าที่อื่นก็คือมาจากกรุงปารีส บางคนก็พาคอนเซิดมา บางคนก็พาผู้ที่เต้นรำอย่างดีมาให้ดู
๒
๑๐
บางคนก็เล่นละคอนอย่างน่าขัน บางคนก็ไต่ลวดหกขเมน บางคนก็แต่งตัวแฟนซี แต่งอย่างผู้หญิงผู้ชายชาวสยามจีนยี่ปุ่นแลญวนแลมีคนชักซอ ๒๔ คัน แต่ข้อที่น่าขันแลแปลกที่สุดก็คือในเวลาที่ท่านมาควิศเดอ เซเนเล (Seignelay) ได้มาพร้อมด้วยบุตรแลภรรยา แลมาควิศ เดอเซเนเลก็ไม่ต้องการให้รู้ว่าตัวเปนใคร เพราะได้จัดให้มองซิเออร์ เดอมองโตเซีย (Montausier) ปลอมตัวเปนหัวหน้า ควบคุมท่านผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ เพราะในคนหมู่นี้ มีทั้งดุ๊กแลดัชเช็ซด้วย ได้มีคนมา เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่ามองซิเออร์เดอเซเนเลแลคนอื่นๆจะปลอมตัวมาดังนี้แลห้ามไม่ให้ข้าพเจ้าบอกท่านราชทูตที่ ๑ ให้รู้ตัว แต่เรื่องนี้ก็เปนการสำคัญที่จะต้องระวังไม่ให้ท่านราชทูตพลาดได้ ข้าพเจ้าจึงกระซิบต่อท่านราชทูตที่ ๑ โดยฉเพาะบอกลักษณรูปพรรณของท่านทั้งหลายที่จะมา ในคราวนี้ แลได้บอกลักษณมองซิเออร์เซเนเลกับภรรยา ทั้งลักษณ ของท่านอาชบิชอบเดอรูอัง (Rouen) โดยเลอียด เพื่อจะไม่ให้ผิดตัวได้ เพราะท่านอาชบิชอบจะปลอมตัวเปนบาดหลวงประจำตัวมองซิเออร์เดอ มองโตเซีย แลทั้งท่านมาควิศเดอเซเนเล แลท่านอาชบิชอบเดอรูอัง จะไม่ติดเครื่องหมายยศแลตำแหน่งจนอย่างเดียว นอกนั้นการจะเปนไปประการใด ข้าพเจ้าต้องยอมให้เปนไปตามการ เพราะข้าพเจ้า เชื่อในความฉลาดไหวพริบของท่านราชทูตที่ ๑ พอแล้ว
เมื่อเราได้นั่งโต๊ะรับประทานอาหารอยู่ช้านาน ได้มีคนเข้ามาบอก ว่า ข้าราชการผู้ใหญ่ในเมืองเบรอตายน์ (Bretagne) พึ่งมาถึง แล
๑๑
ขอโอกาศที่จะมาทำความเคารพต่อท่านราชทูต ข้าพเจ้าจึงได้ลุกจากโต๊ะออกไปรับแลมีขุนนางไทยตามข้าพเจ้าไปด้วย ๒ คน ข้าพเจ้าจึงได้ พาเข้าไปยังห้อง แลได้นำท่านผู้ที่มาใหม่มาพบกับท่านราชทูต ท่าน ราชทูตจึงลุกขึ้นยืนแลไม่ยอมนั่ง จนกว่ามองซิเออร์เดอมองโตเซียจะลง นั่งข้างตัวราชทูตเสียก่อน แลรอจนท่านผู้หญิงทั้งหลายได้นั่งพร้อมกัน ตามที่ได้จัดไว้ข้างซ้ายโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านราชทูตจึงได้นั่งลง เมื่อต่างคนได้ลงนั่งกันพร้อมแล้ว ท่านราชทูตจึงได้สั่งให้ยกกับเข้ากลับไปแลให้เอาของหวานเข้ามา ของหวานในคราวนี้ก็ได้จัดอย่างงดงาม แลดียิ่งกว่าธรรมดา ก่อนที่จะลงมือรับประทานของหวาน ท่านราชทูตได้หยิบลูกกวาดแลของแห้ง ๆ ทั้งผลไม้อย่างดี ๆ โยนไปตามตักผู้หญิง แล้วจึงหันตัวมาพูดกับมองซิเออร์เดอมองโตเซียอย่างน่าฟังว่า คราวนี้ ท่านราชทูตอวดได้ว่า รองแต่พระเจ้าแผ่นดินลงมายังไม่ได้พบสิ่งใด จะงามแลน่าเอนดูกว่าท่านทั้งหลายที่มากับมองซิเออร์เดอมองโตเซียใน คราวนี้เลย แล้วท่านราชทูตจึงพูดต่อไปโดยไม่คอยฟังคำตอบว่า" เพราะ ตัวท่านเองนั้น ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเปนคนเกิดมาสำหรับบังคับบัญชา ประเทศที่ใหญ่ แลท่านผู้ดีที่นั่งอยู่ข้างหลังท่านนั้น (คือมองซิเออร์ เดอเซเนเล) ดูหน้าตาเหมือนกับจะเปนเสนาบดีที่ฉลาดคนหนึ่ง ส่วน บาดหลวงคนที่นั่งต่อไปนั้น (คืออาชบิชอบเดอรูอัง) ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูลักษณ อาจจะทายได้ว่าต่อไปวันหน้าคงจะเปนหัวหน้าของนักพรต ทั้งปวงในประเทศฝรั่งเศส แลท่านทั้งสองที่นั่งรองลงไปนั้น (คือดุ๊ก
๑๒
เดอโบวีเลีย (Bauvilliers) กับดุกเดอ มาร์ (Mortemart) ดูลักษณ สมควรจะเปนคนที่รับราชการอย่างสูงในแผ่นดินนี้ได้" แล้วท่านราชทูต ได้หันตัวไปทางฝ่ายผู้หญิง พูดต่อไปว่า "ในส่วนท่านผู้หญิงเหล่านี้ ถ้าหากว่าได้อยู่ในเมืองของข้าพเจ้าแล้ว ก็จะต้องถือว่าเปนชั้นนางฟ้า" การที่พูดดังนี้ คนที่นั่งฟังพอใจด้วยกันทุกคน พอท่านราชทูตพูดจบลง แล้ว ก็ฉวยถ้วยแก้วสุราดื่มให้พรมองซิเออร์เดอมองโตเซีย ให้แก่ ผู้หญิงแลให้แก่ท่านข้าราชการที่มาด้วย แล้วท่านราชทูตก็ขอให้ท่าน เหล่านี้ดื่มให้พรตอบราชทูตบ้าง ครั้นรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ท่าน ราชทูตได้จูงมือมาดามเดอเซเนเลไปตากลมในสวน แลไปนั่งไต้ต้นไม้ ต้นหนึ่ง ข้าพเจ้าได้นั่งเคียงกับมาดามเดอเซเนเล ๆ จึงได้ขอให้ข้าพเจ้า ถามท่านราชทูตว่าผู้หญิงในเมืองของท่านราชทูต รูปร่างสวยเหมือนอย่าง ผู้หญิงในเมืองฝรั่งเศสหรือไม่ ข้าพเจ้าขอโทษไม่ยอมถามให้ แต่ท่าน ราชทูตไม่ฟังจะเขี้ยวเข็นให้ข้าพเจ้าแปลตามคำพูดของมาดามเดอเซเนเล ให้จงได้ บันดาคนทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่นั้นก็ไม่ยอมเหมือนกัน ขอให้ข้าพเจ้าแปลคำถามให้จงได้ จึงจำเปนจำใจต้องแปลตามคำถาม แต่พอถามเสร็จมาดามเดอเซเนเลก็ว่าเสียใจว่าไม่ควรจะพูดขึ้น เพราะท่านราชทูตได้หันหน้าไปทางมาดามเดอเซเนเลแลจับมือไว้ ตอบโดยทันทีว่า "ถ้าท่านได้แต่งตัวอย่างผู้หญิงในเมืองของข้าพเจ้าแล้ว จะไม่มีผู้หญิงคนใดในโลกสวยเท่าท่าน" มาดามเดอเซเนเลได้ฟังก็หน้าแดง แลบันดา ผู้ชายที่ได้ยินก็ต่างคนล้อมมาดามเดอเซเนเล
๑๓<br>
ว่าด้วยราชทูตเข้ากรุงปารีส<br>
เมื่อได้กำหนดวันที่จะเข้าไปในกรุงปารีสเปนที่แน่นอนแล้ว พอ เช้ามืดในวันนั้น คนเป่าแตรหลวง ๑๒ คนได้มายังเมืองแบนี พอ เวลาประมาณเช้า ๒ โมง (๘ ก.ท.) มีรถอย่างงามเทียมม้า ๖ ได้ มาถึงหลายคัน แล้วมีทหารรักษาพระองค์โหล ๑ กับนายทหารคน ๑ ได้ตามรถมาด้วย มองซิเออร์ ยีโรด์ (Giraud) เจ้าพนักงาร กรมวัง (Master of Ceremonies) ได้มาในพระนามของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส เชิญท่านราชทูตให้เข้าไปยังกรุงปารีส ท่านราชทูตได้นั่ง รถไปจนถึงตำบล รำบูเย (Rambouillet) ได้แวะรับประทานอาหาร ณตำบลนั้น เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ท่าน ดุ๊ก เดอ ลา เฟอยาด (Due de la Feuillade) ได้นำทหารฝรั่งเศสซึ่งท่านผู้นี้เปนผู้บังคับการกับรถมารับ เพราะพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้รับสั่งให้ท่านดุ๊ก ผู้นี้มารับราชทูตพร้อมด้วยเจ้าพนักงารกรมวัง แต่ท่านราชทูตยังไป เร็วนักไม่ได้ เพราะต้องมีเวลาคอยรับทั้งเจ้าหญิงแลเจ้าผู้ชาย ซึ่ง เอารถเทียรมม้า ๖ แลม้า ๘ มารับท่านราชทูตในเวลาจะเข้ากรุง
วิธีเดิรกระบวรมีดังนี้ ข้างหน้ามีแตร ๔ คัน ฉาบ ๑ อันนำหน้า ต่อนั้นมาผู้บังคับกองทหาร กับเจ้าพนักงารประจำบ้านของท่านดุ๊กเดอลาเฟอยาด ต่อนั้นก็มีรถเปล่าของท่านดุ๊ก แล้วจึงถึงรถพระที่นั่งซึ่ง ท่านราชทูตที่ ๑ นั่งมาพร้อมกับดุ๊กเดอลาเฟอยาด ๑ เจ้าพนักงาร
๑๔
กรมวัง ๑ มองซิเออร์ตอฟ (Torf) พนักงารชาวที่ (Gentleman of the Chamber) ซึ่งเปนคนประจำอยู่กับท่านราชทูต ๑ รถคันที่ ๒ นั้น มีราชทูตที่ ๒ แลที่ ๓ นั่งมาพร้อมกับมองซิเออร์ยีโรด์ รถคัน ที่๓ นั้นข้าพเจ้านั่งข้างในอยู่คนเดียว ด้วยเชิญพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงสยามซึ่งบัญจุในหีบทองคำ แลหีบนั้นวางบนหัวเข่าข้าพเจ้า แล มีข้าราชการไทยหมอบอยู่ข้างหน้า ๒ คน ยังมีคนสำหรับเปิดประตูคน ๑ กับทหารรักษาพระองค์ขี่ม้าชักกระบี่ออกจากฝักถืออยู่ในมือ แล้วรถ อื่น ๆ ของเจ้าผู้หญิงเจ้าผู้ชายก็ตามหลังมา รถเหล่านี้มีเจ้าพนักงาร ที่มาในคณะท่านราชทูต กับเจ้าพนักงารผู้ใหญ่ของฝรั่งเศสบางคนนั่ง เต็มหมด ฝ่ายกองทหารฝรั่งเศสได้รายทางตามถนนที่กระบวรจะเดิร ผ่านทุกถนน ข้าพเจ้าเชื่อว่าคราวไหนจะไม่มีคนมาดูมากเหมือนคราวนี้ เพราะชนทั้งหลายได้มาทั่วทุกทิศานุทิศ เพื่อมาคอยดูกระบวรแห่ ราชทูตสยาม
การเดิรกระบวรคราวนี้ช้ามาก จนเวลาค่ำทุ่ม ๑ (๗ ล.ท.) จึงได้มาถึงโฮเต็ลที่พักของราชทูต ที่ถนน ตูรูนอง (Rue de Tournon)
๑๕<br>
จดหมายมองซิเออร์ เดอลียอน<br>
ถึง มองซิเออร์ มาตีโน (Martineau)<br>
ว่าด้วยบาดหลวงตาชา แลรายลเอียดที่ราชทูตอยู่ในประเทศฝรั่งเศส<br>
เมื่อได้มาถึงประเทศฝรั่งเศสแล้ว ก็เปนอันรู้กันทั่วไปว่า การเจรจาต่าง ๆ ได้ดำเนิรทางพวกบาดหลวงคณะเยซวิด ฝ่าย บาดหลวงตาชาโดยไม่ได้นึกถึงหรือโดยเจตนาก็ตาม ได้จัดการให้มองซิเออร์ วาเช ซึ่งเปนมิซชันนารีของเราออกห่างจากราชทูตสยาม พระเจ้ากรุงสยามได้รับสั่งให้ทำบาญชีเปนภาษาไทยจดของต่าง ๆ เปนอันมาก ที่มีพระราชประสงค์ให้ไปทำที่ประเทศฝรั่งเศส แลใน บาญชีมีจำนวนของหลายอย่างที่จะทำไม่ได้เปนอันขาด ในระหว่าง เดิรทางอยู่นั้น มองซิเออร์ วาเช อยากจะทำให้ท่านราชทูตพอใจ จึงได้ช่วยกันกับล่ามเอาบาญชีนั้นแปลเปนภาษาฝรั่งเศส แต่ถึงแม้ว่ามองซิเออร์ วาเช จะรู้สึกว่าของบางอย่างที่ต้องพระราชประสงค์เปนของที่ทำไม่ได้ก็ดี แต่ก็ได้อุส่าห์แปลคำต่อคำโดยไม่ได้คิดที่จะแปลเปลี่ยนแปลงแก้ไขอย่างใดเลย ครั้นได้มาถึงกรุงปารีสแล้ว บาดหลวง ตาชาได้เห็นบาญชีนี้ จึงขอยืมไปจากมองซิเออร์ วาเช สักวันหรือ สองวันก็จะคืนให้ มองซิเออร์ วาเช ก็ได้ ให้บาดหลวงตาชายืมไปตามความต้องการโดยง่าย ภายหลังสักสองวัน มองซิเออร์ เดอเซเนเล ซึ่งได้รับบาญชีของเหล่านี้จากบาดหลวงตาชา เพราะคงจะไม่ได้บาญชีนี้จากทางอื่น ได้ให้คนไปตามมองซิเออร์ วาเช กับหัวหน้าโรงเรียน สามเณรที่กรุงปารีส โดยเชื่อเสียว่าบาญชีนี้คงจะเปนความคิดของ
๑๖
มองซิเออร์ วาเช ให้ทำเมื่อยังอยู่เมืองไทย ครั้นพบ มองซิเออร์ วาเช แล้ว มองซิเออร์ เดอเซเนเล จึงได้ต่อว่าแลใช้คำอย่างแรงที่สุด แล โทษว่า มองซิเออร์ วาเช ได้ทำการซึ่งปิดหนทางที่จะทำให้พระเจ้ากรุง สยามพอพระทัยไม่ได้ เพราะการที่จะทำกระจกเงาสูง ๒๐ ฟิตนั้นเปน ของที่ทำไม่ได้เปนอันขาด
มองซิเออร์ วาเช จึงได้ตอบตามความที่เปนจริง ว่าในการทำ บาญชีนี้ มองซิเออร์ วาเช หาได้เกี่ยวข้องอย่างใดไม่ นอกจากเปนผู้ แปลคำต่อคำเท่านั้น แต่มองซิเออร์ เดอเซเนเล ขัดเคืองมาก จึง ได้ห้ามไม่ให้ มองซิเออร์ วาเช มาเกี่ยวในกิจการอย่างใด ๆ ของราชทูต สยามต่อไป เพราะฉนั้น มองซิเออร์ วาเช จึงตกลงไปพักที่เมือง บูรกอยน์ เพื่อไม่ให้มีการสงสัยในตัวของตัวต่อไป
ในเรื่องนี้ถึงแม้ว่า มองซิเออร์ เดอเซเนเล ไม่ได้พูดกับข้าพเจ้าอย่างที่ได้พูดกับ มองซิเออร์ วาเช ก็จริงอยู่ แต่ข้าพเจ้ามีนิสัยไม่พอใจ ที่จะเกี่ยวข้องในการเช่นนี้เลย เพราะไม่ใช่เปนการที่จะน่าทำหรือจะให้ ได้มิชื่อเสียงอย่างใด ข้าพเจ้าจึงจับเอาคำที่ มองซิเออร์ เดอเซเนเล ได้พูดกับ มองซิเออร์ วาเช ดุจเปนข้อความที่ มองซิเออร์ เดอเซเนเล ได้ ว่าตัวข้าพเจ้า เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงได้พูดกับ มองซิเออร์ เดอเซเนเลว่าข้าพเจ้าจะไม่เกี่ยวข้องด้วยกิจการของราชทูตสยามต่อไป แลการที่ ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ จะอ้างเหตุอย่างไรก็แล้วแต่ มองซิเออร์ เดอเซเนเล จะเห็นควร หรือจะไม่อ้างเหตุอย่างไรทีเดียวก็แล้วแต่ใจ แต่ครั้น
๑๗
ภายหลัง มองซิเออร์ เดอเซเนเล ได้มาบอกว่า พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส มีพระราชประสงค์จะให้ข้าพเจ้าเปนผู้แปลข้อควาที่ราชทูตสยามจะต้อง กราบทูล ข้าพเจ้าจึงยอมตามพระราชประสงค์ แต่อย่างไรก็ดี ใน การเจรจาแลปรึกษาหารือในข้อต่าง ๆ ในเมืองฝรั่งเศสนั้น ข้าพเจ้า ไม่ใคร่ได้เกี่ยวด้วยเลย เพราะฉนั้นข้าพเจ้าอาจสาบาลได้ว่า ไม่มี ใครได้ถามความเห็นข้าพเจ้าในข้อหนึ่งข้อใดเลย เว้นแต่ มองซิเออร์ เดอเซเนเล ได้ถามข้าพเจ้าครั้งเดียวเท่านั้น ว่าบาดหลวงตาชาเปน เพื่อนรักชอบกับ มองซิเออร์ คอนซตันซ์ จริงหรือ แต่เปนการเคราะห์ดี สำหรับข้าพเจ้ามาก ที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสหรือผู้หนึ่งผู้ใดไม่ได้ถาม ข้าพเจ้าเลย ว่าการต่าง ๆ ในเมืองไทย ข้าพเจ้าจะมีความเห็นว่า อย่างไร แลไม่ได้ถามถึงเรื่อง มองซิเออร์ คอนซตันซ์ เลย ซึ่ง เปนการเคราะห์ดียิ่งขึ้นไปอีก เพราะข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่า ความเห็น ของข้าพเจ้าผิดกันไกลกับข้อความที่บาดหลวงตาชาได้กล่าวไว้ เพราะ ฉนั้นจะเปนการที่ข้าพเจ้าจะตอบลำบากมาก จึงยินดีนักที่ไม่มีใครถามเลย อีกประการหนึ่งเมื่อข้าพเจ้ามาคราวนี้ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ได้ทรงเอ็นดูข้าพเจ้ามาก ทั้งมีเรื่องสำคัญ ๆ หลายเรื่องที่จะกราบทูลสำหรับให้เปนประโยชน์แก่คณะบาดหลวง แลถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเชื่อใจ ว่า ถ้าข้าพเจ้าจะขอเฝ้าสักครึ่งชั่วโมงก็คงได้โดยแท้ แต่ถึงกระนั้น
๓
๑๘
ข้าพเจ้าไม่ได้ขอร้องอย่างใดเลย เพื่อจะไม่ให้มีใครสงสัยได้ว่าข้าพเจ้าได้เกี่ยวในการต่าง ๆ<br>
ว่าด้วยความเรียบร้อยของราชทูต<br>
จดหมาย มองซิเออร์ เดอลียอน <br>
ถึง มองซิเออร์ วาเช<br>
วันที่ ๑๙ เดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙)<br>
ท่านราชทูตสยามได้ปฏิบัติการให้เปนที่พอใจคนทั่วไป เพราะ ท่านเหล่านี้เปนคนซื่อ อัธยาศัยดีแลกิริยาเรียบร้อย ถ้าจะพูดโดยสั้น แล้ว ความประพฤติแลอัธยาศัยของท่านราชทูตตรงกันข้ามกับขุนนาง สองคนที่มาครั้งก่อนแลที่ได้ทำให้ท่านร้อนใจนัก เชื่อกันว่าท่านราชทูตคงจะได้เข้าเฝ้าในวันพฤหัสบดีหน้า แลจะต้องอยู่ยังที่พัก ๔ หรือ ๕ วัน ที่พักของท่านราชทูตนั้นได้จัดอย่างงดงาม ซึ่งเปนการพิเศษไม่เคย ได้จัดให้ราชทูตใด ๆ อย่างนี้เลย ตามที่พวกเราคาดคเนการนั้นเปน อันเชื่อได้ว่า บริษัทคงจะได้ตั้งการค้าขายในเมืองไทยได้ต่อไป แล บางทีจะเพิ่มการค้าขายให้มากขึ้นกว่าเก่าด้วย พระเปนเจ้าได้โปรด ดลใจให้ไปตั้งอยู่ที่เมืองสงขลาเถิด
๑๙<br>
ว่าด้วยสำแดงข้อปุจฉาวิสัชนาแก่ชาวฝรั่งเศส<br>
จดหมาย มองซิเออร์ เดอบรีซาเซีย<br>
ถึง มองซิเออร์ ชาโม (Charmot)<br>
วันที่ ๓๐ เดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙)<br>
เมื่อวันศุกร์พวกเราได้ไปเฝ้าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสที่พระราชวังเวอซายเมื่อเวลาเสวยเสร็จแล้ว พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสทรงรับรองอย่างดีมาก ท่านอาชบิชอบเปนผู้นำเฝ้า พวกเราได้นำคำปุจฉาวิสัชนาเขียนเปนภาษาลาติน มีครุยเงินแลทองถวายพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ท่านอาชบิชอบ เปนผู้กล่าวคำกราบทูลยอพระเกียรติ์ ในระหว่างที่กราบทูลอยู่นั้น ได้ มีรับสั่งแซกถึงสองคราว ซึ่งเปนข้อรับสั่งอันน่าฟังมาก ตั้งแต่นั้นมา พวกเราได้เที่ยววิ่งไปทุกแห่ง เพื่อนำคำปุจฉาวิสัชนาไปให้คนโน้นคนนี้ แต่การที่เราได้วิ่งเต้นคราวนี้ ดูเผิน ๆ ก็ไม่เปนประโยชน์อะไรเพราะ ไม่ได้พบใครเลย แต่ความจริงก็เปนผลสำเร็จเรียบร้อยดี ท่าน ราชทูตก็ได้รับเชิญเหมือนกัน และเมื่อได้มาพร้อมกันแล้ว มองซิเออร์ อันโตนิโอปินโต ได้วิสัชนาอย่างดีมาก แลในที่สุด มองซิเออร์ เดอ เลซต๊อก (L' Estocq) ผู้เปนเปรซิเดน ได้กล่าวคำเปนภาษาลาติน ชมเชยชาวต่างประเทศผู้นี้แลชมเชยพวกมิซชันนารีทั่วไป พรุ่งนี้เช้า ที่โบสถ์โนตร์ดำจะได้มีการปุจฉาวิสัชนาอีกครั้ง ๑ หวังใจว่าข้างฝ่าย ผู้ปุจฉาของเราคงจะได้ตอบท่านบาดหลวง โรซ (Roze) ดีเท่ากับที่ได้ตอบมองซิเออร์ เดอ เลซต๊อก ในค่ำวันนี้มาแล้ว
๒๐<br>
จดหมายเหตุของบาดหลวงวาเช<br>
ว่าด้วยบินโตได้รับเกียรติในการปุจฉาวิสัชนา<br>
พวกบาดหลวงได้พาลูกศิษย์ของ มองซิเออร์ ยอเร ชื่อ อันตวนปินโต ลงเรือมาด้วย ในเวลาเดิรทางนั้น อันตวนได้ป่วยตลอดทาง จึงไม่มีเวลาที่จะอ่านหนังสือ แต่ถึงดังนั้น เมื่อได้มาถึงกรุงปารีสได้ หลายอาทิตย์ ท่านบาดหลวงคณะการต่างประเทศได้เรียกตัวไปสอบ ความรู้ในการสาสนา เพื่อสอบว่าความรู้จะดีจริงเท่ากับที่ได้มีผู้เขียน จดหมายมาชมเชยหรือไม่ เมื่อได้สอบความรู้แล้วก็เต็มใจที่จะให้พวก บาดหลวงที่สอบไล่จากซอบอน แลเปนผู้ที่มีความรู้มาก ซักฟอก มองซิเออร์ อันตวน เพื่อให้รู้แน่ว่าท่านผู้นี้จะสมควรเถียงข้อปุจฉา วิสัชนาในท่ามกลางมหาชนได้หรือไม่
ในชั้นต้น มองซิเออร์ บูซตร์ (Boustre) กับดอกเตอร์อีกสามคนได้สอบความรู้ มองซิเออร์ อันตวน กว่า ๒ ชั่วโมง ท่านนักปราชญ์ทั้ง ๔ คน ได้ถามปัญหาในข้อที่ยากอย่างที่สุด แลเปนข้อที่น่าฉงนมาก ที่สุด คือในข้อ อินคาเนชั่น (Incarnation) ท่านนักปราชญ์ทั้ง ๔ พอใจมากจนถึงกับมีจดหมายถึงหัวหน้าโรงเรียนสามเณร ว่าจะให้ ชายหนุ่มคนนี้ออกโรงได้ทีเดียว แลคณะซอบอนจะถือว่าได้รับเกียรติยศจากผู้นี้ด้วย ข้อปุจฉาวิสัชนานี้ได้ถวายแก่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ใน เวลาที่จะมีการปุจฉาวิสัชนานั้น คนทั่วทั้งปารีสได้มาฟัง พวก นักพรตทั้งหลายก็มาเปนอันมาก แลคนที่ได้ฟังทุกคนได้รับรองว่า การที่ไทยคนนี้ได้แสดงตัวในครั้งนี้ ไม่มีสิ่งใดจะทำให้พอใจยิ่งกว่านี้
๒๑
แล้วภายหลังพวกนักพรตได้หาโอกาศส่งชายหนุ่มคนนี้ไปยังกรุงโรม เวลานี้จวนจะหมดเวลาที่ อินโนเซนต์ที่ ๑๑ รับหน้าที่เปนสังตปาปาอยู่แล้ว
มองซิเออร์ ปินโต ได้ตั้งข้อปุจฉาใหม่ขึ้นอีกข้อ ๑ ถวายแก่ สังตปาปา ในเวลาที่จะมีปุจฉาวิสัชนานั้น ท่านสังตปาปาแลนักพรต ชั้น คาดิแนล (Cardinal) กับทั้งคนที่มีความรู้ดี ๆ ในกรุงโรมได้ มาฟังพร้อมกัน ทั้งหมดได้ชม มองซิเออร์ ปินโต เปนเสียงเดียวกัน ไม่มีใครคัดค้านเลย แลได้มีผู้รับรองว่า ตั้งแต่ได้ตั้งโรงเรียนนี้ ขึ้น ยังไม่เคยเห็นชาวต่างประเทศคนใดจะมีความรู้เท่ากับไทยคนนี้ ฝ่ายท่านสังตปาปาพอใจจนถึงกับจะต้องการตั้งให้ไทยคนนี้เปนนักพรต ก่อนที่จะกลับไปฝรั่งเศส ซึ่งเปนการไม่เคยมีตัวอย่างเลย เพราะ มองซิเออร์ ปินโต ก็อายุเพียง ๒๒ ปีเท่านั้น แลที่ตั้งคราวนี้ก็เปน การพิเศษ ท่านสังตปาปายังเห็นต่อไปว่า ไทยคนนี้สมควรที่จะเปน บาดหลวงชั้น วิแก อาปอซโตลิก (Vicaire Apostolique) ได้<br>
คำชมเชยของมองซิเออร์ เดอ บรีซาเซีย<br>
แสดงต่อราชทูตของพระเจ้ากรุงสยาม<br>
ที่โรงเรียนสามเณร คณะการต่างประเทศ<br>
ความดีความชอบทั่วไปของท่าน ซึ่งเปนการที่รู้กันทั่วไปนั้น เปนสิ่งที่ควรจะโฆษนาในภาษาต่าง ๆ ทุกภาษา แลพวกข้าพเจ้าหวังใจ
๒๒
ว่า จะได้มีโอกาศรวบรวมชาวประเทศทั้งหลายในทวีปยุโรป ให้ มาประชุมในที่นี้ เพื่อแสดงความนับถือต่อพระเจ้ากรุงสยามต่อหน้าท่านซึ่งเปนผู้แทนพระองค์มา เช่นเดียวกับพระเจ้ากรุงสยามผู้มีอำนาจอัน ใหญ่ยิ่ง ได้แสดงความนับถือพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ให้บันดาเมือง ทั้งหลายฝ่ายทิศตวันออกเห็น โดยแต่งให้ท่านมาเปนอัคราชทูต เช่นนั้น
แต่ในที่นี้ก็ไม่จำเปนจะต้องกล่าวสิ่งที่ไม่เปนประโยชน์ แลไม่ จำเปนจะต้องยืมวิธีของชาวต่างประเทศอย่างใด เพราะฉนั้นข้าพเจ้า ต้องขออนุญาตให้บาดหลวงในคณะนี้ได้แสดงความชมเชยต่อท่าน แล ขออนุญาตให้พวกบาดหลวงได้แยกกันแสดงด้วยวิธีต่าง ๆ ถึงวิชา ความรู้แลความประพฤติของท่าน ซึ่งชนทั่วโลกสรรเสริญนัก แล ขอให้บาดหลวงได้ใช้คำอย่างฉลาดของชาติ ฮีบรู (Hebrew) อย่าง สุภาพของชาติกริก อย่างจริงจังของชาติลาติน แลอย่างน่ารัก น่าฟังของคนไทย สำหรับแสดงความชมเชยต่อท่านในครั้งนี้ แล ขอให้แยกกล่าวถึงคุณความดีของท่าน เพื่อเปนการตอบแทนในการที่ท่านได้ให้เกียรติยศที่ได้มาในคราวนี้ และเพื่อแสดงความนับถืออัน จริงใจ ซึ่งจะไม่มีที่สิ้นสุดชั่วกาลปาวสานด้วย
๒๓<br>
คำชมเชยของบาดหลวง เดอลียอน<br>
แสดงต่อราชทูตของพระเจ้ากรุงสยาม<br>
ที่โรงเรียนสามเณร คณะการต่างประเทศ<br>
กล่าวเปนภาษาไทย<br>
จนถึงในเวลาเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีที่สุด ที่ได้เห็น ความตั้งใจของชนชาวฝรั่งเศสทุกคน มาแสดงความรักใคร่ ความ นับถือ ที่มีต่อพระเจ้ากรุงสยามนายของท่าน ทั้งแสดงความรักใคร่ และนับถือในส่วนตัวท่านเองด้วย เพราะท่านได้รักษาเกียรติยศเกียรติคุณของท่านดีมาก ครั้งนี้เปนครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาศประสานเสียง กับเสียงชมเชยของมหาชนทั่วไป แลเปนโอกาศที่ข้าพเจ้าจะได้แสดง ตัวให้ท่านเห็นความในใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากล้าที่จะพูดได้ว่า น้ำใจ ของข้าพเจ้ามีความรักใคร่แลนับถือท่านยิ่งกว่าชนทั้งปวง แลเพื่อเปน พยานแห่งความจริงใจข้อนี้ ก็ขอให้ท่านคิดดูว่า การที่ข้าพเจ้ากล่าว เช่นนี้ ข้าพเจ้าจะหมายประโยชน์ส่วนตัวอะไร คนอื่น ๆ ได้ทราบ ความจริงที่เกี่ยวด้วยพระเจ้ากรุงสยาม แต่โดยที่ทราบตามที่มีผู้จดจำ ไว้ กล่าวคือได้ทราบถึงพระเกียรติยศพระเกียรติคุณที่พระองค์มีอยู่ ยิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายฝ่ายทิศตวันออก ได้ทราบถึงพระราช ทรัพย์ที่มีมากมายในท้องพระคลัง ถึงพระหฤทัยซึ่งทรงสอดส่องการ
๒๔
ทั้งปวงอันน่าพิศวง ถึงการปกครองอันเรียบร้อยของรัฐบาลของพระองค์ซึ่งทรงพระอุสาหะจัดการบ้านเมือง โดยไม่ทรงนึกถึงความเหน็ดเหนื่อย ทั้งทรงแสวงหาทางกุศล แลโปรดนักหนาในการที่จะแสวงหาความ รอบรู้ทั่วไป ทั้งพระอัธยาศัยก็เปนที่นิยมของชนทั่วไป จนเปนการ กระทำให้ชาวต่างประเทศเปนอันมาก ได้ไปขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จากทิศานุทิศ แลที่สุดความที่ทรงพระเมตตาแก่นักพรตผู้ทำการของ พระเปนเจ้านั้น พระเกียรติยศพระเกียรติคุณตามที่ได้กล่าวมานี้ เมื่อ ผู้ใดมีโชคดีได้โอกาศเฝ้าแลเห็นด้วยตาของตัวเอง ดังข้าพเจ้าได้ เห็นมาหลายครั้งแล้วนั้น ก็จะเห็นได้โดยง่ายว่า พระเกียรติยศ พระเกียรติคุณยังมากกว่าที่ได้กล่าวมานี้หลายเท่า
เพราะฉนั้น การที่มีคนนิยมนับถือท่านนั้น ก็โดยเทียบเคียง พระเกียรติคุณของนายท่าน เปนต้นว่า การโต้ตอบของท่านในการ ทั้งปวง เปนคำที่ตรงแลสละสลวยเพียงไร เปนสิ่งที่ชนทั้งหลาย ชมเชยนักแลจะไม่ลืมเลย ความจริงวาจาที่ท่านกล่าวนั้น ถึงเปน คำดีเพียงไรแต่ก็เสียค่าลงไปบ้าง ด้วยเหตุที่ต้องแปลจากภาษาโน้น มาเปนภาษานี้ ถึงตัวข้าพเจ้าเองก็รู้สึกน้อยใจบ่อย ๆ ที่จะแปลคำของท่านให้ได้มีน้ำหนักเท่ากับคำที่ท่านใช้นั้นไม่ได้ ยังได้มีคนชมเชย อัธยาศัยอันดีของท่าน ที่ทำให้ท่านปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของ ประเทศต่าง ๆ ได้โดยง่าย เพราะขนบธรรมเนียมเหล่านี้หาเหมือนกัน ทุกประเทศไม่ แลได้มีคนสรรเสริญอารมณ์ของท่านซึ่งเฉยแลไม่มี
๒๕
ความวิตกในการอย่างใด ๆ เลย แลในที่สุดมีคนนิยมอัธยาศัยแล ความประพฤติดีของท่านที่ได้เห็นปรากฏอยู่ทุก ๆ วัน แต่บันดาชน ทั้งหลายได้เห็นท่านแต่เผิน ๆ ยังนิยมท่านถึงเพียงนี้ ถ้าได้มีโอกาศ ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านจะนิยมท่านสักเพียงไร เผอิญเปนเคราะห์ดีของ ข้าพเจ้า ที่พระเจ้ากรุงสยามได้มีพระราชโองการให้ข้าพเจ้ามายัง ประเทศฝรั่งเศสพร้อมกับท่าน ซึ่งเปนการที่ข้าพเจ้าได้เปรียบกว่าคน ทั้งหลาย เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับตัวท่าน การที่ได้ทรงพระกรุณา แก่ข้าพเจ้าในครั้งนี้ ไม่ใช่แต่ครั้งนี้ครั้งเดียว ได้เคยทรงพระเมตตา ต่อข้าพเจ้ามาหลายครั้งแล้ว ยังไม่ใช่แต่เท่านี้ ท่านยังได้แสดง ไมตรีของท่านซึ่งเปนการจับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก เพราะฉนั้นเปนธรรมดา ของบุคคลที่ต้องมีความกตัญญูในใจอยู่แล้ว แต่ในส่วนข้าพเจ้าได้รับ ความเมตตากรุณาต่าง ๆ จึงเปนการกระทำให้ข้าพเจ้ามีใจนับถือ อย่างอ่อนน้อม ต่อพระเจ้ากรุงสยามผู้มีพระเกียรติยศอันใหญ่ยิ่ง มี ใจรักใคร่ในส่วนตัวของท่าน แลมีใจจงรักภักดีต่อชาติของท่านด้วย แต่พระเปนเจ้าซึ่งทำการต่าง ๆ อย่างสุขุมนั้น ได้จัดการให้น้ำใจของ ข้าพเจ้ามีความจงรักภักดียิ่งขึ้นไปอีก จึงทำให้ข้าพเจ้าตกลงใจที่จะอยู่กับท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพื่อทำการฉลองพระเดชพระคุณท่าน โดยพยายามจะให้วิญญาณของท่านได้รับความสุขชั่วกาลปาวสาน
๔
๒๖<br>
ว่าด้วยการเลี้ยงราชทูตที่โฮเต็ลมาดัมเดอเนมอง<br>
จดหมายมองซิเออร์ เดอบรีซาเซีย<br>
ถึงมองซิเออร์ ชาโม (Charmot)<br>
วันที่ ๑๖ เดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๘๖๘ (พ.ศ. ๒๒๒๙)<br>
เมื่อวันอังคารที่ล่วงมาแล้วนี้ ท่านราชทูตสยามได้มาเยี่ยมพวกเราเปนทางราชการ ครั้นเวลากลางคืน ข้าพเจ้าได้กล่าวคำชมเชย ท่านราชทูตเปนภาษาฝรั่งเศส มองซิเออร์ เดอลาโน (de la Noe) ได้กล่าวเปนภาษาฮีบรู มองซิเออร์ โปเก (Pocquet) ได้กล่าวเปน ภาษากริก มองซิเออร์ ตีแบรซ์ (Tiberge) ได้กล่าวเปนภาษาลาติน แลมองซิเออร์ เดอลียอน ได้กล่าวเปนภาษาไทย คำที่กล่าวนั้นได้ส่ง มาให้ท่านดูพร้อมด้วยจดหมายฉบับนี้แล้ว คือคำของมองซิเออร์ ตีแบรซ์แลของข้าพเจ้าจดตามภาษาที่พูด อีกสามฉบับนั้นได้แปลเปนภาษา ฝรั่งเศสมาเสร็จแล้ว ผู้ที่ไปในคราวนี้มี สังฆราช ดุ๊ก เดอ ลาออน
บาดหลวง เปอเลอเตีย (Pelletier) ๑ บาดหลวง เดอ เนมอง (Nesmond) ๑ บาดหลวง เดอ ลันยี (Lagny) ๑ บาดหลวง เซเบเร (Ce'be'ret) ๑ บาดหลวง ซายเย (Saillet) ๑ บาดหลวงเด วีเยอ (Des Vieux) ๑ บาดหลวง เลอเฟฟ (Lefebvre) ซึ่งเปนมิซชันนารีคนเก่าของเราที่กรุงโรง ๑ บาดหลวงกูเปล(Couplet) ๑
กับบาดหลวง สปี โนลา (Spinola) ๑ การทั้งปวงเปนที่เรียบร้อยทั้งสิ้น
๒๗
พอท่านราชทูตที่ ๑ ได้ตอบเสร็จแล้ว เจ้าของโฮเต็ลมาดัม เดอเนมอง ได้มาบอกว่า โต๊ะรับประทานอาหารได้จัดเสร็จแล้ว โต๊ะ รับประทานอาหารนี้จัดไว้ ที่มุมห้องรับประทานอาหารห้องใหญ่ แล โต๊ะอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ธรรมดาได้เอาออกหมด ในห้องนั้นใช้จุดเทียนไข แลมุมอีกห้องหนึ่งจัดเปนโต๊ะเครื่องดื่ม การรับประทานอาหารครั้งนี้เปนที่เรียบร้อยแลงดงามมาก มาดัม เดอ มีรามอง (Miramion) เปนผู้จ่ายเงินค่าเครื่องรับประทาน ซึ่งคนทั้งหลายกะว่าอยู่ในราว ๖๐ หรือ ๘๐ เหรียญ (เมืองสเปน) เครื่องใช้ตลอดจนผ้าปูโต๊ะแลคนใช้ เปนของมาดัม เดอเนมอง ทั้งสิ้น ท่านผู้ที่เปนหัวหน้าได้นั่งรับประทานในห้องใหญ่ พวกเราได้รับประทานในห้องเล็กพร้อมด้วยล่ามสองคน เสมียนสองคน กับจีนของบาดหลวง คูเปล (Couplet) คน ๑ เมื่อ ได้ลุกจากโต๊ะแล้ว ได้จัดการให้คนใช้ของท่านราชทูตแลคนชาวสวิช สองคนรับประทานอาหาร คนชาวสวิสนั้นได้ตามท่านราชทูตมาจาก โฮเต็ล แลได้นารักษาประตูให้พวกเรา
ครั้นเวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง (๘.๓๐ ล.ท.) พวกที่ได้รับเชิญ กลับไปหมดแล้ว พวกเราได้ไปนั่งล้อมโต๊ะท่านราชทูตพร้อมกับ เพื่อนของเรามาจากซอบอน (Sorbonne) ๓ คน แลของยังเหลือพอ ที่จะเลี้ยงคนในโรงเรียนทั้งเลี้ยงคนใช้ของมาดัมเนมองด้วย ซึ่งเปน คนประมาณ ๑๕ หรือ ๒๐ คน นอกจากพวกคนใช้ที่เดิรโต๊ะ ยังมี พ่อครัวทำของคาวแลคนทำของหวานอีกหลายคน ทั้งคนใช้อีก ๔ หรือ
๒๘
๕ คน ซึ่งคอยรับใช้ท่านราชทูตทั้งสาม แลมองซิเออร์ เดอ ลาออง กับมาควิศ ดาลิกร์ ด้วย คนทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในความบังคับบัญชา นายโฮเต็ลคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีความขยันจนถึงกับในเวลารับประทาน อาหารนั้น เมื่อมาเดิรโต๊ะให้กับท่านราชทูตแล้ว ก็ยังอุส่าห์มาเดิร โต๊ะให้พวกเราอีก จะห้ามเท่าไรก็ไม่ฟังด้วย
เวลา ๔ ทุ่มครึ่ง (๑๐.๓๐ ล.ท.) การทั้งหลายได้ทำเสร็จหมดจนเครื่องใช้ซึ่งทำด้วยเงินก็ได้ล้างเช็ดส่งมาไว้ยังห้องข้าพเจ้า แล คนใช้ของมาดัม เนมอง ก็กลับไปได้ราว ๕ ทุ่ม (๑๑ ล.ท.) ท่าน มาควิศ ดาลิกร์ ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า การเลี้ยงคราวนี้คล้ายกับการ เลี้ยงที่พระราชวังเวอซาย เพราะได้ทำอย่างแบบเวอซายคือเปลี่ยน กับเข้าให้ท่านราชทูตสองครั้งเปนพิเศษ<br>
เรื่องรับคนไทยเข้าสาสนาคฤสต์<br>
จดหมาย มองซิเออร์ ตีแบรช์ (Tiberge) <br>
ถึง มองซิเออร์ ชาโม (Charmot)<br>
วันที่ ๑๗ เดือนเมษายน ค.ศ. ๑๖๘๗ (พ.ศ. ๒๒๓๐)<br>
ข้าพเจ้าเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อจะบอกให้ท่านทราบว่า เมื่อวานซืนนี้ ได้จัดการให้น้ำมนต์รับคนไทยเข้าเปนคริสเตียน ๑๒ คน <br>
พิธีนี้ ท่านอธิการได้ทำที่ แซงซูลปิซ (Saint - Sulpice)<br>
๒๙<br>
คนที่ ๑ ชื่อ พี (Pi) นั้น ท่าน ดุ๊ก ดัลแบร์ (duc d' Albret)กับท่านเคาน์เตช โดแวน (comtesse d'Ouvergne) เปนผู้รับรอง แล ได้ตั้งชื่อให้ว่า ปีแย เอมานูเอล
คนที่ ๒ ชื่อ เพ็ชร์ (Ppet) นั้น ผู้รับรองควรจะเปนท่านหัวหน้าพวกพ่อค้าแลมาดัม เดอ เนมอง แต่ท่านหัวหน้าพ่อค้ามีธุระมาไม่ได้ เพราะจะต้องไปรับรองผู้ว่าราชการเมืองปารีสคนใหม่ แลมาดัม เดอ เนมองก็มาไม่ได้ เพราะมาเดอมัวเซล เดอ ลามวนยอง (Lamoignon) ได้ถึงแก่กรรม แลได้ไปจัดการฝังที่ตำบล คอเดอเลีย (Cordeliers) เพราะฉนั้น มองซิเออร์ บายยี (Bailly) กับ มาดัม รูเย (Rouille') จึงเปนผู้รับรองแทน แลได้ให้ชื่อคนไทยที่ ๒ นี้ว่า ยังบับติซต์ (Jean - Baptiste)
คนที่ ๓ ชื่อ อ่วม (Oman) ท่าน เชอวาเลียเดอโชมอง กับ มาดัม เดอลียอน มารดาของ มองซิเออร์ เดอ ลียอน เปนผู้รับรอง ให้
ชื่อว่า ปอลอาตูซ (Paul Artus)
คนที่ ๔ ชื่อ ชื่น (Chun) มองซิเออร์ เปอเลอเตีย (Pelletier)ที่ปรึกษาของสภาปาลีแมน กับมาดัม ดาลิกร์ เดอ บัวลันดรี (d'Aligre de Boislandry) มาแทน มาดัม ดาลิกร์ แม่ยาย เปนผู้รับรอง แลให้ ชื่อว่า หลุย (Louis)
คนที่ ๕ ชื่อ ไก่ (Gaye) เปนช่างทอง ท่านสังฆราช มีลอง (Milon) กับ มาดัม ลามาคีซ เดอ รูซี (Marquise de Roussy) เปน ผู้รับรอง แลให้ชื่อว่า ฟรังซัวซาเวีย (Francois Xavier)
๓๐<br>
คนที่ ๖ ชื่อ มี (Mi) ท่านบาดหลวง เดอ ฟรูซี (Fourcy) แทนท่านหัวหน้าพ่อค้ากับ มาดัม ...? แทน มาดัม เดอ เนมอง เปนผู้รับรอง แลให้ชื่อว่า ฮังรี โอลีเวีย (Henri Olivier)
คนที่ ๗ ชื่อ ด่วน (Duan) เปนช่างก่อสร้าง มองซิเออร์ เดอ คัชตียี (Castilly) กับ มาดัม เดอ เปรซอง (Presson) เปนผู้รับรอง ให้ ชื่อว่า ฟิลิป (Philippe)
คนที่ ๘ ชื่อ สัก (Sac) มองซิเออร์ ดู รูโอ ปาลู (du Ruau - Pallu) กับมาดัม เดอ วาลีแย เปนผู้รับรอง ให้ชื่อว่า
ฟรังซัว (Franc,ois) (ซึ่งเปนชื่อของ มองซิเออร์ เดลีโอ โปลิศ ที่ ถึงแก่กรรมเสียแล้ว)
คนที่ ๙ ชื่อ เทียน (Thean) มองซิเออร์ เดอ ลานยี ผู้บุตร แทนบิดา ซึ่งเปนหัวหน้าของการค้าขายฝ่ายต่างประเทศ กับ มาดัม ควิซโต (Cuissetot) เปนผู้รับรอง ให้ชื่อว่า ธอมาซ์ (Thomas)
คนสุดท้ายชื่อ วุ้ม (Vom) มองซิเออร์ ซูเล (Soulet) ผู้ อำนวยการราชบริษัทอินเดียฝ่ายตวันออก กับมาดัม กัวลันด์ (Goisland)
ภรรยาของนายโฮเต็ลที่พักของท่านราชทูตเปนผู้รับรอง ให้ชื่อว่า นิโกลา (Nicolas)
พิธีนี้ได้ทำกันช้านานจนถึงบ่าย ๒ โมงจึงได้เสร็จ ก็แต่หาได้ ทำให้ผู้ที่เปนคริสเตียนใหม่มีความเบื่อหน่ายอย่างใดไม่ แลกิริยาที่ ทำถ่อมตัวนั้นเปนการที่คนดูพอใจทุกคน จนที่สุดพวกนี้ได้ขอร้องขึ้นเอง
๓๑<br>
ในวันก่อนว่าจะขออดอาหาร เพื่อจะได้เตรียมตัวสำหรับพิธีในวันรุ่งขึ้น การที่อดอาหารนั้นหาได้ทำให้พวกนี้อ่อนเพลียอย่างใดไม่
ท่านอาชบิชอบไม่มีเวลาพอที่จะให้ข้าพเจ้าพาคนเหล่านี้ไปหาเพื่อขอพร แลให้ท่านอาชบิชอบทำพิธีรับรอง ซึ่งพวกนี้ต้องการนัก
เครื่องแต่งตัวที่ใช้อยู่ในเวลาที่รับน้ำมนต์นั้น พวกไทยนี้ยังคงใช้ต่อไปอีก ๘ วัน เสื้อนั้นทำด้วยแพรดอกขอบทำด้วยด้ายถัก ถุงเท้า นั้นใช้ถุงขาว รองเท้าก็ขาว แลสวมหมวกขาวซึ่งพันผ้าดอก แล ข้างบนมียอดแหลมทำด้วยผ้าดอกเหมือนกัน
ท่านคงจะไม่นึกเลยว่าตั้งแต่รับพวกนี้เข้าเปนคริสเตียนแล้ว พวกนี้จะมีความพอใจเพียงไร แลเวลาสวดมนต์ก็มาสวดพร้อมกันหมด
เมื่อกลับจากโบสถ์แซงซุลปิซแล้ว พวกไทยได้มาขอลูก ประคำต่อข้าพเจ้า ๆ ได้จัดให้คนไปซื้อมาให้ พวกนี้รับลูกประคำโดย แสดงกิริยาเคารพ แลได้เอาลูกประคำคล้องดุจเปนตรา (Order of Jesus & Mary)
พวกนี้ได้รับประทานอาหารพร้อมกับเราที่โต๊ะที่ ๑ แลเขาได้ขอ ร้องจะผลัดเปลี่นกันเดิรโต๊ะ แต่ข้าพเจ้าได้ตอบว่า ในระหว่างที่ เขายังแต่งกายอย่างเมื่อเวลารับน้ำมนต์อยู่นั้น จะให้เขาเดิรโต๊ะไม่ได้ ต้องให้คนอื่นเดิรโต๊ะให้ เพื่อแสดงความนับถือในการที่เขาได้เปน คริสเตียนขึ้นใหม่ ๆ แลทั้งสำหรับป้องกันไม่ให้เสื้อขาวที่เขาสวม อยู่นั้นได้เปื้อนเปรอะไปได้
๓๒<br>
ฝ่ายคนไทยที่ ๑๒(๑)ซึ่งยังไม่ได้รับน้ำมนต์นั้นเพราะยังป่วยอยู่ พอสบายแล้ว มาดัม เดอลากิซ (Guise) จะเปนผู้รับรอง ไทยคนนี้มี ความประสงค์จะเปนคริสเตียนมาก<br>
ว่าด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเมืองไทย ระหว่างเวลาที่ราชทูตสยามไปเจริญทางพระราชไมตรี ยังประเทศฝรั่งเศส<br>
เรื่องข้อสัญญาที่เกี่ยวด้วยสาสนาหาได้ประกาศไม่<br>
จดหมาย มองเซนเยอร์ลาโน<br>
ถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ<br>
วันที่ ๓๐ เดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙)<br>
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะโทษใครในการที่พระเจ้ากรุงสยามหาได้ทรงปฏิบัตตามที่ได้ทรงสัญญาไว้กับพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ในการที่จะให้ สาสนาคริสเตียนดำเนิรขึ้นสู่ความเจริญไม่ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าทราบได้แน่<br>
-----<br>
"(๑) มองซิเออร์ ตีแบรช์ ได้ออกชื่อแต่ไทย ๑๐ คนเท่านั้น แต่ก็กล่าวว่ามีไทย ๑๒ คน แลตอนท้ายที่สุดก็ใช้คำว่า คนไทยที่ ๑๒ ในหลังจดหมายก็เขียนว่า กอดฟาเธอ แล กอดมาเธอ Godfather & Godmother ของไทย ๑๒ คน แลจดหมายเหตุอื่น ก็กล่าถึงไทย ๑๒ คนเหมือนกัน"<br>
๓๓<br>
นั้นก็คือ ยังคมมีข้อขัดข้องอยู่เสมอมิได้ขาด พอความขัดข้องข้อนี้เปลื้องปลดไปก็คงมีการขัดข้องอย่างอื่นมาแทรกอยู่เสมอ จึงเปนอัน ทราบไม่ได้ว่าจะตั้งต้นกันอย่างไร แลเพื่อท่านจะได้ตอบคนที่จะต้องการ รู้ในการเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจึงจะขอเล่าตามความที่เปนจริงถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เปนไปในระหว่างปีหนึ่งที่ล่วงไปแล้ว เมื่อท่านราชทูตได้ออกเรือไปแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปพักอยู่กับมองซิเออร์เดอชันเดอบัว (Chandebois) แลไม่ได้ไปไหนเลย จนถึงสิ้นเดือนมกราคมข้าพเจ้าจึงได้ไปยังเมืองละโว้ ในระหว่างนั้นมองซิเออร์คอนซตันซ์ป่วยมาก แลถ้าไม่มีมองซิเออร์คอนซตันซ์แล้วพระเจ้ากรุงสยามก็ไม่ทำอะไรหมด ครั้นมองซิเออร์คอนซตันซ์หายป่วยแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองก็กลับป่วยลง จึงต้องกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ภายหลังได้เกิดการขึ้นซึ่งราษฎรพลเมือง ถึอว่าเปนลางร้ายแลถือว่าจะทำให้เกิดเรื่องสำคัญใหญ่โตขึ้น คือช้างเชือกหนึ่งซึ่งเคยเปนช้างทรงของพระเจ้ากรุงสยามได้แตกปลอกหนีเข้าป่าไป ซึ่งเปนลางสำหรับทำนายว่าจะได้เกิดเหตุร้ายขึ้น เพราะฉนั้นจึงได้เกณฑ์คนจนเปนจำนวนมากให้ออกไปติดตามช้าง แลพระเจ้ากรุงสยามก็เสด็จด้วยพระองค์เองกว่าจะจับช้างกลับมาได้ กินเวลาเกือบเดือน ๑
ครั้นภายหลังพระเจ้ากรุงสยามทรงพระประชวรเล็กน้อย พอหายประชวรแล้วก็ได้คิดกันที่จะตั้งต้นจัดการต่อไป บังเอินก็เกิดเหตุรู้สึกกัน
๕
๓๔<br>
ว่าได้มีผู้คิดขบถอย่างลับ ๆ แลจวนจะถึงเวลาขบถกันอยู่แล้ว การเรื่อง ขบถนี้ได้ทำให้เกิดการวุ่นวายต่าง ๆ เดือนหนึ่งหรือสองเดือนจึงสงบการคิดขบถ ครั้งนี้เปนการน่ากลัวมากแลได้คิดกันอย่างสนิธมาก ถ้าแม้ว่า คนต้นคิดการเรื่องนี้จะมีเหตุอ้างถึงสาสนาคริสเตียนแม้แต่เล็กน้อย เปนการเชื่อได้แน่ว่าคนไทยโดยมากคงจะเข้าด้วยกับพวกขบถ แลในไม่ช้า เมืองไทยก็คงจะตกอยู่ในมือพวกขบถทั้งหมด ข้าพเจ้าต้องสารภาพว่า พอได้ทราบข่าวถึงเรื่องผู้คิดขบถคราวนี้ ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะต้องให้พรแก่พระเปนเจ้าในการที่ยังไม่ได้จัดการในเรื่องสาสนาเลย แลข้าพเจ้าได้รู้สึกว่าการที่ไม่สำเร็จนี้ถึงแม้ว่าจะเปนการน่ารำคาญก็จริงอยู่ แต่ ก็คงเปนเพราะพระเปนเจ้าได้บันดาลให้เปนเช่นนั้นโดยแท้ เพราะเหตุว่า ถ้าพวกมลายูได้เอ่ยถึงสาสนาคริสเตียนแม้แต่คำเดียวแล้ว ก็คงพอที่ จะให้ไทยโทษพวกเราว่าเปนต้นเหตุในการที่เกิดขบถคราวนี้ มาบัดนี้ การทั้งปวงก็เรียบร้อยลงรูปเดิมหมดแล้ว แลพระเจ้ากรุงสยามก็ยังทำให้เราได้มีความหวังดีอยู่เสมอ ฝ่ายมองซิเออร์คอนซตันซ์ซึ่งมีความลับ ในใจยิ่งกว่าคนอื่นได้บอกกับข้าพเจ้าเมื่อสองสามวันนี้เองว่ามองซิเออร์ คอนซตันซ์ยังตั้งใจดีอยู่เสมอ แต่ในเวลานี้ยังรอความช่วยเหลือจาก ประเทศฝรั่งเศสอยู่ ควรจะต้องอ้อนวอนขอให้พระเปนเจ้าได้จัดการให้ เปนไปตามผลที่พระเปนเจ้าต้องการให้เปนไปนั้น แลในระหว่างนี้สาสนา คริสเตียนก็ยังแผ่ไปทั่วพระราชอาณาเขต
๓๕<br>
เพราะเหตุว่ามองซิเออร์คอนซตันซ์ได้ส่งหลาน(๑) ของเจ้าแผ่นดินเมืองมากาซาซึ่งทิวงคตไปแล้วนั้น แลได้ส่งลูกของมองซิเออร์คอนซตันซ์ เอง ๒ คน ไปถวายต่อท่านดุ๊กเดอบูรกอยน์แลดุ๊กดังยู (๒) (duc d'Anjou)นั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเปนหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะต้องเขียนหนังสือกราบทูลพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสแลท่านดุ๊กเดอบูรกอยน์ให้ทรงทราบ หนังสือถวายทั้งสองฉบับนี้ ข้าพเจ้าได้ส่งมายังท่านพร้อมด้วยจดหมายฉบับนี้แล้ว แลหนังสือถวายนั้นหาได้ปิดผนึกไม่<br>
จดหมายมองเซนเยอร์ลาโน<br>
ถวายท่านดุ๊กเดอบูรกอยน์<br>
วันที่ ๓๐ เดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙)<br>
ด้วยท่านเสนาบดีของพระเจ้ากรุงสยามได้พยายามขอพระมหากรุณาต่อพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสผู้เปนพระเจ้าแผ่นดินอันใหญ่ยิ่งของพวกเรา แล
(๑) หลานของเจ้าแผ่นดินเมืองกามาซานี้ได้ส่งไปกับมองซิเออร์เอน
แยเวซ (N. Gervaise) มองซิเออร์แยเวซนี้ได้มายังเมืองไทยเมื่อยัง หนุ่มอยู่ ประสงค์จะมาเปนมิซชันนารี แต่เมื่อกลับไปยังประเทศฝรั่งเศสก็ยังหาได้เปนนักพรตไม่
(๒) ท่านดุ๊กดังยูนี้เปนพระนัดดาของพระเจ้าหลุยที่ ๑๔ ท่านดุ๊กเดอบูรกอยน์เปนลูกศิษย์ของเฟเนลอง (Fenelon) สิ้นพระชนม์เมื่อ ค.ศ. ๑๗๑๒ แล้วภายหลังท่านดุ๊กดังยูได้เปนเจ้าแผ่นดินเมืองสเปนทรงพะนามว่าฟีลิป ที่ ๕
๓๖<br>
ท่านเสนาบดีก็กล้าที่จะหวังว่าคงจะได้รับพระกรุณาดังความปราถนา เพราะ
พระเจ้ากรุงสยามก้ได้ทรงแนะนำฝากฝังมายังพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสแล้ว เพราะฉนั้นท่านเสนาบดีจึงจะนำบุตรหัวปีมาถวายไว้ต่อพระองค์ การที่ ท่านเสนาบดีได้ตกลงใจจะเอาบุตรซึ่งเปนสิ่งที่รักอย่างยิ่งของบิดาถวายไว้ต่อพระองค์นั้น ก็โดยเหตุที่พระองค์ถึงแม้ว่าจะยังทรงพระเยาว์อยู่ก็จริง แต่ก็มีพระอัธยาศัยอันดีซึ่งกระทำให้ปลื้มพระทัยของพระเจ้าแผ่นดินอัน ใหญ่ของพวกเรา แลกระทำให้เปนเกียรติยศของประเทศฝรั่งเศส ทั้งเปนสิ่งกระทำให้ทั่วโลกสรรเสริญชมเชยด้วย ท่านเสนาบดีหวังใจ ว่าพระองค์คงจะรับบุตรของท่านไว้เปนแน่ จึงได้ส่งของต่าง ๆ มาถวาย ตามประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาในเมืองนี้ เพื่อเปนการแสดงความอ่อน น้อมในตัวบิดาแลบุตรด้วย ท่านเสนาบดีต้องการให้บุตรได้รับความ เล่าเรียนให้รู้สึกตัวว่าเปนคนของพระองค์ แลให้อยู่ในปกครองบังคับ บัญชาของพระองค์ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด ๆ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์คงจะ ประทานอนุญาตให้ข้าพเจ้าช่วยขอร้องเพิ่มเติม ขอให้พระองค์ได้ทรง พระเมตตารับเด็กคนนี้ไว้อยู่ในความปกครองของพระองค์ต่อไป แล ข้าพเจ้ายังหวังใจต่อไปว่า พระองค์คงจะได้รับมรดกในการที่มีพระทัย เต็มไปด้วยการกุศลสำหรับแผ่การสาสนาให้ตลอดไปถึงชนสามัญ เพราะ ฉนั้นข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าพระองค์คงจะได้ทรงพระเมตตาแผ่การปกครองของพระองค์ให้มาถึงคณะพวกข้าพเจ้าด้วยข้าพเจ้าได้ขอร้องต่อพระเปนเจ้า เสมอขอให้พระองค์ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่งาม แลในที่สุดข้าพเจ้าขอแสดงตัวอ่อนน้อมต่อพระองค์ ฯลฯ
๓๗<br>
จดหมายมองเซนเยอร์ลาโน<br>
ถวายท่านดุ๊กดังยู (Duc d' Anjou)<br>
วันที่ ๓๐ เดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙)<br>
เมื่อพวกข้าพเจ้าได้ทราบข่าวอันน่าปลื้มใจตั้งแต่ปีก่อนนี้ ว่าพระองค์ได้ประสูติแล้วนั้น จึงได้มีความปีติยินดีอย่างยิ่ง แลโดยที่ถือใจ ว่าพวกข้าพเจ้าก็เปนข้าแผ่นดินอันสุจริตของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส จึง เห็นเปนหน้าที่ต้องขอบพระคุณพระเปนเจ้าที่ได้โปรดกรุณาต่อประเทศฝรั่งเศสเช่นนี้ ความยินดีอันนี้หายินดีแต่ฉเพาะพวกฝรั่งเศสไม่ แต่ บันดาชาวต่างประเทศทั่วไปก็มีความยินดีพร้อมกัน แลพระเจ้ากรุง สยามซึ่งทรงตั้งพระทัยดีต่อความสุขความเจริญของประเทศฝรั่งเศสแล พระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดินอันใหญ่ของเรานั้น ก็ได้ทรงแสดง ยินดีอย่างที่สุดเหมือนกัน เพราะฉนั้นท่านอัคมหาเสนาบดีของพระ เจ้ากรุงสยาม ซึ่งเปนคนถือสาสนาคริสเตียน มีความปราถนาที่จะ แสดงความยินดีอันนี้ด้วยตัวของตัวเอง จึงเชื่อว่าพระองค์คงจะไม่กริ้ว ในการที่ท่านอัคมหาเสนาบดีจะนำบุตรถวายไว้ต่อพระองค์ ทั้งได้ส่ง ของต่าง ๆ มาถวายตามประเพณีของเมืองนี้ สำหรับแสดงความอ่อน น้อมต่อพระองค์ด้วย แต่เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าได้เกี่ยวกับเด็กคนนี้โดย ที่เปนผู้ได้ให้น้ำมนต์นั้น ข้าพเจ้าจึงสามารถช่วยบิดากราบทูลขอร้อง ต่อพระองค์ ขอได้โปรดรับเด็กไว้ให้อยู่ในจำพวกข้าของพระองค์ด้วย แลข้าพเจ้าขอร้องต่อไป ขอให้พระองค์ได้ทรงพระเมตตาปกปักรักษา
๓๘<br>
ปกครองคณะบาดหลวงของพวกข้าพเจ้าด้วย พวกข้าพเจ้าทั้งหลายก็ หวังในความเจริญของพระองค์อยู่มิได้ขาด แลส่วนตัวข้าพเจ้าเองก็ขอ แสดงความนับถือแลอ่อนน้อมต่อพระองค์ ฯลฯ<br>
จดหมายมองเซนเยอร์ลาโน<br>
ถึงมองซิเออร์เดอเซเนเล<br>
วันที่ ๑ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙)<br>
ข้าพเจ้ามีความเสียใจมากที่จะบอกท่านยังไม่ได้ว่า พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงจัดการตามที่ได้ทรงสัญญาไว้สำหรับทำให้สาสนาคริสเตียนเจริญ การที่ได้ชักช้าดังนี้ก็คงจะมีทางที่จะอธิบายได้หลายอย่าง แต่ข้าพเจ้าจะบอกท่านได้ว่า ตั้งแต่ท่านราชทูตสยามได้ออกเรือไปแล้ว ก็ได้เกิดการขัดข้องขึ้นต่าง ๆ หลายอย่าง ซึ่งจะคิดอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคิดว่าเปนการที่พระเปนเจ้าได้บันดาลให้เปนไปเอง เพราะการที่ พระเปนเจ้าได้บันดาลการต่าง ๆ สำหรับให้เปนผลดีนั้น ยังเห็นไม่ได้ จนกว่าการนั้นได้ดำเนิรไปแล้ว จึงจะเห็นคุณความดีของพระเปนเจ้า ได้ ความจริงถ้าแม้ว่าพระเปนเจ้าได้ยอมให้การได้ดำเนิรไปตามที่ได้ คิดไว้แล้วนั้น ก็จะทำให้เสียการทั้งหมดไม่มีเวลาที่จะคืนดีได้เลย กล่าวคือเมื่อเดือนสิงหาคมที่ล่วงมาแล้ว เจ้าพนักงารได้รู้สึกว่ามีคนคิดประทุษฐ้ายต่อพระเจ้ากรุงสยาม แลการประทุษฐร้ายนี้จวนจะมีผลอยู่ แล้ว หากว่าพวกแขกมากาซาซึ่งเปนต้นคิดจะชักชวนคนไทยให้เปน พวกเดียวกันแต่ไทยไม่เข้าด้วยการนั้นจึงไม่สำเร็จ ถ้าพวกเหล่านี้ได้
๓๙<br>
อ้างเหตุว่าจะบำรุงสาสนาเก่าให้คงเจริญแล้ว ก็คงจะมีคนเข้ากับพวกนี้เปนอันมาก แลผลที่สุดก็คงจะโทษว่าพวกบาดหลวงเปนต้นเหตุ ที่ทำ ให้เกิดวุ่นวายขึ้นเช่นนี้ แต่มาบัดนี้การทั้งหลายก็ได้สงบเรียบร้อยลงรูป เดิมแล้ว ข้าพเจ้าจึงหวังใจว่าพระเปนเจ้าคงจะหาหนทางอย่างดีสำหรับที่จะแผ่บารมีของพระเปนเจ้าให้ใหญ่โตขึ้นอีก
พวกเจ้าพนักงารของบริษัทได้ขอให้ข้าพเจ้าชี้แจงให้ท่านทราบ ว่าเปนการจำเปนแลสำคัญที่จะต้องมีห้างในแถบเหล่านี้ในที่บางแห่งซึ่งจะ ทำการเปนอิศรโดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้านายในเมืองนี้ได้ แลเมื่อ จะจัดการอย่างนี้ได้ก็อย่าให้เปนการเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดจึงจะดี จริง อยู่เมื่อปีกลายนี้พระเจ้ากรุงสยามก็ได้ทรงรับรองว่าจะพระราชทานเกาะ สงขลา (Songor) ให้ ซึ่งเปนไชยภูมิดีมาก แต่เมืองสงขลานี้ยัง หามีการค้าขายอย่างใดไม่ จึงไปคิดตั้งในที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งเปนที่ไม่มี ผู้คนอยู่เลย แต่เปนที่อยู่ท่ามกลางของมหาสมุทร์ทั้งหลาย คืออยู่ ที่ช่องมาลากาแลซอนด์ (Sonde) แต่อยู่ด้านข้างนี้ ช่องนี้เรือจำเปน ต้องเดิรผ่านทั้งไปแลมา
เกาะเหล่านี้ชื่อปูโลคอนดอ ถ้าบริษัทได้มาตั้งอยู่ที่เกาะนี้แล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราคงจะได้เปนเจ้าแห่งการค้าขายเปนแน่นอน แต่การที่จะคิดตั้งบริษัทในเกาะเหล่านี้ถ้าแม้ว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสไม่ทรงเห็นชอบด้วยแล้ว ก็คงจะไม่เปนการสำเร็จไปได้ เพราะฉนั้นเจ้าพนักงาร ของบริษัทจึงอ้อนวอนว่า ขอให้ท่านช่วยจัดการให้เรื่องนี้ได้เปนการสำเร็จ
๔๐<br>
ด้วย ส่วนตัวข้าพเจ้าก็เต็มใจที่จะช่วยเจ้าพนักงารเหล่านี้อ้อนวอนท่าน เหมือนกันเพราะเหตุว่าเกาะเหล่านี้เกือบจะอยู่ท่ามกลางของคณะบาด หลวงทั่วไป จึงเปนที่สำคัญสำหรับแผ่แลบำรุงสาสนาตามประเทศต่างๆที่สาสนาได้ตั้งตัวอยู่บ้างแล้ว แลในเมืองใดที่ยังไม่เคยได้มีการสอน สาสนาเลย หรือเมืองใดที่พวกฮอลันดาได้ทำลายสาสนาเสียแล้ว ก็ จะได้แผ่ออกจากเกาะเหล่านี้ได้ง่าย การที่ข้าพเจ้าได้แนะนำมาดังนี้ไม่ ใช่สำหรับประโยชน์ของสาสนาอย่างเดียวหามิได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าจะ เปนประโยชน์ต่อการค้าขายของประเทศฝรั่งเศสมาก จึงได้กล้าชี้แจง มาดังนี้
มองซิเออร์ฟอลคอนเวลานี้ กำลังคิดหาหนทางที่จะได้รับความ ปกครองของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส จึงเชื่อว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสคงจะไม่ กริ้วในการที่มองซิเออร์ฟอลคอนกล้าเอาบุตรสองคนถวายไว้ต่อดุ๊กเดอบูรกอยน์แลท่านดุ๊กดังยู เพื่อแสดงความนับถือแลความอ่อนน้อม มอง ซิเออร์ฟอลคอนได้กราบทูลพระเจ้ากรุงสยามด้วยว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสคงจะพอพระทัยในการที่จะถวายบุตรสองคนของเจ้าเมืองมากาซา เพราะเมืองนี้ได้ตกเปนของฮอลันดามาหลายปีแล้ว พระเจ้ากรุงสยาม ซึ่งทรงนับถือพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสมาก ทั้งตั้งพระทัยอยู่เสมอที่จะให้ ความเจริญแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ จึงได้มีรับสั่งให้มองซิเออร์ ฟอลคอนส่งบุตรของเจ้าเมืองมากาซาไปกับเรือของบริษัท มองซิเออร์ ฟอลคอนคนนี้ได้มีบุญคุณแก่คณะบาดหลวงมาก เพราะฉนั้นข้าพเจ้า
๔๑<br>
จึงขอให้ท่านโปรดช่วยอุดหนุนให้ความประสงค์อันนี้ได้สำเร็จไป จริง อยู่ได้เกิดเรื่องขึ้นในระหว่างมองซิเออร์ฟอลคอนกับพวกฝรั่งเศสซึ่งอยู่ที่นี่ แต่เรื่องนั้นก็เกิดจากความพลั้งเผลอ ซึ่งข้าพเจ้าได้พยายามที่สุดที่จะให้เลิกแล้วต่อกัน เพราะเกรงว่าต่อไปจะกระทำให้เปนผลร้ายเกิดขึ้น มาบัดนี้การก็เปนที่เรียบร้อยหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงหวังใจว่า เหตุที่ เกิดขึ้นนั้นก็จะเปนหนทางสำหรับการดีในภายหน้า ผู้ที่คิดจะไปจากเมืองไทยก็มีมองซิเออร์ฟอแบง (๑) (Forbin) คนเดียวเท่านั้น ในระหว่างที่มองซิเออร์ฟอแบงอยู่ในเมืองไทยนั้น ก็ได้ประพฤติตัวเปนคนดีรักชื่อเสียงอยู่เสมอ แต่การที่พระเจ้ากรุงสยามโปรดปรานมองซิเออร์ฟอแบง นั้นจึงจำเปนต้องมีคนริษยาอยู่เอง เพราะฉนั้นมองซิเออร์ฟอแบงไม่พอใจ จึงจำเปนต้องคิดกลับไปยังเมืองฝรั่งเศส การที่มองซิเออร์ฟอแบงจะกลับไปนั้น กระทำให้ข้าพเจ้าเสียใจเปนอันมาก แต่ก็หมดหนทางที่ ข้าพเจ้าจะแก้ไขอย่างใดได้ เพราะการทั้งหลายได้เปนการตกลงก่อน ที่ข้าพเจ้าได้ทราบเรื่อง<br>
----<br>
"(๑) มองซิเออร์ฟอแบงคนนี้ได้อยู่ในเมืองไทย โดยสมเด็จพระนารายณ์มีรับสั่งแลมองซิเออร์ฟอลคอนขอร้องให้อยู่ มองซิเออร์ฟอลคอนได้ทำจดหมายเหตุในการที่เขาได้อยู่ในเมืองไทยแล้ว"<br>
๖
๔๒<br>
ในจดหมายฉบับหนึ่งที่มองเซนเยอร์ลาโนมีไปถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศนั้น มองเซนเยอร์ลาโนได้กล่าวถึงมองซิเออร์ฟอแบงว่า ดังนี้
"ข้าพเจ้าอดกลั้นไว้ไม่ได้ที่จะต้องแสดงความขัดเคืองในการที่ เชอวาเลียเดอฟอแบงจะออกจากเมืองไทย เพราะพวกข้าพเจ้าได้หวัง ในท่านผู้นี้สำหรับทำให้การของคณะบาดหลวงเจริญขึ้น การที่พวก เราเชื่อกันว่าท่านผู้นี้จะตั้งใจทำการแลจะมีความรักใคร่ต่อผู้ที่เขาทำการ ให้นั้นก็เปนการถูก เพราะเขาได้ทำการให้เห็นว่า ถ้ามีโอกาศขึ้นเมื่อใด ก็ได้พยายามทำให้การนั้น ๆ ลุล่วงไป การที่มองซิเออร์ฟอแบงตั้งใจ ดีเช่นนี้ ทั้งการที่พระเจ้ากรุงสยามทรงโปรดปราน ประกอบกับหน้าที่ ราชการที่มองซิเออร์ฟอแบงได้ทำอยู่นั้น จึงกระทำให้พวกเราหวังใจ ยิ่งขึ้นไปอีกว่า การสาสนาคงจะเจริญมากขึ้นกว่าเก่า เพราะมองซิเออร์ ฟอแบงก็ได้เรียกให้มองซิเออร์มานูเอลลงมาที่บางกอก เพื่อมาสอน คนที่ขึ้นอยู่ในงบมองซิเออร์ฟอแบงซึ่งเปนคนจำนวนมากอยู่ แต่บังเอิญ เปนการเคราะห์ร้ายได้เกิดเรื่องขึ้นต่าง ๆ ซึ่งทำให้มองซิเออร์ฟอแบง เบื่อหน่ายที่สุดจนถึงกับต้องการรีบออกจากเมืองไทยเสียโดยเร็วที่สุดที่จะ ไปได้ เพราะฉนั้นเมื่อเขาไปถึงกรุงปารีสแล้ว ขอท่านได้โปรดแสดง ความกตัญญูของพวกข้าพเจ้าให้เขาทราบ เพราะความดีที่เขาได้ทำไว้ นั้นไม่ใช่แต่ฉเพาะตามโอกาศที่มี เขายังได้เที่ยวหาโอกาศแลหาทาง ทำการดีเหล่านี้ด้วย จึงเปนการจำเปนที่พวกเราจะต้องหาโอกาศแสดง ให้มองซิเออร์ฟอแบงเห็น ว่าพวกเราหาได้เปนคนอกตัญญูไม่<br>
๔๓<br>
เมื่อปีกลายนี้ พวกฮอลันดาได้มาข่มขู่พระเจ้ากรุงสยาม แต่ครั้น พวกฮอลันดากลับมาในปีนี้ หาได้แสดงการเย่อหยิ่งอย่างใดไม่ กลับแสดงความนับถือแลอ่อนน้อมต่อพระเจ้ากรุงสยาม การที่เปนดังนี้ก็ พอจะคาดคเนได้ง่ายว่า ที่พวกฮอลันดาประพฤติกลับตัวได้โดยรวดเร็วเช่นนี้ ก็ด้วยความเกรงแลระวังจะไม่ให้ขัดพระทัยพระเจ้ากรุงสยาม เพราะเหตุที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ยกย่องจนถึงกับแต่งราชทูตมาเจริญ ทางพระราชไมตรีนั้นเอง พวกฮอลันดาเหล่านี้ได้มาบอกข่าวว่า ท่าน ราชทูตได้ออกจากเคปออฟกูดโฮปเมื่อเดือนเมษายนพร้อมด้วยเรือสองลำ แลบอกว่าเรือชาติปอตุเกศซึ่งพาราชทูตสยามไปยังเมืองปอตุเกศนั้น ได้แตกที่เคปออฟกูตโฮปเสียแล้ว ได้มีคนมาบอกกับข้าพเจ้าว่า พระเจ้ากรุงสยามคงจะมีพระทัยยินดีในข่าวที่ว่าเรือราชทูตที่จะไปเมืองปอตุเกศได้แตกเสียแล้วนั้น เท่ากับทรงยินดีที่ได้ทรงทราบว่าราชทูตที่จะไปยังเมืองฝรั่งเศสได้ไปโดยสวัสดิภาพ ดุจทรงเสียพระทัยที่ได้คิดอ่าน ทำพระราชไมตรีกับประเทศอื่น ๆ เพราะถ้าได้เปนพระราชไมตรีกับ ประเทศฝรั่งเศสประเทศเดียวก็พออยู่แล้ว
ข้าพเจ้าขอให้ท่านโปรดปกครองคณะบาดหลวงต่อไป แลพวก ข้าพเจ้าก็จะไม่เว้นในการที่จะให้พรขอให้ท่านแลครอบครัวได้มีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
๔๔<br>
จดหมายมองซิเออร์ฟอลคอน<br>
ถึงมองซิเออร์เดอบรีซาเซีย<br>
ค.ศ. ๑๖๘๘ (พ.ศ. ๒๒๓๓)<br>
ข้าพเจ้ามีความยินดีมาก ที่ได้ทราบว่าการบางอย่างที่ข้าพเจ้าได้ทำเพื่ออุดหนุนสาสนาของพระเปนเจ้าของเราในเมืองนี้แลในแห่งอื่นๆ ได้เปนการที่ตัวท่านแลบาดหลวงอื่น ๆ ได้เห็นชอบด้วย ข้าพเจ้าไม่ทราบ ว่าจะเปนเคราะห์กรรมอย่างใด ในเวลาที่ข้าพเจ้าตั้งใจพยายามจะอุดหนุนการสาสนา แลไม่เอาใจใส่ในการที่บาดหลวงบางคนได้คิดร้ายต่อข้าพเจ้านั้น คำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปฉันเพื่อนมิตรกันซึ่งล้วนแต่เปนสิ่งที่ประสงค์ จะให้ได้ประโยชน์แก่พวกบาดหลวงแลให้เปนเกียรติยศต่อพระเปนเจ้านั้น พวกบาดหลวงหาได้เชื่อถือย่างใดไม่ แม้ที่สุดพระราชโองการของ พระเจ้าแผ่นดินนายของข้าพเจ้า พวกบาดหลวงก็หาเชื่อฟังไม่ แลสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เปนเรื่องที่ข้าพเจ้าจะอธิบายไม่ได้ เพราะเปนเรื่องที่จะต้อง ทำให้ขัดใจกัน ขอพระเปนเจ้าได้ยกโทษคนเหล่านี้ แลได้ยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด เพราะเวลาไหนจะไม่ต้องการให้พระเปนเจ้าโปรดเท่ากับในเวลานี้
การที่ท่านแลเจ้าพนักงารทั้งหลายได้เอื้อเฟื้อต่อราชทูตของพระเจ้ากรุงสยามผู้เปนนายข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ามีความขอบใจท่านเปนอันมาก ข้าพเจ้าได้นำความกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว แลเชื่อว่ามองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศคงจะรายงารให้ท่านทราบว่าพระเจ้ากรุงสยามทรงปีติยินดี<br>
๔๕<br>
แลทรงขอบใจท่านเปนอันมาก ส่วนการที่ท่านได้จัดไปสำหรับคนไทย หนุ่มนั้น ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยทุกอย่าง เมื่อท่านได้ใช้จ่ายสิ้นไปเท่าไร จะได้ใช้เงินให้แก่ท่านตามที่ท่านได้ทดรองไป ถ้าพวกไทยหนุ่มเหล่านั้น ได้รู้วิชาช่างกล แลวิชาที่จะให้วิญญาณได้รอดพ้นทุกข์ได้นั้น จะเปน การที่ข้าพเจ้าจะพอใจอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าขอบใจท่านมาก ที่ท่านรับรองจะช่วยเหลือข้าพเจ้า ฝ่ายข้าพเจ้าก็จะตอบแทนท่านในเวลาที่มีโอกาศอันดีแลเมื่อท่านจะต้องการให้ช่วยเมื่อใด ข้าพเจ้ารับรองว่าจะได้ช่วยท่าน ทุกประการ<br>
ว่าด้วยพวกแขกมากาซาเปนขบถ<br>
จดหมายเหตุของคณะบาดหลวง<br>
ได้มีผู้คบคิดกันทำการร้ายซึ่งอาจจะเปนผลอย่างร้ายกาจได้ แต่บังเอิญเคราะห์ดีที่ได้ทราบทันท่วงที การที่มีผู้คบคิดกันทำร้ายนั้น มีข้อ ความตามที่ได้ทราบมาว่าดังนี้
เมื่อประมาณ ๘ เดือนที่ล่วงมาแล้วมีแขกมากาซาคนหนึ่ง เปน หัวหน้าที่ ๒ ของพวกนี้ ได้คิดการขบถประทุษฐร้ายต่อพระเจ้ากรุงสยามในชั้นแรกเขาได้แสร้งอ้างว่าได้เห็นสิ่งสำคัญอย่างวิปลาศบนท้องฟ้า คือ ได้เห็นดาว ๗ ดวงเรียงกันเปนรูปพระจันทร์ครึ่งซีก แลมีดาวอยู่กลางนั้นอีกดวงหนึ่ง แล้วเขาได้พูดว่า " ตั้งแต่เกิดมาก็ได้เคยเห็นดาวอย่างนี้
๔๖<br>
แต่สามครั้งเท่านั้น ในคราวก่อนสองคราวที่เห็นนั้น ก็ได้เกิดขบถอย่าง ร้ายแรงทั้งสองครั้ง คราวนี้จะเปนลางอย่างใดเล่าจะไม่เปนลางว่าจะเกิดอันตรายแก่สาสนามะหะหมัดที่เรานับถืออยู่หรือ หรือจะเปนลางดีว่าผู้ที่นับถือสาสนามะหะหมัดจะได้รับความสุขต่อไปประการใดกระมัง แต่ถ้าหากว่าการร้ายจะเกิดขึ้นต่อสาสนาของเรา เราจะไม่เอาโลหิตแลชีวิตเข้าช่วยป้องกันหรือ" การที่ผู้ต้นคิดคนนี้ได้กล่าววาจาเช่นนี้ก็เพื่อจะทาบทามหาพรรคพวก แลเมื่อได้พูดจาเกลี้ยกล่อมจนพวกแขกทั้งหลายยอมเปนพรรคพวกด้วยแล้วจึงได้นัดกันจะเปนขบถต่อพระเจ้ากรุงสยามฝ่ายหัวหน้า (ภาษาฝรั่งเศสใช้คำว่าเจ้า "Prince") ของพวกแขกก็ได้ยอมเข้าเปนพรรคพวกด้วย จึงได้นัดแนะกันว่าจะได้จู่เข้าไปยังพระ ราชวัง แล้วให้เก็บพระราชทรัพย์ในท้องพระคลังให้หมด ปล่อยนักโทษซึ่งมีจำนวนมากแลซึ่งเปนคนกล้าทำการร้ายแรงได้ทุกอย่าง ให้สำเร็จโทษพระเจ้ากรุงสยามเสีย แล้วจึงยกพระอนุชาขึ้นให้ครองราชสมบัติ ต่อไป แต่ต้องบังคับพระเจ้าแผ่นดินใหม่ให้ถือสาสนามหะหมัด ถ้า ผู้ใดไม่ยอมถือสาสนามหะหมัดก็ให้ฆ่าเสียให้สิ้น การที่คิดตกลงกัน ดังนี้นั้นก็ได้เตรียมการไว้พร้อมทุกอย่างแล้ว ยังรอแต่จะหาเวลาที่เหมาะเท่านั้น ครั้นถึงวันกำหนดที่จะทำการจลาจลขึ้นนั้น ยังรอเวลาอยู่อีกสองหรือสามชั่วโมงเท่านั้น มีขุนนางคนหนึ่งซึ่งอยู่ในคณะแขก จะคิดลอายที่ตัวประทุษฐร้ายเช่นนี้ หรือจะกลัวว่าการจะไม่สำเร็จอย่างไร ก็ไม่ทราบ ขุนนางคนนี้จึงได้นำความไปแจ้งต่อท่านผู้ว่าราชการเมือง ๆ
๔๗<br>
รีบรวบรวมทหารได้อย่างเร็วน่าประหลาทใจ แลได้ให้ทหารจุกช่องล้อม รอบพระราชวังแลให้ทหารจุกช่องอยู่ตามแห่งสำคัญ ๆ ในเมืองด้วยฝ่าย พระเจ้ากรุงสยามประทับอยู่ที่พระราชวังเมืองละโว้ พอได้ทรงทราบว่า มีผู้คิดประทุษฐร้ายต่อพระองค์เช่นนี้ ก็ได้ทรงระดมทหารมีจำนวนมาก มาจุกช่องล้อมวงพิทักษ์รักษาพระราชวังทั้งกลางวันกลางคืน ภายหลังสักสามสี่วันมองซิเออร์คอนซตันซ์ก็กลับลงมาจากเมืองละโว้ ได้มีเสียงโจษกันว่าจะจับหัวหน้าของพวกแขก หัวหน้าจึงได้พูดอย่างองอาจว่า จะยอมตายดีกว่าที่จะให้เขาจับตัวได้ แลถ้าเจ้าพนักงารจะใช้กำลังมา จับ หัวหน้าแขกก็จะต่อสู้อย่างสามารถ มองซิเออร์คอนซตันซ์จึงให้คน ไปเรียกตัวมาหา แลรับรองว่าจะไม่ทำโทษอย่างใด เมื่อหัวหน้าแขก ได้ฟังคำรับรองเช่นนี้ จึงได้ให้คนมัดมือของตัวแลให้เอาเชือกมัดคอ ตัวไว้เดิรไปหามองซิเออร์คอนซตันซ์ ทั้งเชือกยังมัดมือแลคอไว้ มอง ซิเออร์คอนซตันซ์ได้รับรองอีกครั้งหนึ่งว่าจะไม่ทำโทษอย่างใดแต่จะต้องบอกความจริงให้จึงจะได้ เจ้าพนักงารจึงได้แก้เชือกมัดออกเล้วพา ขึ้นไปยังเมืองละโว้ การที่มองซิเออร์คอนซตันซ์ได้รับปากว่า จะไม่ทำ โทษอย่างใดนั้นก็เปนการจริง หาได้ลงโทษหัวหน้าแขกอย่างใดไม่ แล หัวหน้าแขกก็ได้ให้การสารภาพ ดังได้อธิบายมาข้างต้นนี้แล้ว
ในเวลาที่หัวหน้าแขกคนนี้ได้ขึ้นไปยังเมืองละโว้นั้นยังมีหัวหน้า แขกอีกคนหนึ่ง ซึ่งเจ้าพนักงารจะต้องการตัวให้ขึ้นไปยังเมืองละโว้ เหมือนกัน แต่หัวหน้าคนนี้ไม่ยอมไป แลบอกว่าถ้าไม่เปนการติดขัด
๔๘<br>
แล้วเขาจะยอมออกไปพ้นพระราชอาณาเขตเสีย มองซิเออร์คอนซตันซ์ ได้อนุญาตให้แขกคนนี้ลงเรือไปพร้อมกับแขกอื่น ๆ อีกประมาณ ๕๐คน แต่ได้มีคำสั่งไปถึงมองซิเออร์เดอฟอแบงให้เอาโซ่ขึงขวางแม่น้ำที่บางกอกเสีย ถ้าพวกแขกเหล่านี้จะขอให้แก้โซ่แล้ว ให้มองซิเออร์เดอฟอแบง จับพวกแขกเหล่านิให้หมด มองซิเออร์เดอฟอแบงได้ทราบคำสั่งแล้ว จึงได้เตรียมคนไว้พร้อม ครั้นหัวหน้าแขกกับแขกอื่น ๆ อีก ๘ คนได้มา ถึงป้อมพบกับมองซิเออร์ฟอแบง ๆ ก็ได้พูดจาด้วยโดยดีก่อน แต่พอ มองซิเออร์ฟอแบงสั่งให้พวกแขกส่งกฤชให้ พวกแขกก็ชักกฤชออก จะต่อสู้ โดยไม่ต้องนึกถึงจำนวนทหารที่ล้อมอยู่เปนอันมาก แล้วพวก แขกเอากฤชแทงคนวิ่งแหกที่ล้อมออกไปได้ แล้วจึงขึ้นไปบนเชิงเทิน ป้อมกระโดดลงไปข้างล่าง ในคราวนี้พวกแขกได้แทงคนตายเสีย ๔ หรือ ๕ คน ฝ่ายพวกทหารที่รักษาหน้าที่อยู่นอกป้อมก็ได้วิ่งกรูเข้ามา ตีพวกแขกที่กระโดดลงมาจากป้อม ฝ่ายแขกพรรคพวกซึ่งคอยอยู่ ข้างนอกก็เข้ากลุ้มรุมตีแทงพลทหารซึ่งมองซิเออร์ฟอแบงได้จัดไว้รอบป้อมทุกด้าน พวกแขกได้ฆ่าพลทหารตาย ๒๐ คน แลทหารอื่น ๆ ถึง จะมีจำนวนมากกว่าแขกก็จริงอยู่แต่ก็วิ่งหนีหมดโดยไม่ต้องฟังเสียงมอง ซิเออร์ฟอแบงอย่างใด พวกแขกพบใครก็ฆ่าหมดทั้งเด็กแลผู้หญิง ใครกีดหน้าขวางตาพวกแขกฆ่าเสียหมดสิ้น แล้วพวกแขกจึงได้หนี เข้าป่าไป มองซิเออร์เดอฟอแบงจึงได้ออกติดตามเที่ยวค้นหาในป่าสักสามสี่วันก็ฆ่าพวกแขกตายหมด
๔๙<br>
แต่หัวหน้าของพวกแขกยังอยู่เพราะฉนั้นการวุ่นวายในพวกแขกยังหาสงบทีเดียวไม่ แลเจ้าพนักงารเกรงกันว่าพวกแขกจะทำการจลาจลต่อไปอีก เพราะฉนั้นมองซิเออร์คอนซตันซ์กับมองซิเออร์เดอลามาร์ จึงได้จัดให้ทหารไทยล้อมค่ายแขกไว้ มองซิเออร์คอช (Coche) ชาติ อังกฤษได้เอาลูกแตกขว้างเข้าไปในค่าย แต่พวกแขกได้กรูออกมา ฆ่ามองซิเออร์คอชตาย มองซิเออร์คอนซตันซ์จึงสั่งให้ทหารยิง แต่ ขุนนางไทยคนหนึ่ง หาได้นำทหารมารักษาหน้าที่แห่ง ๑ ให้มั่นไว้ตาม คำสั่งไม่ พวกแขกมากาซาจึงได้ฆ่าขุนนางผู้นั้นกับบ่าวตายอีก ๗ คน แล้วพวกแขกก็ได้หนีไปทางช่องนี้ ซึ่งไม่มีทหารรักษา จึงข้ามแม่น้ำไป อาศรัยอยู่กับแขกมลายูอีกพวกหนึ่ง มองซิเออร์คอนซตันซ์จึงได้ลงเรือ พร้อมกับชาวอังกฤษแลชาวฝรั่งเศสบางคน ซึ่งทำราชการของพระเจ้า กรุงสยาม เพื่อไปตรวจค่ายแขกมลายูพวกนี้ ในขณะนี้กัปตันผู้เปน หัวหน้าพวกฝรั่งเศสได้ยินเสียงปืนก็รีบลงเรือพร้อมกับชาวฝรั่งเศสที่อยู่ บนบกบ้างอยู่บนเรือใหญ่ชื่อ เซนต์หลุย บ้าง ไปตามลำน้ำจนพบกับ มองซิเออร์คอนซตันซ์ ครั้นเห็นมองซิเออร์คอนซตันซ์ขึ้นไปอยู่บนบก แล้ว พวกฝรั่งเศสจึงได้ขึ้นจากเรือไปสมทบกับมองซิเออร์คอนซตันซ์ เวลานั้นพวกแขกประมาณ ๓๐ คน ได้ยกพวกมาจะเข้าล้อมพวกมอง ซิเออร์คอนซตันซ์ บางพวกมาทางข้างหน้าบางพวกมาทางด้านข้าง ครั้นพวกฝรั่งเศสเห็นพวกแขกจะล้อมทุกด้านแล้ว จึงพยายามจะถอย<br>
๗<br>
๕๐<br>
กลับลงเรือ ยังมีฝรั่งเศสอยู่สองคนไม่ยอมถอยจึงต่อสู้แลฆ่าพวกแขก ตายหลายคน พวกแขกจึงรุมเอาหอกแลกฤชแทงฝรั่งเศสนั้นตายทั้ง สองคน ฝรั่งเศสอีกสองคนคิดจะหนีลงเรือ แต่กลับจมน้ำตายเสีย หาทันขึ้นเรือได้ไม่ ในครั้งนั้นมีชาวอังกฤษตายสองคนเหมือนกัน ฝ่าย กัปตันหัวหน้าพวกฝรั่งเศสอยู่ในระหว่างที่ขนาบ ๒ ข้าง มีแขกคนหนึ่ง เงื้อหอกจะแทงอยู่แล้ว เผอิญมองซิเออร์เดอโบมองกัปตันเรือเซนต์หลุย ได้อาปืนยิงแขกคนนี้ตาย แล้วได้ยื่นกันเชียงส่งให้กัปตันหัวหน้า ฝรั่งเศสจับ ท่านผู้นี้จึงได้รอดตายไป แล้วเจ้าพนักงารจึงได้นำทหารไทย มาเปนอันมาก ให้ทหารล้อมไว้ แต่พวกแขกได้หนีเข้าไปอยู่ในวัดที่ใกล้ เคียง ทหารไทยได้ตามเข้าไปจับจนที่สุดก็จับตัวได้แล้วฆ่าเสียหมดสิ้น
ถ้าจะว่าไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าในโลกนี้จะหามนุษย์ชาติใดที่จะกล้าหาญเท่ากับพวกแขกมากาซาได้หรือไม่ เพราะเมื่อพวกนี้ได้ สูบฝิ่นเข้าไปแล้ว แลเมื่อถึงเวลา ลามอก ซึ่งเปนคำแขกเแปลว่าต้อง ทำการอย่างสิ้นคิดแล้ว พวกแขกเหล่านี้ไม่มีกลัวอะไรจนอย่างเดียว ถึงพวกศัตรูข้าศึกจะมากมายสักเท่าไร หรือพวกของตัวเองจะล้มตาย ไปแล้วสักเท่าใด ก็หาทำให้พวกนี้ย่อท้อไม่ ถึงจะถูกบาดเจ็บจนเลือด โทรมตัวก็ดี พวกนี้ก็ยังต่อสู้อยู่เสมอจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ แลพวกนี้ เปนคนว่องไว กระโดดไปแทงคนได้แต่ไกล ๆ ถ้าได้ฆ่าคนสำเร็จแล้ว พวกนี้ก็ยอมตายด้วยสบายใจ แต่ขอให้ได้ฆ่าคนไว้เปนแล้วกัน หน้าตา พวกนี้น่ากลัวมาก บางทีถูกแทงในที่สำคัญจนล้มลงแล้วก็ยังอุส่าห์<br>
๕๑<br>
ลุกขึ้นไปเทียวฆ่าคนอีกตามกำลังที่ยังมีอยู่ พวกแขกนี้ใช้กฤชเปน อาวุธแลกฤชนี้เปนของรักของเขา จนถึงกับสาบาลตัวว่าจะไม่ยอมจาก กับกฤชเลยเปนอันขาด แลยังใช้อาวุธอย่างอื่นเช่นหอกแลหอกซัด ซึ่งพวกนี้ซัดโยนอย่างแม่นแลแรงมาก แลยังมีอาวุธอีกชนิดหนึ่ง คือ รูปเหมือนเข็มเล็กซึ่งใช้เป่าด้วยไม้ซาง แต่ปลายเข็มนี้มักทาพิษอย่าง ร้ายกาจซึ่งเกือบจะหายาแก้ไม่ได้ เมื่อพวกนี้ยังเปนเด็กอยู่ก็ตีกันต่อย กันอย่างร้ายแรงซึ่งเหลือจะเชื่อว่าเด็กอายุเพียงเท่านั้นจะมีใจร้ายได้ถึง เพียงนั้น คราวหนึ่งบ้านกำลังไฟไหม้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องอยู่ในบ้าน แต่ก็หามีผู้ใดไปช่วยไม่ แลคราวหนึ่งได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งตามแขกคน หนึ่งซึ่งกำลังจะหนีไปแขกคนนั้นก็ได้หันมาเอากฤชแทงผู้หญิงตายคาที่ มีเสียงพูดกันว่า แขกพวกนี้มีอาคมจนปืนยิงไม่ถูก แต่ในการจลาจล คราวนี้ไม่เห็นว่าอาคมนี้จะเปนประโยชน์อย่างใด
๕๒<br>
เรื่องมองเซนเยอร์ลาโน (ต่อ) ค.ศ. ๑๖๗๙-๑๖๙๖ (พ.ศ. ๒๒๒๒-๒๒๓๙)<br>
เรื่องการแต่งทูต แล เรื่องการขบถ ค.ศ. ๑๖๘๗-๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๐-๒๒๓๒)<br>
เรื่องราชทูตฝรั่งเศสมาเจริญทางพระราชไมตรียังกรุงสยามอีกครั้งหนึ่ง<br>
สำเนาพระราชสาส์นพระเจ้าหลุยที่ ๑๔<br>
ถวายพระเจ้ากรุงสยาม<br>
ทูลพระองค์ผู้สูงสุด ผู้มีอำนาจอันใหญ่ยิ่ง ผู้เปนเจ้าที่ทรงอานุภาพมาก พระสหายที่รักของหม่อมฉัน<br>
ขอให้พระเปนเจ้าได้เพิ่มอภินิหารของพระองค์ให้ยิ่งขึ้นไปจนถึงที่สุด<br>
การที่ราชทูตของพระองค์ได้มาถึงราชสำนักของหม่อมฉันนั้น กระทำให้หม่อมฉันชื่นชมยินดีมาก เพราะเปนพยานอันแท้จริงว่า <br>
การที่ ทรงแต่งทูตอันมีชื่อเสียงเช่นนี้มา ก็เพราะพระองค์มีพระราชประสงค์ อันจริง ที่จะเปนไมตรีกับหม่อมฉันให้สนิธสนม <br>
แลมีพระราชประสงค์ ให้การในระหว่างพระองค์แลหม่อมฉันทั้งสองได้ติดต่อกันอยู่เสมอ <br>
แล การที่พระองค์ได้ทรงคัดเลือกข้าราชการที่มีอัธยาศัยอันดี สำหรับ เปนทูตแทนพระองค์มาในคราวนี้นั้น <br>
กระทำให้หม่อมฉันได้เพิ่มความ นับถือในพระปรีชาญาณของพระองค์มากขึ้นอีก <br>
หม่อมฉันจำเปนจะต้องทูลให้ทรงทราบ ว่าราชทูตของพระองค์ได้มาทำการตามหน้าที่อย่าง เรียบร้อยเปนที่พอใจของหม่อมฉันทุกประการ <br>
แลราชทูตก็ได้แสดง -<br>
๕๓<br>
- ให้เห็นโดยแจ่มแจ้ง ว่าพระองค์ทรงรักใคร่ในตัวหม่อมฉันจริง จึงกระทำให้หม่อมฉันวางใจในการทั้งปวง ซึ่งจะเกี่ยวด้วยแผ่นดินของพระองค์แลหม่อมฉันทั้งสองต่อไป <br>
ด้วยความประสงค์จะให้ไมตรีอันนี้ได้สนิธแน่นหนาขึ้น <br>
ทั้งจะแสดงให้พระองค์เห็นในความรักใคร่แลนับถือของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงได้เลือกจัดให้มองซิเออร์เดอลาลูแบร์แลมองซิเออร์ เซเบเรต์ ได้เปนเอกอัครราชทูตมาเฝ้าพระองค์<br>
เพื่อทูลให้ทรงทราบ ว่าหม่อมฉันหวังดีต่อความสุขแลเจริญของพระองค์เพียงไร <br>
แลเมื่อ พระองค์ทรงเห็นว่าควรจะจัดการอย่างใดสำหรับประโยชน์ของแผ่นดินแล้ว ก็ให้เอกอัครราชทูตได้จัดการในนามของหม่อมฉันได้ <br>
แลให้ราชทูต นำความมาบอกหม่อมฉันว่าพระองค์จะต้องประสงค์สิ่งใดจากหม่อมฉัน เพื่อป้องกันมิให้เหล่าศัตรูได้คิดร้ายต่อแผ่นดินของพระองค์ได้ <br>
หม่อมฉันเชื่อแน่ว่าเมื่อเอกอัครราชทูตของหม่อมฉันได้นำความกราบทูลอย่างใด ๆ พระองค์ก็คงจะทรงเชื่อทุกอย่าง<br>
เพราะฉนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะทูลพระองค์ในที่นี้ นอกจากทูลให้ทรงทราบว่าของต่าง ๆ ที่พระองค์ได้โปรดให้ราชทูตนำมาให้หม่อมฉันนั้น เปนของที่หม่อมฉันพอใจทั้งสิ้น <br>
แลหม่อมฉัน ได้รับไว้เพื่อให้เปนพยานปรากฎว่า พระองค์ได้ตั้งพระทัยที่จะเปนไมตรีติดต่อกับหม่อมฉันจริง <br>
แลฝ่ายหม่อมฉันก็ขอให้พระองค์ได้โปรดกรุณา รับของต่าง ๆ ที่หม่อมฉันได้ฝากมองซิเออร์เดอลาลูแบแลมองซิเออร์ เซเบเรต์ไปถวาย<br>
เพื่อเปนเครื่องหมายแห่งความรักใคร่แลนับถือที่หม่อมฉันได้มีต่อพระองค์โดยแท้จริง <br>
หม่อมฉันยังรู้สึกอยู่ว่าจะต้องแสดงความพอใจ ในการที่พระองค์ได้มีรับสั่งมากับราชทูตแลบาดหลวงเดอลาเชซ -<br>
๕๔<br>
- ผู้ล้างบาป (confessor) ของหม่อมฉัน ว่าพระองค์จะต้องพระราชประสงค์บาดหลวงคณะเยซวิตฝรั่งเศส ๑๒ คน ซึ่งเปนคนมีความรู้ในวิชาเลข <br>
เพื่อให้บาดหลวงเหล่านี้ไปอยู่ในราชธานีของพระองค์ทั้งสองคือ กรุงศรีอยุธยาแลกรุงละโว้ <br>
บาดหลวง ๑๒ รูปที่ต้องพระราชประสงค์นี้หม่อมฉันได้เลือกเฟ้นเอาแต่ฉเพาะที่มีความหมั่นแลมีวุฒิ <br>
หม่อมฉัน จึงหวังใจว่าเมื่อบาดหลวงเหล่านี้ได้ไปรับราชการอยู่กับพระองค์แล้ว ก็คงจะช่วยทำให้ราชไมตรีในระหว่างพระองค์แลหม่อมฉันทั้งสองได้สนิธแน่นขึ้นไปอีก <br>
แลเมื่อบาดหลวงเหล่านี้ได้ไปสั่งสอนวิชาให้ไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดินของพระองค์แล้ว ก็คงจะเปนการทำให้ประเทศทั้งสองได้สนิธเปนแผ่นเดียวกัน<br>
บาดหลวงเหล่านี้หม่อมฉันขอฝากพระองค์ด้วย เพราะเปนคนที่หม่อมฉันรักใคร่แลนับถือมาก<br>
เขียนที่เวอซาย <br>
เมื่อวันที่ ๒๐ เดือนมกราคม ค.ศ. ๑๖๘๗ (พ.ศ. ๒๒๓๐)<br>
จดหมายมองซิเออร์เดอเซเนเล<br>
ถึงฟอลคอน<br>
ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทราบจากจดหมายของท่านลงวันที่ ๑๘ เดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๖๘๕ (พ.ศ. ๒๒๒๘) ว่าพระเจ้า กรุงสยามผู้ทรงอานุภาพอันใหญ่ยิ่งได้พอพระทัย ทั้งข้าราชการชั้น ผู้ใหญ่ทั่วไปก็พอ ใจในความประพฤติของเชอวาเลียเดอโชมอง ที่ได้ไปทำการในหน้าที่ราชทูตตามคำสั่งของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสนายของข้าพเจ้า<br>
๕๕<br>
ข้าพเจ้าทราบโดยแน่ใจว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสทรงตั้งพระทัยโดยจริง ที่จะทูลให้พระเจ้ากรุงสยามนายของท่านทรงทราบว่า พระองค์มีพระประสงค์ที่จะได้เปนไมตรีกับพระเจ้ากรุงสยาม แลเมื่อจะมีการอย่างใดที่ควรจะทำได้ สำหรับให้ราชไมตรีในระหว่างพระองค์กับพระเจ้า กรุงสยามผู้ทรงอานุภาพอันใหญ่ยิ่งได้ติดต่อกันอย่างสนิธ ทั้งให้ประเทศทั้งสองได้เปนไมตรีซึ่งกันแลกันนั้น พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสนายของ ข้าพเจ้าก็ทรงตั้งพระทัยที่จะช่วยให้เปนไปสมพระราชประสงค์ทุกประการ ข้าพเจ้าขอบอกให้ท่านทราบต่อไปว่า ความประพฤติอันดีแลเรียบร้อยของราชทูตสยามระหว่างที่อยู่ในเมืองนี้ ได้ทำให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสนายของข้าพเจ้า ได้เพิ่มพูลความนับถือซึ่งทรงมีต่อพระเจ้ากรุงสยามยิ่งขึ้นอีก โดยเห็นในพระปรีชาญาณที่ทรงเลือกคนอย่างดีเช่นนี้ให้ไปเปนราชทูต ข้อนี้ก็กระทำให้ข้าราชการในสำนักนี้เลื่องลือในชื่อเสียง อันดีของเสนาบดีของพระเจ้ากรุงสยาม แลในส่วนตัวข้าพเจ้าก็มีความประสงค์ จะให้ท่านทราบว่า ไมตรีของท่านที่มีต่อข้าพเจ้านั้นเปนสิ่งที่ข้าพเจ้ายึดถือโดยพอใจยิ่งนัก แลเพื่อจะให้ไมตรีอันนี้คงยืดยาวต่อไป ข้าพเจ้าจะได้พยายามรักษาไมตรีไว้โดยช่วยเหลือในการต่าง ๆ ทุกประการ มองซิเออร์เดอลาลูแบร์กับมองซิเออร์เซเรเบต์จะได้ไปเฝ้า พระเจ้ากรุงสยามแทนพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสนายของข้าพเจ้าท่านทั้งสองนี้ทราบดีในพระประสงค์ของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ในข้อที่จะให้พระราชไมตรีได้ติดต่อกันยืดยาว แลที่จะให้ความสุขเจริญบังเกิดขึ้นแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งสองประเทศ ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าท่านคงจะเปนที่พอใจในความ
๕๖<br>
ประพฤติของท่านทั้งสองนี้ แลข้าพเจ้าหวังใจว่าท่านคงจะได้กรุณาช่วยแนะนำการต่าง ๆ ให้ท่านทั้งสองนี้ด้วย แลขอได้โปรดแนะนำในหน้าที่ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินนายของข้าพเจ้าได้มอบหมายให้เขาไปกระทำด้วย ข้าพเจ้าหวังใจว่าสิ่งของแปลก ๆ ที่ข้าพเจ้าฝากมายังท่านนั้น คงจะเปนสิ่งที่พอใจท่านเท่ากับข้าพเจ้าได้พอใจในของฝากของท่านเช่นนั้น แลเพราะเหตุว่าในพระราชสาส์นที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสนายของข้าพเจ้าได้มีมาถวายพระเจ้ากรุงสยามผู้ทรงอานุภาพมาก มีใจความว่าทรงนับถือพวกบาดหลวงเยซวิตที่ส่งไปให้อยู่ในเมืองไทย ทั้งทรงนับถือพวกมิซชันนารีอื่นที่ทำการเพื่อเกียรติยศของพระเปนเจ้านั้น พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจึงหวังพระทัยว่า ท่านคงจะได้ช่วยเหลือแก่บาดหลวงเหล่านี้ตามหน้าที่ของท่านที่จะได้ แลข้าพเจ้าขอให้ท่านได้สงเคราะห์ท่านบาดหลวง ตาชาโดยฉเพาะ เพราะบาดหลวงคนนี้เปนเพื่อนรักของข้าพเจ้า ทั้งอัธยาศัยอันดีของเขาก็กระทำให้ผู้ที่รู้จักได้รักใคร่เขาทุกคน<br>
เขียนที่พระราชวังเวอซาย <br>
ณวันที่ ๑ เดือนมกราคม ค.ศ. ๑๖๘๗ (พ.ศ. ๒๒๓๐)<br>
จดหมายบาดหลวงแปร์เดอลาเชซ<br>
ถวายพระเจ้ากรุงสยาม<br>
ข้าพเจ้ามีความยินดีมากที่ได้จัดการตามพระราชประสงค์เปนการสำเร็จแล้ว โดยได้จัดส่งบาดหลวงที่ชำนาญวิชาเลขมา ๑๒ รูป บาดหลวงเหล่านี้เปนพวกในคณะของข้าพเจ้า แลเปนผู้ที่ประพฤติตัว<br>
๕๗<br>
อยู่ในศีลในธรรม แลเปนผู้ที่จะได้โปรดให้ไปประจำอยู่ตามบ้าน วัด โรงเรียน แลหอดูดาวในพระราชธานีกรุงศรีอยุธยาแลละโว้ ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้นำความกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินนายของข้าพเจ้าเพื่อขอรับราชา นุญาต พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้พระราชทานพระราชานุญาตโดยความยินดีมาก เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจะถวายต่อพระองค์ ให้เปนพยานแห่งพระราชไมตรีได้ยิ่งกว่านี้ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้โปรดให้บาดหลวงแปร์ตาชา เปนหัวหน้าคุมบาดหลวงเหล่านี้ไปยังเมืองไทยเพราะบาดหลวงตาชาเปนผู้ที่ทราบในพระราชประสงค์ของพระองค์ดีกว่า คนอื่น จะได้เปนธุระให้การได้ดำเนิรตามพระราชประสงค์ดีขึ้น ถ้าข้าพเจ้ามีความกล้าแล้ว ก็จะได้กราบทูลฝากฝังบาดหลวงเหล่านี้ ตามที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ทรงฝากฝังมายังพระองค์อยู่แล้ว แลขอพระองค์ได้พระราชทานพระมหากรุณาแก่บาดหลวงเหล่านี้ซึ่งเปนญาติของข้าพเจ้าแลซึ่งข้าพเจ้ารักยิ่งกว่ารักตัวข้าพเจ้าเอง ไม้กางเขนทองคำซึ่งโปรดเกล้าพระราชทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้รับไว้แล้วโดยมีจิตต์อ่อนน้อมต่อพระองค์อย่างที่สุด ไม้กางเขนที่พระราชทานนี้ ข้าพเจ้า จะได้ประดิษฐานไว้ยังบ้านใหญ่ของคณะฝรั่งเศสในที่เปิดเผย ให้บันดาบาดหลวงทั้งหลายผู้เปนญาติของข้าพเจ้าได้เห็นทั่ว ๆ กัน เพื่อเปนการชูใจให้บาดหลวงเหล่านี้ มีจิตต์คิดอยากที่จะไปทำราชการกับพระองค์ แลเพื่อเปนหนทางที่จะได้แนะนำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ ได้ รู้จักพระเปนเจ้า ซึ่งเปนผู้สมควรที่จะได้รับนมัสการจากคนทั่วโลก<br>
๘<br>
๕๘<br>
ข้าพเจ้าจะได้เอาใจช่วยพวกบาดหลวงเหล่านั้นแลจะได้ช่วยอธิษฐาน ขอให้พระเกียรติยศของพระองค์ได้เปนการมั่นคง แลขอให้ได้ทรงครอง ราชสมบัติให้ถาวรเจริญนานทุกประการ ข้าพเจ้าได้มอบของบางอย่างมากับบาดหลวงเพื่อมาถวายต่อพระองค์ ของเหล่านี้เปนแต่เพียงของสมแก่คุณานุรูปของคนที่หาเลี้ยงอาชีวะอย่างข้าพเจ้า ที่พอจะมีถวายต่อพระเจ้าแผ่นดินอันสูงสุดได้เท่านั้น ข้าพเจ้าหวังใจว่าฝีมือที่ทำของเหล่านี้คงจะเปนที่พอพระทัย แลข้าพเจ้าจะอ้อนวอนต่อพระเจ้าบนสวรรค์ซึ่งเปนผู้บันดาลการดินฟ้าอากาศ แลทำให้มีสุริยุปราคาแลจันทรุปราคา ซึ่งมีปรากฎแล้วนั้น ได้โปรดบันดาลให้พระหทัยของพระองค์ได้รู้สึก รักผู้ที่กระทำการอันน่าประหลาดต่าง ๆ เหล่านี้ต่อไป แลซึ่งเปนผู้ที่ พระเจ้าแผ่นดินควรจะนับถือยิ่งกว่าชนสามัญทั่วไป ข้าพเจ้าขอกราบทูลให้ทรงทราบว่าราชทูตของพระองค์ ได้ประพฤติตัวแลปฎิบัติการต่าง ๆ โดยลมุนลม่อมอย่างน่ารักแลน่าชมเชยมาก แลในเวลาที่ท่านราชทูต ได้ทำการรักษาเกียรติยศของตัว แลทำการมิให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศของพระองค์นั้น ก็ยังได้อุส่าห์หาช่องที่จะปฎิบัติการให้เปนที่พอใจคนทั่วไป แลให้เปนที่พอพระทัยของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสแลราชวงศ์ฝรั่งเศสด้วย ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านราชทูตคงจะชมเชยในการที่ข้าพเจ้าได้พยายาม จัดการให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสนายของข้าพเจ้า ได้จัดการรับรองราชทูตให้สมพระเกียรติยศของพระองค์ แลข้าพเจ้าอาจกราบทูลได้ว่า ตั้งแต่ได้มีราชทูตเมืองไหญ่ ๆ มาในประเทศนี้ ยังไม่มีราชทูตประเทศใดที่<br>
๕๙<br>
จะได้จัดการรับรองให้เปนเกียรติ เท่ากับราชทูตของพระองค์ในคราว นี้เลย ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนต่อพระเจ้าบนสวรรค์ ซึ่งถือหทัยของเจ้าแผ่นดิน ทั้งหลายอยู่ในกำมือ ขอได้โปรดเอาหทัยของพระองค์ แลหทัยของ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสมาผูกพันให้เปนหทัยอันเดียวกัน เพื่อว่าพระองค์ แลพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสทั้ง ๒ พระองค์ ได้มีพระราชดำริห์อย่างเดียวกันแล้วจะได้ช่วยกันให้บันดาประเทศทั้งหลายในฝ่ายทิศตวันออกแลตวันตก ได้นับถือพระเปนเจ้าบนสวรรค์แต่องค์เดียว เพราะในเวลานี้สิ่งที่ทำ ให้พระนามของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสโด่งดังนั้นก็ไม่มีอย่างอื่น นอกจากการที่ทรงเปนพระธุระ ในการที่จะให้ชนทั้งปวงนับถือพระเปนเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น แลถ้าพระองค์ได้ทรงปฎิบัติอย่างพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสแล้ว ก็จะเปนการนำชื่อเสียงอันดีมาสู่พระองค์ ทั้งการอย่างใด ๆ ที่พระองค์ทรงพระราชดำริห์ไว้ก็จะได้ดำเนิรสู่ทางเจริญทุกเมื่อ ข้อเหล่านี้เปนสิ่งที่ข้าพเจ้าหวังอยู่ โดยรู้สึกถึงพระเดชพระคุณที่ได้ทรงพระกรุณาเมตตาแก่ข้าพเจ้า ฯลฯ<br>
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๖๘๗ (พ.ศ. ๒๒๓๐)<br>
ว่าด้วยราชทูตฝรั่งเศสมาเจริญทางพระราชไมตรีกับกรุงสยาม<br>
จดหมายมองซิเออร์มาตีโน<br>
ถึงผู้อำนวยการคณะการต่างประเทศ<br>
บันดาเรือต่าง ๆ ที่บันทุกพลทหารมาจากเมืองฝรั่งเศส ได้มาถึงสันดอนแม่น้ำเมืองไทยเมื่อต้นเดือนตุลาคม ค.ศ.๑๖๘๗ (พ.ศ. ๒๒๓๐)<br>
๖๐<br>
พอเรือมาถึงท่านราชทูตสยามก็ได้ลงจากเรือทันทีแลได้รีบไปยังพระราชวังเพื่อกราบทูลเหตุการณ์แลข้อความต่าง ๆ ที่ได้ไปราชการมาคราวนี้
พอพระเจ้ากรุงสยามได้ทรงทราบว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ทรงแต่งอัครราชทูตมาสองคน ก็ได้มีพระราชโองการให้จัดถนนหนทางทุกแห่งแลตามลำแม่น้ำก็ให้จัดที่พักไว้เปนระยะ ๆ เพื่อให้ราชทูตได้เดิรทางขึ้นไปยังพระราชวังโดยสดวก
เมื่อได้เตรียมการเสร็จแล้ว ท่านราชทูตทั้งสองก็ได้ออกเดิรทางแลมีกระบวรแห่นำอย่างใหญ่โตงดงามที่สุดที่จะทำได้ ในเมืองนี้ ครั้นขึ้นมาถึงกรุงแล้ว ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของพระเจ้ากรุงสยามได้ลงมารับที่ท่าน้ำ แลยังมีคนอื่น ๆ กับทหารอีกเปนอันมาก ข้าราชการราษฎรแลทหารเหล่านี้ได้ตามไปส่งราชทูตจนถึงพระราชวัง
ฝ่ายทหารฝรั่งเศสยังหาได้ขึ้นบกไม่ได้รออยู่ในเรือที่สันดอนหลายวันแลเมื่อราชทูตได้ขึ้นไปถึงพระราชวังแล้วพวกทหารก็ยังพักอยู่บนเรือ ฝ่ายราชทูตก็ได้กราบทูลอยู่เสมอว่า ถ้าจะต้องพระราชประสงค์ให้มีทหารฝรั่งเศสในเมืองไทยแล้ว ก็ขอให้ทหารเหล่านี้ประจำอยู่ที่บางกอก การเรื่องนี้ได้พูดจาโต้ตอบกันช้านานจนเกือบจะต้องให้ทหารฝรั่งเศสลงเรือกลับไปแล้ว จนที่สุดพระเจ้ากรุงสยามจึงโปรดให้ทหารฝรั่งเศสอยู่ที่บางกอก แต่การที่อยู่นั้นไม่ใช่ยกให้เปนสิทธิ์ขาดของฝรั่งเศส เพราะราชทูตไม่ได้ขอร้องเช่นนั้น เปนแต่ให้อยู่เพื่อเปนที่พักเท่านั้น พวกทหารฝรั่งเศสจึงได้ลงจากเรือแลได้เข้าไปอยู่ในป้อมบางกอก มองซิเออร์คอนซ<br>
๖๑<br>
ตันซ์ผู้เปนเสนาบดีของพระเจ้ากรุงสยาม ได้คอยรับพวกทหารอยู่บนป้อม แล้วมองซิเออร์คอนซตันซ์จึงได้เรียกทหารไทยมาเข้าแถว แล้วได้ไป ยืนข้างหน้ากองทหารทั้งไทยแลฝรั่งเศส ประกาศในพระนามของ พระเจ้ากรุงสยาม ตั้งท่านมาควิศเดฟาซ์ เปนนายพลบังคับกองทหารทั้งไทยแลฝรั่งเศส
ภายหลังสักสองสามวันนายพลเดฟาซ์ได้ ขึ้นไปยังพระราชวังพร้อมด้วยบุตรชายสองคนซึ่งเปนนายร้อยเอก แล้วได้เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสยาม ๆ ทรงแสดงความยินดีแลโปรดนายพลเดฟาซ์มาก พระเจ้ากรุงสยามไม่ได้โปรดแต่นายพลเดฟาซ์คนเดียวเท่านั้น ยังทรงพระเมตตาตลอดถึงพลทหารทั้งกองโดยทรงเลี้ยงดูเดือนหนึ่ง
ในเวลาเดี๋ยวนี้ พวกทหารฝรั่งเศสพักอยู่ที่บางกอกโดยผาสุกมาก ทำงารบ้างดูแลควบคุมให้คนอื่นทำงารบ้าง เพราะพระเจ้ากรุงสยามได้ พระราชทานคนมาเปนอันมากสำหรับสร้างป้อม ต่อเดือนพฤษภาคม จึงได้สร้างป้อมเปนการสำเร็จ
ข้าพเจ้าลืมบอกไปว่าเจ้าพนักงารได้แบ่งทหารให้ไปรักษาที่เมืองมฤท ๔ กองร้อย แลให้ไปสร้างป้อมที่เมืองนั้นด้วย ทหารที่จะไปรักษาเมือง มฤท นี้ได้ออกจากเมืองไทยเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๖๘๘ (พ.ศ. ๒๒๓๑)
๖๒<br>
จดหมายมองซิเออร์เดอลียอน<br>
ถึง มองซิเออร์มาตีโน<br>
ในเวลาที่ราชทูตได้กลับมายังกรุงสยามนั้น บันดาผู้ที่มาในคราวนี้ทั้งหมดตลอดจนถึงเอกอัครราชทูตของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ก็ได้ถือว่าบาดหลวงแปร์ตาชาเปนหัวใจของพวกที่มาในคราวนี้
เมื่อได้มาถึงเมืองบัตตาเวียแล้ว บาดหลวงตาชาซึ่งอยู่เรือลำเดียวกับท่านราชทูต ได้ถ่ายลงเรือลำอื่นเพื่อจะรีบให้ไปถึงเมืองไทยก่อนคนอื่น พอบาดหลวงตาชาได้ไปถึงเมืองไทยก็รีบไปหามองซิเออร์คอนซตันซ์ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าบาดหลวงตาชากับมองซิเออร์คอนซตันซ์จะได้พูดกันว่าอย่างไร ข้าพเจ้าเปนแต่ทราบว่าเมื่อข้าพเจ้าแลราชทูตได้มาถึงท่าเรือเมืองไทย บาดหลวงตาซาก็ขึ้นมาหาบนเรือแล้วกระซิบบอกข้าพเจ้าเปนความลับว่า ไทยจะยกบางกอกให้แก่ฝรั่งเศสแต่ต้องมีข้อสัญญา ซึ่งบาดหลวงตาชากับมองซิเออร์คอนซตันซ์ได้ตกลงกันไว้แล้ว แต่ข้อสัญญาเหล่านี้จะเปนด้วยราชทูตฝรั่งเศสไม่พอใจ หรือไม่ได้ปฎิบัติกันอย่างไรไม่ปรากฎ แต่ราชทูตฝรั่งเศสได้เกิดขัดใจกับมองซิเออร์คอน ซตันซ์แลบาดหลวงตาชา แต่การที่ขัดใจกันนี้เปนแต่ฉเพาะในระหว่างคนทั้งสามซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่อง เพราะฉนั้นข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะกล่าวในที่นี้
ข้าพเจ้าจะบอกได้แต่อย่างเดียวเพราะเปนการที่ทราบกันเซงแซ่แล้วเท่านั้น คือว่าในการทั้งหลายทั้งปวงบาดหลวงตาชาเปนผู้ออกหน้า
๖๓<br>
ทุกอย่าง เพราะเปนคนรักแลเปนบ่าวของมองซิเออร์คอนซตันซ์ แลการที่บาดหลวงตาชาเปนหัวหน้าของพวกเยซวิตฝรั่งเศสในฝ่ายอินเดีย หาเปนการป้องกันมิให้บาดหลวงตาชาทำการในหน้าที่เสมียนของมองซิเออร์คอน ซตันซ์ไม่ แลการบางอย่างก็เปนการส่วนตัวซึ่งผิดธรรมดาด้วย
มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศซึ่งขึ้นไปอยู่ยังเมืองละโว้ช้านานหาได้เกี่ยวข้องในการต่าง ๆ เหล่านี้อย่างใดไม่ แลที่ไปอยู่นั้นก็ได้รับแต่คำด่าอย่างร้ายแรงจากมองซิเออร์คอนซตันซ์ซึ่งเปนคนโทโสมาก<br>
จดหมายมองเซนเยอร์ลาโน<br>
ถึงผู้อำนวยการคณะการต่างประเทศ<br>
ในการที่ราชทูตฝรั่งเศสได้มาคราวนี้หาได้มีใครเรียกให้ข้าพเจ้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างใดไม่ เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้ไปเกี่ยวด้วย จนอย่างเดียว เขาได้ทำความตกลงกันอย่างไรข้าพเจ้าก็หาทราบไม่ แต่ข้าพเจ้าสังเกตได้ว่าท่านเอกอัครราชทูตไม่พอใจเลย ความจริงข้าพเจ้าได้ยินเขาพูดกันว่าหนังสือสัญญาที่เกี่ยวด้วยการค้าขายนั้นพอใช้ ได้ แต่สิ่งที่เกี่ยวด้วยการสาสนาไม่ได้พูดถึงเลย ถึงกระนั้นก็มีเสียง พูดกันว่าราชทูตได้ทำสัญญาเปนเรื่องที่พอใจหลายอย่าง แต่ข้าพเจ้าคาด ไม่ถูกว่าจะเปนเรื่องอะไรบ้าง ข้าพเจ้าเกรงว่าลงท้ายที่สุดพระเจ้ากรุงสยามคงจะไม่ยอมในข้อต่าง ๆ ที่ขอร้องกันนี้ ในการเรื่องนี้ท่านราชทูต
๖๔<br>
ก็ได้รับคำสั่งให้พูดกับข้าพเจ้าแลให้ถามข้าพเจ้าว่าผู้ที่ถือสาสนาคริสเตียน ที่อยู่ในเมืองนี้มีจำนวนเท่าไรเพื่อจะได้นำความกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินข้าพเจ้าก็ได้ ชี้เหตุผลตามการที่ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเปนประโยชน์ต่อสาสนา แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าชี้แจงนี้กลับทำให้หนีความคิดเดิมของเขา ข้าพเจ้าก็ได้บอกจำนวนคนถือสาสนาคริสเตียน ทั้งตำบลที่อยู่ของพวก
คริสเตียนให้ท่านราชทูตทราบด้วยแล้ว<br>
ความเห็นเรื่องข้อสัญญา<br>
เมื่อท่านเอกอัครราชทูตของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้มาถึงในคราวหลังนี้ มองซิเออร์คอนซตันซ์ได้พูดกับมองซิเออร์โปมา เพื่อให้มองซิเออร์โปมาไปบอกกับท่านสังฆราช ว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสไม่โปรดในการที่สังฆราชได้ขอร้องต่าง ๆ สำหรับให้ได้เปรียบแก่สาสนา แลว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้มีรับสั่งว่าจะไม่ขอร้องอย่างใดต่อพระเจ้ากรุงสยามการอย่างใดที่เกี่ยวด้วยสาสนาก็แล้วแต่พระเจ้ากรุงสยามจะทรงพระกรุณา คำที่มองซิเออร์คอนซตันซ์กล่าวเช่นนี้ หาตรงกับคำที่เอกอัครราชทูต ได้เล่าให้สังฆราชฟังไม่ เพราะราชทูตได้รับพระราชโองการจากพระ เจ้ากรุงฝรั่งเศส ว่าสิ่งใดที่จะเปนประโยชน์ต่อสาสนาแล้ว ให้ราชทูต จัดการให้เปนไปตามนั้น แลถ้ามีโอกาศก็ให้หาประโยชน์ให้เพิ่ม กว่าเก่าขึ้นไปอีก
๖๕<br>
ในคำสั่งของราชทูตที่ได้ให้ท่านสังฆราชดูนั้น มีอยู่ข้อ ๑ ใจความว่าดังนี้
"ราชทูตจะได้เห็นตามข้อความในสัญญาที่ได้ทำไว้ที่เมืองละโว้ว่าพระเจ้ากรุงสยามได้พระราชทานสิทธิ์ ให้แก่สังฆราชแลมิซชันนารีฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในประเทศสยามเพียงไร เพราะฉนั้นเปนหน้าที่ของ ราชทูตที่จะขอร้องในนามของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ให้พระเจ้ากรุงสยามได้พระราชทานสิทธิเหล่านี้ต่อไป ให้ราชทูตปรึกษาหารือแลทำความเข้าใจกับสังฆราชเดอเมเตโลโปลิศ ว่าจะควรเพิ่มเติมข้อใดบ้าง แล้ว ให้ราชทูตขอร้องอย่างแขงแรงในนามของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสให้พระเจ้ากรุงสยามได้ตกลงยอมให้จงได้ ส่วนพลความต่าง ๆ ที่เกี่ยวด้วย สาสนานั้นให้คอยถามสังฆราชเดอเมเตโลโปลิศดู แลให้ราชทูตกับสังฆราชเดอเมเตโลโปลิศ ทำการติดต่อให้รู้ถึงกันในการเหล่านี้ทุกประการ"
ถ้าแม้ว่าการได้เปนไปตามคำสั่งข้อนี้แล้ว ก็จะเปนการได้ประโยชน์ต่อสาสนาเปนนักหนา แต่การนี้ก็หาได้เปนผลสำเร็จไม่ เมื่อเดือนพฤศจิกายนมองซิเออร์เดอลาลูแบร์ได้บอกกับมองซิเออร์เดอลียอน เมื่อท่านผู้นี้ยังอยู่ที่เมืองละโว้ ว่าบาดหลวงตาชาได้ขัดขวางไม่ยอมให้เปนไปตามคำสั่งข้อนี้ แลต่อไปบาดหลวงตาชาก็จะพยายามขัดขวางอยู่เสมอ
ครั้นมาเมื่อเดือนธันวาคม มองซิเออร์เดอลาลูแบร์ได้แตกร้าวกับมองซิเออร์คอนซตันซ์แลบาดหลวงตาชา จึงได้ทำเปนจดหมายบันทึก<br>
๙<br>
๖๖<br>
กล่าวตามคำสั่งข้อนี้ส่งขึ้นไปให้ถวาย แต่เวลานั้นไม่เหมาะเสียแล้ว แลการที่คิดไว้ต่าง ๆ ก็เกือบจะเปนอันสำเร็จไม่ได้ เพราะบาดหลวง ตาชาเปนผู้จัดการต่าง ๆ สองคนกับมองซิเออร์คอนซตันซ์ แต่อย่างไร ก็ดีมองซิเออร์คอนซตันซ์ได้มีการประชุม แลได้พูดกับท่านสังฆราช ถึงสิทธิเหล่านี้ ว่าการที่จะประกาศข้อสิทธิเหล่านี้ไม่เปนประโยชน์อย่างใด มองซิเออร์คอนซตันซ์ประสงค์จะเอาเสียงดังมาขู่ท่านสังฆราช แต่ท่านสังฆราชก็ได้โต้ตอบอย่างเสียงอ่อนหวานยืนยันว่า การที่จะประกาศข้อสิทธินั้นเปนประโยชน์มาก<br>
จดหมายมองซิเออร์เดอลียอน<br>
ถวายพระเจ้าหลุยที่ ๑๔<br>
ด้วยตามที่พระองค์ได้มีรับสั่งแก่ข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าได้ทูลลาออกจากเมืองฝรั่งเศส ให้มาบอกท่านสังฆราชเดอเมเตโลโปลิศ ให้เปนธุระดูแลช่วยเหลือบันดาบาดหลวงเยซวิตฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในประเทศสยามนั้น ท่านสังฆราชเดอเมเตโลโปลิศได้รับพระราชโองการด้วยความยินดีอย่างที่สุด เพราะจะได้ปฎิบัติการให้เปนไปตามพระราชโองการประกอบกับการที่ได้ปฎิบัติด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว จนถึงเวลาเดี๋ยวนี้ท่านสังฆราชได้ช่วยพวกบาดหลวงเยซวิตทุกอย่าง แลท่านสังฆราชเชื่อใจว่า พวกบาดหลวงเยซวิตคงจะเปนที่พอใจในการที่ท่านสังฆราชได้เอื้อเฟื้อมาแล้ว ส่วนตัวข้าพเจ้านั้น ท่านบาดหลวงแปร์ตาชา<br>
๖๗<br>
ซึ่งจะกลับไปยังประเทศฝรั่งเศส คงจะกราบทูลให้ทรงทราบ ว่าในระหว่างเดิรทางมานั้นข้าพเจ้าได้ปฎิบัติการอย่างไรแลเมื่อมาอยู่ในเมืองไทยนี้ข้าพเจ้าได้ประพฤติตัวกับบาดหลวงอื่น ๆอย่างไร ความนับถือของข้าพเจ้าที่มีต่อบาดหลวงเหล่านี้ ประกอบกับความเต็มใจแลยินดีที่จะ ปฎิบัติการทั้งปวงให้เปนไปตามพระราชประสงค์ของพระองค์นั้น จะกระทำให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือบาดหลวงเหล่านี้ด้วยความยินดีทุกเมื่อ เพื่อ เปนช่องทางที่จะได้รับพระกรุณาแลความปกครองของพระองค์ต่อไป
พวกข้าพเจ้าทั้งหลายต้องกราบทูลวิงวอนขอพระองค์ได้มีรับสั่งแก่พระเจ้ากรุงสยาม ว่าการที่พระเจ้ากรุงสยามจะได้ทรงพระกรุณาเมตตาต่อสังฆราชแลมัซชันนารีฝรั่งเศสต่อไปนั้น จะเปนสิ่งที่กระทำให้พระองค์ทรงยินดีมาก แลขอได้โปรดรับสั่งให้มองซิเออร์คอนซตันซ์ได้เข้าใจอย่างนี้เหมือนกันด้วย เพราะเหตุว่าถ้ามองซิเออร์คอนซตันซ์ทราบว่าจะเปนการพอพระทัยของพระองค์แล้ว มองซิเออร์คอนซตันซ์ก็คงจะช่วยเหลืออุดหนุนพวกข้าพเจ้าทุกประการ<br>
เมืองไทย ค.ศ. ๑๖๘๗ (พ.ศ. ๒๒๓๐)<br>
เรื่องขบถในเมืองไทย<br>
จดหมายมองซิเออร์มาตีโน ถึงผู้อำนวยการคณะการต่างประเทศ<br>
วันที่ ๑๒ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒)<br>
เรื่องเรียกนายพลเดฟาซ์ ไปเมืองละโว้<br>
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ได้มีเสียงโจษกันเซงแซ่ว่าจะเกิดการสงครามขึ้น แลว่าข้าศึกจะมาจากทิศต่าง ๆ รอบข้าง บางที่ว่าจะมา<br>
๖๘<br>
จากทิศนี้ บางทีก็ว่าจะมาจากทิศโน้น จากเมืองลาวบ้าง เมืองมอญบ้าง เมืองเขมรบ้าง แลว่าจะมาจากเมืองอื่น ๆ อีกก็มี ในเวลานั้นเจ้าพนักงารได้กะเกณฑ์ทหารเปนอันมาก บันดาข้าราชการทุกคนต่างคนก็เรียกระดมคนของตัวเข้ามา แลยังมีเสียงลือกันว่าได้เกิดก๊กเกิดเหล่าทั่ว พระราชอาณาเขต แลว่าราชบุตรบุญธรรมของพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สวรรคตแล้วนั้นเปนหัวหน้าของคนเหล่าหนึ่ง ในขณะนั้นมองซิเออร์คอนซตันซ์ได้มีจดหมายอ้างพระราชโองการของพระเจ้ากรุงสยาม ให้ข้าราชการผู้ใหญ่ถือลงมาถึงนายพลเดฟาซ์ ให้นายพลเดฟาซ์เลือกทหารอย่างฉกรรจ์๑๐๐ คนแล้วให้รีบขึ้นไปยังเมืองละโว้ ฝ่ายมองซิเออร์เดฟาซ์เปนคนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้ากรุงสยามมาก จึงได้เลือกจัดทหารตามจำนวนที่ต้องการนั้นโดยทันที แล้วได้รีบยกไปตามพระราชโองการ ครั้นมาถึงกรุงศรีอยุธยาเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ก็ได้เห็นราษฎรอลหม่านวุ่นวายกันมาก ยิ่งพวกราษฎรที่อยู่ตามตลาดแลในที่ประชุมชนต่าง ๆ ปั่นป่วนกันยิ่งกว่าพวกอื่น ต่างคนต่างวิ่งหนีดุจมีข้าศึกไล่ติดตามอยู่มองซิเออร์เดฟาซ์เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงร้องถามว่า "อะไรกันมีคนกลัวข้าพเจ้าหรือ คนทั้งหลายเข้าใจว่าข้าพเจ้าจะมาทำศึกหรือ" มองซิเออร์เดฟาซ์จึงฝ่าคนเข้าไปจึงได้ยินพูดกันว่า พระเจ้าแผ่นดินสวรรคตเสียแล้ว แลเสียงที่พูดกันนี้ แม้จะเปนความไม่จริงก็ดี แต่เปนเสียงพูดกันอย่างเดียวดังนี้ทั่วไปจึงเกือบจะต้องเชื่อว่าเปนความจริงเสียแล้ว เมื่อนายพลเดฟาซ์ได้เห็นการจลาจลแลได้ยินเสียงพูดดังนี้ จึงบอกกับข้า
<br>
๖๙<br>
ราชการที่ถือหนังสือมองซิเออร์คอนซตันซ์มาส่งนั้นว่า ขอให้ไปบอก กับผู้ว่าราชการเมือง แลข้าราชการทั้งหลายที่อยู่ในกรุงให้ทราบว่า ที่นายพลเดฟาซ์มาในคราวนี้ก็โดยมีพระราชโองการให้หาขึ้นไป แต่ครั้นมาถึงที่นี่แล้ว ก็มีความเสียใจที่สุดที่ได้ยินคนพูดกันว่าพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตเสียแล้ว แต่ในข้อนี้นายพลเดฟาซ์ก็ยังไม่แน่ใจแลหวังใจว่า จะเปนข่าวที่ลือกันโดยไม่มีมูล แต่ถ้าหากว่าพระเจ้าแผ่นดินได้สวรรคตจริงซึ่งเปนการธรรมดาของมนุษย์ในโลกนี้แล้ว ก็ยังมีเจ้าอีกสององค์ ซึ่งเปนพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สวรรคตไปแล้ว สมควรที่จะครองราชสมบัติได้ต่อไป แลนายพลเดฟาซ์ก็พร้อมที่จะรับคำสั่งจาก เจ้า ๒ องค์นี้ต่อไป การที่นายพลเดฟาซ์พูดดังนี้ก็ดูไม่เหมาะ แต่ก็ พูดอย่างภาษาทหาร คือพูดตรงจากหัวใจไม่อ้อมค้อมอย่างใด แลที่ใช้วาจาเช่นนี้ก็หาให้ผลร้ายอย่างใดไม่ พวกข้าราชการที่รักษากรุงจึงได้ตาบว่า ข่าวที่ลือนั้นเปนข่าวไม่จริงเพราะพระเจ้าแผ่นดินยังมีพระชนม์อยู่ แต่คนอื่น ๆ ทั่วไปก็คงยังยืนยันว่าสวรรคตแล้ว ท่านนายพลเดฟาซ์จึงลังเลใจไม่ทราบว่าจะเชื่อข้างใด<br>
นายพลเดฟาซ์ไม่ยอมไปเมืองละโว้<br>
นายพลเดฟาซ์ต้องการทราบความให้แน่ จึงกลับลงเรือล่องน้ำ ลงไปพักอยู่ที่ด่านภาษี แล้วจึงได้จัดนายทหารให้ขึ้นไปยังเมืองละโว้ ถือหนังสือไปให้มองซิเออร์คอนซตันซ์ นายทหารผู้นั้นได้กลับลงมา<br>
๗๐<br>
โดยเร็วถือหนังสือตอบมาจากมองซิเออร์คอนซตันซ์ด้วย ในจดหมายนั้นมีใจความว่า พระเจ้ากรุงสยามยังมีพระชนม์อยู่หาได้สวรรคตไม่ แล ให้นายพลเดฟาซ์รีบขึ้นไป เพราะพระเจ้ากรุงสยามจะต้องการกำลังของนายพลเดฟาซ์ แต่ถึงดังนั้นนายพลเดฟาซ์ก็หาเชื่อมองซิเออร์คอนซตันซ์ไม่ เพราะข่าวที่ลือว่าสวรรคตนั้นเปนข่าวที่พูดกันเปนเสียงเดียวทั้งหมดยากที่จะไม่เชื่อได้ แลอีกประการหนึ่ง นายทหารที่นำจดหมายลงมา ก็ได้รายงารว่า ตนได้ไปถึงมองซิเออร์คอนซตันซ์ในเวลา ๒ ยาม (เที่ยงคืน) พอมองซิเออร์คอนซตันซ์ได้อ่านหนังสือของนายพลเดฟาซ์เสร็จแล้ว ก็ได้เขียนตอบโดยทันที หาได้เข้าไปยังพระราชวังเพื่อ กราบทูลให้พระเจ้ากรุงสยามทรงทราบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ ซึ่งเปนเหตุกระทำให้น่าสงสัยว่ามองซิเออร์คอนซตันซ์คงจะเรียกทหารขึ้นไปสำหรับป้องกันตัวมองซิเออร์คอนซตันซ์เอง แลข้อสงสัยนี้ก็น่าจะเปน จริง เพราะได้ทราบมาว่าในพระราชวังเกิดการแตกร้าวในระหว่างข้า ราชการทั้งมองซิเออร์คอนซตันซ์ก็เกี่ยวในการที่แตกร้าวนี้ด้วย ท่าน นายพลเดฟาซ์ผู้บัญชาการกองทหารของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจึงไม่ยอมที่ จะไปเปนผู้บังคับการทหารสำหรับรักษาตัวมองซิเออร์คอนซตันซ์ อีกประการหนึ่งนายพลเดฟาซ์ก็ได้เคยถูกมองซิเออร์คอนซตันซ์หลอกมาหลายครั้งแล้ว จึงเกรงว่าในครั้งนี้ซึ่งเปนคราวที่สำคัญจะถูกมองซิเออร์คอนซตันซ์หลอกอีกก็จะเปนได้ ทั้งการที่ข้าราชการแตกร้าวกัน แลราษฎรพลเมืองก็เตรียมซ่อนอาวุธกันอย่างเงียบ ๆเปนการที่ทราบกันมา<br>
๗๑<br>
นานแล้ว ท่านนายพลเดฟาซ์ถือว่าตัวเปนชาวต่างประเทศไม่ต้องการ ที่จะมาเกี่ยวข้องด้วยในการเช่นนี้ จึงไม่ยอมขึ้นไปยังเมืองละโว้ เพื่อป้องกันมิให้ทหารต้องเข้าด้วยกับพวกเหล่าร้าย อีกประการหนึ่งนายทหารที่นายพลเดฟาซ์ได้จัดให้ถือจดหมายไปส่งมองซิเออร์คอนซตันซ์นั้น ได้มารายงารว่าตาม ทางที่ไปนั้น นายทหารผู้นั้นได้พบคนถืออาวุธซ่องสุมกันหลายแห่ง แลครั้งหนึ่งนายทหารผู้นั้นอยากรับประทานน้ำ จึงได้ตัดทางลัดเข้าบ้านซึ่งเห็นอยู่ใกล้ ๆ เพื่อไปหาน้ำรับประทาน ม้าเกือบเหยียบศีร์ษะคนแตกเพราะคน ๆ นี้นอนคว่ำอยู่กับดิน นายทหาร ผู้นั้นตกใจจึงมองซ้ายแลขวาก็เห็นคนนอนคว่ำอยู่อย่างนี้เปนอันมาก เมื่อ ได้เห็นดังนี้แล้วนายทหารผู้นั้นก็หายอยากน้ำทันที จึงไม่คิดการอื่น นอกจากจะเร่งให้ม้าไปเสียให้พ้นจากที่นี้เพื่อไปเข้าทางเดิมต่อไปเท่านั้น เพราะเหตุดังที่บรรยายมานี้แลเหตุอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ท่านนายพล เดฟาซ์จึงได้ตกลงใจกลับไปยังป้อมที่บางกอก
ข้าพเจ้าจะต้องกล่าวเพิ่มเติมในที่นี้ว่า นายพลเดฟาซ์มีความหนักใจมากที่ตัวได้กระทำการอย่างนี้ จึงได้มาหารือต่อท่านสังฆราชว่าจะควรทำอย่างไรดี ท่านสังฆราชจึงได้แนะนำให้กลับไปอยู่ที่ป้อมตามเดิม แลว่าตัวเปนชาวต่างประเทศไม่ควรจะไปเกี่ยวข้องในการของ แผ่นดิน เว้นแต่ได้เห็นประจักษ์แน่แล้วว่าจะต้องไปช่วยพระเจ้ากรุงสยาม จึงควรจะไป
ต่อนั้นมามองซิเออร์คอนซตันซ์ก็กำชับเร่งให้นายพลเดฟาซ์ขึ้นไปยังเมืองละโว้ไม่หยุดหย่อนเลย มองซิเออร์คอนซตันซ์ได้มีจดหมาย<br>
๗๒<br>
เร่งมาเปนหลายครั้ง แต่ท่านนายพลเดฟาซ์ยังไม่เห็นมีเหตุอย่างใด ที่จะทำให้เชื่อถ้อยคำของมองซิเออร์คอนซตันซ์ จึงได้ปฏิบัติตามความคิดเดิม คงอยู่ในป้อมนั้นต่อไป
ว่าด้วยความประพฤติของพระเพทราชา
การอันไม่แน่นอนว่าพระเจ้าแผ่นดินจะสวรรคตจริงหรือไม่นั้นก็ยังคงไม่แน่อยู่อย่างนั้นเอง บางคนก็พูดว่าสวรรคตแล้ว บางคนก็พูดว่า ยังมีพระชนม์อยู่ จนเหลือที่จะรู้ได้ว่าจะควรเชื่อข้างฝ่ายใด ในระหว่างนี้เสียงที่พูดว่าจะเกิดศึกในระหว่างก๊กเหล่าต่าง ๆ นั้นก็ยังคงมีอยู่ บันดาผู้คนที่เตรียมเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ก็เพิ่มมากขึ้นทุกที อำนาจของมองซิเออร์คอนซตันซ์ก็น้อยลงโดยเห็นได้แก่ตา มองซิเออร์คอนซตันซ์ จะออกคำสั่งอย่างใดก็หามีผู้ใดทำตามคำสั่งไม่ แต่ถึงดังนี้โดยความหยิ่งของตัวหรือโดยความโง่เขลาก็ตามแต่ก็อยากจะด่าชาวต่างประเทศอยู่เสมอ ยิ่งเปนคนที่ถือสาสนาคริสเตียนแล้วมองซิเออร์คอนซตันซ์ก็ชอบด่านักเพราะไปเข้าใจเสียว่าพวกนี้ไม่รู้ในเหตุการณ์ที่กำลังเปนอยู่ แลก็อวดอ้างอยู่เสมอว่าตัวยังมีอำนาจอยู่อย่างเดิม
มีเสียงคนพูดกันว่า พระเจ้ากรุงสยามรู้สึกพระองค์ว่าประชวรมาก จึงได้ทรงมอบราชการแผ่นดินให้แก่ข้าราชการผู้ใหญ่ที่ได้ทำราชการมาช้านานแล้วคนหนึ่ง ชื่อ ออกพระเพทราชา แลทรงมอบให้บุตรของพระเพทราชา ชื่อ หลวงสรศักดิ์ด้วย ที่จริงตั้งแต่นี้มาก็เห็นแต่ท่าน ทั้งสองนี้ออกว่าราชการทั้งฝ่ายหน้าแลฝ่ายใน แลใช้คนนั้นไปนี่ใช้คนนี้<br>
๗๓<br>
ไปโน่น แต่คงใช้ในพระนามของพระเจ้าแผ่นดินอยู่เสมอ ในขณะนี้ ก็เกิดมีเสียงเล่าลือว่า พระราชบุตรบุญธรรมของพระเจ้าแผ่นดินทรงนาม ว่าพระปีย์ กำลังซ่องสุมผู้คนเปนอันมาก โดยเกณฑ์มาจากพิษณุโลกซึ่งเปนเมืองเกิดของท่าน แลเปนเมืองที่บิดาของพระปีย์มีอำนาจมาก ยังมีเสียงลือกันต่อไปอีกว่ามองซิเออร์คอนซตันซ์ก็เปนพรรคพวกของพระ ปีย์ด้วย แต่อย่างไรก็ดี ถึงพวกเราจะคอยสืบสักปานใดก็ตามก็ไม่ได้ความแน่ชัดจนอย่างใดเลย ที่จริงเคยแต่ได้ยินพูดกันมาช้านานแล้ว ว่าถ้าพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตแล้ว พระอนุชาคงจะต้องได้ครองราชสมบัติ ต่อไป ส่วนพระปีย์นั้นไม่ได้เคยออกจากพระราชวังเลย แต่อยู่ใกล้ ชิดกับพระเจ้าแผ่นดินเสมอ แต่การที่ลือกันว่าพระปีย์กำลังซ่องสุม ผู้คนนั้น พระปีย์จะออกคำสั่งเปนการลับหรืออย่างใด ข้าพเจ้าไม่ทราบเปนการแน่ได้<br>
ท่านขุนนางผู้ใหญ่ออกพระเพทราชาก็ระดมคนจากทั่วทิศ แลทำอำนาจมากขึ้นทุก ๆ วัน แต่ที่ออกพระเพทราชาทำการทั้งนี้ก็โดยอ้างพระราชโองการเสมอไปแลอ้างว่าทำการเพื่อรักษาสมบัติ มิให้ตกไป ถึงคนอื่นที่ไม่ควรจะครองราชสมบัตินั้น
ในระหว่างที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ณเมืองละโว้นั้น ฝ่ายพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินก็ประทับอยู่ที่วังที่กรุงศรีอยุธยาอย่างเงียบ ๆ แลพูดกันว่าพระอนุชาองค์เล็ก ซึ่งเห็นพร้อมกันว่าจะได้ขึ้นครองราชสมบัติ<br>
๑๐<br>
๗๔<br>
ต่อไปเพราะองค์ใหญ่ทรงพิการนั้น ได้ทรงแต่งงารกับเจ้าหญิงพระ ราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน คือเปนพระภาคิไนยของพระองค์ แล ทั้งสององค์นี้อยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่กันอันสนิธ
เหตุการณ์เปนอยู่ดังนี้หลายวัน ครั้นภายหลังพระอนุชาองค์เล็กได้ถูกเชิญให้ขึ้นไปยังพระราชวังละโว้นัยว่า ๆ มีพระราชโองการให้เสด็จขึ้นไป แลพูดกันว่าการที่เชิญเสด็จขึ้นไปคราวนี้ก็เพื่อไปรับมอบราชสมบัติ เพราะออกพระเพทราชาได้ส่งผู้คนลงมารับเสด็จเปนเกียรติยศเปนอันมาก แลยังพูดกันต่อไปว่า ออกพระเพทราชาได้ ถือน้ำพิพัฒสัตยายอมตัวเปนข้าของท่านพระอนุชาแล้ว
การเรื่องนี้ได้เกิดตั้งแต่วันที่ ๑๕ เดือนเมษายนตลอดจนถึงวันที่ ๑๕ แลที่ ๒๐ เดือนพฤษภาคม ในระหว่างนี้ข่าวเล่าลือถึงพระอาการของพระเจ้าแผ่นดินก็ยังแตกต่างกันอยู่เสมอ ในชั้นแรกก็มีคนเชื่อกันจริง ว่าได้สวรรคตเสียแล้ว แต่ภายหลังผู้ที่ทราบเรื่องภายในจึงทราบแน่ว่ายังหาได้สวรรคตไม่ แต่ทรงพระประชวรพระอาการหนักมาก หมดหวัง ที่จะหายพระประชวรได้ แลได้ทราบต่อไปว่าพระเจ้าแผ่นดินตกอยู่ในเงื้อมมือแลอำนาจของออกพระเพทราชา(๑)<br>
----<br>
(๑) สมเด็จพระนารายณ์ได้เสด็จสวรรคต เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๖๘๘ (พ.ศ. ๒๒๓๑) ได้ถวายพระเพลิงเมื่อวันที่ ๑๖ เดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ ๑๖๙๐ (พ.ศ. ๒๒๓๓)ในการถวายพระเพลิงนี้มองซิเออร์มาตีโนเล่าว่าดังนี้
๗๕<br>
"เมื่อวันที่ ๑๙ เดือนกุมภาพันธ์ได้จัดการถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระนารายณ์ซึ่งได้เสด็จสวรรคตตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๖๘๘ (พ.ศ. ๒๒๓๓) การถวายพระเพลิงนี้ได้ทำการอย่างใหญ่โตงดงามมาก เจ้าพนักงารได้เตรียมการถวายพระเพลิงนี้ถึง ๑๘ เดือน พระเมรุนั้น ทำเปนรูปปีรามิด (Pyramid) คือฐานใหญ่ยอดแหลม มีหลายหลัง เรียงกันเปนแถว ใช้เสาต้นใหญ่ ๆ แลฐานก็วางคานใหญ่ นอกนั้นใช้ ไม้ไผ่ทั้งสิ้น จำนวนไม้ไผ่ที่ใช้นั้นเปนจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน พระเมรุนั้นปิดด้วยกระดาดสีแลกระดาดทอง แต่ที่จริงก็ทาสีให้ดูเหมือนปิดทอง ถ้ามองดูก็ดูงามแก่ลูกตามาก พระเมรุใหญ่ที่อยู่กลางนั้นเขาพูดกันว่า สูงถึง ๔๓ วา ในพระเมรุองค์กลางนี้ได้กั้นเปนห้อง ที่กลางห้อง ได้กองไม้หอมสำหรับเปนที่ถวายพระเพลิง
พวกเรามีความน้อยใจเปนอันมากที่ได้ทราบว่า ในห้องสำหรับถวายพระเพลิงนี้ เจ้าพนักงารได้เอารูปอย่างงาม ๆ ที่เกี่ยวด้วยการสาสนาของเรา แลรูปพระเยซูเจ้าตรึงอยู่กับไม้กางเขนมาแขวนไว้ ใน ที่นี้ การที่ทำเช่นนี้ก็ด้วยความเกลียดแลดูถูก เพื่อสำหรับเอามาประจานให้มหาชนทุกชาติทุกภาษาที่มาช่วยในการถวายพระเพลิงนี้ได้มาเห็นแลเยาะเย้ยต่าง ๆ แลยังไม่ใช่แต่เท่านี้ แต่เจ้าพนักงารมีความประสงค์จะประจานด้วย จึงได้เอารูปของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส แลรูปข้าราชการเจ้านายผู้ใหญ่ของฝรั่งเศสมาแขวนไว้ด้วย
๗๖<br>
ก่อนที่จะถวายพระเพลิงสักสามเดือน ได้มีความหวังใจกันว่า ในวันถวายพระเพลิงนั้น จะได้มีการปล่อยนักโทษทั้งหมด แต่ครั้นถึงวันงารความหวังอันนี้ก็ดับสูญไป เพราะพวกนักโทษก็คงยังต้องจำขื่อคาแลโซ่ตรวนอยู่ตามเดิม แต่ในวันงารนั้นกลับเพิ่มเครื่องจองจำแก่นักโทษมากขึ้นกว่าเก่า คงจะเปนด้วยเจ้าพนักงารเกรงว่าจะเกิดการวุ่นวายจลาจลขึ้น
๗๗<br>
ในระหว่างนั้น คือ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ แลวันที่ ๒๐ เดือนพฤษภาคม ออกพระเพทราชามีอำนาจสิทธิ์ขาดในพระราชวังแล้ว จึงได้สั่งให้จับตัวพระปีย์ผู้เปนราชบุตรบุญธรรมของพระเจ้าแผ่นดินสยาม เขาเล่ากันว่า เวลานี้พระปีย์รู้ตัวว่ามีผู้ที่จะคิดทำร้ายจึงคิดป้องกันตัวโดยไม่ออกจากห้องพระประชวรเลย เพราะเชื่อว่าคงไม่มีใครอาจจะเข้าไปได้แลพระปีย์
ก็อยู่ชิด กับพระเจ้าแผ่นดินทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ออกห่างจากพระองค์เลย <br>
แต่ครั้นวันหนึ่งเปนเวลาที่กรรมจะมาถึงตัว จะมีเหตุจำเปนอย่างใดไม่ทราบ พระปีย์ก็เดิรไปทางพระทวาร พอก้าวเท้าข้ามพระทวาร <br>
พวกเจ้าพนักงารซึ่งคอยจ้องอยู่แล้วนั้นก็มาจับตัวลากออกไปพ้นพระทวาร ซึ่งเปนแห่งที่พวกนี้ควรจะกลังเกรงไม่ควรจะกล้าเข้าไปเลย แล้วก็พาพระปีย์ไปประหารชีวิตเสียในที่อื่น<br>
ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ก็ตามเสียงที่บอกเล่ากันต่อ ๆ มา แต่ที่จะพูดได้ตามที่ทราบว่าเปนความจริงนั้น ก็คือว่าออกพระเพทราชาได้มีคำสั่งให้จับพระปีย์มาพิจารณาแล้วก็ให้ประหารชีวิตพระปีย์เสีย<br>
เรื่องการจับแลฆ่าฟอลคอน<br>
ในขณะนั้นมองซิเออร์คอนซตันซ์ก็ถูกจับแลถูกประหารชีวิตอย่างเดียวกับพระปีย์ คือออกพระเพทราชาได้จัดให้คนไปซุ่มอยู่ในพระราชวังแล้ว ให้คนไปเรียกมองซิเออร์คอนซตันซ์โดยอ้างพระราชโองการรับสั่งให้หา มองซิเออร์คอนซตันซ์หมายว่ารับสั่งให้หาจริงก็รีบเข้าไปยัง<br>
๗๘<br>
พระราชวัง แต่พอก้าวเข้าไปในพระราชวังเท่านั้น เจ้าพนักงารของ ออกพระเพทราชาก็กรูออกมาจับแล้วผูกมัดไว้แน่น แล้วได้เอาไป ขังไว้ยังคุกจำไว้ ๕ ประการ ภาษาฝรั่งเศสใช้คำว่าคุกทั้ง ๕ (Cinq prisons) อย่างแบบธรรมเนียมของเมืองนี้ แต่หาได้ประหารชีวิต โดยทันทีเหมือนอย่างพระปีย์ไม่ <br>
ออกพระเพทราชาได้เอามองซิเออคอนซตันซ์จำไว้ช้านาน แลได้ทำการทรมานอย่างสาหัสหลายครั้ง บางคนกล่าวว่าตายด้วยทนความทรมานไม่ไหวนี้เอง <br>
จะอย่างไรก็ตาม แต่เปนการแน่ว่ามองซิเออร์คอนซตันซ์ได้รับความทรมานอย่างสาหัสแล้วจึงได้ตายภายหลัง<br>
เรื่องจับพวกชาวยุโรปแลผู้นับถือสาสนาคริสเตียน<br>
แล้วเจ้าพนักงารได้จับนายทหารฝรั่งเศสบางคน ซึ่งอยู่ที่เมืองละโว้โดยคนเหล่านี้เปนผู้บังคับทหารรักษาพระองค์ ทั้งเปนผู้สอนเพลงอาวุธแลสอนท่าของทหารด้วย <br>
แล้วก็จับชาวยุโรปบางคนซึ่งเปนคนชาติอังกฤษแลชาติอื่น ๆ ด้วย พวกนี้เปนคนประจำตัวมองซิเออร์คอนซตันซ์ <br>
ลงท้ายที่สุดเจ้าพนักงารก็ได้จับชาวยุโรปที่ถือสาสนาคริสเตียนทั้งหมด ทั้งพวกแขกแลพวกอื่น ๆ ที่ถือสาสนาคริสเตียนที่อยู่ยังเมืองละโว้ <br>
เว้นแต่พวกฮอลันดาหาได้ถูกจับไม่เพราะพวกนี้ต่อสู้ไม่ยอมให้จับ<br>
๗๙<br>
เรื่องพระเพทราชาเรียกให้มองซิเออร์เดอลียอนขึ้นไปหา<br>
ในขณะนั้นออกพระเพทราชาได้ให้เขียนจดหมายใช้ถ้อยคำอย่างอ่อนหวานไปยังมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ แลมองเซนเยอร์เดอโรซาลี (๑) <br>
เชิญให้สังฆราชทั้งสองขึ้นไปยังเมืองละโว้โดยเร็ว มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศไม่ใคร่จะสบาย มองเซนเยอร์เดอโรซาลีจึงได้ขึ้นไป ยังเมืองละโว้แต่คนเดียว <br>
เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม มองเซนเยอร์ เดอโรซาลีได้ออกเดิรทาง เมื่อไปถึงเมืองละโว้นั้นการต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วนั้นเปนเรื่องที่เสร็จไปแล้วทั้งนั้น <br>
เว้นแต่มองซิเออร์คอนซตันซ์ยังไม่ตายแต่จวนอยู่แล้ว <br>
พอสังฆราชเดอโรซาลีไปถึงเมืองละโว้ เจ้าพนักงารก็พาตรงเข้าไปยังออกพระเพทราชา ๆ ได้พูดด้วยเสียงดังแลเสียงอย่างโกรธถึงความประพฤติของพวกฝรั่งเศส คือ<br>
เรื่องนายพล เดฟาซ์ไม่ยอมพากองทหารขึ้นไปยังเมืองละโว้ตามคำสั่ง แต่นายพล เดฟาซ์ก็พูดว่าที่มาอยู่เมืองไทยก็เพื่อประสงค์จะรับราชการของพระเจ้ากรุงสยามเท่านั้น <br>
แต่ถึงพูดดังนี้ก็ไม่มาตามคำสั่ง พระเพทราชาจึงบอกให้สังฆราชเดอโรซาลีให้ระวังตัวให้มาก แลให้สังฆราชพูดแลเขียน<br>
-----<br>
"(๑) มองซิเออร์ เดอลียอนได้รับหน้าที่เปนผู้ช่วยมองเซนเยอร์ลาโนเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๖๘๖ แลรับตำแหน่งสังฆราชเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๖๘๗ แต่มองซิเออร์เดอลียอนไม่ยอมรับสองหน้าที่นี้ ต่อปี ค.ศ. ๑๖๙๖ จึงได้รับเปนสังฆราชเดอโรซาลี"
๘๐<br>
จดหมายถึงนายพลเดฟาซ์ ให้นายพลเดฟาซ์ทำการตามพระราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินให้จงได้ พระเพทราชาจะทำการสิ่งใดแลจะพูดว่ากระไรคงอ้างพระราชโองการอยู่เสมอ แล้วพระเพทราชาจึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า "ถ้านายพลเดฟาซ์ไม่ทำตามพระราชโองการแล้ว พระ เจ้ากรุงสยามจะกริ้วมาก แลจะกริ้วพวกบาดหลวงฝรั่งเศส แลจะได้ เอาพวกบาดหลวงฝรั่งเศสมัดไว้ที่ปากกระบอกปืนด้วย" ท่านสังฆราชเดอโรซาลีจึงได้ตอบว่า จะสั่งอะไรกับนายพลเดฟาซ์ไม่ได้ ได้แต่พยายามพูดจาเกลี้ยกล่อมให้นายพลเดฟาซ์ทำตามคำสั่งเท่านั้น<br>
ว่าด้วยพระเพทราชาเรียกนายพลเดฟาซ์<br>
พระเพทราชาจึงสั่งให้สังฆราชกลับลงไปยังบางกอกโดยทันที แลจัดให้ข้าราชการที่เคยไปยังเมืองฝรั่งเศสแล้วควบคุมสังฆราชลงไป ด้วย <br>
บางคนก็พูดว่ามีกองทหารนำหน้าแลตามหลังไปด้วย แต่ทหารเหล่านี้ไปอย่างลับ ๆเพื่อคอยจับพวกฝรั่งเศสในเวลาที่นายพลเดฟาซ์จะไม่ยอมทำตามที่พระเพทราชาต้องการ <br>
เมื่อนายพลเดฟาซ์ได้ทราบความแล้ว ก็มีความหนักใจมากไม่ทราบว่าจะทำประการใด <br>
จึงได้เรียก นายทหารผู้ใหญ่มาประชุม ลงท้ายที่สุดนายพลเดฟาซ์ก็ตกลงใจว่า จะขึ้นไปยังเมืองละโว้กับบุตรชายคนหนึ่ง (บุตรคนเล็กได้ถูกจับที่เมืองละโว้แล้ว) <br>
แลจะไปพร้อมด้วยสังฆราชเดอโรซาลีกับข้าราชการที่ลงมาตามนั้นด้วย<br>
๘๑<br>
เมื่อนายพลเดฟาซ์พร้อมด้วยมองเซนเยอร์เดอโรซาลีแลข้าราชการได้ขึ้นไปถึงเมืองละโว้ เจ้าพนักงารก็พาเข้าไปยังพระราชวัง ตรง เข้าไปหาพระเพทราชา ๆ พูดเสียงโกรธมาก <br>
ถามนายพลเดฟาซ์ว่า เหตุใดจึงไม่นำกองทหารมาแต่มาผู้เดียวเช่นนี้ แลพูดต่อไปว่าถ้านายพลเดฟาซ์ไม่ทำด้วยความเต็มใจ <br>
พระเพทราชาจะใช้กำลังบังคับให้ทำให้จงได้ แลอย่าให้นายพลเดฟาซ์ทนงตัวนัก แลอย่าเข้าใจว่าป้อมนั้นจะคุ้มครองได้ เพราะถึงว่านายพลเดฟาซ์จะมีป้อมชนิดนั้นสัก ๑๐ ป้อม <br>
ก็จะเอานายพลเดฟาซ์ออกจากป้อมให้จงได้ <br>
แล้วพระเพทราชา ได้ให้เจ้าพนักงารอ่านข้อหากล่าวโทษนายพลเดฟาซ์ แลทหารฝรั่งเศสหลายข้อ แต่พระเพทราชาก็หาได้ให้นายพลเดฟาซ์มีเวลาแก้ข้อหาเหล่านั้นไม่<br>
ซึ่งเปนการจะแก้ได้โดยง่าย <br>
นายพลเดฟาซ์เปนแต่ตอบว่า พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสผู้เปนนายได้จัดให้กองทหารมาโดยมีน้ำพระทัยอันดีแลโดยรักใคร่พระเจ้ากรุงสยาม <br>
แต่เมื่อกองทหารเหล่านี้ไม่เปนที่ไว้ใจ ของเจ้าพนักงารแล้ว นายพลเดฟาซ์อยากจะทำให้คนทั้งพระราชอาณาจักรแลทั้งโลกเห็นในพระทัยอันเที่ยงตรงของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส <br>
แลในความซื่อสัตย์สุจริตของนายพลเดฟาซ์ เพราะฉนั้นขอให้จัดหาเรือมาไว้ จะเช่าหรือจะซื้อก็ตาม <br>
แล้วนายพลเดฟาซ์ก็จะลงเรือโดยทันทีพร้อมด้วยพลทหาร แลเข้าของสมบัติของตัว <br>
การที่นายพลเดฟาซ์พูดเช่นนี้ พระเพทราชาก็หายอมไม่ มีแต่จะเขี้ยวเข็นให้นายพลเดฟาซ์คุมกองทหารขึ้น -<br>
๑๒<br>
๘๒<br>
-ไปให้จงได้ แลจะบังคับให้นายพลเดฟาซ์มีหนังสือถึงรองผู้บังคับการ สั่งให้คุมทหารขึ้นมาทันที <br>
แลพูดต่อไปว่าถ้านายพลเดฟาซ์ไม่กระทำตามก็จะจับตัวใส่คุกเสีย <br>
นายพลเดฟาซ์จึงตอบว่า ถึงจะมีจดหมายสั่งให้รองผู้บังคับการคุมทหารขึ้นมา รองผู้บังคับการก็คงจะไม่ทำตามคำสั่ง เพราะในการเช่นนี้จะสั่งอะไรกันไม่ได้ <br>
เพราะตัวอยู่นอกป้อมเสียแล้ว <br>
ทั้งเมื่อเวลาจะลงเรือมาเมืองละโว้นั้น นายพลเดฟาซ์ได้พูดไว้กับข้าราชการที่ลงไปเรียก ว่า นายพลเดฟาซ์จะสั่งการแก่ทหารไม่ได้เสียแล้ว <br>
เพราะฉนั้น การที่จะให้กองทหารขึ้นมานั้น มีทางอยู่อย่างเดียว ซึ่งเปนทางดีที่สุด ก็คือ ต้องให้นายพลเดฟาซ์ลงไปเรียกเองเท่านั้น <br>
แลถ้าไม่เชื่อแล้วนายพลเดฟาซ์ยอมให้บุตรสองคนไว้เปนประกัน เมื่อได้โต้เถียงกันอยู่ช้านานก็เปนอันตกลงตามความเห็นนายพลเดฟาซ์<br>
นายพลเดฟาซ์ได้กลับลงไปยังบางกอก พร้อมด้วยผู้คนดุจเมื่อขึ้นมาเมืองละโว้ คือมีมองเซนเยอร์เดอโรซาลี (ยังเติมมองซิเออร์ เดอลาวีนอีกคนหนึ่ง) <br>
ข้าราชการไทย ๒ คนกับเรือใหญ่คุมไปด้วย ๕ ลำ<br>
ว่าด้วยมองเซนเยอร์ลาโนถูกเรียกไปเมืองละโว้<br>
ฝ่ายมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ถึงแม้ว่ายังป่วยอยู่ก็จริง แต่ก็ถูกเรียกให้ขึ้นไปยังเมืองละโว้อีก แลให้ไปพร้อมกับพวกมิซชันนารีที่เข้าใจภาษาไทย <br>
การเรียกคราวนี้ดูเปนการด่วนมาก เพราะฉนั้น - <br>
๘๓<br>
- มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ จึงได้ออกเรือเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พร้อมด้วยมองซิเออร์เฟเรอแลมองซิเออร์เลอเชอวาเลีย <br>
ในระหว่างกลางทางนั้นได้ไปพบนายพลเดฟาซ์กับคนทั้หลาย ดังกล่าวมาแล้วซึ่งจะล่อง ลงมาบางกอก<br>
เรื่องนายพลเดฟาซ์มาถึงบางกอก<br>
ครั้นนายพลเดฟาซ์ได้กลับมาถึงป้อมที่บางกอกแล้ว บันดานายทหารทุกคนก็คัดค้านว่าไม่ควรจะกลับขึ้นไปยังเมืองละโว้อีก <br>
แลอ้างเหตุว่า การที่จะให้นายพลเดฟาซ์ขึ้นไปพร้อมกับทหารตัวดี ๆ นั้นก็ไม่มีประสงค์อย่างอื่นนอกจากจะคิดการร้าย <br>
นายทหารทั้งหมดได้แสดงตัวว่าเต็มใจที่จะรักษาป้อมไว้ แลยอมตายด้วยถืออาวุธอยู่ในมือ ดีกว่าที่จะให้เขาฆ่าตายอย่างคนสามัญ <br>
เมื่อนายพลเดฟาซ์ได้ฟังดังนั้น ก็ยอมสละบุรสองคนที่ได้ให้ไว้เปนประกันที่เมืองละโว้ ดีกว่าที่จะพาพลทหารไปให้เขาฆ่าฟัน <br>
เมื่อได้ทำความตกลงในใจเช่นนี้แล้ว จึงได้เรียก ทหารมารวมกอง เพราะทหารเหล่านี้ได้แยกกันรักษาป้อมสองแห่ง <br>
แล้วจึงนำทหารออกจากป้อมที่อยู่ฝั่งข้างบางกอก ไปรวมอยู่ในป้อมฝั่งโน้นแล้วได้จัดการปิดป้อมไม่ให้คนเข้า แลแสดงตัวว่าจะไม่ยอมขึ้นไปยังเมืองละโว้ <br>
แลถ้าพระเพทราชาไม่ให้เรือตามที่ขอไว้ นายพลเดฟาซ์ กับพลทหารก็จะต่อสู้อย่างแขงแรง <br>
ข้าพเจ้าจะต้องกล่าวด้วยว่าเมื่อเวลา -<br>
๘๔<br>
- จะยกกองทหารออกจากป้อมฝั่งข้างบางกอกนั้น นายพลเดฟาซ์ได้สั่งให้ขนเครื่องศัตราอาวุธแลกระสุนดินดำไปด้วย ส่วนปืนใหญ่นั้นได้จัดการทำลายแล้วทิ้งน้ำ <br>
ยังมีปืนใหญ่กระบอกหนึ่งใช้กระสุนหนักถึง ๑๑๒ ปอนด์ ปืนกระบอกนี้นายพลเดฟาซ์ได้ให้เจาะ แลทำลายเสียด้วย<br>
การต่อสู้กันครั้งแรก<br>
ฝ่ายพวกไทยซึ่งอยู่ในแถบเหล่านี้เปนอันมากนั้น พอเห็นพวกฝรั่งเศสยกออกจากป้อมแล้ว ก็นำปืนเข้าไปตั้งในป้อม <br>
ไม่ช้าพวกฝรั่งเศสก็ยิงปืนออกไปหลายนัด พวกไทยก็ยิงตอบ เปนอันเริ่มต้นที่ได้รบกัน <br>
ข่าวที่เกิดยิงกันที่บางกอกนั้นก็ได้ทราบไปถึงพระราชวัง ณเมืองละโว้ กระทำให้เปนการแตกตื่นกันทั่วไป <br>
ในครู่เดียวก็ได้จัด การเกณฑ์ทหาร ไม่เลือกว่าชาติใดที่อยู่ในเมืองไทย ก็ถูกเกณฑ์ทั้งสิ้น <br>
พวกที่มีมากนั้นคือ พวกแขกมัว แขกมลายู พวกจีน มอญ แลไทย แลยังมี พวกปอตุเกศ ที่เปนคริสเตียนก็เข้าเปนทหารมาก <br>
มีคนพูดกันว่า เรือรบสองลำซึ่งนายเรือแลลูกเรือเปนชาวอังกฤษ พึ่งกลับมาจากเมืองเขมร ในราชการของพระเจ้าแผ่นดิน ควรจะกลับออกไปแล้ว แต่ก็หาได้ไปไม่ <br>
ฝ่ายพวกฮอลันดา ซึ่งเปนศัตรูของเรา แต่ไม่ไช่ศัตรูโดยเปิดเผย ก็ได้ฉวยโอกาศนี้ สำหรับกัดเราโดยเปนธุระ หาทั้งอาวุธ แลคนส่งให้แก่ไทย มากที่สุดที่จะจัดหาได้ <br>
ในเวลานั้น ก็ไม่ได้เห็นอย่างอื่น นอกจากการขนอาวุธ แลเห็นคนถือ อาวุธวิ่งไปข้างโน้นข้างนี้ เสียงอึกกระทึก<br>
๘๕<br>
- ครึกโครมทั่วไป ถ้าจะฟังเสียงที่เอะอะกันแลเสียงที่พูดกันแล้ว ดูเหมือนพวกฝรั่งเศสในบางกอก จะต้องเลอียดเปนผงในทันทีนั้นเอง <br>
คนโดยมาก ก็ใช้คำหมิ่นประมาทพวกฝรั่งเศส แลพูดด้วยว่าในไม่ช้าก็จะจับพวก ฝรั่งเศสมัดมือมัดเท้าให้หมด <br>
ถึงจะมีเสียงเช่นนี้สักปานใดก็หาได้ทำ ให้พวกฝรั่งเศสในป้อมหวาดหวั่นอย่างใดไม่ <br>
แต่สิ่งที่ทำให้พวกฝรั่งเศสกลัวนี้ ก็ที่เห็นว่าป้อมนั้นหาได้แน่นหนาเท่าไรไม่ เพราะมีช่องเปิดอยู่ถึงสามสี่แห่ง ทั้งกระสุนดินดำแลเสบียงอาหารก็มีน้อย <br>
แลคนที่จะรักษาหน้าที่ก็ไม่เพียงพอ เพราะในเวลานั้นมีทหารอยู่เพียง ๒๐๐ หรือ ๒๕๐ คนเท่านั้น <br>
จริงอยู่พลทหารที่ออกจากเมืองฝรั่งเศสมีจำนวนถึง ๖๐๐ คน แต่ในระหว่างเดิรทางได้ตายเสียกว่า ๑๐๐ คน แลตั้งแต่มาอยู่ในเมืองไทยก็ได้ตายเสียอีก ๑๐๐ คน <br>
ได้แบ่งให้ไปประจำอยู่ที่เมืองมริด เสีย ๑๕๐ คน แลอีก ๖๐ คนนั้น ได้ลงเรือหลวงไปลาดตระเวรตามชายทะเลตั้งแต่เดือนมีนาคม แลในเวลานี้ก็ยังหากลับมาไม่<br>
เรื่องพระเพทราชาจัดให้มองเซนเยอร์ลาโนลงไปบางกอก<br>
พอพระเพทราชาได้ทราบข่าวถึงเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบางกอก จึงได้ให้เจ้าพนักงารคุม มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศลงไปบางกอก เพื่อให้ไปพูดจาว่ากล่าวกับนายพลเดฟาซ์ <br>
เพราะพระเพทราชาเข้าใจว่า มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ คงจะพูดจาให้นายพลเดฟาซ์เชื่อถ้อย -<br>
๘๖<br>
- ฟังคำได้ดีกว่ามองเซนเยอร์เดอโรซาลี แต่ไม่ทราบว่าจะเปนคำสั่งของผู้ใด พอจวนจะมาถึงบางกอก พวกเจ้าพนักงารที่พระเพทราชาให้คุมมานั้น <br>
ได้ปล้น มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศกลางทาง จับเอาบ่าวไพร่ ผู้คนของท่านสังฆราชทุบตีแลจำไว้ครบ ๕ ประการ<br>
เรื่องพระเพทราชาเรียกให้มองซิเออร์เดอลียอนขึ้นไปหา<br>
จดหมายมองซิเออร์เดอลียอน<br>
ถึงผู้อำนวยการคณะการต่างประเทศ<br>
เมื่อประมาณวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พระเพทราชาได้จับตัวพระปีย์ไว้ ในพระราชวังเสร็จแล้ว มองซิเออร์คอนซตันซ์ ได้มีจดหมายมาถึง มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ แลข้าพเจ้า <br>
อ้างพระราชโองการ ให้ข้าพเจ้าหรือมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ คนใดคนหนึ่งขึ้นไปยังเมืองละโว้ <br>
มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ ไม่ใคร่จะอยากไป ข้าพเจ้าจึงได้ไปแต่คนเดียว เมื่อไปถึงก็ได้เห็นเมืองละโว้ เท่ากับเปนที่คุมขังเต็มไปด้วยพวกถือสาสนาคริสเตียน <br>
พวกนายทหารฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ที่เมืองละโว้ในเวลาที่ มองซิเออร์คอนซตันซ์ถูกจับนั้น ก็ถูกเจ้าพนักงารควบคุมอย่างกวดขัน <br>
ต่อข้าพเจ้า หรือ สังฆราชเมเตโลโปลิศ ไปถึงเมื่อใด จึงจะปล่อยพวกนี้ เพราะฉนั้น เมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปถึงเมืองละโว้แล้ว เจ้าพนักงารจึงได้ปล่อยให้นายทหารฝรั่งเศสมาหาข้าพเจ้า <br>
อีกสักครู่หนึ่ง พวกบาดหลวงเยซวิต ๙ หรือ ๑๐ รูปก็ตามหาข้าพเจ้า พวกบาดหลวง- <br>
๘๗<br>
- เหล่านี้ได้ชี้แจงแก่ข้าพเจ้าว่า ในเวลาที่ข้าพเจ้าจะพบกับพระเพทราชานั้นขอให้ข้าพเจ้าร้องถึงการที่มองซิเออร์คอนซตันซ์ ถูกจับ แลให้ข้าพเจ้าพูดยกเหตุว่าเปนการแผ่นดินด้วย <br>
แลพวกบาดหลวงเหล่านี้ ก็กล่าวต่อไปว่า ถ้าข้าพเจ้าขู่พระเพทราชาว่า พวกฝรั่งเศสในบางกอกจะขัดเคืองมากแล้ว พระเพทราชาก็คงไม่กล้าฆ่า มองซิเออร์คอนซตันซ์ <br>
ข้าพเจ้าต้องสารภาพว่า การที่บาดหลวงเยซวิต เหล่านี้หลงเชื่อถือ มองซิเออร์คอนซตันซ์ โดยหลับตาเช่นนี้ เปนการกระทำให้ข้าพเจ้านึกชมเชยพวกนี้เปนอันมาก<br>
ข้าพเจ้าจึงได้ตอบ พวกบาดหลวงเยซวิตว่า ถึงแม้ว่าความเห็นของข้าพเจ้า ในข้อที่เชื่อกันว่า มองซิเออร์คอนซตันซ์ ได้ทำการช่วยสาสนา แลช่วยแผ่นดิน <br>
จะตรงกันข้ามกับความเห็นของบาดหลวงเหล่านี้ก็จริงอยู่ แต่ข้าพเจ้าจะขอเอาพระเปนเจ้าเปนพยาน ว่าข้าพเจ้าอยากอย่างที่สุดที่จะช่วยให้มองซิเออร์คอนซตันซ์ได้รอดจากทุกข์แลภัย<br>
ซึ่งได้รับอยู่ในเวลาเดี๋ยวนี้ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเวทนาสงสารเปนอันมาก <br>
แต่การที่ข้าพเจ้าจะคิดจัดการเอง หรือจัดการโดยคำแนะนำของบาดหลวงเหล่านี้ ที่จะเอาเรื่องของ มองซิเออร์คอนซตันซ์ มาเปนเรื่องของพวกฝรั่งเศส ทั่วไปนั้น <br>
เปนการที่ข้าพเจ้าจะทำไปไม่ได้ แล ยิ่งเปนเวลาที่กำลังวุ่นวายกันอยู่เช่นนี้ เปนอันทำไม่ได้เปนอันขาด <br>
แต่ข้าพเจ้าจะรอฟังดูก่อนว่าพระเพทราชาจะพูดว่าอย่างไรบ้าง ถ้ามีโอกาศจึงจะช่วยมองซิเออร์คอนซตันซ์ได้<br>
๘๘<br>
ครั้นข้าพเจ้า รับประทานอาหารแล้วจึงได้ไปพบพระเพทราชา เวลานั้นบันดาข้าราชการผู้ใหญ่ได้ล้อมพระเพทราชาโดยรอบ บางคนก็หมอบอยู่ <br>
แต่ทุกคนได้แสดงกิริยาให้เห็นว่ายอมยกให้พระเพทราชาเปนนาย <br>
พระเพทราชาจึงได้บอกข้าพเจ้า ว่าพระเจ้ากรุงสยามทรงหวังพระทัยว่า นายพลเดฟาซ์คงจะขึ้นมายังเมืองละโว้ แลตำแหน่งหน้าที่ของ มองซิเออร์คอนซตันซ์ <br>
จะโปรดให้บุตรของนายพลเดฟาซ์รับแทน แต่บุตรนายพลเดฟาซ์เวลานี้ยังอายุน้อยนัก จึงเปนการจำเปนที่จะต้องให้นายพล เดฟาซ์ฝึกหัดบุตรไปก่อนจนกว่าจะชำนาญช่ำชอง <br>
แล้วพระเพทราชา จึงถามข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าคิดว่านายพลเดฟาซ์จะขึ้นมาหรือไม่ เพราะพระเจ้ากรุงสยามมีพระราชประสงค์จะให้มา แลได้รับสั่งถามถึงหลายครั้งแล้ว <br>
แลพระเพทราชา ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ในครั้งแรกนายพลเดฟาซ์ ไปเข้าใจเสียว่า พระเจ้ากรุงสยามได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว <br>
นายพลเดฟาซ์ จึงได้กลับลงไปบางกอก <br>
ครั้นต่อมาพระเจ้ากรุงสยาม มีรับสั่งให้ นายพลเดฟาซ์ขึ้นไปยังเมืองละโว้ให้จงได้ แต่นายพลเดฟาซ์ก็บอกป่วย พระเจ้ากรุงสยามจึงได้รับสั่งให้แพทย์ลงไปรักษา <br>
แต่แพทย์ได้มารายงารว่านายพลเดฟาซ์หาป่วยอย่างใดไม่ <br>
ถ้าต่อไปนายพลเดฟาซ์ยังขัดขืนดื้อดึงไม่ยอมขึ้นมายังเมืองละโว้แล้ว ก็จะเปนการกระทำให้พระเจ้ากรุงสยาม ทรงสงสัยในพระเพทราชาต่าง ๆ <br>
ซึ่งอาจจะทำให้ถึงแตกร้าวกันได้ แล้ว พระเพทราชา จึงบอกว่า ในวันพรุ่งนี้จะได้จัดให้ข้าราชการที่ได้เคยเปน -<br>
๘๙<br>
- ราชทูตที่ ๑ แลที่ ๒ ไปประเทศฝรั่งเศสแล้วนั้น ไปพร้อมกับข้าพเจ้า เพื่อไปเชิญให้นายพลเดฟาซ์ขึ้นมาเมืองละโว้ แต่ในระหว่างที่นายพลเดฟาซ์ยังไม่มานั้น <br>
พระเพทราชาจะต้องเอาตัวบุตรที่สองของนายพลเดฟาซ์ ไว้ก่อน<br>
ในเรื่องนี้พระเพทราชาจะคิดการอย่างใดหรือจะประสงค์อย่างใดนั้น ไม่จำเปนจะต้องกล่าวถึง แต่ใคร ๆ ก็คงจะเห็นได้โดยง่ายว่า <br>
การที่พระเพทราชาใช้ให้ข้าพเจ้าลงไปบางกอกดังนี้ เปนการที่ข้าพเจ้าจะขัดขืนไม่ได้เปนแน่ <br>
เพราะไม่ได้ให้ข้าพเจ้าทำอะไร นอกจากไปพร้อมกับราชทูตสองคน แล้วให้ราชทูตสองคนเกลี้ยกล่อมให้นายพลเดฟาซ์ขึ้นไปยังเมืองละโว้เท่านั้น <br>
แลข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า คงจะไม่มีชาวฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ที่เมืองละโว้ จนคนเดียว ที่จะไม่ยินดีไปกับราชทูตเช่นนี้<br>
เรื่องการปฎิบัติของมองเซนเยอร์ลาโนแลมองซิเออร์เดอลียอน ในเรื่องที่ให้คำแนะนำแก่นายพลเดฟาซ์<br>
จดหมายมองซิเออร์เดอบรีซาเซีย<br>
ถึงมองซิเออร์เดอลียอน<br>
วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๖๙๒ (พ.ศ. ๒๒๓๕)<br>
ยังมีการอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่สบายใจมาก แลซึ่งข้าพเจ้า จะต้องขอร้องให้ท่านสงบใจไว้ คือบาดหลวงแวยูเที่ยวพูดทุกหนทุกแห่ง<br>
๑๒<br>
๙๐<br>
ไม่ว่าใคร ๆ ที่พอใจฟังบาดหลวงแวยู ก็เล่าให้ฟัง จนที่สุดเพื่อนรักสนิธของเราก็ได้รับคำเล่าของบาดหลวงแวยู <br>
(มีพยานคือ มองเซนเยอร์เดอลาออ งมาบอกพวกเราได้ ๘วันแล้ว) ว่าเหตุที่ทำให้ มองซิเออร์คอนซตันซ์ ถูกประหารชีวิตนั้น ก็เพราะคำแนะนำของท่านต่อนายพลเดฟาซ์เปนต้นเหตุ<br>
ทั้งการที่พวกฝรั่งเศสถูกกระทำร้ายต่าง ๆ แลการของสาสนา ได้พลิกแพลงไม่เปนการสำเร็จนั้น ก็โทษคำแนะนำของท่านทั้งสิ้น <br>
ที่ข้าพเจ้าเล่ามาทั้งนี้ก็มิได้ประสงค์จะให้ท่านขัดเคืองอย่างใด แต่เพื่อให้ท่านตั้งธรรมในใจตามคำสั่งสอนของสาสนา กล่าวคือให้รักพวกที่ทำการดุจจะเปนพวกเรา <br>
แต่ความจริงหาได้เปนพวกเราไม่ แลฝ่ายพวกเรานั้นก็พยายามทำการทุกอย่าง มิให้ผู้ใดกล่าวโทษเราได้<br>
จดหมายเหตุถึงการอย่างหนึ่ง ซึ่งได้มีผู้ขอให้ข้าพเจ้าชี้แจงให้แจ่มแจ้ง<br>
มองซิเออร์เดอลียอน เปนผู้แต่ง<br>
วันที่ ๔ เดือนมกราคม ค.ศ.๑๖๙๒ (พ.ศ. ๒๒๓๕)<br>
เรื่องนี้ เปนเรื่องที่ ข้าพเจ้ากับมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ ได้แนะนำ ไม่ให้ นายพลเดฟาซ์ขึ้นไปยังเมืองละโว้ ซึ่งมีคนหาว่าเปนต้นเหตุกระทำให้เกิดวุ่นวายในเมืองไทย<br>
๙๑<br>
เพราะฉนั้น ในที่นี้ ข้าพเจ้าจะได้กล่าวแต่ฉเพาะความที่เปนจริงว่า <br>
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน ค.ศ. ๑๖๘๘ (พ.ศ. ๒๒๓๑) เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ดำเนิรไปอย่างไร คือนายพลเดฟาซ์กับพลทหาร ๗๐ คน กำลังเดิรทางจะขึ้นไปยังเมืองละโว้ <br>
ได้แวะที่ห้างฝรั่งเศส พบกับ มองซิเออร์ เวเรต์ หัวหน้าของบริษัท <br>
มองซิเออร์เวเรต์จึงได้พูดโดยเปิดเผยว่า เมื่อการยังวุ่นวายอยู่เช่นนี้ เปนการน่าประหลาดว่า นายพลเดฟาซ์จะไปเมืองละโว้ด้วยเหตุอันใด <br>
เพราะมองซิเออร์เวเรต์เกรงว่า พวกฝรั่งเศสที่อยู่ในแผ่นดินสยาม คงตายหมดทุกคน <br>
นายพลเดฟาซ์กับมองซิเออร์เวเรต์ ได้สนทนากันในเรื่องนี้อยู่ช้านาน จึงได้พากันไปยังโรงเรียนสามเณร เพื่อถามความเห็นข้าพเจ้า<br>
แลมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศว่า ควรจะไปยังเมืองละโว้หรือจะควรทำอย่างไร <br>
ในคราวนั้นทั้งมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ แลตัวข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะบอกนายพลเดฟาซ์ตรง ๆ ว่าความเห็นของเราเปนอย่างไร ซึ่งเปนเหตุทำให้มีผู้กล่าวโทษเรา ๒ ข้อ คือ <br>
๑ ที่เราได้ออกความเห็นในการล่อแหลมเช่นนี้ <br>
๒ ที่เราได้มีความเห็นเช่นนี้<br>
ว่าด้วยเหตุที่พวกสังฆราชออกความเห็นให้แก่นายพลเดฟาซ์ในข้อ ๑<br>
ผู้ที่มาถามความเห็นเรานั้น เปนข้าราชการของพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส เปนแม่ทัพของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงมอบหมาย
๙๒
ให้ดูแลควบคุมพวกชาวฝรั่งเศส ข้อถามนั้นก็เกี่ยวในการอย่างสำคัญในโลกนี้ เพราะเกี่ยวทั้งการสาสนาแลการแผ่นดิน แลเกี่ยวถึงชีวิต ของชาวฝรั่งเศสแลพวกถือสาสนาคริสเตียนด้วย ผู้ที่รับคำถามนั้น ก็คือ มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศซึ่งเปนตำแหน่งวิแกอาปอศโตลิกแห่งเมืองไทย แลโดยตำแหน่งนั้นจึงเปนบิดาของพวกถือสาสนาคริสเตียนทั้งหลายในพระราชอาณาจักรนี้ แลถามตัวข้าพเจ้าซึ่งได้รับตำแหน่งเปนผู้ช่วยของท่านสังฆราช การที่นายพลเดฟาซ์มาถามนี้ก็โดยได้ รับคำสั่งจากพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสโดยฉเพาะซึ่งสั่งให้มาถามในข้อความที่สำคัญ ๆ คำสั่งนี้นายพลเดฟาซ์ได้เอามาให้ข้าพเจ้าดูเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง เพราะแต่ก่อนๆเมื่อนายพลเดฟาซ์มาถามข้าพเจ้าในข้อที่ไม่เกี่ยวในการหาเลี้ยงอาชีวะข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าไม่ใคร่ตอบแลออกความเห็นอย่างใด เพราะฉนั้นนายพลเดฟาซ์จึงได้เอาคำสั่งมาให้ข้าพเจ้าดู ข้าพเจ้า จึงต้องสารภาพว่าในคราวนี้ ถ้าข้าพเจ้าแลมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ ไม่ได้ออกความเห็นให้แก่นายพลเดฟาซ์แล้ว ข้าพเจ้าจะต้องถือใจว่า ได้ทำบาปอย่างหนัก แลได้ทำการผิดหน้าที่แลผิดพระราชโองการของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสด้วย
ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าไม่ยอมออกความเห็นให้แก่นายพลเดฟาซ์แล้ว ข้าพเจ้าจะต้องขอย้อนถามว่า ถ้ามีผู้กล่าวหาว่าการที่ข้าพเจ้าไม่ยอมออกความเห็นนั้น เปนความผิดต่อพระเปนเจ้าแลมนุษย์ทั่วไปแลผิด
๙๓<br>
ต่อพระเจ้าแผ่นดินด้วยดังนี้ จะให้ข้าพเจ้าตอบว่าอย่างไรเล่า เพราะมองซิเออร์เดฟาซ์ก็พึ่งมาอยู่ในเมืองไทยไม่นานเท่าไรนัก ทั้งภาษา ไทยก็ไม่เข้าใจจนคำเดียว จะรู้ไม่ได้เปนแน่ว่าได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร ฝ่ายพวกเราที่เปนมิซชันนารีเปนพวกชาติฝรั่งเศสที่เข้าใจภาษาไทย แลในเวลาทำการตามหน้าที่ก็ต้องเกี่ยวข้องกับพวกไทยอยู่เสมอ แลมิต้องใช้ล่ามเลย แต่ทำการด้วยตัวของตัวเองทั้งสิ้น มองซิเออร์ เดอเมเตโลโปลิศเอง ก็ได้ชำนาญคุ้นเคยกับการในประเทศสยามมา ได้ ๒๕ ปีแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้คุ้นเคยมาหลายปีแล้ว พวกบาดหลวง อื่น ๆ ซึ่งมาทำการในเมืองไทย ก็รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ในเมืองไทยเปน อันมาก แลยังมีคนไทยที่ไว้ใจได้หลายคนก็คอยนำความต่าง ๆ มา บอกเล่าอยู่เสมอ การทั้งนี้ก็อาจจะทำให้เห็นได้โดยง่ายว่า พวกเราได้ รู้ในความจริงของเมืองไทยได้เพียงไร จนถึงกับเมื่อปีก่อนเมื่อมองซิเออร์เดอลาลูแบร์ แลมองซิเออร์เซเบเรต์ได้กลับไปแล้ว พวกเราก็ได้เขียนข่าวบอกไปยังยุโรปว่า เมื่อเรือกลับไปถึงแล้วน่ากลัวพวกฝรั่งเศส จะต้องถูกฆ่าตายหมด แลคงจะได้เห็นพระเพทราชาเปนพระเจ้าแผ่นดินสยามต่อไปดังนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถึงมองซิเออร์คอนซตันซ์แลคนอื่น ๆ ที่ได้เห็นการต่าง ๆ ด้วยตาของตัวเองก็คงจะพูดเช่นนี้เหมือนกัน
มองซิเออร์เดฟาซ์ได้ตกอยู่ในที่อันลำบากใจอย่างที่สุดแลเปนสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าผลที่สุดของเรื่องนี้ ก็เกี่ยวถึงชีวิตของ พวกฝรั่งเศสทั้งหมด
๙๔<br>
เมื่อการเปนอยู่ดังนี้ มองซิเออร์เดฟาซ์ก็มาหาเราแลมาขอความเห็นเรา ทั้งได้เอาคำสั่งมาให้เราดูว่าถ้ามีเหตุการณ์ชนิดนี้เกิดขึ้นก็ให้มองซิเออร์เดฟาซ์มาหารือเรา ซึ่งกระทำให้แลเห็นได้ว่า พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสมีพระประสงค์จะให้พวกเราออกความเห็นดังนี้ เพราะฉนั้นถ้าเราจะอ้างเหตุแต่อย่างเดียวว่า เรื่องนี้เปนการของบ้านเมืองไม่ได้เกิยวกับการสาสนา ดุจชีวิตของฝรั่งเศสจะเปนจะตายเปนสิ่งที่เราไม่ต้อง ธุระด้วย แลเราจะทำใจแข็งไม่ยอมออกความเห็นให้เช่นนี้ ถ้าแม้ว่านายพลเดฟาซ์ได้ตกลงในใจ แลทำตามที่ได้ทำมาแล้วก็ดี หรือถ้า หากว่านายพลเดฟาซ์จะตกลงในใจคงขึ้นไปยังเมืองลพบุรีก็ดี ถ้าแม้ว่านายพลเดฟาซ์กับชาวฝรั่งเศสทั้งหลายได้ไปเสียทีถูกกลอุบายของพวกไทย ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเปนการแน่นอนดังนี้ ข้าพเจ้าขอถามว่าที่เรา จะไม่ยอมออกความเห็นนั้นจะมีคนสรรเสริญเราหรืออย่างไร
ถ้าแม้ว่าจะมีเหตุผลอย่างใด ๆ ซึ่งไม่ควรเราจะออกความเห็นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ต้องรับสารภาพโดยตรงว่า ความไหวพริบของข้าพเจ้าไม่พอที่จะเห็นเหตุผลเหล่านั้น บางทีผู้ที่กล่าวโทษเราว่าเปนผู้ออกความเห็น ให้แก่มองซิเออร์เดฟาซ์ จะไม่ได้เคยออกความเห็นในสิ่งที่ตัวไม่มีความรู้เลย ถ้าเปนเช่นนั้นการเรื่องนี้จะกลับกลายเปนอย่างอื่นได้กระมัง ในส่วนตัวข้าพเจ้าเองจะบอกได้ด้วยความจริงใจ ว่าในระหว่างเวลาที่รู้จักกบมองซิเออร์เดฟาซ์นั้น จะมีข้อที่มองซิเออร์เดฟาซ์จะกล่าวโทษข้าพเจ้าได้
๙๕<br>
ก็คือที่ข้าพเจ้าไม่ใคร่เต็มใจที่จะออกความเห็นให้แก่นายพลเดฟาซ์เลยหาใช่ข้าพเจ้าพอใจหาเรื่องที่จะออกความเห็นให้ไม่
ข้าพเจ้าได้กล่าวในข้อนี้โดยยืดยาวก็เพราะเห็นว่า ข้อที่จะมีผู้กล่าวโทษมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศแลข้าพเจ้า เกี่ยวในข้อนี้มาก กว่าข้อ ๒
ว่าด้วยเหตุที่พวกสังฆราชแนะนำไม่ให้นายพล เดฟาซ์ ขึ้นไปเมืองละโว้<br>
บัดนี้จะได้กล่าวถึงข้อ ๒ ขอให้พิจารณาดูว่าตามเหตุผลต่าง ๆ นั้น ที่ข้าพเจ้าแล มองซิเออร์ เดอ เมเตโลโปลิศ กับมองซิเออร์เวเรต์ ได้ แนะนำตามที่ได้แนะนำไปแล้วนั้น จะควรหรือไม่
ข้าพเจ้าจะได้ชี้แจงตามเรื่องที่ได้เปนไปทุกประการ คือ เมื่อมองซิเออร์ เดฟาซ์ กับมองซิเออร์ เวเรต์ ได้มาถึงโรงเรียนสามเณรนั้น มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ กำลังทำพิธี แซนต์อุวิล (Sainteshuiles) ข้าพเจ้าเองก็ได้สวมเสื้อเสร็จแล้วเตรียมจะช่วยท่านสังฆราช มอง ซิเออร์ เวเรต์ จึงได้ให้คนมาบอกข้าพเจ้าว่า ขอให้ข้าพเจ้าไปพบกับมองซิเออร์ เดฟาซ์ให้ได้ เพราะเปนเรื่องที่สำคัญมาก ข้าพเจ้าจึง ได้เปลื้องเสื้อแล้วออกไปหา ได้นั่งสนทนากันทั้งสามคนอยู่ช้านาน มองซิเออร์ เวเรต์ จึงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงข้อความที่ มองซิเออร์ เวเรต์
๙๖
กับ มองซิเออร์เดฟาซ์ ได้พูดกันมาแล้ว แลซ้ำแนะนำ มองซิเออร์ เดฟาซ์ อีกว่า ไม่ควรจะขึ้นไปยังเมืองละโว้ โดยอ้างเหตุผล ต่าง ๆ ซึ่งข้าพเจ้าเองก็เห็นว่าพอฟังได้ ฝ่าย มองซิเออร์ เดฟาซ์ ก็ ไม่ได้ตอบว่ากระไร นอกจากพูดยืนคำอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าไม่ขึ้นไป แล้ว มองซิเออร์ เดฟาซ์ กับ มองซิเออร์ คอนซตันซ์ ก็คงจะต้องขัดใจ กัน แลเปนการจำเปนที่จะต้องเอาใจ มองซิเออร์ คอนซตันซ์ เพื่อ ให้การสร้างป้อมที่บางกอกเปนการสำเร็จ ส่วนข้าพเจ้าก็ได้เล่าว่า ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะเปนแต่เพียงคนสอนสาสนาก็จริงอยู่ แต่ก็ได้ทราบความมาจากหลายทางถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แลข้าพเจ้าเห็นเปนการจำเปนที่จะต้องบอกให้ มองซิเออร์ เดฟาซ์ ทราบเหตุการณ์หลายอย่าง ให้แลเห็นว่าการที่จะยกขึ้นไปเมืองละโว้นั้น น่ากลัวจะมี อันตรายอย่างไร โดยถือเสียว่า เมื่อบุคคลจะต้องทำการอย่างใด เมื่อทราบรายเลอียดของการนั้น ๆ ก็อาจจะทำการให้สำเร็จได้ เพราะ ฉนั้นจึงจำเปนต้องเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้มองซิเออร์เดฟาซ์ ฟัง เพื่อ เตรียมการที่จะป้องกันไว้ได้ แต่ถึงดังนั้น ในขณะนั้นข้าพเจ้าก็ยัง ไม่ได้แนะนำอะไรเด็ดขาดลงไป เปนแต่พูดว่า การที่ มองซิเออร์ เดฟาซ์ จะคิดไปเมืองละโว้เพราะเหตุใด แลมองซิเออร์ เดฟาซ์ จะได้ ทำความตกลงไว้กับ มองซิเออร์ คอนซตันซ์ อย่างไร เปนสิ่งที่ข้าพเจ้าทราบไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าจะขึ้นไปเมืองละโว้ในเวลาที่มี เหตุการณ์อยู่อย่างนี้ ก็คงจะมีเหตุอย่างสำคัญเกิดขึ้นเปนแน่
๙๗
ฝ่ายมองซิเออร์ เดฟาซ์ เปนคนที่เชื่อใจ มองซิเออร์ คอนซตันซ์อย่างมั่นคง เพราะไม่ได้ทราบเรื่องอะไรนอกจากสิ่งที่มองซิเออร์ คอนซตันซ์จะต้องการให้ทราบเท่านั้น ครั้นมาได้ยินได้ฟังเรื่องต่าง ๆ ก็เกิดเปลี่ยนความคิดในสิ่งที่เกี่ยวด้วยมองซิเออร์ คอนซตันซ์ จึงเกิดหนักใจอย่างที่สุด ด้วยการที่จะขึ้นไปเมืองละโว้คราวนี้ จะต้อง ไปเพราะเหตุไรนั้น มองซิเออร์ เดฟาซ์ ก็ยังหาขยายความจริงให้พวกเราทราบไม่ เพราะได้สัญญาไว้กับมองซิเออร์ คอนซตันซ์ ว่า จะ ไม่บอกให้ใครรู้เลย พอสักครู่หนึ่งมองซิเออ ร์เดฟาซ์ ก็ยังไม่ตกลง ใจว่าจะทำประการใดแน่ แลมองซิเออร์ เดอเมเตโลโปลิศ ก็ได้มาสนทนาด้วยแล้ว มองซิเออร์ เดฟาซ์ จึงตกลงขยายความจริงให้เรา ทั้งสามคือ มองซิเออร์ เดอเมเตโลโปลิศ มองซิเออร์ เวเรต์ แลตัวข้าพเจ้าทราบ แต่ขอให้เราทั้งสามปิดความนี้ไว้อย่าให้แพร่หลายเลย แลเมื่อได้ทราบความจริงแล้ว ก็ขอให้เราทั้งสามได้ออกความเห็นด้วยว่าควรทำประการใด มองซิเออร์ เดฟาซ์ จึงได้เล่าว่า เมื่อหลายวัน มาแล้ว มองซิเออร์ เดฟาซ์ ได้ ขึ้นไปยังเมืองละโว้แต่ผู้เดียวเพื่อไป ตรวจการ มองซิเออร์ คอนซตันซ์ จึงได้เล่าให้ มองซิเออร์ เดฟาซ์ ฟังว่า พระเจ้ากรุงสยามทรงพระประชวรหนัก จึงได้มีรับสั่งให้หามองซิเออร์ คอนซตันซ์ พระเพทราชา กับพระปีย์ราชบุตรบุญธรรมให้
๑๓
๙๘
เข้าไปเฝ้าทั้งสามคน แลรับสั่งว่าเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้วทรงเกรงว่า สมเด็จพระอนุชาทั้งสองพระองค์ จะไม่จัดการพระศพ ให้สมพระเกียรติยศ เพราะสมเด็จพระอนุชาทั้งสองพระองค์ หามีความรักใคร่พระเจ้าแผ่นดินไม่ พระเพทราชากับพระปีย์จึงได้กราบทูลรับรองว่า พระเพทราชากับพระปีย์จะช่วยกันเปนธุระคอยป้องกันมิให้เปนเช่นนั้นได้ แลจะได้จัดการพระศพให้สมพระเกียรติยศทุกอย่างเหมือนดังพระศพพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น ๆ ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เพราะฉนั้นเมื่อพระเจ้ากรุงสยามเสด็จสวรรคตลงเวลาใด พระเพทราชากับพระปีย์จะต้องอยู่ในพระราชวังจนกว่าจะได้ถวายพระเพลิงแต่เมื่อได้ถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว พระเพทราชากับพระปีย์คบคิดกันจะปล้น พระคลังในเมืองละโว้ แล้วต่างคนจะขึ้นช้างหนีออกนอกพระราชอาณาเขต เพราะทั้งสองคนนี้ไม่ถูกกับสมเด็จพระอนุชา โดยเหตุที่ครั้งหนึ่งพระปีย์ได้ทุบตีสมเด็จพระอนุชาโดยพระราชโองการ แลที่ไม่ถูกกับ พระเพทราชานั้น เพราะเกี่ยวด้วยน้องสาวของสมเด็จพระอนุชา ซึ่งเปนพระสนมของพระเจ้าแผ่นดิน มองซิเออร์ คอนซตันซ์ จึงได้เล่าให้มองซิเออร์เดฟาซ์ ฟังต่อไปว่า ทั้งพระเพทราชาแลพระปีย์ได้เกลี้ยกล่อมให้ มองซิเออร์ คอนซตันซ์ เปนพวกเดียวกันโดยอ้างเหตุว่า สมเด็จ พระอนุชาทรงเกลียดมองซิเออร์ คอนซตันซ์ มาก มองซิเออร์ คอนซตันซ์ จึงแกล้งทำยอมเปนพวกพระเพทราชาแลพระปีย์ แลการ
๙๙
ที่จะให้ มองซิเออร์ เดฟาซ์ คุมกองทหารขึ้นไปยังเมืองละโว้นั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พระเพทราชากับพระบีย์ทำการสำเร็จได้ เพราะฉนั้นเพื่อจะหาโอกาศให้ มองซิเออร์ เดฟาซ์ คุมกองทหารขึ้นไปยังเมืองละโว้ ได้นั้น มองซิเออร์ คอนซตันซ์ จึงได้กราบทูลพระเจ้ากรุงสยามว่า การที่มองซิเออร์ เดฟาซ์ จะไปเมืองละโว้แต่คนเดียวนั้น ไม่สมเกียรติยศ ของ มองซิเออร์ เดฟาซ์ พระเจ้ากรุงสยามจึงได้มีรับสั่งว่า จะเอาคนขึ้นมาด้วยเท่าไรก็ได้แล้วแต่ใจ จึงได้เปนอันตกลงว่า เมื่อ มองซิเออร์ เดฟาซ์ ได้ขึ้นไปถึงเมืองละโว้แล้ว ให้ มองซิเออร์ เดฟาซ์ เข้าไปใน พระราชวัง ยึดพระราชทรัพย์ของพระเจ้ากรุงสยามไว้ แล้วจึงให้ จับตัวพระเพทราชากับพระปีย์ไว้ เมื่อได้ทำการสำเร็จแล้ว จะได้ อันเชิญให้สมเด็จพระอนุชาองค์ที่ ๒ ขึ้นครองราชสมบัติ เพราะพระอนุชาองค์ใหญ่พิการ ได้ทรงเวรราชสมบัติให้แก่พระอนุชาแล้ว ถ้า ได้กระทำการอันนี้สำเร็จ ก็เท่ากับได้ทำการใหญ่ให้แก่สมเด็จพระ อนุชา เมื่อสมเด็จพระอนุชาได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ก็คงจะโปรดปรานพวกฝรั่งเศสมาก
นี้แลเปนเรื่องที่จะทำให้มองซิเออร์ เดฟาซ์ ขึ้นไปยังเมืองลพบุรี แลการที่พวกเราได้แนะนำไปนั้น ก็โดยถือเหตุนี้เปนหลักเกณฑ์ แล ต้องจับหลักนี้สำหรับพิเคราะห์ว่า คำแนะนำของเราจะถูกผิดประการใด ข้าพเจ้าต้องพูดย้ำในข้อนี้ เพราะต่อนั้นมาข้าพเจ้าได้ยินคนพูดว่า การต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วหาจริงไม่ แต่บางทีก็จะเปนเรื่องอุบายใน
๑๐๐
ระหว่างคนที่พูดนี้กับ มองซิเออร์เดฟาซ์ ซึ่งไม่ใช่กิจของเรา แต่ ตามเรื่องราวที่ได้เล่ามาข้างบนนี้ เปนใจความของข้อหารือของมองซิเออร์ เดฟาซ์ แลเปนเรื่องซึ่งจะให้ข้าพเจ้าสาบาลตัวเมื่อไรก็ได้
ข้าพเจ้าจะต้องกล่าวต่อไปในที่นี้ว่า การที่ มองซิเออร์ เดฟาซ์ ลังเลอยู่ในใจไม่ทราบว่าจะทำประการใดดีนั้น เปนการที่กระทำให้มองซิเออร์ เดฟาซ์ ปิดความจริงไว้ ไม่ได้ แลก็คงไม่มีสติพอที่จะคิด แต่งข้อความตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาข้างบนนี้แล้ว ทั้งการที่มองซิเออร์เดฟาซ์ จะขยายความจริงให้เราฟังทั้งหมด จะเปนประโยชน์แก่ตัวมองซิเออร์ เดฟาซ์ เองด้วย
เมื่อมองซิเออร์ เดฟาซ์ ได้ขยายความจริงถึงเหตุผลที่จะต้องการขึ้นไปยังเมืองละโว้ให้เราฟังแล้ว ฝ่ายพวกเราก็เห็นจำเปนจะต้องเล่า ถึงเหตุการณ์ที่เปนไปให้ มองซิเออร์ เดฟาซ์ ฟังบ้าง การที่พระเจ้า กรุงสยามทรงพระประชวรนั้น มองซิเออร์ เดฟาซ์ ได้ทราบอยู่แล้ว เราจึงได้เล่าให้ฟังต่อไปว่า มีข่าวลือกันเซงแซ่ว่าได้สวรรคตแล้ว ซึ่งน่าจะเปนจริง เพราะเหตุว่าถ้าเปนเวลาปรกติ การที่คนไทยจะ พูดว่าพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตนั้น ก็เปนความผิดอย่างร้ายแรงที่จะพูดเช่นนี้ แต่ในคราวนี้พวกไทยก็พูดโดยเปิดเผย แต่จะสวรรคตแล้ว หรือยังก็ตาม พระอาการก็หนักมากจนถึงกับเสด็จออกไม่ได้ ซึ่ง เปนการเท่ากับสวรรคตแล้วเหมือนกัน อีกประการหนึ่ง พวกเรา ก็ได้ทราบโดยมีพยานหลักฐานว่า พระเจ้ากรุงสยามหาได้ว่าราชการ
๑๐๑
แผ่นดินแต่ฉเพาะพระองค์ไม่ กล่าวคือสมเด็จพระอนุชาทั้งสองพระองค์ซึ่งแต่ก่อนเคยถูกบีบมาแล้วจนถึงกับออกขุนนางไม่ได้ คือจะให้ขุนนางเฝ้าก็ไม่ได้ หรือจะพบปะกับขุนนางก็ไม่ได้ ถ้าองค์ใดองค์หนึ่งขืน พบปะกับขุนนางก็จะต้องถูกสำเร็จโทษนั้น มาบัดนี้สมเด็จพระอนุชาทั้งสองก็ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา แลออกขุนนางให้ข้าราชการเฝ้าทุกวัน จนที่สุดชาวต่างประเทศหลายคนมีจีนแลญวนเปนต้น ซึ่งอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ได้ส่งชื่อเข้าไปถวายเพื่อขอฝากตัวเปนข้า พวกเราก็ได้ ทราบเปนการแน่ว่า มองซิเออร์ คอนซตันซ์ ไม่เคยได้คบค้ากับสมเด็จพระอนุชาทั้งสองเลย แลเราก็ได้ทราบมานานแล้วว่า อำนาจของมองซิเออร์ คอนซตันซ์ ได้น้อยลงเปนอันมาก แต่ถึงดังนั้นมองซิเออร์คอนซตันซ์ ก็ปิดพวกฝรั่งเศส คงประพฤติตัวดุจยังคงมีอำนาจอยู่ อย่างเดิม ทั้งพวกไทยก็ไม่ได้ทำตามคำสั่งของ มองซิเออร์ คอนซตันซ์แล้ว ซึ่งพวกบาดหลวงบางคนได้เห็นประจักษ์แก่ตา ทั้งที่เมือง ละโว้แลที่กรุงศรีอยุธยา การที่เปนดังนี้ก็เปนธรรมดาอยู่เอง จะ เปนอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะคนเกลียด มองซิเออร์ คอนซตันซ์ ทั่ว พระราชอาณาจักร ที่ได้มีอำนาจขึ้นก็เพราะพระเจ้ากรุงสยามทรงชุบเลี้ยง แลเวลานี้ก็ทรงพระประชวรหนัก จนถึงกับว่าราชการแผ่นดิน ไม่ได้แล้ว เพราะฉนั้นคนทั้งหลายจึงถือว่า มองซิเออร์ คอนซตันซ์ เปนคนหมดวาสนาแล้ว แลมีเสียงเล่าลือกันว่า มองซิเออร์ คอนซตันซ์จะต้องถูกจับ แลต่างคนก็ต่างคอยดูว่าจะจับกันเมื่อไร ในเวลานั้น
๑๐๒
มองซิเออร์ คอนซตันซ์ ก็ไม่ใคร่ได้เฝ้าพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ในพระ ราชวังเอง มองซิเออร์ คอนซตันซ์ ก็ไม่ใคร่ได้เข้าไป จะเข้าไปได้ ก็เพียงท้องพระโรงข้างนอก ซึ่งเปนที่สำหรับข้าราชการพักแลห้องที่แพทย์พักเท่านั้น ที่มองซิเออร์ คอนซตันซ์ ได้เข้าไปในห้องพักของแพทย์นั้น ก็โดยถูกตามให้เปนล่ามของพวกมิซชันนารี ซึ่งถวาย พระโอสถต่อพระเจ้ากรุงสยามเท่านั้น พระเจ้ากรุงสยามก็ได้มีรับสั่งแล้ว ให้มองซิเออร์ คอนซตันซ์ เวรคืนหน้าที่เสีย แลรับสั่งให้ มองซิเออร์ คอนซตันซ์ ออกจากราชการเสียด้วย เพราะไม่ทรงไว้ พระทัยแล้ว ด้วยพวกที่เปนศัตรูของ มองซิเออร์ คอนซตันซ์ มีพวก มากนัก การที่ให้ มองซิเออร์ คอนซตันซ์ พักราชการนั้น ข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งได้พูดกับ มองซิเออร์ คอนซตันซ์เอง ต่อหน้ามอง ซิเออร์โปมา
อีกประการหนึ่งก็เปนการแน่นอนว่าในเวลานั้น ก็ระดมคนแลเตรียมเครื่องศัสตราอาวุธทั่วทั้งพระราชอาณาจักร ทุก ๆ วันก็ได้เห็น คนถืออาวุธขึ้นไปรวมกันอยู่ที่เมืองละโว้ ทางระหว่างกรุงศรีอยุธยากับเมืองละโว้ก็เต็มไปด้วยคนถืออาวุธทั้งนั้น จนที่สุดคนชั้นเลว ๆ แลคนแจวเรือก็มีอาวุธติดมือทุกคน ซึ่งเปนการไม่เคยมีเลยนอกจากเปน เวลาจลาจลหรือเปนเวลาเกิดเหตุร้ายเท่านั้น แลยังมีเสียงเล่าลือเซง แซ่ทั่วพระราชอาณาจักรเปนเสียงให้ร้ายต่อฝรั่งเศส เพื่อจะให้ราษฎรพลเมืองเกลียดฝรั่งเศสมากขึ้น ทั้งกล่าวหาโดยเปิดเผยว่าพวก
๑๐๓
ฝรั่งเศสจะมาชิงเอาบ้านเมือง ข้อหานี้ก็ดูเหมือนสมจริง เพราะเมื่อ นายพลเดฟาซ์ยกกองทหารขึ้นไปถึงกรุงศรีอยุธยา พวกผู้หญิงแม่ค้า แลราษฎรพลเมืองได้แตกตื่นพากันหนีดุจข้าศึกได้มาถึงตัวแล้ว จนที่ สุดทหารที่ประจำรักษาหน้าที่ต่าง ๆ ก็ได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่งทุกแห่ง โดยพูดกันว่าเพื่อคอยป้องกันมิให้ทหารฝรั่งเศสเข้าปล้นพระราชวังที่กรุงศรีอยุธยาได้
ในระหว่างที่กะเกณฑ์ผู้คนแลเตรียมศัสตราอาวุธทั่วพระราชอาณาจักรนั้น สังเกตได้ว่าพวกไทยแตกออกเปนสองพวก มีพวกเจ้านาย คือสมเด็จพระอนุชาพวกหนึ่งซึ่งเปนพวกมาก กับพวกพระบีย์อีกพวกหนึ่ง ฝ่ายพระเพทราชาได้แสดงตัวว่าเข้าข้างพวกเจ้านาย การที่พระ เพทราชาชิงราชสมบัติได้นั้น ก็โดยอุบายแสดงตัวโดยเปิดเผยว่า เปนพวกเจ้านาย ซึ่งกระทำให้ข้าราชการเข้าหาพระเพทราชามาก ทั้งพระเพทราชาก็พูดว่าจะมีคนคิดชิงราชสมบัติจากเจ้านายด้วย เมื่อการเปนอยู่ดังนี้แลมองซิเออร์เดฟาซ์ก็ต้องการให้เราแนะนำ เราจึงต้องพิจารณาว่าจะควรให้มองซิเออร์เดฟาซ์ถอยเข้าไปอยู่ในป้อมที่บางกอกพร้อมด้วยทหารซึ่งมีจำนวนแต่เล็กน้อย หรือจะควรให้มองซิเออร์ เดฟาซ์ยกขึ้นไปยังเมืองละโว้อย่างไร
เหตุที่จะทำให้มองซิเออร์เดฟาซ์ขึ้นไปยังเมืองละโว้นั้นก็มีอยู่อย่างเดียว ที่จะคิดไปช่วยเจ้านายผู้เปนสมเด็จพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินคอยป้องกันมิให้พระเพทราชากับพระบีย์เข้าไปปล้นพระราชวังเท่านั้น
๑๐๔
เพราะความประสงค์ที่จะให้มองซิเออร์ เดฟาซ์ขึ้นไป เมืองละโว้ มีอยู่แต่เพียงเท่านี้ แต่ส่วนเหตุผลที่มองซิเออร์เดฟาซ์ไม่ควรขึ้นไปเมืองละโว้ จนผลที่สุดมองซิเออร์เดฟาซ์กลับไปอยู่ที่บางกอกนั้น มีดังนี้
เมื่อเวลาที่มองซิเออร์เดฟาซ์เดิรทางกลับไปบางกอกนั้น มองซิเออร์ เดฟาซ์ได้ทำการทุกอย่างที่จะลบล้างข่าวลือต่าง ๆ ที่ให้ร้ายแก่พวก ฝรั่งเศส แลพยายามให้เห็นว่าไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อฝ่าย ใดจะเพลี่ยงพล้ำลงในที่สุดก็ไม่เห็นเปนการเสียหายแก่มองซิเออร์เดฟาซ์ ได้ มองซิเออร์เดฟาซ์ก็เห็นว่าตัวเปนผู้รับผิดชอบในการที่จะรักษาบางกอกให้มั่นคง เพราะเปนแห่งสำคัญสำหรับประเทศสยาม ถ้าได้รักษาบางกอกไว้อยู่แล้วก็คงจะเปนการกระทำให้พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่โปรด แลพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ก็คงจะไม่ยกทัพมาตี เพราะมองซิเออร์เดฟาซ์ หาได้ทำการเสียหายอย่างใดไม่ ถ้าแม้ว่า มองซิเออร์เดฟาซ์ จะขึ้นไปเมืองละโว้แล้วก็จะต้องทิ้งบางกอก แลทิ้งพวกฝรั่งเศสที่ยังเหลืออยู่โดยไม่มีผู้ใดจะปกครองรักษาได้ แลตัวเองกับทหาร ๗๐ คนก็น่ากลัวจะไปเปนอันตรายถึงล้มตาย การที่พระเพทราชาจะคิดฆ่ามองซิเออร์เดฟาซ์กับทหารเสียกลางทางก่อนไปถึงเมืองละโว้นั้นเปนการง่ายอย่างที่สุด ถึงมองซิเออร์เดฟาซ์จะต้องระวังตัวอย่างไรหรือจะมีความกล้าหาญเพียงไร ก็คงไม่ไหว เพราะทหารที่จะไปนั้นก็ต้องแยกกันลงเรือหลายลำ เรือ นั้นจะพายหรือถือท้ายอย่างไรพวกทหารก็ไม่เข้าใจทั้งอยู่ในภูมิประเทศซึ่งตัวไม่รู้จักแลต้องวางใจกับคนที่พาไป เสบียงอาหารก็มีแต่ฉเพาะ
๑๐๕
เท่ากับที่เขาเอามาให้รับประทานมื้อหนึ่ง ๆ เท่านั้นเมื่อเปนเช่นนี้ถ้าพวกฝรั่งเศสได้ยกออกจากกรุงศรีอยุธยาด้วยเรือสามลำ ในเวลาที่ต้องระวังพวกไทยอันหาความซื่อสัตย์มิได้ แลเปนคนที่ใจดำดังได้เคยเห็นปรากฎมาแล้วดังนี้ อะไรจะง่ายเท่ากับคนไทยจะคิดแยกเรือที่บันทุกทหาร ๗๐ คน แล้วทำร้ายต่อไปเล่า เพราะในเวลานั้นต่างคนก็หมดความกลัวเกรงอยู่แล้ว แม้ว่าพวกทหารจะขึ้นไปจนถึงเมืองละโว้ก็ดี การที่พระเพทราชาจะทำลายเสียโดยไม่ต้องใช้กำลังเลยก็ง่ายอย่างที่สุด โดยจะใช้วิธีเผาเสียในที่พักซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ในเวลากลางคืนก็ได้ เพราะที่พักทหารเหล่า นี้ได้ปลูกไว้นอกเมือง แลเคยมีตัวอย่างที่ได้ทำแก่พวกอังกฤษที่เมือง มริดเมื่อประมาณปี ๑ มาแล้ว คือพวกอังกฤษมีจำนวนเท่ากับพวกทหารฝรั่งเศสในคราวนี้คือ ๗๐ คน ได้ขึ้นไปที่เมืองมริดประกาศว่า ถ้าไทยไม่ทำให้เปนที่พอใจพวกอังกฤษจะทำสงคราม เพราะฉนั้นไทยจึงได้เอาไฟเผาเสีย หรือถ้าจะไม่เอาไฟเผา แต่จะอ้างพระราชโองการเรียกให้มองซิเออร์เดฟาซ์กับบันดานายทหารสำคัญ ๆ ไปยังพระราชวังซึ่งเปนการที่มองซิเออร์เดฟาซ์แลนายทหารจะขัดไม่ได้ แล้วจับตัวไว้เหมือนอย่างที่ได้ทำกับมองซิเออร์คอนซตันซ์แลนายทหารฝรั่งเศสที่ไปกับมองซิเออร์คอนซตันซ์เช่นนั้นก็ได้ เมื่อจับมองซิเออร์เดฟาซ์กับนายทหารสำคัญ ๆ ไว้ ได้แล้ว ก็จะไม่ยากอะไรที่จะจับพวกพลทหารให้ สิ้นเชิง เปนที่น่าเชื่อว่าพระเพทราชาซึ่งคอยสืบสวนถึงพวกฝรั่งเศส
๑๔
๑๐๖
คงจะได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว แลพระเพทราชาจะต้องการอย่างยิ่ง ให้ทหารฝรั่งเศสขึ้นไปยังเมืองละโว้ให้จงได้ ข้อที่ทำให้เชื่อนั้นก็คือ ได้มีข่าวเล่าลือมานานแล้วก็จริง ว่ามองซิเออร์คอนซตันซ์จะถูกจับแต่ ก็ยังหาได้ถูกจับไม่ ต่อพระเพทราชาหมดหวังว่าทหารฝรั่งเศสจะขึ้น ไปเมืองละโว้แล้ว จึงได้จับตัวมองซิเออร์คอนซตันซ์
ข้อที่ทำให้เราเชื่อว่าพระเพทราชาคิดจะทำร้ายต่อทหารฝรั่งเศสนั้นก็คือ ตั้งแต่มองซิเออร์คอนซตันซ์ได้ถูกจับไปแล้ว พระเพทราชาก็พยายามหาช่องหาหนทางที่จะเรียกให้ทหารฝรั่งเศสขึ้นไปเมืองละโว้ให้จงได้ ซึ่งกระทำให้เห็นตามคำให้การของผู้ที่พระเพทราชายึดไว้เปนประกันว่า พระเพทราชาหมดความกลัวทหารฝรั่งเศสแล้ว ถึงทหาร ฝรั่งเศสจะไม่ได้ขึ้นไปยังเมืองละโว้ พระเพทราชาก็หาได้ โกรธเคืองอย่างใดไม่
อีกประการหนึ่งมีข้อที่ควรจะสงสัยในความบริสุทธิ์ของมองซิเออร์คอนซตันซ์ ในข้อที่อ้างสำหรับให้มองซิเออร์เดฟาซ์ขึ้นไปเมืองละโว้ นั้น ก็เพราะเหตุว่าได้เห็นปรากฎอยู่แล้ว ว่าพระเพทราชาได้เตรียม การทุกอย่างที่จะหาพวกมาก จนภายหลังก็ได้ทำการสำเร็จดังความประสงค์ เมื่อเปนเช่นนี้พระเพทราชาจะขึ้นช้างหนีออกนอกพระราชอาณาเขตทีเดียว หรือการที่กล่าวว่าพระเพทราชาจะกระทำดังนี้ มองซิ เออร์คอนซตันซ์เชื่อว่าจะเปนจริงทีเดียวหรือ ก็เมื่อมองซิเออร์คอนซตันซ์ไม่เชื่อแล้ว เหตุใดจึงจะมาพูดให้มองซิเออร์เดฟาซ์เชื่อเล่า คน
๑๐๗
ที่มีนิสัยอย่างมองซิเออร์คอนซตันซ์จะวางใจไม่ได้เลย แลมองซิเออร์คอนซตันซ์ก็ได้ทำการให้เห็นหลายครั้งแล้วว่าเปนคนที่ใครจะไว้ใจไม่ได้ ยิ่งคราวนี้เอาเรื่องอะไรต่ออะไรมาเล่าซึ่งเปนสิ่งที่ไม่น่าเชื่อแล้ว แลซึ่ง ปรากฎภายหลังว่าเปนการไม่จริงทั้งนั้น แต่สิ่งที่จะกระทำให้เห็นว่าไม่ควรที่มองซิเออร์เดฟาซ์จะขึ้นไปเมืองละโว้นั้น ก็คือ ถึงแม้ว่ามองซิเออร์คอนซตันซ์จะเอาความจริงมาเล่าก็ดี การที่จะขึ้นไปเมืองละโว้นั้นน่ากลัวจะมีอันตรายอย่างยิ่ง ทั้งเมื่อได้ขึ้นไปแล้วจะหาเปนประโยชน์สักนิดก็ไม่มี ข้าพเจ้าขอให้ผู้อ่านพิเคราะห์ในข้อนี้ให้มาก
มองซิเออร์คอนซตันซ์ได้พูดว่า พระเพทราชากับพระปีย์คบคิดกันจะเข้าปล้นพระราชวังเมืองละโว้ แลจะขึ้นช้างหนีออกนอกพระอาณา เขต ก็เมื่อพวกฝรั่งเศสได้ยอมฝ่าอันตรายไปป้องกันในเรื่องนี้ ความร้ายจะตกแก่พวกฝรั่งเศสเพียงไร ถ้าแม้ว่ามองซิเออร์เดฟาซ์ได้ยึด พระราชทรัพย์ในท้องพระคลังเมืองละโว้เปนการสำเร็จก็ดี จะเปนการควรที่มองซิเออร์เดฟาซ์จะทำละหรือ การที่มองซิเออร์เดฟาซ์จะเข้าไปยึดพระราชทรัพย์ในวังโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกตัองตามกฎหมายแลโดยพระเจ้าแผ่นดิน แลเจ้านายผู้เปนพระอนุชาไม่ได้ทรงยอม แต่ ได้กระทำไปเพราะเปนสิ่งพอใจของมองซิเออร์คอนซตันซ์นั้น จะไม่เปนความผิดอย่างร้ายกาจหรือ ถ้ามองซิเออร์เดฟาซ์ได้ทำการนี้สำเร็จจะเชื่อใจได้ละหรือว่าจะป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้าปล้นพระราชวังได้ ถ้า
๑๐๘
มองซิเออร์เดฟาซ์ได้ป้องกันการปล้นไว้เปนการสำเร็จ จะป้องกันข้อร้ายต่าง ๆ ที่เขาจะกล่าวหาพวกผรั่งเศสได้หรือ การที่มองซิเออร์คอนซ ตันซ์คิดการเช่นนี้ถึงจะเอาการบ้านเมืองแลการสาสนามาอ้างสำหรับบังหน้าก็ดี แต่มองซิเออร์คอนซตันซ์มีอำนาจพอที่จะทำได้เช่นนี้ทีเดียวหรือ
การที่มองซิเออร์เดฟาซ์จะขึ้นไปทำการอย่างนี้ที่เมืองละโว้นั้น ก็ เห็นมีคุณอย่างเดียวแต่เพียงจะให้เจ้านายคือพระอนุชาโปรดเท่านั้น แต่ ที่จะทำให้เจ้านายโปรดนั้นยังมีหนทางอย่างอื่น ซึ่งเปนทางสุจริตแลมั่นคงกว่า ทั้งไม่มีอันตรายอย่างใดด้วย ก็คือให้มองซิเออร์เดฟาซ์เข้าไปเฝ้าเจ้านายซึ่งประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาด้วยตัวเอง แลไปรับอาสาฉลองพระเดชพระคุณต่อไปเท่านั้น ถ้ามองซิเออร์เดฟาซ์ได้ทำดังนี้ก็คงจะเปนการพอพระทัยของเจ้านายมากกว่าอย่างอื่น ทั้งจะทำให้คนทั้งหลายได้เห็นนิสัยใจคอของพวกฝรั่งเศสด้วย คงจะดีกว่าที่จะขึ้นไปปล้น ท้องพระคลังเมืองละโว้ด้วยอำนาจของตัวเองเปนแน่
นี่แลเปนกรณีย์เหตุที่ทำให้พวกเราเห็นว่ามองซิเออร์ เดฟาซ์ไม่ควรจะไปยังเมืองละโว้ แลเมื่อมองซิเออร์เดฟาซ์มาขอให้เราแนะนำ เราจึงเห็นว่าเปนหน้าที่ของเราที่จะบอกว่า ตามเหตุผลที่เปนอยู่ดังนี้ยังไม่ควรที่มองซิเออร์เดฟาซ์จะขึ้นไปเมืองละโว้ แต่ควรจะมีจดหมายไปถึงมองซิเออร์คอนซตันซ์เสียก่อน เพื่อถามหาความที่เปนจริงแลถาม ให้ได้ความว่า พระเจ้ากรุงสยามจะสวรรคตแล้วหรือยังคงมีพระชนม์
๑๐๙
อยู่ อย่างไรแน่ ควรจะยกเหตุผลให้มองซิเออร์คอนซตันซ์ฟังว่า เหตุ ใดจึงจะยังขึ้นไปเมืองละโว้ไม่ได้ แลควรขอร้องให้มองซิเออร์คอนซตันซ์ลงมาพบกับมองซิเออร์เดฟาซ์ที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อจะได้ปรึกษาหารือกันต่อไปดังนี้
จดหมายเหตุของมองซิเออร์เดอลียอน ว่าด้วยเรื่อง
ภรรยาคอนซตันซ์ตินฟอลคอน
วันที่ ๑๗ มกราคม ค.ศ. ๑๖๙๒ (พ.ศ.๒๒๓๕)
เมื่อภรรยาคอนซตันซ์ตินฟอลคอนได้หนีลงมาถึงบางกอกแล้ว พอ พวกไทยได้ทราบเรื่องก็ได้มาขอให้มองซิเออร์เดฟาซ์ส่งตัวคืน มอง ซิเออร์เดฟาซ์จึงมาถามข้าพเจ้ากับมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศว่าควรจะทำประการใดดี
ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เห็นมาดัมคอนซตันซ์หนีมาถึงบางกอกนั้น ก็ได้นึกอยู่แล้วว่ามองซิเออร์เดฟาซ์คงจะมาหารือเปนแน่ จึงได้ตรึกตรองในเรื่องนี้โดยเลอียด คงมีความเห็นในใจว่า มองซิเออร์เดฟาซ์ไม่ควร จะส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทย
ฝ่ายมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศถูกมองซิเออร์เดฟาซ์เร่งให้ออกความเห็น ก็ไม่ได้พูดว่ากระไร นอกจากพูดว่าเรื่องนี้เปนเรื่องที่ ลำบากมาก
๑๑๐
มองซิเออร์เดฟาซ์จึงมาถามความเห็นข้าพเจ้า ๆจึงได้ตอบว่าจะต้องตรึกตรองดูก่อน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าในเรื่องชนิดนี้ควรมองซิเออร์ เดฟาซ์จะเรียกนายทหารผู้ใหญ่มาประชุมเพื่อขอความเห็นของนายทหารบ้าง การที่ข้าพเจ้าได้แนะนำไปเช่นนี้ก็โดยเชื่อว่าเปนหนทางที่ดีอย่าง ๑ แต่ข้าพเจ้าจะต้องสารภาพว่าข้าพเจ้าเชื่อใจด้วยว่าพวกนายทหารคงจะออกความเห็นไม่ยอมให้ส่งตัวด้วย
ครั้นมองซิเออร์เดฟาซ์ได้เร่งให้ข้าพเจ้า กับมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศออกความเห็นให้ในวันนั้นเอง เพราะเหตุว่าพวกไทยเร่ง นักนั้น มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศจึงเห็นว่า ควรจะเชื่อถ้อยคำ ของพวกข้าราชการไทยที่มาบอกมองซิเออร์เดฟาซ์ว่า พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่จะยอมทำสัญญา รับรองว่าจะไม่ทำร้ายต่อมาดัมคอนซตันซ์อย่างใด แลจะไม่กีดขวางในการสาสนาของมาดัมคอนซตันซ์ ทั้ง จะไม่ให้มาดัมคอนซตันซ์เสื่อมเสียอิศริยศอย่างใดด้วย จะได้ทรงยอมให้มาดัมคอนซตันซ์อยู่ได้ตามความพอใจจะอยู่ในค่ายของพวกปอตุเกศหรือจะอยู่ในค่ายที่ติดต่อกับพวกบาดหลวงก็ได้ แลถ้ามาดัมคอนซตันซ์จะต้องการให้ปลูกบ้านให้อยู่ จะได้ทรงสร้างบ้านให้อยู่แลจะได้อยู่ในความปกครองของท่านสังฆราชต่อไป เมื่อได้ทำสัญญาดังนี้แล้ว ให้มองซิเออร์เดฟาซ์ส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ไปยังกรุงศรีอยุธยา แลห้าม มิให้มองซิเออร์เดฟาซ์รับตัวมาดัมคอนซตันซ์ไว้อีก นี่แลเปนความเห็น
๑๑๑
ของมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ ซึ่งเห็นว่าในครั้งนี้ควรจะไว้ใจใน ถ้อยคำของพระเจ้าแผ่นดินสยามได้
ครั้นมองซิเออร์เดฟาซ์มาถามความเห็นข้าพเจ้า ๆ จึงได้ตอบว่าเปนที่เสียใจมากที่ข้าพเจ้าจะต้องออกความเห็นไม่ตรงกับความเห็นของมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศผู้เปนหัวหน้าของข้าพเจ้า แต่เมื่อมอง ซิเออเดฟาซ์จะต้องการความเห็นของข้าพเจ้าโดยฉเพาะแล้ว ข้าพเจ้า ก็เห็นว่ามองซิเออร์เดฟาซ์ไม่ควรจะเชื่อฟังถ้อยคำอย่างใด ๆ ที่จะต้องส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์คืนให้แก่ไทย เมื่อได้ทำใจตกลงเช่นนั้นแล้ว ก็ควรจะป้องกันความลำบากต่อไปโดยพูดให้เปิดเผยว่า พวกฝรั่งเศส ได้ตั้งใจแล้วที่จะไม่คืนตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทย ใคร ๆ จะพูด ว่าอย่างไรก็ไม่ฟัง เพราะฉนั้นอย่าให้พวกไทยมาพูดในเรื่องนี้อีกต่อ ไปเลย
พอข้าพเจ้าได้ออกความเห็นเช่นนี้ มองซิเออร์เดฟาซ์ก็ลุกขึ้นโดยโกรธข้าพเจ้ามากแลแสดงกิริยาไม่พอใจอย่างยิ่ง แล้วจึงพูดว่า "เมื่อเปนเช่นนี้แล้ว การจะเปนไปอย่างไรก็แล้วแต่การเถิด" มอง ซิเออร์เดฟาซ์จึงขอให้มองซิเออร์เดอลาวีน ช่วยเขียนจดหมายตอบ ในนามของมองซิเออร์เดฟาซ์ให้มีข้อความตรงกับที่ข้าพเจ้าได้แนะนำไว้
มองซิเออร์เดอลาวีนจึงได้ไปร่างจดหมายตอบ ใช้ถ้อยคำอย่างข้าพเจ้าพูดทุกอย่างมิได้เพิ่มหรือลดหย่อนอย่างใดเลย เมื่อได้ร่างเสร็จแล้วก็เอามาให้มองซิเออร์เดฟาซ์ดูว่าจะพอใจหรือไม่ ถ้าพอใจแล้วจะ
๑๑๒
ได้แปลเป็นภาษาไทยต่อไป มองซิเออร์เดฟาซ์ได้ตรวจดูเห็นว่าเปนสำนวนที่แรงนัก จึงขอให้มองซิเออร์เดอลาวีนเอาร่างไปให้มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศตรวจ แลขอให้แก้ ให้อ่อนลงสักหน่อย มองซิเออร์ เดอเมเตโลโปลิศจึงสั่งให้มองซิเออร์เดอลาวีนไปบอกกับมองซิเออร์เดฟาซ์ ว่า เมื่อได้ตรึกตรองต่อหน้าพระเปนเจ้าแล้ว ได้เห็นว่าเปนการจำเปน ที่จะต้องส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทยตามข้อความที่ไทยได้มาตกลงไว้ มิฉนั้นจะเปนการบาปหนาซึ่งไม่มีอะไรจะล้างบาปได้ ครั้นมองซิเออร์เดอลาวีนได้นำความไปบอกมองซิเออร์เดฟาซ์ตามที่มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศสั่งแล้ว จึงได้มาหาข้าพเจ้าแล้วเล่าให้ข้าพเจ้าฟังตามเรื่องที่มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศได้พูดไว้ ข้าพเจ้าจึงได้มาตรึกตรองอีก ครั้ง ๑ ก็เห็นว่ามองซิเออร์เดฟาซ์เองก็มีความประสงค์จะส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทย มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศผู้เปนหัวหน้าทาง ฝ่ายสาสนาแลเปนหัวหน้าข้าพเจ้าโดยตรง ก็เห็นว่าจำเปนจะต้องส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ มิฉนั้นจะบาปหนาซึ่งไม่มีอะไรจะล้างบาปได้ ส่วนบาดหลวงรีโชต์ผู้รู้การสาสนาดียิ่งกว่าบาดหลวงเยซวิตทั้งหลาย ก็มีความเห็นพ้องด้วยว่าควรจะส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ เพราะฉนั้นความเห็นของข้าพเจ้าตรงกันข้าม แต่จะขัดขืนไปก็ดูไม่ควร ข้าพเจ้าจึงได้ไปหามองซิเออร์เดฟาซ์บอกว่า ขอให้มองซิเออร์เดฟาซ์จัดการตามแต่จะ เห็นควร ส่วนตัวข้าพเจ้าไม่จำเปนจะต้องออกความเห็นอย่างใด แต่
๑๑๓
มองซิเออร์เดฟาซ์ได้ขอให้ข้าพเจ้ากับมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศเขียนความเห็นเปนลายลักษณ์อักษร ข้าพเจ้าจึงได้เขียนหนังสือบอกอย่างเดียวกับที่ได้พูดไว้ด้วยปาก มองซิเออร์เดฟาซ์จึงได้ตกลงทำตามความเห็นของมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ แลความเห็นของตัวเองซึ่งตรงกัน เปนอันตกลงทำสัญญากับพระเจ้ากรุงสยาม เมื่อทำเสร็จแล้วก็ได้ส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้ไทยรับไป
ครั้นต่อมาภายหลังเมื่อพวกเราได้ไปถึงเมืองปอนดีเชรีแล้ว มอง ซิเออร์เดฟาซ์จะต้องเขียนรายงารส่งไปยังเมืองฝรั่งเศส ได้มา ตรวจความเห็นของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าได้เขียนให้ไว้ หามีข้อความที่ให้ส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ไม่ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นดังนั้น มอง ซิเออร์เดฟาซ์จึงได้เอาแต่ความเห็นฉบับของมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศส่งไปยังฝรั่งเศส ส่วนฉบับของข้าพเจ้าก็ได้คืนต้นฉบับมาให้ข้าพเจ้า ความเห็นฉบับนี้ข้าพเจ้ายังรักษาไว้ในทุกวันนี้ในการเรื่องจะส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทยนั้น ข้าพเจ้ามีเกี่ยวด้วยเพียงเท่านี้เอง
ถ้าข้าพเจ้ามีเวลาพอ ข้าพเจ้าจะชี้เหตุผลให้ฟังโดยเลอียดว่าในการเรื่องนี้จะควรแลไม่ควรอย่างไร แต่เวลาไม่พอ แลถึงข้าพเจ้าจะ ไม่ชี้เหตุผลให้ฟังท่านก็ควรจะทราบได้จากทางอื่นเหมือนกัน ในที่นี้ข้าพเจ้าจะขอเพียงแต่ให้ท่านพิเคราะห์ดูข้อความในความเห็นที่มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศได้ให้ไว้แก่มองซิเออร์เดฟาซ์ ในการที่แนะนำให้ส่งตัว
๑๕
๑๑๔
มาดัมคอนซตันซ์นั้น มีคำกล่าวว่าความเห็นอันนี้มิได้เกี่ยวทางโลกอย่างใด ซึ่งเปนหน้าที่ของมองซิเออร์เดฟาซ์อยู่แล้ว แต่ได้ออกความเห็นเช่นนี้โดยเดิรทางสาสนาเท่านั้น ข้าพเจ้าขอให้ท่านพิเคราะห์ในข้อนี้ เพราะเหตุว่า ในส่วนตัวข้าพเจ้าเองเห็นว่า การที่มองซิเออร์เดฟาซ์ คืนตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทยนั้นเปนการไม่ควร แต่ถ้าจะคิดถึง เหตุการณ์ที่เกี่ยวด้วยฝ่ายบ้านเมืองก็ดูพอจะเห็นได้ว่าควรอยู่บ้าง แต่ถ้าจะเอาการสาสนามาพูดเปนการที่ข้าพเจ้าสงสัยอยู่สักหน่อย เพราะ ฉนั้นในการเรื่องนี้ถ้าผู้ใดเห็นในทางสาสนาว่าเปนการบาป ก็ต้องตาหนักอยู่กับมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ แต่ถ้าจะดูทางโลกเห็นว่า เปนการผิดแล้ว ก็ต้องหนักอยู่แก่มองซิเออร์เดฟาซ์ ผู้เดียวหาเกี่ยว แก่มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ ซึ่งได้พูดแล้วว่าจะไม่ออกความเห็น ในสิ่งที่เกี่ยวด้วยการบ้านเมืองไม่ (๑)
(๑) ในจดหมายเหตุของมองซิเออร์โชมอง กล่าวเรื่องมาดัมคอน ซตันซ์ ซึ่งมองซิเออร์โชมองได้เห็นที่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๗๑๙ ถึง ๑๗๒๔ (พ.ศ. ๒๒๖๒ ถึง ๒๒๖๗) มีความว่าดังนี้
"มาดัมคอนซตันซ์ภรรยาของมองซิเออร์คอนซตันซ์ ผู้มีชื่อเสียง แลซึ่งมีชื่อเสียงดังเมื่อครั้งมองซิเออร์เดอโชมองเปนราชทูตนั้นได้มาหา ข้าพเจ้า ผู้หญิงคนนี้อายุในราว ๖๕ หรือ ๖๖ ปี ได้เข้าไปอยู่ ในพระราชวังของพระเจ้ากรุงสยาม ตั้งแต่มองซิเออร์คอนซตันซ์สามี
๑๑๕
ได้ถึงแก่กรรม ท่านผู้ที่แย่งชิงราชสมบัติไปได้นั้น ได้เอามาดัม คอนซตันซ์ไปอยู่ในชั้นเดียวกับพวกทาส แต่ในเมืองนี้ผู้ที่เปนทาสหาได้เปนคนต่ำช้าเสียชื่อเสียงอย่างใดไม่ แต่ไทยกลับเห็นเปนชั้นผู้มี เกียรติยศ เพราะมีอำนาจที่จะทำความอยุติธรรมได้หลายพันอย่าง แต่สำหรับบุคคลที่เปนคริสเตียนอันดี เช่นมาดัมคอนซตันซ์นั้นก็ต้องถือว่าเปนทาสอย่างร้ายแรง มาดัมคอนซตันซ์จะไปวัดคริสเตียนก็ได้ตาม ชอบใจ บางทีก็ไปนอนยังบ้านซึ่งเปนบ้านอย่างงดงามในค่ายของพวกปอตุเกศแลเปนที่อยู่ของหลานด้วย ส่วนในพระราชวังนั่นมีพนักงาร ผู้หญิงที่ทำราชการอยู่ในวัง ได้อยู่ในความบังคับบัญชาของมาดัมคอนซตันซ์กว่า ๒๐๐๐ คน แลมาดัมคอนซตันซ์เปนผู้ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง ทั้งเปนหัวหน้าเก็บพระภูษาแลฉลองพระองค์ แลเปนผู้เก็บผลไม้ของเสวยด้วย เมื่อมาดัมคอนซตันซ์ได้รับหน้าที่ เช่นนี้ก็เปนช่องทางที่จะหาผลประโยชน์ได้เปนอันมาก แต่มาดัมคอน ซตันซ์เปนคนซื่อ ไม่ยอมหากำไรในสิ่งที่คนเคยรับหน้าที่นี้มาแต่ เดิม ๆ ได้เคยหา ทุก ๆ ปีมาดัมคอนซตันซ์ได้คืนเงินเข้าท้องพระคลัง ปีละมาก ๆ ซึ่งเปนเหตุทำให้พระเจ้ากรุงสยามรับสั่งว่า การที่จะหาคนซื่อตรงเช่นนี้นอกจากผู้ที่ถือสาสนาคริสเตียนเห็นจะหาไม่ได้ ซึ่งเปน การเท่ากับให้เกียรติยศแก่สาสนาคริสเตียน
ข้าพเจ้าได้สังเกตว่ามาดัมคอนซตันซ์คนนี้ เปนคนที่ใจคอดีแล
อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของสาสนาคริสเตียน แลเปนคนรู้นิสัยใจคอ
๑๑๖
แบบธรรมเนียมแลความคดโกงของคนไทยทุกอย่าง เพราะฉนั้น
เมื่อข้าพเจ้าตกอยู่ในที่ลำบากคราวใด ก็ใด้เคยให้มาดัมคอนซตันซ์ช่วย
เสมอ เพราะเห็นว่าคำแนะนำของเขาล้วนแต่ดีทั้งนั้น เวลานั้นมารดาของมาดัมคอนซตันซ์ยังอายุ ๘๐ ปีเศษ เดิรไม่ได้แล้ว เมื่อข้าพเจ้ามาถึงได้สักปี ๑ มารดามาดัมคอนซตันซ์ก็ถึงแก่กรรม
๑๑๗
จดหมายมองซิเออร์เฟโรถึงมองซิเออร์เดอลาวีน
วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๖๙๒ (พ.ศ ๒๒๓๕)
การที่มาดัมคอนซตันซ์หนีมาในครั้งนี้ก็ได้หนีโดยหาทราบไม่ว่าความเปนไปของการที่บางกอกเปนอย่างไร ทั้งมองซิเออร์เดฟาซ์ซึ่งได้ทราบเรื่องอยู่บ้าง ก็ได้แนะนำว่ายังไม่ควรจะหนีมาเพราะเวลายังไม่เหมาะถ้าถึงเวลาแล้วมองซิเออร์เดฟาซ์ก็จะไม่ลืมมาดัมคอนซตันซ์ เพราะ ฉนั้นการที่หนีมาคราวนี้ได้ทำให้เสียชื่อของประเทศฝรั่งเศส ทั้งจะทำให้ทหารฝรั่งเศสแลพวกคริสเตียนทั้งพระราชอาณาจักรล้มตายฉิบหายกันทั้งหมด เพราะเหตุว่าเรือก็ไม่มีสำหรับที่จะออกไปให้พ้นพระราชอาณาเขตได้ จึงจำเปนต้องทำสงครามแลล้มตายในที่นั้นเอง คนมีอยู่เพียง ๑๕๐ หรือ ๒๐๐คนซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับความเหน็ดเหนื่อยมาถึง๕ เดือนแล้วทั้งนั้น จะมาสู้อะไรกับคนทั้งแผ่นดินยังไม่ใช่แต่เพียงจำนวนคนน้อย แต่ดินปืนก็ไม่มี ดินปืนที่มีอยู่ก็ไม่พอยิงปืนใหญ่ได้ถึง๒๐๐นัด เมื่อการเปนอยู่ดังนี้ พวกฝรั่งเศสจึงได้เกิดท้าพวกไทย แลพวกไทยก็ท้าพวกฝรั่งเศส ลงท้ายที่สุดไมตรีอันดีซึ่งพึ่งเริ่มต้นขึ้นก็เปนอันหายสูญไปในคราวนี้เอง
มองซิเออร์เดฟาซ์เห็นเปนแน่แล้วว่าพวกทหารแลพวกคริสเตียนในพระราชอาณาจักรคงจะต้องล้มตายหมด จึงคิดอ่านพูดจาเกลี่ยไกล่ เพราะได้ทดลองทุกอย่างแล้วที่จะไม่ส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์คืนให้แก่ไทย แต่ไม่เปนการสำเร็จ จึงได้ทำสัญญาซึ่งจะเปนประโยชน์ต่อมาดัม
๑๑๘
คอนซตันซ์เท่าที่จะทำได้ คือว่ามาดัมคอนซตันซ์จะไปอยู่ที่ไหนได้ตามความพอใจ โดยใคร ๆ จะกีดกันไม่ได้ตลอดถึงการที่เกี่ยวด้วยสาสนา ถ้ามาดัมคอนซตันซ์จะต้องการมีสามีอีกก็ได้ แลจะเอาใครเปน สามีก็ได้ตามพอใจ ทั้งครอบครัวของมาดัมคอนซตันซ์ก็ไม่ต้องอยู่ในบังคับบัญชาของผู้ใด ท่านสังฆราชได้ให้มิซชันนารีของเราคนหนึ่งพา ตัวมาดัมคอนซตันซ์ไปส่ง แต่มิซชันนารีผู้นี้ได้รับความลำบากถูกกรากกรำแสนสาหัสได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว
แต่ถึงแม้ว่าจะได้ทำสัญญาแล้วก็จริงการทั้งหลายก็น่าจะลงรอยเดิมให้เรียบร้อยได้ แต่ความไม่ไว้ใจซึ่งกันแลกันในระหว่างไทยกับ ฝรั่งเศสก็ยังคงเปนอยู่อย่างนั้นเอง เพราะพวกไทยกลัวว่าฝรั่งเศสจะ ทำการไม่ดีเช่นนี้อีก ฝ่ายฝรั่งเศสก็ไม่ไว้ใจกลัวไทยจะไม่ทำตามที่ได้สัญญาไว้ ฝ่ายผู้บังคับทหารจะออกไปหาน้ำรับประทานก็ไม่ได้เพราะเกิดเหตุยุ่งขึ้นเช่นนี้จึงเร่งให้ออกเรือโดยรีบด่วน จนถึงกับต้องทิ้งสุราไว้ในเรือง ๔ หรือ ๕ ลำซึ่งจะมาจากกรุงศรีอยุธยา แลทิ้งพวกฝรั่งเศสที่ยังตกค้างอยู่ในกรุงก็อีกหลายคน
ครั้นเรือได้มาถึงสันดอน ความที่ต่างคนต่างไม่ไว้ใจกันจึงกระ ทำให้ไทยยึดเรือไว้บางลำ ซึ่งบันทุกปืนใหญ่เสื้อผ้าพลทหารแลของ อื่น ๆอีกหลายอย่าง แลไม่ยอมคืนทหารกับของเหล่านี้ให้จนกว่าฝรั่งเศสจะได้ คืนข้าราชการไทยสองคน ซึ่งฝรั่งเศสยึดไว้เปนประกัน แลนายพลเดฟาซ์ได้ทำหนังสือสัญญาไว้ว่าจะคืนให้ในเวลาที่เรือมาถึงด่านภาษี แต่นายพลเดฟาซ์ได้พาข้าราชไทยไปจนถึงสันดอนซึ่งเปนการผิดสัญญา ฝ่ายพวกฝรั่งเศสก็กลัวว่าถ้าคืนข้าราชการไทยให้แล้ว พวกไทย
๑๑๙
ก็คงจะยังยึดเรือแลสิ่งของต่าง ๆ ไว้นั้นเอง ฝ่ายผู้บังคับการทหารซึ่งขาดน้ำ แลมีคนที่มาจากบางกอกแต่ ๒๐๐ คนก็เร่งให้ออกเรือโดยเร็ว ครั้นได้เสียเวลาเขียนจดหมายโต้ตอบกันได้ประมาณ ๔ หรือ ๕วัน ท่านนายพลเดฟาซ์จึงอนุญาตให้ผู้บังคับการทหารออกเรือได้ตามชอบใจ
ถ้าแม้ว่ามาดัมคอนซตันซ์ไม่ได้หนีมาเช่นนี้ เชื่อแน่ว่าการที่เกิดขึ้นดังนี้คงจะไม่เกิดเปนแน่ เพราะฉนั้นขอให้พระผู้เปนเจ้าได้ยกโทษให้แก่มาดัมคอนซตันซ์ ซึ่งเปนต้นเหตุทำให้เกิดเหตุภัยขึ้นเช่นนี้ แลขอให้ ยกโทษให้แก่ผู้ที่แนะนำ แลผู้ที่พามาดัมคอนซตันซ์ด้วย มาบัดนี้มาดัมคอนซตันซ์กลับมาหาความว่าท่านสังฆราชเปนต้นเหตุที่ทำให้ส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์คืนให้แก่ไทย มองซิเออร์เดฟาซ์เปนผู้ส่งตัว เพราะฉนั้นคนทั้งสองนี้เปนต้นเหตุ ทำให้มาดัมคอนซตันซ์ต้องถูกจำตรวนอยู่ในพระราชวังกว่า ๒ ปี เพราะเมื่อเวลาพวกเราถูกขังอยู่ในคุก มาดัมคอนซตันซ์ก็ถูกขังอยู่ในพระราชวัง ญาติบางคนของมาดัมคอนซตันซ์ก็ต้องขังอยู่ในคุก แลบางคนพระเจ้าแผ่นดินก็พระราชทานให้แก่ขุนนางบางคน แต่ฝ่ายบิดามารดาของมาดัมคอนซตันซ์หาได้โทษพวกเราไม่ แต่โทษตัวของตัวเองที่ได้หนีไป แลโทษพวกบาดหลวงเยซวิตฝรั่งเศสว่าเปนผู้แนะนำให้หนี
พวกมิซชันนารีเปนประกันของนายพลเดฟาซ์ หนังสือมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศแลมองซิเออร์เวเรต์ หัวหน้าของบริษัทฝรั่งเศสในกรุงสยาม รับประกันตัวมองซิเออร์เดฟาซ์กับกองทหารฝรั่งเศส
เดือนธันวาคม ค.ศ.๑๖๘๘(พ.ศ. ๒๒๓๑)ณวันอังคารเดือน ๑๐ ปีมะโรงอัฐศก (Pattarremasaacon) ๒๒๘๒ (?) ดอมบิศบู (Dom Bisbou) ๑ ท่านสังฆราชเดอเมเตโลโปลิศ ๑ บันดาพวกบาดหลวงแล
๑๒๐
มองซิเออร์เวเรต์หัวหน้าของบริษัทฝรั่งเศส ๑ กับบันดาชาวฝรั่งเศสทุก ๆ คน ได้พร้อมกันทำหนังสือประกันฉบับนี้ว่า ด้วยท่านพระคลังแทนพระเจ้ากรุงสยามฝ่าย ๑ มองซิเออร์เวเรต์แทนมองซิเออร์เดฟาซ์ นายพล ผู้บัญชาการกองทหารของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสอีกฝ่าย ๑ ต่างฝ่ายได้รับรองโดยพ้นเปนไมตรีกัน ว่าจะไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์ที่ได้เปนไปแล้ว แต่ จะได้ทำไมตรีกันอย่างแน่นหนาสนิธสนมชั่วกาลนาน
ได้พร้อมกันเห็นว่าการที่จะได้ตกลงกันต่อไปนี้ จะเปนการแน่นหนาแลถาวรทั้งสองฝ่ายจึงตกลงว่า
ข้อ ๑ เมื่อฝรั่งเศสทุกคนได้ออกจากป้อมที่บางกอกแล้ว พวกทหารฝรั่งเศสจะไม่ทำอันตรายต่อป้อมเปนอันขาด แลจะไม่ทำลายปืนใหญ่ปืนเล็กแลอาวุธอย่างอื่นๆแต่จะได้นำปืนใหญ่ปืนเล็กแลอาวุธอย่างอื่นมอบให้แก่ข้าราชการไทย โดยไม่ให้มีอะไรขาดจนสิ่งเดียว
ข้อ ๒ พวกฝรั่งเศสสัญญาว่าเมื่อเวลาล่องลงไปถึงที่จอดเรือ จะไม่กระทำการร้ายอย่างหนึ่งอย่างใด แลจะไม่ยิงหรือรบกันเรือลำหนึ่งลำใด จะไม่รบกับราษฎรพลเมือง แลจะไม่ทำอันตรายต่อสิ่งของอย่างใดของพระเจ้ากรุงสยาม ทั้งในที่จอดเรือ หรือนอกสันดอน หรือในที่ใด ๆ ทั้งสิ้น
ข้อ ๓ เรือหลวงของพระเจ้ากรุงสยามลำหนึ่งจะได้ส่งกลับไปยังเมืองมริด เพราะเรือลำนี้ได้บันทุกช้างแลสินค้าอย่างอื่นจากมริดไป เมืองมสุลีปตัน แลในเรือลำนั้นมีฝรั่งเศสหลายคนกับข้าราชการไทย
๑๒๑
คนหนึ่ง กับเรืออีกลำหนึ่งซึ่งเปนเรือของพระเจ้ากรุงสยามเหมือนกัน ซึ่งได้ออกจากเมืองมริดไปเมืองบันเดอราภาษี (Banderabassi) บันทุกสินค้าต่าง ๆ แลในเรือลำนี้ก็มีชาวฝรั่งเศสแลข้าราชการไทยหลายคนเหมือนกัน แต่ถึงแม้ว่าพวกฝรั่งเศสจะร้องว่าเรือสองลำนี้เปนเรือของฝรั่งเศสก็ดี แต่พวกฝรั่งเศสสัญญาว่าเมื่อเรือสองลำได้ไปส่งสินค้า เสร็จธุระแล้ว พวกฝรั่งเศสซึ่งเปนนายเรือนั้นจะได้พาเรือกลับไปส่งยังเมืองมริดต่อไป ถ้ามองซิเออร์ดูบรูอังกับทหารจะไปพบเรือสองลำนี้ มองซิเออร์ดูบรูอังจะไม่ทำอันตรายต่อเรือเลยเปนอันขาด อีกประการ ๑ เรือหลวงลำหนึ่งซึ่งมีปืนใหญ่ ๒๖ กระบอก ปืนเล็ก ๕ กระบอก พร้อมทั้งคนเรือเครื่องเรือ ซึ่งมองซิเออร์ดูบรูอังกับมองซิเออร์ โบเรอกาด์พร้อมด้วยทหารฝรั่งเศสได้เอาไปเมื่อเวลาหนีไปนั้น ฝรั่งเศสจะได้ส่งเรือลำ นี้คืนมายังเมืองมริดพร้อมด้วยปืนใหญ่ปืนเล็กคนเรือแลเครื่องเรือให้ครบบริบูรณ์ แลเพื่อจะให้ไมตรีในระหว่างสองแผ่นดินนี้ได้ติดต่อกันโดยยืดยาวแล้ว สิ่งใดที่จะเปนเครื่องทำให้ไมตรีนี้ขาดสิ่งนั้นทั้งสองฝ่ายจะไม่ทำ ถ้าหากว่าเรือบางลำซึ่งเคยมาค้าขายที่เมืองนี้แลเมืองมริดจะต้อง การมาอีก พวกฝรั่งเศสจะไม่กีดขวางแลจะไม่ทำอันตรายต่อเรือเหล่า นี้อย่างใด
ข้อ ๔ เรือลำใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งนายพลเดฟาซ์กับพวกฝรั่งเศสยืมไปในคราวนี้ เมื่อไปถึงเมืองปอนดีเชรีแล้ว พวกฝรั่งเศส จะได้ส่งเรือนั้นกลับมายังเมืองไทย
๑๖
๑๒๒
ข้อ ๕ พวกฝรั่งเศสสัญญาว่าจะได้เลี้ยงดูข้าราชการไทยแลพวกไทยหนุ่มซึ่งอยู่ในประเทศฝรั่งเศส แลจะได้ส่งคนไทยเหล่านี้กลับมายังกรุงสยามต่อไป
ข้อ ๖ ของต่าง ๆ ซึ่งมองซิเออร์คอนซตันซ์ได้ส่งไปยังประเทศฝรั่งเศสนั้น ให้ตกเปนหน้าที่ของเจ้าพนักงารพระคลังพระเจ้าแผ่นดินที่จะ เปนธุระในเรื่องนี้ ถ้าของเหล่านี้หายสูญไปในทะเล ให้ตกเปนพับแก่เจ้าพนักงารพระคลัง จะมาเรียกร้องเอาแก่ฝรั่งเศสไม่ได้
ข้อ ๗ นายพลเดฟาซ์จะได้จัดพลทหารให้ถือจดหมายไปส่งมองซิ เออร์ดูบรูอัง เพื่อห้ามมิให้มองซิเออร์ดูบรูอังทำอันตรายแก่เรือของพระเจ้ากรุงสยาม ถ้ามองซิเออร์ดูบรูอังได้ ยึดเรือไว้บ้างแล้ว จะต้องคืนเรือที่ยึดไว้นั้นไปส่งยังที่ที่ได้จับไว้แต่เดิม ส่วนการงารของบริษัทฝรั่งเศส ที่เมืองมริดนั้นก็คงให้เปนไปตามเดิม ถ้าบริษัทจะต้องการมายังเมืองมริดไทยก็จะรับรองอย่างดี เพราะพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้เปนสำพันธมิตร กับพระเจ้ากรุงสยามแล้ว
ข้อ ๘ พวกไทยสัญญาอย่างแขงแรงว่าเมื่อพวกฝรั่งเศสจะยกออกจากป้อมนั้น ไทยจะยอมให้พวกฝรั่งเศสเอาเข้าของซึ่งเปนสมบัติของพวกฝรั่งเศสทุกอย่างไม่ให้มีอะไรเหลือเลย เวลาจะยกออกจากป้อมนั้นให้ตีกลองนำหน้า ให้ทหารถืออาวุธไว้ที่บ่า แลให้มีธงนำหน้าด้วย พอลงเรือแล้วก็ให้ถอนสมอล่องเรือลงไปตามที่พวกฝรั่งเศสได้ให้หนังสือสัญญา
๑๒๓
ไว้กับราชทูต ฝ่ายพวกฝรั่งเศสขอพระกรุณาต่อพระเจ้าแผ่นดินสยาม ได้โปรดให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ลงเรือไปกับนายพลเดฟาซ์จนถึงสันดอนสองคน นายพลเดฟาซ์สัญญาว่าจะได้รับรองข้าราชไทยตามเกียรติยศของข้าราชการนั้น ๆ ฝ่ายฝรั่งเศสยอมให้นายพันตรีคน ๑ กับนายพล เดฟาซ์ลงเรือเล็กพร้อมกับข้าราชการไทยคน ๑ เท่ากับเปนประกันที่ ข้าราชการไทยได้ลงเรือใหญ่ไป ๒ คน เมื่อเรือฝรั่งเศสได้ข้ามสันดอน ไปแล้ว ฝรั่งเศสจะได้รับนายพันตรี กับนายพลเดฟาซ์ขึ้นเรือใหญ่ แลจะได้ให้ข้าราชการสองนายลงเรือเล็กกลับไปยังเมืองไทย ทั้งนี้เพื่อให้เปน พยานกันทั้งสองฝ่ายว่าฝรั่งเศสไม่ได้ทำอันตรายต่อไทย แลไทยก็ไม่ได้ทำอันตรายต่อฝรั่งเศส
ข้อ ๙ พระเจ้าแผ่นดินทรงยอมพระราชทานสิทธิต่าง ๆ ซึ่งบริษัทฝรั่งเศสได้รับจากพระเจ้าแผ่นดินที่สวรรคตไปแล้ว แลทรงยอมให้เปนไปตามข้อสัญญาต่าง ๆ หลายข้อที่ได้ทำไว้กับบริษัทแต่ก่อน ๆ มาแล้ว แลพระเจ้าแผ่นดินทรงยอมพระราชทานสิทธิต่าง ๆ แก่ชาวฝรั่งเศสแลพวกมิซชันนารีเหมือนกับที่พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สวรรคตได้เคยพระราชทานมาแล้ว ส่วนพริกไทยนั้นพระเจ้าแผ่นดินยอมยกให้แก่บริษัททั้งหมดโดยใช้วิธีเดียวกับที่ยกหนังต่าง ๆ ให้แก่พวกฮอลันดา การที่พระเจ้าแผ่นดินทรงพระเมตตาทั้งนี้จะเปนสิ่งที่พระราชทานโดยมั่นคงถาวรจะไม่เปลี่ยนแปลง แก้ไขอย่างใด ถ้าแม้ว่านายพลเดฟาซ์เมื่อได้ออกจากป้อมแลได้ลงเรือ
๑๒๔
ไปแล้ว ได้ทำการผิดด้วยข้อสัญญาในหนังสือประกันฉบับนี้อย่างใด ๆ ไทยจะได้จับตัวสังฆราช จับมองซิเออร์เวเรต์หัวหน้าของบริษัท แลจับพวกบาดหลวงที่อยู่ในเมืองไทยทั้งหมด
ได้เซ็นชื่อแลประทับตราไว้ทั้งสองฝ่าย
เรื่องมองเซนเยอร์ลาโนต่อ
ค.ศ. ๑๖๗๙ - ๑๖๙๖ (พ.ศ. ๒๒๒๒ - ๒๒๓๙)
ว่าด้วยเรื่องการกดขี่บีบคั้น
ค.ศ. ๑๖๘๘ - ๑๖๙๑ (พ.ศ. ๒๒๓๑ - ๒๒๓๔)
จดหมายเหตุของคณะบาดหลวง มองซิเออร์มาตีโนเปนผู้แต่ง
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๖๘๘ (พ.ศ. ๒๒๓๑)
ถึงวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๖๙๐ (พ.ศ. ๒๒๓๓)
เรื่องความประพฤติของนายพลเดฟาซ์
ข้าพเจ้าเชื่อว่าคงได้ทราบทั่วกันแล้วว่า เมื่อกองทหารฝรั่งเศสได้ถูกล้อมอยู่ในป้อมที่บางกอกแล้ว ภายหลังก็ได้ยกออกจากป้อมโดยเรียบร้อย แลไทยก็ได้เอาพวกเราเปนนายประกันทำหนังสือสัญญา ให้ด้วย ครั้นกองทหารเหล่านี้ได้ลงเรือเสร็จแล้วก็ได้เกิดข้อโต้เถียงกันขึ้นอีก พวกฝรั่งเศสก็แล่นเรือไปโดยยังมิได้ทำความตกลงในข้อโต้เถียงนั้นอย่างใด ข้าพเจ้าเชื่อต่อไปว่าคงได้ทราบทั่วกันแล้วว่าข้อโต้เถียงนั้น
๑๒๕
เกิดจากเรื่องที่กองทหารฝรั่งเศสได้พาข้าราชการไทยซึ่งไทยได้ส่งมาเปนประกันไปด้วย เพราะเหตุว่าไทยไม่ยอมคืนเรือให้สามหรือสี่ลำซึ่งบันทุกปืนใหญ่แลของ ๆ พวกฝรั่งเศส แลไม่ยอมส่งตัวนายทหาร ๓ คนกับ พลทหาร ๑๕ คนซึ่งตกค้างอยู่ตามลำแม่น้ำ ในเรื่องนี้มีคนโทษนายพลเดฟาซ์กับกองทหารว่าเปนผู้ทำผิด ส่วนข้าพเจ้านั้นจะไม่กล่าวว่าใครผิด ไว้ให้ผู้ที่ควรจะตัดสินได้ตัดสินเอาเอง แต่ข้าพเจ้าทราบได้ว่าถ้าไทย ได้คืนคนแลของให้แล้ว นายพลเดฟาซ์คงจะไม่คิดพาข้าราชไทย ไปดังนี้เลย มีคนหาว่าการที่นายพลเดฟาซ์กับกองทหารฝรั่งเศสพาข้าราชการไทยไปเช่นนี้ เปนการผิดหนังสือสัญญาที่ทำไว้ต่างหนังสือประกัน เพราะฉนั้นไทยมิได้พิเคราะห์เหตุผลหรือได้พูดจาว่าประการใด แต่ได้มาจับพวกเราผู้เปนประกัน แลข้อนี้เปนเหตุที่ไทยอ้างอยู่เสมอสำหรับทำโทษแก่เราดังจะได้เห็นต่อไป ต่อนั้นมานายพลเดฟาซ์ก็ได้ส่งข้าราชการไทยคืนมาแล้ว แต่ถึงดังนั้นไทยก็คงยังทำแก่เราอย่างเดิมหาได้ละเว้นอย่างใดไม่
มองเซนเยอลาโนถูกจับ (๑)
พอกองทหารได้ลงเรือเสร็จแลเรือได้กางใบแต่ยังไม่ทันแล่นดี มอง
(๑) ในรายงารฉบับอื่นได้พบข้อความดังนี้ มองเซนเยอร์เดอเมเต โลโปลิศได้ขึ้นจากเรือเพราะมีข้าราชไทยคน ๑ เปนผู้บังคับทหารไทย
๑๒๖
ได้เรียกขึ้นไป มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศยังไม่ทันเดิรไปถึงสาม ก้าว ก็มีพวกเหล่าร้ายมากลุ้มรุมทั้งตบทั้งต่อยแลเอาไม้ตี แลคน ๑ ซึ่งเปนคนใจโหดร้ายยิ่งกว่าคนอื่นได้เอาไม้ตีศีร์ษะมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศอย่างแรง จนนายทหารฝรั่งเศสคน ๑ ซึ่งอยู่ด้วยในเวลานั้น ได้บอกกับข้าพเจ้าในภายหลังว่าเข้าใจว่าท่านสังฆราชตายแน่แล้ว แล้ว พวกเหล่าร้ายก็เอาเชือกผูกคอแลมัดมือ แล้วผลักท่านสังฆราชฟาดลงกับดินจึงลากตัวไปในโคลน แล้วผลักให้เข้าไปอยู่ในกอไม้ ท่านสังฆราชได้อยู่ในกอไม้นี้ ๒ ชั่วโมง แลถูกเหลือบซึ่งเปนแมลงคล้ายแมลงวันกัดเจียนตาย ท่านผู้ที่เคยถูกเหลือบกัดแล้วคงจะพอนึกได้ว่าท่านสังฆราชจะได้รับความทรมานเพียงไร เพราะตัวก็เจ็บยังมือก็ถูก มัดด้วย ในระหว่างนั้นพวกผู้คุมกำลังเตรียมเครื่องพันธนาการซึ่ง เรียกกันว่าเครื่องจำ ๕ ประการ สำหรับใส่คอใส่เท้าแลใส่มือ ในระหว่าง ๒ ชั่วโมงนั้นท่านสังฆราชถูกพวกเหล่าร้ายเปนอันมากซึ่งชิงกันมาด่าแลทำร้ายต่าง ๆ บางคนมาถอนหนวดทีละเส้น บางคนตบต่อยบางคนถ่มน้ำลายรดหน้า บางคนก็ทุบแลทำการร้ายหลายอย่าง นายทหารที่ได้กล่าวมาแล้วได้มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เขาได้คเนว่ามีคน ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐๐คนได้มาลองกำลังที่ตัวสังฆราชแลนายทหารผู้นั้น แลที่กะว่า ๒๐๐๐ คนนั้นไม่ได้คิดคูณให้มากไปเลย แล้วผู้คุมจึงได้เอา คามาใส่คอ เอาขื่อไม้ใส่มือ ซึ่งทำให้สังฆราชเจ็บปวดจนอดร้อง ไม่ได้ เจ้าพนักงารได้ควบคุมพาไปตระเวรที่โน่นบ้างที่นี่บ้างแล้วจึงได้
๑๒๗
พาตัวขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยา ได้ให้พักอยู่ที่มุมถนนแห่งหนึ่ง แล ได้ล่ามโซ่ทั้งจำไว้ครบ ๕ ประการด้วย มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศต้องถูกจำอยู่ที่มุมถนนนี้โดยต้องตากแดดไม่มีที่กำบังเลย จนมีคน ๆ หนึ่งซึ่งมีใจเมตตาได้มาปลูกกระท่อมเล็กให้พออาศรัยได้ ในเวลานั้นท่านสังฆราชป่วยเปนไข้แลท้องเดิรทั้งเจ็บปวดตามร่างกายที่ถูกทุบตีด้วย แล ยังเจ็บกายที่ล้มลงไปซึ่งทำให้ร่างกายตายไปแถบหนึ่ง ท่านสังฆราช ได้ทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้สามเดือนซึ่งน่าสงสารมาก แล้วพระเจ้า แผ่นดินพระองค์ใหม่ ทรงเกรงว่าสังฆราชจะตายจึงโปรดให้เอาโซ่ที่ล่ามนั้นออกเสีย แลทรงอนุญาตให้ปลูกกระท่อมให้อยู่กว้างออกไปอีกหน่อย ท่านสังฆราชได้อยู่ในที่นี้ต่อมาจนทุกวันนี้ แลมีผู้คุมซึ่งในเมืองนี้เรียกว่า พวกแขนทาสี เพราะพวกนี้ได้ทาสีที่แขนเปนเครื่องหมาย ควบคุมอยู่เสมอเปนนิจ
๑๒๘
เซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ซึ่งจำเปนต้องนำกองทหารไปส่งถึงปากน้ำเพื่อเปนคนกลางในระหว่างพวกไทยแลฝรั่งเศสนั้น ก็ต้องถูกจับ แต่กิริยาที่จับมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศในครั้งนี้ ได้กระทำอย่าง ประหลาทแลน่าหวาดเสียวมาก คือมีคนไทยหมู่หนึ่งได้กรูเข้ามาจับสังฆราชแล้วกระชากเครื่องแต่งตัวออกหมด ได้กระชากเอาไม้กางเขนแลแหวนหมายยศออก จนที่สุดหมวกก็ถูกดึงออกเหมือนกัน ของ เหล่านี้ท่านสังฆราชพอจะอดกลั้นได้ แต่พวกไทยได้ริบของรักยิ่งกว่าของอื่นไปด้วย ซึ่งสังฆราชได้ติดตัวไว้เพื่อกันหาย คือไม้ของไม้ กางเขนที่แท้นั้นเอง การที่พวกไทยได้ถอดเสื้อแลเอาของต่าง ๆ ไป ดังนี้ ก็ยังหาเปนที่พอใจของพวกไทยไม่ แต่ยังกลับเอากำปั้นทุบ ต่อยแลเอาไม้ตี ผลักให้ล้มลงกับดิน ลากตัวไปกับโคลน แล้ว เอาเชือกผูกคอมัดมือมัดเท้า ลากเอาไปทิ้งไว้ในพุ่มไม้ริมถนน ซึ่ง เต็มไปด้วยยุงแลเหลือบ การที่ยุงแลเหลือบกัดนั้นยังไม่เพียงพอ แต่พวกเหล่าร้ายที่เดิรไปเดิรมาได้ทำการร้ายต่าง ๆ ทั้งทุบทั้งต่อยทั้งด่า แลเยาะเย้ยต่าง ๆ ท่านสังฆราชต้องทนอยู่อย่างนี้ในระหว่างที่เจ้า พนักงารยังกำลังทำคาแลทำขื่อเท้าขื่อมือ แล้วเจ้าพนักงารจึงได้เอาขื่อคามาใส่สังฆราชซึ่งร่ายกายอ่อนเพลียอยู่แล้ว แลยังแถมเอาตรวนมา จำเท้าแลเอาโซ่มาล่ามคอด้วย การที่ทำอย่างนี้ในภาษาสามัญเรียกกันว่า จำ ๕ ประการซึ่งเปนคำที่ข้าพเจ้าจะต้องใช้ในที่นี้บ่อย ๆ
๑๒๙
นายทหารแลพลทหารฝรั่งเศสถูกจับ
พวกนายทหารแลพลทหารฝรั่งเศสที่นายพลเดฟาซ์ได้ทิ้งไว้ข้างหลังนั้น ก็ได้ถูกจับแลถูกทำร้ายอย่างเดียวกับสังฆราชเดอเมเตโลโปลิศ แต่ถ้าจะเทียบแล้วดูเหมือนพวกทหารจะถูกทุบตีร้ายแรงกว่าท่านสังฆราชบางคนได้ถูกลากไปตามถนนหนทาง แต่ตัวก็ถูกทุบตีเจียนตายอยู่แล้ว ยังซ้ำเอาคาใส่คอไว้ด้วย ถ้าจะดูก็ไม่ผิดอะไรกับที่เขาลากซากสุนัขที่ตายไปทิ้ง พวกนี้ได้รับความทุกข์ทรมานที่สันดอน แลที่บางกอกหลายวัน โดยความเจ็บปวดเหลือที่ใครจะประมาณได้หลายวัน แล้วเจ้าพนักงารจึงได้พาขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยาจำไว้ครบ ๕ ประการทุกคน
มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศถูกจองจำ
มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ต้องอยู่ในความควบคุมของ ผู้คุม ซึ่งในเมืองนี้เรียกกันว่า "พวกแขนทาสี" (เพราะความจริง พวกนี้ต้องเอาสีทาแขนเปนเครื่องหมายจริง ๆ) ได้อยู่ใกล้กับพระราชวัง ไม่มีใครเปนธุระดูแลอย่างไร ต้องนั่งอยู่บนเสื่อลำแพนที่มุมถนน แลต้องถูกจองจำคอยจนกว่าผู้ใดจะมีจิตต์เมตตา ได้มาปลูกกระท่อมเล็ก ๆ ให้ ซึ่งเกือบไม่พอมิดตัว สังฆราชเดอเมเตโลโปลิศได้ทนทุกข์เวทนาอยู่เช่นนี้ โดยถูกจำครบ ๕ ประการเกือบ ๓ เดือน ใน ระหว่างนั้นก็เปนไข้อยู่เสมอ แลท้องกับสีข้างด้านหนึ่งเหมือนตายเพราะเหตุที่ล้มลงไปในเวลาที่ข้ามไม้กระดานเล็ก ซึ่งทอดไว้เปนสพาน
๑๗
๑๓๐
ท่านสังฆราชทนน้ำหนักขื่อคาไม่ไหวจึงได้ล้มฟาดลงไป แต่ช้า ๆ นาน ๆ พวกผู้คุมก็ได้ถอดเครื่องพันธนาการออกบ้างเปนบางอย่าง แล้วก็กลับใส่อีก การที่ทำดังนี้คงจะเปนด้วยพวกผู้คุมหาหนทางรีดเอาเงินตามแบบธรรมเนียมของพวกนี้ หรือจะเปนด้วยกลัวว่านายจะหาว่าไม่จองจำตามคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งเปนแน่ แต่ภายหลังเมื่อได้ถูก จองจำอยู่เช่นนี้ ๓ เดือน เจ้าพนักงารเกรงว่าสังฆราชจะตาย เพราะเหตุว่ามีอาการป่วยหลายอย่าง จึงได้ถอดเครื่องพันธนาการออก คงแต่ให้ผู้คุมควบคุมอยู่ในกระท่อมนั้นต่อไป
นายทหารแลพลทหารฝรั่งเศสต้องจำคุก
ส่วนนายทหารแลพลทหารนั้น ต้องติดอยู่ในคุกธรรมดาปนอยู่กับพวกผู้ร้ายอย่างฉกรรจ์ของเมืองนี้ เมื่อนายทหารแลพลทหารฝรั่งเศสเข้าไปอยู่ในคุกนั้น ก็ได้พบพวกมิซชันนารีแลบันดานักเรียนทั้งหลาย กับพวกฝรั่งเศสสามัญติดคุกอยู่แห่งเดียวพร้อมกันหมด เพราะพวกไทยได้พยายามค้นหาจับพวกฝรั่งเศสทุกคนไม่ว่าจะอยู่แห่งใด
พวกบาดหลวงแลมิซชันนารีถูกจับ
เมื่อวันที่ ๙ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ.๑๖๘๘ (พ.ศ. ๒๒๓๑) พวกเรายังไม่ทราบเลยจนคนเดียวว่า กองทหารฝรั่งเศสจะได้ยกไปแล้ว หรือยัง แลไม่ทราบว่าจะได้เกิดข้อโต้เถียงแตกร้าวกันหรืออย่างไร
๑๓๑
ในวันนั้นพวกเราทั้งหมดได้ถูกเรียกไปยังห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ในห้องนั้น มีข้าราชการไทยคนหนึ่งได้บรรยายถึงคุณความดีต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้า แผ่นดินทำให้แก่พวกฝรั่งเศส จนที่สุดถึงกับได้พระราชทานเรือ เสบียงอาหารแลเงิน สำหรับให้พวกนี้กลับไปได้โดยสดวก แต่ พวกฝรั่งเศสได้กลับทำการอันไม่ดีตอบแทน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้เองพวกฝรั่งเศสได้ทำผิดสัญญาซึ่งได้ตกลงกันอย่างมั่นคง พาข้าราชการไทย ซึ่งส่งไปเปนประกันสองคนไปเสีย เพราะฉนั้นพวกเราซึ่งเปนผู้รับประกันจึงต้องให้เจ้าพนักงารจับตัวไว้ ตามพระราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินแต่เจ้าพนักงารจะยอมให้คนในพวกเราสองคน ไปพร้อมกับผู้แทนเจ้าแผ่นดินไปที่โรงเรียนสามเณร เพื่อเจ้าพนักงารจะได้ไปทำบาญชี ทรัพย์สิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในที่นั้น เจ้าพนักงารได้เลือกข้าพเจ้ากับมองซิเออร์ เซอวเรอย์ ให้เปนผู้ไปกับเจ้าพนักงาร ส่วนพวกมิซชันนารีอื่น ๆ เจ้าพนักงารได้กักตัวไว้ณที่นั้นเอง
พวกเราเชื่อกันว่า ไทยคงจะลืมนึกถึง บาทหลวง เดอลา บเรอย์ (Breuille) ซึ่งขาดอยู่คนเดียวในคณะเยซวิต แต่ไม่ช้าพวกไทยก็ นึกขึ้นมาได้ จึงได้ไปลากตัวมาจากพวกบาดหลวงปอตุเกศ ซึ่ง บาทหลวง เดอลา บเรอย์ ไปอาศรัยอยู่ แล้วเจ้าพนักงารก็พามา รวมไว้พร้อมกับบาดหลวงพวกเรา
รุ่งขึ้นวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน บันดาพวกนักเรียนก็ถูกเรียกมาเหมือนกัน แล้วเจ้าพนักงารก็ได้พาไปจำไว้ยังคุกสามัญโดยทันที
๑๓๒
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งเปนวันที่ ๑๑ เดือนพฤศจิกายน พวกบาดหลวงแลมิซชันนารีได้รับคำนับจากพระเจ้าแผ่นดิน โดยถูกเอาเชือกมาผูกคอทุกคน แล้วเจ้าพนักงารก็ได้คุมไปส่งยังคุกสามัญ ถูกจำครบ ๕ ประการ แลถูกทุบต่อยอย่างร้ายแรงทุกคน
ฝรั่งพวกบริษัทถูกจับ
พวกฝรั่งเศสที่ทำการอยู่ในบริษัท ก็ได้ถูกจับโดยวิธีเดียวกับพวกเราเหมือนกัน แลเจ้าพนักงารได้ให้มองซิเออร์ มาการี แลมองซิเออร์ เมศโตรต์ เปนพยานในการทำบาญชีทรัพย์สิ่งของ ซึ่ง ภายหลังได้ถูกริบไปหมด
มองซิเออร์ โปมา ไม่ได้ถูกจับ
ได้เปนผู้ส่งเสบียงให้นักโทษ
มีอยู่คนเดียวคือ มองซิเออร์ โปมา ซึ่งได้รับความยกเว้น ไม่ได้ถูกจับ เพราะเปนคนชำนาญวิชาแพทย์ ตั้งแต่แรกมา มองซิเออร์ โปมา ได้รับอนุญาตให้ปลูกเรือนเล็ก ๆ ในเขตติดกับพระคลังหลวงแลเปนที่ใกล้กับคุก มองซิเออร์ โปมา จึงได้เข้าไปอยู่ใน เรือนเล็กหลังนั้นพร้อมด้วยเด็กนักเรียนที่อายุน้อยที่สุด ๖ คน กับ พวกคนใช้ของเราบางคนซึ่งเปนพวกแขกดำ เพราะพวกไทยแลมอญ
๑๓๓
ไปหมดแล้วไม่ได้เหลือเลยจนคนเดียว ตั้งแต่วันแรกมา มองซิเออร์ โปมา ได้จัดอาหารส่งให้นักโทษวันละครั้ง แลได้ทำอย่างนี้ตลอดเวลาแลได้ให้รับประทานเสมอหน้ากันไม่เลือกว่านักโทษนั้นจะเปนมิซชันนารีหรือเปนนักเรียน จะเปนข้าราชการฝรั่งเศสหรือเปนคนของบริษัท เพราะเห็นว่านักโทษทั้งหลายนี้ก็ได้ตกมาในกองทุกข์ที่สุดแล้ว ต้อง นับว่าเปนความทุกข์เสมอหน้ากันหมด ถ้าพระเปนเจ้าจะยอมให้พวกเราตายด้วยความทุกข์เวทนา ก็ต้องตายพร้อมกันจึงจะเปนที่พอใจของพระเปนเจ้า แต่ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่า ถ้าพวกเราจะต้องทน ทุกข์ทรมานนานดังคาดแล้ว มองซิเออร์ โปมา จะรับเลี้ยงให้ตลอด ไปจะไม่ไหวกระมัง เพราะเงินของพวกเราก็หดน้อยลงไปแล้ว แล ค่าใช้จ่ายที่เลี้ยงอยู่เช่นนี้ก็มากไม่ใช่น้อย
เวลานี้พวกเรามีอยู่ทั้งในแลนอกคุกเกือบ ๑๐๐ คนที่จะต้องเลี้ยงดูกัน นอกจากการหาอาหารเลี้ยงนี้ ยังมีการใช้จ่ายอย่างอื่นอีก เปนอันมาก ทั้งการที่มีผู้ดูหมิ่นก็มากขึ้นทุกที จึงจำเปนจะต้องแก้ ให้หายให้จงได้
พวกฝรั่งเศสถูกริบ
เมื่อเจ้าพนักงารทำบาญชีทรัพย์สิ่งของที่บริษัท แลที่โรงเรียนสามเณรเสร็จแล้ว ก็ได้มีคำสั่งให้ริบของเหล่านี้ส่งไปไว้ยังท้องพระคลัง
๑๓๔
ให้หมด ส่วนพวกเรานั้นจะเปนด้วยความกรุณา หรือจะเปนด้วยไทย ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรได้ก็ไม่ทราบ เจ้าพนักงารหาได้ริบเอาเครื่องประดับหน้าพระ สมุดต่าง ๆ แลเสื้อผ้าของพวกเราไปไม่ แต่ส่วน ของบริษัทนั้นได้ริบเอาไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลยจนสิ่งเดียว เว้นแต่ หีบเสื้อผ้าเท่านั้นหาได้ริบเอาไปไม่ แลหีบเสื้อผ้านั้นจะได้ให้ไว้บ้าง หรือทั้งหมดก็ไม่ทราบ เมื่อเจ้าพนักงารได้ริบสิ่งของที่ชอบใจไปหมดแล้ว ก็ได้พาท่านผู้ที่ไปเปนพยานส่งเข้าไปจำในคุกพร้อมกับนักโทษ อื่น ๆ ส่วนข้าพเจ้าแลมองซิเออร์ เซอวเรอย์ ก็ได้เตรียมตัวแลคอยให้ เจ้าพนักงารส่งตัวไปคุกแล้ว แต่พระเปนเจ้าไม่ยอมให้เปนไปเช่นนั้น พระเปนเจ้าต้องการให้เราสองคนอยู่นอกคุก เพื่อจะได้ช่วยคนในคุก ต่อไป
มองซิเออร์มาตีโนกับมองซิเออร์เซอวเรอย์ถูกขับไล่
เมื่อเจ้าพนักงารได้ชักช้าทำบาญชีทรัพย์สิ่งของในโรงเรียนสามเณร กินเวลาถึงสองเดือนแล้ว ครั้นณวันที่ ๑ ของปีใหม่ปี ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒) ข้าพเจ้าแลมองซิเออร์เซอวเรอย์ได้รับคำสั่งให้ออกจากโรงเรียนสามเณร เพราะจะเอาที่นั้นทำเปนที่เก็บของ ๆ เจ้านาย แลให้เราทั้งสองไปไหนแล้ว แต่จะไปได้พร้อมด้วยทรัพย์สิ่งของที่เจ้าพนักงารได้เหลือไว้ให้ เราจึง
๑๓๕
ขนสมุดแลเครื่องประดับวัดที่เปนของอย่างดีไปฝากไว้ กับพวกบาดหลวง เยซวิต แลในการที่เราได้รับความอับอายครั้งนี้ บาดหลวงมัลโดนาด ซึ่งเปนหัวหน้าของพวกเยซวิต ก็ได้เอื้อเฟื้อแลให้ทานแก่เราอย่างใจเปน คริสเตียนจริง ๆ ส่วนตัวเราเองได้ไปอาศรัยบ้านชาวตังเกี๋ยผู้หนึ่งชื่อ โยเซฟ ซึ่งเปนบ้านไม่ไกลกับโรงเรียนสามเณรเท่าไรนัก ในระหว่างที่พักอยู่บ้านนี้ก็มีใจหวั่นหวาดอย่างที่สุด เพราะเวลานั้นพวกไทยยังโกรธพวกเราเปนอันมาก แลเสบียงอาหารก็ต้องสงวนไว้อย่างที่สุด เพื่อเอาไว้ช่วยเหลือพวกเราที่เปนนักโทษด้วย
ข้าพเจ้าจะต้องกล่าวในที่นี้เพื่อสรรเสริญพระเปนเจ้าผู้ได้ช่วยเหลือ เราเปนอันมาก คือเมื่อเราออกจากโรงเรียนสามเณรนั้นมีเงินติดตัวอยเพียงเหรียญเดียวเท่านั้น แลเงินเหรียญนี้ก็แดงด้วยซ้ำนอกนั้นไม่มีอะไรติดตัวสำหรับซื้อหาเลี้ยงชีพคนมากมายเลย แต่ถึงดังนั้นพระเปนเจ้า ได้บันดาลให้เพื่อนสองคนคือตัวเราได้จัดหาเลี้ยงตัวพอไม่ตายได้
พวกคริสเตียนต้องขังคุก
ในตอนต้นข้าพเจ้าเพียงแต่กล่าวว่าพวกคริสเตียนของเราต้องจำคุกสามัญปนอยู่กับเหล่าผู้ร้ายฉกรรจ์ของบ้านเมืองเท่านั้น แต่ในที่นี้ข้าพเจ้า จะต้องอธิบายให้พอท่านเห็นว่าคุกนั้นเปนอย่างไร
๑๓๖
พอพวกคริสเตียนเข้าไปในคุกแล้ว เจ้าพนักงารได้ถอดเครื่องแต่งตัวออกหมดแต่ได้ถอดหมวกกับรองเท้าก่อน เสื้อยาวของบาดหลวงนั้นพวกผู้คุมหาต้องการไม่ จึงยอมทิ้งไว้ให้พวกมิซชันนารีกับพวกนักพรตที่ยังเปนนักเรียนอยู่ แต่เสื้อคลุมเสื้อเชิดแลกางเกงพวกผู้คุมริบ เอาหมด บางคนต้องเปลือยกายอยู่เช่นนี้ถึงสองเดือนแลเวลานั้นก็มีลมเหนือพัดมาหนาวมาก ทั้งกลางวันแลกลางคืนก็มีเพียงผ้าขี้ริ้วคลุมตัวเพราะพวกผู้คุมมีความละอายใจไม่กล้าริบไว้ พวกนี้ถูกจำ ๕ ประการ ทุกคน ที่พูดว่า ๕ ประการยังไม่ถูก จะต้องว่าถูกจำ ๗ หรือ ๘ ประการ เพราะถูกทั้งผูกทั้งมัดทุกอย่าง เวลากลางคืนก็ถูกมัดถูกจำอยู่อย่างนี้เหมือนกัน พอสว่างผู้คุมก็เรียกพวกนี้ไปเอาโซ่ร้อยติดกันตั้ง ๑๐ หรือ ๑๒ คนปนเปกับพวกผู้ร้ายอย่างฉกรรจ์ของเมืองนี้ แล้วก็คุมออกไปให้ทำการอย่างหยาบตั้งแต่เช้าจนเย็น คือขนดินขนอิฐ ขนขยะมูลฝอย ของโสโครกต่าง ๆ ล้างท่อ ล้างที่อุจาระ ลากเสา ลากซุง แลการหนักต่าง ๆ อีกหลายอย่าง
ในครั้งนั้นบันดาชาวต่างประเทศมีความประหลาทใจมากที่ได้เห็นชาวยุโรปในเมืองไทย ทั้งนักเรียนอายุ ๑๓ ขวบ๑๔ ขวบตลอดจนมิซชันนารีซึ่งหน้าตาแสดงความบริสุทธิ์ของตัว ต้องถูกลากไปตามถนนแลถูกบีบคั้นไม่ผิดกันกับพวกผู้ร้ายอย่างสำคัญแลผู้ร้ายที่ฆ่าคนตาย ถ้าพวก คริสเตียนล้มลงด้วยอ่อนเพลียเพราะความไม่สบาย หรือแดดเผาจนร้อนหรือเหน็ดเหนื่อยเต็มที ประเดี๋ยวก็ต้องลุกขึ้นได้ด้วยถูกไม้ตี ในตอนเช้า
๑๓๗
เวลาเดิรไปทำงารแลตอนเย็นเวลากลับ พวกนี้ต้องขอทานตามประตูบ้าน แลตามร้านทุก ๆ แห่ง พวกชาวบ้านก็ให้เข้าบ้าง ปลาเค็มบ้าง เบี้ย ซึ่งใช้กันต่างเงินบ้าน แลให้เหมือนกับนักโทษไทยแลมอญที่ต้อง ร้อยโซ่ติดเปนพวงเดียวกันไป ยังมีบุคคลบางจำพวกที่อดแสดงความสงสารไม่ได้ แต่ก็มีอีกจำพวกหนึ่งซึ่งยินดีที่จะด่าแลหมิ่นประมาทแล ข่มเหงต่างๆ เช่นถอนหนวดบ้าง ทุบตีบ้างกล่าวคำหยาบบ้าง แลบางคนก็ทำเปนพูดว่าสมน้ำหน้าที่ได้มาถูกเช่นนี้ การที่คนไทยพูดเช่นนี้พวกเราไม่ได้ประหลาทใจเลยเพราะเขาหาว่าเราได้พยายามทำลายสาสนาของเขา แต่ที่พวกคริสเตียนบางคนซึ่งอ้างตัวว่าเปนปอตุเกศพลอยพูดไปด้วยนั้น เราไม่ทราบเลยว่าเขาเอาหลักอะไรมาพูด
ยกเว้นพวกมิซชันนารีไม่ต้องทำงาร
ที่พวกมิซชันนารีต้องทำงารต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้นก็เพียงเดือนเดียวจะเปนเพราะเหตุใดหรือใครจะไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่าอย่างไรข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่เขาพูดกันว่าพวกชาวต่างประเทศทั้งหมดเห็นว่าที่ทำดังนี้มากเกินไป ฝ่ายพวกนักเรียนแลคนสามัญก็ต้องทำงาร เช่นนี้ต่อไปจนกว่าออกพระพิไชยสงครามซึ่งเปนประกันคนหนึ่งได้มาถึงกรุงศรีอยุธยาโดยนายพลเดฟาซ์ได้ส่งกลับจากภูเก็จ ออกพระพิไชยสงครามได้มาถึงกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๐ เดือนสิงหาคม ค.ศ.๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒)
๑๘
๑๓๘
ว่าด้วยพวกนักโทษในเวลากลางคืน
ครั้นถึงเวลากลางคืนพวกเราที่เปนนักโทษ ก็ต้องมารวม อยู่ตามคุกต่าง ๆ นอกจากต้องถูกมัดมือมัดเท้ายังต้องทนความคุมเหงของพวกผู้คุมอีก ในโลกนี้จะหาคนที่มีใจเหี้ยมโหดดุร้ายยิ่งกว่าผู้คุม เหล่านี้เปนหาไม่ได้ แลเปนธรรมเนียมของพวกนี้ซึ่งจะละเว้นไม่ได้ที่ต้องเมาสุราทุกวันแลยิ่งกลางคืนยิ่งเมามาก ในเวลาที่เมาเปนเวลาที่พวกผู้คุมเล่นให้เพลินใจโดยมาคุมเหงพวกนักโทษ คนหนึ่งถูกดึงหนวด คนโน้นถูกเผาหนวด คนนี้ถูกถ่มน้ำลายรดหน้า คนนั้นต้องจูบก้น ผู้คุม ยังมีผู้คุมใจโหดร้ายคนหนึ่งซึ่งพอใจให้มองซิเออร์โปเกต์จูบก้นของตัวอยู่เสมอ ๆ แลแกล้งเรียกมองซิเออร์โปเกต์ว่าสังฆราช แต่ เมื่อพวกผู้คุมเห็นโอกาศที่จะบีบคั้นเอาเงินจากนักโทษได้เมื่อใด ซึ่ง เปนการเท่ากับกินเลือดกินเนื้อของนักโทษ นั่นแลพวกผู้คุมปล่อย ความเหี้ยมโหดดุร้ายเต็มที่ จนถึงกับผู้คุมเหล่าร้ายบางคนได้เอานักโทษมัดตรึงไว้แน่นหนา แล้วเอามือจับที่ลับแห่งหนึ่งซึ่งความกระดากของข้าพเจ้าจะเรียกไม่ได้ แล้วบีบโดยเต็มแรงตะโกนบอกให้นักโทษผู้ถูกบีบนั้นให้ ๆ เงินแก่ผู้คุม บางทีไม่มีเรื่องอย่างใดเลยนอกจากเปนเรื่อง เกิดจากนิสัยอันผิดมนุษย์ของพวกนี้ พวกผู้คุมนึกสนุกขึ้นมาก็เฆี่ยน ตีพวกนักโทษคริสเตียนโดยไม่มีเหตุผลอย่างใดเลย วันหนึ่งมีผู้คุม คนหนึ่งได้จับมองซิเออร์เดอลาชนายทหารกับเดอโลเนเด็กเล่นมโหรีแล้ว
๑๓๙
เอาหวายเฆี่ยนคนละ ๑๐๐ ที เฆี่ยนพลางถามพลางว่า "อย่างไรล่ะ เดี๋ยวนี้กลัวข้าหรือยัง" การทำโทษอย่างอื่นก็เอาไม้ตีศีร์ษะ มอง ซิเออร์โมเนเตียเปนมิซชันนารีได้ถูกตีศีร์ษะจนมีบาดแผลที่ศีร์ษะถึง ๗ แผล บางคนก็ถูกตีจนแขนช้ำ บางคนก็ถูกตีจนชายโครงยุบ บางคน ถูกตีแล้วก็ไอเปนโลหิต ในที่สุดต้องกล่าวว่าทุกคนอยู่ในฐานทรมาน อย่างสาหัส นอกจากนี้ยังต้องทนกลิ่นเหม็นเพราะพวกนักโทษต้องเบียดกัน จนถึงกับไม่มีที่จะนอนเหยียดยาวหรือกระดิกตัวได้ ยังน้ำ รับประทานก็โสโครก เวลาจะตักน้ำก็ต้องเอาถังแกว่งให้สวะแลสิ่งโสโครกไปเสียก่อนจึงจะตักได้ ยังต้องเติมหิดเกลื้อน แลโรคพุพอง ซึ่งเปนทุกคนอีก ทั้งอย่าลืมว่าในคุกนั้นเต็มไปด้วยแมลงต่าง ๆ หนอน หมัด เลือด มด แลเหลือบ ถ้าหากว่าจะมีใครมาบอกข่าวแก่พวกนักโทษ คริสเตียนว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ดาบจะได้มาประหารให้พ้นทุกขเวทนา ก็คงจะเปนข่าวอันดีสำหรับพวกนี้เปนแน่ ถ้าข้าพเจ้าจะเอาคุกนี้มาเทียบกับนรกจะไม่ถูกหรือ ถึงแม้ว่าพวกนี้ได้ถูกทำร้ายอันน่าจะหมดความหวังก็จริงอยู่ แต่พวกนี้ก็อดทน ทั้งกิริยาภายนอกก็ปรกติแลหัวใจก็ยัง ชื้นอยู่เสมอ เพราะพวกนี้ยอมตัวให้แก่พระเปนเจ้าแล้ว จึงได้ร้องเพลงสวดต่าง ๆ อ่านหนังสือทั้งเรื่องธรรมดาแลเรื่องสาสนา บางคนถึง กับแต่งบทร้องต่าง ๆ ก็มี นี่แลพวกนักโทษคริสเตียนได้ทำให้เปลืองเวลาด้วยประพฤติตัวอย่างนี้
๑๔๐
มีผู้ขุดศพมองเซนเยอร์ลำแบเดอลามอต
แลมองซิเออร์เดอซันเดอบัว
การที่ไทยโกรธแลเกลียดพวกเรานั้นไม่ได้เกลียดแต่ฉเพาะคนที่มีชีวิตยังพลอยไปถึงคนตายด้วย หรือจะพูดให้ถูกก็ว่าโกรธกระดูกคนตายด้วย เพราะได้ทำอันธพาลจนถึงที่ฝังศพ โดยขุดเอากระดูกมอง เซนเยอร์เดอเบรีธแลมองซิเออร์เดอซันเดอบัว แล้วเอากระดูกขว้างทิ้งกระจายหมด แต่มีพวกญวนเข้ารีตมีใจเมตตาสงสารจึงได้อุส่าห์รวบรวมกระดูกศพทั้งสองนี้แล้วฝังเสียใหม่ ข้าพเจ้าได้ทราบว่าการที่พวกไทย ไปขุดศพขนดังนี้ เปนด้วยความกระหายอยากได้เงินแลทอง เพราะพวกนี้เข้าใจว่าที่ศพนั่นคงจะฝังเงินแลทองไว้เหมือนอย่างธรรมเนียมของไทย
การโต้ตอบในระหว่างข้าราชการไทยกับสังฆราช
ในเรื่องที่นายพลเดฟาซ์ไปอยู่ที่ภูเก็จ
เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ค.ศ. ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒) มอง เซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศซึ่งได้ถูกขังแลจำไว้ ๕ ประการมาได้ ๓ เดือน แล้ว ได้ออกจากเครื่องพันธนาการในค่ำวันนี้ เพราะมองเซนเยอร์ เดอเมเตโลโปลิศป่วยมีอาการหลายอย่าง เจ้าพนักงารเกรงว่าจะตายจึงได้ถอดเครื่องพันธนาการออกให้ แต่การที่ถอดเครื่องพันธนาการนี้ก็ไม่นานเท่าไรถอดให้ชั่วคืนเดียว พอรุ่งเช้าก็ต้องจำอีก พวกเราได้ ทราบทันทีว่าการที่สังฆราชต้องถูกจำเครื่องพันธนาการอีกนั้น เปนด้วย
๑๔๑
เหตุที่เจ้าพนักงารได้ทราบว่า นายพลเดฟาซ์กับเรือ ๔ ลำ ได้ไปอยู่ที่เมืองภูเก็จนั้นเอง
ครั้นเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม เจ้าพนักงารได้คุมมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศออกจากกระท่อม เดิรสุดมุมเมืองจนไปถึงศาลาใหญ่สำหรับว่าราชการ ที่เดิรไปคราวนี้มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ได้แต่งตัวอย่างบกพร่องมาก หมวกแลรองเท้าก็ไม่มี เดิรคล้ายกับ นักโทษซึ่งถอดตรวนออกใหม่ ๆ ส่วนนักโทษอื่น ๆ ที่เปนมิซชันนารี เจ้าพนักงารก็ได้คุมมายังศาลาใหญ่สำหรับว่าราชการนี้เหมือนกัน แต่นักโทษเหล่านี้ต้องจำตรวนแลพวงคอ เวลาที่เดิรนั้นโซ่พวงคอห้อย ลงมาทั้งสองข้างตัวลากไปกับดิน ซึ่งทำให้เปนเสียงอันไพเราะสำหรับคนฟังที่หาความผิดมิได้
ครั้นได้มาพร้อมกันที่ศาลาใหญ่แล้ว ข้าราชการผู้หนึ่งซึ่งรับหน้าที่มาพูดจาต่อไปนั้น ได้อ่านพระราชหัตถเลขาเปนหนังสือยืดยาวอ้างความดีต่าง ๆ ที่พระเจ้ากรุงสยามได้ทำให้แก่พวกฝรั่งเศส แล ยกเหตุผิดต่าง ๆ ที่พวกฝรั่งเศสได้ทำตอบแทน เช่นว่านายพลเดฟาซ์ ได้พาข้าราชการไทยไปสองคนซึ่งไทยได้ส่งไปเปนประกัน ทั้งนี้นายพลเดฟาซ์ทำผิดต่อข้อสัญญาที่มีปรากฏในหนังสือประกัน เพราะฉนั้นพวกเราซึ่งเปนตัวนายประกันโทษถึงประหารชีวิตตามประเพณีของบ้านเมืองซึ่งมี กฎหมายไว้ว่า ถ้าผู้ใดกระทำผิดที่ได้สัญญาไว้ต่อพระเจ้าแผ่นดินแล้ว มีโทษถึงประหารชีวิต แต่พระเจ้ากรุงสยามมีพระทัยเต็มไปด้วยพระ
๑๔๒
มหากรุณาแลพระเมตตา โปรดมิให้ทำโทษแก่พวกเราเต็มตาม อำนาจของกฎหมายบ้านเมือง แต่จะต้องบอกให้เรารู้ตัวว่าถ้าในเวลาที่นายพลเดฟาซ์ยังอยู่ที่เมืองภูเก็จ นายพลเดฟาซ์จะกระทำการร้าย อย่างใดแม้แต่เล็กน้อย ก็จะต้องเอาพวกเราทั้งหมดบัญจุปากกระบอกปืนให้นายพลเดฟาซ์แลกองทหารฝรั่งเศสเห็นประจักษ์แก่ตา แล้วภายหลังไทยจะทำให้เห็นว่าไทยมิได้กลัวนายพลเดฟาซ์เลย ถึงหากว่านายพล เดฟาซ์จะมีเรือมากกว่าที่มีอยู่เดี๋ยวนี้อีก ๑๐ เท่าไทยก็หากลัวไม่ ถ้านายพลเดฟาซ์จะต้องการรบกับทะเลซึ่งไม่เปนประโยชน์ก็ได้ ฝ่าย พระเจ้าแผ่นดินสยามก็มีเรือทะเลจำนวนมากกว่าแล้ว แลจะได้มี พระราชโองการให้บันดาเรือค้าขายระวัง อย่าให้ตกเข้าไปในเงื้อมมือนายพลเดฟาซ์ได้ ถ้านายพลเดฟาซ์มีความกล้าขึ้นบกแล้วก็จะเปน ลาภของพวกไทย ในที่สุดของเรื่องนี้เปนอันตกลงว่า มองเซนเยอร์ เดอเมเตโลโปลิศ แลมิซชันนารีทุกคนจะได้มีจดหมายไปยังนายพลเดฟาซ์
ครั้นได้อ่านลายพระราชหัตถ์ยืดยาวฉบับนี้จบลงแล้ว ข้าราชการไทยได้บังคับให้พวกเราตอบข้อหาเปนข้อ ๆ ทุกข้อโดยทันที มอง เซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศจึงได้ชี้แจงว่า บางข้อควรจะตอบเปนลายลักษณ์อักษร แต่มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศเห็นว่าการที่จะตอบเพียงเท่านี้หาพอไม่ เพราะหนทางที่จะไปภูเก็จเปนทางไกลมากทั้ง เปนทางยากลำบากด้วย จะมัวคอยโต้ตอบกันในเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ไม่ได้ เพราะฉนั้นจึงเห็นว่าถ้าจะให้เร็วขึ้นแล้ว ควรจะส่งมิซชันนารี
๑๔๓
ให้ไปพบกับนายพลเดฟาซ์สองคน เพราะมิซชันนารีจะได้พูดจาว่ากล่าวด้วยปากได้ดีกว่าที่จะเขียนหนังสือ เพื่อนายพลเดฟาซ์จะได้ตอบตามข้อหาได้ ข้าราชการไทยจึงได้ตอบว่าการที่จะจัดมิซชันนารีไปหานายพลเดฟาซ์นั้น เกรงว่าพระเจ้ากรุงสยามคงจะไม่โปรด
มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศจึงแนะนำต่อไปว่า เพื่อจะให้ การเรื่องนี้แล้วสำเร็จเด็จขาดโดยเร็ว เห็นว่าจำเปนจะต้องมีคนกลาง จะดีกว่าอย่างอื่นทั้งหมด แลในที่นี้มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ก็เห็นมีแต่พวกฮอลันดาที่จะเปนคนกลางได้ ข้าราชการไทยตอบว่า "พวกฮอลันดาจะยอมเปนคนกลางหรือ" มองเซนเยอร์เดอเมเตโล โปลิศตอบว่า "เท่ากับให้เกียรติยศต่อเขา ทำอย่างไรเขาก็คงรับเปนกลาง"
นี่แลเปนใจความที่ได้พูดจากันในคราวนี้ แลจะตกลงเด็จขาดอย่างไรให้เลื่อนไปในวันรุ่งขึ้น เพื่อทูลหารือทางปฏิบัติต่อพระเจ้ากรุงสยามในข้อต่าง ๆ ที่ยกมาพูดกันในวันนี้ แล้วเจ้าพนักงารก็คุมมอง เซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศกับพวกมิซชันนารีไปจำขังไว้อย่างเดิม
รุ่งขึ้นวันที่ ๒๖ เจ้าพนักงารได้คุมพวกนักโทษเหล่านี้กลับไปยังศาลาใหญ่อีกแลต้องไปทั้งโซ่ตรวนพวงคออย่างวันก่อน ข้าราชการ ไทยจึงนำพระราชโองการมาบอกว่า ไม่ต้องนึกถึงการที่จะส่งมิซชันนารีสองคนไปพบนายพลเดฟาซ์ที่เมืองภูเก็จ แลไม่โปรดในการที่จะเอาพวกฮอลันดามาเปนคนกลาง เพราะฉนั้นไม่ต้องพูดให้มากเรื่องไป
๑๔๔
ให้เขียนหนังสือไปถึงนายพลเดฟาซ์เปนแล้วกัน เมื่อได้ฟังดังนี้แล้ว มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศก็หมดทางที่จะตอบ จึงได้ลงมือเขียนหนังสือ แต่เพื่อจะเขียนให้ตรงกับเรื่อง จึงขอทราบว่านายพลเดฟาซ์ได้มีหนังสือมาว่ากระไร ข้าราชการไทยจึงได้อ่านจดหมายนายพลเดฟาซ์ ให้ฟัง ใจความในจดหมายฉบับนั้นไม่มีอะไรนอกจากจะต้องการให้การได้ดำเนิรไปโดยเรียบร้อยเท่านั้น แลได้อธิบายถึงเหตุผลที่ต้องพา ข้าราชการไทยสองคนไปด้วย แลในที่สุดก็จะได้ส่งข้าราชการทั้ง สองนั้นกลับมา ขอแต่ของแลคนของนายพลเดฟาซ์คืนบ้างเท่านั้น เพื่อเปนการสดวกด้วยกันทั้งสองฝ่าย นายพลเดฟาซ์ได้แนะนำว่า ในคนไทย ๔ คนที่ได้พาไปนั้น คือ ข้าราชการสองคน ล่ามคน ๑ คนใช้ไทยคน ๑ นั้น นายพลเดฟาซ์ยอมส่งตัวคืนให้สองคนแต่ขอ ให้ไทยไปรับเอาเอง แล้วเมื่อไทยได้ส่งคนแลของ ๆ นายพลเดฟาซ์ คืนให้แล้ว นายพลเดฟาซ์จะได้ส่งไทยที่ยังเหลืออยู่อีกสองคนนั้นคืนให้ เมื่อมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศได้ทราบความตามจดหมายนั้นแล้ว จึงได้ถามข้าราชการไทยว่าตามที่นายพลเดฟาซ์พูดมาดังนี้ไม่สมควรหรืออย่างไร ข้าราชการไทยจึงตอบว่า จะไว้ใจฝรั่งเศสต่อไปไม่ได้แล้ว เมื่อฝรั่งเศสได้พาไทยไปเช่นนี้ก็ต้องให้ฝรั่งเศสพากลับมาส่ง ที่จะให้ไทยไปรับเอาเองนั้นไม่ได้ พวกนักโทษมิซชันนารีถามว่า "ถ้าแม้ว่าท่านนายพลเดฟาซ์ได้ส่งคนไทยกลับมาแล้ว ไทยจะคืนคนแลของ ๆ ฝรั่งเศสหรือไม่" ข้าราชการไทยตอบว่า "เมื่อพวกฝรั่งเศสได้ใช้เงิน ๓๐๐ ชั่ง
๑๔๕
ซึ่งนายพลเดฟาซ์ได้ยืมไป แลได้คืนเรือที่มองซิเออร์ดูบรูอังได้ลักไป กับเรืออีกสองลำซึ่งตกอยู่ในเมืองฝรั่งเศส ถ้าคืนให้มาเมื่อใดไทยจึง จะส่งนักโทษแลของคืนให้ ถ้าไม่คืนก็ไม่ให้เหมือนกัน" พวก นักโทษมิซชันนารีคัดค้านว่า "น่ากลัวท่านนายพลเดฟาซ์จะไม่ยอม ตามนี้" ข้าราชการไทยวางท่าโตดุจเปนพระเจ้าอาเล็กซันเดอร์ตอบว่า "ถ้าฉนั้นเมื่อจะรบก็รบกันซิ ดีแล้วจะรบก็รบกันเถิด" มองเซน เยอร์เดอเมเตโลโปลิศจึงได้ตัดตอนเพื่อไม่ให้โต้เถียงกันต่อไปจึงเอาเรื่องอื่นมาพูด คือว่าในเรื่องที่จะใช้หนี้กันนั้นเปนเรื่องที่จะต้องโต้เถียงกัน ยืดยาวซึ่งพวกเราไม่รู้เรื่องด้วย เพราะก่อนที่จะใช้หนี้สินให้เสร็จกัน จะต้องรอคนแทนของบริษัทเสียก่อน ข้าราชการไทยจึงตอบว่า รู้ไม่ได้ว่าผู้แทนของบริษัทจะมาหรือไม่ แต่เปนอันรู้ได้แล้วว่าพวกฝรั่งเศส เปนคนไม่จริงแลได้ทำผิดสัญญา เพราะฉนั้นจะไว้ใจอีกต่อไปไม่ได้ มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศจึงนิ่งหาได้โต้ตอบประการใดไม่ แล ลงมือเขียนจดหมายตามที่ไทยสั่งให้เขียน จดหมายฉบับนี้ได้แต่ง เขียนตามความพอใจของไทย มีใจความว่า ขอให้นายพลเดฟาซ์ ได้รลึกถึงราชไมตรี ได้รลึกถึงสาสนาแลหนังสือสัญญาที่ตัวได้ เซ็นไว้ แลขอให้รลึกถึงพวกเราซึ่งเปนประกันของนายพลเดฟาซ์ เพราะเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ขออย่าให้นายพลเดฟาซ์ได้ทำการรบหรือต่อสู้อย่างใดเลย มิฉนั้นพวกเราจะต้องตายหมด เมื่อได้แปลจดหมาย ฉบับนี้เปนภาษาไทยแล้วข้าราชการไทยอ่านก็พอใจ จึงพูดว่าพระเจ้ากรุงสยามก็คงจะโปรดเหมือนกัน
๑๙
๑๔๖
แต่จะอย่างไรก็ตามมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศอดไม่ได้ที่จะพูดว่า เมื่อนายพลเดฟาซ์ได้เห็นสำนวนจดหมายฉบับนี้ก็คงจะทราบได้แน่ ว่าจดหมายฉบับนี้ได้เขียนสำหรับให้เปนที่พอพระทัยของพระเจ้าแผ่นดิน แลเขียนโดยถูกบังคับ เพราะเหตุว่าในจดหมายฉบับนี้ไม่ได้พูดถึงข้อความซึ่งเปนหัวใจของเรื่องนี้เลย คือเรื่องคืนของแลคนของฝรั่งเศส แลให้ฝรั่งเศสส่งคนไทยคืน เพราะฉนั้นเมื่อนายพลเดฟาซ์ได้อ่านหนังสือ ฉบับนี้ก็คงไม่มีผลอะไรเลยนอกจากทำให้เปนการขันแลเสียเวลาเท่านั้น
ในที่นี้ข้าพเจ้าจะลืมกล่าวไม่ได้ว่า เมื่อวันนี้เองข้าพเจ้าได้ยินคนพูดว่า พระเจ้ากรุงสยามได้มีกระแสรับสั่งไปยังเจ้าพนักงารที่เมืองภูเก็จห้ามมิให้ส่งเสบียงแลน้ำให้แก่ฝรั่งเศส แลห้ามไม่ให้เอื้อเฟื้อแก่ฝรั่งเศส อย่างใด ๆ ถ้าพวกฝรั่งเศสจะขึ้นบนบกก็ให้เจ้าพนักงารจับตัวไว้
ครั้นเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ข้าราชการไทยคนหนึ่งซึ่งนายพลเดฟาซ์ได้พาตัวไปนั้นได้มาถึงพร้อมกับคนใช้ การที่ข้าราชการคน นี้ได้มาถึงนั้น พวกเรามีความปลื้มเหมือนกับคนป่วยในเวลากลางคืน คอยให้สว่างพอเห็นดาวปภฤกษ์ก็มีความปีติยินดีเช่นนั้น ครั้นในค่ำวันนั้นเมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว เจ้าพนักงารได้คุมมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศกับนักโทษมิซชันนารีกลับไปยังศาลาใหญ่อีก พอไปถึงข้าราชการไทยก็ให้อ่านจดหมายของนายพลเดฟาซ์แลมองซิเออร์เวเรต์ผู้เคยเปนหัวหน้าบริษัทฝรั่งเศสในเมืองไทยแต่ก่อน จดหมายทั้งสองฉบับนี้มีแต่ใจ
๑๔๗
ความต้องการให้เรื่องต่าง ๆ ได้เปนที่ตกลงโดยเรียบร้อยเท่านั้น ใน ฉบับของนายพลเดฟาซ์มีใจความว่า จะได้จัดการพาเรือของพระเจ้ากรุงสยามมาคืน แลจะได้ซ่อมแซมตกแต่งเรือเหล่านั้นให้เรียบร้อย แลต้องการมาสำหรับจัดการต่าง ๆ ให้เปนที่เรียบร้อย แต่เพื่อจะให้เปนการสดวกขอให้ไทยส่งมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ให้ไปพบกับนายพลเดฟาซ์ แลขอให้จัดข้าราชการไทยไปพร้อมกับสังฆราช แลให้ ข้าราชการผู้นั้นมีอำนาจที่จะจัดการแลทำความตกลงได้โดยเด็ดขาด ในท้ายจดหมายขอให้ไทยส่งพวกเราทั้งหมด กับทั้งคนแลของ ๆ พวก ฝรั่งเศสด้วย จดหมายของมองซิเออร์เวเรต์นั้นไม่ได้พูดเรื่องอื่น นอกจากเรื่องบาญชีแลเรื่องอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวด้วยการของบริษัทเท่านั้น แลขอให้ท่านพระคลังช่วยนำความกราบทูลขอให้ทรงยกเมืองภูเก็จพระราชทานให้แก่บริษัท ครั้นได้อ่านจดหมายแล้วทุก ๆ ฉบับ ข้าราชการไทยจึงถามว่าตามใจความในจดหมายเหล่านี้ มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศจะเห็นเปนอย่างไร ท่านสังฆราชจึงได้ตอบว่าควรจะแก้จดหมายที่ให้เขียนแต่วันวานนี้เสียก่อน แต่เวลานั้นเปนเวลาดึกเสียแล้ว ข้าราชการไทยจึงได้นัดให้มาพูดกันในวันรุ่งขึ้นต่อไป ข้าราชการไทยก็กลับไปบ้าน พวกเราก็ถูกคุมเข้าไปอยู่ในคุกอย่างเดิม
รุ่งขึ้นวันที่ ๒๘ ได้ไปพร้อมกันที่เดิม มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศได้แก้ไขจดหมายที่เขียนไปถึงนายพลเดฟาซ์ แลได้แปลข้อความที่เขียนใหม่เปนภาษาไทย เจ้าพนักงารจึงได้เรียกชาวฮอลันดาคน ๑
๑๔๘
คนถือสาสนาคริสเตียนเปนคนชาติเนื้อดำคน ๑ซึ่งเปนคนรู้ทั้งภาษาไทยแลภาษาฝรั่งเศส มาอ่านแลแปลหนังสือของนายพลเดฟาซ์ หนังสือมองซิเออร์เวเรต์ แลหนังสือส่วนตัวที่มีผู้เขียนมาจากเมืองภูเก็จ ครั้น ได้เขียนอ่านแลแปลหนังสือต่าง ๆ หมดเรื่องแล้ว เจ้าพนักงารได้เชิญพระราชหัตถ์มาอ่าน มีใจความว่า พระเจ้ากรุงสยามมีพระราชประสงค์อยากจะปล่อยพวกเราทั้งหมด แต่เปนการจำเปนที่จะต้องคุมขังไว้เช่นนี้ ก่อนจนกว่านายพลเดฟาซ์จะได้ส่งคนไทยที่ยังเหลืออยู่อีกสองคนคืนมา ขอให้คิดดูเถิดว่าพวกนักโทษเหล่านี้ได้ดิ้นรนขอร้องให้ลดหย่อนผ่อนผันสักเพียงไร แต่การดิ้นรนขอร้องนี้หาได้มีผลอย่างใดไม่
วันที่ ๓๐ เจ้าพนักงารได้คุมตัวมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศไปยังศาลาใหญ่อีก ข้าราชการไทยจึงได้ถามท่านสังฆราช ว่าการที่นาย พลเดฟาซ์ได้ทำผิดสัญญากลับมาขอให้ส่งพวกนักโทษทั้งหมดนั้นเปนการควรละหรือ แลถามว่าพวกเราจะต้องการไปหรือไม่ ท่านสังฆราชหาได้ตอบไม่ว่าพวกเราไม่อยากจะไปแก่ข้าราชการไทย ได้กลับคำพูดเสียเปนทีว่าพวกเราไม่อยากจะไปจากที่นี่ จนกว่านายพลเดฟาซ์จะได้กระทำตาม ที่สัญญาไว้ทุกประการ
วันที่ ๑ กันยายน เวลาเช้าเจ้าพนักงารได้นำจดหมายมาสองฉบับเขียนเปนจดหมายของมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศเปนภาษาไทยฉบับ ๑ ถึงนายพลเดฟาซ์อีกฉบับ ๑ ถึงมองซิเออร์เวเรต์ แลมาบอก ให้มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศประทับตราเสีย มองเซนเยอร์เดอเม
๑๔๙
เตโลโปลิศได้พยายามอธิบายว่าที่ทำเช่นนี้อาจจะทำให้เสียการได้ เพราะข้างพวกโน้นจะเข้าใจเสียว่าพวกเราได้ตายเสียหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือนอกจากตราอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถึงจะอธิบายชี้แจงสักเท่าไร เจ้าพนักงารก็หาฟังไม่ ลงท้ายก็ต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น จดหมาย ถึงนายพลเดฟาซ์นั้นไม่มีข้อความอย่างใดนอกจากกล่าวโทษต่าง ๆ แลบังคับให้นายพลเดฟาซ์ปฏิบัติตามข้อสัญญาทุกประการ ฉบับถึงมองซิเออร์เวเรต์ก็ไม่มีอะไรนอกจากชักชวนให้มองซิเออร์เวเรต์กลับมา ยังเมืองไทยเท่านั้น ครั้นเวลากลางคืนเจ้าพนักงารได้คุมพวกนักโทษฝรั่งเศสซึ่งเปนคนสามัญไม่เกี่ยวเปนมิซชันนารีไปยังศาลาใหญ่ เจ้าพนักงารจึงอนุญาตให้พวกนักโทษเหล่านี้เขียนหนังสือถึงใครๆก็ได้ที่เปนพวกอยู่กับนายพลเดฟาซ์แต่ต้องเขียนเปนภาษาไทย แลจะบอกไปให้พวกพ้องทราบถึงความทุกขเวทนาที่ตัวได้รับมาแล้ว แลที่ยังต้องทนความลำบากอยู่ในทุกวันนี้ก็ได้เจ้าพนักงารได้มาอนุญาตให้พวกนักโทษมิซชันนารีเขียนหนังสือบอกข่าวทุกข์สุขไปยังเพื่อนฝูงได้เหมือนกัน แต่นักโทษมิซชันนารีหาได้ออกไปจากคุกไม่ เพราะฉนั้นเจ้าพนักงารจึงได้จัดเสมียนไทยให้เข้าไปเขียนหนังสือให้แก่พวกนักโทษในคุก
วันที่ ๔ กันยายน พวกไทยได้เปลี่ยนความคิดในเรื่องที่จะมีหนังสือเปนภาษาไทยไปยังนายพลเดฟาซ์ เจ้าพนักงารได้มาสั่งมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศให้เขียนจดหมายไปยังนายพลเดฟาซ์เปนภาษาฝรั่งเศส เนื้อความที่จะเขียนไปนั้นแล้วแต่สังฆราชจะเห็นควร แลให้บอกไปด้วย
๑๕๐
ว่าไทยจะได้ส่งพวกมิซชันนารีไปคนหนึ่ง แต่เมื่อมิซชันนารีผู้นั้นไปถึงเมืองภูเก็จแล้ว ห้ามมิให้ไปอยู่กับพวกฝรั่งเศสต้องอยู่กับไทยเท่านั้น เพราะฉนั้นพวกเราจึงได้มีความหวังกันว่าในพวกเราคนใดคนหนึ่งคงจะได้ไปยังเมืองภูเก็จ แต่ครั้นต่อๆมาการที่จะส่งพวกเราไปภูเก็จนั้นก็เงียบไป ไม่มีใครพูดถึงอีกเลย แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราประหลาทใจ ก็ที่ได้เห็น พวกไทยไม่ได้รีบร้อนเร่งรัดอะไรเลย แต่คอยคำตอบของนายพลเดฟาซ์โดยวางใจอย่างสบาย ๆ ความจริงตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย แลพวกเราก็คงต้องจำอยู่ในคุกอย่างเดิม
การที่นายพลเดฟาซ์ได้มีจดหมายมา แลส่งคนไทยกลับมาครึ่งหนึ่งนั้น เปนผลแก่พวกนักโทษอย่างเดียวแต่เพียงได้รับความผ่อนผันไม่ต้องทำการงารซึ่งเคยต้องทำอยู่แต่ก่อน ทุก ๆ วันเท่านั้น
ครั้นเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน หัวหน้าของห้างฮอลันดา กับมองซิเออร์ดาเนียลซึ่งเกิดเปนชาติฝรั่งเศส แต่มีน้ำใจเกลียดชังชื่อ ฝรั่งเศส แลเกลียดพวกบาดหลวงแลนักพรตทั้งปวงยิ่งกว่าเกลียดสิ่ง อื่น ได้ไปยังพระราชวังเพราะเหตุใดข้าพเจ้าหาทราบไม่ แลได้รับ พระราชทานของจากพระเจ้าแผ่นดิน คือ นายห้างฮอลันดาได้รับหีบทองคำ มองซิเออร์ดาเนียลได้รับหีบเงิน ทั้งสองคนได้รับยศเปนออกพระ การที่พระราชทานของแลยศเช่นนี้คงจะเปนรางวัลความชอบที่คนทั้งสองนี้ได้ แนะนำการต่าง ๆ ซึ่งให้ร้ายต่อพวกฝรั่งเศส แลเท่ากับเปนเครื่อง ยุแหย่ให้กระทำดังนี้ต่อไป แต่ที่จริงถึงคนทั้งสองนี้จะไม่ได้รับรางวัล
๑๕๑
เขาก็คงจะไม่ละเว้นที่จะคิดร้ายต่อพวกฝรั่งเศส แลถ้าหากว่าผู้ใดเกิดร้ายต่อคนอื่นเปนการที่สมควรจะได้รับรางวัลแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบเลยว่าคนทั้งสองนี้จะควรได้รับรางวัลเพียงใด เพราะคนทั้งสองนี้หาโอกาศแม้แต่เล็กน้อยที่จะคิดร้ายต่อพวกเรา ยิ่งให้ร้ายมากที่สุดได้เพียงไรก็ยิ่งชอบ ข้าพเจ้ามีเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่าเจ้าพนักงารคงจะได้ปล่อยให้พวกเราพ้นโทษ หรืออย่างต่ำก็คงจะได้รับความยกเว้นให้เบาบางลงนานแล้ว เว้นแต่คนทั้งสองนี้คอยแนะนำขัดอยู่เสมอเท่านั้น
มองซิเออร์เปเรซ์ แลบาดหลวงหลุย
เดอลาแมเดอดีเออ (Louis de la M?re de Dieu) ถูกจับ
เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน เจ้าพนักงารได้คุมมองซิเออร์เปเรซ์กับบาดหลวงหลุยเดอลาแมเดอดีเออ เปนนักโทษมาจากเมืองตะนาวศรี ได้มาถึงกรุงศรีอยุธยาวันนี้ ถึงแม้ว่ามิซชันนารีทั้งสองนี้หาได้เกี่ยว ข้องในการวุ่นวายของพวกฝรั่งเศสอย่างใดไม่ก็จริงอยู่ แต่ถึงดังนั้น ก็ไม่ได้รับความยกเว้นผิดแปลกจากมิซชันนารีอื่น ๆ อย่างใด ท่านผู้ว่าราชการเมืองตะนาวศรี มีความโกรธแค้นมองซิเออร์เปเรซ์ ครั้นเห็น ว่าพวกคริสเตียนทั้งหลายอยู่ในฐานมัวหมองแล้ว จึงได้ฉวยโอกาศนี้สำหรับทำการแก้แค้น โดยกล่าวหาว่ามองซิเออร์เปเรซ์กระทำความผิด
๑๕๒
ถ้าจะเล่าในที่นี้ก็จะยืดยาวเกินไป เพราะฉนั้นเจ้าเมืองตะนาวศรีจึงได้จับตัวมองซิเออร์เปเรซ์กับบาดหลวงหลุยแลริบเข้าของคนทั้งสองนี้หมดทุกอย่าง ยังไม่ใช่แต่เท่านั้น บันดาญาติของมองซิเออร์เปเรซ์ก็ถูก ริบด้วยแลได้จับเอาน้องเขยเปนนักโทษไปด้วย
บาดหลวงหลุยถึงแก่กรรม
การที่บาดหลวงหลุยต้องเดิรทางมาถึง๔๐วัน ถูกพวกผู้คุมรังแกต่าง ๆ ทั้งเปนคนมีอายุมากด้วย จึงกระทำให้บาดหลวงป่วยมีอาการอ่อนเพลีย แลเหตุที่ถูกกักในเรือลำที่มานั้นเอง แลทั้งไม่มีเวลาผ่อน ร่างกายได้เลย จึงกระทำให้โรคนั้นกำเริบถึงตาย บาดหลวงหลุยได้ป่วยอยู่ ๙ วันก็ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน มองซิเออร์โปมาได้มาเยี่ยมหลายครั้ง เห็นว่าเรือที่อยู่คับแคบมาก จะทำให้บาดหลวงหลุยถึงตายเปนแน่ จึงขออนุญาตพาบาดหลวงหลุยไปพักบ้านหนึ่งบ้านใดก่อน แต่ถึงจะอธิบายชี้แจงอย่างไร เจ้าพนักงารหายอมไม่ เพราะยังรอกระแสรับสั่งอยู่
ตั้งแต่พวกเราไม่มีโบสถ์มานั้น ท่านบาดหลวงคณะเยซวิตได้ทำทานจัดการฝังศพพวกเราอยู่เสมอ เพราะฉนั้นตามธรรมเนียมของเราแลตามที่ผู้ตายได้สั่งไว้ ข้าพเจ้าจึงมีจดหมายไปยังบาดหลวงมัลโดนาดหัวหน้าพวกเยซวิต ในนามของมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ขอให้ท่านหัวหน้าบาดหลวงได้จัดการฝังศพอย่างแบบธรรมเนียมของนักพรต
๑๕๓
ท่านหัวหน้าบาดหลวงเต็มใจแลยินดีที่จะจัดการทำศพให้ตามความประสงค์ จึงได้ให้ขุดหลุมเตรียมไว้ในโบสถ์ แล้วได้จัดการไปรับศพซึ่งยังอยู่ใน เรือ แต่ฝ่ายบาดหลวงเอศเตโวเปนพวกคณะโอกุศแตงกับบาดหลวง ซิลเวศก์ซึ่งเปนหัวหน้าของวัดแซงโดมีนิกได้มาแย่งเอาศพผู้ตายไป ต่อหน้า บาดหลวงมัลโดนาดกับมองซิเออร์โปมาก็ได้ชี้แจงถึงเหตุผล ที่ตัวจะเอาศพไปฝัง แต่พวกคณะโอกุศแตงหายอมไม่ บาดหลวงมัล โดนาดกับมองซิเออร์โปมาเกรงว่าจะเกิดเอะอะกันขึ้นจึงได้ยอม ตกลงได้เอาศพบาดหลวงหลุยไปฝังยังโบสถ์แซงโดมีนิก
มองซิเออร์เปเรซ์ได้รับยศในสาสนา
แลถูกจำคุก
เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน บาดหลวงมัลโดนาด ได้ส่งหนังสือไปให้มองซิเออร์เปเรซ์ซึ่งยังถูกคุมขังอยู่ในเรือห่อ ๑ ครั้นเปิดหนังสือออกอ่านก็ประหลาทใจที่ได้เห็นประกาศของโป๊ปตั้งให้มองซิเออร์เปเรซ์เปนสังฆราชเดอบือยี แลตั้งให้เปนวิแกร์อาโปศโตลิกฝ่ายเมืองญวน เมื่อพวกเรา ได้ทราบก็ประหลาทใจเหมือนกัน เพราะไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยแลไม่ทราบว่าการตั้งครั้งนี้มาทางไหน แลเปนอย่างไรพวกเราที่เมืองฝรั่งเศสจึงไม่ได้บอกให้เรารู้เลย เพราะเขาก็ได้มีหนังสือมาจากเมืองฝรั่งเศส เมื่อ ปี ๑๖๘๘ แลประกาศของโป๊ปลงวันเดือนกุมภาพันธ์ ปี ๑๑๘๗
๒๐
๑๕๔
พอมองซิเออร์เปเรซ์ได้อ่านประกาศของโป๊ปเสร็จแล้ว พวกผู้คุมก็ลงเรือมือเต็มไปด้วยโซ่ตรวนแลเชือก ผู้คุมจึงได้เอาโซ่ล่ามแลเอา เชือกผูกมัดมองซิเออร์เปเรซ์แล้วลากตัวไปยังที่ชำระความดุจมองซิเออร์เปเรซ์เปนผู้ร้ายอย่างสำคัญ มองซิเออร์เปเรซ์ซึ่งเปนคนมีนิสัยอ่อน ขี้กลัว(๑) ได้ไปยังที่ชำระความถือไม้กางเขนไปตลอดทาง โดยนึกว่าในครั้งนี้ คงหนีตายไม่พ้นแล้ว ครั้นได้ไปยังที่ชำระความแล้ว เจ้าพนักงารจึงได้ส่งตัวมองซิเออร์เปเรซ์ให้แก่กองผู้คุม แลพวกผู้คุมก็ได้เอาเครื่องพันธนาการมาจำครบทั้ง ๕ ประการ แต่เครื่องพันธนาการบางอย่างเจ้าพนักงารได้ถอดให้โดยอำนาจของเงิน เจ้าพนักงารได้ควบคุมมองซิเออร์เปเรซ์ไว้เช่นนี้สองเดือน แล้วจึงส่งไปไว้ยังคุกสามัญซึ่งพวกเราต้องจำขังอยู่แล้ว แต่พวกเราหาได้ถูกขังรวมกันไม่ ต้องแยกกัน อยู่คุก ๘ แห่ง หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องแยกขังกันอยู่ ๘ ห้อง แต่ในคุกอันเดียวกัน มองซิเออร์เปเรซ์ยังต้องจำขังอยู่ในนี้จนทุกวันนี้ แลเพื่อแก้
(๑) มองซิเออร์เปเรซ์ได้รับหมายตั้งจากบาดหลวงมัลโดนาด ตั้ง ให้เปนสังฆราชเดอบือยีแลเปนวิแกอาโปศโตลิกในเมืองญวน แต่ใน วันนั้นมองซิเออร์เปเรซ์ต้องถูกจำคุก มองซิเออร์เปเรซ์มีความสทกสท้าน อย่างที่สุดกลัวเขาจะเอาไปฆ่าทุก ๆ วัน ความผิดของมองซิเออร์เปเรซ์ ซึ่งเปนความอย่างร้ายแรงก็มีเพียงแต่ว่าน้องเขยเปนคนมีทรัพย์สมบัติ
๑๕๕
รำคาญก็ตั้งหน้าเรียนภาษาญวนซึ่งเปนหน้าที่ของตัวตามตำแหน่งใหม่ แต่เพราะเหตุว่าความผิดของมองซิเออร์เปเรซ์ซึ่งต้องจำคุกคราวนี้ ไม่ใช่เปนความผิดอย่างมหันต์กล่าวคือไม่ใช่เปนชาติฝรั่งเศส จึงได้มีคนจัดการโดยฉเพาะเพื่อให้มองซิเออร์เปเรซ์ได้พ้นโทษแลข้าพเจ้าหวังใจว่าถ้าพระเปนเจ้าช่วยด้วยแล้ว ในไม่ช้ามองซิเออร์เปเรซ์คงจะพ้นออกไปได้ตั้งแต่แรกมาแล้ว พวกปอตุเกศได้จัดการในเรื่องนี้ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า คงจะสำเร็จ แลได้พยายามเอายศใหม่ของมองซิเออร์เปเรซ์ซึ่งโป๊ปได้ ตั้งให้เปนข้ออ้าง แต่ถึงแม้ว่ามองซิเออร์เปเรซ์เปนชาติปอตุเกศ พวกไทยก็หาลดหย่อนให้ไม่
มากแลเจ้าพนักงารจะต้องการปล้นเอาทรัพย์สมบัติรายนี้ เพราะฉนั้นเจ้าพนักงารจึงได้จับตัวใส่คุกทั้งสองคน ข้าพเจ้าเกรงว่าการที่มองซิเออร์ เปเรซ์สทกสท้านมากเช่นนี้น่ากลัวจะทำให้ถึงเสียสติได้ เพราะเวลานี้ ให้นึกอยู่เสมอว่ามีคนออกชื่ออยู่ร่ำไป แลหวาดกลัวเขาจะเอาคำตัดสินมาอ่านให้ฟัง ถ้าจะพูดอย่างสั้นสติลอยคล้ายกับมองซิเออร์เชอวเรอย์ มองซิเออร์เปเรซ์มีพี่ชายอยู่คน ๑ ซึ่งมีสติไม่ปรกเช่นนี้เหมือนกัน บัดนี้พี่ชายตายเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะพูดให้ชัดเจนเกินไป ด้วยเกรงเขาจะสงสัยว่าข้าพเจ้าไม่พอใจ (คัดจากจดหมายมองซิเออร์ลาโน ถึง ผู้อำนวยการคณะการต่าง ประเทศ) ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒)
๑๕๖
มองซิเออร์โปมาถูกท่านพระคลังซัก
เมื่อวันที่ ๙ เดือนพฤศจิกายน ท่านพระคลังออกว่าราชการยังศาลาใหญ่ นั่งอยู่กับแขกโมโกล์สามคนซึ่งพึ่งมาถึงจากฝั่งเมือง คอรอมันเดล์ จึงได้ให้เจ้าพนักงารไปตามตัวมองซิเออร์โปมา ครั้นมองซิเออร์โปมาได้มาถึงแล้ว ท่านพระคลังจึงได้บอกว่า แขกโมโกล์สามคนนี้ได้มาเล่าว่า พวกโมโกล์ได้ขับไล่พวกฝรั่งเศสอังกฤษแล เดนมาร์คออกหมดแล้ว คือพวกฝรั่งเศสถูกขับไล่ออกจากเมืองเบงกอลเมืองปอนดีเชรีแลเมืองสุหรัด พวกอังกฤษได้ถูกขับไล่ออกจากเมือง มัทดราส แลพวกเดนมาร์คได้ถูกไล่ออกจากเมืองตรังเกอบาร์ แล้ว ท่านพระคลังจึงถามว่า เมื่อพวกฝรั่งเศสได้ยกออกจากเมืองภูเก็จแล้ว มองซิเออร์โปมาคาดว่าเขาจะไปไหน มองซิเออร์โปมาจึงตอบว่าในการเรื่องนี้คาดคะเนไม่ถูก แต่เชื่อว่าเขาคงจะกลับไปยังประเทศฝรั่งเศส การที่ท่านพระคลังบอกข่าวอันนี้ให้มองซิเออร์โปมาทราบโดยเปิดเผยเช่นนี้ไม่ทราบเลยว่าท่านจะประสงค์อะไร เพราะข่าวอันนี้เปนข่าวเลื่อนลอยหาหลักไม่ได้ แลภายหลังไม่ช้าเท่าไรก็ได้ทราบกันเปนแน่ว่าข่าวนี้ ไม่มีมูลแห่งความจิรงเลย
เพลิงไหม้บ้านมองซิเออร์มาตีโน แลมองซิเออร์เชอวเรอย์
เมื่อวันที่๑๙ พฤศจิกายน บ้านซึ่งชาวตังเกี๋ยผู้หนึ่งได้ให้ข้าพเจ้าแลมองซิเออร์เชอวเรอย์พักอาศรัย เพราะเหตุว่าไทยได้ยึดเอาโรงเรียน
๑๕๗
ของเราไว้แลริบของในโรงเรียนไปทั้งหมดนั้น ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ต้นเพลิงเกิดในเขตบ้านนั้นเอง ของต่าง ๆ ซึ่งพวกไทยไม่ชอบได้ทิ้ง ไว้ให้กับพวกเราแลซึ่งเราต้องสงวนไว้เพื่อได้เจือจานให้แก่พวกนักโทษกับเสบียงอาหารเล็กน้อย ซึ่งเราได้รวบรวมไว้จากแห่งนี้บ้างแห่งโน้นบ้างนั้นได้ไหม้ไฟทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือเลย การที่เข้าของได้เสียหายไปในคราวนี้ ถึงจะเปนจำนวนน้อยกว่าที่ถูกไทยริบไปก็จริงอยู่ แต่ก็รู้สึก หนักใจมาก เพราะเท่ากับตัดเสบียงแลของจำเปนสำหรับเลี้ยงชีพ ด้วยมองไม่เห็นว่าจะไปหาได้จากที่ไหนต่อไป แลมองไม่เห็นว่าจะมีใคร มาช่วย แต่พระเปนเจ้าซึ่งเต็มไปด้วยเมตตาจิตต์เปนธุระตลอดจนถึงมดปลวก ก็ได้เปนธุระแก้ไขให้พวกเราโดยทางลับเหมือนกัน เพราะเหตุว่าเมื่อเดือนธันวาคม มองซิเออร์เฟเรอได้มาถึงแลได้เอาของมาให้ ซึ่งพอให้พวกเราได้เลี้ยงชีพไปได้จนทุกวันนี้ เมื่อเปนเช่นนี้ซึ่งเปนเวลาเต็มไปด้วยอันตรายต่าง ๆ ใครเลยจะไม่เห็นว่าเปนมือของพระเปนเจ้าซึ่งจูงเอามองซิเออร์เฟเรอมาดังนี้
คนไทยซึ่งเปนประกันที่นายพลเดฟาซ์ยึดไว้มาถึง
เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ไทยที่เปนประกันที่ยังตกค้างอยู่ในเงื้อมมือนายพลเดฟาซ์ คือ หลวงรัฐ (Hlouan Raat) ซึ่งได้เคยเปน ราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรียังประเทศฝรั่งเศสนั้น ได้มาถึง กรุงศรีอยุธยาแล้ว แลได้มาบอกข่าวอันแน่ในครั้งแรกว่า เมื่อต้น
๑๕๘
เดือนตุลาคม นายพลเดฟาซ์ได้ออกเรือจากเมืองภูเก็จไปเมืองเบงกอลแล้ว หลวงรัฐได้ชมเชยว่าพวกฝรั่งเศสได้เลี้ยงดูอย่างดีทั้งข้าราชการ อีกคนหนึ่งซึ่งมาถึงก่อนแล้วก็ได้รับความเลี้ยงดูอย่างดีจากฝรั่งเศสเหมือนกัน แลหลวงรัฐเล่าต่อไปว่ามองซิเออร์เฟเรอกับฟรังซัวแปงเฮโรล่ามได้ตามมาข้างหลัง ไม่ช้าก็คงจะมาถึง
มองซิเออร์เฟเรอมาถึงแลถูกซัก
ครั้นวันที่ ๗ ธันวาคม มองซิเออร์เฟเรอกับฟรังซัวแปงเฮโร ได้มาถึงเมื่อเวลาเที่ยง พอคนทั้งสองนี้มาถึงก็ถูกเรียกไปยังบ้านท่านพระคลัง ท่านพระคลังได้ซักถามความต่าง ๆ แล้วจึงได้ส่งตัวไปยังออกญาพิพัฒ ผู้ช่วยของท่านพระคลัง ท่านออกญาพิพัฒได้ซักถามความต่าง ๆ จนถึงเวลา ๒ ยาม ท่านทั้งสองนี้ตอบแลให้การว่าอย่างไร เจ้าพนักงารได้จดเขียนไว้หมด แล้วจึงให้กลับไปแลสั่งว่าพรุ่งนี้ให้ กลับไปบ้านออกญาพิพัฒอีก
ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๘ มองซิเออร์เฟเรอกับฟรังซัวแปงเฮโรได้ไปยังบ้านออกญาพิพัฒตามคำสั่ง เจ้าพนักงารได้ไต่ถามซักฟอกขู่กันโชก แลทำทุกอย่างตามธรรมเนียมของเมืองนี้ในเวลาซักความแก่คนที่ไม่ ใคร่จะบอกความจริง เจ้าพนักงารได้ซักถามถึงความประพฤติของพวกฝรั่งเศส ตั้งแต่ฝรั่งเศสได้ออกเรือจากสันดอนไปเมืองปอนดีเชรีแล
๑๕๙
ตั้งแต่เมืองปอนดีเชรีจนไปถึงเมืองภูเก็จ แลได้ซักถามถึงความคิด แลความประสงค์ของพวกฝรั่งเศส มองซิเออร์เฟเรอได้ให้การเปนที่ พอใจของข้าราชการไทย แลได้ ให้การพอให้เห็นในความสัตย์สุจริต ของพวกฝรั่งเศส
พวกฝรั่งเศสออกจากภูเก็จ
มองซิเออร์เฟเรอได้มาเล่าให้พวกเราฟังต่อไปว่า นายพลเดฟาซ์เห็นว่าคำตอบของไทยชักช้าเสียเวลานักจึงได้ชักใบแล่นเรือออกจาก ภูเก็จเพื่อไปเมืองเบงกอลพร้อมด้วยเรือสามลำ แลได้จัดให้มองซิเออร์เดอแวเดอซาลกับเรืออีกสองลำคอยฟังคำตอบจากไทยอีกสักสองสามเวลา มองซิเออร์เดอแวเดอซาลได้คอยอยู่ ๑๒ วันหาได้รับคำตอบหรือข่าวคราวอย่างใดไม่ จึงได้จัดแจงออกเรือตามนายพลเดฟาซ์ไปตาม คำสั่ง แลคิดจะพาคนไทยที่ยังเหลืออยู่กับทั้งมองซิเออร์เฟเรอไปด้วย แต่มองซิเออร์เฟเรอได้พูดจาชี้แจงอ้อนวอนให้ส่งกลับมาเมืองไทยให้จงได้
ถูกหลอกลวง
เพราะฉนั้นคนพวกเราได้ออกจากเมืองภูเก็จโดยไม่ทราบเลยว่าพวกเราได้รับความเดือดร้อนแลยังเดือดร้อนอยู่จนทุกวันนี้ เขาได้ยินพูดกันบ้างก็จริง แต่ไม่เปนข่าวแน่นอนอย่างไร แลผู้พูดนั้นก็ได้ข่าวมาจากทาง
๑๖๐
ที่ทำให้น่าสงสัย คือได้ข่าวมาจากพวกฮอลันดา เพราะนายพลเดฟาซ์ได้จัดเรือเล็กให้ไปยังเมืองบาตาเวีย เรือนั้นกลับมาถึงก็นำข่าวนี้มา เพราะฉนั้นพวกเราที่อยู่ที่ภูเก็จจึงไม่เชื่อถือในข่าวนี้เลย ต้องการหาความสบายใจโดยเชื่อเสียว่าพวกเราอยู่สุขสบายดีแล้ว
เมื่อครั้งข้าราชไทยที่เปนประกันได้กลับมาคราวก่อนเปนคนแรก ได้ทำให้พวกเราซึ่งต้องการเห็นตวันเห็นเท่ากับเปนดาวปภฤกษ์นั้น มาคราวนี้เมื่อข้าราชการไทยผู้เปนประกันคนที่สองได้มาถึงนั้น พวกเราเท่ากับเห็นเหมือนแสงอรุณขึ้นแล้ว ต่อไปคงจะได้เห็นวันอันแจ่มใสซึ่งพวกเราจะได้พ้นทุกขเวทนาต่อไป แต่แสงอรุณที่ขึ้นนั้นก็เปนแต่แสงอันไม่ดี ซึ่งไม่ตรงกับความคิดของเราสักอย่างเดียว เพราะความมืดมัวของกลางคืนก็ยังคงอยู่ พวกนักโทษก็คงยังต้องร้องครางอยู่หาได้รับความผ่อนผันอย่างใดไม่ การที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ช้านานเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะทำให้พวกเราได้เคยเข้าบ้างแล้ว แต่ความรำคาญซึ่งหมดหวังว่าจะพ้นไปได้กระทำให้ใจอ่อนลงไปมาก แต่ที่ทนอยู่ได้ก็โดยพระ เปนเจ้าช่วยอยู่เท่านั้น
มองเซนเยอร์ลาโนไปอยู่กับมองซิเออร์โปมาที่ได้กล่าวตอนบนว่า เมื่อข้าราชการไทยผู้เปนประกันได้มาถึงแล้ว พวกนักโทษก็ยังไม่ได้ รับความผ่อนผันอย่างใดนั้น ข้าพเจ้าหมายความถึงนักโทษพวกเราทั้งหมด เว้นแต่มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ซึ่งเจ้าพนักงารได้ ปล่อยออกจากคุกในวันนี้ที่ ๙ ธันวาคม แลได้ให้ไปอยู่กับมองซิเออร์
๑๖๑
โปมา เจ้าพนักงารได้อนุญาตให้มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศรับแขกได้ แต่จะออกจากบ้านไม่ได้แลจะไปอยู่ที่แห่งอื่นไม่ได้ ตกลงเท่ากับย้ายมาจากคุกโน้นมาอยู่คุกนี้ แต่ที่คุกนี้ดีกว่ามาก
มองซิเออร์โปมาทำฎีกาถวาย
เมื่อเวลาสิ้นเดือนบันดานักโทษพวกเราหมดหวังแล้วในการที่จะพ้นโทษได้ทั้งเจ็บป่วยแลต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส จึงขอให้พวก เราที่นอนคุกได้คิดอ่านหาทางถวายฎีกาขอร้องว่า ถ้าจะไม่คิดเอา พวกนักโทษออกจากคุกแล้ว ก็ขอความกรุณาให้ฆ่าเสียทีเดียวเถิด ถ้าไทยยังมีความนับถือฝรั่งเศสอยู่แม้แต่เล็กน้อย ก็ขอให้รู้สึกเถิดว่า เมื่อฝรั่งเศสได้ทราบว่าพวกนักโทษเหล่านี้ได้ตายไปแล้ว ก็คงไม่น้อยใจยิ่งกว่าที่ได้ทราบถึงความทรมานที่พวกนักโทษต้องรับอยู่ในทุกวันนี้
พวกเราบางคนก็เห็นว่าควรจะแต่งเรื่องราวใช้คำแรงตามความประสงค์ของพวกนักโทษ แต่ล่ามของเราไม่เห็นพ้องด้วยโดยชี้แจงว่า ไม่ควรจะขอความกรุณาโดยใช้คำแรงเช่นนี้ พวกเราจึงได้แต่งเรื่องราว ใช้คำอ่อนลงบ้างแลทำเปนเรื่องราวของมองซิเออร์โปมา เพราะท่านผู้นี้เท่ากับพี่เลี้ยงของพวกนักโทษ ในเรื่องราวฉบับนี้ได้กล่าวโดยย่อ ๆ ถึงความทรมานต่าง ๆ ที่ต้องรับอยู่ทุก ๆ วันซึ่งพวกนักโทษจะทนไม่ไหว
๒๑
๑๖๒
อยู่แล้ว ถ้าจะคงทรมานอยู่เช่นนี้ต่อไปแล้ว ก็ขอให้ฆ่าเสียทีเดียวดีกว่าที่จะต้องทรมานอยู่นาน ๆ เช่นนี้ เรื่องราวฉบับนี้ได้มอบให้แก่ออกญา ผู้หนึ่ง เปนชาติแขกมัวชื่อโอเซนคาน เพราะท่านผู้นี้ได้แสดงความเวทนาสงสารแลอย่าจะช่วยตั้งแต่แรกมาแล้ว ท่านออกญาผู้นี้ได้มาบอกว่าท่านได้เอาเรื่องราวฉบับนี้ให้เจ้าพนักงารหัวหน้าของคุกแลผู้ช่วยพระคลังดูแล้ว พวกเราไม่ทราบเลยว่าเรื่องราวฉบับนี้จะได้ไปถึงไหน ต่อไปหรือจะค้างเพียงผู้ช่วยพระคลังก็ไม่ทราบ แต่ภายหลังมาสักสองสามวัน พวกนักโทษได้รับความผ่อนผันบ้าง แลการจำโซ่ตรวนก็ได้ เบาบางลงบ้าง แต่ถึงดังนั้นช้า ๆ นาน ๆ พวกผู้คุมก็อดไม่ได้ที่จะเอา โซ่ตรวนจองจำนักโทษเข้าอีกเปนครั้งเปนคราว การที่พวกนักโทษ ได้รับความผ่อนผันครั้งนี้ จะเกี่ยวด้วยเรื่องราวหรืออย่างไรก็หาทราบไม่ แต่อย่างไรก็ดีการผ่อนผันเช่นนี้ ถึงจะผ่อนผันแต่เล็กน้อย ก็ยังดีขึ้นมาก
คำขอร้องของมองซิเออร์โปมา
เมื่อต้นเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๖๙๐ (พ.ศ. ๒๒๓๓) ได้มีประกาศ พระราชโองการห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดร้องเพลงเยาะเย้ยแลหมิ่นประมาทชาวชาติต่างภาษา (เพลงต่าง ๆ เหล่านี้มักเปนเพลงเยาะเย้ยชาติ ฝรั่งเศสโดยมาก) แลห้ามมิให้ผู้ใดรังแกกีดขวางในการสาสนาของบุคคล
๑๖๓
เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน เจ้าพนักงารได้มาตามมองซิเออร์โปมาให้เข้าไปยังพระราชวัง เพื่อหารือถึงยาที่จะรักษาความไข้ชนิดหนึ่งแต่หาบอกให้รู้ไม่ว่าใครป่วย มองซิเออร์โปมาได้ชี้แจงถึงความไข้ชนิด นั้นแลได้ให้ตำรายาไว้ด้วย ตั้งแต่วันนั้นต่อมามองซิเออร์โปมาได้ถูกตามเข้าไปในพระราชวังหลายหน แลครั้งหนึ่งเจ้าพนักงารได้บอกว่า ยาที่มองซิเออร์โปมาได้ให้ไว้ขนาน ๑ นั้นดี เพราะฉนั้นมองซิเออร์โปมาจึงได้รับรางวัลเปนเงินชั่ง ๑ แล้วเจ้าพนักงารได้ถามในพระนามของพระเจ้าแผ่นดิน ว่ามองซิเออร์โปมาได้ถูกใครกุมเหงบ้างหรือไม่ แลถามว่ามองซิเออร์โปมามีทุกข์ร้อนอย่างไรบ้างหรือไม่ แล้วเจ้าพนักงารได้พูดต่อไปว่า พระเจ้ากรุงสยามมีพระประสงค์จะไม่ให้มองซิเออร์โปมาได้รับความร้อนใจอย่างใดเลย เพราะพระเจ้ากรุงสยามโปรดปรานมอง ซิเออร์โปมามาก มองซิเออร์โปมาเห็นเปนโอกาศอย่างดีจึงได้พูดเรื่องนักโทษ แลพูดว่ามองซิเออร์โปมาไม่มีควาทุกข์ร้อนอย่างใดยิ่งกว่า ที่ได้เห็นพี่น้องของมองซิเออร์โปมาได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะฉนั้นมองซิเออร์โปมาจะขอความกรุณาแต่เพียงให้พวกนี้ได้พ้นโทษไป แล้วมองซิเออร์โปมาก็ได้ยื่นเรื่องราวซึ่งถือติดตัวไปด้วยเสมอให้กับเจ้าพนักงาร แต่จนทุกวันนี้เรื่องราวฉบับนั้นยังหาได้รับคำตอบอย่างใดไม่ ไข้ชนิดนี้ มองซิเออร์โปมาเห็นจะวางยาไม่ถูกเสียแล้ว
๑๖๔
คำขอร้องของมองเซนเยอร์ลาโน
เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ได้ตรึกตรองตกลงในใจเสร็จแล้ว จึงได้เขียนฎีกาถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพราะมีคนรับรองว่าจะถวายให้หรือจะส่งเข้าไปถวายให้ ในฎีกาฉบับนี้ชี้แจงว่า มีคนพูดกันว่าจะมีเรือเข้ามาลำหนึ่งเพื่อหาเสบียงอาหาร ถ้าแม้ว่าเรือลำนี้ได้เข้ามาจริงแล้ว แต่ไทยไล่กลับไปเสียโดยไม่ได้เสบียงหรือของสิ่งใดตามที่ต้องการแล้ว ก็จะเปนการตัดหนทางมิให้พวกเรา ได้พ้นจากความทุกขเวทนาได้เลย แต่ผู้ที่รับฎีกาฉบับนี้ไปถวายให้นั้นข้าพเจ้าไม่เชื่อใจเลย เพราะคนผู้นี้ไม่มีใครนับถือแลไม่มีอำนาจอย่างใด ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่าฎีกาฉบับนี้คงจะไม่ถึงพระเจ้าแผ่นดินเปนแน่ แต่ในเวลานี้พวกเราจะเลือกตามชอบใจไม่ได้ มีช่องทางอย่างไรก็ต้องไป ตามนั้น เพราะผู้ที่มีอำนาจไม่ถ่อมตัวดูเราเลย
ข่าวไม่ดีจากฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน มองซิเออร์ดานิเอลได้รีบร้อนไปหา ท่านพระคลัง เพื่อนำความไปบอกว่า เรือฮอลันดาได้มาจากเมือง บาตาเวียลำหนึ่งแล้วจะเลยไปเมืองยี่ปุ่นต่อไป มองซิเออร์ดานิเอลได้บอกข่าวยุโรปหลายเรื่องแลได้พูดว่า กองทัพฮอลันดาที่ได้สมทบกับพวกสัมพันธมิตรทำสงครามกับฝรั่งเศสนั้นได้เปรียบมากคือ พวกฮอ ลันดาได้ยกปรินซ์ออฟออเรนซ์ขึ้นครองแผ่นดินอังกฤษ แลได้ทำการ
๑๖๕
ราชาภิเษกที่กรุงลอนดอนเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒) โดยความเห็นชอบของโลกทั่วไป แลเล่าว่ากองทัพของพวกสัมพันธมิตรได้ไปยึดเมืองใหญ่ ๆ ของฝรั่งเศส ๔ เมือง เช่นเมืองเมตซ์เปนต้น ยังมีข่าวต่อมาอีกว่า เอมเปอเรอได้ยกกองทัพใหญ่เข้าไปในประเทศฝรั่งเศสโดยได้มีไชยชนะมา แลว่าพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสกับมกุฎ ราชกุมารได้เกิดแตกร้าวกันขึ้น โดยมกุฎราชกุมารได้คุมพลทหาร ๙๐๐๐๐ มาขอทำสัญญากับพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส ๑๑ ข้อ คือ ๑ ต่อไปในประเทศฝรั่งเศสให้เปิดอนุญาตการสาสนาแล้วแต่ความพอใจของบุคคลที่จะนับถืออย่างใดเหมือนแต่เดิม ๆ มา ๒ ให้เรียกบันดาผู้ที่ถือสาสนาลัทธิโปรเตศตัน ซึ่งต้องหนีไปนั้นให้ได้กลับเข้าไปอยู่ในเมือง ฝรั่งเศสอย่างเดิม ๓ อย่าให้พระเจ้าแผ่นดินช่วยเหลือ พระเจ้ายากซ์ (Jacques) ในเมืองไอร์แลนด์ได้ถอนกำลังที่ส่งไปช่วยนั้นกลับมาเสีย ข้ออื่น ๆ จะมีเนื้อความอย่างใด ข้าพเจ้ายังไม่ได้ยินใครเล่า
กลับลงรอยเดิมอีก
พวกฝรั่งเศสที่เปนนักโทษได้รับความผ่อนผันลดหย่อนเครื่องพันธ นาการมาหลายเดือนแล้ว ไม่ใช่ว่าได้ถอดโซ่ตรวนออกให้ทั้งหมดแต่ ได้ลดหย่อนลงบ้าง ครั้นเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคมเจ้าพนักงารได้กลับ จำโซ่ตรวนแก่พวกนักโทษอย่างเดิมอีก แลได้ล่ามร้อยติดกับนักโทษ อื่น ๆ พวงละ ๑๐ คนบ้าง ๑๒ คนบ้าง แลในเวลากลางคืนก็ต้องใส่ขื่อด้วย
๑๖๖
มองซิเออร์เยฟราด์
มองซิเออร์โปมากับมองซิเออร์เฟเรอ
ร้องแทนพวกมิซชันนารี
พวกฝรั่งเศสที่เปนนักโทษล้วนแต่เปนคนที่น่าสงสารทุกคน เพราะไม่ใช่แต่ติดคุกอย่างเดียว ต้องถูกทรมานมาช้านานแล้ว แต่ไม่ มีใครที่จะสงสารเท่ากับมองซิเออร์เยฟราด์ ตั้งแต่มองซิเออร์ เยฟราด์ต้องจำคุกมานั้นก็ป่วยอยู่ทุกวันมิได้เว้นเลยจนวันเดียว ครั้น ในเวลาที่เจ้าพนักงารกลับเอาโซ่ตรวนจำเข้าอย่างเดิมแลร้อยล่ามติดกับนักโทษอื่นนั้น เปนเวลาที่มองซิเออร์เยฟราด์เปนไข้อยู่แลเปนโรคคล้ายขี้เรื้อนกุดถังด้วย เมื่อดูหน้าซึ่งซีดโรยกระดูกขึ้นแลดูเท้าซึ่งบวมนั้น ก็เห็นได้ว่าควรจะเตรียมหีบศพไว้ดีกว่าที่จะเอาโซ่ตรวนมาจำเพื่อกันหนีเช่นนี้ มองซิเออร์เยฟราด์ได้ทนลากโซ่ตรวนติดร้อยพวงเดียวกับนักโทษอื่นเช่นนี้ไว้ประมาณ ๑๕ หรือ ๑๘ วัน จึงมีนักโทษอีกคนหนึ่งเปนคริสเตียนแลเปนญาติของภรรยามองซิเออร์คอนซตันซ์ผู้ถึงแก่กรรมไปแล้วนั้น เปนนักโทษที่มีวิชาช่างทาสีแลเปนคนโปรดของเจ้าพนักงารในคุก เพราะ นักโทษคนนี้ได้ไปทาสีบ้านเจ้าพนักงารใหญ่ ได้เกิดมีจิตต์เวทนาสงสารในความทรมานของมองซิเออร์เยฟราด์ จึงได้ไปพูดขอร้องต่อเจ้า พนักงารคุกขอให้ผ่อนผันมองซิเออร์เยฟราด์บ้าง เจ้าพนักงารคุกจึงได้ มีความกรุณาเอาออกจากพวงร้อย คงจำแต่ตรวนแลพวงคอเท่านั้น ฝ่ายมองซิเออร์เฟเรอกับมองซิเออร์โปมาต้องการให้ผ่อนผันความทรมาน
๑๖๗
ของมองซิเออร์เยฟราด์ จึงได้ไปหาท่านพระคลังร้องในการที่มองซิเออร์เยฟราด์ถูกจำจองเช่นนี้ แลร้องต่อไปว่าเจ้าพนักงารคุกได้ทำให้เราเปลืองเงินในการซื้อไม้ โดยพูดไว้ว่าไม้ที่เราซื้อไปนี้เจ้าพนักงารจะได้ ปลูกเปนคุกหลังหนึ่งสำหรับขังพวกฝรั่งเศสแลพวกนักเรียนไว้ต่างหาก ตามกระแสรับสั่งของพระเจ้าแผ่นดินในชั้นเดิม แต่ครั้นซื้อไม้ส่งไปให้แล้ว เจ้าพนักงารคุกก็หายอมให้ลงมือปลูกคุกอย่างว่าไม่ ท่านพระคลังจึงตอบว่า เจ้าพนักงารคุกเปนคนโกหกแลคนโกงให้พวกนักโทษทน ไปก่อนเถิดท่านพระคลังจะได้กราบทูลขอพระมหากรุณาให้พวกนักโทษได้ไปอยู่รวมกับมองซิเออร์โปมาต่อไป แต่พวกเราได้เคยได้ยินมา มากแล้วอย่างดีที่สุดก็คงได้รับวาจาอันน่ายินดีแต่ลงท้ายที่สุดวาจาอันดีนี้ก็คงไม่มีผลเลย เพราะฉนั้นการที่ท่านพระคลังตอบในครั้งนี้ หาได้ ทำให้พวกเรานึกยินดีอย่างไรไม่
ปล่อยนักโทษอังกฤษสามคน
เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม เจ้าพนักงารได้ปล่อยนักโทษชาติอังกฤษสามคน โดยคำร้องขอของหัวหน้าพวกฮอลันดาซึ่งได้ขอมาก่อนเดือนครึ่งแล้ว เจ้าพนักงารหัวหน้าคุกจึงได้เรียกพวกชาติอังกฤษมาหาเพื่อ จะจัดการปล่อย พเอิญมีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งติดโซ่พวงเดียวกับพวกอังกฤษก็ต้องมาด้วยเพราะโซ่ติดกัน เจ้าพนักงารหัวหน้าจึงถามว่า
๑๖๘
นักโทษเหล่านี้เปนชาติอังกฤษทุกคนหรืออย่างไร ครั้นผู้คุมตอบว่าคนหนึ่งเปนฝรั่งเศส เจ้าพนักงารหัวหน้าจึงสั่ง ให้ไปทำโทษนักโทษฝรั่งเศสคนนี้ให้จงหนัก
มองซิเออร์มาติโนเข้าแซก
เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ข้าพเจ้าได้ไปหาออกพระผู้หนึ่งซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ได้เคยแสดงตัวว่า ใคร่จะช่วยพวกนักโทษแลจะเปนผู้นำความกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินขอพระมหากรุณาให้แก่พวกนักโทษด้วย ขุนนางผู้นี้จึงได้บอกข้าพเจ้าว่าเตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะนำฎีกาขึ้นถวายแต่พวกฮอลันดาได้มาขัดขวางโดยนำข่าว ต่าง ๆ มากราบทูล จึงเปนอันหมดทางที่จะถวายฎีกาได้ ข้าพเจ้าจึงได้ร้องว่าพวกนักโทษได้ถูกทรมานอย่างสาหัส ขุนนางผู้นั้นจึงตอบว่า เขาทำตามคำสั่งแลจะแก้ไขอย่างใดไม่ได้
มองซิเออร์โปมาจัดการทำคำร้อง
แลการเยาะเย้ยของพวกไทย
เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม มองซิเออร์โปมาพร้อมด้วยล่าม ได้ไปหาออกญายมราช ซึ่งเปนเจ้าพนักงารบัญชาการคุก ร้องว่าเจ้าพนักงารได้เอาพวกนักโทษจองจำโซ่ตรวนแลทรมานหนักขึ้นอีก แล ขอให้ออกญายมราชได้อนุญาตให้ ได้ปลูกคุกขึ้นต่างหากสำหรับขังพวก
๑๖๙
ฝรั่งเศสดังได้พูดไว้แต่เดิม ออกญายมราชหาได้ตอบในคำร้องอย่างใด หรือจะแสดงความเวทนาสงสารอย่างใดก็หาไม่ กลับด่าแลเยาะเย้ยพระเปนเจ้าแลด่าสาสนาของพระเปนเจ้าด้วย ในคำที่ด่าแลเยาะเย้ยต่าง ๆ นั้นมีว่า ออกญายมราชเข้าใจว่า พระเปนเจ้าของพวกบาดหลวงได้เข้าสิงสู่ในตัวพวกบาดหลวงแล้ว จนถึงกับพาพวกบาดหลวงเที่ยวตากอากาศโดยพาไปจากคุกนี้ไปเข้าคุกโน้น แล้วออกญายมราชได้พูดต่อไปว่า "การที่พวกบาดหลวงได้รับความทุกขเวทนามาช้านานเช่นนี้ไม่เปนกุศลดอกหรือ" เมื่อได้ด่าแลเยาะเย้ยเสร็จแล้ว ท่านออกญา ยมราชจึงได้บอกว่าการที่ให้จองจำไว้เช่นนี้ก็สำหรับป้องกันไม่ให้หนี มอง ซิเออร์โปมาจึงได้ตอบว่า พวกบาดหลวงไม่ใช่บุคคลชนิดที่จะหนีหายได้ ทั้งพวกเราก็ยอมเปนประกันให้ด้วย ออกญายมราชตอบว่า "ก็นายพลเดฟาซ์ทำอย่างไรเล่า พวกนี้ไม่ใช่คนพวกเดียวกันหรือ"
ใจเปนทานของอาชบิชอบเมืองมานิลา(๑)
ในขณะนี้มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง
(๑) มองเซนเยอร์ฟีลิปปันโด คณะโดมีนิแกงได้ถึงแก่กรรมเมื่อ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ค.ศ. ๑๖๘๙ คือภายหลังที่ได้ทำทานอันดีนี้ได้ ไม่กี่ วัน ในเรื่องนี้มองเซนเยอร์ลาโนได้กล่าวว่าดังนี้ "เมื่อท่านอาชบิชอบ ได้ ให้ส่งเงินนี้ไปที่เรือก็พอดีถึงแก่กรรม แลผู้จัดการทรัพย์สมบัติ ของท่านอาชบิชอบก็ได้ ให้ถอนเงินรายนี้ออก บาดหลวงชาติสเปนถือ คณะฟรังซิแกงคน ๑ ซึ่งพวกเรารู้จักได้เปนธุระช่วยเหลือเรามาก แล บาดหลวงคนนี้หวังใจว่าเรื่องของเราคงเปนผลสำเร็จ"
๒๒
๑๗๐
มาจากเมืองมานิลาลงวันเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒) จดหมายฉบับนี้บาดหลวงอันโตนิโออยู่เมืองซังโดมีนีโกเปนผู้มีมา ในจดหมายฉบับนี้มีใจความว่า บาดหลวงอันโตนิโอได้บอกให้ท่านอาชบิชอบเมืองมานิลาทราบถึงเหตุการณ์ แลการเปนไปของคณะบาดหลวงในเมืองไทย ท่านอาชบิชอบเมืองมานิลาได้เกิดสังเวชในใจแต่ก็หามี เงินไม่ จึงได้ไปยืมเงินมา ๑๐๐๐ ปาตากฝากมากับมองซิเออร์มาแตงแลนอกจากเงินยังให้ชอกอเล็ตอีกหีบหนึ่งมีชอกอเล็ต ๑๒๐๐ ก้อนกับน้ำตาล ๑ แท่ง การที่ท่านอาชบิชอบเมืองมานิลาได้ให้ทานเช่นนี้ เปนการแสดงน้ำใจอันดีมากซึ่งเราไม่ได้นึกหวังจะได้เลย แลเมื่อได้ทาน อันนี้มาก็จะเปนเวลาเหมาะที่สุด ขอให้พระเปนเจ้าได้ให้รางวัลแก่ท่านอาชบิชอบผู้มีใจทานเช่นนี้เถิด เวลานี้พวกเราคอยให้มองซิเออร์มาแตงส่งทานอันนี้กับของอื่น ๆ ด้วย
การปล่อยพวกนักโทษ
จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงมองซิเออร์มาติโนเปนผู้เรียบเรียง
เดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๖๙๐ (พ.ศ. ๒๒๓๓)
พวกมิซชันนารีพ้นโทษ
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ท่านพระคลัง (ท่านผู้นี้ที่ได้เปนราชทูต ที่ ๑ ไปเจริญทางพระราชไมตรีที่ประเทศฝรั่งเศส) ได้ให้ไปตาม
๑๗๑
มองซิเออร์โปมาไปหา แลได้บอกข่าวอันน่ายินดีว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงสงสารในการที่พวกมิซชันนารี แลพวกนักเรียนได้รับความทุกข เวทนา จึงได้มีรับสั่งแก่ออกญายมราช (ผู้ว่าการคุก) ให้ปล่อยพวก มิซชันนารีแลพวกนักเรียนทั้งหมด แต่จะต้องให้พวกมิซชันนารีแล นักเรียนหาประกันเสียก่อน แลเมื่อพ้นโทษแล้วจะต้องอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเจ้าพนักงารจะได้ปลูกขึ้นใกล้กับคุก แลจะต้องมีเจ้าพนักงารควบคุมอยู่ก่อน เพื่อจะให้เรื่องนี้เปนการสำเร็จไป ท่านพระคลัง จึงได้ให้ไปตามล่ามของเราชื่อ แวงซังแปงเฮโร แลได้สั่งให้ล่ามรีบ ไปยังค่ายปอตุเกตไปหาชาวปอตุเกศสองคนชื่อ บาเรตา แล ชาโบ แลให้ถามคนทั้งสองนี้ว่า จะยอมเปนประกันพวกมิซชันนารีแลนักเรียนหรือไม่ เพราะเมื่อปีก่อนนี้คนทั้งสองนี้ได้ยื่นเรื่องราวขอเปนประกันครั้ง๑ แลเรื่องราวฉบับนี้ได้ถวายยังพระเจ้าแผ่นดินแล้วด้วย (เรื่องราวฉบับที่ ว่านี้คือเปนฎีกา ซึ่งพวกเราได้ทำถวายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒) แต่ก็หาเปนการสำเร็จอย่างใดไม่ ยังฎีกาฉบับอื่น ๆ อีกหลายฉบับก็ไม่ได้มีผลอย่างใดเหมือนกัน)
เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ล่ามของเราได้ไปหาปอตุเกศสองคนนั้นถามถึงเรื่องที่จะเปนประกันพวกนักโทษ ปอตุเกศได้ตอบว่ายอมที่จะเปนประกัน แต่จะประกันฉเพาะมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศคนเดียวเท่านั้น แต่มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศจะต้องอยู่ในบ้านพวกปอตุเกศ ๆ จึงจะยอมเปนประกัน การที่พวกปอตุเกศยอมจะเปนประกันให้นั้นก็ไม่
๑๗๒
ใช่เพราะเหตุว่ามีความนับถือหรือเห็นแก่เกียรติยศมองเซนเยอร์เดอ เมเตโลโปลิศอย่างใด ที่จะยอมเปนประกันนั้นเพื่อเปนประโยชน์สำหรับพระเจ้าแผ่นดินปอตุเกศ เพราะเห็นว่าต่อไปในภายหน้าถ้าพวกฝรั่งเศส กลับมาอีกจะได้ใช้ท่านสังฆราชได้โดยสดวก ส่วนพวกมิซชันนารีแลพวกนักเรียนนั้น พวกปอตุเกศไม่รู้จักแลไม่คุ้นเคยพอที่จะเปน ประกันให้ได้
ล่ามได้นำคำตอบของพวกปอตุเกศไปเรียนให้ท่านพระคลังทราบแลได้พูดต่อไปว่าถ้าพวกปอตุเกศได้เปนประกันจริง มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศจะเสียใจมาก แลจะติเตียนพวกเราที่ไม่ได้เปนประกัน ในข้อนี้ท่านพระคลังได้ตกลงยอมโดยง่าย แลเพื่อจะให้เรื่องนี้ได้สำเร็จไป ท่านพระคลังจึงได้พูดว่าไม่จำเปนที่จะต้องหานายประกันมาจากที่อื่น แต่ให้เอามองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศกับบาดหลวงสามคนที่ ไม่ต้องโทษมาเปนประกัน บาดหลวงสามคนนั้นคือมองซิเออร์เฟเรอ ๑ มองซิเออร์โปมา ๑ ตัวข้าพเจ้า ๑ ท่านพระคลังจึงได้สั่งให้เขียนหนังสือประกันโดยทันที ล่ามของเราจึงได้ร่างหนังสือประกันแล้วนำไปให้ท่านพระคลังตรวจ แต่ท่านพระคลังไม่พอใจร่างนั้นจึงสั่งให้ล่ามไปร่างเสียใหม่พร้อมกับผู้ช่วยของท่านพระคลังตามหัวข้อที่ท่านพระคลังได้ให้ไว้
วันที่ ๓ สิงหาคม ล่ามของเราได้ทำตามคำสั่งของท่านพระคลังทุกประการ แลได้เขียนหนังสือประกันสำเร็จเรียบร้อย แต่ในวันนี้ หาได้มีโอกาศยื่นให้ ท่านพระคลังไม่
๑๗๓
วันที่ ๔ สิงหาคม ล่ามได้ยื่นหนังสือประกันให้แก่ท่านพระคลัง ๆ ได้ตรวจอ่านเปนที่พอใจแล้ว จึงได้ส่งหนังสือประกันฉบับนั้นมาให้ มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศกับเราสามคนเซ็นชื่อ เมื่อเรื่องนี้ได้เปนการสำเร็จเรียบร้อยแล้ว มองซิเออร์เฟเรอกับมองซิเออร์โปมาจึงได้ ไปหาท่านพระคลัง ขอให้ท่านพระคลังสั่งว่าจะเอาที่ตรงไหน สำหรับปลูกบ้านให้พวกนักโทษที่จะพ้นโทษอยู่ แลมองซิเออร์เฟเรอกับมอง ซิเออร์โปมาได้ฉวยโอกาศนี้พูดกับท่านพระคลัง ขอให้จัดการแล้วแต่ จะเห็นควร ที่จะให้พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงพระกรุณาแก่พวกฝรั่งเศสอื่น ๆ เหมือนกับที่ได้ทรงพระกรุณาแก่พวกมิซชันนารี ท่านพระคลัง จึงได้ตอบอย่างที่เคยตอบมาแล้วว่าต้องรอไปก่อน ให้พวกบาดหลวง แลพวกนักเรียนได้พ้นโทษมาเสียก่อน แล้วจึงนึกถึงพวกฝรั่งเศสอื่น ๆ ต่อไป แล้วท่านพระคลังก็ชี้ที่สำหรับให้ปลูกบ้าน ซึ่งเปนที่คล้ายเกาะเล็ก ๆ อยู่กลางบึงใหญ่อยู่ข้างหลังคุก แลห่างจากคุกระยะพอปืนยิง ถึง เกาะนี้ยาว ๑๑ วา กว้าง ๕ วา เราจึงได้รีบไปถากถางแลรีบ ปลูกบ้าน ซึ่งต้องจ่ายเงินไป ๘ ตำลึงหรือ ๓๒ บาท
วันที่ ๑๒ สิงหาคม บาดหลวงปีแยร์อาซิลาได้ลงเรือเล็กเพื่อไปยังเมืองมานิลา แลได้รับจดหมายต่าง ๆ ไปห่อ ๑ ซึ่งพวกเราได้ ฝากไปสำหรับส่งไปยุโรปแลเมืองจีน แลได้กำชับให้บาดหลวงอาซิลาจัดการส่งหนังสือเหล่านี้ไปตามทางที่แน่แลเร็วที่สุด บาดหลวงอาซิลาคนนี้ได้ถูกกักขังอยู่ในบ้านออกญาวังมาช้านาน เพราะออกญาวังจะเอา
๑๗๔
บาดหลวงอาซิลาเปนทาสให้จงได้ภายหลังออกญาพิพัฒผู้ช่วยของท่านพระคลัง ได้ช่วยให้บาดหลวงอาซิลาหลุดพ้นมือออกญาวังไปได้ เพราะ ฉนั้นบาดหลวงอาซิลาจึงรีบร้อนต้องการไปให้พ้นเมืองนี้ ท่านสังฆราชจึงได้อนุญาตให้บาดหลวงอาซิลาไปยังเมืองมานิลา ไม่ใช่สำหรับให้ ไปอยู่เพื่อไปเยี่ยมบิดามารดาในเมืองนั้น บาดหลวงอาซิลาได้ตั้งใจไว้ว่าเมื่อถึงเมืองมานิลาจะได้จัดการเรี่ยรายเงิน แล้วจะได้หาโอกาศส่งเงิน ที่เรี่ยรายได้นั้นมาให้เราเพื่อเราจะได้เอาไว้ซื้ออาหารเลี้ยงชีพได้ต่อไป แต่เมื่อพวกเราเปนอยู่อย่างนี้ก็รู้ไม่ได้ว่าการที่คิดไว้จะล้มละลายลงเมื่อไร มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจึงได้ให้หนังสือสำคัญเปนคู่มือแก่บาดหลวงอาซิลา หนังสือสำคัญฉบับนี้มีไปถึงคณะบาดหลวงทุกคณะ แลอนุญาตให้บาดหลวงอาซิลาไปอยู่ในคณะใดคณะหนึ่งได้แล้วแต่จะเห็นสดวก
วันที่ ๑๕ สิงหาคม เปนวันอาซำซิอองเดอลาเตรแซนต์วิแยช์ (Assomption de la Tr?s Sainte Vierge) เจ้าพนักงารได้ถอดโซ่ตรวนพวงคอออกจากพวกมิซชันนารีซึ่งมีจำนวนอยู่ ๙ คน แลนักเรียน ๑๔ คน แลได้ปล่อยให้ออกจากคุกนครบาล พวกนี้ได้ต้องจำคุกมา ๒๑ เดือน แล้วได้จัดให้ไปอยู่บ้านใหม่ที่ได้กล่าวมาข้างบนนี้ พวกมิซชันนารี แลนักเรียนได้พักอยู่ในบ้านนี้โดยเงียบ ๆ หาได้มีใครมารบกวนไม่แลผู้คุมก็ไม่มีด้วย ต่างคนต่างเล่าเรียนแลทำการต่าง ๆ ไม่มีผู้ใดมาขัด ขวางเลย ถ้าจะออกจากบ้านต้องขออนุญาตเจ้าพนักงารคุกเสียก่อนแล
๑๗๕
จะต้องออกคราวละ ๒ คน ๓ หรือ ๔ คนเท่านั้น กลางคืนต้องกลับเข้าไปอยู่ในอยู่บ้าน เจ้าพนักงารไม่ยอมให้อยู่นอกบ้านในเวลากลางคืนเปนอันขาดการที่ได้ออกมาอยู่ในที่กว้างขวางขึ้นเช่นนี้ จะเรียกว่าพ้นจากการคุมขังทีเดียวก็ไม่ได้ แต่พวกเหล่านี้ก็รู้สึกว่าเปนการเบาเท่ากับรู้สึกว่าเมื่อ ติดอยู่ในคุกเปนการหนักอย่างยิ่ง แต่พระเปนเจ้าได้มาตัดทอนความ สุขอันนี้โดยทำให้เกิดความไข้ขึ้น ซึ่งพวกเราได้ป่วยไม่ได้เว้นเลย จนคนเดียว ในเวลาที่พวกเรากำลังมีความปีติยินดีอยู่ ก็ต้องน้ำตา ไหลโดยที่มิซชันนารีได้ตายลงถึงสามคน คือ มองซิเออร์เยฟราด์ ๑ มองซิเออร์มอเนซเตีย ๑ มองซิเออร์โปมา ๑ กับนักเรียนคน ๑ เปนเสมียนญวนก็ได้ตายด้วยเหมือนกัน
เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ พร้อมกับมองซิเออร์เฟเรอ แลแวงซังแปงเฮโร ได้ไปหาท่านพระคลัง เพื่อ ไปขอบพระเดชพระคุณที่ได้ปล่อยให้พวกมิซชันนารีแลนักเรียนได้พ้นโทษ แลเพื่อไปขอร้องให้ท่านพระคลังได้กรุณาแก่นักโทษฝรั่งเศสอื่น ๆ ด้วย ท่านพระคลังจึงได้ตอบว่า ถ้ามีโอกาศแล้วจะได้กราบทูลอุดหนุนให้พวกเราได้รับพระมหากรุณาขึ้นอีก แต่ส่วนที่เกี่ยวกับพวกฝรั่งเศส อื่น ๆ นั้น ถึงจะมีน้องชายของท่านอยู่ในจำพวกฝรั่งเศสด้วย ท่าน พระคลังก็ไม่กล้าจะกราบทูลได้ เพราะการที่พวกฝรั่งเศสต้องติดคุก อยู่ดังนี้ จะโทษเอากับใคร แล้วท่านพระคลังจึงพูดถึงมองซิเออร์เดฟาซ์ว่า พระเจ้ากรุงสยามยังรับสั่งถึงอยู่เสมอแลทรงชมเชยมองซิเออร์
๑๗๖
เดฟาซ์อยู่บ้าง แต่ส่วนมองซิเออร์เดอแวเดอซาลนั้นไม่มีใครพูดถึงเลย เพราะการที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ก็โดยความประพฤติของมองซิเออร์เดอแว เดอซาล ซึ่งเข้าใจของตัวเองว่าทำการอย่างกล้าหาญมาก จนถึง กับไปอวดอ้างตัวดุจทั้งโลกไม่มีผู้ใดจะกล้าหาญเท่า
ว่าด้วยการจลาจลในเมืองไทย
จดหมายบาดหลวงเดอลาเชซถึงพระคลัง ณ กรุงปารีส
ว่าด้วยการกดขี่บีบคั้นตามความเห็นท่านพระคลัง
วันที่ ๒๕ ธันวาคม ค.ศ. ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒)
เรียนมายังท่านพระคลัง
ข้าพเจ้ายังไม่ได้ทราบความพอถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขบถแลเหตุการณ์ต่าง ๆ ในแผ่นดินสยาม แลไม่ทราบว่า ตัวท่านได้เกี่ยวในการเรื่องนี้ด้วยเพียงไร เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ทราบว่าจะควรใช้ถ้อยคำอย่างไร ทจะแสดงความยินดีในการที่ท่านได้รับเกียรติยศเปนเจ้าพระยาพระคลังขึ้นใหม่ (๑) แต่ข้าพเจ้าไม่ใคร่จะเชื่อเลย ว่าการทั้งปวงจะลบล้างความรักใคร่ในหัวใจของท่านได้ เพราะการรักใคร่โดยซื่อสัตย์อันนี้ท่านก็ได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นอยู่บ่อย ๆ แลได้แสดงต่อมาอีก เมื่อครั้งท่านได้
๑๗๗
มีจดหมายมายังข้าพเจ้าจากเคปออฟกูดโฮป แลในจดหมายฉบับนั้นก็เต็มไปด้วยถ้อยคำอันไพเราะน่าจับใจทุกคำ อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าเชื่อใจว่า ข้าพเจ้ายังไม่ได้ทำการสิ่งใดที่จะสมควรทำให้ท่านคลายความรักใคร่ในตัวข้าพเจ้า แลพวกบาดหลวงในคณะของข้าพเจ้าซึ่งเปนญาติอันรักใคร่ของข้าพเจ้า แลซึ่งไทยได้ขอร้องนักหนาให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสส่งไป ทั้งการที่ได้ยอมสละบาดหลวงเหล่านี้ให้ไปตามคำขอร้องของท่านนั้น ก็เพื่อเปนประโยชน์สำหรับแผ่นดินสยามเท่านั้น
ข้าพเจ้าต้องรับสารภาพในที่นี้ ว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ทราบว่าบาดหลวงเหล่านี้ซึ่งเปนคนเต็มไปด้วยการกุศลอันดีได้รับโทษอย่างผู้ร้าย แลได้ถูกไล่ออกจากแผ่นดินสยามนั้นเปนการกระทำให้ข้าพเจ้าประหลาทใจอย่างยิ่ง เพราะบาดหลวงเหล่านี้ได้ไปยังชมพูทวีป ก็เพื่อประสงค์จะไปทำความดีให้แก่มนุษย์ทั่วไป เพื่อไปสั่งสอนให้ประเทศต่าง ๆ ได้รู้ความจริงแล ให้อยู่ในศีลในธรรม เพื่อไปสั่งสอนบันดาพระเจ้าแผ่นดิน แลราษฎร ทั่วไปให้รู้จักวิธีหาความสุขชั่วกัลปาวสาน แลการที่บาดหลวงเหล่านี้ ได้ไปสั่งสอนการต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้วนั้นก็ยังหาพอใจไม่ ยังได้พยายามสอนวิชาต่างๆซึ่งเปนวิชาล้วนแต่น่าประหลาทแลน่าดูของทวีปยุโรป แลวิชาเหล่านี้ก็เปนวิชาที่จำเปนสำหรับทำความเจริญให้แก่บ้านเมืองแลทำให้การค้าขายมีผลดีขึ้นด้วย
การที่ได้ทราบในเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็ได้ทราบมาจากพวกฮอลันดาทางเดียว แต่พวกฮอลันดาก็เคยนำข่าวเท็จ
๒๓
๑๗๘
ต่าง ๆ มาเล่าลือในทวีปยุโรป เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงได้กราบทูลอ้อนวอนพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสให้ทรงอดกริ้วไว้ก่อน เพื่อรอให้ได้ทราบความจริงแท้จากท่านเสียก่อนว่าเรื่องราวที่เกี่ยวด้วยพวกฝรั่งเศสจะมีอย่างไรบ้าง โดยข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าท่านคงจะจัดการให้พระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์ใหม่ได้ทรงชี้แจงเหตุผลให้เปนที่พอพระทัยของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสถึงการ กดขี่บีบคั้นพวกฝรั่งเศสอันผิดด้วยคลองธรรม ซึ่งกระทำให้คนพวกนี้ได้เสียอิศรภาพ แลข้าพเจ้าเชื่อว่าคงจะทรงลงพระราชอาญาแต่ฉเพาะแก่ผู้ที่กระทำผิดโดยทำการขัดพระราชโองการ หรือทำผิดสัญญาหรือได้หมิ่นประมาทแก่ชาติไทยเปนต้น
ในครั้งนี้เปนโอกาศอันดีของท่านที่จะให้ชนทั้งหลายได้คงนับถือในความซื่อสัตย์สุจริตของท่านที่ได้มาแสดงไว้ในเมืองนี้ โดยช่วยกันกับบาดหลวงตาชาซึ่งจะกลับไปยังอินเดีย จัดการให้พระเจ้ากรุงสยามได้ทำการแก้ไขในสิ่งที่แล้วไปแล้ว แลข้าพเจ้ากล้าที่จะรับประกันต่อท่านว่าถ้าท่านได้จัดการในเรื่องนี้ให้เปนผลสำเร็จแล้ว จะเปนการดีที่ท่านจะได้ฉลองพระเดชพระคุณพระเจ้ากรุงสยามแลประเทศสยามด้วย กล่าวคือที่ท่านจะพยายามจัดการทุกอย่างอย่าให้เกิดแตกร้าวกันขึ้นได้ เพราะ ถ้าได้เกิดแตกร้าวกันแล้วก็จะเปนการเสียประโยชน์ต่อบ้านเมืองของท่าน ฝ่ายข้าพเจ้าก็จะพยายามให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้มีความไว้พระทัยอย่างเดิม แลให้ทรงอดกลั้นความกริ้วกราดไว้ เพราะในเวลานี้ถ้าทรงกริ้ว
๑๗๙
แล้วก็จะทรงแสดงให้เห็นผลร้ายแก่ผู้ที่ไม่หันเปนไมตรีกับพระองค์ แล ผู้ที่ไม่กลัวเกรงความกริ้วของพระองค์ด้วย
ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนกราบไหว้พระเปนเจ้า ซึ่งเปนผู้ปกครองประเทศต่าง ๆ ทั้งปกครองบันดาพระเจ้าแผ่นดิน แลเสนาบดีทั้งหลายนั้นได้โปรดบันดาลดลพระทัยพระเจ้าแผ่นดินนายของท่าน แลดลใจท่านให้ทำการแต่สิ่งที่ควร แลข้าพเจ้าขอแสดงความนับถือรักใคร่ที่ข้าพเจ้าได้มีต่อท่าน
(เซ็น) เดอลาเชซ
คณะพระเยซูแลเปนผู้ล้างปาบของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส
สำเนาจดหมายเจ้าพระยาพระคลัง
ถึงบาดหลวงเดอลาเชซ
ค.ศ. ๑๖๙๓ (พ.ศ. ๒๒๓๖)
ข้าพเจ้าไม่มีคำใดที่จะอธิบายให้ท่านเข้าใจได้ว่า พระมหากรุณาของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ฝังอยู่ในใจข้าพเจ้าเพียงไร ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงพระมหากรุณาอยู่เสมอทุก ๆ วันมิได้เว้นเลย แลถ้ามีโอกาศขึ้นเมื่อใดข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงให้คนอื่นทราบถึงอภินิหาร แลอานุภาพของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส เพื่อแสดงให้คนทั่วไปทราบ ว่าข้าพเจ้ามิได้ลืมถึงพระ
๑๘๐
มหากรุณาของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสเลย แลข้าพเจ้าจะไม่ลืมเลยถึง ไมตรีแลความเอื้อเฟื้อ ซึ่งท่านได้มีต่อข้าพเจ้าในเวลาที่ข้าพเจ้ายังอยู่ในประเทศฝรั่งเศสซึ่งเปนสิ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องฝังใส่ใจอยู่เสมอ แต่ถึงดังนั้นการที่ได้เกิดจลาจลขึ้นในเมืองนี้ในเวลาที่ข้าพเจ้าได้กลับมาแล้วนั้น ทำให้ข้าพเจ้าเกรงไปว่า จะมีผู้นึกว่าการที่เกิดขึ้นเช่นนี้ก็เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ระวังป้องกันไว้ แต่ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบได้ว่า ถ้าพวกฝรั่งเศสได้เชื่อคำแนะนำของข้าพเจ้าแลมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศแล้ว การก็คงจะไม่เปนดังที่ได้เปนมาแล้วเปนแน่ แลข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีผู้ใดจะโทษข้าพเจ้าได้เลย ว่าข้าพเจ้าได้กระทำการอย่างใดแม้แต่เล็กน้อยที่จะทำให้พระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองได้มัวหมองเลย
จดหมายที่ท่านได้มีมายังข้าพเจ้าฝากมากับข้าราชการไทยที่ได้กลับมาพร้อมกับบาดหลวงตาชานั้น ข้าพเจ้าได้รับไว้สองปีมาแล้ว การที่ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบจดหมายของท่านบอกข้อความต่าง ๆ ตามที่ท่านต้องการทราบก่อนนั้น ก็เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าได้รอบาดหลวงตาชาอยู่ เพราะบาดหลวงได้บอกไว้ว่าจะมา แต่จนป่านนี้บาดหลวงตาชาก็ยังหามาถึงไม่ เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจะรอไปอีกไม่ได้จึงตอบชี้แจงให้ท่านทราบตามความต้องการ
๑๘๑
สำเนาจดหมายเจ้าพระยาพระคลัง
ถึงมองซิเออร์เดอบรีซาเซีย (๑)
วันที่ ๒๗ ธันวาคม ค.ศ. ๑๖๙๓ (พ.ศ. ๒๒๓๖)
จดหมายที่บาดหลวงบรีซาเซียได้มีมายังข้าพเจ้านั้น บาดหลวงเฟเรอกับฟรังซัวแปงเฮโร ได้แปลให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าได้ทราบความตามจดหมายนั้นทุกประการ แลเปนข้อความที่ทำให้ข้าพเจ้ายินดี เปนอันมาก
ในจดหมายฉบับนี้ท่านกล่าวว่า ท่านได้ทราบข่าวเรื่องเกิดการจลาจลในเมืองไทย แลได้ทราบว่ามองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ กับบาดหลวงทั้งปวงได้รับความเดือดร้อน แลว่าไทยได้ริบทรัพย์สมบัติของบาดหลวงเหล่านี้ ซึ่งเปนคนหาความผิดไม่ได้แลเปนคนที่ได้เอา ใจใส่ในความเจริญของเมืองไทยโดยช่วยเหลือในการงารทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ แลว่าเมื่อกองทหารฝรั่งเศสได้ยกออกจากเมืองไทยแล้ว พวกบาดหลวงแลสังฆราชได้รับความดูถูกอย่างยิ่ง ซึ่งท่านเชื่อว่าคงจะไม่ ใช่กระแสรับสั่งของพระเจ้าแผ่นดิน แต่คงจะเปนพวกข้าราชการไทย
(๑) ในหนังสือจดหมายเหตุนั้น มีสำเนาจดหมายเจ้าพระยาพระ คลังสองฉบับ ๆ ๑ ถึงมาแตงเจ้าเมืองปอนดีเชรี อีกฉบับ ๑ ถึงบาดหลวง เดอลาเชซ ใจความคล้ายกับจดหมายฉบับนี้ ผิดกันแต่ขึ้นต้นแลลงท้าย เท่านั้น
๑๘๒
ทำเอาเอง แลว่าเมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในเมืองฝรั่งเศส ข้าพเจ้าได้สัญญาไว้กับท่านว่าเมื่อข้าพเจ้าได้กลับมาถึงเมืองไทยแล้ว ข้าพเจ้าจะได้เปนธุระดูแลป้องกันมิให้สังฆราชแลพวกบาดหลวงได้รับความเดือดร้อนอย่าง ใด โดยเหตุที่ข้าพเจ้าได้สัญญาไว้เช่นนี้ท่านจึงหวังใจว่า ข้าพเจ้า จะได้กราบทูลพระเจ้ากรุงสยามนายของข้าพเจ้า ขอให้คืนของที่ริบไปนั้น ให้แกสังฆราชแลบาดหลวงต่อไป
ข้าพเจ้าจะต้องกล่าวในที่นี้ว่าข้าพเจ้าได้มีความประหลาทใจเปนอันมากที่ได้เห็นสำนวนในจดหมายของท่านตรงกันข้ามกับความไหวพริบ แลความวินิจฉัยอันสูงสุดของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส เพราะพระองค์ได้ทรงฟังข่าวแต่ฝ่ายเดียวหาได้ทรงเชื่อในข่าวเหล่านั้นไม่ แลถึงแม้ว่าได้ทรงทราบในข่าวเหล่านี้ ก็ยังได้ทรงพระเมตตากรุณาแก่ข้าราชการไทยสองคนซึ่งในเวลานั้นยังอยู่ในประเทศฝรั่งเศส จนถึงกับโปรดจัดการให้ได้กลับมายังเมืองไทย การที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสทรงปฏิบัติเช่นนี้ ก็เปนการกระทำให้พระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองได้สนิธสนมยิ่งไปชั่วกาลนาน เมื่อพระเจ้ากรุงสยามได้ทรงทราบในเรื่องนี้ ก็ได้ทรง ชมเชยสรรเสริญพระปรีชาญาณ แลอานุภาพของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ที่พระองค์ทรงรู้จักผิดแลชอบไม่ทรงเชื่อฟังความแต่ข้างเดียวแลได้รับสั่งต่อไปว่าการที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสทรงปกครองบ้านเมืองแลอาณาประชาราษฎรได้อย่างดีเช่นนี้ไม่ทรงประหลาทใจเสียแล้วการที่บาดหลวงบรีซาเซียวินิจฉัยความเรื่องการจลาจลคราวนี้ดูน่าประหลาทอย่างยิ่ง เพราะ
๑๘๓
บาดหลวงฟังความแต่ข้างเดียว แลเชื่อเสียด้วยว่าไทยได้กระทำให้มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศกับพวกมิซชันนารีได้รับความเดือดร้อน ซึ่งเปนการตรงกันข้ามกับพระราชวินิจฉัยของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสดังข้าพเจ้า ได้กล่าวมาแล้ว แลการวินิจฉัยของบาดหลวงบรีซาเซียไม่เปนการที่จะกระทำให้ราชไมตรีดีได้เลย
ในข้อที่ท่านอ้างว่าข้าพเจ้าได้สัญญาว่าจะจัดการให้การทั้งปวงเปนที่เรียบร้อยนั้น ข้าพเจ้าจะต้องบอกให้ท่านทราบว่าในข้อนี้ข้าพเจ้าหาได้นำความกราบทูลพระเจ้ากรุงสยามนายของข้าพเจ้าให้ทรงทราบไม่ เพราะสำนวนในจดหมายของท่านไม่น่าฟังสำหรับพระราชไมตรีในระหว่างพระ เจ้าแผ่นดินทั้งสองเลย แต่จะต้องรอให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ทรงทราบความจริงในเหตุจลาจลเสียก่อน จึงจะนำความกราบทูลพระเจ้ากรุงสยามให้ทรงทราบได้ แต่เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเปนคนฉลาดแลมีไหวพริบ ข้าพเจ้าจึงเห็นควรต้องส่งสำเนาจดหมายที่ข้าพเจ้าได้เขียนไปถึงบาดหลวงตาชาเมื่อปีกลายนี้ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดจลาจลโดยย่อมาให้ท่านดู ข้อความในจดหมายที่ข้าพเจ้ามีไปถึงบาดหลวงตาชานั้น มีความดังนี้
ท่านทราบอยู่แล้วว่าพระเจ้ากรุงสยามซึ่งได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว นั้น ได้โปรดปรานมองซิเออร์คอนซตันซ์เปนอันมาก จนถึงกับโปรดตั้งให้เปนข้าราชการผู้ใหญ่ แลทรงมอบหมายการแผ่นดินหลายอย่างให้มองซิเออร์คอนซตันซ์จัดการพร้อมกับข้าราชการคนอื่น ๆ มองซิเออร์
๑๘๔
คอนซตันซ์เปนผู้เบิกเงินเบิกทองจากท้องพระคลังหลวงเปนจำนวนทองแลเงินมาก เงินทองที่ได้เบิกไปนั้นมองซิเออร์คอนซตันซ์ได้ใช้จ่ายตาม ชอบใจ แลเงินทองเหล่านี้มาบัดนี้ก็สูญหมดแล้ว มองซิเออร์คอนซตันซ์ก็มีใจคิดร้ายอยู่ด้วย พวกข้าราชการที่รู้เท่ามองซิเออร์คอนซตันซ์นั้น ก็ไม่กล้าพูดเพราะเวลายังไม่เหมาะ แต่ก็ได้พยายามช่วยกันป้องกัน มิให้มองซิเออร์คอนซตันซ์ได้ทำการร้ายขึ้นได้ มองซิเออร์คอนซตันซ์ รู้ตัวว่าพวกข้าราชการมีความสงสัย จึงคิดอ่านกราบทูลพระเจ้า กรุงสยามขอพระราชานุญาตให้มองซิเออร์โบเรอกาด์ไปเปนผู้ว่าราชการเมืองมริด แลขอให้มองซิเออร์ดูบรูอังคุมทหารฝรั่งเศส ๑๒๐ คนไปช่วยรักษาป้อมที่เมืองมริดด้วย ครั้นภายหลังพระเจ้ากรุงสยามทรงพระประชวร มองซิเออร์คอนซตันซ์รู้สึกว่าตัวได้ทำความผิดไว้จึงมีความกลัว คิดอ่านล่อลวงในทางลับเรียกนายพลเดฟาซ์กับกองทหาร เพื่อเอาไว้สำหรับป้องกันตัวแลสำหรับทำการร้ายต่าง ๆ ที่คิดไว้ ให้เปนการสำเร็จด้วย ครั้นนายพลเดฟาซ์ได้ขึ้นมาถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ย้อนกลับไปยังบางกอกอีกโดยไม่มีใครทราบเรื่องเลยว่าจะกลับไปทำอย่างไร มีคนหาว่ามองซิเออร์คอนซตันซ์ทำการรู้เห็นเปนใจกับมองซิเออร์เดอแวเดอซาล มองซิเออร์ดูบรูอัง แลมองซิเออร์โบเรอกาด์ เพราะฉนั้นเมื่อมองซิเออร์คอนซตันซ์เห็นว่าตัวจะทำการร้ายไม่สำเร็จแล้ว จึงคิดอ่านส่งมองซิเออร์ดูบรูอังกับมองซิเออร์โบเรอกาด์ ไปยังเมืองมริดดังได้กล่าวมาข้างต้น นี้แล้ว คือคน ๑ ให้ไปเปนผู้ว่าราชการเมือง แลอีกคนหนึ่งให้ไปรักษา
๑๘๕
ป้อม ครั้นพระเจ้าแผ่นดินปัตยุบันนี้ได้ขึ้นครองราชสมบัติได้ทรงทราบในเรื่องนี้จึงมีรับสั่งให้จับตัวมองซิเออร์คอนซตันซ์มาไต่สวน แลทรงวินิจฉัยว่าคำให้การของมองซิเออร์คอนซตันซ์ตรงกับข้อหาทุกประการตั้งแต่นั้นมาก็ได้พยายามเรียกนายพลเดฟาซ์ให้ขึ้นไปยังเมืองละโว้ เพราะเห็นกันว่านายพลเดฟาซ์ยังไม่ทราบว่า มองซิเออร์คอนซตันซ์ถูกคุมขังแล้ว ก็คงจะขึ้นไปยังเมืองละโว้เปนแน่ เจ้าพนักงารก็ได้เล่าความจริงให้ นายพลเดฟาซ์ฟังประสงค์จะไม่ให้พวกฝรั่งเศสเอะอะขึ้น เพราะเกรงว่ามองซิเออร์ดูบรูอังกับมองซิเออร์โบเรอกาด์ซึ่งคบคิดกับมองซิเออร์คอนซตันซ์จะตกใจแลจะทำการอย่างใด ๆที่จะทำให้พระราชไมตรีแตกร้าวกันไป เจ้าพนักงารจึงได้แกล้งหลอกนายพลเดฟาซ์ว่าได้ข่าวมาจาก หัวเมืองฝ่ายเหนือว่าเกิดมีข้าศึกจะมาทำสงคราม เพราะฉนั้นจะต้องให้มองซิเออร์ดูบรูอังคุมทหารฝรั่งเศสมาสมทบกับกองทัพไทยในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเปนการตรงกับกระแสรับสั่งของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ที่ส่งกองทหารเหล่านี้มาสำหรับทำราชการของพระเจ้ากรุงสยาม เจ้าพนักงารได้ให้นายพลเดฟาซ์มีหนังสือถึงมองซิเออร์ดูบรูอังให้รีบกระทำการตามคำสั่งถ้ามองซิเออร์ดูบรูอังกับทหารฝรั่งเศสมีใจบริสุทธิ์มิได้คิดร้ายอย่างใดแล้ว ก็คงจะต้องทำการตามคำสั่งของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ถ้าเปนเช่นนี้แล้ว เจ้าพนักงารคงจะแนะนำไม่ให้ทำการอย่างใดที่จะทำให้ราชไมตรีแตกร้าว ได้ แต่ครั้นมองซิเออร์ดูบรูอังได้รับจดหมายแล้ว ก็หาได้ทำตามคำสั่ง
๒๔
๑๘๖
ของนายพลเดฟาซ์ไม่ กลับเตรียมการจะต่อสู้ ฝ่ายเจ้าพนักงารไทย เห็นมองซิเออร์ดูบรูอังทำการแปลกประหลาทเช่นนี้ ก็ได้เตรียมการที่จะต่อสู้บ้าง พวกฝรั่งเศสได้เอาทั้งปืนใหญ่แลปืนเล็กระดมยิงเข้าไปในเมืองตลอดรุ่ง ได้ฆ่าข้าราชการไทยตาย ๔ คน แลยิงถูกคนอื่น ๆ เจ็บป่วย ไปหลายคน พวกไทยหาได้ทำการต่อสู้โดยเต็มกำลังไม่เพราะกลับ จะผิดคำสั่งที่ได้รับไว้ เปนแต่หาที่กำบังมิให้พวกฝรั่งเศสยิงถูกได้ เพื่อเปนการป้องกันมิให้พระราชไมตรีแตกร้าวได้ ฝ่ายมองซิเออร์ดูบรูอัง กับมองซิเออร์โบเรอกาด์เห็นว่าพวกไทยหาที่กำบังพวกฝรั่งเศสยิงไม่ถูกแล้ว จึงได้ลงเรือหลวงลำหนึ่งมีปืนใหญ่ ๑๖ กระบอก ปืนเล็ก ๕๐ กระบอก ซึ่งเวลานั้นจอดอยู่ที่ท่า แล้วได้ไปยึดเรืออังกฤษอีกลำ ๑ ทั้งสองคนพร้อมด้วยกองทหารได้ลงเรือสองลำนี้หนีไป
ได้มีผู้ไปเล่าให้มองซิเออร์เดฟาซ์ฟังว่า มองซิเออร์เดอแวเดอซาล กับนายพันตรีคน ๑ ซึ่งยังอยู่ที่บางกอก ต้องหาว่าคบคิดกับมองซิเออร์คอนซตันซ์ทำการต่าง ๆ ซึ่งไม่สมควร เจ้าพนักงารจึงได้บอกให้มองซิเออร์เดฟาซ์ เรียกมองซิเออร์เดอแวเดอซาลกับนายพันตรีผู้นั้น ขึ้นไปยังเมืองละโว้ เพื่อจะได้สั่งสอนมิให้คนทั้งสองนี้คิดการอย่างใด ที่จะทำให้พระราชไมตรีแตกร้าวได้ มองซิเออร์เดฟาซ์ได้ตอบว่า คน ทั้งสองนี้เปนคนหัวดื้อ เมื่อได้ลงคิดการอย่างใดแล้วก็ไม่เชื่อฟังใครเลย เพราะฉนั้นป่วยการที่จะเรียกคนทั้งสองนี้ขึ้นไปยังเมืองละโว้ เพราะเห็นว่าจะเสียเวลาเปล่า ๆ มองซิเออร์เดฟาซ์จึงอาสาจะลงไปตามด้วยตัวเอง
๑๘๗
แลยอมให้บุตรสองคนกับนายทหารฝรั่งเศสอื่น ๆ คงอยู่ที่เมืองละโว้เปนประกัน นายพลเดฟาซ์ก็ล่องจากเมืองละโว้ แต่ก็ไม่มีใครทราบว่า นายพลเดฟาซ์ จะได้ทำความตกลงไว้กับนายทหารอื่น ๆ อย่างไร แต่ในทันใดนั้นทหารฝรั่งเศสได้จับทหารไทยแลปอตุเกศ ได้ยิงปืนใหญ่ ได้เอาไฟเผาถนนทางเดิรติดกับป้อมซึ่งเปนที่อยู่ของนายพลเดฟาซ์ ได้ระเบิดปืนใหญ่ในป้อมฝั่งตวันตก ๑๓ กระบอก แลปืนกระบอกใดที่พวกฝรั่งเศสระเบิดไม่ได้ ก็ได้เจาะรูเสียทุกกระบอก แล้วพวกฝรั่งเศสได้ขนอาวุธลูกกระสุนดินดำ ซึ่งอยู่ในป้อมนี้ย้ายไปอยู่ในป้อมฝั่งโน้น พอ พวกฝรั่งเศสออกจากป้อมแล้ว พวกไทยก็เข้าไปยึดป้อมไว้ พอ นายพลเดฟาซ์เห็นว่าไทยเข้าไปอยู่ในป้อมแล้ว ก็ได้สั่งกองทหาร ฝรั่งเศสให้ไปตีเอาป้อมคืนมาจากไทย กองทหารไทยแลฝรั่งเศสได้สู้ รบกันช้านาน ทหารฝรั่งเศสสู้ไม่ได้จึงถอยเข้าไปอยู่ในป้อมฝั่งตวัน ออก แลได้กระทำการร้ายต่าง ๆ เปนอันมาก ฝ่ายพระเจ้ากรุงสยามทรงพระราชดำริห์ว่า พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสคงจะไม่ทรงทราบ ว่านายพลกับกองทหารได้ทำการอย่างไร ทรงเห็นว่า ถ้าจะให้กองทหารไทยทำการสู้รบโดยเต็มฝีมือ ก็จะเกิดบาดหมางในพระราชไมตรี จึงเปน แต่มีพระราชโองการสั่งให้ทำป้อมเล็ก ๆ แลคูรอบป้อมใหญ่ แลให้ทหารรักษาไว้ให้มั่นคงทั้งทางบกแลทางเรือ แลให้คอยป้องกันอย่าให้พวกฝรั่งเศสออกจากป้อมได้ เพื่อมิให้พวกฝรั่งเศสไปทำร้ายแก่ไทยได้
๑๘๘
ครั้นต่อมาบุตรของนายพลเดฟาซ์กับนายทหารฝรั่งเศส ซึ่งนายพล เดฟาซ์ให้อยู่ที่เมืองละโว้เปนประกันนั้น ได้ขึ้นม้าจะไปเที่ยวตามเคย ได้เลยหนีคิดจะกลับไปกรุงศรีอยุธยา แลจากกรุงศรีอยุธยาจะเลยหน่ลงไปที่บางกอก ครั้นมาตามทางทหารไทยที่อยู่ยามได้พบเข้าแลไม่ทราบว่าเปนบุตรของท่านนายพลแลเปนนายทหารฝรั่งเศส ไปเข้าใจเสียว่าเปนพวกอังกฤษแลเปนพรรคพวกของมองซิเออร์คอนซตันซ์จึงได้ไล่ตามจับบางคนก็ได้หนีลงเรือแล้ว บางคนก็ยังอยู่บนบก ทหารไทยได้จับตัวทุกคนแล้วมัดส่งมายังเมืองละโว้ พอเจ้าพนักงารไทยได้เห็นว่าคนเหล่านี้มิใช่พรรคพวกของมองซิเออร์คอนซตันซ์ก็ได้แก้มัดออกทันที แลได้ให้คุมไปอยู่ยังบ้านมีคนใช้สอยอย่างเดิม จริงอยู่เอนยินเนียผู้ หนึ่งเห็นว่าทหารไทยได้ไล่ติดตามก็ได้ต่อสู้แลไทยได้จับยากกว่าคนอื่น แต่เมื่อเอนเยินเนียคนนี้ได้วิ่งหนีไปทางนี้บ้างทางโน้นบ้าง อ่อนเพลียเต็มทีก็หยุด เพื่อจะพักหายเหนื่อย แต่เอนเยินเนียผู้นั้นได้ล้มลง เหมือนกับสลบ เจ้าพนักงารได้แก้ไขทุกอย่าง แต่ยาที่ให้รับประทาน หาเพียงพอไม่ เอนยินเนียผู้นั้นจึงได้ถึงแก่กรรม
ฝ่ายพระเจ้ากรุงสยามนั้นก็หาได้ทรงพระราชดำริห์อย่างใด นอก จากจะเปนพระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสเท่านั้น จึงได้ทรงนึกจะส่งบุตรของนายพลเดฟาซ์กับนายทหารซึ่งนายพลเดฟาซ์ได้ให้ไว้เปนประกัน ในการที่ว่าจะกลับมายังเมืองละโว้อีกนั้นคืนให้กลับลงไป โดยทรงเห็นว่า ถ้าได้คืนคนเหล่านี้ให้ไปแล้ว นายพลเดฟาซ์กับพวกฝรั่งเศสคงจะ
๑๘๙
รู้สึกตัวขึ้น แลคงจะไม่ทำการอย่างใดที่จะให้พระราชไมตรีมัวหมองได้ แต่ที่ได้ทรงปฏิบัติเช่นนี้หาได้เปนผลดังพระราชประสงค์ไม่ นายพล เดฟาซ์กับกองทหารกลับสานตะกร้าขึ้นวางบนเชิงเทินรอบป้อมแล้วเอาดินใส่ในตะกร้าแลทำสนามเพลาะในป้อมอีกชั้นหนึ่ง สนามเพลาะนี้ทำด้วยต้นตาลต้นใหญ่ ๆ แลคล้ายกับเปนป้อมอีกป้อมหนึ่งต่างหาก แลกองทหาร ก็ได้เอาปืนใหญ่เข้าบัญจุตามที่ยกพื้นขึ้นสำหรับวางปืนได้สองชั้นซ้อนกัน แล้วได้ระดมยิงปืนใหญ่ทำลายธงแลทำลายโรงไว้ดินปืนด้วย แล้วได้มีทหารหลายคนลงเรือของมองซิเออร์เวเรต์หัวหน้าของบริษัท แลได้ ออกเรือไปค้นหาเรืออีกสองลำซึ่งมองซิเออร์คอนซตันซ์ได้จัดให้ออกไปทะเลมาหลายเดือนแล้ว โดยอ้างว่าจะให้ไปลาดตระเวนตามชายทะเล พวกไทยที่มีหน้าที่รักษาการอยู่ตามลำน้ำได้เห็นเรือลำนี้จึงได้เรียกให้พวกฝรั่งเศสแวะเพื่อจะได้ไต่ถามถึงกิจธุระของฝรั่งเศส แต่พวกฝรั่งเศสหาได้แวะเข้าไปตามที่เจ้าพนักงารไทยเรียกไม่กลับเอาปืนใหญ่ยิงเสียอีก พวกไทยจึงได้ยกกองออกมาพากันขึ้นไปบนเรือ เพื่อจะจับพวกฝรั่งเศส แต่พวกฝรั่งเศสได้เอาไฟจุดดินปืนระเบิดเรือเสีย ฝ่ายข้างไทยก็ได้จัดทหารรักษาป้อมฝั่งตวันตกสำหรับยิงปืน แลโยนลูกแตกเข้าไปในป้อมฝรั่งเศส แต่พวกไทยเกรงว่าจะไปถูกไทยพวกเดียวกัน ทั้งไม่เปนการสมควรเพราะพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองได้เปนพระราชไมตรีกัน จึงหาได้ยิงไม่ เปนแต่คอยยิงโต้ตอบกับฝรั่งเศสเท่านั้น แล้วพวกฝรั่งเศสได้จับไทย
๑๙๐
ที่ได้เข้าไปใกล้ป้อม ได้ฆ่าไทยแลเอาศพเสียบไว้ให้ป้อมไทยเห็น การ ที่พวกฝรั่งเศสทำทั้งนี้กระทำให้ข้าราชการไทยแลชาวต่างประเทศโกรธมาก ไทยจึงได้กราบทูลพระเจ้ากรุงสยามขอพระราชานุญาตขุดสนามเพลาะล้อมป้อมไว้ เพื่อจะได้จับพวกฝรั่งเศสต่อไป แต่พระเจ้ากรุงสยามทรงระลึกถึงพระราชไมตรีที่ได้ทรงมีกับพระเจ้าฝรั่งเศส ก็หาได้พระ ราชทานพระราชานุญาตไม่ เปนแต่รับสั่งว่าป้อมเล็ก ๆ ก็พอที่จะห้ามไม่ให้ฝรั่งเศสออกมาได้อยู่แล้ว
ครั้นพวกฝรั่งเศสได้เห็นไทยเตรียมการเหล่านี้ ก็เข้าใจได้ว่า ในไม่ช้าเสบียงอาหารจะต้องหมดลงแลฝรั่งเศสจะต้องอดอาหารตายหมด นายพลเดฟาซ์จึงได้จัดให้มองซิเออร์เวเรต์หัวหน้าของบริษัทขึ้นไปยังเมืองละโว้ถือจดหมายมายังข้าพเจ้าฉบับหนึ่ง ใจความในจดหมายฉบับนั้นจะขอยืมเรือใหญ่ลำหนึ่ง กับเงิน ๓๐๐ ชั่ง ซึ่งคิดเปนเงินฝรั่งเศส ๔๕,๐๐๐ แฟรง เพื่อจะเอาเงินนั้นไปซื้อเรืออีกสองลำกับซื้อเสบียงอาหารด้วย ข้าพเจ้าจึงได้นำความกราบทูลพระเจ้ากรุงสยามว่า ถ้าจะยึดพวก ฝรั่งเศสไว้ช้านานก็เท่ากับทำให้เขาอดอาหารตาย แต่ถ้าจะพระราชทานเรือแลเงินแล้ว ก็ควรให้นายพลเดฟาซ์ทำหนังสือสัญญา แลหาประกันสำหรับเงินที่จะยืมไป มองซิเออร์เดฟาซ์ก็ได้ทำหนังสือสัญญาให้ มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ พวกมิซชันนารีทั้งหมด แลพวกฝรั่งเศส ที่ยังอยู่ในเมืองไทยทุกคนรับเปนประกันของมองซิเออร์เดฟาซ์ แลประกัน ในการที่มองซิเออร์เดฟาซ์ยืมเรือแลเงินด้วย ในหนังสือประกันนั้นก็มี
๑๙๑
ข้อความว่า เมื่อมองซิเออร์เดฟาซ์ กับกองทหารได้ไปถึงเมืองปอนดี เชรีแล้ว มองซิเออร์เดฟาซ์จะได้ส่งเรือซึ่งได้ไปจากเมืองมริดไปยังเมืองมสุลีปตันนั้นกลับคืนไปยังเมืองมริด เรือลำนี้มีทั้งฝรั่งเศสแลไทยอยู่ในเรือ กับเรืออีกลำ ๑ ออกจากกรุงศรีอยุธยา ชาวฝรั่งเศสเปน นายเรือ ซึ่งได้ไปยังเมืองบันเดอราบาซีในประเทศเปอเซีย กับเรือที่มองซิเออร์ดูบรูอังได้ลักไปพร้อมด้วยปืนใหญ่แลอาวุธทั้งปวง แลเครื่องเรือกับกลาสีคนเรือ แลเรือลำใหญ่ซึ่งมองซิเออร์เดฟาซ์ได้ยืมไปนั้น เรือเหล่านี้มองซิเออร์เดฟาซ์จะได้จัดการส่งคืนมาทั้งสิ้น ส่วนเงิน ๔๕,๐๐๐ แฟรงนั้น เมื่อเรือที่มองซิเออร์เวเรต์ได้จัดให้ไปยังเมืองปอนดีเชรีเมืองเบงกอลแลเมืองสุหรัดได้กลับมาถึงเมื่อใดมองซิเออร์เดฟาซ์จึงจะคืนเงินรายนี้ให้ แลพวกไทยหนุ่มซึ่งไปเรียนวิชาต่าง ๆ อยู่ในประเทศฝรั่งเศสนั้น ฝรั่งเศสก็จะได้ส่งกลับมาด้วย ในหนังสือประกันยังมีข้อความต่อไปอีกว่า นายพลเดฟาซ์จะต้องลงเรือที่บางกอกพร้อมกับกองทหาร แต่นายพลเดฟาซ์เกรงว่า เมื่อได้ไปถึงสันดอนแล้ว ไทยจะทำกลอุบายต่าง ๆ จึงขอเอาข้าราชการไทยไปเปนประกันด้วยจนถึงปากน้ำสองคน แลข้างฝ่ายฝรั่งเศสนั้นจะยอมให้นายพลเดฟาซ์ ๑ บุตรนายพลเดฟาซ์ ๑ นายพันตรี ๑ ลงเรือเล็กไปกับข้าราชการไทย ข้างฝ่ายไทยเชื่อใจว่าพวกฝรั่งเศสคงจะปฏิบัติการเหมือนกับประเทศทั้งปวงคงจะไม่คิดบิดพลิ้ว ให้ผิดสัญญา จึงได้ยอมให้ข้าราชการไทยไปกับมองซิเออร์เดฟาซ์สองคน มองซิเออร์เวเรต์กับฟรังซัวแปงเฮโรล่ามได้ลงเรือลำเดียวกัน ท่าน
๑๙๒
เชอวาเลียเดฟาซ์ กับนายพันตรีแลราชทูตที่ ๒ ได้ลงเรืออีกลำหนึ่ง ตามไป มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศกับข้าพเจ้าได้ลงเรือลำอื่นตาม ไปด้วย ครั้นเรือเหล่านี้ได้มาถึงใกล้ปากน้ำ ราชทูตที่ ๒ ไว้ใจในเชอวาเลียเดฟาซ์กับนายพันตรี เพราะทราบข้อความที่ได้ตกลงไว้กับนายพลเดฟาซ์ จึงได้ยอมให้เชอวาเลียเดฟาซ์กับนายพันตรี ไปรับประทานอาหาร ในเรือของนายพลเดฟาซ์ แลตัวราชทูตที่ ๒ เองก็อยากจะไปด้วย ครั้นเรือได้ออกไปพ้นแม่น้ำแล้ว นายพลเดฟาซ์กลับพาเอาเชอวาเลียเดฟาซ์กับนายพันตรีไปด้วย แลหาได้ส่งข้าราชการไทยกลับมาตามสัญญาไม่ กลับยึดตัวมองซิเออร์เวเรต์ ราชทูตที่ ๒ แลมองซิเออร์ฟรังซัวแปงเฮโรไว้ด้วย ข้าพเจ้าได้ให้คนไปต่อว่า แต่นายพลเดฟาซ์ได้ส่งข้าราชการไทยคืนมาแต่คนเดียวแลเขียนหนังสือขอให้ส่งตัวมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศไปด้วย ข้าพเจ้าจึงได้จัดให้มองซิเออร์เฟเรอนำเรือซึ่งบันทุก คนป่วย แลส่งเรือไปให้อีกลำ ๑ ซึ่งบันทุกเสบียงอาหารด้วย แลได้มี จดหมายไปยังนายพลเดฟาซ์ฉบับ ๑ ขอให้ส่งข้าราชการไทยผู้เปนประกัน อีกคน ๑ มองซิเออร์เวเรต์ผู้เปนนายประกัน ๑ ราชทูตที่สอง ๑ กับล่าม ๑ ให้กลับคืนมาเสียก่อน ข้าพเจ้าจึงจะได้จัดให้มองเซนเยอร์เดอเมเตโล โปลิศไปยังเรือ แล้วจึงจะส่งปืนแลเข้าของทรัพย์สมบัติให้ภายหลัง แต่นายพลเดฟาซ์กับพวกฝรั่งเศสหาได้กระทำตามความในจดหมายของข้าพเจ้าอย่างใดไม่ กลับยึดตัวมองซิเออร์เฟเรอไว้อีกแลบอกว่าจะได้ถอนสมอกางใบแล่นเรือต่อไปอย่างไรก็ดีข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้วว่านายพล
๑๙๓
เดฟาซ์ได้ทำผิดสัญญาโดยปราถนาจะให้พระราชไมตรีมัวหมอง แต่ถึงดังนั้นข้าพเจ้าก็อุสาห์ส่งเรือที่ยังเหลือให้ไปทุกลำ แต่นายพลเดฟาซ์ หารอไม่ กลับรีบออกเรือไป แลพาข้าราชการไทยที่เปนประกันที่ยังอยู่อีกคน ๑ พาราชทูตที่ ๒ มองซิเออร์เวเรต์ผู้เปนประกัน กับล่ามไปด้วย เมื่อข้าพเจ้าเห็นนายพลเดฟาซ์ทำการดังนี้จึงได้มอบปืนใหญ่ให้ข้าราชการไทยจัดการยิง แล้วได้จับตัวพวกฝรั่งเศสที่ยังค้างอยู่ในเรือพาขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธา การที่นายพลเดฟาซ์ ได้ทำให้บุคคลเสียอิศรภาพนั้น ข้าพเจ้าแลข้าราชการทั้งหลายเห็นพร้อมกันว่า พวกฝรั่งเศสที่กรุงศรีอยุธยาแลที่เมืองมริดได้ทำการขัดรับสั่งของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส เพราะใคร ๆ ก็ย่อมทราบอยู่แล้วว่าในการชุลมุนกันเช่นนี้ จะต้องวินิจฉัยว่าใครถูกใครผิด ความประพฤติของพวกฝรั่งเศสในครั้งนี้ได้ทำให้เกิดสงสัยว่าเขาคงจะได้สมรู้ร่วมคิดกับผู้ที่กระทำผิด ส่วนพวกไทยนั้น ในการเรื่องนี้ตลอดเรื่องหาได้ทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ที่จะทำให้พระราชไมตรีเปลี่ยนแปลงได้ไม่ แลข้าพเจ้ารู้สึกได้ดีว่า พระเปนเจ้าได้ดล พระทัยพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสไม่ให้เชื่อพวกนี้ แลให้ทรงรู้สึกว่าใครผิด ใครถูก จึงไม่ทรงเชื่อในคำพูดของคนจำพวกนี้
ในส่วนที่เกี่ยวด้วยหนังสือประกันซึ่งมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ พวกมิซชันนารี แลฝรั่งเศสทุกคนที่ยังอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้เซ็นชื่อ เปนประกันนั้น เปนประเพณีของเมืองไทยว่าผู้ใดที่มีประกันไม่กระทำ
๒๕
๑๙๔
ตามข้อที่ได้สัญญาไว้ แลจะเอาตัวผู้นั้นไม่ได้ ก็จะต้องให้นายประกันเปนผู้รับผิดชอบ ก็ในเรื่องนี้มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ มอง ซิเออร์เวเรต์หัวหน้าบริษัท พวกบาดหลวงมิซชันนารี แลฝรั่งเศสทุกคนที่อยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้เปนนายประกันนายพลเดฟาซ์แลกองทหาร ฝรั่งเศส ทั้งเปนประกันเงิน ๔๕,๐๐๐ แฟรงค์ ซึ่งได้ให้ยืมไปสำหรับซื้อเรือสองลำกับเสบียงอาหารด้วย ถ้าแม้ว่าไทยจะได้จัดการตามประเพณีของเมืองไทยแล้ว ก็ต้องจับตัวนายประกันเหล่านี้มาฆ่าหมด ข้าพเจ้า จึงได้นำความกราบทูลพระเจ้ากรุงสยามแลทูลเหตุผลทั้งปวงให้ทรงทราบ จึงทรงเห็นเปนเที่ยงแท้ว่า พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสหาได้ทรงทราบในความผิดของนายพลเดฟาซ์แลกองทหารไม่ จึงมีรับสั่งให้จัดการพอสมควรอย่า ให้ขาดทางพระราชไมตรีได้จนกว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจะได้ทรงทราบการเรื่องนี้โดยตลอด ถึงแม้ว่านายพลเดฟาซ์กับคนของเขาได้ทำผิด ซึ่งเปนการที่เขาคงจะไม่รับหรือจะไม่บอกให้ใครทราบเปนแน่นั้นก็จริงอยู่ แต่ถึงดังนั้นพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสผู้ทรงพระปรีชาญาณ คงจะไม่ทรงเชื่อความข้างเดียว แลข้าพเจ้าเชื่อว่าคงจะทรงไต่สวนให้ได้ความจริงเสียก่อนเปนแน่ ถ้าจะทรงไต่สวนแล้ว ก็ขอให้ทรงรลึกถึงเหตุผล ๓ ข้อนี้ ก็คงจะทรงเห็นความจริงได้ คือ
๑ มองซิเออร์เดฟาซ์ได้ทำการผิดด้วยข้อสัญญา เมื่อดังนี้พระเจ้ากรุงสยามจะลงพระราชอาญาประหารชีวิตบุตรมองซิเออร์เดฟาซ์สองคน กับบันดานายทหารแลชาวฝรั่งเศส ซึ่งอยู่เปนประกันที่เมืองละโว้เสียก็
๑๙๕
ได้ แต่หากว่าทรงรลึกถึงพระราชไมตรี แลเพื่อจะให้นายพลเดฟาซ์ได้ รู้สึกตัว ก็ได้โปรดปล่อยให้คนเหล่านี้ได้กลับไปยังบางกอก
๒ นายพลเดฟาซ์กับกองทหารไม่ได้ทำการตามที่ได้สัญญาไว้ เพราะฉนั้นมองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ พวกมิซชันนารีแลชาว ฝรั่งเศสที่อยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เปนผู้ประกันในเรื่องนี้ ทั้งเปนประกัน ในเงินที่ยืมไปด้วย ควรจะต้องรับพระราชอาญาอย่างหนัก แต่ก็หาได้รับพระราชอาญาอย่างใดไม่ เปนแต่ถูกควบคุมเท่านั้น แลเมื่อมอง ซิเออร์เดฟาซ์ได้ไปถึงเมืองภูเก็จได้ส่งข้าราชการไทยกับล่ามกลับมาแล้ว พระเจ้ากรุงสยามก็ได้โปรดพระราชทานพระราชานุญาตให้ท่านสังฆราช เดอเมเตโลโปลิศปลูกเรือนเล็ก ๆ ภายในบริเวณพระคลังหลวง แต่พวกมิซชันนารีอื่น ๆ ยังหาได้ปล่อยไม่ ครั้นทราบว่าบาดหลวงตาชาได้ กลับมายังประเทศอินเดียพร้อมด้วยข้าราชการไทย แลจวนจะมาถึงเมืองมริดแล้ว ก็ได้โปรดพระราชทานพระราชานุญาตให้พวกมิซชันนารีออกไปอยู่กับท่านสังฆราชได้ ครั้นภายหลังข้าราชการไทยที่ได้มา พร้อมกับบาดหลวงตาชาได้มาถึงแล้ว แลได้ทราบถึงพระมหากรุณาของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสที่ได้เลี้ยงดูข้าราชการไทยนั้น พระเจ้ากรุง สยามได้รลึกถึงพระราชไมตรี จึงได้พระราชทานพระราชานุญาตให้ ท่านสังฆราชทั้งพวกมิซชันนารี พวกนักเรียนแลชาวฝรั่งเศสทุกคน ได้กลับไปอยู่ยังโรงเรียนสามเณรอย่างเดิม แลอนุญาตให้ไปมาได้ดังแต่ก่อนทุกประการ
๑๙๖
๓ เมื่อไทยได้ขุดสนามเพลาะแลทำป้อมเล็กล้อมป้อมฝรั่งเศส แลไทยได้ล้อมฝรั่งเศสไว้ทั้งทางบกทางเรือจนพวกฝรั่งเศสไม่มีทางจะออกได้ถึงกับจะต้องอดอาหารตายนั้น ถ้าพระเจ้ากรุงสยามจะไม่ยอมให้ยืมเรือแลยืมเงินสำหรับไปซื้อเสบียงอาหารก็ได้ แต่หากว่าพระเจ้าสยามทรงรลึกถึงพระราชไมตรีอยู่ จึงโปรดพระราชทานให้ยืมเรือแล เงินตามความต้องการของพวกฝรั่งเศส เพื่อฝรั่งเศสจะได้ไปเสียให้พ้นความตาย
ถ้าบาดหลวงตาชามาที่นี้ ก็คงจะทราบความจริงได้ทุกอย่าง แลคงจะวินิจฉัยว่าใครผิดใครถูก ถ้าบาดหลวงตาชาไปคิดเห็นเสียว่าการมาที่นี้เพื่อชำระเงินทองกันให้เสร็จ เจ้าพนักงารคลังหลวงจะทำร้ายเอานั้น ถ้าไทยทำเช่นนั้นก็เปนการผิดประเพณีของประเทศทั้งหลายที่จะทำเช่นนี้ เพราะเหตุว่าถึงแม้ประเทศต่อประเทศจะทำสงครามกันอยู่ก็จริง ถ้าประเทศหนึ่งส่งราชทูตมายังอีกประเทศหนึ่งแล้ว ประเทศที่รับราชทูต จะคิดทำร้ายราชทูตไม่ได้เปนอันขาด พระเจ้ากรุงสยามก็ดี พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสก็ดี หาได้ทรงทำการอย่างใดที่จะผิดต่อทางพระราชไมตรีไม่ ผู้ที่ทำผิดก็มีแต่นายพลเดฟาซ์ กับกองทหารซึ่งได้ทำการ ฝ่าฝืนพระราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินนายของเขาเท่านั้น
ส่วนที่เกี่ยวด้วยไทยหนุ่มซึ่งได้ส่งไปไว้ยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ นั้น ข้าพเจ้าได้ฝากฝังไว้กับท่านแลได้บอกกับท่านไว้แล้วว่า เมื่อท่านได้ใช้จ่ายไปสำหรับไทยหนุ่มเหล่านี้เท่าใดข้าพเจ้า
๑๙๗
จะได้ชำระเงินให้แก่มองเซนเยอร์เดอเมเตโลโปลิศ ท่านได้บอกมาว่าท่านได้จ่ายเงินไป ๑๐๖ ชั่ง ๓ ตำลึง ๑ บาท ๑ สลึง เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจะขอบอกให้ท่านทราบว่า เมื่อคิดบาญชีการใช้จ่ายส่วนนักเรียนไทยเมื่อใดข้าพเจ้าจึงจะชำระเงินรายนี้ให้เสร็จไป ข้างฝ่ายพวกไทยก็หวังใจว่าพวกฝรั่งเศสคงจะใช้หนี้ให้เสร็จไปเหมือนกัน
ข้าพเจ้าเชื่อในความฉลาดไหวพริบของท่านที่จะทำให้พระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส แลพระเจ้ากรุงสยาม ได้สนิธแน่นหนา ขึ้นอีกอย่างเดิม
จดหมายฉบับนี้เขียนเมื่อณวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปี ๒๒๓๗
สำเนาจดหมายเจ้าพระยาพระคลัง
ถึงมองซิเออร์เดอปองซาแตรง
ค.ศ. ๑๖๙๓ ปี ๒๒๓๗ (!)
ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวมานานแล้วว่า มองซิเออร์เดอเซเนเลได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบข่าวอันนี้ก็ได้มีความสลดเสียใจเปนอันมาก เพราะมองซิเออร์เดอเซเนเลเปนคนที่มีคุณวุฒิอย่างดี แลเมื่อข้าพเจ้าได้ไปราชการยังประเทศฝรั่งเศสนั้น มองซิเออร์เดอเซเนเล ก็ได้แสดงความไมตรีต่อข้าพเจ้าอยู่บ้าง อีกประการหนึ่งข้าพเจ้ามีความยินดีเปนอันมาก ที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ได้ทรงเลือกให้ท่านเปนเสนาบดีแทนมองซิเออร์เดอเซเนเล เพราะพระองค์ทรงพระปรีชาญาณ จึงทรง
๑๙๘
รู้สึกในคุณความดีของท่านที่จะทำการในตำแหน่งนี้ได้ ข้าพเจ้าหวังใจว่าท่านคงจะได้เปนไมตรีกับข้าพเจ้า ดังที่มองซิเออร์เดอเซเนเล ได้เคยเปนไมตรีมาแล้ว
เมื่อข้าพเจ้าได้กลับมาจากประเทศฝรั่งเศสแล้วนั้น ได้เกิดการลำบากขึ้นในระหว่างไทยกับฝรั่งเศสซึ่งพึ่งมาถึงใหม่ ๆ เพราะพวก ฝรั่งเหล่านี้ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของไทยเหมือนท่านสังฆราชเดอ เมเตโลโปลิศแลบาดหลวงเดอลาบเรอย์ ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าได้มีจดหมายชี้แจงไปยัง บาดหลวงเดอลาเชซผู้ล้างบาปของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส แลมองซิเออร์เดอบรีซาเซียหัวหน้าบาดหลวงคณะการต่างประเทศแล้วข้าพเจ้าหวังใจว่า การที่เกิดขึ้นคราวนี้ คงจะไม่ทำให้พระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส แลพระเจ้ากรุงสยามได้เปลี่ยนแปลงเสื่อมเสียลงอย่างใด แลหวังใจว่าตัวท่านกับข้าพเจ้าคงจะได้ช่วยกันทำให้พระราชไมตรีนี้ได้สนิธสนมขึ้นอีกยิ่งกว่าเก่า ซึ่งจะเปนการทำให้ชนทั่วโลกได้สรรเสริญเราทั้งสองต่อไป บาดหลวงตาชาได้มีจดหมายมายังข้าพเจ้าบอกว่า พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้มีรับสั่งให้บาดหลวงตาชามายังเมืองนี้ เพื่อจัดการทุก ๆ อย่างให้เรียบร้อย ข้าพเจ้าจึงได้นำความ กราบทูลพระเจ้ากรุงสยามให้ทรงทราบ พระเจ้ากรุงสยามทรงปีติยินดีแลได้ทรงชมเชยพระปรีชาญาณ แลอานุภาพของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสแล้วได้มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ารีบจัดให้หลวงวรวาที (Olouan Varauatti) ไปรับบาดหลวงตาชา แลได้พระราชทานกระบี่ฝักทองให้เปนเกียรติยศ
๑๙๙
พิเศษแก่หลวงวรวาที เพื่อให้ไปรับแลไปเชิญบาดหลวงตาชามายัง เมืองนี้ แต่บาดหลวงตาชาก็ยังหามาถึงไม่ พระเจ้ากรุงสยามนายของข้าพเจ้าจึงได้มีพระราชโองการให้ข้าพเจ้าส่งมองซิเออร์เฟเรอ ซึ่งเปน มิซชันนารีของท่านสังฆราชเดอเมเตโลโปลิศ เพื่อได้ไปเชิญบาดหลวง ตาชาให้มาโดยเร็วจะได้จัดการต่าง ๆ ทุกอย่างให้เปนที่เรียบร้อยต่อไป
ข้าพเจ้ามีความยินดีเปนอันมากที่ได้ทราบว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ทรงมีชัยชนะแก่พวกศัตรู แลคงทรงมีชัยเสมอ ๆ มา ข้าพเจ้าก็ได้ นำความกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินนายของข้าพเจ้าให้ทรงทราบ พระเจ้ากรุงสยามก็ทรงปีติยินดีด้วยเปนอันมาก
ข้าพเจ้าอ้อนวอนขอให้พระเปนเจ้าได้โปรดให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้มีพระชนม์ยืนยาว แลขอให้พระองค์ได้ทรงเจริญสุขสวัสดิ์ทุก ประการ แลข้าพเจ้าก็หวังใจว่าพระเปนเจ้าจะได้ให้ท่านได้อยู่เปนสุขสบายอายุยืน แลขอให้ท่านได้เพิ่มเกียรติยศยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย
มองเซนเยอร์ลาโน
ค.ศ. ๑๖๗๙-๑๖๙๖ (พ.ศ. ๒๒๒๒-๒๒๓๙)
ว่าด้วยคณะบาดหลวงเมื่อได้ถูกกดขี่บีบคั้นแล้ว
ค.ศ. ๑๖๙๒-๑๖๙๖ (พ.ศ. ๒๒๓๕-๒๒๓๙)
ที่กรุงศรีอยุธยา เกิดไข้ทรพิษ
รับเด็กเข้ารีต
จดหมายมองซิเออร์ปินโต ถึง บาดหลวง
เดอกาบาเนซ์
วันที่ ๑๕ เดือนมกราคม ค.ศ. ๑๖๙๖ (พ.ศ. ๒๒๓๙)
๒๐๐
ข้าพเจ้าได้มาเห็นการของคณะบาดหลวงได้กลับลงรอยเดิมเปนอย่างดีแล้ว แลได้เห็นต่อไปว่า ถึงได้เกิดจลาจลมาแล้วก็ดีแต่การของพวกบาดหลวงได้เจริญยิ่งขึ้นทุก ๆ วัน ข้าพเจ้ามีความปลื้มใจแลยินดีเปนอันมากที่ได้พบท่านสังฆราชเดอเมเตโลโปลิศผู้ที่รับความทุกข์ลำบากแสนสาหัสพร้อมกับพวกมิซชันนารีแลนักเรียนทั้งหลาย แต่ซึ่งอภินิหารของพระเปนเจ้าได้คุ้มครองปกปักรักษาให้ได้พ้นความทุกขเวทนาในเวลา ที่ต้องจำคุกอยู่ ท่านสังฆราชแลมิซชันนารีทั้งปวงได้กลับมาอยู่ยัง โรงเรียนสามเณรเดิม แลได้ทำการตามหน้าที่ของมิซชันนารีโดยเปิดเผยหามีผู้หนึ่งผู้ใดมากีดกันขัดขวางอย่างใดไม่
ข้าพเจ้ามีความประหลาทใจมากที่ได้เห็นท่านสังฆราชแลมิซชันนารีเข้าได้ทั้งคนชั้นสูงแลชั้นต่ำ แลคนเหล่านี้ก็มีความนับถือแลรักใคร่ พวกมิซชันนารีด้วย จนที่สุดพระเจ้าแผ่นดินก็ได้พระราชทานเงินเปน อันมากให้แก่ท่านสังฆราช เพื่อไปซ่อมแซมวัดที่พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สวรรคตได้สร้างพระราชทาน วัดนี้เปนวัดงามที่สุดในเมืองไทยแต่ก็ ยังไม่แล้วดี เมื่อวันคริสมาศ พวกนักพรตทั้งปวงได้มีการสวดมนต์ ทำพิธีโดยเปิดเผย ข้าพเจ้าจะอธิบายให้ท่านเห็นความยินดีของข้าพเจ้าไม่ได้ที่ได้เห็นพวกคริสเตียนเก่า ๆ เข้ามาหาเพื่อได้ทำการตามหน้าที่ของผู้ถือสาสนาคริสเตียน แต่พวกเข้ารีตเหล่านี้ก็ยังมีความทุกข์ร้อน อยู่มาก ข้าพเจ้าคงจะคิดอ่านช่วยพวกนี้โดยเต็มกำลังที่จะได้
๒๐๑
จดหมายมองซิเออร์ปินโต
ถึงมองซิเออร์บาเซต์
วันที่ ๑๐ เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๖๙๖ (พ.ศ. ๒๒๓๙)
ข่าวต่าง ๆในเมืองนี้เปนข่าวที่ไม่ดีมาก ดูเหมือนคำที่คนทำนายไว้จะสมจริงตามทำนายทั้งหมด เพราะได้มีทำนายไว้ว่าจะเกิดความ ไข้เจ็บหลายอย่าง การที่น้ำน้อยได้ทำให้อาหารการกินราคาแพงขึ้นมาก ถึงแม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินจะทรงจัดการระวังอย่างกวดขันสักปานใดก็ตาม แต่ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นบ่อย ๆ ทุกแห่ง ตามลำน้ำเกิดเปนน้ำขุ่น แลมี สีเขียวเต็มไปหมด จนน้ำนี้จะใช้บริโภคไม่ได้มาหลายวันแล้ว เมื่อมีการเช่นนี้ก็ทำให้คนฝันต่าง ๆ ถึงไม่ได้ฝันจริงก็คิดประดิษฐ์เปนฝันขึ้น ทั่วไป อากาศแห้งมากแลพระอาทิตย์ร้อนจัดจนเกือบจะทนไม่ได้แล้ว ได้เกิดไข้ร้ายขึ้น มีอาการโลหิตออกทางปากแลจมูกเปนไข้ชนิดนี้อยู่ได้สองสามวันก็ตาย แลในที่สุดการร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ดูเหมือนจะยังไม่เพียงพอ กลับมีไข้ทรพิษมาแทรกเข้าอีกทั่วพระราชอาณาจักร ทั้งเด็กแลผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ ๗๐ ถึง ๘๐ ปี เปนไข้ทรพิษล้มตายเปนอันมาก
ตั้งแต่เดือนมาราคมมา ได้มีคนตายทั่วพระราชอาณาเขตรวมเกือบ ๘ หมื่นคนแล้ว ตามวัดต่าง ๆ ไม่มีที่จะฝังศพ แลตามทุ่งนาก็เต็มไปด้วยศพทั้งสิ้น ในวัดที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนของวัดเราวัดเดียวเท่านั้น ภายในสามเดือนได้ฝังศพถึง ๔๒๐๐ ศพแล้ว ในระหว่างที่เกิดความไข้
๒๖
๒๐๒
เจ็บชุกชุมนี้ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงแสดงพระองค์เปนพุทธสาสนิกชนอย่างดีได้พระองค์หนึ่ง โดยลงมือทำด้วยพระองค์เองก็มีแลสั่งให้คนอื่นทำพิธีต่าง ๆ ก็มี กล่าวคือ ได้มีการสวดมนต์เลี้ยงพระ มีการ สวดมนต์ในที่ประชุมชนทำน้ำมนต์ แลทำพิธีต่าง ๆ หลายพันอย่าง ซึ่งพระสงฆ์ได้ทำทั้งในเมืองแลนอกเมือง แต่พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ แสดงพระองค์ว่าเปนแต่พุทธสาสนิกชนอย่างเดียว ได้แสดงพระองค์เปนเหมือนกับบิดามารดาของราษฎรอย่างดีด้วย โดยมีรับสั่งให้แพทย์ไปเที่ยวรักษาพยาบาลคนป่วยเจ็บ แลพระราชทานยาแลเงินให้แจกเปนทานทั่วหน้ากัน ก่อนที่ท่านสังฆราชจะถึงแก่กรรมได้แนะนำว่าควรจะถ่ายยาแลฉีดเอาเลือดออกเพื่อป้องกันมิให้ป่วยไข้ พระเจ้ากรุงสยามทรงเห็นชอบในคำแนะนำนี้ จึงได้ทรงประกาศป่าวร้องให้ราษฎรได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านสังฆราช แลเจ้าพนักงารต้องนำความกราบทูลทุกคืนว่าคนที่ได้ฉีดเลือดออกเช่นนี้มีจำนวนมากน้อยเท่าใด มองซิเออร์เดซเตรชีกับมิซชันนารีอีกสามคนได้วิ่งไปช่วยทุกหนทุกแห่ง ให้ยากิน บ้าง รับเด็กเข้ารีตบ้าง ภายในพระนครแห่งเดียวมิซชันนารีเหล่านี้ได้รับเด็กเข้ารีตวันละหลาย ๆ คน ในชั้นต้นข้าพเจ้าเองก็วิ่งไปทั่วทุกแห่งเหมือนมิซชันนารีอื่น ๆ เหมือนกัน แต่ไม่ช้าการรักษาพยาบาลพวก คริสเตียนที่ป่วยก็เต็มมือเสียแล้ว ทั้งกำลังวังชาของข้าพเจ้าก็ดูน้อย ลงด้วย แต่เดชะบุญพระเยซูช่วยความไข้เจ็บดูซาลงไปบ้างแล้ว แต่ในพวกเราเองก็มักเรียนตายถึงสามคน คือ ลูกโดวีกัศ กาลัศ ๑ ฟรัง
๒๐๓
ซิซกัศ ๑ ลาราเม ๑ แลทาสก็ตายไปคน ๑ ขอให้พระเปนเจ้าได้ โปรดอย่าให้พวกเราได้ล้มเจ็บลงเลย
ตามธรรมดาในเวลาปรกติจำนวนคนเข้ารีตเพิ่มขึ้นแต่ช้ามาก แต่การที่เกิดความไข้เจ็บคราวนี้ ทำให้จำนวนน้อยลงไปมาก
จดหมายมองซิเออร์โปเก ถึง
ผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
วันที่ ๒๗ เดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๖๙๖ (พ.ศ. ๒๒๓๙)
การที่ฝนแล้งแลน้ำน้อยมาตั้งแต่ปีก่อนตลอดมาจนถึงปีนี้ ได้ทำให้เกิดไข้ทรพิษขึ้นหลายชนิด บางอย่างเปนไข้ดำ บางอย่างก็แดง ความไข้นี้ได้ทำให้คนตายทั้งเด็กแลผู้ใหญ่มีจำนวนมากมายจนเหลือที่จะเชื่อ ในโรงเรียนของเราหาได้มีความไข้ไม่ เพราะฉนั้นพวกไทยจึง ได้ประหลาทใจยิ่งนักจนถึงกับนำความกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน แต่ถึงจะ ไม่มีความไข้เลยก็ยังมีนักเรียนตายสามคนกับคนใช้หลายคน นอกนั้น ที่ได้ป่วยลงก็ได้รักษาหายหมดทุกคน ไข้ทรพิษคราวนี้ได้ทำให้เด็ก ได้ขึ้นสวรรค์หลายคน
ฝนปีนี้กลับแล้งยิ่งกว่าปีก่อน แลได้แล้งตลอดจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม พวกราษฎรมีความวิตกเปนอันมาก น้ำก็ไม่ขึ้นซึ่งมีคน พูดกันว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีเลยที่น้ำจะไม่ขึ้นในระดูนี้ ราคาข้าวไม่ใช่แต่แพงอย่างเดียวแต่จะหาซื้อก็ไม่ได้ด้วย ฝ่ายพระเจ้ากรุงสยามซึ่ง
๒๐๔
ทรงพระเมตตาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเสมอหน้ากัน ได้ทรงจัดการอย่างดีซึ่งทำให้คนยากจนได้รับความเดือดร้อนเบาบางลง เมื่อเกิดการไข้เจ็บเดือดร้อนทั่วหน้ากันเช่นนี้ พวกเราเห็นว่าเปนหน้าที่จะต้องทำพิธีสวดมนต์ในที่ประชุมชน ๗ วัน เมื่อเสร็จพิธีสวดมนต์แล้ว พวกเราได้จัดการ เอาของที่ระลึกของสาสนาออกแห่ ในอาทิตย์ที่ตั้งพิธีสวดมนต์นั้นก็ได้ มีฝนตกลงมา แลฝนก็ได้ตกเรื่อยมาตลอดเดือนกันยายน ตุลาคม แลพฤศจิกายน ซึ่งเปนการแปลกประหลาทอยู่บ้าง น้ำในแม่น้ำก็ขึ้นมากกว่าปีก่อนจนท่วมทุ่งนา อยู่ประมาณ ๒ เดือน ถึงอย่างไร ๆ ก็ คงเก็บเกี่ยวข้าวได้ครึ่งหนึ่ง ข้อนี้เห็นเปนแน่แล้วว่าพระเปนเจ้าได้ช่วยเมืองนี้ ไม่ฉนั้นก็จะต้องได้รับความลำบากอย่างยิ่งแต่ข้าพเจ้ายังไม่กล้าพอที่จะยืนยันว่า การที่ฝนได้ตกลงมาจนได้ทำนาได้นั้น จะเปนเพราะพวกเราหรือพวกคริสเตียนได้ตั้งพิธีสวดมนต์ เพราะข้างพวกไทยก็ได้เชิญพระพุทธรูปมีชื่อออกแห่เหมือนกัน แลไทยก็คงจะเชื่อว่าการที่ฝนได้ตกลงมาก็เพราะได้แห่พระพุทธรูป แต่ความที่เปนจริงก็ควรจะเห็น ได้ว่าเปนด้วยพระเปนเจ้าผู้สร้างฟ้าแลดินโปรด เว้นแต่พวกไทยไม่ยอมรับเท่านั้นเอง
โบสถ์ที่พระเจ้าแผ่นดินองค์สวรรคตได้สร้างพระราชทาน แต่ยังไม่แล้วเพราะเหตุว่าเสด็จสวรรคตเสียก่อน ทั้งมีบุคคลบางจำพวกได้ คิดอ่านทำให้การสร้างโบสถ์นั้นให้ชักข้ามาได้ปี๑ ก่อนที่สวรรคตแล้วนั้น บัดนี้มาถูกฝนเข้าก็ออกจะพังลงบ้างแล้วเมื่อต้นปีก่อนได้ลงมือซ่อมแซม
๒๐๕
บ้างพออาศรัยได้ พึ่งมาแล้วเสร็จเมื่อคริสมาศปี ๑๖๙๕ (พ.ศ. ๒๒๓๘) ตั้งแต่นั้นก็ได้ทำพิธีที่เกี่ยวด้วยสาสนาโดยเต็มที่ที่จะทำได้ แลทำโดย ไม่มีสิ่งใดขัดขวางเท่ากับทำที่กรุงปารีสเหมือนกัน โบสถ์นี้จนจริงเกือบจะไม่มีเครื่องประดับอย่างใดเลย แต่เปนโบสถ์ที่งามแลใหญ่จะหาโบสถ์ไหนในฝ่ายทิศตวันออกที่จะงามเท่าเปนหาไม่ได้ เมื่อวันจันทร์ตอนกลางคืนก่อนวันนักขัตฤกษ์ ปันตโกตปีนี้ อยู่ดี ๆ หลังคาได้ยุบลงมาครึ่งหนึ่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด การที่พังลงไปนี้เปนด้วยฝนชะเครื่องบนผุ แลเราก็ไม่มีพาหนะที่จะแก้ไขซ่อมแซมได้ แต่เปนการเคราะห์ดีเมื่อเวลาหลังคายุบลงมานั้น มีคนอยู่ในโบสถ์สามหรือสี่คนเท่านั้น คนเหล่านี้หาได้ถูกเจ็บป่วยอย่างใดไม่ แต่พวกเราจะหาไม้เครื่องบนแลกระเบื้องมาแทนของที่หักพังไปนั้นไม่ได้ จึงได้เอาใบไม้ชนิดที่ใช้มุงหลังคาในเมืองนี้มาคลุมไว้ก่อน พวกคริสเตียนทั้งหลาย ได้ช่วยกันทำให้ทันวันนักขัตฤกษ์ปันตโกต แลในวันนั้นก็ได้ทำพิธีของ วันนักขัตฤกษ์นี้ดุจหลังคายังดีอยู่ การที่เอาใบไม้คลุมหลังคาไว้เช่นนี้ คงจะพอใช้ไปได้สองหรือสามปี แต่อย่างไร ๆ ก็คงจะต้องคิดจัดการซ่อมหลังคาให้ดีดังแต่ก่อนให้จงได้
|
14612
|
4520
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=14612
|
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๗
|
ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๗
เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส
ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา
ตอนแผ่นดินพระเจ้าเสือแลแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ
ภาค ๔
พิมพ์ในงารศพ
คุณหญิงผลากรนุรักษ (สงวน เกาไศยนันท์)
เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๖๙
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
คำนำ
อำมาตย์เอก พระยาผลากรนุรักษ์ (อิ่ม เกาไศยนันท์)
มาขอหนังสือที่ราชบัณฑิตยสภา เพื่อจะพิมพ์แจกในงารปลงศพ
คุณหญิงผลกรนุรักษ์ (สงวน เกาไศยนันท์) ผู้ภริยา กรรมการแนะ
ให้พิมพ์คำแปลจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งอยู่
ในประเทศนี้ เมื่อกรงุศรีอยุธยายังเปนราชธานี อันเปนหนังสือซึ่ง
มีประโยชน์มากอยู่ พระยาผลากรนุรักษ์เห็นชอบ จึงได้พิมพ์ในครั้งนี้
จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงซึ่งเข้ามาตั้งอยู่แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
นี้เปนหนังสือเรื่องใหญ่ บาดหลวงโลเนรวบรวมพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓
(ค.ศ๑๙๒๐) นายอรุณ อมาตยกุล เปนผู้แปล กรรมการได้ให้
เจ้าพนักงารผู้ชำนาญ อ่านคำแปลสอบกับภาษาเดิมเห็นว่าได้ความถูกต้อง
จึงได้จัดให้พิมพ์เปนลำดับมา กรมพระดำรงราชานุภาพได้ทรงแต่ง
อธิบายเหตุที่คณะบาดหลวงฝรั่งเศสเข้ามาตั้งใน กรุงสยามพิมพ์ไว้ในภาค
ต้นแล้ว ภาคนี้เปนภาคที่ ๔
ราชบัณฑิตยสภา
วันที่ ๒๙ มกราคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๙
อุปนายก.
คุณหญิงผลากรนุรักษ์ (สงวน เกาไศยนันท์)
พ.ศ. ๒๔๑๔-๒๔๖๙
ประวัติคุณหญิงผลากรนุรักษ์
คุณหญิงผลากรนุรักษ์ (สงวน เกาไศยนัน์) เกิดเมื่อวันอังคาร
เดือน ๗ แรม ๘ ค่ำ ปีมะแม จุลศักราช ๑๒๓๓ ตรงกับพุทธศักราช ๒๔๑๔
ณบ้านริมวนจวนเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ปากคลองจังหวัด
สมุทรปราการ เปนบุตรี นายไท้โก นางเง็ก ได้ทำการสมรสกับ
พระยาผลากรนุรักษ์ มีบุตร์ธิดากัน ๓ คน คือ
๑. นางอินทปัญญา ทิพวรรณ
๒. นางสาวสอึ้ง เกาไศยนันท์
๓. เด็กชาย ถึงแก่กรรมแต่อายุได้ ๘ เดือนเศษ
คุณหญิงผลากรนุรักษ์ (สงวน เกาไศยนันท์) เปนผู้มีจิตต์สัทธา
เลื่อมใสในพระพุทธสาสนาบริจาคทานทำการกุศล ประกอบด้วยความ
กตัญญูกตเวทีต่อท่านผู้มีอุปการะคุณ แลมีอัธยาศัยดี อารี เอื้อเฟื้อ
เผื่อแผ่ สัตย์ซื่อแก่วงศ์ญาติและมิตร์ ทั้งเอาใจใส่สั่งสอนบุตร์ธิดาให้
ประพฤติตั้งอยู่ในคุณความดี
คุณหญิงผลากรนุรักษ์ (สงวน เกาไศยนันท์) ป่วยเปนฝีเนื่อง
ด้วยโรคปัสสาวะหวาน เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ ๒๔๖๙ แพทย์
ประกาศนียบัตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และโรงพยาบาลศิริราชพยาบาลได้รักษาพยาบาลด้วยความกวดขัน แต่อาการมีทรงกับซุด ครั้นณวัน
ที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๙ ตรงกับวันจันทร์ เวลา ๑๐.๐๕ นาฬิกา
หลังเที่ยง อาการกำเริบมากกขึ้น เหลือความสามารถของแพทย์ที่จะ
เยียวยาก็ถึงแก่กรรม คำนวณอายุได้ ๕๖ ปี
สารบารพ์
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซบอกข่าวเรื่องพระเจ้ากรุงสยามไม่ใคร่
พอใจพวกฝรั่งเศส หน้า ๑
ว่าด้วยพระเพทราชาสวรคต " ๓
ว่าด้วยพระเจ้าเสือได้ราชสมบัติ " ๓
ว่าด้วยไทยต้องการให้ฝรั่งเศสเข้ามาค้าขาย " ๔
ว่าด้วยอัธยาศัยแลความดุร้ายของพระเจ้ากรุงสยาม " ๕
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซบอกข่าวความเรียบร้อยข้าง
เมืองไทย " ๘
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซว่าด้วยไทยอยากให้ฝรั่งเศส
เข้ามาค้าขายแลความประพฤติของพระเจ้ากรุงสยาม
ซึ่งดุร้ายแลโปรจับเด็กไปไว้ในวัง " ๑๒
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซว่าด้วยพวกฮอลันแลพวกอังกฤษ
ในเมืองไทย " ๑๘
จดหมายมองซิเออร์เกดีเรื่องผู้ว่าราชการปอนดิเชรีเจรจา
การบ้านเมือง " ๑๙
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเล่าความที่เจ้าพระยาพระคลัง
เกียจกันไม่อยากให้ชาวต่างประเทศเข้าไปค้าขาย " ๒๒
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซอออกความเห็นเรื่องจะขอให้
ไทยยกเมืองมริดให้ฝรั่งเศส " ๒๗
จดหมายเหตุของสังฆราชเตเซียเดอเคราเลว่าด้วยไทยกดขี่บีบ
คั้นคณะบาดหลวง " ๓๕
ข
ต้นเหจตุเรื่องที่จะกดขี่ หน้า ๓๖
มองเซนเยอร์เตเซียเดอเคราเลถูกซักถาม " ๓๙
พวกคริสเตียนถูกจับ " ๕๐
มองเซนเอร์เตเซียเดอเคราเลถวายดอกไม้ธูปเทียน " ๕๐
ความเดือดร้อนของพวกเข้ารีต " ๕๓
ขุนชำนาญถกไต่สวน " ๕๓
มองเซนเยอร์เตเซียเดอดคราเลขัดขืนไม่ยอม " ๕๔
พวกบาดหลวงจัดการขอร้องให้ปล่อยพวกเข้ารีต " ๕๘
ความเดือดร้อนของพวกเข้ารีต " ๖๑
ไทยปักศิลาจารึกสำหรับประจาน " ๖๘
คำแปลข้อความในจารึกสำหรับประจาน " ๗๐
ความเห็นมองเซนเยอร์เลบองในเรื่องศิลาจารึก " ๗๕
จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส
ซึ่งเข้ามาตั้งกรุงศรีอยุธยา
ตอนแผ่นดินพระเจ้าเสือแลพระเจ้าท้ายสระ
ต่อจากภาคที่ ๓
เรื่องมองเซนเยอร์เดอซีเซ
ค.ศ. ๑๗๐๐-๑๗๒๗ (พ.ศ. ๒๒๒๔๓-๒๒๗๐)
เรื่องเจรจาการบ้านเมือง
ค.ศ. ๑๗๐๓-๑๗๒๗ (พ.ศ.๒๒๔๖-๒๒๗๐)
การเจรจาที่จะให้ฝรั่งเศสกับไทยได้เปนมิตร์กันอย่างเดิม
การเจรจาชั้นต้น
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซ ถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
วันที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๗๐๓ (พ.ศ. ๒๒๔๖)
เมื่อปีกลายนี้ ข้าพเจ้าได้มีจดมายถึงท่านฝากมาหลายทาง
ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าอย่างไร ๆ ท่านก็คงจะได้จดหมายของข้าพเจ้าบ้างบาง
ฉบับ เพราะฉนั้นในที่นี้ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวซ้ำถึงการที่ข้าพเจ้าได้มาถึง
เมืองนี้ เพราะข้าพเจ้าได้เล่าให้ท่านฟังแล้ว ว่าเจ้าพระยาพระคลัง
ได้รับรองข้าพเจ้าอย่างดี และพระเข้าแผ่นดินกับเจ้าองค์ใหญ่ ผู้เปน
พระโอรสองค์ใหญ่ก็ได้โปรดในของที่ข้าพเจ้าได้ถวายนั้น
๑
๒
ในจดหมายฉบับหลัง ๆ ที่ข้าพเจ้าได้มีมายังท่านนั้น ข้าพเจ้า
ได้บอกให้ท่านทราบแล้วว่างารที่ปวงซึ่งได้ตั้งต้นอย่างดี ไม่ได้เปน
ผลสำเร็จดังที่คาดไว้ พระเจ้ากรุงสยามกับพระมหาอุปราชมีพระ
ราชประสงค์จะพระราชทานของให้เปนที่พอใจของข้าพเจ้าอย่าง ๑ แต่
ก็ติดเพียงพระราชประสงค์เท่านั้น เพราะของก็ยังหาได้พระราชทาน
ไม่ การที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ไม่ทราบว่าจะเปนด้วยเหตุใด บางคน
เห็นว่าการที่พระเจ้ากรงุสยามและพระมหาอุปราชทำเช่นนี้ เพื่อแสดง
การที่ไม่พอพระทัย ในเรื่องที่ฝรั่งเศสไม่ได้รับพระราชสาสน ซึ่งได้ให้
บาดหลวงตาเชิญไปนั้น ให้สมพระเกียรติยศดังได้ทรงคาดไว้ เพราะ
ได้ทรงมุ่งหมายไว้ว่า ฝรั่งเศสคงจะแต่งราชทูตเชิญพระราชสาสนตอบ
ของพระเจ้ากรงุฝรั่งเศส และคงจะส่งเครื่องบรรณาการมาถวาย
เหมือนเมื่อครั้งฝรั่งเศส แต่งราชทูตมาสองคราวในแผ่นดินสมเด็จพระ
นารายณ์เช่นนี้ แต่ที่พระเจ้ากรุงสยามไม่พอพระทัยยิ่งกว่าอย่างอื่นนั้น
ก็ที่ได้ทรงทราบว่าบาดหลวงตาชาได้ไปยังเมืองสุหรัต แล้วเลยไปเมือง
ปอนดีเซรี โดยมิได้ตรงกราบทูลถึงเหตุผลที่ตนได้เชิญพระราช
สาสนไป ได้มีคนมาบอกกับข้าพเจ้าว่า พวกฮอลันดาได้กราบทูลยุแหย่
ให้พระเจ้ากรุงสยามมีพระทัยลำเอียงไปทางอื่น โดยได้พยายาม
กราบทูลว่า การที่ติดต่อกับฝรั่งเศสนักเปนการไม่สมควร ในเวลา
ที่คนมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นสมจริงอยู่บ้าง และ
ในเรื่องนี้ดูเหมือนข้าพเจ้าได้เล่าให้ท่านฟังในจดหมายฉบับก่อนๆ แล้ว
๓
ครั้นมาภายหลังได้ทราบความแนน่อน ถึงเรื่องเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นใน
ระหว่างพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสกับพวกออลันดาในเรื่องการค้าขาย จนถึง
กับจะเกิดแตกร้าวกันขึ้น ข้าพเจ้าเห็นว่าการที่หาว่าพวกฮอลันดา
กราบทูลยุแหย่พระเจ้ากรุงสยามนั้นคงเปนการไม่จริง แต่ถึงจะอย่าง
ไรก็ตาม การทั้งปวงก็คงอยู่ตามเดิมนั้นเอง และในระหว่างที่การ
ยังค้างอยู่นั้น ก็พอดีพระเจ้ากรุงสยามได้เสด็จสวรรคต พระเจ้า
แผ่นดินพระองค์นี้ได้บังคับไพร่ ฟ้า ข้าแผ่นดินให้นับถือพระองค์ดุจเปน
พระพุทธเจ้า ครั้นประชวรลงพระอาการก็มีคล้ายที่กล่าวไว้ในคัมภีร์
ของพระเยซู และมีอาการทั้งเจ็บทั้งปวด จึงได้ทรงรู้สึกว่า พระองค์
เปนแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้นเอง พอพระเจ้ากรุงสยามได้เสด็จ
สวรรคต พระมหาอุปราชก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติ แลเพื่อจะได้
ครองราชสมบัติให้เปนสุขโดยไม่มีใครมารบกวนนั้น พระมหาอุปราช
จึงได้ประหารพระญาติของราชวงศ์เก่าจนหมดสิ้น การที่ทำเช่นนี้ก็เดิร
ตามแบบอย่างของเมืองอันเปนมิจฉาทิฐินั้นเอง
ได้มีคนมาแนะนำให้ข้าพเจ้าหาของไปถวายพระเจ้าแผ่นดินพระองค์
ใหม่นี้ เพื่อป้องกันมิให้ทำอันตรายแก่โรงเรียนนี้ ข้าพเจ้าจึงได้นำน้ำอบ
อย่างหอมไปถวายสองสามขวด พระเจ้าแผ่นดินทรงรับของถวายนี้โดย
แสดงความดีพระทัยอย่างยิ่ง แล้วได้พระราชทานเสื้อแพรมาให้ข้าพเจ้า
๑ เสื้อ ในลายพระราชหัดถ์ที่ส่งมาพร้อมกับเสื้อ ตามธรรมเนียม
ของเมืองไทยนั้น ได้มีความยกย่องสรรเสริญข้าพเจ้าเปนอันมาก
๔
และมีใจความว่า ทรงหวังพระทัยว่าเรือฝรั่งเศสคงจะได้มาทำการค้า
ขายในพระราชอาณาเขต และถ้าพวกฝรั่งเศสมาจริงแล้ว ก็จะได้
ทรงเปนพระราชธุระให้ฝรั่งเศสได้เปรียบยิ่งกว่าชาติอื่น ในข้อนี้มี
พระราชประสงค์จะให้ข้าพเจ้ามีหนังสือบอกไปยังประเทศฝรั่งเศส และ
บอกให้พ่อ้าฝรั่งเศสในอินเดียทราบ และมีพระราชประสงค์จะให้
ข้าพเจ้ารับรองว่า พอพวกพ่อค้าฝรั่งเศสได้รับจดหมายของข้าพเจ้าแล้ว
เรือฝรั่งเศสจะได้มายังเมืองไทยโดยทันที ในเรื่องจนถึงกับรับสั่งใช้
ขุนนางบางคนให้มาคาดคั้นให้ข้าพเจ้าสัญญาให้จงได้ แต่ข้าพเจ้าได้
ให้กราบทูลเสมอว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยกาค้าขายอย่างใด
แต่เพื่อจะไม่ให้ขัดพระทัย ข้าพเจ้าก็จะได้มีหนังสือไปยังประเทศ
ฝรั่งเศส บอกให้ชาวฝรั่งเศสทราบว่า พระองค์ทรงพระเมตตาแก่
ประเทศของเรามาก ทั้งจะมีจดหมายไปบอกให้ท่านผู้อำนวยการค้าขายฝ่ายอินเดียให้ทราบด้วย แต่ที่จะให้ข้าพเจ้ารับรองว่าการคงจะเปน
ไปตามพระราชประสงค์นั้น ข้าพเจ้ารับรองไม่ได้ เพราะในการชนิดนี้
ข้าพเจ้าไม่มีหน้าที่จะบังคับได้
ข้าพเจ้าได้รับรองว่าหนังสือที่ข้าพเจ้าจะมีไปอย่างว่านี้ จะได้มี
ไปในราวเดือน พฤศจิกายน หรือ ธันวาคม แต่ในเวลาที่จะมีไปนั้นก็
จะต้องแน่ใจเสียก่อนว่า พระเจ้าแผ่นดินยังคงทรงพระราชดำริห์อย่าง
เดิมมิได้เปลี่ยนแปลงอย่างใด และการบ้านเมืองจะต้องเรียบร้อยเปน
ปรกติพอที่จะให้พระเจ้ากรุงสยามได้มีเวลาดำริห์ถึงการภายนอกได้ เมื่อ
๕
เวลามีโอกาศที่จะฝากหนังสือไปทางเมืองจีนได้ ข้าพเจ้าหาได้ฝาก
ไปไม่ และก็ปิดความเสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุว่าต้องการเวลาเพื่อจะ
ได้คอยดูให้แน่เสียก่อนว่า การจะดำเนิรไปอย่างไรต่อไป การที่ข้าพเจ้า
ได้เล่าให้ท่านฟังทั้งนี้ ก็ประสงค์อย่างเดียวแต่จะให้ท่านทราบว่า ตั้งแต่
ข้าพเจ้าได้มีจดหมายมาฉบับก่อนๆได้มีเหตุการณ์ดำเนิรมาอย่างไรเท่านั้น
เมื่อท่านได้ทาบข้อความตามนี้แล้ว ท่านจะจัดการอย่างไรต่อไปก็แล้ว
แต่ท่านจะเห็นควร และเมื่อท่านจะเห็นควรนำความกราบทูลพระเจ้ากรุง
ฝรั่งเศสให้ทรงทราบเหมือนไม่นั้น ก็แล้วแต่ท่านจะเห็นควรทั้งสิ้น
ข้าพเจ้าจะต้องรับสารภาพว่า เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าแผ่นดิน
องค์ใหม่ดำริห์การที่จะให้ฝรั่งเศสกับไทยทำการค้าขายติดต่อกันอีก และจะเอาคณะบาดหลวงเปนสายสำหรับให้การนี้ได้สำเร็จไปนั้น เปนการที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะข้าพเจ้าได้เห็นแล้วว่า การ
ที่ฝรั่งเศสกับไทยได้ มีไมตรีติดต่อกันนั้นได้ทำให้เปนผลร้ายเกิดขึ้นเพียง
ไร การที่ได้เปนมาแล้วในเวลาที่เกิดจลาจลครั้งพระราชบิดาของพระ
เจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ก็เปนสิ่งทำให้ชาวฝรั่งเศไม่พอใจอยู่แล้ว เพราะ
ฉะนั้นจึงไม่ควรไว้ใจในพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ซึ่งปฎิบัติการแต่ตาม
ความพอพระทัย และทั้งพระทัยก็กลับกลอกไม่แน่นอนด้วย ยิ่ง
ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์มากขึ้นก็ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าการต่าง ๆ ที่มีคนเล่า
ถึงพระอัธยาศัยนั้นเปนความจริงนั้น ถ้าแม้ว่าจะกลับพระทัยใน
เวลาอันรวดเร็วเช่นนี้เปนการปลาดอย่างยิ่ง บางทีถ้าได้เดิรการ
๖
ปอลิติกอย่างดีก็อาจจะทำให้เปลี่ยนพระนิสัยได้บ้างกระมัง แต่ปอลิติก
ในเมืองชนิดนี้ ไม่แรงพอที่จะคุ้มครองเมืองซึ่งมีกษัตรย์อันมีนิสัย
เต็มไปด้วยโทษะโมหะ และยิ่งมีอำานจเด็จขาดที่จะทำตามโทษะได้
ทุกอย่างแล้ว ก็เปนอันไม่ได้อยู่เอง การที่พระเจ้าแผ่นดินทรงบีบคั้น
พระอนุชาซึ่งเปนรัชทายาท ผู้ที่สมควรจะครองราชสมบัติโดยแท้ อย่าง
แสนสาหัส และทรงบีบคั้นขุนนางข้าราชการที่เข้ากับพระอนุชาจนลง
ท้ายได้ห่าเสียหมดทุกคน ถึงพวกข้าราชการผู้ใหญ่แลพระสงฆ์จะ
กราบทูลทัดทานเท่าไรก็ไม่ฟังนั้น ทั้งการที่ทรงลงพระอาญาอย่างร้าย
กาจแก่พระราชบุตร์ทั้ง ๒ ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ไม่ไว้พระทัย
และทรงลงพระอาญาเฆี่ยนอยู่เสมอนั้น ก็ทำให้เห็นได้ชัดว่า คงมี
บุคคลบางจำพวกที่จะไม่ยอมทนไปได้นานสักเท่าไร และจำเปนที่พระ
องค์จะต้องกลับใจเสียโดยเร็ว การทั้งปวงเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าหนักใจ
เปนอันมาก เพราะข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้มิได้ รัก
ชอบพวกเราเลย ข้าพเจ้าจึงเกรงว่าถ้าไม่มีเรือพ่อค้าฝรั่งเศสมาตาม
พระราชประสงค์แล้ว ก็น่ากลัวจะทรงถือว่าเปนการที่ฝรั่งเศสดูถูก และ
คงจะทรงแก้แค้นกับพวกเราในโรงเรียนเปนแน่
การที่พระเจ้ากรุงสยามมีพระราชประสงค์จะให้พ่อค้า ฝรั่งเศสมา
ทำการค้าขาย และมาตั้งห้างในพระราชอาณาเขตนั้น ก็ด้วยเหตุ
เหล่านี้ คือ ๑ พระราชอาณาเขตสยามร่วงโรยลงไปมาก ด้วยเหตุ
ว่าไม่มีชาวยุโรปมาเลย และพ่อค้าทางอินเดียก็มาน้อยที่สุด ๒ เพราะ
๗
ได้ทราบข่าวว่าเจ้าอันสืบสายโลหิตของพระราชวงศ์ฝรั่งเศสองค์หนึ่ง ได้
ขึ้นครองแผ่นดินสะเปน และประเทศฝรั่งเศสกับประเทศสะเปนได้เปน
ไมตรีกันอย่างสนิธแล้ว ๓ เพราะอังกฤษได้ไปตั้งตัวอยู่ที่เกาะ ปูโล
คอนตอ ซึ่งเปนเกาะอยู่ในระหว่างเมืองเขมรและเมืองญวน และ
การที่อังกฤษไปตั้งอยู่ที่เกาะปูโลคอนดอเช่นนี้ กระทำให้อังกฤษเปน
ใหญ่ในทะเลจีน ยี่ปุ่นและไทย ฝ่ายพระเจ้ากรุงสยามก็ทรงเชื่อว่า
พวกอังกฤษคงจะไม่ในการที่พวกอังกฤษถูกฆ่า ตายในเมืองมริด และ
ในการที่ฆ่าพวกอังกฤษครั้งนั้น พระราชบิดาของพระองค์ก็เปนต้นเหตุ
ด้วย เพราะฉนั้นการที่อังฤกษมาตั้งอยู่แถบชานพระนครเช่นนี้ จึงกระทำ
ให้พระองค์ร้อนพระทัยยิ่งนัก ๔ เพราะพระเจ้ากรุงสยามทรงเกรงพวก
ฮอลันดา เพราะพวกฮอลันดาไม่พอใจในพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้อย่างยิ่ง
และมีเรื่องที่ควรจะขัดใจพวกออลันดาอยู่เสมอ เพราะฉนั้นจึงทรงเกรง
ว่าพวกฮอลันดาจะคิดการร้ายอย่างอย่างใด การต่าง ๆ เหล่านี้
จึงกระทำให้ทรงเห็นว่า ถ้าฝรั่งเศสได้อุดหนุนแล้วก็คงเปนกาช่วย
ให้เบาพระทัยลงเปนอันมาก จึงทรงพยายามที่จะทำไมตรีกับฝรั่งเศส
ดังข้าพเจ้าได้กล่าวมาข้างบนนี้แล้ว
๘
จดมหายมองเซ็นเยอร์เดอซีเซ ถึงอำนวยการคณะต่างประเทศ
เดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๗๐๓ (พ.ศ. ๒๒๔๖)
ด้วยบาดหลวงซีมา ซึ่งประจำอยู่เมืองจีนแลเปนพวกคณะแซง
โอกุศแตงจะผ่านไปทางเมืองฝรั่งเศสเพื่อไปเมืองอิตาลี ข้าพเจ้ากับ
เจ้าพระยาพระคลังจึงฉวยโอกาศนี้ ที่จะเขียนจดหมายถึงท่านเพื่อบอกข่าว
ในเมืองไทยว่าการในเวลานี้เป็นอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าได้มาถึงเมืองไทย
ได้ปี ๑ แล้ว ได้เห็นว่าการในบ้านเมืองสงบราบคาบดีเพราะพระเจ้าแผ่นดิน
ทรงพระปรีชาสามารถได้ปราบปรามพวกขบถที่ได้คิดการจลาจลขึ้น พระ
เจ้ากรุงสยามกับทั้งพระโอรสได้ทรงแสดงความยินดีในการที่ข้าพเจ้าได้มา
ถึงเมืองไทย และได้ทรงเต็มใจรับของที่ข้าพเจ้าได้ถวายด้วย ข้าพเจ้า
มีความปลาดใจมากที่ได้เห็น โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนเกือบเท่าจำนวนที่มี
อยู่เมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว พวกฝรั่งเศสซึ่งมีแต่จำนวนเล็กน้อยได้แต่งงาร
มีภรรยาในเมืองนี้เอง ดูก็เปนที่พอใจและได้อยู่เปนสุขสบายดีมาก
ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านคงจะได้ทราบแล้วว่าเมื่อ ๒ ปี ที่ล่วงมาแล้ว มีเรือ
ฝรั่งเศสลำ๑ จากเมืองสุหรัตจะไปเมืองจีน ได้ถูกพยุอย่างแรงจึงต้องเข้า
มาซ่อมแซมในเมืองนี้ และพระเจ้ากรุงสยามได้ทรงพระเมตตาช่วยเหลือ
เรือลำนี้เปนอันมาก คือได้พระราชทานที่บ้านให้พวกนายเรือพัก และได้
พระราชทานที่สำหรับเอาสินค้าขึ้นเก็บด้วย ส่วนภาษีอากรต่าง ๆ นั้น
ก็ได้ทรงยกเว้นไม่เก็บอย่างใดเลย เหมือนเมื่อครั้งราชบริษัทได้เคย
รับความยกเว้นเมื่อได้มาตั้งห้างในเมืองนี้เช่นเดียวกัน ทั้งได้รับสั่งว่ามี
๙
พระราชประสงค์อย่างยิ่งที่จะให้พ่อค้ามาตั้งการค้าขายในพระราชอาณาเขต
และถ้าพ่อค้าฝรั่งเศสได้มาแล้วก็จะทรงปกครองบำรุงทุกอย่าง ในระหว่าง
ที่ทรงพระราชดำริห์อยู่เช่นนี้ก็ได้เสด็จสวรรคต เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์
พระมหาอุปราชซึ่ง เปนพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ได้เสวยราชสมบัติแทน
พระบิดา ก็ได้มีพระราชดำริห์เช่นเดียวกับพระราชบิดา พอได้ขึ้นครอง
ราชสมบัติก็ได้ทรงแสดงพระองค์พอพระทัย ที่จะให้พ่อค้าฝรั่งเศสมา
ค้าขายในเมืองนี้ ข้าพเจ้าได้ถวายพรในการที่ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
ซึ่งเปนการพอพระทัยมาก และในพระราชดำรัสตอบนั้นได้รับสั่งว่า
ทรงมีความนับถือประเทศฝรั่งเศสมาก และได้รับสั่งต่อไปว่า สิ่งที่
ข้าพเจ้าจะทำให้พอพระทัยนั้นไม่มีอย่างใดยิ่งกว่าที่ ข้าพเจ้าจะเปนธุระช่วย
ให้ไมตรีซึ่งเคยมีในระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมาแต่ก่อนนั้น ได้คงมีอยู่
ตามเดิม และรับสั่งว่าถ้าพวกฝรั่งเศสจะมาจากประเทศฝรั่งเศสก็ดีหรือ
มาจากอินเดียก็ตาม ถ้าได้เข้ามาค้าขายในพระราชอาณาเขตแล้ว
ก็จะพระราชาทานโอกาศให้ได้ทำการค้าขายตามท่าเรือต่าง ๆ ได้ทุกแห่ง
และส่วยราชบริษัทฝรั่งเศสโดยฉเพาะนั้นจะได้พระราชทานพระราชนุญาต
ให้มาค้าขายในพระราชธานี หรือที่แห่งอื่น ๆ ก็ได้แล้วแต่บริษัทจะพอใจ
เพื่อจะได้มาตั้งห้างและจะได้พระราชทานสิทธิต่าง ๆ เสมอหน้ากันกับพวก
ฮอลันดา ในพระราชหัดถเลขาซึ่งทรงตอบจดหมายของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้า
ได้ให้เจ้าพระยาพระคลังถวายนั้น มีกระแสรับสั่งโดยฉเพาะให้ข้าพเจ้า
บอกความทั้งนี้ไปยังประเทศฝรั่งเศสและอินเดีย เพราะฉนั้นข้าพเจ้า
๒
๑๐
จึงได้มีจดหมายฉบับนี้มายังท่านตามพระราชโองการ แล้วข้าพเจ้าจะได้
บอกไปยังผู้อำนวยการบริษัทที่เมืองปอนดีเชรีเมืองสุหรัต และเมือง
เบงกอลให้ทราบเหมือนกัน
ข้าพเจ้าอยากจะกราบทูล ต่อพระเจ้ากรุงสยามว่าในเรื่องที่จะโปรด
กรุณาแก่พวกพ่อค้าฝรั่งเศสนั้น ข้าพเจ้าคงจะได้รับหนังสือตอบโดยเร็ว
แต่หากว่าการเดิรเรือในเมืองนี้ต้องอาศรัยระดูมาสุม และมรสุมนั้น
บางทีก็ล่าช้าไปเปนการไม่แน่ได้ ข้าพเจ้าจึงไม่กล้ากราบทูลรับรอง
แต่ได้พยายามจัดการให้บาดหลวงอิตาเลียน ไปถึงเมืองมริดในต้นระดู
มาสุมที่พัดมาจากเหนือ และให้บาดหลวงลงเรือลำแรกที่จะออกจาก
เมืองมริดจะให้ไปถึงเมืองปอนดีเชรีหรือ เมืองเบงกอลที่เรือของบริษัท
ซึ่งจะกลับไปยังประเทศฝรั่งเศสจะได้ออกจากเมองเหล่านั้น
เมื่อข้าพเจ้าได้จัดการไปดังนี้แล้วก็หมดหน้าที่ที่จะทำอะไรต่อไปอีกได้
นอกจากมอบการเรื่องนี้ให้พระเปนเจ้าได้จัดการต่อไป และเชื่อในความ
สามารถของท่านอย่างเดียวเท่านั้น พระเจ้ากรุงสยามและบรรดาข้า
ราชการหวังพระทัยแลหวังใจว่า ท่านคงจะได้นำความเรื่องนี้ขึ้น
กราบทูลพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส และเชื่อกันว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสคงจะทรง
ยินดีในการที่พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงจัดการอย่างนี้เพื่อจะได้เปนไมตรีกับ
กรุงฝรั่งเศสต่อไป และหวังใจกันว่าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสคงจะทรงตอบ
โดยพระอัธยาศัยอันดี ในการเรื่องนี้ขอท่านได้โปรดฟังข่าวที่หัวหน้า
โรงเรียนสามเณรที่กรุงปารีสด้วย เพราะหัวหน้าโรงเรียนจะได้ส่งจดหมาย
๑๑
ฉบับนี้ให้แก่ท่านพร้อมด้วยบาดหลวงอิตาเลียน และหัวหน้าโรงเรียน
จะได้เล่าความต่าง ๆ ให้ท่านฟังนอกจากข้อความที่มีในจดหมายฉบับนี้อีก
หลายอย่าง เพราะข้อความต่าง ๆ ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวในจดหมายฉบับนี้โดยเกรงว่าเจ้าพระยาพระคลังและที่ปฤกษาราชการของพระเจ้ากรุงสยามจะเบื่อ
แต่เพื่อจะให้จดหมายฉบับนี้ เนื้อความโดยตลอดและเลอียดตาม
ความปรารถนาของพระเจ้าพระยาพระคลังแล้ว จึงเปนการจำเปนที่ข้าพเจ้า
จะต้องเล่าให้ท่านฟังถึงความเห็นของพวกไทยในพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่
นี้คือ พวกไทยเข้าใจว่า พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่นี้คงจะได้ครอง
ราชสมบัติโดยยืดยาว และโดยมีความผาสุกตลอดรัชกาล การที่ไทย
คิดเช่นนี้ก็โดยจับเอาเหตุที่มีขึ้นซึ่งไทยถือว่าเปนปฤกษ์ดี กล่าวคือ แต่
ก่อนมาเจ้าแผ่นดินเขมรไม่ยอมส่งช้างเผือกให้ไทยเลย และการที่
ไม่ยอมนี้เปนกาลช้านานมาแล้ว ครั้นมาในปีนี้เจ้าแผ่นดินเขมรได้ส่ง
ช้างเผือกเข้ามา โดยแต่ราชทูตและผู้คนเปนอันมากให้นำช้างเผือก
มาถวาย เมื่อเวลาช้างเผือกมาถึงนั้น บรรดาขุนนางข้าราชการ
ทวยราษฎรทั่วพระราชอาณาเขต ได้จัดการรับช้างเผือกอย่างเอิกเกริก
ด้วยความปีติยินดี ฝ่ายพวกพรานของพระเจ้ากรุงสยามก็คล้องช้างสีดำ
ได้ ๑ เชือก แต่ช้างเชือกนี้มีลักษณะงามมากซึ่งไม่มีใครได้เคยเห็นเลย
ช้างตัวถึงจะแก่ก็จริงแต่งาเล็กมาก หางก็ปลาดซึ่งเปนการที่คนไทย
เห็นว่าเปนการอัศจรรย์มาก ฝ่ายเจ้าลาวก็แต่งทูตลงมาซึ่งพระสงฆ์
๑๒
มีชื่อเปนหัวหน้าคุมมา ฝนก็ตกตามระดูกาลซึ่งจะทำให้ไร่นายบริบูรณ์มาก
เมื่อเวลาท่านอ่านหนังสือฉบับนี้ ท่านคงจะนึกว่าเปนหนังสือแขก
หาใช่หนังสือชาวยุโรปไม่ แต่หนังสือฉบับนี้แต่งตามแบบของไทย
ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของฝรั่งเศสเลย และพวกมิชันนารีก็ไม่
ทราบว่าจะแก้ไขได้อย่างไร เพราะฉนั้นพวกบาดหลวงได้แต่อ้อนวอน
พระเปนเจ้า ขอให้ดปรดบรรดาผู้ที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สูง ๆ ซึ่งต้อง
รับน้ำหนักของการแผ่นดิน และข้อนี้ข้าพเจ้าก็ได้อ้อนวอนพระเปนเจ้า
ขอให้โปรดตัวท่านโดยฉเพาะและทั้งครอบครัวของท่านด้วย
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซ ถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
วันที่ ๖ เดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๗๐๓ (พ.ศ. ๒๒๔๖)
การทางเมืองไทยได้มีเรื่องขึ้นอีกแล้ว และถึงข้าพเจ้าจะตั้งใจว่า
จะไม่กี่ยวข้องด้วยสักเท่าใดก็ไม่ไหว เพราะเปนการจำเปนจำใจที่
ข้าพเจ้าต้องเกี่ยวด้วยจนได้ จริงอยู่การที่ข้าพเจ้าต้องเกี่ยวด้วยการ
เมืองไทยคราวนี้ก็เปนแต่เพียงเปนล่ามของคนที่ใช้ข้าพเจ้าเท่านั้น คือว่า
เขาให้พูดอย่างไรก็พูดตามเขาโดยไม่ต้องเพิ่มเติมอะไรในส่วนของข้าพเจ้า
เลย หนังสือที่ข้าพเจ้าได้มีไปยังมองซิเออร์ปองชาแตรงนั้น ก็เปน
ใจความตามที่ไทยบอกให้เขียนทั้งนั้น หนังสือฉบับนี้ข้าพเจ้าได้ส่งมา
ยังท่านโดยยังไม่ปิดผนึก เพราะข้าพเจ้าจะต้องการให้ท่านอ่านและให้
ท่านพิเคราะห์ดูว่าจะควรให้มองซิเออร์ปองซาแตรงหรือไม่ ข้าพเจ้า
๑๓
ได้บอกให้บาดหลวงอิตาเลียนผู้นำจดหมายฉบับนั้น ให้เข้าใจในเรื่องนี้โดย ตลอดแล้วเมื่อท่านเห็นว่าจะไม่ควรส่งหนังสือให้มองซิเออร์ปองซาแตรงบาดหลวงอิตาเลียนจะได้ไม่ตกใจ
พระเจ้าแผ่นดินสยามได้สวรรคตเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เอง พระมหาอุปราชได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน เพราะท่านพระองค์นี้สมควรจะครองราชย์สมบัติได้ดีกว่าพระอนุชาซึ่งมีพระชนม์เพียง ๑๔ หรือ ๑๕ ปี เท่านั้น แต่ที่จรองราชสมบัติควรจะได้แก่พระอนุชา เพราะท่านพระองค์นี้ได้ประสูติจากพระองค์หญิงซึ่งเปนเชื้อพระวงศ์เก่า ครั้นพระเจ้าแผ่นดินอง๕ใหม่ได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ก็หาได้ฆ่าพระอนุชาไม่แต่กลับแสดงความรักใคร่โปรดปรานและทรง สัญญาว่าถ้าพระอนุชาสมควรจะครองราชสมบัติได้เมื่อใดก็จะทรงราชสมบัติให้ ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู่ที่เปนหัวหน้าของชนชาวประเทศอื่น ๆ ได้ถวายพรในการที่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ข้าพเจ้าได้ถวายพรตามอย่างเขาบ้าง พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงรับพรและได้มีพระราชดำรัสตอบด้วยในพระราชดำรัสที่ตอบมานั้น ได้ทรงยกย่องสรรเสริญประเทศฝรั่งเศสโดยยืดยาวมาก และได้รับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่าถ้าข้าพเจ้าจะทำการให้เปนที่พอพระทัยแล้วก็ไม่มีการอย่างใดที่จะ พอพระทัยยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าจะจัดการให้พระราชไมตรีซึ่งเคยมีในระหว่างประเทศสยามและ ประเทศฝรั่งเศสมาแต่เดิมได้กลับมีขึ้นอีก ถ้าได้ทรงเห็นพ่อค้าฝรั่งเศสมายังเมืองนี้แล้วก็จะทรงยินดีเปนอย่างยิ่ง และจะได้ทรงปกครองทั้งจะทรงอนุญาตให้พ่อค้า
๑๔
เหล่านี้ได้ตั้งห้างในที่ต่างได้ตามความพอใจ และจะได้พระราชทานสิทธิ
ให้เท่ากับพวกฮอลันดา จึงมีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามีจดหมายบอกข้อความ
ตามที่รับสั่งนี้ไปยังประเทศฝรั่งเศสและประเทศอินเดีย เพราะทรงมั่น
พระทัยว่าพอพวกฝรั่งเศสได้รับหนังสือของข้าพเจ้าแล้ว ในไม่ช้าก็คง
จะมีเรือพ่อค้ามาจากประเทศฝรั่งเศสและประเทศอินเดียเพื่อมาทำการ
ค้าขายในพระราชอาณาเขต การที่มั่นพระทัยเพียงเท่านี้ยังหาพอไม่
ยังจะกลับให้ข้าพเจ้าเปน ผู้รับประกันเสียอีกว่าพวกพ่อค้าจะมาเมืองไทย
โดยทันที ข้าพเจ้าจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าจะได้นำข้อพระราชดำริห์บอก
ไปยังประเทศฝรั่งเศส และอินเดียโดยหาโอกาศที่จะส่งหนังสือไปอย่างเร็ว
ที่สุดที่จะส่งไปได้ แต่ขออย่าให้ข้าพเจ้ารับผิดชอบในการเรื่องนี้เลย
เพราะการจะสำเร็จหรือไม่เปนการที่ข้าพเจ้าจะบังคับไม่ได้เลย ทั้งใน
เวลานี้การบ้านเมืองก็ยังไม่ปรกติ ข้าพเจ้าจึงสงสัยว่าการเรื่องนี้คงจะไม่
สำเร็จเปนแน่ แต่ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าได้กราบทูลเช่นนี้ก็จริงแต่ก็ยังไม่พอ
พระทัย จึงได้มีรับสั่งให้ข้าราชการบางคนมาพูดคาดคั้นข้าพเจ้าในเรื่อง
นี้อีก เพราะฉนั้นเพื่อจะให้ทรงเห็นว่าข้าพเจ้ามิได้เพิกเฉยในสิ่งที่ตั้ง
พระทัยนักหนาเช่นนี้ และเพื่อจะไม่ให้เสียวาจาที่ข้าพเจ้าได้กราบทูล
ไว้นั้น ข้าพเจ้าจึงหาโอกาศฝากจดหมายไปกับบาดหลวงอิตาเลียน ชื่อ
นโกลาซ์ซีมา ซึ่งเป็นบาดหลวงคณะแซงโอกุศประจำอยู่ณเมืองจีน
ในเวลานี้จะกลับไปยังประเทศอิตาลีและเดิรทางผ่านฝรั่งเศสด้วย
๑๕
ข้าพเจ้าจึงได้กราบทูลว่า ถ้าเปนการชอบด้วยพระราชดำริห์แล้ว
ข้าพเจ้าได้มีจดหมายฝากบาดหลวงคนนี้ไปยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อ
บอกให้ทราบถึงพระราชดำริห์ ที่จะทรงพระกรุณาแก่ราชบริษัทฝรั่งเศส
ถ้าหากว่าได้เดิรทางโดยรีบด่วน แล้วบาดหลวงคนนี้คงจะถึงเมืองมริด
โดยเร็ว เพื่อหาเรือที่จะออกเมืองมริดในต้นมรสุมและกะให้ไปถึง
เมืองปอนดีเซรีหรือเมืองเบงกอล ก่อนที่เรือของบริษัทจะกลับไปยัง
ทวีปยุโรป ตามที่ข้าพเจ้ากราบทูลดังนี้พระเจ้ากรุงสยามทรงเห็นชอบด้วย
จึงได้รับสั่ง ให้เจ้าพนักงารจัดการให้บาดหลวงอิตาเลียนได้ออกเดิรทาง
โดยเร็ว
ตามเรื่องที่ทรงพระราชดำริห์เช่นนี้ ไม่ใช่เปนเรื่องใหม่หรือเรื่อง
สำคัญอย่างใดเลย และถ้าชาวฝรั่งเศสนิยมยินดีในเรื่องนี้ก็จะเปนการ
ที่ข้าพเจ้าเข้าใจผิดไปมาก เพราะในเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวถึงอะไรนอกจาก
เรื่องบริษัทเรือพ่อค้า และห้างซึ่งล้วนแต่ต้องอยู่ในความเอื้อเฟื้อและ
ความกรุณาของไทยทั้งสิ้น ถ้าจะพูดสั้น ๆ แล้วการเรื่องนี้คงลง
รูปเดิมซึ่งบริษัทได้เคยจัดทำมาก่อนการจลาจลนั้นแล้ว แต่ในครั้งนี้มี
แปลกอยู่ข้อเดียวที่ว่าจะให้ ฝรั่งเศสได้รับสิทธิเท่ากับพวกฮอลันดาเท่านั้น
อนึ่งการที่พระเจ้าแผ่นดินสยามชักชวนให้พ่อค้ามาทำการค้าขายนั้น ก็
ไม่ได้ชักชวนแต่ฉเพาะประเทศฝรั่งเศสแห่งเดียว แต่ได้ทรงชักชวน
พวกอังกฤษ พวกเดนมาร์ค และชาวยุโรปทั้งหลายซึ่งจะมีความ
ปรารถนามาตั้งค้าขายในพระราชอาณาเขต โดยฐานะเดียวกันทั้งนั้น
๑๖
ถ้าการที่ทรงพระราชดำริห์เช่นนี้เปนที่พอใจของฝรั่งเศสแล้ว ถ้าเช่นนั้น
นิสัยของฝรั่งเศสคงจะได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ถ้านิสัยฝรั่งเศสไม่ได้
เปลี่ยนแปลงแล้วการที่ทรงพระราชดำริห์เช่นนี้ก็คงจะไม่เปนที่พอใจของ
พวกฝรั่งเศสเปนแน่ เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าฝรั่งเศสต้องการอย่างอื่น
นอกจากการตั้งห้าง แต่จะอย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ต่องเขียนจดหมาย
ตามความต้องการของไทย
ในส่วนความคิดแลความเห็นของข้าพเจ้าโดยฉเพาะนั้น ข้าพเจ้า
ได้เล่าให้ท่านพงโดยยืดยาวในจดหมายที่ข้าพเจ้าฝากไปทางเมืองจีนแล้ว
ตามที่ข้าพเจ้าได้เล่าถึงความเดือดร้อนของเมืองนี้ ถึงความไม่แน่นอน
ของรัฐบาลปัจจุบันนี้ ถึงพระนิสัยของพระจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ อันจะ
เชื่อพระวาจาไม่ได้นั้นเปนสิ่งที่จริงทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้
ต้องร้อนพระทัยด้วยยังต้องทำศึกสงครามอยู่ก็จริง แต่ถึงดังนั้นก็ยังคง
โหดร้ายและ ทรงกริ้วกราดอยู่เสมอเท่ากับไม่มีเรื่องอะไรมากวนพระทัยเลย และการที่ได้มีศึกขึ้นคราวนี้ก็โดยเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชไม่ยอม
อ่อนน้อมโดยถือว่าไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดิน ทั้งเจ้าเมืองสงขลากับปัตตานีก็
สมทบเข้าด้วยกับเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้โปรดนัก
ในการที่จะไปแย่งชิงเด็กทั้งหญิงและชาย เพื่อเอาไปเปนทาสสำหรับไว้ใช้
ในวัง เมื่อสองสามวันนี้เองได้มีพวกญวนและไทยเข้ารีตซึ่งตั้งบ้านเรือน
ใกล้กับโรงเรียน ได้ตื่นตกใจวิ่งมาขอให้เราช่วย เพราะเจ้าพนักงาร
ได้มาจดชื่อเด็กลูกของคนเหล่านี้ จึงเกรงว่าเด็กพวกนี้จะต้องถูกจับเข้า
๑๗
ไปในวัง พวกนี้คิดจะบอกเจ้าพนักงารว่าตัวเขาและลูกเปนทาสขายตัว
อยู่กับพวกบาดหลวง เพราะฉนั้นพอรุ่งขึ้นพวกนี้ก็ได้ไปทำหนังสือยอม
ตัวเปนทาสของบาดหลวงตามที่คิดไว้ แล้วได้พาลูกมาขอให้เรารับไว้
ซึ่งเปนการที่เราจะไม่ยอมไม่ได้ เพราะถ้าจะคิดถึงส่วนประโยชน์ของ
เด็กเหล่านี้แล้ว ถ้ามาอยู่กับเราอาจที่จะหันให้นับถือสาสนาคริศเตียนได้
แต่ถ้าจะขืนปล่อยตามลำพังแล้ว เด็กพวกนี้คงจะประพฤติตามเยี่ยง
อย่างของผู้ใหญ่ ส่วนเด็กผู้หญิงซึ่งจะต้องระวังมากกว่าผู้ชายนั้น เรา
ได้เอาไปเที่ยวฝากไว้กับผู้หญิงแก่ ๆ ที่เข้ารีตและผู้หญิงเหล่านี้ได้จัดการ
ซ่อนเด็กผู้หญิงไว้อย่างดีที่สุดที่จะซ่อนได้
แต่ถึงเราได้จัดการป้องกันเด็กเหล่านี้ไว้ก็จริง แต่เราจะอวดอ้าง
ไม่ได้ว่าเด็กเหล่านี้จะพ้นอันตรายแล้ว ถ้าไทยยกพวกมาจับเด็กเหล่านี้
แล้วเราก็จะเดือดร้อนมาก การที่ข้าพเจ้าเล่ามาให้ท่านฟังดังนี้ ก็อด
กลั้นความสงสารพวกญวนเหล่านี้ไมได้ เพราะพวกญวนเหล่านี้ได้หนีมา
จากเมืองญวนเพราะทนการงารแลทนความเดือดร้อนไม่ได้ ครั้นหนีมา
หาที่เย็นก็กลับได้ความเดือดร้อนยิ่งกว่าเก่า ซึ่งตัวหนีมาคิดว่าพ้นแล้วเสีย
อีก เพราฉนั้นพวกญวนโดยมากจึงคิดอพยพไปอยู่ที่อื่นซึ่งจะขาดทาง
สาสนา และเขาพูดกันว่าพวกญวนจะอพยพไปอยู่ที่เกาะปูโลคอนดอ ซึ่ง
เปนเกาะที่พวกอังกฤษไปยึดไว้เมื่อเร็ว ๆ นี้ และอังกฤษกำลังสร้าง
ป้อมที่เกาะนี้ซึ่งเปนการทำให้อังกฤษเปนใหญ่ฝ่ายเมืองจีนได้
๑๘
พวกฮอลันดาและอังกฤษในเมืองไทย
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซ ถึงผู้อำนวยการคณะต่างประเทศ
วันที่ ๔ เดือนมกราคม ค.ศ. ๑๗๐๘ (พ.ศ. ๒๒๕๑)
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าในเมืองฝรั่งเสสจะมีความเห็นถึงเรื่องเมืองไทย
ว่าอย่างไร แต่ข้าพเจ้าได้เห็นด้วยตาของข้าพเจ้าเองว่า พวกฮอลันดา
และพวกอังกฤษถือว่าเมืองไทยนี้ เปนเมืองที่สำคัญสำหรับการค้าขาย
อย่างยิ่ง คือพวกฮอลันดาเกิดความไม่พอใจขึ้นมา จึงได้ขออนุญาต
อพยพออกจากเมืองไทยและเลิกห้างเสียด้วย พระเจ้าแผ่นดินก็พระ
ราชทานพระราชนุญาตให้พวกออลันดาออกจากเมืองใต้ ครั้นความ
นี้ทราบไปถึงผู้อำนวยการใหญ่ที่เมืองบาตาเวีย ผู้อำนวยการก็ไม่พอ
ใจในการที่พวกฮอลันดาได้ทำเช่นนี้ จึงได้บังคับให้พวกนี้กลับมายัง
เมืองไทยอีก และให้นำของอย่างดี ๆ งาม ๆ มาถวายเพื่อเปนหน
ทางได้ทำการอีกได้อย่างเดิม ฝ่ายพระเจ้าแผ่ดินก็กริ้วในการที่พวก
ฮอลันดาได้ทำการเช่นนี้ จึงทรงแสดงดูถูกและบังคับกดขี่ด้วย พวก
ฮอลันดาก็ยอมทุกอย่าง แต่การที่พวกฮอลันดายอมอ่อนน้อมเช่นนี้
ก็หาได้ทำให้พระเจ้าแผ่นดินคลายกริ้วไม่ พวกฮอลันดาจึงทำกันทุก
อย่างที่จะพยายามให้หายกริ้วให้ได้ เพื่อจะได้ตั้งต้นทำการได้ต่อไป
อย่างเดิม การที่เขาพยายามนี้ก็พึ่งมาสำเร็จปรารถนาเมื่อปีนี้เอง
ในปีนี้พวกอังกฤษได้ส่งทูตมาเจริญทางพระราชไมตรี ซึ่งได้เคย
มีมาแต่ก่อนในระหว่างประเทสทั้งสองนี้แล้ว และเพื่อจะขออนุญาตตั้ง
ห้างขึ้นอย่างเดิมด้วย
๑๙
ในการที่ยุโรปได้เข้ามาเฝ้าทำพระราชไมตรีเช่นนี้ พระเจ้า
กรุงสยามทรงยินดีเปนอันมาก แต่ภายนอกแกล้งทำอิดออดต่าง ๆ
แต่ความจริงนั้นทรงยินดีเปนอย่างยิ่ง ที่ได้ทรงเห็นชาวยุโรปกลับเข้า
มาในพระราชอาราเขต และถ้าพวกฝรั่งเศสได้เอาอย่างพวกฮอลันดา
และอังกฤษแล้ว พระเจ้ากรุงสยามก็จะทรงยินดีหาสิ่งที่จะเปรียบไม่ได้
ตามความข้อนี้ขอท่านโปรดพิเคราะห์ดูด้วย ว่าจะควรบอกให้มองซิเออร์
เดอปองชาแตรงทราบด้วยหรือไม่
เรื่องผู้ว่าราชการเมืองปอนดีเชรีเจรจาการบ้านเมือง
จดหมายมองซิเออร์เกดีถึงมองเซนเยอร์เมโกร
เมืองปอนดีเชอร๊ วันที่ ๓ เดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ. ๑๗๑๑ (พ.ศ. ๒๒๕๔)
ด้วยท่านสังฆราชเดอซาบูลได้รับจดหมายจากท่านเชอวาเลียเฮ
แบต์ซึ่งเวลานี้เปนเจ้าเมืองปอดีเชรี บอกความประสงค์ของบริษัท
ฝรั่งเศสในการที่คิดจะไปทำความตกลงกับพระเจ้ากรุงสยาม ตามข้อ
ความที่ได้บอกมาในจดหมายนั้น และถ้าท่าสังฆราชเห็นมีทางที่จะ
สำเร็จได้แล้ว ก็ขอให้ท่านสังฆราชนำความกราบทูลแด่พระเจ้ากรุง
สยามด้วย ตามข้อความที่จะต้องการตกลงกับไทยนั้น ข้อที่สำคัญ
ก็คือให้การต่าง ๆ ได้คงเปนไปตามหนังสือสัญญาที่ได้ทำไว้กับพระเจ้า
แผ่นดินองค์เก่าที่เปนพระเจ้าแผ่นดินดีนั้น ซึ่งพระราชทานท่าเรือ
๒๐
เมืองมริดให้แก่บริษัทฝรั่งเศส มองเซนเยอร์เดอซาบูลจึงนำความ
นี้เรียนต่อเจ้าพระยาพระคลังและขุนนางผู้ใหญ่อีกหลายคน เพื่อให้นำ
ความกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินใหม่ ซึ่งได้ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อปี ค.ศ.
๑๗๐๙ (พ.ศ. ๒๒๕๒) และซึ่งเปนพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน
องค์ดุร้ายที่สวรรคตเมื่อต้นปี ค.ศ. ๑๗๐๕๒ (พ.ศ. ๒๒๕๒) นั้น แต่เจ้า
พระยาพระคลังแลข้าราชการอื่น ๆ ก็ได้ตอบสังหราชอย่างเคร่า ๆ จะ
จับหลักอย่างใดไม่ได้ และข้อที่เกี่ยวด้วยการจะยกเมืองมริดให้แก่
ฝรั่งเศสนั้นก็เกือบไม่พูดถึงเลย ตามข่าวที่ได้ทราบมาว่าบริษัทฝรั่งเศส
ได้ยกให้เปนหน้าที่ของมองซิเออร์มาลวงจัดการต่อไปนั้น กระทำให้คณะ
บาดหลวงพวกเรามีความเกรงว่า ถ้ามองซิเออณ์มาลวงเห็นว่าจะไม่
ได้เมืองมริดโดยดีแล้ว ก็อาจจะมายืดเมืองด้วยใช้กำลังก็จะเปนได้
ท่านสังฆราชอยากจะทราบความจริงว่า มองซิเออร์มาลวงจะคิดการ
อย่างไรแน่ จึงได้ตกลงเมื่อปลายเดือนมกราคมปีกลายนี้ จะให้
ข้าพเจ้าไปยังฝั่งโดยเรือของพระเจ้ากรุงสยามลำหนึ่ง ข้าพเจ้าจึง
ได้ออกเดิรทางเมื่อวันที่ ๑ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๗๑๐ (พ.ศ. ๒๒๕๓)
พร้อมด้วยนายเรือและคนนำร่อง เดิรทางบกถึงเมืองตนาวศรีและเมือง
มริด เพื่อจะได้ลงเรือพร้อมกับนายเรือและคนนำร่องที่ไปด้วยกัน
ครั้นเดิรทางอยู่เหน็ดเหนื่อย ๓๕ วัน ก็ได้ไปถึงเมืองมริด แต่การ
ที่เดิรทางคราวนี้ได้รับความลำบากอย่างสาหัส จึงได้เดิรทางช้ามาก
ข้าพเจ้าคิดในใจจะพักอยู่ที่มริดต่อไป แต่เพอิญพระเปนเจ้า
๒๑
ได้จัดการให้ข้าพเจ้าได้เดิรทางต่อไป โดยมีเรือของแขกอามเนียคน
๑ ชื่อเซซาเดอเลตัวล์เปนเพื่อนของเรา ได้หนีพายุเข้าอาศรัยใน
เมืองมริดยอมจะไปส่งข้าพเจ้าที่ฝั่ง (Cote) ครั้นข้าพเจ้าได้ไปเมือง
ปอนดีเชรี ก็ได้ไปหาเชอวาเลียเฮแบต์เพื่อส่งจดหมายของมองเซน
เยอร์เดอซาบูล และเพื่อจะพูดด้วยปากถึงข้อความที่ได้กล่าวมาข้าง
ต้นนี้แล้ว และจะพูดถึงเรื่องเงินของบุตร์มองซิเออร์คอนซตันซ์ซึ่ง
ได้ถึงแก่กรรมเมื่อปี ค.ศ. ๑๗๐๙ (พ.ศ. ๒๒๕๒) และซึ่งมาดามคอน ซตันซ์จะต้องการ เพราะตัวเปนคนยากจนด้วย เมื่อข้าพเจ้าได้พบ
กับเชอสวาเลียเฮแบต์แล้วก็ได้รับความพอใขทุกอย่าง เพราะท่านผู้
นี้ไม่ใช่แต่เปนคนมีสติปัญญาสมกับตำแหน่งหน้าที่อย่างเดียว แต่เปน
คนคริศเตียนที่ดีด้วย ท่านผู้นี้มีความรักคณะบาดหลวงของเราและ
นับถือมองซิเออร์เตเซียมาก และบอกกับข้าพเจ้าว่ามีความนับถือมอง
เซนเยอร์เดอซาบูลมากเหมือนกัน ท่านเชอวาเลียเฮแบต์ได้รับรอง
กับข้าพเจ้าว่า ตามที่พวกเรากลัวจะเกิดเรื่องขึ้นที่เมืองไทยนั้นเปนอัน
ไม่ต้องวิตก เพราะมองซิเออร์มาลวงยังไม่ได้รับหน้าที่เปนหัวหน้าของ
บริษัท และถึงแม้ว่าเขาจะได้เปนหัวหน้าของบริษัทแล้ว ก็จะไม่
ใช้กำลังไปตีเมืองมริดเปนแน่ เพราะการที่จะใช้กำลังที่เราวิตก
นั้นจะไม่ได้ประโยชน์เท่าไรนัก ด้วยเหตุว่าเวลานี้ฝรั่งเศสยังเปนไมตรี
กับไทยอยู่ คือว่าทุก ๆ ปีบริษัทฝรั่งเศสก็ได้อาศรัยซ่อมแซมเรือ
ที่เมืองมริด ไทยก็รับรองอย่างดี เมืองฝรั่งเศสจะต้องการอะไรไทย
๒๒
ก็จัดหาให้โดยบริษัทไม่ต้องใช่โสหุ้ยมากมายเท่าไรนัก พระเจ้ากรุง
สยามองค์ที่สวรรคตก็ได้รับสั่งไว้ แก่เจ้าเมืองตะนาวศรีและเจ้าเมืองมริด
ให้รับรองให้ดี และถ้าบริษัทจะต้องการอะไรก็ให้จัดหาให้ ข้อนี้เมื่อ
มองซิเออร์หลุยได้ไปยังเมืองมริดก็ได้เห็นปรากฎอยู่แล้ว แลพระ
เจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ก็ได้มีรับกำชับอย่างนี้เหมือนกัน
จดหมายมองเซนเยดร์เดอซีเซ
ถึงมองซิเออร์เฮแบต์เจ้าเมืองปอนดีเชรี
ค.ศ. ๑๗๑๔ (พ.ศ. ๒๒๕๗)
ในจดหมายฉบับนี้ ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวความให้ซ้ำกับจดหมายที่
ข้าพเจ้าได้มีมายังท่านซึ่งฝากมาทางเมืองมริดเมื่อ ๘ เดือนล่วงมาแล้ว (๑)
และที่ข้าพเจ้าได้กำชับให้ฝากไปกับเรือลำแรกที่จะไปยังฝั่ง เรือที่เดิร
เข้าออกมีอยู่เสมอเกือบทุกระดู ข้าพเจ้าจึงหวังใจว่าท่านคงจะได้รับ
หนังสือของข้าพเจ้า และท่านคงจะทราบถึงการต่าง ๆ ที่ได้ขึ้นในเมือง
ไทย ตามความดำริห์ของท่านที่ได้บอกมาให้ทราบนั้นแล้ว
ข้าพเจ้าเชื่อท่านคง จะมีความพอใจในรายงารของข้าพเจ้าที่ได้ชี้แจ้งถึง
การต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าได้จัดไปเพื่อให้ถูกใจท่าน และคงจะพอใจในการที่
ข้าพเจ้าได้จัดเปนการสำเร็จไปนั้นด้วย
(๑) สำเนาจดหมายที่อ้างนี้หามีไม่
๒๓
ตั้งแต่นั้นมาการต่าง ๆ ก็คงอยู่รูปเดิม ดังข้าพเจ้าได้ชี้แจ้งให้
ท่านทราบแล้ว ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเราหาได้จัดกการอย่างไรต่อไปอีกไม่
ตามที่ข้าพเจ้าได้บอกท่านไปว่าพระเจ้ากรุงสยามได้รับสั่งให้เตรียมบ้าน
ที่เอกอรรคราชทูตฝรั่งเศสได้เคยพัก และให้ซ่อมแซมบ้านของพ่อค้า
ฝรั่งเศสเพื่อจัดให้เปนที่พักของเจ้าพนักงารของบริษัท เพราะไทยเชื่อ
ว่าท่านคงจะพาคนของบริษัทมาด้วยนั้น การทั้งสองอย่างที่รับสั่งให้ทำ
นี้หาได้ใคร่ทำกันไม่ เมื่อได้รับสั่งในเรื่องนี้เปนเวลาที่พึ่งได้เสวยราชย์
และเปนเวลาที่เหมาะ พวกขุนนางซึ่งได้รับกระแสรับสั่งให้จัดเรื่องนี้ก็
ได้ลงมือทำบ้างในชั้นต้น แต่ภายหลังก็ได้กระตือรือร้นอย่างใด การ
ที่ช้าไปเช่นนี้จะเปนได้ด้วยหลายประการ คือจะเปนด้วยพระทัยของ
พระเจ้าแผ่นดินชาไป เพระได้มีคนกราบทูลว่า การที่จะเปนไมตรีและ
ติดต่อกับฝรั่งเศสอีกความต้องการของฝรั่งเศสนั้น คงจะได้รับความ
บีบครั้นของฝรั่งเศสซึ่งจะไม่เปนประโยชน์แก่ประเทศสยามเลย อย่าง ๑
หรือจะเปนด้วยความรังเกียจของข้าราชการไทยที่มีหน้าที่ทำการนี้ เพราะ
การที่จะซ่อมแซมบ้านตามรับสั่งนั้น ข้าราชการเหล่านี้ต้องออกทุนทรัพย์
ของตัวเองซึ่งเปนเงินไม่น้อยอย่าง ๑ หรือจะเปนด้วยพวกออลันดาคิด
อ่านยุแหย่ เพราะพวกฮอลันดาหาหนทางทุกอย่างที่จะขัดขวางในความ
คิดของท่ายอีกอย่าง ๑ ก็จะเปนได้ ในเวลานี้พวกฮอลันดาก็ได้ประจบ
ประแจงเอาเจ้าพระยาพระคลังเปนพวกของตัวแล้ว เจ้าพระยาพระคลัง
คนนี้ในส่วนต้วเองก็เปนคนดีอยู่ แต่ก็เชื่อถ้อยฟังคำของจีนผู้หนึ่งทุก
๒๔
อย่าง ถ้าจีนผู้นี้จะพูดอย่างไรหรือจะให้ทำอย่างไร เจ้าพระยาพระคลัง
ก็ทำตามใจจีนคนนี้ทั้งสิ้น ฝ่ายพวกฮอลันดาเห็นว่าจีนผู้นี้จะเปนสายได้ดี
สำหรับพูดจาเกลี้ยกล่อมเจ้าพระยาพระคลังได้ จึงได้เอาจีนคนนี้ไป
เลี้ยงและตั้งให้เปนพ่อค้าของบริษัทฮอลันดา และนอกจากทำการของ
บริษัทแล้ว พวกฮอลันดายังอนุญาตให้จีนผู้นี้ทำการค้าขายในส่วนตัว
ได้อีก ซึ่งทำให้จีนคนนี้ได้รับประโยชน์ถึงสองทาง เพราะฉนั้นจีน
ผู้นี้จึงเข้ากับพวกออลันดา ถ้าการที่ไทยชานั้นไปนั้นจะเปนด้วยเหตุหนึ่ง
เหตุใดดังที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้แล้ว ข้าพเจ้าจะได้บอกให้ท่านทราบภายหลัง
ในเวลาที่เรือลำเล็กลำ ๑ ซึ่งมาจากเมืองมัทราสจะได้ออกจากเมืองนี้
ในเวลานี้ถ้าข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบว่า ในเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความเห็น
อย่างไรนั้นก็พอจะบอกได้ แต่ความเห็นนี้เปนความเห็นส่วนตัวข้าพเจ้าเอง
และจะรับรองว่าเปนความเห็นที่ถูกทีเดียวก็ยังไม่ได้ เพราะฉนั้นจึงควร
จะรอให้ได้ความชัดเจนขึ้น และคิดอ่านสืบสวนให้ได้สว่างแจ่มแจ้ง
เสียก่อนจะดีกว่า
ถึงแม้ว่าการที่พวกฮอลันดาจะพูดจายุแหย่และได้เปนผลอย่างไรเปน
การที่ข้าพเจ้ายังแคลงใจอยู่ก็จริงนั้น แต่ในข้อที่พวกฮอลันดาคิดจะ
ขัดขวางท่านนั้นเปนการที่ข้าพเจ้าไม่มีความสงสัยเลย เพราะพวก
ฮอลันดาได้พยายามอยู่เสมอเปนนิตย์ ที่จะขัดขวางในความคิดของท่านทุก
อย่าง และความคิดของท่านจะมีอย่างไร พวกฮอลันดาก็รู้ถึงอยู่เสมอ
เวลานี้พวกฮอลันดายึดเจ้าพระยาพระคลังไว้เปนหลัก และเจ้าพระยา
๒๕
พระคลังกับพวกฮอลันดาชอบกัน เปนอันหนึ่งอันเดียวกันจนถึงกับกินและ
เล่นอยู่ด้วยกันเปนนิตย์ การที่กินกับเล่นด้วยกันนี้ได้ทำกันอย่างเปิดเผย
จนถึงกับคนทั่วไปมีความปลาดใจว่าเหตุใดจึงได้สนิธกันถึงเพียงนี้ การ
ที่พวกฮอลันดากับเจ้าพระยาพระคลังประชุมสำหรับกินและเล่นกันนั้น ก็มัก จะไปประชุมที่บ้านจีนนั้นซึ่งได้รับตำแหน่งหน้าที่เปนพ่อค้าของห้างฮอลันดา
จีนผู้นี้ได้คิดถึงบุญคุณของเจ้าเมืองบาตาเวียมาก จนถึงกับพยายาม
กีดกันมิให้พ่อค้าต่างประเทศเข้มาในเมืองนี้เพื่อพวกฮอลันดาจะได้ทำการค้าขายได้แต่ฝ่ายเดียว เมื่อเร็ว ๆ นี้เองมีพ่อค้าอังกฤษคน ๑ มาจาก
เมืองเบงกอล ได้มาหารือจีนผู้นี้ถึงเรื่องการค้าขาย จีนผู้นี้จึงได้แนะนำ
กับพ่อค้าอังกฤษอย่างเปนกันเอง ว่าอังกฤษจะเชื่อฟังถ้อยคำของจีน
ผู้นี่แล้วก็ไม่ควรจะเข้ามาค้าขายในเมืองนี้ เพราะเปนเมืองที่ยากจน
กันดารจะค้าขายสิ่งใดหากำไรยาก ฝ่ายพ่อค้าอังกฤษก็หาเชื่อไม่กลับ
แสดงความปลาดใจที่จีนผู้นี้พูดดังนี้ เพราะฉนั้นจีนผู้นี้จึงพยายามจะให้
พ่อค้าอังกฤษฉิบหายให้จงได้ และจวนจะสำเร็จไป หากว่ามีข้าราชการ
ไทยได้อุดหนุนพ่อค้าอังกฤษ และได้แนะนำต่าง ๆ จนที่สุดได้หาโอกาศ
ให้พ่อค้าอังกฤษคนนี้ได้ถวายเรื่องราว พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงรับ
เรื่องราวแล้วก็ได้มีกระแสรับสั่งอนุญาต ให้พ่อค้าอังกฤษได้ทำการค้าขาย
ได้ตามชอบใจ แต่ถึงดังนั้นเจ้าพระยาพระคลังและจีนผู้นี้ได้ทำให้พ่อค้า
อังกฤษได้รับความลำบากและเดือนร้อนเปนอันมาก จนถึงกับพ่อค้า
อังกฤษคนนีด้คิดจะกลับจากเมืองไทยอยุ่แล้ว
๒๖
เจ้าพระยาพระคลังคนนี้เปนคนที่พระเจ้าแผ่นดินที่สวรรคโปรด
ปรานมาก และพระเจ้ากรงสยามองค์ปัจจุบันก็เดิรตามรอยพระราชบิดา
ก็โปรดปรานมากเหมือนกัน แต่การที่เจ้าพระยาพระคลังทำตามใจจีน
ผู้เปนพ่อค้าของบริษัทฮอลันดาทุกประการนั้น จึงเปนการกระทำให้
ความคิดของท่านเปนที่ติดขัดไปหมด ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ยัง
มีพระชนมายุน้อยโปรดแต่ในการเล่นให้เพลินพระทัย จึงมอบราชการ
งารเมืองโดยมากให้เจ้าพระยาพระคลังจัดทำไป ส่วนเจ้าพระยาพระคลัง
รู้พระทัยของพระเจาแผ่นดินก็ได้ ดำเนิรการทุกอย่างให้เปนทีต้องพระราช
หฤทัย เพราะฉนั้นผู้ที่เจ้าพระยาพระคลังไม่ชอบนั้นจึงตกอยู่ในฐาน
ลำบากมาก แล้วเจ้าพระยาพระคลังได้คิดอุบายหาผู้หญิงจีนเข้าไปไว้
ในพระราชวัง เพื่อให้คอยรับใช้พระมเหษีและเจ้านายผู้หญิง ส่วน
ราชการฝ่ายหน้านั้นตำแหน่งใดที่เปนตำแหน่งสำคัญ ๆ เจ้าพระยา
พระคลังก็ตั้งให้พวกจีนเข้ารับตำแหน่งนั้น ๆ และตำแหน่งหน้าที่ที่เกี่ยว
ด้วยการค้าขาย เจ้าพระยาพระคลังก็ตั้งให้พวกจีนเปนหัวหน้า เพราะ
ฉะนั้นในเวลานี้การค้าขายในเมืองไทยจึงตกอยู่ในมือพวกจีนทั้งสิ้น ถึง
แม้ว่าพวกไทย มอญ แขกด มลายู แขกมัวไม่พอใจอย่างยิ่งในการที่
ไทยลำเอียงเข้าข้างจีนเช่นนี้ ก็ไม่กล้าพูดจาคัดค้านอย่างใด เพราะ
ทราบอยู่ว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงฟังเสียงพวกจีน โดยพระเจ้าพระยาคลัง
เปนสาย
๒๗
ท่านได้ขอให้ข้าพเจ้าเล่าความจริงถึงการในเมืองไทยให้ท่านทราบ
เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงได้เล่าความต่าง ๆเหล่านี้โดยเลอียดเพื่อให้ตรงกับ
ความต้องการของท่าน เพราะฉนั้นเมื่อท่านได้ทราบแล้ว ท่านจะคิด
จัดการอย่างไรก็แล้วแต่ท่านจะเห็นควรตามสติปัญญาของท่านเถิด
จดหมายมองเซนเยอร์เดอซีเซ
ถึงมองซิเออร์เฮแบต์ เจ้าเมืองปอนดีเชรี
ค.ศ. ๑๗๑๕ (พ.ศ. ๒๔๕๘)
ท่านคงจะได้ เห็นแล้วตามจดหมายที่ข้าพเจ้าได้มีมถึงท่านสอง
ฉบับฝากมาทางเมืองมริดฉบับ ๑ ลงวันเดือนมีนาคม อีกฉบับ ๑ ลงวัน
เดือนพฤศจิกายนปีก่อนนั้น ว่าข้าพเจ้าได้จัดการอย่างไร สำหรับทาบทาม
ความคิดของไทยในเรื่องที่ท่านได้ดำริห์ไว้ เพราะฉนั้นในที่นี้ข้าพเจ้าจะ
ได้รายงารให้ท่านทราบดังข้าพเจ้าได้สัญญาไว้ในจดหมายฉบับหลัง ว่า
ผลที่สุดของการที่ข้าพเจ้าได้ทาบทามไทย ในเรื่องที่ฝรั่งเศสจะขอเมือง
มริดนั้น เปนอย่างไร
การที่ข้าพเจ้าจะทาบทามความคิดของไทยนั้น ข้าพเจ้าเดิรวิธี
๒ อย่าง คือ ๑ ได้สืบถามและลองพูดกับข้าราชการผู้ใหญ่หลายคน อีก
อย่าง ๑ ข้าพเจ้าได้สืบถามพวกไทยที่ฉลาด ๆ ซึ่งอยู่ในที่นี้ว่า ถ้า
ฝรั่งเศสจะขอให้ไทยยกเมืองมริดให้ฝรั่งเศสแล้ว คนไทยเหล่านี้จะ
เห็นเปนอย่างไร แต่การที่ข้าพเจ้าสืบถามทาบทามทั้งสองทางนี้ไม่ได้
๒๘
ข่าวอันดีที่จะบอกให้ท่านทราบได้เลย วิธีที่ข้าพเจ้าได้จัดการในเรื่องนี้
นั้นได้ทำดังนี้ คือเมื่อสองสามวันนี้เอง ข้าพเจ้าให้หัวหน้าของ
โรงเรียนสามเณร ไปหาข้าราชผู้ซึ่งได้นำความกราบทูลว่าท่านได้
มาถึงอินเดียเมื่อปดีก่อน และได้กราบทูลถึงอัธยาศัยของท่าน ทั้ง
กราบทูลด้วยว่าท่านกำลังดำริห์ที่จะให้ ไทยกับฝรั่งเสสได้กลับเปนไมตรี
กันอย่างเดิมอีกนั้น เมื่อหัวหน้าโรงเรียนได้ไปพบกับข้าราชการผู้นี้ จึง
ได้แจ้งให้ข้าราชการผู้นั้นทราบว่า เรือจวนจะออกแล้ว เพราะฉนั้น
ข้าพเจ้าอยากจะทราบว่า พระเจ้ากรุงสยามจะทรงตอบเรื่องราวที่ข้าพเจ้า
ได้ถวายไว้แต่ปีก่อนนั้นอย่างไร เพื่อข้าพเจ้าจะได้แจ้งไปให้ท่านทราบ
ในปีนี้ เพราะเมื่อปีก่อนจะบอกไปให้ท่านทราบไม่ทันด้วยเหตุเรือได้
ออกเสียก่อนได้รับหนังสือจากเมืองมริด
ข้าราชการคนนี้ซึ่งเปนผู้มีความรู้แต่ผู้เดียวถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เมื่อ
ครั้งเกิดจลาจลนั้น และเปนคนที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียวยิ่งกว่าข้า
ราชการทั้งปวงในเมืองนี้ ได้ตอบว่าการเรื่องนี้เปนการสำคัญอยู่จะต้อง
บอกให้เจ้าพระยาพระคลังทราบเสียก่อน เพื่อเจ้าพระยาพระคลังจะได้
นำความขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ ในวันนั้นเองหัวหน้าโรงเรียนได้ไป
ยังบ้านเจ้าพระยาพระคลัง และได้ไปพูดอย่างเดียวกับที่ได้พูดไว้แก่
ข้าราชการในตอนเช้า แต่หาได้บอกให้เจ้าพระยาพระคลังทราบไม่ว่า
ในเรื่องนี้ได้พูดกับคนอื่นไว้แล้ว เจ้าพระยาพระคลังจึงได้ตอบโดย
ทำกิริยาเฉย ๆ ว่า "ให้ท่านราชทูตมาเถิด ไทยจะได้จัดรับรองอย่างดี
๒๙
พระเจ้ากรุงสยามก็ได้มีรับสั่งไว้แล้วให้จัดเตรียมวังให้ราชทูตพัก และ
ให้จัดบ้านไว้ให้พวกพ่อค้าทจะมากับราชทูตอยู่ด้วย "หัวหน้าสามเณร
จึงขอสำเนาคาสั่งอันนี้ เจ้าพระยาพระคลังก็เรียกเสมียนมาแล้วสั่งให้
คัดสำเนาคำสั่งให้ แต่เพราะเหตุว่าคำสั่งอันนี้ก็ตรงกันกับที่ข้าพเจ้าได้
ส่งไปให้ท่านดูในจดหมายฉบับก่อน ๆ แล้ว ในครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงหาได้
แปลส่งมาอีกไม่ ภายหลังมาอีกสองวันเจ้าพระยาพระคลังจะได้ตรอง
ถึงกิริยาหยาบที่ตนได้แสดงไว้หรืออย่างไรไม่ทราบ จึงได้ให้คนมา
บอกข้าพเจ้าว่า ถ้าข้าพเจ้าต้องการแล้วเจ้าพระยาพระคลังจะได้นำความ
เรื่องนี้กราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ ข้อนี้เปนการที่ข้าพเจ้า
ต้องการโดยแท้ แต่การที่จะกราบทูลนั้นข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ขึ้นชื่อว่า
ข้าพเจ้าได้ขอร้องอย่างไร มิฉนั้นเจ้าพระยาพระคลังก็จะมายกบุญยอคุณ
ข้าพเจ้าจึงได้ทำเปนพูดว่า การที่ข้าพเจ้าได้มาแนะนำเช่นนี้เปนสิ่งที่น่า
ยินดีเปนอันมาก และเปนการที่เจ้าพระยาพระคลังควรจะจัดการโดย
เต็มอกเต็มใจ เพราะเปนทางที่จะให้เจ้าพระยาพระคลังหาความชอบ
ต่อพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ได้ เพราะเรื่องนี้เปนสิ่งที่จะพอพระทัยยิ่งกว่า
เรื่องอื่น (ที่จริงเรื่องการที่เกี่ยวด้วยพะรเกียรติยศคงจะพอพระทัยเปน
แน่ แต่ที่เกี่ยวด้วยยกเมืองมริดให้ฝรั่งเศสคงจะทำให้กริ้วหนักหนา)
โดยเหตุที่พอได้เสวยราชย์ใหม่ ๆ ก็ได้รับสิ่งที่พระราชบิดาต้องพระราช
ประสงค์มาช้านานแล้ว เพราะฉนั้นในเรื่องนี้ควรจะอย่างไรคือจะควร
กราบทูลหรือไม่นั้นก็แล้วแต่เจ้าพระยาพระคลังจะเห็นควรทั้งสิ้น เพราะ
๓๐
การเรื่องนี้เปนเรื่องที่เข้าใจกนอยู่แล้ว จึงขอให้เจ้าพระยาพระคลังตรึก
ตรองเสียให้ดี และจะควรอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าพระยาพระคลังจะจัดการ
ต่อไป เจ้าพระยาพระคลังเห็นว่าที่ได้คัดสำเนาคำสั่งมาให้ข้าพเจ้า
เปนการพอแล้ว และไม่เห็นควรที่จะนำความกราบทูลให้ทรงทราบ
ในการที่จะนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลตามที่เจ้าพระยาพระคลังว่า ถ้า
ข้าพเจ้าต้องการแล้วก็จะนำความกราบทูลให้นั้น ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้
เจ้าพระยาพรพคลังรู้สึกว่าข้าพเจ้าได้ขอให้นำความกราบทูล เพราะถ้า
เปนการที่ข้าพเจ้าขอร้องแล้วก็เท่ากับเปนการที่ข้าพเจ้าจะขอเฝ้าด้วย ทั้งจะตรงข้ามกับหนทางที่ควรจะดำเนิรในเรื่องนี้ เพราะเหตุว่าด้วย
ประการทั้งปวงจะต้องให้ตาโลกเห็นว่าไทยหาฝรั่งเศส หาใช่ฝรั่งเศส
เข้าหาไทยไม่ ถ้าแม้ว่าการเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินก่อนทั้งสอง
รัชกาล คือว่าถ้าในแผ่นดินก่อน ๆ ได้ทราบกันว่าในประเทศอินเดียมี
ราชทูตของพระเจ้าแผ่ดินฝรั่งเศสซึ่งพร้อมอยู่ที่จะมา เจรจาการบ้านเมือง
เพื่อให้พระราชไมตรีซึ่งเคยมี อยู่ในระหว่างประเทศสยามและประเทศ
ฝรั่งเศสได้คงมีต่อสืบไปอีก และราชทูตคนนี้อาจจะเจ้ามาถึงกรุงศรี
อยุธยา เพื่อมาเจรจาการเหล่านี้ได้นั้น ชาวสยามก็คงจะมีความยินดี
อย่างยิ่ง และถ้าได้จัดการรับราชทูตเหมือนเมื่อครั้งรับเชอวาเลียเดอ
โชมอง หรือมองซิเออร์เดอลาลูแบและมองซิเออร์เซเบเรต์แล้วไทยก็
จะปลื้มหาน้อยไม่ แต่มาในสมัยนี้ไทยดูเฉื่อยชาเฉยไปหมด จนที่สุด
การที่ว่าจะสร้างหรือตบแต่งวังสำหรับราชทูต และการที่จะซ่อมแซม
๓๑
บ้านสำหรับให้พ่อค้าฝรั่งเศสพักนั้นก็ ดูเฉื่อยชาไม่กระตือรือร้นกันเลย
การทั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าแน่ใจ ขึ้นอีกตามที่ข้าพเจ้าได้บอกท่านมาโดยืดยาว
ในจดหมายก่อน ๆ สองฉบับแล้วนั้น ว่าพวกฮอลันดาได้เกลี้ยกล่อม
หรือจะว่าซื้อเอาเจ้าพระยาพระคลัง กับ ข้าราชการอื่น ๆ อีก หลายคน
เข้าเปนพวกของตัวหมดแล้ว ในข้อที่ว่าซื้อนั้นฉเพาะพระยาพระคลัง
เปนของแน่ เพราะหัวหน้าของห้างฮอลันดาซึ่งอยู่ในเมืองนี้ได้พูดกับ
คน ๆ ๑ ซึ่งเปนที่เชื่อใจได้ ว่าหัวหน้าห้างได้รับสั่งจากตาเวียว่า
ถ้าเจ้าพระยาพระคลังจะต้องการอะไร ก็ให้ห้างจัดหาให้ทุกอย่าง
การที่ข้าพเจ้าได้จัดการทาบทามความคิดของไทยในเรื่องฝรั่งเศส
นั้น เปนเรื่องดังที่ได้เล่ามาข้างบนนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าไทยเฉยเมินมาก
จึงเห็นว่าการทั้งปวงที่ท่านได้ดำริห์ไว้นั้นไม่หวังว่าเปนการสำเร็จได้ คือ
ว่าคงจะจัดการไม่ให้เปนการ เสียพระเกียรติยศของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสไม่ได้ และฝ่ายบริษัทก็คงจะไม่ต้องเสียใจภายหลังที่ตัวต้องลงทุนมาก
มาย แต่ไม่ได้ประโยชน์อย่างใด
ในข้อที่จะถามความเห็นของพวกฝรั่งเศสที่อยู่ในเมืองนี้ว่า เขา
คิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้นั้น ข้าพเจ้าจะต้องบอกเสียก่อนว่า ตั้งแต่
ได้ตกลงปรองดองกับไทยมานั้น ยังคงเหลือชาวฝรั่งเศสแต่สามคน
เท่านั้น ในสามคนนี้มีอยู่สองคนที่พอมีความรู้ที่จะทำมาหากินพอเลี้ยง
ครอบครัวเท่านั้น แต่นอกจากนั้นไม่มีความรู้อย่างใดเลย เพราะ
ฉนั้นยังคงเหลือแต่ชาวฝรั่งเศสอีกคนเดียว ซึ่งมีสติปัญญาพอที่จะ
๓๒
ปฤกษาหารือได้ คือ มองซิเออร์ ชาบอนโน ซึ่งได้มาอยู่ในเมืองนี้
ช้านานมาแล้ว และซึ่งได้เกี่ยวเมื่อครั้งเกิดจลาจลไม่ใช่น้อยด้วย และ
ในระหว่างที่กำลังเดือดร้อนอยู่นั้นก็ได้ดำเนิรการโดยระวังตัวอย่างดี ท่าน
ผู้นี้ความรู้ในอัธยาศัยของไทยพอที่จะเชื่อถือได้ โดยไม่ต้องกลัว
ว่าเขาจะเข้าใจผิดอย่างใด มองซิเออร์ชาบอนโนเปนคนที่ชาวต่างประเทศ
ทั้งหลายในเมืองนี้นับถือมาก เมื่อการงารติดขัดพวกชาวต่างประเทศ
ก็มาปฤกษาหารือมองซิเออร์ ชาบอนโนอยู่เสมอเปนนิตย์ และถ้ามี
การโต้เถีบยงกันในระหว่างพวกชาวต่างประเทศ ก็มักจะขอให้มองซิเออร์
ชาบอนโนเปนคนกลางชี้ขาดในข้อโต้เถียงเหล่านั้น ฝ่ายพวกไทยก็มี
ความนับถือรักใคร่มองซิเออร์ ชาบอนโนมากเหมือนกัน และยกย่อง
เหมือนกับมองซิเออร์ ชาบอนโนได้เคยเปนข้าราชการเก่า ซึ่งเคยได้
เปนผู้ว่าราชการเมือง และในระหว่างที่ว่าราชการเมืองอยู่นั้นก็ได้ทำ
ให้คนทั้งหลายพอใจทั้งนั้น เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงอยากจะทราบว่า ใน
การที่ฝรั่งเศสจะขอเมืองมริดจากไทยนั้น มองซิเออร์ ชาบอนโนจะมี
ความเห็นอย่างไร ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าได้เคยพูดกับมองซิเออร์ ชาบอนโน
หลายครั้ง เพื่อคอยสังเกตว่าเขาจะคงยืนคำอยู่หรือจะเปลี่ยนแปลง
อย่างใด ข้าพเจ้าได้อธิบายถึงประโยชน์ในการที่ฝรั่งเศสจะได้ตั้งอยู่ที่
เมืองมริด และได้เล่าว่าไทยก็ได้รับรองไว้แต่เดิมแล้วว่า จะได้ยก
เมืองมริดให้แก่ฝรั่งเศส มองซิเออร์ชาบอนโนจึงได้ตอบข้าพเจ้าว่าไม่ควร
จะนึกเลยว่า ไทยจะยกเท่าเรือนี้ให้แก่ฝรั่งเศส เพราะไทยถือว่า
๓๓
เมืองมริดเปนเมืองที่สำคัญสำหรับทำการค้าขาย ติดต่อกับเมืองมอญ
เมืองเบงกอลและฝั่งคอรอมันเดล การที่ไทยได้รับรองไว้แต่ก่อน ๆ
นั้น ก็ไม่ได้ประสงค์อะไรนอกจากจะพูดให้ถูกใจฝรั่งเศส เพื่อล่อให้
ฝรั่งเศสแต่งราชทูตมา เพราะการที่มีราชทูตมาเช่นนี้เปนเกียรติยศ
ต่อไทย ทั้งไทยก็ได้กำไรด้วย ถ้าหากไทยจะถูกบังคับเพราะเหตุที่ตัว
รับรองไว้ และจำเปนจะต้องตามที่รับริงไว้นั้นแล้ว ไทยก็คง
สัญญายอมหมดทุกอย่าง แต่ลงปลายไทยก็คงจะไม่ทำตามที่ได้สัญญา
ไว้ ถ้าจะดูภายนอกก็เหมือนไทยจะเปนธุระช่วยฝรั่งเศสให้มาตั้งค้า
ขายในแห่งต่าง ๆ ที่ไทยได้อนุญาตไว้ก็จริงอยู่ แต่ภายในไทยก็คิด
อุบาย ๆ หลายพันอย่างที่จะขัดขวางไมให้ฝรั่งเศสตั้งอยู่ได้ และ
ถ้าหากว่าพวกฝรั่งเศส จะจัดการแก้อุบายของไทยจนได้มาตั้งการค้าขาย
ได้แล้ว ไทยก็คงจะพยายามรังแกข่มเหงที่สุดที่จะทำได้ นี่และ
เปนความเห็นของมองซิเออร์ชาบอนโน ซึ่งตรงกับเห็นของพวก
บาดหลวงและนักเรียนของเรา และพวกนี้ก็รู้จักนิสัยของไทยได้ดี
เหมือนกัน
ถ้าจะสรุปรวมความแล้ว ความเห็นของคนทั้งหลายในเรื่องนี้มี
ดังนี้ คือ ๑ ทำอย่างไร ๆ ไทยก็คงไม่เต็มใจยกเมืองมริดให้ฝรั่งเศส
๒ ถ้าฝรั่งเศสได้แต่งราชทูตมาแลมีเครื่องราชบรรณาการอย่างดีและงาม
๓๔
ฝรั่งเศส ๓ แต่ถึงไทยจะรับรองและสัญญว่าจะยกเมืองมริดให้ฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม ไทยก็คงไม่ยกให้ นอกจากจะใช้กำลังแล้วทำอย่างไร
ฝรั่งเศสก็คงจะไม่ได้เมืองมริด ๔ ถ้าแม้ว่าไทยจะทำอย่างอื่นไม่ได้
นอกจากแกล้งทำเปนทีช่วยให้ฝรั่งเสสได้ไปตั้งที่เมืองมริดแล้ว ไทย
ก็คงจะคิดอุบายต่าง ๆ มิให้ฝรั่งเศสตั้งอยู่ได้ ๕ หาความฝรั่งเศสจะจัด
การไปอยู่เมืองมริดให้จงได้ โดยใช้กำลังทหารก็ตาม หรือจะเอา
เงินหว่านก็ตาม หรือจะคิดอุบายดีอย่างใดก็ตาม แต่ก็คงจะวิวาทกับ
ไทยเสมอไม่ขาดเลย และไม่ช้าก็เร็วไทยก็คงจะทำกับฝรั่งเศสเหมือน
กับพวกญวนได้ทำกับอังกฤษที่ปูโลคอนดอเมื่อ ๓-๔ ปีนี้เอง และ
การที่ไทยจะคิดการเช่นนี้ ก็อาจทำด้วยกำลังของตัวเอง หรือจะใช้
พวกแขกพราหมณ์และแขกมลายู ซึ่งอยู่ตามเกาะต่าง ๆ ใกล้กับประเทศ
สยามก็ได้ ถ้าเสียงของข้าพเจ้าจะมีน้ำหนักบ้างแล้ว และเพื่อจะยืน
ยันว่าความเห็นตามที่กล่าวมาแล้วเปนความเห็นที่ถูกนั้น ข้าพเจ้าจะ
ต้องขอบอกให้ท่านทราบว่า ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รู้จักกับคนไทย ความ
เห็นของข้าพเจ้าก็ตรงความเห็น ๕ ข้อซึ่งได้กล่าวมาแล้วนั้น เพราะ
ฉนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าท่านควรจะถือความเห็นนี้ไว้เปนหลัก เพราะเปน
เรื่องที่จะพูดในที่อื่นไม่ได้
การที่เจ้าเมืองตะนาวศรีได้เอื้อเฟื้อแก่เรือฝรั่งเศสซึ่งได้แวะเข้าไป
ที่เมืองมริดเพื่อทำการซ่อมแซมเรือนั้น จะต้องถือว่าเปนด้วยน้ำใจอัน
ดีของเจ้าเมืองนั้นเอง เพราะการที่เอื้อเฟื้อนี้ไม่ได้เอื้อเฟื้อฉเพาะเรือ
๓๕
ของฝรั่งเศส แต่เจ้าเมืองตะนาวศรีได้เอื้อเฟื้อแก่คนทั่วไป เพราะ
เมื่อก่อนเจ้าเมืองคนนี้จะออกไปรับหน้าที่เมืองตะนาวศรี ก็ได้บอกกับ
ข้าพเจ้าไว้ว่าจะตั้งใจเอื้อเฟื้อแก่คนทั่วไป แต่ท่านเจ้าเมืองคนนี้จะไม่
ได้อยู่ในตำแหน่งนานเท่าไรนัก เพราะหลานของเจ้าเมืองคนนี้ได้ถูกหา
ว่าเปนขบถจะคิดชิงราชสมบัติ และศาลก็ได้ตัดสินประหารชีวิตทั้งลูก
ด้วยอีกคน ๑ แต่พระเจ้ากรุงสยามซึ่งมีพระอัธยาศัยอันเต็มไปด้วย
พระเมตตากรุณา ได้ทรงโปรดยกโทษประหารชีวิต แต่ให้คงมี
โทษจำคุกตลอดชีวิต
ความกดขี่บีบคั้น
ว่าด้วยรื่องไทยกดขี่บีคั้นคณะบาดหลวงในเมืองไทย
เมื่อ ค.ศ. ๑๗๓๐ (พ.ศ. ๒๒๗๓)
สังฆราชเตเซียเดอเคราเล เปนผู้แต่ง
เมื่อเร็ว ๆ นี้เองพวกเราได้หวังใจว่า ในปีนี้คือปี ค.ศ, ๑๗๓๐
(พ.ศ. ๒๒๗๓) พวกเราจะได้สละเลือดเนื้อสำหรับให้เปนเกียรติยศต่อ
พระเปนเจ้า แต่หากว่าพวกศัตรูของสาสนายังไม่ถึงกับต้องให้เรา
สละเลือดเนื้อ เพราะฉนั้นในที่นี้จะต้องเล่าพอเปนสังเขปว่า ศัตรู
ของศาสนาได้ทำการอย่างไรเพื่อให้เสียเกียรติยศของพระเปนเจ้า และ
เพื่อให้เสื่อมเสียแก่สาสนาด้วย
๓๖
ต้นเหตุของเรื่องที่จะกดขี่
มีเด็กอยู่คน ๑ ชื่อเต็ง ซึ่งแต่ก่อนนี้บิดาเคยทำได้ทำการหน้าที่ใหญ่
และซึ่งมารดาในเวลานี้ก็ยังเปนคริสเตียนอยู่ ครั้นบิดาถึงแก่กรรม
แล้วนายเต็งก็คงยังอยู่ในบ้านของบิดาต่อไป แล้วภายหลังญาติของ
นายเต็งได้เก็บทรัพย์สมบัติของมารดานายเต็งไปจนหมดสิ้น แล้วจึง
ไล่มารดานายเต็งให้ออกจากบ้าน มารดานายเต็งหมดเนื้อหมดตัว
และไม่มีที่จะอยู่แล้ว จึงได้ไปอาศรัยอยู่กับสังฆราชเดอซาบูล
ท่านสังฆราชก็ได้ช่วยเหลืออุดหนุนทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ครั้นมา
ภายหลังไม่ช้าเท่าไรนัก นายเต้งก็ตกมาจากที่สูงจนขาแลแขนหัก
ญาติของนายเต็งจึงไล่ออกจากบ้านให้ไปอยู่กับมารดาต่อไป ฝ่าย
มารดาก็เปนคนยากจนที่สุดไม่มีกำลังพาหนะจะรักษาบุตร์ได้ จึงได้ทำ
หนังสือยกบุตร์ให้กับสังฆราชเดอซาบูล ตามแบบธรรมเนียมของเมืองนี้
ครั้นได้จัดการรักษานายเต็งอยู่หลายเดือน นายเต็งก็หาย แต่เขาและ
แขนนั้นยังไม่มีกำลัง ท่านสังฆราชไม่ไว้ใจ จึงได้ทูลขอนายเต็งต่อ
พระเจ้ากรุงสยาม ก็โปรดพระราชทานยกนายเต็งให้แก่สังฆราช
ครั้นนายเต็งอายุได้ประมาณ ๘ ขวบ ได้รับความเล่าเรียนใน
ทางสาสนาก็ยอมเข้ารีตโดยเต็มใจ นายเต็งได้เล่าเรียนอยู่ในโรงเรียน
๑๐ ปี ได้เล่าเรียนหาคุณความดีสำหรับมีใจเผื่อแผ่ช่วยเหลือมนุษย์
จึงได้เจ้าทำพิธีโกนศีร์ษะเจ้าคณะบาดหลวง ฝ่ายญาติของนายเต็ง
ไม่พอใจให้นายเต็งอยู่กับพวกเรา จึงให้ทำเรื่องราวถวายสมเด็จพระ
อนุชาของพระเจ้าแผ่นดิน ขอให้บาดหลวงส่งนายเต็งคืนให้มาอยู่กับ
๓๗
ญาติ สมเด็จพระอนุชาทรงอนุญาตตามคำร้องขอพวกญาติ จึงรับสั่ง
ให้พวกข้าราชการมายังโรงเรียน เพื่อสั่งให้เราคืนตัวนายเต็งให้ ฝ่าย
นายเต็งอดกลั้นอยู่ไม่ได้ จึงได้ไปเฝ้าสมเด็จพระอนุชา ๆ ทรงกริ้ว
หนัก จึงมีรับสั่งให้พนักงารถอดเสื้อยาวออกจากตัวนายเต็ง และ
ให้นายเต็งแต่ตัวอย่างไทย แล้วจึงทรงมอบตัวนายเต็งให้ข้าราชการ
คุมตัวไว้
ภายหลังสักสองสามวัน สมเด็จพระอนุชาได้รับสั่งให้หานายเต็ง
ไปเฝ้า และมีพระกะทู้ถามว่า นายเต็งได้ไปเข้ารีตด้วยเหตุใด
นายเต็งได้ทูลตอบว่า "เพราะเห็นว่าสาสนาคริสเตียนเปนสาสนาที่ดี"
สมเด็จพระอนุชารับสั่งถามว่า "พระเปนเจ้าของเอง จะทำให้เอง
พ้นมือข้าได้หรือ" นายเต็งจึงทูลตอบว่า "ได้เปนแน่ เพราะพระ
เปนเจ้ามีอำนาจมาก" สมเด็จพระอนุชาจึงรับสั่งให้เอาไม้เรียว
เฆี่ยนนายเต็ง นายเต็งทนถูกเฆี่ยนได้สองสามทีก้ร้องขึ้นว่า จะยอม
ทำตามรับสั่งของสมเด็จพระอนุชาทุกประการ สมเด็จพระอนุชาจึง
รับสั่งให้นายเต็งเอาท้าวขยี้ไม้กางเขนและให้กราบพระพุทธรูปเสีย นาย
เต็งก็ได้ทำตามรับสั่งทั้งสองประการ สมเด็จพระอนุชาจึงให้นายเต็ง
ระบุชื่อพวกเข้ารีตรวม ๑๑ คน ซึ่งเปนคนไทยบ้างมอญบ้าง ครั้น
นายเต็งได้รักษาแผลถูกเฆี่ยนหายแล้ว สมเด็จพระอนุชาก็บังคับให้
บวชเปนภิกษุ และการที่บวชนี้ก็ได้ทำตามพิธีบวชชองไทยทุก
อย่าง การที่นายเต็งมีใจกลับกลอกเช่นนี้ได้ทำให้พวกเราเสียใจเปน
อันมาก แต่นายเต็งก็ร้องอยู่เสมอว่า ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะความกลัว
แต่ในใจจริงก็ยังนับถือพระเยซูอยู่เสมอ
๓๘
แล้วสมเด็จพระอนุชาได้ให้ข้าราชการมาหาพวกเรา กล่าวโทษ
มองเซนเยอร์เดอโรซาลี ในการที่รับนายเต็งเข้ารีต มองเซนเยอร์เดอ
โรซาลีจึงได้ตอบว่า "นายเต็งคนนี้ได้เข้ารีตก่อนที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาใน
กรุงสยามอยู่แล้ว" สมเด็จพระอนุชาได้ทรงทราบในคำตอบของ
มองเซนเยอร์เดอโรซาลี ก็มิได้รับสั่งอย่างไรต่อไป แต่ทรงหาช่องทาง
ที่จะริบโรงเรียน วัด และบ้านของเราที่มหาพราณ์ให้จงได้ แต่ผลที่สุด
เรามีอำนาจอันชอบธรรมในที่นี้ สมเด็จพระอนุชาคิดการหาสำเร็จไม่
เรื่องนี้เปนปฐมเหตุที่จะทำให้ไทยกดขี่บีบคั้นพวกเรา เรื่องที่ ๒
เปนเรื่องดังนี้
มีเจ้าเชื้อพระราชวงศ์เก่าองค์ ๑ แสดงพระองค์ว่าเปนเพื่อนกับ
พวกเรา ได้พาเจ้านายอื่น ๆ กับพระสงฆ์มาดูพิธีสวดของเราอยู่เสมอ
จึงได้ยืมหนังสือสาสนาของเราจากท่านสังฆราชไปหลายเล่ม เจ้าองค์นี้
ได้หนังสือเหล่านี้ไปแล้ว ก็นำไปถวายสมเด็จพระอนุชาของพระเจ้า
แผ่ดิน โดยทรงเชื่อว่าสมเด็จพระอนุชาคงจะทรงโปรดสาสนาของเรา
เหมือนกับพระองค์เหมือนกัน หนังสือเหล่านี้กล่าวถึงคุณความดีและ
อภินิหารของพระเปนเจ้า กล่าวถึงเรื่องที่ว่าตายแล้ววิญญาณจะไป
เกิดใหม่หรือไม่ และมีข้อปัญหาถามพระสงฆ์ไทยถึงข้อนี้ ซึ่งพระสงฆ์
ตอบไม่ได้เลยจนองค์เดียว ครั้นสมเด็จพระอนุชาได้ทรงอ่านหนังสือ
เหล่านี้แล้ว ก็มีพระประสงค์จะต้องการหนังสืออื่น ๆ ที่เขียนไว้เปน
ภาษาไทย จนที่สุดหนังสือที่เราเคยอ่านในโบสถ์นั้นก็ต้องพระประสงค์
๓๙
ด้วย จึงมีรับสั่งให้ข้าราชการมารับหนังสือเหล่านี้ไปจากพวกเรา การที่
เปนดังนี้ได้ทำให้เราหนักใจมาก เพราะเราจะบอกว่าหนังสือเหล่านี้ไม่มี
ก็บอกไม่ได้ และถ้าจะไม่ให้ไปก็จะกริ้ว อีกประการ ๑ เราก็
นึกอยู่ว่า หรือบางทีจะเปนโชคอันดีที่พระเปนเจ้าจะต้องการให้เจ้านาย
เหล่านี้ได้รับความสว่าง เพราะในราชสำนักนี้ไม่เคยไปสอนสาสนา
คริสเตียนเลยกระมัง เมื่อคิดได้ดังนี้เราจึงได้มอบหนังสือเหล่านั้นให้
ข้าราชการรับไปถวายสมเด็จพระอนุชา
ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้ากรุงสยามทั้งเจ้านายข้าราชการผู้ใหญ่
ได้มีประชุม ปรึกษา หารือโต้เถียงกันถึงเรื่องสาสนา อยู่หลายเดือน
แต่การที่ประชุมปฤกษากันนี้ หาได้ทำให้เห็นความจริงของสาสนาไม่
กลับทำให้ไทยหลับตาหนักลงไป และใจแข็งยิ่งขึ้นไป จนถึงกับพวก
พระสงฆ์อันนับจำนวนไม่ถ้วน ซึ่งหากินทางสาสนาอันไม่จริงนั้น ได้
ร้องขึ้นขอให้ล้างสาสนาคริสเตียนเสียอย่าให้มีเลย
มองเซนเยอร์เตเซียเดอเคราเล ถูกซักถาม
ภายหลังอีกหลายวันพระเจ้ากรุงสยาม ได้มีพระราชโองการ
ให้พวกเราไปยังศาลสูงตามวันที่กำหนดมา ครั้นถึงวันกำหนดพวกเรา
๕ คน คือ มองเซนเยอร์เดอโรซาลี มองซิเออร์เลอแมร์ กับบาดหลวง
อีก ๓ รูป ได้ไปยังศาลตามเวลาที่นัดไว้ ทั้ง ๕ คนนี้ล้วนแต่ชำนาญ
๔๐
ภาษาไทยทุกคน พอพวกเราได้ไปถึงศาล เจ้าพระยาพระคลังก็สั่ง
ให้เรานั่งลงกับพื้น โดยไม่ยกเว้นในเกียรติยศของสังฆราชอย่างใด
แล้วเจ้าพระยาพระคลังจึงพูดโดยอ้างพระราชโองการว่า มีข้อที่จะ
ต้องกล่าวโทษสังฆราชหลายข้อ ซึ่งเปนความผิดที่สังฆราชได้ทำไว้
มองเซนเยอร์เดอโรชาลีจึงได้ตอบว่า มองเซนเยอร์เดอโรซาลีไม่รู้ตัว
เลยว่าได้ทำการสิ่งใดที่จะให้พระเจ้ากรุงสยามกริ้ว เพราะฉนั้นขอให้
เจ้าพระยาพระคลังชี้ข้อผิดให้ทราบด้วย เจ้าพระยาพระคลังจึงได้เรียก
เสมียนศาลมา แล้วมอบหนังสือซึ่งจดคำถามไว้ให้เสียนอ่านดัง ๆ
และแจ่มแจ้ง เมื่อเสมียนได้อ่านคำถามแล้ว เจ้าพระยาพระคลังก็
จัดการถามด้วยปากเปนข้อ ๆ คำถามและคำตอบมาของเรา มีดังนี้
คำถาม ท่านสังฆราชมีพยานหลักฐานที่จะอ้างได้หรือไม่ ว่า
พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ขออนุญาตต่อพระเจ้ากรุงสยาม ให้พวกสังฆราช
มาทำการและตั้งบ้านเรือนในเมืองนี้
คำตอบ ข้อนี้มีพยานหลักฐานอันแน่นอนโดยพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส
และสังตปาปา ได้มีพระราชสาสนาและศุภอักษรมาถวายพระเจ้ากรุง
สยาม ฝ่ายพระเจ้ากรุงสยามก็ทรงเต็มพระทัยพระราชทานพระราชา
นุญาตตามที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสและสังตปาปาได้ขอร้องมา และพยาน
ในเรื่องนี้ยังมีอีกที่พระเจ้ากรุงสยามได้โปรดให้สร้างวัด และบ้านพระราช
ทานแก่พวกเรา
คำถาม ท่าสังฆราชมาอยู่เมืองนี้ประสงค์จะรักษาพระราชไมตรี
ในระหว่างพระเจ้ากรุงสยาม และพระเจากรุงฝรั่งเศสหรือไม่
๔๑
คำตอบ ตั้งใจจะรักษาและข้าพเจ้าคิดจะรักษาพระราชไมตรีนี้ด้วย
ความเต็มอกเต็มใจโดยแท้
คำถาม ถ้าท่านสังฆราชมาอยู่ในเมืองนี้โดยตั้งใจจะรักษาพระราช
ไมตรีในระหว่างพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองแล้ว เหตุใดสังฆราชจึงทำการ
ตัดพระราชไมตรีนี้ โดยเทศน์ติเตียนสาสนาของพระเจ้ากรุงสยามเล่า
คำตอบ การเทศนาสั่งสอนสาสนาคริสเตียนนั้นดุจจะเปนสายเชือก
สำหรับเชื่อมพระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้าแผ่นดินทั้งสอง และพวก
ข้าพเจ้าได้ตั้งใจแต่จะสอนความจริงทุกแห่งเท่านั้น
คำถาม ถ้าเช่นนั้นเหตุใดท่านจึงยกย่องสาสนาของท่านนัก และ
ติเตียนดูหมิ่นสาสนาของพระเจ้ากรุงสยามนักเล่า
คำตอบ เพราะเหตุว่าในโลกน์นี้มีแต่พระเปนเจ้าองค์เดียวที่เปน
ผู้สร้างฟ้าและดินและปกครองการทั่วไป เพราะฉนั้นสำหรับมนุษย์เรานี้
ก็ควรจะมีแต่สาสนาอันเดียว ซึ่งจะพาเราไปสู่ที่ดีเท่านั้น
คำถาม ในหนังสือเหล่านี้ ท่านสังฆราชได้เอาความจริงและความ
เท็จปนกัน และใช้คำล่อลวงซึ่งทำให้ราษฎรเข้าใจผิด เพราะราษฎร
เหล่านี้เปนคนอยากโง่เขลาไม่รู้จักจะแยกความจริง ออกจากความเท็จได้
ฟังแต่ถ้อยคำที่ไพเราะแก่หูจึงหลงเชื่อ เพราะฉนั้นท่านสังฆราชทำการ
หลอกลวงราษฎรเพื่อจะให้เขาเข้ารีต
๔๒
คำตอบ พระเปนเจ้าไม่โปรดเลยในการที่เราจะหลอกลวง พวก
เราเทศนาสั่งสอนแต่สิ่งทีจริงทั้งนั้น เราไม่ได้บังคับกดขี่ผู้ใด เพราะสาสนา
ของเราห้ามไม่ให้บังคับกดขี่ เรารับคนเข้ารีตแต่ฉเพาะผู้ที่ได้แลเห็น
ความจริงแล้วก็เข้ามาหาเราเท่านั้น เราไม่ได้เอาเงินหรือคำสัญญา
อย่างใด ๆ ล่อให้คนเข้ารีตเลย เราได้ทำทานแก่คนจนตามคุณนุรูป
ของเรา และทานอันนี้เราก็ได้ทำตลอดเผื่อแผ่ไปถึงคนไทยสามัญด้วย
คำถาม ถ้าเช่นนั้นพวกที่นับถือสาสนาคริสเตียน ได้ไปเข้ารีต
ด้วยความเต็มใจ มิได้ถูกหลอกลวงหรือถูกบังคับอย่างใดอย่างนั้นหรือ
คำตอบ เปนอย่างนั้น และถ้าใครไม่ได้เต็มใจมาขอเข้ารีตก่อน
เราไม่ได้รับให้เปนคริสเตียนเลย
คำถาม ท่านสังฆราชจะยืนยันได้หรือไม่ ว่าไม่มีใครที่ได้เจ้ารีต
ด้วยถูกบังคับเลย และที่ได้เข้ารีตนั้นเพราะความเต็มใจทุกคน
คำตอบ ยืนยันได้
คำถาม ถ้าจะมีคนเข้ารีตคนใดสารภาพว่า ตัวได้เข้ารีดเพราะ
ถูกบังคับและถูกหลอกลวงแล้ว ท่านสังฆราชจะว่าอย่างไร
คำตอบ ถ้าท่านกดขี่ด้วยใช้จารีตนครบาล คนนั้นอาจจะพูดเช่น
นั้นก็ได้
คำถาม ถ้าเขาพูดเช่นนั้นด้วยเต็มใจ โดยไม่ถูกบังคับกดขี่
อย่างใด ท่านจะว่าอย่างไรเล่า
คำตอบ ข้าพเจ้าก็จะพูดว่าคนนั้นมุสาเท่านั้น
๔๓
คำถาม เหตุใดท่านสังราชจึงไม่ดำเนิรตามแบบอย่างของ
สังฆราชแต่ก่อน ๆ เพราะสังฆราชแต่ก่อนได้เคยเทศนาในภาษาบ้านเมือง
ของตัว แต่ส่วนสังฆราชคนนี้ใช้เทศนาเปนภาษาไทย การที่ทำเช่นนี้
สังฆราชเห็นว่าจะชักนำให้คนเข้าสาสนาคริสเตียน หรือ
คำตอบ ข้าพเจ้ามิได้ดำเนินการให้ผิดแบบของสังฆราชแต่ก่อน ๆ
เลย เพราะสังราชแต่ก่อน ๆ ก็เคยได้เทศนาเปนภาษาไทยเหมือนกัน
และมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ ก็เคยเทศน์เปนภาษาไทยอยู่เนืองนิตย์
จนพระเจ้ากรุงสยามโปรดปราน จึงได้พระราชทานธรรมมาสน์อันงดงาม
และพระราชทานพระชารานุญาต ให้สังฆราชมีอำนาจสอน สาสนา
คริสเตียนแก่ไทย มอญและลาวได้ เพราะทรงถือว่าเปนสาสนาที่แท้
ท่านเจ้าพระยาพระคลังเปนตนมีอายุน้อยไม่ใคร่มีความรู้ ในเรื่อง
เก่า ๆ และไม่ทราบในเรื่องนี้ จึงไม่ยอมรับคำตอบวันนี้และถามว่า
ท่านมีหลักอย่างไรที่ว่าพระเจ้ากรุงสยามได้พระราชทานอำนาจเช่นนี้
คำตอบ มีหลักที่พระเจ้ากรุงสยามได้รับสั่งให้สร้างโบสถ์และ
โรงเรียน และยังมีพยานอื่นอีก คือข้าราชการเก่า ๆ ซึ่งยังมีชีวิต
อยู่นั้น ได้ยินแก่เห็นแก่ตา
คำถาม ในประเทศสยามมีคนต่างภาษหลายชาติ เช่นแขกมัว
แขกมลายู จีน เขมร และชาติอื่น ๆ อีกหลายชาติ คนเหล่านี้ก็ต่าง
นับถือสาสนาของตัวแต่ก็หาได้มาติเตียนสาสนาของไทยไม่ และตัว
เราเองก็ไม่ได้ติเตียนสาสนาเตียนอย่างใดเลย เหตุใดสังฆราชจึง
มาติเตียนสาสนาของเราเล่า
๔๔
คำตอบ ชนชาติต่างภาษาที่ท่านยกมาอ้างนี้ ได้ศึกษาและ
แสวงหาความจริงหรือเปล่า ข้าพเจ้าจะขอถามท่านสักอย่าง ๑ ว่าเหตุใด
จึงได้มีสาสนาต่าง ๆ กันในโลกนี้มากนัก มนุษย์เราทั้งหลายก็เกิดจาก
ผู้ชายคนเดียวและผู้หญิงคนเดียว คืออาดำและเอวา เพราะเหตุฉนั้น
มนุษย์ทั้งหลายต้องเปนพี่น้องกันทั้งนั้น ซึ่งควรจะนับถือแต่สาสนา
อันเดียวเท่านั้น ก็การที่มีสาสนาต่าง ๆ กันเช่นนี้ จะเปนด้วยเหตุอะไรเล่า
ท่านจะให้ข้าพเจ้าบอกท่านหรือไม่เล่า ก็คือ มนุษย์เราได้ปล่อยใจเอา
แต่ความพอใจของตัวเปนเกณฑ์ จึงลืมสาสนาเดิมทีละเล็กทีละน้อย
และต่างคนต่างคิดสาสนาของตัวขึ้นใหม่ ผู้ที่ยังคงนับถือสาสนาเดิมอยู่
ก็มีน้อยคน และที่คนเหล่านี้ยังคงถือสาสนาเดิมอยู่ก็โดยได้สอนกันมา
เปนทอด ๆ
เจ้าพระยาพระคลังไม่ยอมให้สังฆราชชี้แจงต่อไป จึงพูดตัดตอนว่า
การต่าง ๆ ตามที่เอามาอ้างนี้ไม่เกี่ยวในเรื่องนี้ แต่ท่านสังฆราช
ไม่ยอมจึงอธิบายต่อไปว่า เพราะฉนั้น ถ้าผู้ใดได้ละทิ้งสาสนาเดิม
และคิดประดิษฐสาสนาขึ้นใหม่ซึ่งเปนการไม่มีต่อพระเปนเจ้า เราก็
ติเตียนคนเหล่านั้นอยู่เสมอ
ในที่นี้เจ้าพระยาพระคลังก็เอาเรื่องอื่นเข้าแทรก และพูดว่า
พวกโดหรของเรามีควมนับถือภาษาบาฬี (๑) และหนังสือเขมรมากเพราะฉนั้นบรรดาเรื่องต่าง ๆ ที่เขียนเปนภาษาบาฬีหรือเขียนเปนหนังสือ
๑) การที่ข้าพเจ้าได้พูดชี้แจงเพื่อเปนทางแก้ข้อหานั้น หาได้จดลง ในสมุดที่จะนำขึ้นถวายพระเจ้ากรุงสยามทุกคำตามข้าพเจ้าพูดไม่ เพราะ
๔๕
เขมรแล้ว ไทยก็ถือว่าเปนเรื่องที่จริงทั้งนั้น เพราะที่ฉนั้นการที่สังฆราช
แต่งหนังสือด้วยภาษาบาฬีและใช้ตัวหนังสือเขมร จะประสงค์อะไร
นอกจากจะหลอกคนซึ่งขาดความพิเคราะห์ และทำให้คนเหล่านั้น
หลงเชื่อ
เจ้าพระยาพระคลังให้จดแต่ตามความต้องการของท่านเท่านั้น ข้าพเจ้า
ได้ร้องค้ดค้านว่า การที่จดถ้อยคำของข้าพเจ้าเช่นนี้ไม่เปนการยุติธรรม
แต่เจ้าพระยาพระคลังก็หาฟังไม่ ข้าพเจ้าก็ต้องยอมนิ่ง ข้าพเจ้า
เชื่อแน่ว่าเจ้าพระยาพระคลังคงจะหาว่าข้าพเจ้าใช้วาจาและกิริยาอย่างร้ายแรงมาก ในเวลาที่ถามและตอบกันอยู่นั้นขุนนางผู้เฒ่าชื่อ จักรี นั่งนิ่ง
ไม่ได้พูดอะไรเลยจนคำเดียว ด้วยคอยถึงเวลาจะนำพระราชโองการ
ของพระเจ้าแผ่นดินมาบอกแก่เรา ท่านจักรีคนนี้เคยเปนมิตร์แก่เราอยู่
เสมอจึงพูดกับเราโดยชื่อตรง แต่ก็จำเปนต้องปฎิบัติตามพระราชโองการ
และเปนผู้ที่รักษาคำถามตอบเหล่านี้ ท่านจักรีได้ชี้ให้เราดูตัวหนังสือ
บาฬีและพูดว่า "การที่ท่านได้ใช้หนังสือบาฬีนั้นเปนการที่ท่านได้ทำ
ความผิดอย่างร้ายแรง เพราะไทยถือว่าหนังสือบาฬีนั้นเท่ากับพระองค์ ๑
และการที่คนมิจฉาทิฐิเช่นพวกเราเอามาใช้เช่นนี้ เท่ากับเปนการลบหลู่
สาสนา (ข้อความนี้คัดมาจากจดหมายมองเซนเยอร์เตเซียถึงผู้อำนวย
การคณะต่างประเทศ ลงวันที่ ๗ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๗๓๔ พ.ศ. ๒๒๗๗)
๔๖
คำตอบ หนังสือต่างๆที่สมเด็จพระอนุชาได้เรียกไปจากเรา และ
หนังสืออื่น ๆ ซึ่งอยู่ในพระหัดถ์ของสมเด็จพระอนุชานั้น ไม่ให้หนังสือ
ที่ข้าพเจ้าแต่ง หนังสือเหล่านี้เปนหนังสือที่มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ
เปนผู้แต่งเขียน และท่านสังฆราชผู้นี้เปนคนที่ฉลาดและเปนนักปราชญ์
ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินโปรดปรานมาก และการที่ท่านสังฆราชผู้นี้ได้ใช้
ภาษาปละตัวอักษรซึ่งเหมาะสำหรับ แต่งข้อสูงในสาสนาของเรานั้น
ไม่เปนการแปลกอะไรเลย
เจ้าพระยาพระคลังได้เปลี่ยนเรื่องอีก ถามว่า เขาเล่ากันว่า
เมื่อแต่ก่อนนี้ได้มีบาดหลวงคริสเตียนเข้าไปยังเมืองยี่ปุ่น ได้ไปสอน
สาสนาคริสเตียนในเมืองยี่ปุ่นและได้รับชาวยี่ปุ่นเปนคริสเตียนหลายคน
ครั้นบาดหลวงเหล่านั้นเห็นว่า พวกของตัวมีจำนวนมากขึ้น เชื่อในกำลัง
ของตัวว่าพอแล้ว จึงได้ขบถขึ้น พระเจ้ากรุงยี่ปุ่นได้ต่อสู้พวกบาดหลวง
จนบาดหลวงแพ้ พระเจ้ากรุงยี่ปุ่นจึงได้จับบาดหลวงและพวกยี่ปุ่น
ที่เปนขบถฆ่าเสียสิ้นทั้งริบทรัพย์สมบัติเสียด้วย และสั่งว่าต่อไปห้าม
มิให้คนถือสาสนาคริสเตียนเหยียบเข้าไปในแผ่นดินอีกต่อไปเปนอันขาด
เพราะฉนั้นในเวลานี้ถ้าพระเจ้ากรุงสยามจะดำเนิรตามแบบอย่างของยี่ปุ่น
และจะจับสังฆราชกับพวกบาดหลวงตัดหัวเสียให้หมดทั้งริบทรัพย์สมบัติ
ให้สิ้นเชิงด้วย พระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้ากรุงสยามและพระเจ้า
กรุงฝรั่งเศสคงจะขาดเปนแน แต่เมื่อเปนเช่นนั้นการที่ขาดพระราชไมตรี
นั้น จะไม่ใช่สังฆราชเปนต้นเหตุทำให้เปนเช่นนี้หรือ
๔๗
คำตอบ ถ้าพระเจ้ากรุงสยามมีพระราชประสงค์จะตัดหัวพวกข้าพเจ้า
ทั้งหมดและจะริบทรัพย์สมบัติของพวกข้าพเจ้าด้วยก็ได้ เพราะพวก
ข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมพระหัดถ์ทั้งหมดทั้งพระองค์ก็เปนนายใน พระราชอาณา
เขตนี้ด้วย แต่ถ้าพระเจ้ากรุงสยามได้กระทำเช่นนั้นจริงก็จะไม่ต้องสงสัย
เลยว่า พระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองจะต้องขาดเปน
แน่นอน แต่เมื่อได้ขาดพระราชไมตรีแล้ว ก็จะไม่มีใครโทษข้าพเจ้า
ได้ว่าข้าพเจ้าเปนต้นเหตุทำให้ขาดพระราชไมตรี เพราะข้าพเจ้าไม่ได้
ทำอะไรเลยที่จะให้เขาโทษข้าพเจ้าเช่นนั้นได้ ในข้อที่ท่านยกการขบถใน
เมืองยี่ปุ่นมาเปนตัวอย่างและว่ายี่ปุ่นรังเกียจในพวกเรานั้น การเรื่องนี้
เปนการให้ร้ายต่อประเทศฝรั่งเศสและต่อพวกเราจริง แต่เราก็จำเปน
ต้องยอมทนเอา เพราะความจริงพวกเราไม่เคยได้ไปขบถที่ไหนเลย ถึง
ในเมืองไทยนี้และในเมืองอื่น ๆ พวกเราก็ไม่เคยได้ก่อการขบถขึ้นเลย
อีกประการ ๑ คนทั่วโลกย่อมทราบอยู่แล้วว่าสังฆราชก็ดี มิชชันนารี
ฝรั่งเศสก็ดีไม่เคยได้ไปยังเมืองยี่ปุ่นเลย
คำถาม ถ้าเช่นนั้น พวกที่ไปก่อการขบถในเมืองยี่ปุ่นเปนชน
ชาติใดในทวีปยุโรปเล่า
คำตอบ การที่ข้าพเจ้าตอบเพียงแต่ว่าไม่ใช่ชาติฝรั่งเศสก็พอ
แล้ว เพราะไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะกล่าวโทษประเทศใด ๆ หรือ
บุคคลใด ๆ แต่ถึงจะเปนชนประเทศใดก็ตาม เรื่องนี้ก็เปนเรื่อง
ที่พวกข้าพเจ้าติเตียนมาก
๔๘
คำถาม ที่ท่านสังฆราชได้ปฎิบัติการที่ได้กล่าวมาในตอนต้น
แล้วนั้นเปนความผิด สมควรที่พระเจ้ากรุงสยามจะลงพระราชอาญาอย่างหนัก แต่พระเจ้ากรุงสยามทรงพระกรุณาโปรดยกโทษให้ในครั้งนี้
แต่เพื่อจะป้องกันมิให้สังฆราชประพฤติเช่นนี้อีก จึงมีพระราชโองการ
ว่าดังนี้ คือ ๑ ห้ามมิให้สังฆราชแต่งหนังสือสอนสาสนาคริสเตียนเปน
ภาษาไทยและภาษาบาฬี ๒ ห้ามมิให้สังฆราชเทศนาสั่งสอนสาสนาแก่
ไทย มอญ และลาว ๓ ห้ามมิให้สังฆราชชักชวนและหลอกลวงพวก
ไทย มอญ และลาวให้เปนคริสเตียน ๔ ห้ามมิให้สังฆราชติเตียนสาสนา
ของเรา ตามที่มีพระราชโองการดังนี้ สังฆราชจะว่าอย่างไร สังฆราช
จะทำตามพระราชโองการของพระเจ้ากรุงสยามหรือไม่
คำตอบ ปัญหาข้อนี้เปนความสำคัญนัก เพราะฉนั้นข้าพเจ้าขอ
ทุเลาตรึกตรองใคร่ครวญดูสักสองสามวันก่อน
การที่ท่านสังฆราชขอผัดเช่นนี้ ก็ประสงค์จะหาเวลาตึกตรองว่า
จะควรตอบอย่างไรดี แต่เจ้าพระยาพระคลังไม่ยอมโดยบอกว่า จะเลื่อน
เวลาไปตอบในเวลาอื่นไม่ได้ และพูดต่อไปว่า "ท่านก็อยู่ในที่นี้
พร้อมกันแล้ว จะปฤกษาหารือกันอย่างไรก็ได้ เพราะฉนั้นจะตอบว่า
อย่างไรก็ปฤกษากันดู แต่ถ้าท่านยังไม่ได้ตอบในคำถามนี้ตราบใด
ท่านก็จะกลับไปยังบ้านไม่ได้"
สังฆราชถามว่า "อย่างไรกัน จะห้ามไม่ให้ข้าพเจ้าสอนบ่าวและ
คนใช้ของข้าพเจ้าเปนภาษาไทย และคนเหล่านี้ก็ไม่เข้าใจภาษาอื่น
นอกจากภาษาไทย อย่างนั้นหรือ"
๔๙
เจ้าพระยาคลังตอบกว่า "พระราชโองการในข้อนี้ชัดเจนและ
เด็จขาดอยู่แล้ว คือว่ามีพระราชประสงค์ห้ามไม่ให้ท่านเทศนาสั่งสอน
เปนภาษาไทย ภาษามอญ ภาษาลาว ภาษาญวนและภาษาจีน"
สังฆราชถามว่า "ถ้าเช่นนั้น หากว่าคนชาติเหล่านี้ได้ถูกพระ
เปนเจ้าดลใจ จะมาหาพวกข้าพเจ้าเพื่อรับคำสั่งสอน จะให้พวกข้าพเจ้า
ปฎิเสธไม่ยอมรับสั่งสอนให้อย่างนั้นหรือ"
เจ้าพระยาพระคลังตอบว่า"ท่านจะสั่งสอนในภาษาเหล่านี้ไม่ได้
เปนอันขาด"
ในขณะนี้ขุนนางที่ชื่อจักรีได้พูดขึ้นว่า "ขอให้ท่านพิเคราะห์ใน
ประกาศพระราชโองการนี้ให้ดี และขอให้ตรึกตรองให้ดีด้วย ในประกาศ
พระราชโองการนี้ พระเจ้ากรุงสยามทรงตั้งห้ามมีอยู่ ๔ ข้อ ถ้าท่าน
ปฎิบัติตามพระราชโองการแล้ว ท่านก็จะอยู่โดยสุขสบายอย่างแต่ก่อน
ถ้าท่านขัดพระราชโองการแล้ว ท่านก็จะต้องถูกตัดหัว"
สังฆราชได้ตอบว่า "ถ้าการเปนดังนี้แล้ว ควรจะอนุญาตให้พวก
ข้าพเจ้าได้กลับไปยังบ้านเมืองของข้าพเจ้าจะดีกว่า ถ้าไม่ยอมให้พวก
ข้าพเจ้ากลับบ้านเมืองแล้ว ก็ขอให้ฆ่าพวกข้าพเจ้าเสียทีเดียวเถิด เพราะ
ตามที่มีข้อห้ามดังนี้ พวกข้าพเจ้าจะไม่ยอมทำตามเปนอันขาด"
เจ้าพระยาพระคลังจึงถามว่า"บาดหลวงอื่น ๆ มีความเห็นอย่าง
เดียวกับสังฆราชหรืออย่างไร"
๕๐
เมื่อเจ้าพระยาพระคลังได้ถามดังนี้ พวกบาทหลวงทุกคนได้ตอบว่ามีความเห็นพ้องกับท่านสังฆราชทั้งนั้น เจ้าพระยาพระคลังจึงได้ถาม
ชื่อพวกเราทุกคน และสั่งให้จดชื่อพวกเราไว้ ครั้นจดชื่อจดเสียงกัน
เสร็จแล้ว เจ้าพระยาพระคลังก็พูดว่า "เวลานี้ก็ดึกแล้ว ท่านสังฆราช
ก็เหนื่อยมาก ให้กลับไปบ้านเถิด" พวกเราก็ลากลับไปบ้าน
พวกคริสเตียนถูกจับ
รุ่งขึ้นขุนนางมีชื่อคน ๑ ได้รับพระราชโองการจากพระเจ้าแผ่นดิน
ได้มาจับพวกเข้ารีต ๑๑ คน ซึ่งนายเต็งได้ระบุชื่อไว้ ในคน ๑๑ นี้ได้ถูก
ใส่คุกจำตรวน ๕ คน นอกจากนั้นได้หนีไปหมด คนใช้ของเรา ๒ คน
ได้ถูกฉุดคร่าออกจากโรงเรียน ท่านสังฆราชได้จ่ายเงินสำหรับช่วย
พวกนี้เปนอันมาก
บาดหลวงถูกซักถามอีก
มองเซนเยอร เตเซียเดอเคราเล
ถวายดอกไม้ธูปเทียน
เมื่อวันที่ ๑๙ เดือนตุลาคมได้มีข้ราชการมายังโรงเรียน เพื่อมา
ริบหนังสือต่าง ๆ ที่เขียนเปนภาษาไทย มองเซนเยอร์ เดอโรซาลีได้ส่ง
แต่หนังสือบางเล่มที่ไม่เกี่ยวแก่การสาสนาให้แก่ข้าราชการเท่านั้น แต่
หนังสือที่เกี่ยวด้วยสาสนาของเราและสาสนาของไทย ท่านสังฆราช
๕๑
ไม่ได้มองให้เลยจนเล่มเดียว ในระหว่างสามคืนเราได้เอาหนังสือและ
สมุดต่าง ๆ ที่เกี่ยวด้วยสาสนาไทยเผาไฟเสียโดยมาก หนังสือเหล่านี้
เปนหนังสือที่หายากและมีราคาแพงมาก หนังสือที่เกี่ยวด้วยสาสนา
ของเราก็ได้เผาบ้านเหมือนกัน เพื่อมิให้ตกในเมืองไทย
มีขุนนางคนหนึ่งชื่อขุนชำนาญ (Khunchaman) เปนคนโปรด
ของสมเด็จพระอนุชา และดูภายนอกก็ดูเหมือนกับจะขอบพวกเรา
ได้ให้คนมาตามพวกเราไปคน ๑ และได้บอกกันบาดหลวงผู้ที่ไปนั้นว่า
การที่สังฆราชตอบขออนุญาตกลับไปบ้านเมืองนั้น เปนการที่พระเจ้า
กรุงสยามและสมเด็จพระอนุชากริ้วมาก แล้วขุนชำนาญได้อธิบาย
ต่อไปว่า ตามแบบธรรมเนียมของเมืองนี้ ถ้าใครจะต้องการให้พระเจ้า
แผ่นดินหายกร่วแล้ว ก็ต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปถวาย (ธูปเทียนนั้น
หมายความว่า ไมตรีได้ดับสูญไปแล้ว บัดนี้ได้ติดต่ออีกดังธูปเทียน
ที่จุดสว่าง ดอกไม้นั้นหมายความว่ากลิ่นหอมของไมตรีที่กลับมีกัน
ใหม่) ในการเรื่องถวายดอกไม้ธูปเทียนนี้ ต่างเห็นพร้อมกันว่าเปนวิธี
สามัญหาเกี่ยวในการสาสนาอย่างใดไม่ ท่านสังฆราชจึงตกลงยอมจะ
ถวายดอกไม้ธูปเทียน
ครั้นจัดหาดอกไม้ธูปเทียนไว้เสร็จแล้ว ท่านสังฆราชก็ได้ไปยัง
ศาลของเจ้าพระยาพระคลัง พร้อมด้วยมองซิเออร์ เลอแมร์ บาทหลวง
อีก ๒ คนกับพ่อค้าฝรั่งเศส ๔ คน ครั้นไปถึงแล้วบาดหลวงก็ลงนั่งกับพื้น
และพูดกับเจ้าพระยาพระคลังว่าดังนี้ "ข้าพเจ้าได้ทราบว่าพระเจ้ากรุง
๕๒
สยามได้ทรงกริ้วในการที่ข้าพเจ้าพูดเมื่อวันก่อน คืออนุญาตกลับไป
ยังบ้านเมืองของข้าพเจ้า แต่การที่ข้าพเจ้าได้พูดเช่นนี้ก็ไม่ได้คิดทุจริต
อย่างไร และพูดตามธรรมเนียมที่ใช้กันในทวีปยุโรป เพราะใน
ทวีปยุโรป ถ้าผู้ใดขออนุญาติกลับบ้านเมืองแล้วเขาก็อนุญาตโดยง่าย
และก็ไม่มีใครจะคิดขัดเคืองเลย เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงขอแสดงตัวว่า
ในการที่พระเจ้ากรุงสยามทรงกริ้วนี้ ข้าพเจ้ามีความเสียใจมากที่ทำ
ให้กริ้วเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงขอถวายดอกไม้ธูปเทียนนี้ เพื่อแสดงความ
บริสุทธิ์ของข้าพเจ้า
พอมองเซนเยอร์เดอโรซาลีได้พูดจบลงแล้ว เจ้าพระยาพระคลัง
ก็เรียกเสมียนเข้ามา และบอกให้เขียนหนังสือคล้ายทานบล ในหนังสือ
ทานบลนี้มีความว่า มองซิเออร์เดอโรซาลี กราบทูลต่อพระเจ้าอยู่หัว
ให้ทรงทราบว่ามองซิเออร์เดอโรซาลีรู้สึกว่ามีความผิด จึงยอมปฎิบัติ
ตามพระราชโองการ ๔ ข้อซึ่งได้กล่าวมาแล้ว และต่อไปมองซิเออร์เดอ
โรซาลีรับรองว่าจะได้ปฎิบัติตามพระราชโองการทุกอย่าง เมื่อเขียน
เสร็จแล้วเจาพระยาพระคลังก็ส่งมาให้เราอ่าน พออ่านเสร็จเราก็ได้พูด
กับขุนชำนาญซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับเรา ว่าทำอย่างไร ๆ ก็จะยอมตามนี้ไม่ได้
และถ้าหากว่าเจ้าพนักงารได้เอาหนังสือทานบลฉบับนี้ออกก่อนในที่เปิดเผย
แล้วเราก็จะปฎิเสธข้อความในหนังสือทานบลนั้นทุกข้อ และข้าพเจ้า
ก็ได้พูดต่อไปว่า พวกข้าพเจ้ายอมตายดีกว่าที่จะยอมทำตามหนังสือ
ทานบลนี้ ขุนชำนาญเห็นว่าพวกเราพูดดังนี้ และเชื่อใจว่าตัวพอจะพูดกับ
๕๓
สมเด็จพระอนุชาได้ จึงได้เอาทานบลนั้นไปพับ ตกลงไม่มีใครได้อ่าน
ข้อห้าม ๔ ข้อนั้นเลย เจ้าพระยาพระคลังจึงถามขึ้นว่า "ดอกไม้ธูปเทียนนี้มองซิเออร์เดอโรซาลีถวายใคร" มองซิเออร์เดอโรซาลีจึงตอบว่า
"ข้าพเจ้าขอถวายตอพระเจ้ากรุงสยาม" เจ้าพระยาพรคลังจึงได้ชมเชย
สรรเสริญมองซิเออร์เดอโรซาลีว่า เปนผู้ที่ทำให้พระราชไมตรีในระหว่าง
พระเจ้าแผ่นดินได้ติดต่อกันอีก และว่าถ้าพระเจ้ากรุงสยามได้ทรงทราบ
แล้วก็คงจะทรงยินดีเปนอันมาก ครั้นเสร็จเรื่องแล้วท่านสังฆราชก็ได้
ลากลับมาบ้าน
ความเดือดร้อนของพวกเข้ารีต
ตั้งแต่ไทยได้ลงมือกดขี่บีบคั้นพวกเรา และจับพวกเข้ารีตใส่คุกนั้น
พวกเข้ารีตอื่น ๆ ก็ได้ละทิ้งบ้านเรือนอพยพหนีไปหมดและได้รับความ
ลำบากเดือดร้อนเปนอันมาก ฝ่ายไทยก็คาดค้นเราอยู่เสมอ ให้เรา
จัดการสมานพระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้าแผ่นดินทั้งสอง แต่ถึงดังนั้น
พวกเข้ารีตของเราก็ยังติดคุกอยู่นั้นเอง ส่วนพวกเข้ารีตที่หนีไปนั้น
เจ้าพวกงารห้ามมิให้กลับเข้าบ้านเข้าเรือน และพวกนี้ก็มากวนเราอยู่
เสมอ ๆ ไม่หยุดเลย
ขุนชำนาญถูกไต่สวน
ภายหลังมาสักสองสามวัน เจ้าพระยาพระคลังได้ไปกราบทูล
พระเจ้ากรุงสยามกล่าวโทษขุนชำนาญ หาว่าการที่ท่านสังฆราชไม่ยอม
๕๔
เซ็นหนังสือทานบลนั้น ก็เพราะขุนชำนาญคนเดียว พระเจ้ากรุงสยาม
จึงได้รับสั่งให้ขุนชำนาญไปไต่สวน ขุนชำนาญได้ให้การว่า การที่
ขุนชำนาญรับหนังสือทานบลมาจากเสมียนนั้นก็เพราะ ขุนชำนาญเห็นว่าถ้า
ได้เอาหนังสือทานบลนี้ออกอ่านเปนการเปิดเผยแล้ว ท่านสังฆราชและ
บาดหลวงทั้งหลายก็คงจะร้องค้ดค้านปฎิเสธข้อความในหนังสือทานบลนั้น
ถ้าสังฆราชและบาดหลวงได้กระทำเช่นนี้แล้ว ก็จะมีความผิดโทษถึง
ประหารชีวิต และถ้าได้ประหารชีวิตสังฆราชและบาดหลวงแล้วก็จะ
ต้องขาดพระราชไมตรีที่ได้ มีไว้กับพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส เมื่อขุนชำนาญ
ได้แก้ตัวเช่นนี้ พระเจ้ากรุงสยามก็ทรงนิ่ง แต่ถ้าสมเด็จพระอนุชาไม่ได้
เสด็จมาช่วยขุนชำนาญแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยขุนชำนาญคงจะต้อง
ถูกเฆี่ยนเปนแน่ เพราะข้อหาไม่มีแต่เพียงเท่านี้ เจ้าพระยาพระคลัง
ยังหาว่าขุนชำนาญได้ลงเอาเงินด้วย ในข้อที่หาว่าเอาเงินกับนี้ถ้าจะพูด
ไปแล้ว เจ้าพระยาพระคลังมีความผิดยิ่งกว่าขุนชำนาญเสียอีก เพราะ
เมื่อสองสามวันนี้เอง เจ้าพระยาพระคลังได้มารีตเงินจากพวกเราไป
๑๕๐ เหรียญ
มองเซนเยอร์เตเซียเดอเคราเล ขัดขืนไม่ยอม
ภายหลังวันประชุมสุดท้ายสักสองสามวัน ขุนชำนาญกับขุนนางอีก
หลายคนได้มาหาพวกเรา และได้ขอร้องต่อท่านสังฆราชว่าถ้าเจ้าพนักงาร
ได้เอาแผ่นดินศิลาซึ่งจารึกข้อห้าม ๔ ข้อมาปักไว้ที่ประตูโบสถ์หรือที่ประตู
โรงเรียนแล้ว ก็ขออย่าให้สังฆราชขัดขวางอย่างใดเลย (เพราะสังฆราช
๕๕
ไม่ยอมเซ็นทานบลครั้ง ๑ แล้ว มองซิเออร์เดอโรซาลีได้ตอบว่า พระ
เจ้ากรุงสยามจะทำอะไรก็ได้ตามพระทัยเพราะเปนบ้านเมืองของท่าน แต่
ในส่วนตัวสังฆราชนั้นจะตามใจพระเจ้ากรุงสยามอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเปน
การผิดสาสนาและขัดกับพระราชไมตรี ซึ่งพึ่งจะต่อติดกันใหม่ในระหว่าง
สองประเทศนี้ ตามที่ท่านสังฆราชได้ตอบดังนี้ดูขุนชำนาญพอใจ และดู
ปลาดใจที่ได้เห็นเจ้าพนักงาร ของเจ้าพระยาพระคลังได้มาหาพวกเราเพื่อ
จะเขี้ยวเข็ญให้มองซิเออร์เดอโรซาลีเซ็นชื่อและประทับตราหนังสือทานบล
ให้จงได้ มองซิเออร์เดอโรซาลีก็หายยอมไม่ จึงได้ไล่เจ้าพนักงารกลับไป
และตอบไปอย่างเดียวกับที่ได้เคยตอบมาแล้ว
ภายหลัง ขุนชำนาญกับข้าราชการอีกหลายคนได้มาค้นตามตู้
หนังสือและตามห้องต่าง ๆ เพื่อตรวจดูว่าหนังสือเรื่องสาสนาของเรา
ที่เขียนเปนภาษาไทยจะยังมีอยู่อีกบ้างหรือไม่ การค้นนี้เจ้าพนักงาน
ได้ถึงสองหรือสามครั้ง แล้วเจ้าพนักงารจะบังคับให้ท่านสังฆราช
สาบาลตัว และให้เขียนไว้เปนลายลักษณ์อักษรว่าหนังสือชนิดนี้ไม่มีอยู่
ที่เราแล้ว หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็ให้สังฆราชทำทานบลเซ็นชื่อประทับตรา ว่าต่อไปในภายหน้าถ้าค้นพบหนังสือชนิดนี้ได้อีก มองซิเออร์เดอโรซาลี ยอมรับผิดฐานหมิ่นพระเดชานุภาพ มองซิเออร์เดอโรซาล์ไม่ยอม
ทั้งสองอย่างโดยอ้างว่า การที่ให้สาบาลนั้นเปนการทำให้เลื่อมเสีย
เกียรติยศ และการที่จะให้ทำทานบลนั้นไม่จำเปนอย่างไร เพราะเจ้า
พนักงารมีอำนาจจะค้นบ้านได้ทุกมุมทุกรู เจ้าพนักงารคน ๑ จึงถามขึ้นว่า
๕๖
" ก็ถ้าต่อไปพบหนังสือชนิดนี้อีกกระทำอย่างไรกันเล่า" ท่านสังฆราชจึง
ตอบว่า "ก็แล้วแต่พระเจ้ากรุงสยามจะทำอย่างไรก็ตามพระทัยเถิด"
การที่ ท่านสังฆราชได้ตอบดังนี้ก็เคยตอบมาแล้วอย่างเดียวกับที่ได้เคยตอบ
ข้าราชการบางคนในเวลาที่เขาจะให้สังฆราชทำทานบล ถึงเรื่องพวก
เข้ารีตที่นายเต็งได้ระบุชื่อแลซึ่งยังหนีอยู่เจ้าพนักงารยังจับไม่ได้นั้น
ในราวกลางเดือนพฤศจิกายน มีขุนนางคน ๑ เปนบุตร์น้องสาว
เจ้าพระยาพระคลังได้มาหาพวกเรา ขุนนางคนนี้ได้รับเอาเงินไปจาก
พวกเราแล้วโดยสัญญาว่าจะช่วยพูดกับลุงให้ แต่ก็หาได้พูดกับลุงตามที่
ได้สัญญาไว้ไม่ เมื่อมาคราวนี้ขุนนางผู้นี้ได้มาเตือนเรื่องเงินที่เราได้
สัญญาว่าจะให้เจ้าพระยาพระคลังและ มาแจ้งว่าเจ้าพระยาพระคลังได้โอน
เงินรายนี้ให้ตัวแล้ว มองซิเออร์เดอโรซาลีจึงได้ตอบว่า ได้สัญญา
จะให้เงินแก่เจ้าพระยาพระคลัง ๑๕๐ เหรียญจริง แต่การที่จะให้เงินนี้ก็
เพราะจะให้เจ้าพระยาพระคลังงดการข่มเหงพวกเรา แต่เจ้าพระยา
พระคลังก็หาได้ทำตามที่ได้สัญญาไว้ไม่ กลับข่มเหงรังแกพวกเรา
หนักยิ่งกว่าเก่าขึ้นอีก หลานเจ้าพระยาพระคลังจึงแก้ตัวว่าการสำคัญ ๆ
ชนิดนี้สงบยากนัก จึงขอว่าอย่างน้อย ๆ ก็ขอให้ ๆ เงินสักครึ่ง ๑ ก่อน
ท่านสังฆราชได้ตอบว่าจะไม่ให้เลยเหรียญเดียว แต่ถ้าเขาได้จัดการ
ในเรื่องนี้ให้เปนที่เรียบร้อยก็จะให้เงินทั้ง ๑๕๐ เหรียญทีเดียว เมื่อหลาน
เจ้าพระยาพระคลังได้รับคำตอบเช่นนี้ จึงได้ควักเอาคำสั่งเจ้าพระยา
พระคลังออกมา ในคำสั่งฉบับนี้ว่าให้ท่านสังฆราชพูดโดยตรงอย่า
๕๗
โยกโย้ว่าจะยอมเซ็นซื่อประทับตราใหนหนังสือทานบลที่ได้เขียนไว้เมื่อคราว
ประชุมครั้งแรก หรือสังฆราชจะพอใจให้เอาข้อห้ามดังว่าไว้มาติดไว้
ที่ประตูโบสถ์หรือประตูบ้านอย่างไร ในคำถามชนิดนี้มองซิเออร์เดอ
โรซาลีก็ได้ตอบมาหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่ในครั้งนี้ก็ได้ตอบอีกว่า
สังฆราชจะยอมเซ็นชื่อ ประทับตราในหนังสือทานบลชนิดนี้ไม่ไดเพราะ
เหตุว่า ๑ ข้อห้ามเหล่านี้ผิดด้วยระเบียบสาสนาของเรา ๒ ข้อห้ามเหล่านี้
ขัดกับวิธีดำเนิรการอันสำคัญของพระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้ากรุงสยาม
และฝรั่งเศสซึ่งพึ่งได้เชื่อมติดต่อกันขึ้นใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ๓ ส่วน
การที่จะเอาข้อห้ามเหล่านี้มาปิดไว้ที่ประตูโบสถ์หรือประตูบ้านนั้น พระเจ้า
กรุงสยามเปนนายจะสั่งให้ทำอย่างไรก็ได้ และถ้าพระเจ้ากรุงสยาม
จะพอพระทัยทำอะไรในแผ่นดินของท่าน พวกเราก็ไม่ได้คิดที่จะขัดขืน
หรือต่อสู้อย่างใด แต่ถึงจะอย่างไรก็ตามพวกข้าพเจ้าจะต้องขอร้องต่อ
พระเจ้ากรุงสยามอย่าได้มีรับสั่งให้ทำดังนั้นเลย เพราะการที่จะเอาประกาศ
เช่นนี้มาปิดไว้ที่ประตูโบสถ์หรือประตูบ้านนั้น ก็เท่ากับเปนอนุสาวรีย์
ซึ่งจะอยู่ชั่วกาลนาน แสดงว่าพระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส
และกรุงสยามได้ขาดเสียแล้ว
แต่การที่พวกเราได้ขอร้องเช่นนี้จะติดอยู่เพียงเจ้าพระยาพระคลัง
หรือเขาจะได้นำความกราบทูล เปนเรื่องที่เราจะทราบไม่ได้
๕๘
พวกบาดหลวงจัดการขอรองให้ปล่อยพวกเข้ารีต
เมื่อต้นเดือนธันวาคม ได้ทราบว่าพวกนักโทษเข้ารีตบางคน
ได้ถูกเฆี่ยนเพราะเจ้าพนักงาร จะต้องการให้นักโทษเหล่านี้ระบุชื่อพวก
เข้ารีตอื่น ๆ อีก และได้ทราบว่านักโทษคน ๑ ก็ได้ระบุชื่อพวกเข้ารีต
หลายคน พวกเราจึงได้ทำเรื่องราวถวายพระมเหษี ขอให้ทรงโปรด
กราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อจะทรงหายกริ้วลงบ้าง เพราะเจ้าพระยา
พระคลังคอยกราบทูลแหย่ให้กริ้วพวกเราอยู่เสมอ แต่พระมเหษีได้ทรง
จัดการไม่สำเร็จเปนแต่ตกลงทรงเวรเรื่องนี้ให้ พระชามาดา (ลูกเขย)
ทรงตัดสิน ท่านลูกเขยคนนี้ถึงจะมีนิสัยอย่างไรก็ตาม แต่ก็คงไม่ชัง
พวกเราเท่ากับเจ้าพระยาคลัง เพราะเจ้าพระยาพระคลังได้ไปกราบทูล
กล่าวโทษพวกเราซึ่งเปนความไม่จริง หาว่าพวกเราได้ชักชวนบุคคล
บางจำพวกให้เข้ารีต และบุคคลจำพวกนี้ต้องรับโทษเปนตพุ่นหญ้าช้าง
มีหน้าที่หาหญ้ามาเลี้ยงช้างของเจ้าพระยาพระคลัง หรือหาไม้หอมมา
ส่งส่วยเจ้าพระยาพระคลังมานานแล้ว
เมื่อวารนี้ วันที่ ๑๓ เดือนธันวาคม ภรรยาของข้าราชการคน ๑
ได้มาหาเราบอกว่า สามีได้รับหน้าที่พิจารณาในเรื่องเราต่อไป ถ้าเรา
ยอมจะให้อะไรสามีบ้างแล้ว สามีจะได้ใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อให้ความ
ของเราเบาลง แต่การชนิดนี้เราได้ถูกหลอกมาหลายครั้งแล้ว เพราะ
ฉนั้นเราจึงได้ตอบไปว่า ถ้าสามีได้จัดการช่วยเราได้จริงแล้ว เราก็จะ
ไม่ลืมบุญคุณของสามี
๕๙
ข้าพเจ้าลืมเล่าไปว่า เมื่อราวปลายเดือนพฤศจิกายน เราได้ถวาย
เรื่องราวต่อพระไอยิกาของพระเจ้ากรุงสยามรัชกาลปัจจุบัน ขอให้ทรง
โปรดรับสั่งแก่พระเจ้ากรุงสยาม อย่าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงเชื่อ
ถ้อยคำที่เจ้าพระยาพระคลังกล่าวโทษเรานัก แต่ในการที่เราได้ถวาย
เรื่องราวนี้ เราได้ทราบว่า พระสงฆ์ได้ทูลคัดค้านไว้ เพราะฉนั้นที่ทรง
คิดจะช่วยพวกเราแต่เดิมจึงเปนอันสงบไป
ในระหว่างคืนวันที่ ๑๓ และที่ ๑๔ เดือนธันวาคม คือเมื่อคืนนี้ เรา
ได้จัดการย้ายเครื่องโบสถ์ไปไว้ที่อื่น เพื่อมิให้ตกไปอยู่ในมือคนไทย
ในจำพวกหนังสือที่ไทยได้ริบไปนั้นมีอยู่เล่ม ๑ ซึ่งยกข้อผิดและ
คลาดเคลื่อนของสาสนาไทยมาแจงให้เห็นความที่ผิด พระเจ้ากรุงสยาม
และพระมหาอุปราชได้เรียกพวกพระสงฆ์ที่รู้ธรรมมาแก้ ในข้อที่เรากล่าว
ว่าผิดนั้น แต่ไม่มีพระสงฆ์จนองค์เดียวที่จะกล้าแก้ปัญหาเหล่านั้นได้
และแก้ตัวว่าไม่เคยโต้เถียงแก้ปัญหาเหมือนย่างพวกบาดหลวง ทั้ง
พระสงฆ์เหล่านี้ก็มีกิจอย่างอื่นที่จะต้องทำด้วย ครั้นวันหนึ่งพระมหา
อุปราชกริ้วในการที่พระสงฆ์ทูลดังนี้ จึงได้ไล่พระสงฆ์ออกจากวัง
และทรงหาว่าสงฆ์เหล่านี้โง่เขลา ทำให้เสียเกียรติยศแก่ผ้าเหลือง
ภายหลังมาไม่เท่าไรวันนักพระมหาอุปราช ได้ให้มาเอาแผนที่
ภูมิศาสตร์จากพวกเรา ด้วยเขาพระทัยว่าในแผนที่นี้คงจะมีเขาพระ
สุเมรุ ซึ่งไทยเชื่อว่าเปนเขาที่สถิตของชั้นสวรรค์ต่าง ๆ และเชื่อกัน
ว่าเขานี้สูงเหลือที่ประมาณ และสูงยิ่งกว่าชั้นฟ้าทั้งหลายด้วย
๖๐
ข้าพเจ้าจึงได้จัดให้มองซิเออร์เลอแมร์ กับมองซิเออร์ธอมาศ นำแผนที่
อย่างใหม่ทั้ง ๔ ทวีปไปถวาย แต่คนสนิธของพระมหาอุปราชหายอมให้
บาดหลวงทั้งสองเข้าเฝ้าไม่ เพราะจะต้องการตรวจดูด้วยตังเองและ
จะโต้เถียงกับบาดหลวงเสียเอง แต่บาดหลวงก็ได้ชี้แจงให้เห็นว่า
ถ้ามีภูเขาทั้งสูงและใหญ่ดังที่พูดกันนั้นจริงแล้ว โลกเรานี้จะต้องโตกว่า
ที่เปนอยู่เดี่ยวนี้ถึง ๑๐ เท่าจึงจะพอจุฐานของภูเขานั้นได้ และโลกเรานี้
ก็ใหญ่เพียง ๙๐๐๐ ไมล์โดยรอบเท่านั้น คนสนิธของพระมหาอุปราช
คนนี้ ก็คือเจ้าพระยาพระคลังคนปัจจุบันนี้ ซึ่งหาว่าเราติเตียนและดุถูก
สาสนาไทยนั้นเอง เจ้าพระยาพระคลังคนปัจจุบันนี้ ไม่ใคร่จะกล้าเหมือน
เจ้าพระยาพระคลังคนก่อน แต่จึงจะมีท่าทางกิริยาเปนคนซื่อก็จริง
แต่ช้า ๆ นาน ๆ ก็ทำเราอย่างร้ายกาจ และพวกเราก็ไม่ได้หวังจะ
ได้รับความกรุณาจากเจ้าพระยาพระคลังคนนี้เลย การที่เจ้าพระยา
พระคลังคนนี้ ซึ่งเปนศัตรูอย่างร้ายของสาสนาคริสเตียนได้ยอมให้เด็ก
ชาติจีนของเรา ๔ คน มายังโรงเรียนของเรานั้น ต้องนับว่าเปนการที่
ปลาดซึ่งพระเปนเจ้าได้บันดาลเปนแท้ เพราะเมื่อพวกเราได้ไปขอ
อนุญาตให้เด็ก ๔ คนนี้ไปยังโรงเรียนได้นั้น เจ้าพระยาพระคลังได้ตอบ
ว่า "ข้าพเจ้าจะยอมให้เด็กเหล่านี้ไปเข้าสาสนาคริสเตียนไม่ได้ แต่ถ้า
เขาอยากจะไปโรงเรียนก็ให้ไปเถิด"
การที่พวกเราได้พูดจาโต้เถียงกันเสมอ ถึงเรื่องพระผู้เปนเจ้ามี
แต่องค์เดียว เรื่องตายแล้ววิญญาณจะไปเกิดใหม่ไม่ เรื่องสูรย์และ
๖๑
จันทรครธ เรื่องเปนการจำเปนที่จะต้องมีแต่สาสนาเดียวในโลกนี้
และเรื่องอื่น ๆ นั้น ก็ได้ทำให้เกิดผลดีอยู่บ้าง กล่าวคือมีข้าราชการ
ชั้นผู้ใหญ่บางคนได้อ่านหนังสือที่เราได้แต่งในเรื่องนี้แล้ว ได้พูดว่า
การที่สาสนาคริสเตียน เปนเรื่องติดต่อกันดีนั้นเปนการน่าชมเชยมาก
เพราะสาสนาของไทยนั้นไม่มีเท่าไม่มีศีร์ษะและไม่มีระเบียบอะไรเลย
มาวันหนึ่งข้าพเจ้ากำลังสนทนาอยู่ขุนนางผู้ ๑ ชื่อ ออกพระเดชา
ซึ่งเคยเปนราชทูตไทยไปเจริญทางพระราชไมตรีใน ประเทศฝรั่งเศสแต่
กาลก่อน และซึ่งไปรับน้ำมนต์เข้ารีตที่กรุงปารีศนั้น ข้าพเจ้าอ้อนวอน
และชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ ขอให้ออกพระเดชากลับถือสาสนาคริสเตียนเสียอย่างเดิม ออกพระเดชาจึงตอบข้าพเจ้าว่า "โอ เปนการยาก
เหลือเกิน เพราะข้าพเจ้าต้องถือสาสนาตามพระเจ้าแผ่นดิน" ข้าพเจ้า
คัดค้านว่า "ก็ถ้าพระเจ้าแผ่นดินจะตกนรก ท่านจะต้องการตกนรกตาม
เสด็จด้วยหรือ" ออกพระเดชาตอบว่า "จะทำอย่างไรได้ เปนการ
จำเปน" ข้าพเจ้าจะพูดจาชี้แจงเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ฟัง
ความเดือดร้อนของพวกเข้ารีต
ถึงแม้ว่าไทยได้บังคับให้ท่านสังฆราชทำการปรองดองเพื่อพระราช
ไมตรีในระหว่างพระเจ้าแผ่นดิน ทั้งสองได้คงมีอยู่อย่างเดิมนั้นก็จริงอยู่
แต่ถึงดังนั้นไทยก็ยังพยายามที่ จะทำให้ท่านสังฆราชเดือดร้อนอยู่เสมอ
และคงเอาพวกเข้ารีตที่จับได้นั้นจำคุกและจำตรวนอยู่นั้นเอง พวกเข้ารีต
๖๒
ที่หลบหนีไปนั้นก็ไม่ได้กลับมายังบ้านเรือนเลย ฝ่ายเจ้าพระยาพระคลัง
ก็หมายจะเอาชะนะแก่สังฆราชโดยทรมานพวกเข้ารีตที่ติดคุก จึงได้สั่ง
ให้เอาพวกเข้ารีตจำตรวนเสีย ๗ ชั้น ให้เอาคาใส่คอ และให้คุมขังไว้
อย่างแน่นหนาอย่าให้ปะกับใครได้เปนอันขาด เมื่อได้ทรมานพวก
เข้ารีตอย่างนี้ได้หลายวัน เจ้าพระยาพระคลังก็ส่งเจ้าพนักงารให้มา
ซักถามพวกเข้ารีต เจ้าพนักงารได้มาขู่กันโชกว่าจะทำโทษพวกนี้อย่าง
สาหัสจึงถามขึ้นว่า "การที่สังฆราชและพวกบาดหลวงรับคนไทยเข้ารีต
ก็โดยบังคับบ้าง ให้เงินบ้าง นั้นจริงหรือไม่" พวกนักโทษเข้ารีตตอบ
เปนเสียงเดียวทุกคนว่าไม่จริง และไม่เคยได้ยินเลยว่าสังฆราชและ
บาดหลวงจะบังคับหรือให้แก่ใคร เจ้าพนักงารผู้นั้นโกรธที่พวก
เข้ารีตตอบเช่นนี้ ก็เรียกหวายมาเฆี่ยนพวกนี้จนโลหิตไหลทรามไป
ทั้งตั ว โดยหวังว่าถ้าเฆี่ยนแล้วพวกนี้คงจะพูดตามความต้องการ แต่
พวกนักโทษเข้ารีตก็คงยืนยันส่าที่ตัวได้พูดไว้นั้นเปนความจริงทั้งสิ้น
ครั้นมาอีกวันหนึ่งเจ้าพนักงารคนนั้นเอง ได้เรียกพวกนักโทษ
เข้ารีตมาและถามว่า "เหตุใดพวกเองจึงทิ้งสาสนาของตัวไพล่ไปถือ
สาสนาคริสเตียนเสีย" การที่ถามดังนี้ก็เพราะเจ้าพนักงารไปเข้าใจเสีย
ว่าพวกนี้พึ่งเข้ารีตใหม่ ๆ พวกนักโทษจึงตอบตัวไม่คยถือสาสนา
อย่างอื่นเลยนอกจากสาสนาคริสเตียน เพราะได้เปนคริสเตียนตั้งแต่
วันเกิดมาแล้ว เจ้าพนักงารจึงบังคับให้พวกนี้บอกชื่อคนอื่น ซึ่งเปนพวก
เข้ารีต นักโทษเหล่านี้เกรงจะทำให้พระเปนเจ้ากริ้วก็ไม่ยอมระบุชื่อ
๖๓
ผู้ใด แต่ครั้นถูกเฆี่ยนทนไใไหวเข้าจึงได้นะบุชื่อพวกเข้ารีตบางคน
เจ้าพระยาพระคลังจึงส่งให้ไปจับพวกเข้ารีตตามชื่อที่พวกนักโทษบอกไว้นั้น
แต่ฝ่ายเจ้าพนักงารผู้ที่รับคำสั่งของเจ้าพระยาพระคลังให้ไปจับพวกเข้ารีต
นั้น หาได้เปนศัตรูกับท่านสังฆราชไม่ จึงได้ให้คนไปกระชิบบอก
สังฆราชให้รู้ตัว ครั้นอีกสักครู่หนึ่งเจ้าพนักงารคนนี้ได้คุมทหารไปจับ
พวกเข้ารีตก็ไม่ได้พบคนเข้ารีตจนคนเดียว เพราะพวกนี้ได้หนีเข้าป่าไป
หมดแล้ว เจ้าพนักงารคนนี้ก็ได้พยายามคุมทหารมาคอยจับพวกเข้ารีต
อยู่เนือง ๆ และมันด้อมมาในเวลาที่ไม่มีใครคาดหมายว่าจะมา แต่
เจ้าพนักงารคนนี้มุ่งนี้ตีต่อเราจึงร้องตะโกนมาแต่ไกลว่า "เอาฝรั่ง
เอาฝรั่ง" ซึ่งเปนเครื่องหมายให้รู้ว่าจะมาจับพวกเข้ารีต พอพวก
เข้ารีตได้ยินเสียงตะโกนมาดังนี้ ก็ต่างคนต่างหนีออกจากบ้านไปส้อน
ต้วอยู่ในที่ต่าง ๆ บางคนได้ไปลอยอยู่ในหนองหลังโรงเรียนต่างห้าหก
ชั่วโมง และได้เอาตะกร้าคลุมศีร์ษะ ทำประดุจตะกร้านั้นลอยน้ำอยู่
เฉย ๆ ตั้งแต่เราได้เกลี้ยกล่อมเอาเจ้าพนักงารคนนี้มาเปนพวกเรา ไทย
ก็จับคนเข้ารีตไม่ได้อีกเลย
ครั้นเจ้าพระยาพระคลังเห็นว่าการที่คิดไว้นี้ไม่สมปรารถนาก็คิดการ
อย่างอื่นต่อไป คือเพื่อจะให้ปรากฎชั่วฟ้าและดินว่าเจ้าพระยาพระคลัง
ได้ชนะพวกเรานั้น จึงได้ให้เอาแผ่นสิลาจารึกข้อห้าม ๔ ข้อ ซึ่งได้
กล่าวมาในตอนแล้วนั้น และคิดจะเอาแผ่นศิลาจารึนี้มาไว้ปักไว้ใน
วัดคริสเตียนที่มีอยู่ในกรุงศรีอยุธยาทั้ง ๓ วัด แต่เพื่อจะได้การนี้ได้
๖๔
สมปราถนายิ่งขึ้น จึงได้จัดเจ้าพนักงารหลายคนให้มาหาสังฆราช
คราวละคน และให้มาพูดกับท่านสังฆราช ขอให้สังฆราชรับศิลาจารึก เหล่านี้มาไว้ในวัด แต่ท่านสังฆราชได้ตอบยืนคำอยู่เสมอว่าพระเจ้าแผ่นดินเปนนายในเมืองนี้ จะทำอย่างไรห็ได้ตามพระทัย แต่ส่วนตัว สังฆราชนั้นจะรับศิลาจารึกมาไว้ ในวัดด้วยมือของท่านสังฆราชเองไม่ได้
เปนอันขาด และจะยอมให้เอาศิลาจารึกมาไว้ก็ไม่ได้เพราะเปนการ
เสียหายต่อพระเปนเจ้าและสาสนา คำตอบอย่างนี้ไม่เปนที่พอใจ
เจ้าพระยาพระคลังเลย แต่พระเปนเจ้าจะได้ช่วยอย่างไรก็ไม่ทราบใน
เวลานั้นเจ้าพระยาพระคลังหาได้เอาศิลาจารึกมาไว้ในวัดได้ไม่ เพราะ
ฉนั้นเจ้าพระยาพระคลัง จึงได้ไปกราบทูลพระเจ้ากรงสยามไม่เว้นเลย
หาว่าท่านสังฆราชเปนขบถ และเจ้าพระยาพระคลังก็มุ่งหมายที่จะทำลาย
สาสนาของเรา จึงกราบทูลต่อพระเจ้ากรุงสยามขอพระราชาญาต
ไล่สังฆราชและพวกมิชชันนารี ให้ออกไปพ้นพระราชอาณาเขตเสียให้
หมด การทีเจ้าพระยาพระคลังกราบทูลจอพระราชนุญาตเช่นนี้ จะได้
มีรับสั่งว่าอย่างไรพวกเราหาทราบไม่ แต่ก็พอจะเชื่อได้ว่าพระราชทาน
พระราชานุญาตเพียงแต่ให้จับท่านสังฆราชได้
ฝ่ายเจ้าพนักงารผู้ทีท่านสังฆราชได้เกลี้ยกล่อมให้เปนพวกเรานั้น
ได้ทราบว่าได้พระราชทานพระราชานุญาต ให้เจ้าพระยาพระคลังจับตัวท่าน
สังฆราช จึงได้ให้คนใช้ถือเศษกระดาดมีอักษรจีนสองสามตัวมาส่ง
๖๕
ให้แก่สังฆราช และสั่งคนใช้ให้บอกแก่สังฆราชให้สังฆราชจัดนักเรียน
คนใดที่รู้หนังสือจีนแปลหนังสือนี้ให้สังฆราชฟัง ในหนังสือนี้แปลได้
ความว่า ถ้าเจ้าพระยาพระคลังให้มาเรียกตัวางฆราชไปเมื่อใด ก็ให้
สังฆราชบอกป่วยเสียอย่างได้เปนอันขาด พอไห้รับข่าวนี้สักครู่ ๑
เจ้าพระยาพระคลังก็ใช้เจ้าพนักงารมาหาท่านสังฆราช ครั้นบอกไปว่า
ท่านสังฆราชป่วยเจ้าพนักงารเหล่านั้นก็กลับไป และยังมีเจ้าพนักงาร
อื่น ๆ กลับมาอีกเพื่อมาดูว่าสังฆราชป่วยจริงหรืออย่างไร เจ้าพนักงาร
เหล่านี้ก็เห็นว่าสังราชป่วยจริง เพราะสังฆราชร้อนใจและเสียใจใน
การที่เปนไปดังนี้จึงได้ทาให้อ่อนเพลียไม่มีแรง เจ้าพนักงารเหล่านี้ก็
กลับไปแล้วไม่ได้มาอีกเลย ซึ่งทำให้พระเจ้ากรงสยามได้มีเวลาใคร่
ครวญในเรื่องนี้ และเพราะเหตุว่าพระเจ้ากรุงสยามมีพระอัธยาศัย
โอบด้อมอารี จึงดำรัสสั่งให้ข้าราชการมาประชุมปฤกษาว่าในเรื่องนี้
จะควรทำอย่างไรต่อไป
ข้าราชการได้ประชุมพร้อมกันตามรับสั่ง ผู้ที่มาประชุมนั้น มี
พระเจ้ากรงสยามเสด็จมาประชุมก้วยพระองค์เอง มีพระมหาอุปราช
ท่านจักรี และเจ้าพระยาพระคลัง
เจ้าซึ่งเปนเชื้อพระวงศ์เก่าเปนผู้ที่ชอบกับพวกเรา ได้ทรงทราบ
ว่าจะได้มรการประชุมกันเช่นนี้ จึงได้รับสั่งแก่พวกเข้ารีตที่ทรงรู้จักว่า
เห็นจะไม่เปนการแล้ว เพราทรงพระวิตกว่าที่ประชุมคงจะตกลงอย่าง
ใดอย่างหนึ่งซึ่งจะให้ผลร้ายแก่เรา แต่เมื่อตกถึงเวลากลางคืนแล้วจึง
จะบอกข่าวมาให้ทราบ
๖๖
ฝ่ายพระเปนเจ้าซึ่งรู้ในความคิดของมนุษย์ และทำให้ร้ายกลาย
เปนดีได้นั้น ได้บันดาลให้ที่ประชุมนี้ซึ่งมาประชุมสำหรับหาทางทำลาย
สาสนาของเรานั้น ได้กลับกลายทำให้สาสนากลับมั่นคงในเมืองนี้ยิ่ง
กว่าเก่าไปอีก โดยที่ประชุมจำเปนต้องยกย่องสรรเสริญผู้ที่มาเทศนา
สั่งสอนสาสนานี้
พระเจ้าแผ่นดินได้รับสั่งยกเหตุผลข้อที่เรียกประชุมคราวนี้ แล้ว
จึงรับสั่งให้เจ้าพระยาพระคลังซึ่งเปนข้าราชการหนุ่มที่ สุดในที่ประชุมนี้
ออกความเห็นว่า จะควรทำอย่างไรแก่สังฆราชและบาดที่ยังอยู่ใน
พระราชอาณาเขต เจ้าพระยาพระคลังกราบทูลว่า ในเรื่องนี้ไม่ควร
จะรอรั้งเลย ควรไล่สังฆราชและบาดหลวงให้ออกไปพ้นพระราชอาณา
เขตให้หมด แล้วกราบทูลต่อไปว่า "สังฆราชและพวกบาดหลวง
ได้พยายามเอาคำสั่งสอนยังเปนมิจฉทิฐไปเที่ยวสั่งสอนให้แพร่หลายไม่
หยุดไม่หย่อนเลย ทั้งพวกนี้ก็ติเตียนดูถูกสาสนาของเรา และคอย
รบกวนอาณาประชาราษฎรอยู่เสมอ จนพวกเข้ารีตเพิ่มมาอขึ้นทุกวัน ๆ วัน
ซึ่งเปนการที่จะปล่อยให้เปนอยู่ดังนี้ไม่ได้เปนอันขาด"
แล้วพระเจ้ากรุงสยามทรงหันพระองค์ไปทางท่านจักรี รับสั่งถามว่าท่านจักรีคิดเห็นเปนอย่างไร
ท่านจักรีได้กราบทูลถามว่าจะโปรดพระราชทานพระราชานุญาตให้
กราบทูลความเห็นที่จริงใจหรือไม่ พระเจ้ากรุงสยามจึงพระราชทานพระ
ราชานุญาต ให้พูดได้ตามความพอใจ และให้พูดแต่ฉเพาะที่จริงใจได้
ท่านจักรีจึงได้กราบทูลว่าดังนี้
๖๗
"พวกสังฆราชฝรั่งเศส และพวกมิชชันนารี ได้เข้ามายังพระราช
อาณาจักร์ ก็โดยที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน ๆ ได้รับสั่งให้หาเข้ามา
พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน ๆ ก็ได้เคยโปรดปรานพวกสังฆราชและมิชัน
นารีฝรั่งเศสอยู่เสมอ การที่พวกสังฆราชและมิชชันนารีเที่ยวเทศนาสั่ง
สอนการสาสนานั้น ก็ด้วยพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน ๆ ได้พระราช
ท่านพระราชานุญาตไว้ มาจนบัดนี้ก็ได้โปรดพระราชทานพระราชานุญาต
อยู่อย่างเดิม การที่หาว่าพวกสังฆราชและมิชชันนารีทำความผิดนั้นก็
ไม่ได้ยินใตครพูดเลย เพราะคนจำพวกนี้เปนคนที่เรียบร้อยไม่ทำการ
เอะอะอย่างใด และทุกความดีโดยแจกยาจนคนไทยเราทั้งเจ้าพนักงาร
และพระสงฆ์ ก็ได้รักษาโรคหายเพราะยาของพวกมิชชันนารีก็มาก จำ
นวนคนที่เข้ารีตมีจำนวนเล็กน้อยที่สุด เพราะฉนั้นไม่ควรจะสงสัย หรือ
หาความใส่พวกมิชชันนารีนี้เลย"
เมื่อท่านจักรีได้กราบทูลตามความเห็นแล้ว พระเจ้ากรุงสยามได้รับ
สั่งถามพระมหาอุปราชว่า ในเรื่องนี้ทรงเห็นว่าอย่างไร พระมหาอุปราช
กราบทูลว่า ท่านจักรีได้กราบทูลโดยสติปัญญเฉีบยแหลมมาก และ
ทรงเห็นพ้องกับท่านจักรีด้วย พระเจ้ากรงสยามจึงรับสั่งว่า "ถ้าฉนั้น
ต้องเอาเรื่องของคนทั้งหลายมากกวนเราทำไม เรื่องการเปนอยู่ดังนี้แล้ว
ก็ปล่อยให้พวกเข้ารีตได้มีความสุขเสียบ้างเถิด และใครอย่าเอาเรื่องนี้
มาพูดอีกต่อไป" ถึงแม้ว่าพระจ้ากรุงสยามจะได้รับสั่งดังนี้ก็จริงอยู่
แต่เรื่องนี้ก็หาได้ยุติเพียงเท่านี้ไม่ เพราะเจ้าพระยาพรคลังไม่ยอมถอด
๖๘
ตรวนให้พวกเข้ารีต ถ้าจะถอดตรวนแล้วเจ้าพระยาพระคลังจะคิดเอาเงิน
แก่คนเข้ารีตคนละ ๖๐๐ เหรียญ พวกเข้ารีตต้องทนทุกข์ทรมานและ
ติดตรวนอยู่จนตลอดสิ้นรัชกาล เพราะท่านสังฆราชไม่มีเงินพอทีจะเสีย
ให้เจ้าพระยาพระคลังได้
ศิลาจารึกสำหรับประจาน
การยกศิลาจารึกสำหรับประจาน
เมื่อพระเจ้ากรุงสยามได้มีรับส่งในที่ประชุมดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
เจ้าพระยาพระคลังก็ไม่มีหนทางอะไรนอกจากปล่อยให้ท่านสังฆราชได้อยู่
เปนสุขบ้าง แต่เจ้าพระยาพระคลังก็พยายามหาหนทางที่จะรังแกท่าน
สังฆราชอยู่มิได้ขาด จึงได้เอาเรื่องเงิน ๓๐๐ เหรียญที่บาดหลวงเปนหนี้
อยู่นั้นเปนเรื่องสำหรับรังแกท่านสังฆราชต่อไป เงิน ๓๐๐ เหรียญนี้เปน
หนี้เก่แก่ซึ่งมองเซนเยอร์เดอซาบูลได้ ยืมจากพระราชบิดาของพระเจ้า
แผ่นดินองค์ปัจจุบัน และการที่ยืมนั้นก็เพื่อสำหรับเปนปอลิติก หาใช่
เพราะต้องการเงินจริงไม่ มองเซนเยอร์เดอซาบูลได้เล่าให้ข้าพเจ้า
ฟังเองว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น คือพระราชบิดาของพระเจ้าแผ่นดิน
องค์ปัจจุบันนี้ พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น คือพระราชิดาของพระเจ้าแผ่นดิน
ที่อยู่ในเมืองไทยไม่ว่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินหรือชนชาวต่างภาษา มีความ
กลังเกรงสทกสท้านยิ่ง เพราะฉนั้นมองเซนเยอร์เดอซาบูลจึง
คิดอุบายขอพระราชทานยืมเงินเพื่อทดลองว่า ๑ พระเจ้ากรงสยาม
องค์นั้นจะมี ความโปรดปรานคณะบาดหลวงแะจะทรงช่วยในเวลาทุกข์
๖๙
ยากหรือไม่ ๒ เพื่อป้องกันตัว เพราะท่านสังฆราชเชื่อใจว่าพระเจ้า
แผ่นดินคงจะไม่ทรงทำอันตรายสังฆราช ด้วยทรงกลัวว่าเงินจะสูญ
เพราะฉนั้นเงินรายนี้ได้เปนหนี้กับมาหลายปีแล้ว ฝ่ายเจ้าพระยาพระคลัง
ทราบอยู่ว่าทานสังฆราชเดอโรซาลีขัดเงิน จึงได้ให้คนไปบอกว่าเงิน
รายที่เปนหนี้อยู่นั้นจะต้องใช้ให้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง มิฉนั้นจะต้องริบ
โรงเรียน ท่านสังราชเปนคนขัดสนไม่มีเลย จึงได้ไปยืมเงิน
จาพวกฮอลันดา ๆ ก็ได้ให้ยืมโดยเต็มใจ ครั้นท่านสังฆราชได้นำเงิน
ไปใช้ให้ภายใน ๒๔ ชั่วโมงตามกำหนด เจ้าพระยาพระคลังก็หมดพูด
และถ้าเจ้าพระยาพระคลังมีอำนาจที่จะเรียกอดกเบี้ยในเงินรายนี้แล้ว ก็
คงเรียกเอาเปนแน่ เพราะตามธรรมเนียมของเมืองนี้เงินที่พระเจ้า
แผ่นดินให้ยืมด้วยพระองค์เองหามีดอกเบี้ยไม่ แต่ถ้ายืมเงินหลวงจาก
เจ้าพนักงารคลังแล้ว ต้องมีดอกเบี้ยแพงมาก การที่เจ้าพระยาพระคลัง
ได้คิดรบกวนรังแกท่านสังฆราชนั้น ได้สงบเงีบยไปจนถึงข้างต้นเดือน
ตุลาคม ปี ค.ศ. ๑๗๓๑ (พ.ศ.๒๒๗๔) ในขณะนี้เจ้าพระยาพระคลัง
ได้ให้เจ้าพนักงารไปหาสังฆราช ๓ คน เพื่อไปเลือกหาที่ในวัด สำหรับ
ตั้งศิลาที่จารึกข้อห้าม ๔ ข้อที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาข้างต้นนี้แล้ว จ้าพนักงาร
ทั้ง ๓ คน ได้พยายามจะให้ท่านสังราชชี้ที่ให้ปักศิลาจารึกนี้ เพื่อจะได้
พูดได้ว่าท่านสังฆราชได้ ยอมแลเห็นชอบในข้อความที่จารรึกในแผ่นศิลา
นั้นแล้ว แต่ท่านสังฆราชไม่ยอมชี้ที่ให้เปนอันขาด เพราะฉนั้น
เจ้าพนักงารจึงจำเปนเข้าไปยังวัดตามลำพังตัวเอง แล้วกลับไปรายงาร
ให้เจ้าพระยาพระคลังทราบต่อไป
๗๐
เมื่อวันที่ ๙ เดือนนั้นเอง (ตุลาคม) เจ้าพนักงารได้กลับมาอีก
และนำศิลาจารึกกับทั้งช้างปูนมีอิฐแลปูนมาด้วย เพื่อจะมาก่อฐาน สำหรับตังหินนั้น ฝ่ายท่านสังฆราชไม่ทราบว่าเจ้าพนักงารจะเอาศิลา
ตั้งที่ตรงไหน จึงได้ถอนเอาศีลมหาสนิธ (๑) (Consecrated Host)
ออกเสีย ฝ่ายเจ้าพนักงารก็เที่ยวเดิรในโบสถ์ บางคนก็ต้องการเอา
ศิลาตั้งตรงนี้ บางคนก็ต้องการให้ตั้งตรงนั้น แลมีคน ๑ ต้องการ
เอาศิลาตั้งบนที่บูชาพระ (altar) เพราะเปนที่เด่นดี แต่บังเอิญมี
ข้าราชการคน ๑ ซึ่งไม่ได้ชังพวกเข้ารีตเหมือนเจ้าพนักงารอื่น ๆ ได้
พูดขึ้นว่า "ถ้าขืนเอาศิลาขึ้นตั้งตรงนี้แล้ว พวกบาดหลวงก็คงจะทิ้ง
วัดแลคงจะไม่ใช่วัดนี้อีกต่อไป" เจ้าพนักงารเหล่านี้จึงตกลงเอาศิลา
ตั้งตรงทางเข้าตรงกับประตูหน้าโบสถ์ซึ่งเปนทางจะโรงเรียน ช่างปู
ได้ก่อฐานอย่างฝีมืออยาบ แล้วเอาศิลาตั้งบนฐาน ตัวอักษรจารึก
นั้นอยู่บนฐาน
คำแปลข้อความในศิลาจารึกสำหรับประจาน
มองเซนเยอร์เลอบองเปนผู้แปล
ไทยได้ให้เอา ศิลาแผ่นดินใหญ่แบนมาจารึกประกาศของพระเจ้า
กรุงสยาม ในประกาศที่จารึกแผ่นศิลานั้นมีความว่าดังนี้
(๑) แปลตามดิกชันนารีของบาดหลวงปาเลอกัว เปนวัตถุชิ้นหนึ่งซึ่งคณะบาดหลวงได้สร้างสวดสมมตว่าเปนองค์พระเยชู
๗๑
ด้วยแต่ก่อนช้านานมาแล้ว ได้มีพระราชไมตรีอันสนิธในระหว่าง
พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสแลพระเจ้ากรุงสยาม พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจึงได้
แต่งราชทูต เชิญพระราชสาสนและเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระเจ้า
กรุงสยาม ในพระราชสาสนนั้นมีความว่า พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสขอพระ
ราชานุญาตให้พวกมิชันนารีฝรั่งเศส มาอยู่ในพระราชอาณาเขตสยาม
แลขอให้พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงโปรดสร้างบ้านให้พวกมิชันนารีอยู่ เพื่อ
มิชันนารีจะได้ช่วยให้พระราชไมตรีในระหว่างพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองได้คิด
ต่อชั่วกาลนาน เพราะเหตุฉนั้นพระเจ้ากรุงสยามมีพระราชประสงค์จะ
ให้พระราชไมตรีในระหว่างประเทศทั้งสองได้คงอยู่ จึงได้พระราชทาน
ที่ให้แก่มิชันนารีฝรั่งเศสในตำบลซึ่งเรียกว่า บางปลาเหตุ (Banplahet)
แลได้โปรดให้จ่ายพระราชทรัพย์จากท้องพระคลัง เพื่อไปซื้ออิฐปูน
แลเครื่องก่อตึก กับได้พระราชทานคนงารสำหรับไปก่อตึกทำด้วย
ศิลาพระราชทานให้แก่พวกมิชันนารี ตามพระราชประสงค์ของพระเจ้า
กรุงฝรั่งเศสทุกประการ ด้วยเหตุที่พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงพระเมตตา
กรุณาแก่มิชันนารี ๆ เหล่านี้จึงได้อยู่ในที่ตำบลนี้ช้านาน แต่ครั้นมา
เมื่อปีจอโทศก (ค.ศ.๑๗๓๐) พ.ศ. ๒๒๗๓ นายเต็ง บุนร์หลวงไกรโกษา
ได้ให้กราบทูลต่อพระมหาอุปราช (เวลานั้นยังเปนสมเด็จพระอนุชาของ
พระเจ้าแผ่นดิน มาในเวลานี้เปนองค์พระเจ้าแผ่นดินแล้ว) ว่าพวกหัวหน้า
บาดหลวงซึ่งได้มาอยู่ที่บ้านบาดหลวงที่บางปลาเหตก่อนสังฆราช ดอม
ยากซ์ (คือมองเซนเยอร์ยังยากซ์ สังฆราชเดอโรซาลี) แลตัว
๗๒
สังฆราชดอมยากซ์เองได้กระทำความผิดหลายข้อ คือ ๑ ได้ใช้
ตัวหนังสือเขมรและหนังสือไทย สำหรับแต่งหนังสืออธิบายถึงสาสนา
คริสเตียน และหนังสือที่แต่งเหล่านี้มีอยู่ในบ้านบาดหลวงเปนอันมาก
๒ เมื่อพวกบาดหลวงได้เทศนาสั่งสอนเปนภาษาฝรั่งเศสแล้ว ก็ได้
สั่งสอนอธิบายการสาสนาเปนภาษาไทย ๓ พวกบาดหลวงได้หลอกลวง
คนไทยมอญและลาวซึ่งเปนผู้ถือสาสนาอันประเสริฐของไทยอยู่แล้ว และ
พวกบาดหลวงได้ยอพวกไทย และมอญลาวและเกลี้ยกล่อมให้พวกนี้เข้า
รีตเปนอันมาก ๔ พวกบาดหลวงได้แต่งหนังสือติเตียนแลเยาะเย้ย
สาสนาอันประเสริฐของไทย
พระมหาอุปราชจึงได้นำคำให้การของ นายเต็งขึ้นกราบทูลพระเจ้า
กรุงสยาม ครั้นทรงทราบข้อความตามคำให้การนั้นแล้ว จึงมีรับสั่ง
ให้หาสังฆราชดอมยากซ์ หัวหน้าบาดหลวงและมิชชันนารีทั้งปวงให้ไป
ยังศาลของเสนาบดีตามแบบประเพณี เพื่อจะได้พิจารณาในความผิด
ของดอมยากซ์และมิชชันนารีทั้งปวง สังฆราชดอมยากซ์และมิชันนารี
ทุกคนได้สารภาพว่าได้ทำความผิดตามข้อหาเหล่านั้นจริง ภายหลัง
สังราชกับบาดหลวงได้นำของรับประทาน ดอกไม้ น้ำหอม และเทียน
ขี้ผึ้งมาถวาย เพื่อมาขอโทษในการที่ตัวได้กระทำผิด ฝ่ายพระเจ้า
กรุงสยามได้ทรงฟังคดีนี้และได้ทรงพิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้ว จึงได้โปรด
ให้ประกาศพระราชโองการดังนี้ต่อไปนี้ ด้วยพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสและ
พระเจ้ากรุงสยาม ได้เปนพระราชไมตรีอย่างสนิธซึ่งกันและกันมาช้า
๗๓
นานแล้ว ส่วนความผิดของพวกมิชชันนารีนั้น พวกมิชชันนารีได้รู้
สึกตัวรับผิดแล้ว และได้นำของรับประทาน ดอกไม้ น้ำหอมและ
เทียนขี้ผึ้งมาถวายเพื่อขอพระราชทานโทษ เพราะฉนั้นในครั้งนี้ให้งดเลิก
ในการที่บาดหลวงทำผิดไว้นั้นคราวหนึ่ง แต่ต่อไปภายภาคหน้า ถ้า
สังฆราชดอมยากซ์ก็ดีหรือมิชชันนารีคนใดก็ดีจะเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา
เพื่อเปนการสมานพระราชไมตรี ในระหว่างประเทศทั้งสองและเพื่อให้
พระราชไมตรีนั้นได้แน่นหนาเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเก่าแล้ว ห้ามมิให้สังฆราช
และมิชชันนารีนั้น ๆ ได้ผิดทำผิดต่อข้อห้าม ๔ ข้อ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปนี้เปน
อันขาด ถ้าพวกมิชชันนารีได้ปฎิบัติถูกต้องไม่ผิดด้วยข้อห้าม ๔ ข้อแล้ว
จึงจะเข้ามาในกรงุศรีอยุธยา เพื่อให้พระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุง
ฝรั่งเศสได้สนิธแน่นขึ้นอีกได้ แต่ถ้าพวกบาดหลวงบังอาจขัดขืนต่อ
ประกาศพระราชโองการ ๔ ข้อนี้ หรือบังอาจขัดขืนแม้แต่ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว
ถ้านั้นก็จะเปนการขาดพระราชไมตรี เพราะด้วยความเจตนาของพวก
มิชชันนารีที่ได้ทำการฝ่าฝืนข้อห้าม ๔ ข้อ ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ ๑ ห้าม
มิให้ใฝช้ตัวหนังสือเขมรและหนังสือไทย สำหรับไปเขียนหนังสือซึ่งสอน
สาสนาคริสเตียน ๒ ห้ามมิให้พวกมิชชันนารีเทศสั่งสอนเปนภาษาไทย
๓ ห้ามมิให้ ไทย มอญ ลาว ซึ่งถือสาสนาอันประเสริฐของไทยแม้จะ
ยากจนอย่างใด ไปยืมเข้าของเงินทองจากพวกมิชชันนารี และห้าม
มิให้ไปขอเข้ารีต ห้ามมิให้ไทยมอญลาวเชื่อแลนับถือสาสนาคริศเตียน
๑๐
๗๔
และห้ามมิให้ไทยมอญลาวไปคบค้าสมาคมกับพวกเข้ารีต และห้าม
มิให้พวกมิชชันนารีรับคนไทยมอญและลาวเข้ารีตเปนอันขาด ๔ ห้ามมิ
ให้พวกมิชชันนารีแต่งหนังสือซึ่งติเตียนและค้ดค้านสาสนาไทย ให้บรรดา
มิชชันนารทั้งหลายที่จะเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ระวังอย่าได้กระทำการ
ผิดต่อข้อห้าม ๔ ข้อนี้แม้แต่ใดข้อหนึ่งเปนอันขาด ถ้าหากว่พวก
มิชชันนารีที่จะเข้ามายังกรงศรีอยุธยา ได้เห็นและทราบข้อความตาม
ประกาศพระราชโองการซึ่งจารึกไว้ในแผ่นศิลานี้ ไม่ปฎิบัติตามแต่ขืน
ทำการผิดต่อข้อห้าม ๔ ข้อนี้แม้แต่ข้อหนึ่งข้อใด เมื่อได้ไต่สวน
พิจารณาได้ความแล้ว ก็จะต้องลงโทษหัวหน้าของพวกมิชันนารีถึง
ประหารชีวิต และพวกมิชันนารีอื่น ๆ นั้น เมื่อได้รับพระราชอาญา
เฆี่ยนแล้ว จะต้องถูกไล่ออกไปให้พ้นพระราชอาณาเขตสยามทั้งหมด
อีกประการ ๑ พวกไทย มอญ และลาว ซึ่งได้ไปเข้ารีตในครั้งสมัย
สังฆราชดอมยากซ์ จะต้องลงพระราชอาญาเฆี่ยนอย่างหนักและจะ
ต้องประหารชีวิตดสียด้วย ถ้าแม้ต่อไป ไทยก็ดี มอญก็ดี ลาวก็ดี
ซึ่งเปนผู้นับถือสาสนาไทย เมื่อได้ทราบประกาศพระราชโองการซึ่งได้
จารึกไว้ในแผ่นศิลานี้ กระทำการขัดขืนประกาศพระราชโองการนี้โดยละสาสนาอันประเสริฐของตัวกลับไปเข้าด้วยสาสนาคริสเตียนแล้ว ก็จะต้องรับพระราชอาญาอย่างหนัก คือจะต้องถูกตัดศีร์ษะแล้วจะได้เอาศพไปเสียบไว้หน้าบ้านบาดหลวงที่บางปลาเหต ส่วนบิดามารดาบุตรภรรยา
และพี่น้องจะได้รับพระราชอาญาอย่างหนัก และจะต้องถูกริบทรัพย์สมบัติ
ให้สิ้นเชิงด้วย
๗๕
ประกาศพระราชโองการนี้ได้จารึกลงในแผ่นศิลา เมื่อณวันพุธ
ขึ้น ๙ ค่ำ ปีจอโทศก (ตามคริศศักราชตรงกับวันเดือนมกราคม ๑๗๓๐)
พ.ศ. ๒๒๗๓
นี่แหละเปนคำแปลค่ำต่อคำตามแต่จะแปลให้ตรงได้ ของประกาศ
พระราชโองการพระเจ้ากรุงสยาม ซึ่งได้จารึกไว้ในแผ่นศิลาเปนภาษา
ไทย และซึ่งได้มาตั้งไว้ตรงกับประตูโบสถของคณะบาดหลวงในกรุง
ศรีอยุธยา
ควาเห็นมองเซนเยอร์เลอบอง ในเรื่องศิลาจารึกนี้
ข้อความที่ได้จารึกไว้ในแผ่นศิลานี้ ไม่มีความตรงกับความจริง
เลยจนข้อเดียว และประกาศอันนี้ก็หาใช่พระราชโองการของพระเจ้า
แผ่นดิวนไม่ แต่ประกาศของสมเด็จพระอนุชาซึ่งเปนพระเจ้าแผ่นดิน
อยู่ในเวลาปัจจุบันนี้ ได้ทรงคบคิดกับผู้ที่ได้รับตำแหน่งเปนเสนาบดีอยู่
ในเวลานี้ จัดทำขึ้นในเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประชวรหนักจนที่สุดก็
สววรคตด้วยพระโรคที่ทรงพระประชวรนั้นเอง
ตามข้อความที่กล่าวถึงพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสก็ไม่ตรงกับความจริง
เหมือนกัน จริงอยู่พระเจ้ากรงุสยามพระองค์เก่าได้พระราชทานที่ที่บาง
ปลาเหต ให้แก่พวกสังฆราชและพวกมิชันนารีฝรั่งเศสทั้งได้พระราชทาน
อิฐปูนสำหรับก่อโบสถ์ด้วย กับได้โปรดส่งไทยหนุ่ม ๆ ให้ไปรับความ
เล่าเรียนจากมิชชันนารีเหล่านั้น และได้โปรดให้พวกมิชชันนารีกราบทูล
๗๖
อธิบายเรื่องราวของสาสนาคริสเตียน จนได้โปรดปรานนับถือสาสนาของ
เรถึงกับพระราชทานธรรมมาสน์ปิดทองมาให้เราใช้ โดยพระราชทาน
พระราชานุญาต ให้เทศนาสั่งสอนสาสนาคริสเตียนแก่ไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน
ของพระองค์ได้ เพราะรับสั่งว่าสาสนาที่ทำให้มนุษย์เที่ยวไปถึงสุดโลก
โดยไม่หาประโยชน์ส่วนตัวแต่จะให้ความดีแก่มนุษย์ทั่วไปนั้น คงจะเปน
สาสนาที่แท้จริงเปนแน่ และสมเด็จพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินพระ
องค์นี้ ได้ทรงรับคำสั่งสอนในสาสนาแล้วก็ได้ทรงรับรองว่าต่อไปจะไม่
ทรงนับถือพระเจ้าองค์อื่นนอกจากพระเปนเจ้าซึ่งพวกคริสเตียนนับถือองค์
เดียวเท่านั้น การเหล่านี้ได้เปนไปก่อนพระเจ้าแผ่นดินของเราคือพระเจ้า
หลุยที่ ๑๔ ได้เปนพระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุงสยาม ภายหลังเมื่อ
พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ ได้ทรงทราบในเรื่องเหล่านี้ ได้ทรงหวังประโยชน์
ของการสาสนา จึงได้ทรงแต่งราชทูตให้เชิญพระราชสาสนและเครื่อง
ราชบรรณาการอย่างดีมีราคาถวายพระเจ้ากรงสยาม และเมื่อพระเจ้า
กรงุสยามได้ทรงแต่งราชทูตไปยังประเทศฝรั่งเศสนั้น พระเจ้าหลุยที่ ๑๔
ก็ได้จัดรับราชทูตสยามอย่างมีหน้ามีตา เพราะพระเจ้ากรงุฝรั่งเศสทรง
หวังพระทัยว่า พระเจ้ากรุงสยามคงจะทรงนับถือสาสนาคริสเตียนต่อไป
การที่พระเจ้าหลุยที่ ๑๔ ได้มีพระราชสาสนมาขออนุญาตให้พวกมิชันนารี
ฝรั่งเศสได้อยู่ในเมืองไทย และขอให้สร้างบ้านให้พวกมิชันนารีอยู่นั้น
ไม่เปนการจำเปนอะไรเลย เพราะการทั้งนี้ได้เปนไปตามที่ขอมานั้นอยู่แล้ว
สิ่งที่พระเจ้าหลุยที่ ๑๔ ควรจะขอมานั้น ก็คือควรขอให้พระเจ้ากรุงสยาม
ได้ทรงพระเมตตากรุณาแก่พวกมิชันนารีฝรั่งเศสต่อไป
๗๗
แต่ข้อที่จารึกในศิลาที่เกี่ยวด้วยนายเต็งนี้ นายเต็งคนนี้เปน
บุตร์ของหลวงไกโกษา ๆ เปนพระคลังของพระมหาอุปราช มารดานายเต็ง
นั้นเปนญวนเข้ารีดชื่อนาน (Nan) ซึ่งหลวงเง (Nghe) ได้ลักพาไป
เมื่อท่านพระคลังของพระมหาอุปราชได้ถุงแก่กรรมแล้ว นางนานก็ได้
ย้ายไปอยู่กับพวกเข้ารีต และได้พยายามจะรับบุตร์ซึ่งอายุได้ ๕-๖ ขวบ
จากญาติฝ่ายบิดา โดยอ้างเหตุว่าจะเอาไปรักษาที่บ้านบาดหลวงเพราะเด็ก
นั้นป่วยอยู่ พอนางนานได้รับบุตร์มาแล้วก็รีบเอาไปฝากไว้ที่โรงเรียน
และเวลานั้นข้าพเจ้าก็อยู่ที่โรงเรียนด้วย พวกเราได้เลี้ยงดูนายเต็งอยู่
ช้านาน แต่ไม่กล้าให้รวมเสื้อนักเรียนและไม่กล้าให้น้ำมนต์รับเปนคน
เข้ารีต เพราะเกรงว่าญาติฝ่ายบิดาซึ่งไม่ใช่คนเข้ารีตจะมาเอาตัวไปเสีย
และจะเอาไปสั่งสอนในทางมิจฉาทิฐิ ภายหลังมาดำคอนซตันซ์ได้ช่วย
จัดการจึงได้รับพระรานุญาต จากพระเจ้าแผ่นดินให้รับนายเต็งเข้าโรงเรียน
ได้พวกบาดหลวงขจึงได้ให้น้ำมนต์รับเปนคนเข้ารีตและได้ชื่อว่า ลอรัง
และเมื่อนายเต็งอายุได้ ๑๕ ปี มองเซนเยอร์เดอโรซาล์ได้อนุญาตให้
โกนศีร์ษะรับเข้าเปนคณะบาดหลวงซึ่งเปนผิดการธรรมเนียม แต่ที่ทำ
ดังนี้ก็เพราะมองเซนเยอร์เดอโรซาลีหวังว่านายเต็งจะได้นับถือสาสนาแน่น
กว่าเดิม และเพื่อป้องกันมิให้ญาติซึ่งไม่ใช่คนเข้ารีตรับเอาตัวนายเต็ง
ไปจากโรงเรียน ฝ่ายญาตินายเต็งก็ได้มาขอเอาตัวไปหลายครั้ง แต่
พวกบาดหลวงก็ได้ปัดอยุ่เสมอ ครั้นพระเจ้ากรุงสยามทรงพระประชวร
จนว่าราชการเมืองไม่ได้แล้ว พระมหาอุปราชจึงได้ให้คนไปตาม
๗๘
ตัวนายเต็ง แต่พวกบาดหลวงไม่ยอมส่งตัวให้ พระมหาอุปราชจึงให้คน
ไปบอกมองเซ็นเยอร์เดอโรซาลีว่า ถ้าขืนไม่ส่งตัวให้แล้วก็จะให้ทำลาย
บ้านบาดหลวงลงให้เหลือแต่พื้นดิน มองเซนเยอร์เดอโรซาลีเกรงว่า
พระมหาอุปราชจะทำจริงอย่างรับสั่ง และเกรงว่าพระมหาอุปราชจะทรง
คิดทำลายพวกเข้ารีตและทำลายสาสนา จึงได้ส่งตัวนายเต็งไปทั้งเสื้อ
ยาวที่สวมอยู่ ภายหลังนายเต็งได้หนีไปได้ และเพื่อจะถือสาสนา
คริสเตียนให้สดวก จึงได้ไปอยู่เมืองญวนกับพวกมิชชันนารีจน
ทุกวันนี้
ข้อที่จารึกไว้ในแผ่นศิลาว่านายเต็งได้ให้การว่า ที่บ้านบาดหลวง
มีหนังสือที่อธิบายด้วยสาสนาคริสเตียนโดยยืดยาว และมีหนังสือติเตียน
เอาะเย้ยสาสนาไทยนั้น นายเต็งหาได้ให้การเช่นนี้ไม่ ต่ความจริงใน
เรื่องนี้ ก็คือพระมหาอุปราชซึ่งเปนพระเข้สาแผ่นดินองค์ปัจจุบันนี้ ได้ทรง
ยืดหนังสือซึ่งมองเซนเยอร์เดอเตโลโปลิศผู้ถึงแก่กรรมได้แต่งไว้ ช้านาน
แล้ว หนังสือไม่ได้เขียนเปนภาษาไทยอย่างเดียวแต่ได้เขียนเปนภาษา
บาฬีและใช้ตัวหนังสือเขมรด้วย และการที่มองเซนเยอร์เดอเมเตโล
โปลิศได้แต่งหนังสือเหล่านี้ ก็โดยนักปราชญ์ผู้ชำนาญภาษาเหล่านี้
ได้มาช่วยด้วย หนังสือเหล่านี้เจ้าซึ่งเปนเชื้อพระราชวงศ์องค์ ๑ ได้ยืม
ไปจากมองเซนเยอร์เดอโรซาลี เพราะเจ้าองค์นี้ได้มาที่บ้านบาดหลวง
บ่อย ๆ มีความรักใคร่กับพวกบาดหลวงและชมเชยสาสนาของเรามาก
เจ้าองค์นี้ได้ทรงอ่านหนังสือเหล่านี้ก็ทรงติดใจ จึงได้นำหนังสือเหล่านี้ไป
๗๙
ถวายพระมหาอุปราช พระมหาอุปราชทรงอ่านหนังสือเหล่านี้ก็แกล้งทำเปนพอพระทัย และรับสั่งว่าพอพระทัยในพวกชาวต่างประเทศซึ่งได้
แต่งหนังสือเหล่านี้เพราะแต่งดีมาก พระมหาอุปราชจึงรับสั่งให้เจ้าองค์
ที่เปนเพื่อนของบาดหลวงให้มายืมหนังสือไปอ่านอีก เจ้าองค์นี้ได้มายืม
ตามรับสั่งแต่ก็หาได้บอกไม่ว่าหนังสือที่ยืมไปนั้นจะเอาไปทำอะไร ฝ่าย
มองเซนเยอร์เดอโรซาลีหวังใจว่าเจ้าองค์นี้ คงจะศรัทธาในสาสนาคริสเตียน
และเพื่อจะให้ทรงเชื่อหนักขึ้น จึงได้ถวายหนังสือซึ่งคัดค้านและติเตียน
สาสนาของไทย หนีงสือเหล่านี้ก็ได้ไปตกถึงพระหัดถ์พระมหาอุราชด้วย
ท่านพระมหาอุปราชก็ทำเฉยให้ใครรู้สึกในพระทัยไม่ แล้วจึงได้รับสั่ง
ให้นิมนต์พระสงฆ์ที่รู้ธรรมมาประชุมเปนการลับ และได้ให้พระสงฆ์
เหล่านั้นตรวจและอ่านหนังสือที่ยืมไปจากสังฆราช ครั้นพระสงฆ์ได้
อ่านหนังสือเหล่านั้นจบแล้ว พระมหาอุปราชจึงรับสั่งถามว่าพระสงฆ์จะ
แก้ข้อติเตียนซึ่งพวกชาวต่างประเทศติเตียนสาสนาไทยได้หรือไม่ พระ
สงฆ์ทุกองค์ทูลตอบว่สแก้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าพวกชาวต่างประเทศ
เหล่านี้ศึกษาการเช่นนี้ทั้งกลางวันกลางคืน พระมหาอุปราชกริ้วมากจึง
รับสั่งว่า "เราเลี้ยงแต่คนขี้เกียจและคนโง่ดอกหรือ" ตั้งแต่มาได้
ทรงจ้ดให้ทีการสอบความรู้พระสงฆ์เปนครั้งเปนคราว การทั้งปวงดังที่
เปนมานี้พระมหาอุปราชปิดยังมิให้ใครรู้ในน้ำพระทัยเลย เพราะฉนั้น
การที่ทรงเกลียดพวกมิชันนารีจึงทวีปมากขึ้นทุกที และเมื่อครั้งบาดหลวง
ไม่ยอมส่งตัววนายเต็งให้นั้น ก็คงจะทรงกริ้วตั้งแต่นั้นมาแล้ว ครั้น
๘๐
พระเจ้าแผ่นดินผู้เปนพระเชษฐาได้ทรงพระประชวร พระมหาอุปราก็
ได้เห็นโอกาศที่จะทำการต่าง ๆ ได้ตามพระทัยโดยไม่ต้องกลัวกรง
ใคร ความกริ้วที่ได้ทรงกลั้นไว้นั้นจึงระเบิดออกมา จึงได้มีรับส่ง
ให้จารึกแผ่นศิลาตามข้อความที่พอพระทัย แต่ซึ่งหาความจริงมิได้
เพราะเหตุว่ามองเซนเยอร์เดอโรซาลีมีได้ขอโทษในการที่หาว่าตัวทำผิด
และมิได้ยอมปฎิบัติตามข้อห้ามนั้น ๆ เลย
|
12862
|
2651
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12862
|
มหาสติปัฏฐานสูตร
|
เอวัมเม สุตัง. อันข้าพเจ้า (พระอานนท์เถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้, <br>
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา กุรูสุ วิหะระติ, กัมมะสะธัมมัง นามะ กุรูนัง. สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุ ชื่อกัมมาสธัมมะ, <br>
ตัตตระโข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ในกาลนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายดังนี้, <br>
ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลรับพระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ดังนี้, <br>
ภะคะวา เอตะทะโวจะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพุทธภาษิตนี้ว่า, <br>
เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค สุตตานัง วิสุทธิยา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก (เป็นที่ไปของบุคคลผู้เดียว เป็นที่ไปในที่แห่งเดียว) เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย, <br>
โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ. เพื่อความก้าวล่วง ซึ่งความโศกและความร่ำไร, <br>
ทุกขะโทมะนัสสานัง อัฏฐังคะมายะ. เพื่อความอัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส, <br>
ญายัสสะ อธิคะมายะ. เพื่อบรรลุญายธรรม (ธรรมที่ควรรู้ ธรรมที่ถูก คือ อริยมรรค), <br>
นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง, <br>
ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา. ทางนี้คือสติปัฏฐาน (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ) ๔ อย่าง, <br>
กะตะมา จัตตาโร. สติปัฏฐาน ๔ อย่าง คืออะไรบ้าง?, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่, <br>
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, <br>
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส (ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ, <br>
เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ, <br>
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, <br>
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ, <br>
จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่, <br>
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, <br>
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆอยู่, <br>
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, <br>
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ, <br>
อุทเทโส จบอุทเทส. <br>
<br>
<br>
<br>
กายานุปัสสนา ว่าด้วยการพิจารณากาย <br>
<br>
<br>
๑. อานาปาน (ข้อกำหนดการพิจารณาลมหายใจ) <br>
<br>
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ กเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ อย่างไรเล่า?, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
อะรัญญะคะโต วา. ไปแล้วสู่ป่าก็ดี, <br>
รุกขะมูละคะโต วา. ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ดี, <br>
สุญญาคาระโต วา. ไปแล้วสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี, <br>
นิสีทะติ ปัลลังกัง อาภุชิตตะวา. นั่งคู้บัลลังก์, <br>
อุชุ กายัง ปะณิธายะ. ตั้งกายให้ตรง, <br>
ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปตตะวา. ดำรงสติเฉพาะหน้า, <br>
โส สะโต วา อัสสะสะติ. เธอย่อมมีสติหายใจเข้า, <br>
สะโต ปัสสะสะติ. ย่อมมีสติหายใจออก, <br>
ทีฆัง วา อัสสะสันโต. เมื่อหายใจเข้ายาว, <br>
ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว, <br>
ทีฆัง วา ปัสสะสันโต. หรือเมื่อหายใจออกยาว, <br>
ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว, <br>
รัสสัง วา อัสสะสันโต. เมื่อหายใจเข้าสั้น, <br>
รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น, <br>
รัสสัง วา ปัสสะสันโต. หรือเมื่อหายใจออกสั้น, <br>
รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น, <br>
สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า, <br>
สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก, <br>
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร (คือลมอัสสาสะปัสสาสะ) หายใจเข้า, <br>
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก, <br>
เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทุกโข ภะมะกาโร วา ภะมะการันเตวาสี วา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด นายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ฉลาด, <br>
ทีฆัง วา อัญฉันโต ทีฆัง อัญฉามีติ ปะชานาติ. เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่าเราชักเชือกกลึงยาว, <br>
รัสสัง วา อัญฉันโต รัสสัง อัญฉามีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น, <br>
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้น นั่นแลฯ, <br>
ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว, <br>
ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว, <br>
รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น, <br>
รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น, <br>
สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า, <br>
สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก, <br>
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า, <br>
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับ กายสังขาร หายใจออก, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้แลฯ, <br>
<br>
อานาปานะปัพพัง. จบข้อกำหนดด้วยลมหายใจเข้าออก. <br>
<br>
<br>
๒.อิริยาบถ (ข้อกำหนดการพิจารณาอิริยาบถ) <br>
<br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีกภิกษุ, <br>
คัจฉันโต วา คัจฉามีติ ปะชานาติ. เมื่อเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เราเดิน, <br>
ฐิโต วา ฐิโตมหีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เรายืน, <br>
นิสินโน วา นิสินโนมหีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เรานั่ง, <br>
สะยาโน วา สะยาโนมหีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เรานอน, <br>
ยะถา ยะถา วา ปะนัสสะ กาโย ปะณิหิโต โหติ. อนึ่ง เมื่อเธอนั้น เป็นผู้ตั้งกายไว้แล้วอย่างใดๆ, <br>
ตะถา ตะถา นัมปะชานาติ. ก็ย่อมรู้ชัดอาการกายนั้น อย่างนั้นๆ, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วากาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในบ้างทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ติดยึดอะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้ฯ, <br>
<br>
อิริยาปะถะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยอิริยาบถ <br>
<br>
<br>
๓. สัมปชัญญะ (ข้อกำหนดการพิจารณาสัมปชัญญะ) <br>
<br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
อะภิกกันเต ปะฏิกกันเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ(ความเป็นผู้รู้ทั่วพร้อม) ในการก้าวไปข้างหน้า และถอยกลับมาข้างหลัง, <br>
อาโลกิเต วิโลกิเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการแลไปข้างหน้า และเหลียวไปข้างซ้าย ข้างขวา, <br>
สัมมิญชิเต ปะสาริเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการคู้อวัยวะเข้า เหยียดอวัยวะออก, <br>
สังฆาฏิ ปัตตะ จีวะระ ธาระเณ สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปะชัญญะ ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร, <br>
อะสิเต ปิเต ขายิเต สายิเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการ กิน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม, อุจจาระปัสสาวะ, <br>
กัมเม สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ, <br>
คะเต ฐิเต นิสินเน สุตเต ชาคะริเต ภาสิเต ตุณหีภาเว สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะในการเดิน ยืน นี่ง หลับ ตื่น พูด และความเป็นผู้นิ่งอยู่, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้, <br>
<br>
สัมปะชัญญะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยสัมปชัญญะ <br>
<br>
<br>
๔. ปฏิกูล (ข้อกำหนดการพิจารณาสิ่งเป็นปฏิกูล) <br>
<br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
อิมะเมวะ กายัง อุทธัง ปาทะตะลา อะโธ เกสะมัตถะกา ตะจะปะริยันตัง ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากายนี้นี่แล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆว่า, <br>
อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้,<br>
เกสา โลมา นะขา. ผม ขน เล็บ,<br>
ทันตา ตะโจ. ฟัน หนัง,<br>
มังสัง นะหารู. เนื้อ เอ็น,<br>
อัฏฐี อัฏฐีมิญชัง. กระดูก เยื่อในกระดูก, <br>
วักกัง หะทะยัง ยะกะนัง. ม้าม หัวใจ ตับ,<br>
กิโลมะกัง ปิหะกัง ปัปผาสัง. พังผืด ไต ปอด,<br>
อันตัง อันตะคุณัง. ไส้ใหญ่ ไส้น้อย (สายรัดไส้ ไส้ทบ), <br>
อุทะริยัง กะรีสัง. อาหารใหม่ อาหารเก่า, <br>
ปิตตัง เสมหัง ปุพโพ. น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง, <br>
โลหิตัง เสโท เมโท. น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น, <br>
อัสสุ วะสา เขโฬ. น้ำตา น้ำมันเหลว น้ำลาย, <br>
สิงฆาณิกา ละสิกา มุตตันติ. น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร, <br>
เสยยะถาปิ ภิกขะเว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด, <br>
อุภะโตมุขา มูโตฬี. ไถ้มีปาก ๒ ข้าง, <br>
ปูรา นานาวิหิตัสสะ ธัญญัสสะ. เต็มด้วยธัญญชาติมีประการต่างๆ, <br>
เสยยะถีทัง. คืออะไรบ้าง, <br>
สาลีนัง วีหีนัง. คือข้าวสาลี ข้าวเปลือก, <br>
มุคคานัง มาสานัง. ถั่วเขียว ถั่วเหลือง, <br>
ติลานัง ตัณฑุลานัง. งา ข้าวสาร, <br>
ตะเมนัง จักขุมา ปุริโส มุญจิตวา. บุรุษมีจักษุแก้ไถ้นั้นออกแล้ว, <br>
ปัจจะเวกเขยยะ. พึงเห็นได้ว่า, อิเม สาลี. เหล่านี้ ข้าวสาลี, <br>
อิเม วีหี. เหล่านี้ ข้าวเปลือก, <br>
อิเม มุคคา. เหล่านี้ ถั่วเขียว, <br>
อิเม มาสา. เหล่านี้ ถั่วเหลือง, <br>
อิเม ติลา. เหล่านี้ งา, <br>
อิเม ตัณฑุลาติ. เหล่านี้ ข้าวสาร, <br>
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นนั่นแลภิกษุ, <br>
อิมะเมวะ กายัง อุทธัง ปาทะตะลา อะโธ เกสะมัตถะกา ตะจะปะริยันตัง ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากายนี้นี่แล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆว่า, อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้, เกสา โลมา นะขา. ผม ขน เล็บ, ทันตา ตะโจ. ฟัน หนัง, มังสัง นะหารู. เนื้อ เอ็น, อัฏฐี อัฏฐีมิญชัง. กระดูก เยื่อในกระดูก, วักกัง หะทะยัง ยะกะนัง. ม้าม หัวใจ ตับ, กิโลมะกัง ปิหะกัง ปัปผาสัง. ผังผืด ไต ปอด, อันตัง อันตะคุณัง. ไส้ใหญ่ ไส้น้อย, อุทะริยัง กะรีสัง. อาหารใหม่ อาหารเก่า, ปิตตัง เสมหัง ปุพโพ. น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง, โลหิตัง เสโท เมโท. น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น, อัสสุ วะสา เขโฬ. น้ำตา น้ำมันเหลว น้ำลาย, สิงฆาณิกา ละสิกา มุตตันติ. น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร, อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้,ฯ <br>
<br>
ปะฏิกกูละปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยกายเป็นของปฏิกูล <br>
<br>
<br>
๕. ธาตุ (ข้อกำหนดการพิจารณาธาตุทั้ง ๔) <br>
<br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งอยู่ตามปกตินี่แล โดยความเป็นธาตุว่า, <br>
อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้, <br>
ปะฐะวีธาตุ อาโปธาตุ. ธาตุดิน ธาตุน้ำ, <br>
เตโชธาตุ วาโยธาตุ. ธาตุไฟ ธาตุลม, <br>
เสยยะถาปิ ภิกขะเว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด, <br>
ทุกโข โคฆาตะโก วา โคฆาตะกันเตวาสี วา. คนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ฉลาด, <br>
คาวิง วะธิตวา. ฆ่าแม่โคแล้ว, <br>
จาตุมมะหาปะเถ วิละโส ปะฏิวิภะชิตตะวา นิสินโน อัสสะ. พึงแบ่งออกเป็นส่วน แล้วนั่งอยู่ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง, <br>
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นนั่นแล ภิกษุ,ฯ <br>
อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากาย อันตั้งอยู่ตามที่ตั้งอยู่ตามปกตินี้นี่แล โดยความเป็นธาตุว่า, <br>
อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้, <br>
ปะฐะวีธาตุ อาโปธาตุ. ธาตุดิน ธาตุน้ำ, <br>
เตโชธาตุ วาโยธาตูติ. ธาตุไฟ ธาตุลม, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปะทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้,ฯ <br>
<br>
ธาตุปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยธาตุ <br>
<br>
<br>
๖. ซากศพ (ข้อกำหนดการพิจารณาซากศพ) <br>
<br>
๖.๑ <br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสรีระ(ซากศพ), <br>
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, <br>
เอกาหะมะตัง วา. ตายแล้ววันหนึ่ง, ทวีหะมะตัง วา. หรือตายแล้ว ๒วัน, <br>
ตีหะมะตัง วา. หรือตายแล้ว ๓ วัน, <br>
อุทธุมาตะกัง วินีละกัง. อันพองขึ้น สีเขียวน่าเกลียด, <br>
วิปุพพะกะชาตัง. เป็นสีระมีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด, <br>
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, <br>
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้นี่เล่า, <br>
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, <br>
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, <br>
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้แล, <br>
<br>
๖.๒ <br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), <br>
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, <br>
กาเกหิ วา ขัชชะมานัง. อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง, <br>
คิชเฌหิ วา ขัชชะมานัง. ฝูงแร้งกินจิกอยู่บ้าง, <br>
กุละเลหิ วา ขัชชะมานัง. ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง, <br>
สุวาเณหิ วา ขัชชะมานัง. หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง, <br>
สิงคาเลหิ วา ขัชชะมานัง. หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง, <br>
วิวิเธหิ วา ปาณะกะชาเตหิ ขัชชะมานัง. หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง, <br>
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, <br>
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้นี่เล่า, <br>
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, <br>
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, <br>
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้. <br>
<br>
๖.๓ <br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), <br>
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, <br>
อัฏฐิสังขะลิกัง. เป็นร่างกระดูก, สะมังสะโลหิตัง. ยังมีเนื้อและเลือด, <br>
นะหารุสัมพันธัง. อันเส้นเอ็นรัดรึงอยู่, <br>
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, <br>
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า, <br>
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, <br>
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, <br>
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้. <br>
<br>
๖.๔ <br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ), <br>
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, <br>
อัฏฐิสังขะลิกัง. เป็นร่างกระดูก, <br>
นิมมังสะโลหิตัง มักขิตัง. เปื้อนด้วยเลือด แต่ปราศจากเนื้อแล้ว, <br>
นะหารุสัมพันธัง. ยังมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่, <br>
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, <br>
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า, <br>
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, <br>
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, <br>
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้. <br>
<br>
๖.๕ <br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ), <br>
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, <br>
อัฏฐิสังขะลิกัง. เป็นร่างกระดูก, <br>
อะปะคะตะมังสะโลหิตัง. ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว, <br>
นะหารุสัมพันธัง. ยังมีเอ็นรัดรึงอยู่, <br>
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, <br>
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า, <br>
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, <br>
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, <br>
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้. <br>
<br>
๖.๖ <br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ), <br>
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, <br>
อัฏฐิกานิ. คือเป็น(ท่อน) กระดูก, <br>
อะปะคะตะนะหารุสัมพันธานิ. ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องรัดรึงแล้ว, <br>
ทิสาวิทิสา วิกขิตตานิ. กระจายไปแล้วในทิศน้อย และทิศใหญ่, <br>
อัญเญนะ หัตถัฏฐิกัง. คือกระดูกมือ(ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ ปาทัฏฐิกัง. กระดูกเท้า(ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะชังฆัฏฐิกัง. กระดูกแข้ง (ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ อูรัฏฐิกัง. กระดูกขา (ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ กะกิฏฐิกัง. กระดูกสะเอว (ไปอยู่)ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ ปิฏฐิกัณฏะกัฏฐิกัง. กระดูกสันหลัง(ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ ผาสุกัฏฐิกัง. กระดูกซี่โครง (ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ อุรัฏฐิกัง. กระดูกหน้าอก(ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ พาหุฏฐิกัง. กระดูกแขน (ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ อังสัฏฐิกัง. กระดูกไหล่ (ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ คีวัฏฐิกัง. กระดูกคอ (ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ หะนุฏฐิกัง. กระดูกคาง(ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ ทันตัฏฐิกัง. กระดูกฟัง (ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
อัญเญนะ สีสะกะฏาหัง. กะโหลกศีรษะ(ไปอยู่) ทางอื่น, <br>
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, <br>
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า, <br>
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, <br>
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, <br>
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้. <br>
<br>
๖.๗ <br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), <br>
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, <br>
อัฏฐิกานิ. คือเป็น(ท่อน)กระดูก, <br>
เสตานิ สังขะวัณณุปะนิภานิ. มีสีขาวเปรียบด้วยสีสังข์, <br>
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, <br>
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า, เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, <br>
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, <br>
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้. <br>
<br>
๖.๘ <br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), <br>
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, <br>
อัฏฐิกานิ. คือเป็น(ท่อน)กระดูก, <br>
ปุญชะกิตานิ. เป็นกองเรี่ยรายแล้ว, <br>
เตโรวัสสิกานิ. มีในภายนอก(เกิน) ปีหนึ่งไปแล้ว, <br>
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, <br>
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า, <br>
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, <br>
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, <br>
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้. <br>
<br>
๖.๙ <br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), <br>
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, <br>
อัฏฐิกานิ. คือเป็น(ท่อน)กระดูก, <br>
ปูตีนิ จุณณะกะชาตานิ. ผุละเอียดแล้ว, <br>
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, <br>
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า, <br>
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, <br>
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, <br>
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้. <br>
<br>
นะวะสีวะถิกาปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยป่าช้า ๙ ข้อ <br>
<br>
<br>
กายนุปัสสนาสติปัฏฐานัง จบกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน <br>
<br>
<br>
<br>
เวทนานุปัสสนา <br>
<br>
๗.เวทนา (ข้อกำหนดการพิจารณาเวทนา) <br>
<br>
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, <br>
เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา (ความเสวยอารมณ์) ในเวทนาเนืองๆอยู่, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. เมื่อเสวยสุขเวทนา, <br>
สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่าบัดนี้เราเสวยสุขเวทนา, <br>
ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. เมื่อเสวยทุกขะเวทะนา, <br>
ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนา, <br>
อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา (ไม่ทุกข์ไม่สุข), <br>
อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา, <br>
สามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิส(คือเจือกามคุณ), <br>
สามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนามีอามิส, <br>
นิรามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส (คือไม่เจือกามคุณ), <br>
นิรามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส, <br>
สามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนามีอามิส, <br>
สามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส, <br>
นิรามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส, <br>
นิรามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส, <br>
สามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา มีอามิส, <br>
สามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส, <br>
นิรามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส, <br>
นิรามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเวทนาในเวทนา เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในเวทนาบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง, <br>
อัตถิ เวทะนาติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าเวทนามีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่อย่างนี้แล.ฯ <br>
<br>
เวทะนานุปัสสะนาสะติปัฏฐานัง จบเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน <br>
<br>
<br>
<br>
จิตตานุปัสสนา <br>
<br>
<br>
๘. จิต (ข้อกำหนดการพิจารณาจิต) <br>
<br>
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, <br>
จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
<br>
๑. สะราคัง วา จิตตัง สะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ. อนึ่ง จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ, <br>
๒.วีตะราคัง วา จิตตัง วีตะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่มีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีราคะ, <br>
๓.สะโทสัง วา จิตตัง สะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโทสะ, <br>
๔.วีตะโทสัง วา จิตตัง วีตะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ.หรือจิตไม่มีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโทสะ, <br>
๕.สะโมหัง วา จิตตัง สะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโมหะ, <br>
๖.วีตะโมหัง วา จิตตัง วีตะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่มีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโมหะ, <br>
๗.สังขิตตัง วา จิตตัง สังขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า จิตหดหู่, <br>
๘.วิกขิตตัง วา จิตตัง วิกขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน, <br>
๙.มะหัคคะตัง วา จิตตัง มะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตเป็นมหรคต (คือถึงความเป็นใหญ่ หมายเอาจิตที่เป็นฌานหรืออัปปมัญญา พรหมวิหาร) ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นมหรคต, <br>
๑๐.อะมะหัคคะตัง วา จิตตัง อะมะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นมหรคต, <br>
๑๑.สะอุตตะรัง วา จิตตัง สะอุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตเป็นสะอุตตระ (คือกามาวจรจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ไม่ถึงอุปจารสมาธิ) ก็รู้ชัดว่าจิตเป็นสอุตตระ, <br>
๑๒.อะนุตตะรัง วา จิตตัง อะนุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตเป็นอนุตตระ (คือกามาวจรจิต ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า หมายเอาอุปจารสมาธิ) ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นอนุตตระ, <br>
๑๓.สะมาหิตัง วา จิตตัง สะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตตั้งมั่น, <br>
๑๔.อะสะมาหิตัง วา จิตตัง อะสะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่ตั้งมั่น, <br>
๑๕.วิมุตตัง วา จิตตัง วิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตวิมุติ (คือหลุดพ้นด้วยตทังคะวิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ) ก็รู้ชัดว่า จิตวิมุติ, <br>
๑๖.อะวิมุตตัง วา จิตตัง อะวิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตยังไม่วิมุติ ก็รู้ชัดว่าจิตยังไม่วิมุติ, <br>
<br>
อิติ อัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในจิตบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในจิตบ้าง, <br>
อัตถิ จิตตันติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่า จิตมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่อย่างนี้แล,ฯ <br>
<br>
จิตตานุปัสสะนาสะติปัฏฐานา จบจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน <br>
<br>
<br>
<br>
ธัมมานุปัสสนา <br>
<br>
<br>
๙.นิวรณ์ (ข้อกำหนดการพิจารณานิวรณ์) <br>
<br>
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆอยู่, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, <br>
ปัญจะสุ นีวะระเณสุ. คือนิวรณ์ณ์ ๕, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง. เมื่อกามฉันท์ (ความพอใจในกามารมณ์) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์มีอยู่ ณ ภายในจิต, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง. หรือเมื่อกามฉันไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่ากามฉันท์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ กามะฉันทัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละกามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ กามะฉันทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่กามฉันท์อันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ กามะฉันทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่กามฉันท์อันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง. อนึ่ง เมื่อพยาบาท (ความคิดแช่งสัตว์ให้พินาศ) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง. หรือเมื่อพยาบาทไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ พะยาปาทัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่พยาบาทอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ พะยาปาทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่พยาบาทอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด. <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง. อนึ่ง เมื่อถีนะมิทธะ (ความคร้านกายและง่วงเหงา) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ถีนะมิทธะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง. หรือ เมื่อถีนะมิทธะไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ถีนะมิทธะไม่มี ณ ภายในจิตขงเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ถีนะมิทธะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้น, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อายะติง อนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ถีนะมิทธะอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง. อนึ่ง เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง. หรือเมื่ออุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุทธัจจกุกกุจจัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง. อนึ่ง เมื่อวิจิกิจฉา (ความเคลือบแคลงสงสัย) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉาติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉามีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง. หรือ เมื่อวิจิกิจฉาไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉาติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉาไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนายะ วิจิกิจฉายะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่วิจิกิจฉาอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนายะ วิจิกิจฉายะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนายะ วิจิกิจฉายะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่วิจิกิจฉาอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, <br>
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ปัญจะสุ นีวะระเณสุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือนิวรณ์ ๕ อย่างนี้แล,ฯ <br>
<br>
นีวะระปัพพัง จบข้อกำหนดนีวรณ์ <br>
<br>
<br>
๑๐. ขันธ์ ๕ (ข้อกำหนดการพิจารณษขันธ์ ๕) <br>
<br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, <br>
ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ. คืออุปาทานขันธ์ ๕, <br>
กถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, <br>
ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ. คืออุปาทานขันธ์ ๕, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า), <br>
อิติ รูปัง. อย่างนี้ รูป (สิ่งที่ทรุดโทรม), <br>
อิติ รูปัสสะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของรูป, <br>
อิติ รูปัสสะ อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับไปของรูป, <br>
อิติ เวทะนา. อย่างนี้ เวทนา (ความเสวยอารมณ์), <br>
อิติ เวทะนายะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของเวทนา, <br>
อิติ เวทะนายะ อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับไปของเวทนา, <br>
อิติ สัญญา. อย่างนี้ สัญญา (ความจำ), <br>
อิติ สัญญายะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ก็ความเกิดขึ้นของสัญญา, <br>
อิติ สัญญายะ อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับไปของสัญญา, <br>
อิติ สังขารา. อย่างนี้สังขาร (ความคิด), <br>
อิติ สังขารานัง สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของสังขาร, <br>
อิติ สังขารานัง อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับของสังขาร, <br>
อิติ วิญญาณัง. อย่างนี้ วิญญาณ (ความรู้สึก), <br>
อิติ วิญญาณัสสะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของวิญญาณ, <br>
อิติ วิญญาณัสสะ อัตถังคะโมติ. อย่างนี้ ความดับไปของวิญญาณ, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, <br>
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คืออุปาทานขันธ์ ๕ อย่างนี้แล,ฯ <br>
<br>
ขันธะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยขันธ์
<br>
<br>
๑๑. อายตนะ (ข้อกำหนดการพิจารณาอายตนะ) <br>
<br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ. คืออายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖ (อย่างละ ๖), <br>
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, <br>
ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ. คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
จักขุญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักตาด้วย, <br>
รูเป จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักรูปด้วย, <br>
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ (เครื่องผูก) ย่อมเกิดขึ้น อาศัยตาและรูปทั้ง ๒ นั้น อันใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
โสตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักหูด้วย, <br>
สัทเท จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักเสียงด้วย, <br>
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยหูและเสียงทั้ง ๒ นั้นอันใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ฆานัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักจมูกด้วย, คันเธ จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักกลิ่นด้วย, <br>
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยจมูกและกลิ่นทั้ง ๒ นั้นอันใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ชิวหิญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักลิ้นด้วย, <br>
ระเส จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักรสด้วย, <br>
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยลิ้นและรสทั้ง ๒นั้นอันใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
กายัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักกายด้วย, โผฏฐัพเพ จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักโผฏฐัพพะ (สิ่งที่พึงถูกต้องด้วยกาย) ด้วย, <br>
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้ง ๒ นั้นอันใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
มะนัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักใจด้วย, <br>
ธัมเม จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักธรรมารมณ์ (สิ่งที่พึงรู้ได้ด้วยใจ) ด้วย, <br>
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ นั้นอันใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, <br>
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คืออายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖ อย่างนี้แล,ฯ <br>
<br>
อายะตะนะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยอายตนะ <br>
<br>
<br>
๑๒.โพชฌงค์ (ข้อกำหดการพิจารณาโพชฌงค์) <br>
<br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, <br>
สัตตะสุ โพชฌังเคสุ. คือโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ ๗ อย่าง), <br>
กะถัญจะ ภิกขะเว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, <br>
สัตตะสุ โพชฌังเคสุ. คือโพชฌงค์ ๗, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง. อนึ่ง เมื่อสติสัมโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือสติ) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อสติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สติสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อธัมมะวิจยสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือความเลือกเฟ้นธรรม) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อธัมมวิจยสัมโพฃฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมะวิจยสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อวิริยะสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือความเพียร) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อวิริยสัมโพฃฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่วิริยสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของวิริยสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อปิติสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือปิติความปลื้มกายปลื้มใจ) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปิติสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อปิติสัมโพฃฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปิติสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปิติสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ปิติสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปิติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของปิติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือปัสสัทธิ ความสงบกายสงบจิต) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อปัสสัทธิสัมโพฃฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่งความเจริญบริบูรณ์ของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือสมาธิ ความที่จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อสมาธิสัมโพฃฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สมาธิสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สมาธิสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะมาธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสมาธิสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
สันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คืออุเบกขา ความที่จิตมัธยัสถ์เป็นกลาง) มี ณ ภายในจิต, <br>
อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่ออุเบขาสัมโพฃฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, <br>
นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, <br>
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่อุเบกขาสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, <br>
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, <br>
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, <br>
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. สัตตะสุ โพชฌังเคสุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือโพชฌงค์ ๗ อย่างนี้แล,ฯ <br>
<br>
โพชฌังคะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยโพชฌงค์ <br>
<br>
<br>
๑๓. อริยสัจ ๔ (ข้อกำหนดการพิจารณาอริยสัจ ๔) <br>
<br>
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, <br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, <br>
จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ. คือ อริยสัจ (ความจริงของพระอริยเจ้า) ๔, <br>
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, <br>
จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ. คือ อริยสัจ ๔, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
อิทัง ทุกขันติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี่ทุกข์, <br>
อะยัง ทุกขะสะมุทะโยติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. ยอมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี่ทุกขะนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์), <br>
อะยัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทาติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี่ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมที่ดับทุกข์), <br>
<br>
๑ ทุกขอริยสัจ <br>
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ของจริงแห่งพระอริยเจ้า คือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? <br>
ชาติปิ ทุกขา. แม้ชาติ (ความเกิด) ก็เป็นทุกข์, <br>
ชะราปิ ทุกขา. แม้ชรา (ความแก่) ก็เป็นทุกข์, <br>
มะระณัมปิ ทุกขัง. แม้มรณะ (ความตาย) ก็เป็นทุกข์, <br>
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา. แม้โสกะ (ความโศก) ปะริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน) ทุกข์ (ความไม่สบายกาย) โทมนัส (ความเสียใจ) และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) ก็เป็นทุกข์, <br>
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข. ความประสบสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์, <br>
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ความพลัดพรากจากสัตว์ และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์, <br>
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ. สัตว์ปรารถนาสิ่งใด ย่อมไม่ได้, <br>
ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อที่ไม่สมประสงค์นั้น ก็เป็นทุกข์, <br>
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. โดยย่อ อุปาทานขันธ์ (ขันธ์ประกอบด้วยอุปาทาน ความถือมั่น) ก็เป็นทุกข์, <br>
กะตะมา จะ ภิกขะเว ชาติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชาติ(ความเกิด) เป็นอย่างไร?, <br>
ยา เตสัง เตสัง สัตตานิ ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อะภินิพพัตติ ขันธานัง ปาตุภาโว อายะตะนานัง ปะฏิลาโภ. ความเกิด เกิดพร้อม (คือมีอายตนะบริบูรณ์) ความหยั่งลง (คือ เป็นชลาพุชะ หรืออัณฑชะปฏิสนธิ) เกิด (คือเป็นสังเสทชปฏิสนธิ) เกิดจำเพาะ (คือเป็นอุปปาติกปฏิสนธิ) ความปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆอันใด, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชาติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ชาติ (ความเกิด), <br>
กะตะมา จะ ภิกขะเว ชะรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชรา (ความแก่) เป็นอย่างไร?, <br>
ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชะรา ชีระณะตา ขัณฑิจจัง ปาลิจจัง วะลิตจะตา อายุโน สังหานิ อินทริยานัง ปะริปาโก. ความแก่ ความคร่ำคร่า ความที่ฟันหลุด ความที่ผมหงอก ความที่หนังหดเหี่ยว เป็นเกลียว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆของสัตว์นั้นๆอันใด, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชะรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ชรา (ความแก่), <br>
กะตะมัญจะ ภิกขะเว มะระณัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณะ (ความตาย) เป็นอย่างไร?, <br>
ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหา ตัมหา สัตตะนิกายา จุติ จะวะนะตา เภโท อันตะระธานัง มัจจุมะระณัง กาละกิริยา ขันธานัง เภโท กะเฬวะรัสสะ นิกเขโป ชีวิตินทริยัสสะอุปัจเฉโท. ความจุติ ความเคลื่อนไป ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์ ความทิ้งซากศพไว้ ความขาดไปแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆอันใด, <br>
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว มะระณัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า มรณะ (ความตาย), <br>
กะตะมา จะ ภิกขะเว โสโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โสกะ (ความแห้งใจ) เป็นอย่างไรเล่า?, <br>
โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ ผุฏฐัสสะ โสโก โสจะนา โสจิตัตตัง อันโต โสโก อันโต ปะริโสโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความโศก ความเศร้าใจ ความแห้งใจ ความผาก ณ ภายใน ความโศก ณ ภายในของสัตว์ ผู้ประกอบด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง และผู้ที่ความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใดเล่า, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว โสโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า โสกะ (ความแห้งใจ), <br>
กะตะมา จะ ภิกขะเว ปะริเทโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน) เป็นอย่างไรเล่า?, <br>
โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเสนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ ผุฏฐัสสะ อาเทโว ปะริเทโว อาเทวะนา ปะริเทวะนา อาเทวิตัตตัง ปะริเทวิตัตตัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ ความที่ร่ำไรรำพัน ความที่สัตว์ร่ำไรรำพัน ของสัตว์ผู้ประกอบด้วยความฉิบหาย อันใดอันหนึ่ง และผู้ที่ความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใดเล่า, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะริเทโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ปริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน), <br>
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ (ความไม่สบายกาย) เป็นอย่างไรเล่า?, <br>
ยัง โข ภิกขะเว กายิกัง ทุกขัง กายิกัง อะสาตัง กายะสัมผัสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทิยัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์เกิดในกาย ความไม่ดีเกิดในกาย เวทนาไม่ดีเป็นทุกข์ เกิดแต่สัมผัสทางกาย อันใด?, <br>
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า ทุกข์ (ความไม่สบายกาย), <br>
กะตะมัญจะ ภิกขะเว โทมะนัสสัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทมนัส(ความเสียใจ) เป็นอย่างไร?, <br>
ยัง โข ภิกขะเว เจตะสิกัง ทุกขัง เจตะสิกัง อะสากัง เจโตสัมผัสสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทะยิตัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์เกิดในใจ ความไม่ดีเกิดในใจ เวทนาไม่ดีเป็นทุกข์ เกิดแต่สัมผัสทางใจอันใด?, <br>
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว โทมะนัสสัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่าโทมนัส(ความเสียใจ), <br>
กะตะโม จะ ภิกขะเว อุปายาโส. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปายาส (ความคับแค้น) เป็นอย่างไร?, <br>
โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ ผุฏฐัสสะ อายาโส อุปายาโส อายาสิตัตตัง อุปายาสิตัตตัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความแค้น ความคับแค้น ความที่สัตว์แค้น ความที่สัตว์คับแค้น ของสัตว์ผู้ประกอบด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง และผู้ที่มีความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใด?, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อุปายาโส. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่าอุปายาส (ความคับแค้น), <br>
กะตะโม จะ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความประสบสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ อย่างไร?, <br>
อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อะนิฏฐา อะกันตา อะมะนาปา รูปา สัทธา คันธา ระสา โผฏฐัพพา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนา ไม่เป็นที่รักใคร่ ไม่เป็นที่ปลื้มใจ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอารมณ์ที่พึงถูกต้องด้วยกาย ย่อมมีแก่ผู้นั้น, <br>
เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อะนัตถะกามา อะโยคักเขมะกามา. อนึ่ง หรือชนเหล่าใด ที่ใคร่ต่อความฉิบหาย ใคร่สิ่งที่ไม่เกื้อกูล ใคร่ความไม่สำราญ และใคร่ความไม่เกษม จากเครื่องประกอบแก่ผู้นั้น, <br>
ยาเตหิ สังคะติ สะมาคะโม สะโมธานัง มิสสีภาโว. ความไปร่วม ความมาร่วม ความประชุมร่วม ความระคนกับด้วยอารมณ์และสัตว์เหล่านั้น อันใด, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ความประสบกับสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์, <br>
กะตะโม จะ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์ อย่างไร?, <br>
อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อิฏฐา กันตา มะนาปา รูปา สัททา คันธา ระสา โผฏฐัพพา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ซึ่งเป็นที่ปรารถนา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่ปลื้มใจ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอารมณ์ที่พึงจะถูกต้องด้วยกายย่อมมีแก่ผู้นั้น, <br>
เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อัตถะกามา หิตะกามา ผาสุกามา โยคักเขมะกามา. อนึ่ง หรือชนเหล่าใด ที่ใคร่ต่อความเจริญ ใคร่ประโยชน์เกื้อกูล ใคร่ความสำราญ และใคร่ความเกษม จากเครื่องประกอบแก่ผู้นั้น, <br>
มาตา วา ปิตา วา. คือมารดา หรือบิดา, <br>
ภาตา วา ภะคินี วา. พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิง, <br>
มิตตา วา อะมัจจา วา. มิตรหรืออำมาตย์, <br>
ญาติสาโลหิตา วา. หรือญาติสาโลหิต, <br>
ยา เตหิ อะสังคะติ อะสะมาคะโม อะสะโมธานัง อะมิสสีภาโว. ความไม่ไปร่วม ความไม่มาร่วม ความไม่ประชุมร่วม ความไม่ระคน กับด้วยอารมณ์และสัตว์เหล่านั้น อันใด, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์, <br>
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ของที่ไม่สมประสงค์นั้น เป็นทุกข์อย่างไรเล่า?, <br>
ชาติธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนา ย่อมเกิดขึ้นแก่เหล่าสัตว์ ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, <br>
อะโห วะตะ มะยัง นะ ชาติธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความเกิดเป็นธรรมดาเถิด, <br>
นะ จะ วะตะ โน ชาติ อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความเกิดอย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้, <br>
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, <br>
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์ (สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ข้อที่ไม่สมประสงค์นั้นก็เป็นทุกข์), <br>
ชะราธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ที่มีความแก่ เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, <br>
อะโห วะตะ มะยัง นะ ชะราธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความแก่เป็นธรรมดาเถิด, <br>
นะ จะ วะตะ โน ชะรา อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความแก่อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้, <br>
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, <br>
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, <br>
ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, พะยาธิธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีความเจ็บๆไข้ๆ เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, <br>
อะโห วะตะ มะยัง นะ พะยาธิธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาเถิด, <br>
นะ จะ วะตะ โน พะยาธิธัม อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความเจ็บไข้อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา, <br>
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, <br>
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, <br>
ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, มะระณะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีความตาย เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, <br>
อะโห วะตะ มะยัง นะ มะระณะธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความตายเป็นธรรมดาเถิด, <br>
นะ จะ วะตะ โน มะระณะธัม อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความตายอย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้, <br>
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, <br>
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, <br>
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, <br>
อะโห วะตะ มะยัง นะ โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มี โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดาเถิด, <br>
นะ จะ วะตะ โน โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอโสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้, <br>
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, <br>
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, (สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ข้อที่ไม่สมประสงค์นั้นก็เป็นทุกข์) <br>
กะตะมา จะ ภิกขะเว สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์อย่างไร, <br>
เสยยะถีทัง. นี้คือ รูปูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือรูป, <br>
เวทะนูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือเวทนา, <br>
สัญญูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือสัญญา, <br>
สังขารูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือสังขาร, <br>
วิญญาณูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ, <br>
ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. ที่กล่าวว่า อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์, <br>
อิเม วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง อริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า อริยสัจ คือทุกข์, <br>
<br>
๒ ทุกขสมุทัย <br>
<br>
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจคือทุกขสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์) เป็นอย่างไร, <br>
ยายัง ตัณหา. ตัณหา (ความทะยานอยาก) นี้ อันใด, <br>
โปโนพภะวิกา. มีความเกิดอีกเป็นปกติ, <br>
นันทิราคะสะหะคะตา. ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิดเพลิน, <br>
ตัตระ ตัตราภินันทินี. มักเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ, <br>
เสยยะถีทัง. นี้คือ, <br>
กามะตัณหา. ความอยากในอารมณ์ที่สัตว์รักใคร่, <br>
ภะวะตัณหา. ความอยากมีอยากเป็น, <br>
วิภะวะตัณหา. ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น (ควรจะแปลว่า ความอยากในความไม่มีไม่เป็น หรืออยากในวิภพ), <br>
สา โข ปะเนสา ภิกขะเว ตัณหา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลตัณหานั้นนั่นแล, <br>
กัตถะ อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นที่ไหน, <br>
กัตถะ นีวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ที่ไหน, <br>
<br>
ยัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ที่ใด เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นในที่นั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น, <br>
กิญจิ โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ก็อะไรเล่า เป็นที่รักใคร่ เป็นพอใจในโลก, <br>
<br>
จักขุ โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ตานั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ตานั้น, <br>
<br>
โสตัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. หู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่หูนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่หูนั้น, <br>
<br>
ฆานะ โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. จมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่จมูกนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่จมูกนั้น, <br>
<br>
ชิวหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ลิ้นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ลิ้นนั้น, <br>
<br>
กาเย โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. กาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่กายนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กายนั้น, <br>
<br>
มะโน โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ใจนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ใจนั้น, <br>
<br>
รูปา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. รูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รูปนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รูปนั้น, <br>
<br>
สัททา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เสียงนั้น, <br>
<br>
คันธา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. กลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่กลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. รส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รสนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รสนั้น, <br>
<br>
โผฏฐัพพา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. โผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่โผฏฐัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่โผฏฐัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
จักขุวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางตานั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางตานั้น, <br>
<br>
โสตะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางหูนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางหูนั้น, <br>
<br>
ฆานะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางจมูกนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางจมูกนั้น, <br>
<br>
ชิวหาวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางลิ้นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางลิ้นนั้น, <br>
<br>
กายะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางกายนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางกายนั้น, <br>
<br>
มะโนวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางใจนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางใจนั้น, <br>
<br>
จักขุสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางตานั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางตานั้น, <br>
<br>
โสตสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางหูนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางหูนั้น, <br>
<br>
จักขุสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางตานั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางตานั้น, <br>
<br>
ฆานะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางจมูกนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางจมูกนั้น, <br>
<br>
ชิวหาสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางลิ้นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางลิ้นนั้น, <br>
<br>
กายะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางกายนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางกายนั้น, <br>
<br>
มะโนสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางใจนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางใจนั้น, <br>
<br>
จักขุสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น, <br>
<br>
โสตะสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น, <br>
<br>
ฆานะสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น, <br>
<br>
ชิวหาสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น, <br>
<br>
กายะสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น, <br>
<br>
มะโนสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางใจ เป็นทีรักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น, <br>
<br>
รูปะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำรูปนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำรูปนั้น, <br>
<br>
สัททะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำเสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำเสียงนั้น, <br>
<br>
คันธะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำรสนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำรสนั้น, <br>
<br>
โผฏฐัพพะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำโผฏฐัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำโผฏฐัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
รูปะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงรูปนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงรูปนั้น, <br>
<br>
สัททะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงเสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงเสียงนั้น, <br>
<br>
คันธะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงรสนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงรสนั้น, <br>
<br>
โผฏฐัพพะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
รูปะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในรูปนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในรูปนั้น, <br>
<br>
สัททะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในเสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในเสียงนั้น, <br>
<br>
คันธะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในรสนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในรสนั้น, <br>
<br>
โผฏฐัพพะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
รูปะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงรูปนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงรูปนั้น, <br>
<br>
สัททะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงเสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงเสียงนั้น, <br>
<br>
คันธะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงรสนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงรสนั้น, <br>
<br>
โผฏฐัพพะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
รูปะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงรูปนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงรูปนั้น, <br>
<br>
สัททะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงเสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงเสียงนั้น, <br>
<br>
คันธะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงรสนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงรสนั้น, <br>
<br>
โผฏฐัพพะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
๓ ทุกขนิโรธ (ข้อกำหนดการพิจารณานิโรธ) <br>
<br>
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่าอริยสัจ คือทุกขสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์) <br>
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่าอริยสัจคือทุกขนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์) เป็นอย่างไร?, <br>
โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย. (คือ) ความสำรอกและความดับโดยไม่มีเหลือ ความสละ ความส่งคืน ความปล่อยวาง ความไม่อาลัย ในตัณหานั้นนั่นแล อันใด, <br>
สา โข ปะเนสา ภิกขะเว ตัณหา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานั้นนั่นแล, <br>
กัตถะ ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. เมื่อบุคคลละเสีย ย่อมละเสียได้ในที่ไหน, <br>
กัตถะ นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน, <br>
<br>
ยัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ที่ใดเป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ในที่นั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับในที่นั้น, <br>
<br>
จักขุ โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ตานั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ตานั้น, <br>
<br>
โสตัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. หู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่หูนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่หูนั้น, <br>
<br>
ฆานัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. จมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่จมูกนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่จมูกนั้น, <br>
<br>
ชิวหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ลิ้นนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ลิ้นนั้น, <br>
<br>
กาโย โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. กาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กายนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่กายนั้น, <br>
<br>
มะโน โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ใจนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ใจนั้น, <br>
<br>
รูปา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. รูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รูปนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่รูปนั้น, <br>
<br>
สัททา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เสียงนั้น, <br>
<br>
คันธา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. กลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่กลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. รส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รสนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่รสนั้น, <br>
<br>
โผฏทัพพา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. โผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่โผฏทัพพานั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่โผฏทัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
จักขุวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางตานั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางตานั้น, <br>
<br>
โสตะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางหูนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางหูนั้น, <br>
<br>
ฆานะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางจมูกนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางจมูกนั้น, <br>
<br>
ชิวหาวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางลิ้นนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางลิ้นนั้น, <br>
<br>
กายะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางกายนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางกายนั้น, <br>
<br>
มะโนวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางใจนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางใจนั้น, <br>
<br>
จักขุสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางตานั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางตานั้น, <br>
<br>
โสตะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางหูนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางหูนั้น, <br>
<br>
ฆานะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางจมูกนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางจมูกนั้น, <br>
<br>
ชิวหาสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางลิ้นนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางลิ้นนั้น, <br>
<br>
กายะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางกายนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางกายนั้น, <br>
<br>
มะโนสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางใจนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางใจนั้น, <br>
<br>
จักขุสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น, <br>
<br>
โสตะสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น, <br>
<br>
ฆานะสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น, <br>
<br>
ชิวหาสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น, <br>
<br>
กายะสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น, <br>
<br>
มะโนสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น,
<br>
รูปะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำรูปนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรูปนั้น,
<br>
สัททะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำเสียงนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำเสียงนั้น,
<br>
คันธะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำรสนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรสนั้น, <br>
<br>
โผฏทัพพะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำโผฎทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำโผฏทัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำโผฏทัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
รูปะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงรูปนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงรูปนั้น, <br>
<br>
สัททะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงเสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงเสียงนั้น, <br>
<br>
คันธะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงรสนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงรสนั้น, <br>
<br>
โผฏทัพพะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงโผฏทัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงโผฏทัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
รูปะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในรูปนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในรูปนั้น, <br>
<br>
สัททะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในเสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในเสียงนั้น, <br>
<br>
คันธะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในรสนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในรสนั้น, <br>
<br>
โผฏทัพพะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในโผฏทัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในโผฏทัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
รูปะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงรูปนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงรูปนั้น, <br>
<br>
สัททะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงเสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงเสียงนั้น, <br>
<br>
คันธะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงรสนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงรสนั้น, <br>
<br>
โผฏทัพพะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงโผฏทัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงโผฏทัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
รูปะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงรูปนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงรูปนั้น, <br>
<br>
สัททะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงเสียงนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงเสียงนั้น, <br>
<br>
คันธะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น, <br>
<br>
ระสะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงรสนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงรสนั้น, <br>
<br>
โผฏทัพพะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงโผฏทัพพะนั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงโผฏทัพพะนั้น, <br>
<br>
ธัมมะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, <br>
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น, <br>
<br>
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขนิโรโธ อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า อริยสัจคือทุกขนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์) <br>
<br>
๔ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา <br>
<br>
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์) เป็นอย่างไร?, <br>
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโกมัคโค. ทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์ ๘ ทางเดียวนี้แล, <br>
เสยยะถีทัง. ทางนี้เป็นอย่างไร, <br>
สัมมาทิฏฐิ. ความเห็นชอบ, <br>
สัมมาสังกัปโป. ความดำริชอบ, <br>
สัมมาวาจา. วิรัติเป็นเครื่องเจรจาชอบ, <br>
สัมมากัมมันโต. วิรัติธรรมเป็นเครื่องกระทำชอบ, <br>
สัมมาอาชีโว. วิรัติธรรมเป็นที่เลี้ยงชีพชอบ, <br>
สัมมาวายาโม. ความพยายามชอบ, <br>
สัมมาสะติ. ความระลึกชอบ, <br>
สัมมาสะมาธิ. ความตั้งจิตมั่นชอบ, <br>
<br>
(๑) สัมมาทิฏฐิ <br>
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นอย่างร?, <br>
ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง ทุกขะนิโรเธ ญาณัง ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์ อันใดแล, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ), <br>
<br>
(๒) สัมมาสังกัปปะ <br>
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) เป็นอย่างไร?, <br>
เนกขัมมาสังกัปโป. ความดำริในการออกบวช (คือออกจากกามารมณ์) <br>
อัพพะยาปาทะสังกัปโป. ความดำริในความไม่พยาบาท, <br>
อะวิหิงสาสังกัปโป. ความดำริในการไม่เบียดเบียน, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ), <br>
<br>
(๓) สัมมาวาจา <br>
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจา (วิรัติเป็นเครื่องเจรจาชอบ) เป็นอย่างไร?, <br>
มุสาวาทา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการกล่าวเท็จ, <br>
ปุณายะ วาจายะ เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากวาจาส่อเสียด, <br>
ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากวาจาหยาบคาย, <br>
สัมผัปปะลาปา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากเจรจาสำราก เพ้อเจ้อ, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาวาจา (วิรัติเป็นเครื่องเจรจาชอบ), <br>
<br>
(๔) สัมมากัมมันตะ <br>
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ (วิรัติธรรมเป็นเครื่องกระทำชอบ) เป็นอย่างไร?, <br>
ปาณาติปาตา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่าสัตว์, <br>
อะทินนาทานา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้, <br>
กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากความประพฤติผิดในกาม, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมัมมันตะ (วิรัติธรรมเป็นเครื่องกระทำชอบ) <br>
<br>
(๕) สัมมาอาชีวะ <br>
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะ (วิรัติธรรมเป็นที่เลี้ยงชีพชอบ) เป็นอย่างไร?, <br>
อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้, <br>
มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ. ละความเลี้ยงชีพผิดเสียแล้ว, <br>
สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกัง กัปเปติ. ย่อมสำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพชอบ, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาอาชีวะ (วิรัติธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีพชอบ) <br>
<br>
(๖) สัมมาวายามะ <br>
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ) เป็นอย่างไร?, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
อะนุปปันนัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปาทายะ. เพื่อจะยังอกุศลธรรม อันเป็นบาป ที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้น, <br>
ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด, วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร, <br>
จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้, <br>
อุปปันนานัง. ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ. เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว, <br>
ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด, <br>
วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร, <br>
จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้, <br>
อะนุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ. เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น, <br>
ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด, วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร, <br>
จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้, <br>
อุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา อะสัมโมสายะ ภิยโยภาวายะ เวปุลลายะ ภาวะนายะ ปาริปูริยา. เพื่อความตั้งอยู่ ไม่ให้สาบสูญ เจริญยิ่ง ไพบูลย์มีขึ้นเต็มเปี่ยมแห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว, <br>
ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด, <br>
วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร, <br>
จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ), <br>
<br>
๗. สัมมาสติ <br>
<br>
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็นอย่างไร?, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
กาเย กายนุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่, <br>
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, <br>
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ, <br>
<br>
เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆอยู่, <br>
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, <br>
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ, <br>
<br>
จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่, <br>
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, <br>
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ, <br>
<br>
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆอยู่, <br>
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, <br>
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ, <br>
<br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาสติ (ความระลึกชอบ), <br>
<br>
๘. สัมมาสมาธิ <br>
<br>
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ) เป็นอย่างไร?, <br>
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, <br>
วิวิจเจวะ กาเมหิ วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ. สงัดแล้วจากกามารมณ์ สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศล, <br>
<br>
สะวิตักกัง สะวิจารัง วิเวกชัมปิติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชฌะ วิหะระติ. เข้าถึงปฐมฌาน (ความเพ่งที่ ๑) ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปิติและสุข อันเกิดจากวิเวก, <br>
<br>
วิตักกะวิจารานัง วุปะสะมา. เพราะความวิตกวิจาร (ทั้ง๒)ระงับลง, <br>
อัชฌัตตัง สัมปะทานัง เจตะโส เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง สะมาธิชัมปิติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงทุติยะฌาน (ความเพ่งที่๒) เป็นเครื่องผ่องใส ณ ภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอก ผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปิติและสุขที่เกิดจากสมาธิ, <br>
<br>
ปิติยา จะ วิราคา. อนึ่ง เพราะความที่ปิติวิราศ(ปราศ)ไป, <br>
อุเปกขะโก จะ วิหะระติ สะโต จะ สัมปะชาโน. ย่อมเป็นผู้เพิกเฉยอยู่ และมีสติสัมปชัญญะ, <br>
สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ. และเสวยความสุขด้วยกาย, <br>
ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีติ. อาศัยคุณคืออุเบกขา สติ สัมปชัญญะ และเสวยสุขอันใดเล่าเป็นเหตุ พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่าเป็นผู้อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข, <br>
ตะติยาฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงตติฌาน (ความเพ่งที่ ๓) <br>
สุขัสสะ จะ ปะหานา. เพราะละสุขเสียได้, <br>
ทุกขัสสะ จะ ปะหานา. เพราะละทุกข์เสียได้, <br>
ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา. เพราะความที่โสมนัส และโทมนัส(ทั้ง๒) ในกาลก่อนอัสดงค์ดับไป, <br>
<br>
อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปะริสุทธิง จตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงจตุตถฌาน (ความเพ่งที่ ๔) ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา, <br>
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ) <br>
<br>
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า อริยสัจคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์แล้ว) <br>
<br>
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ, ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง, <br>
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง, <br>
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในบ้างทั้งภายนอกบ้าง, <br>
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง, <br>
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, <br>
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง, <br>
<br>
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่า ธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, <br>
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, <br>
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, <br>
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, <br>
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, <br>
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม. <br>
จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ. คือ อริยสัจ ๔ อย่างนี้แลฯ, <br>
<br>
สัจจะบัพพัง จบข้อกำหนดด้วยสัจจะ <br>
<br>
ธัมมานุปัสสนาสะติปัฏฐานัง จบธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน <br>
<br>
<br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
สัตตะ วัสสานิ. ตลอด ๗ ปี, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว สัตตะวัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ ปียกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
ฉะ วัสสานิ. ตลอด ๖ ปี, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ฉะ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ ปียกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
ปัญจะ วัสสานิ. ตลอด ๕ ปี, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ปัญจะ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ ปียกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
จัตตาริ วัสสานิ. ตลอด ๔ ปี, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว จัตตาริ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ ปียกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
ตีณิ วัสสานิ. ตลอด ๓ ปี, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ตีณิ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ ปียกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
เทว (ทเว) วัสสานิ. ตลอด ๒ ปี, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว เทว(ทเว) วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ ปียกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
เอกัง วัสสานิ. ตลอด ๑ ปี, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว เอกัง วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๑ ปียกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
สัตตะ มาสานิ. ตลอด ๗ เดือน, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว สัตตะ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ เดือนยกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
ฉะ มาสานิ. ตลอด ๖ เดือน, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ฉะ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ เดือนยกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
ปัญจะ มาสานิ. ตลอด ๕ เดือน, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ปัญจะ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ เดือนยกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
จัตตาริ มาสานิ. ตลอด ๔ เดือน, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว จัตตาริ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ เดือนยกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
ตีณิ มาสานิ. ตลอด ๓ เดือน, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ตีณิ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ เดือนยกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
เทว(ทเว) มาสานิ. ตลอด ๒ เดือน, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว เทว(ทเว) มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ เดือนยกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
เอกัง มาสัง. ตลอด ๑ เดือน, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว มาโส. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๑ เดือนยกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
อัฑฒะมาสัง. ตลอดกึ่งเดือน, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
ติฏฐันตุ ภิกขะเว อัฑฒะมาสัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายกึ่งเดิอนยกไว้, <br>
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, <br>
สัตตาหัง. ตลอด ๗ วัน, <br>
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, <br>
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, <br>
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่) <br>
<br>
เอกายะโน ภิกขะเว อะยัง มัคโค. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก, <br>
สัตตานัง วิสุทธิยา. เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย, <br>
โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ เพื่อก้าวล่วงเสียซึ่งความโศกและความร่ำไร, <br>
ทุกขะโทมะนัสสานัง อัฏฐังคะมายะ. เพื่ออัศดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส, <br>
ญายัสสะ อะธิคะมายะ. เพื่อบรรลุญายธรรม, <br>
นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง, <br>
ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานาติ. ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ อย่าง ด้วยประการฉะนี้, <br>
อิติ ยันตัง วุตตัง. คำอันใดที่กล่าวแล้วอย่างนี้, <br>
อิทะเมตัง ปะฏิจจะ วุตตันติ. คำอันนั้น ที่อาศัยทางอันเอก(คือสติปัฏฐาน๔) นี้กล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้, <br>
อิทะมะโวจะ ภะคะวา อัตตะมะนา เต ภิกขู. ภิกษุเหล่านี้มีใจยินดี, <br>
ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุนติ. เพลิดเพลินนักซึ่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้แลฯ, <br>
<br>
<br>
<br>
จบมหาสติปัฏฐานสูตร <br>
<br>
<br>
<br>
<br>
<br>
มหาสติปัฏฐานสูตร <br>
เอวัมเม สุตัง. อันข้าพเจ้า(พระอานนท์เถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้,
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา กุรูสุ วิหะระติ กัมมะสะธัมมัง นามะ กุรูนัง. สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุ ชื่อกัมมาสธัมมะ,
ตัตตระโข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ในกาลนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายดังนี้,
ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลรับพระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ดังนี้,
ภะคะวา เอตะทะโวจะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพุทธภาษิตนี้ว่า,
เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค สุตตานัง วิสุทธิยา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก (เป็นที่ไปของบุคคลผู้เดียว เป็นที่ไปในที่แห่งเดียว) เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย,
โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ. เพื่อความก้าวล่วง ซึ่งความโศกและความร่ำไร,
ทุกขะโทมะนัสสานัง อัฏฐังคะมายะ. เพื่อความอัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส,
ญายัสสะ อธิคะมายะ. เพื่อบรรลุญายธรรม(ธรรมที่ควรรู้ ธรรมที่ถูก คือ อริยมรรค),
นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง,
ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา. ทางนี้คือสติปัฏฐาน (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ) ๔ อย่าง,
๑ กาย
กะตะมา จัตตาโร. สติปัฏฐาน ๔ อย่าง คืออะไรบ้าง?,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่,
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ,
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส (ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
๒ เวทนา
เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ,
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ,
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ,
๓ จิต
จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่,
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ,
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ, ธัมเมสุ
๔ ธรรม
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆอยู่,
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ,
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ,
อุทเทโส จบอุทเทส
กายานุปัสสนา
๑ อานาปานสติบรรพ
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ กเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ อย่างไรเล่า?,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
อะรัญญะคะโต วา. ไปแล้วสู่ป่าก็ดี,
รุกขะมูละคะโต วา. ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ดี,
สุญญาคาระโต วา.ไปแล้วสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี,
นิสีทะติ ปัลลังกัง อาภุชิตตะวา. นั่งคู้บัลลังก์,
อุชุ กายัง ปะณิธายะ. ตั้งกายให้ตรง,
ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปตตะวา. ดำรงสติเฉพาะหน้า,
โส สะโต วา อัสสะสะติ. เธอย่อมมีสติหายใจเข้า,
สะโต ปัสสะสะติ. ย่อมมีสติหายใจออก,
ทีฆัง วา อัสสะสันโต. เมื่อหายใจเข้ายาว,
ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว,
ทีฆัง วา ปัสสะสันโต. หรือเมื่อหายใจออกยาว,
ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว,
รัสสัง วา อัสสะสันโต. เมื่อหายใจเข้าสั้น,
รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น,
รัสสัง วา ปัสสะสันโต. หรือเมื่อหายใจออกสั้น,
รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น,
สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า,
สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก,
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร(คือลมอัสสาสะปัสสาสะ)หายใจเข้า,
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก,
เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทุกโข ภะมะกาโร วา ภะมะการันเตวาสี วา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด นายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ฉลาด,
ทีฆัง วา อัญฉันโต ทีฆัง อัญฉามีติ ปะชานาติ. เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่าเราชักเชือกกลึงยาว,
รัสสัง วา อัญฉันโต รัสสัง อัญฉามีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น,
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้น นั่นแลฯ,
ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว,
ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว,
รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น,
รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น,
สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า,
สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก,
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า,
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับ กายสังขาร หายใจออก,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้แลฯ,
อานาปานะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยลมหายใจเข้าออก
๒ อิริยาบถบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีกภิกษุ,
คัจฉันโต วา คัจฉามีติ ปะชานาติ. เมื่อเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เราเดิน,
ฐิโต วา ฐิโตมหีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เรายืน,
นิสินโน วา นิสินโนมหีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เรานั่ง,
สะยาโน วา สะยาโนมหีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เรานอน,
ยะถา ยะถา วา ปะนัสสะ กาโย ปะณิหิโต โหติ. อนึ่ง เมื่อเธอนั้น เป็นผู้ตั้งกายไว้แล้วอย่างใดๆ,
ตะถา ตะถา นัมปะชานาติ. ก็ย่อมรู้ชัดอาการกายนั้น อย่างนั้นๆ,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ, ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วากาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในบ้างทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ติดยึดอะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้ฯ,
อิริยาปะถะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยอิริยาบถ
๓ สัมปชัญญะบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
อะภิกกันเต ปะฏิกกันเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ(ความเป็นผู้รู้ทั่วพร้อม) ในการก้าวไปข้างหน้า และถอยกลับมาข้างหลัง,
อาโลกิเต วิโลกิเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการแลไปข้างหน้า และเหลียวไปข้างซ้าย ข้างขวา,
สัมมิญชิเต ปะสาริเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการคู้อวัยวะเข้า เหยียดอวัยวะออก,
สังฆาฏิ ปัตตะ จีวะระ ธาระเณ สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปะชัญญะ ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร,
อะสิเต ปิเต ขายิเต สายิเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการ กิน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม,
อุจจาระปัสสาวะ กัมเม สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ,
คะเต ฐิเต นิสินเน สุตเต ชาคะริเต ภาสิเต ตุณหีภาเว สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะในการเดิน ยืน นี่ง หลับ ตื่น พูด และความเป็นผู้นิ่งอยู่,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้,
สัมปะชัญญะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยสัมปชัญญะ
๔ ปฏิกูลมนสิการบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
อิมะเมวะ กายัง อุทธัง ปาทะตะลา อะโธ เกสะมัตถะกา ตะจะปะริยันตัง ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากายนี้นี่แล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆว่า,
อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้,
เกสา ผม
โลมา ขน
นะขา เล็บ
ทันตา ฟัน
ตะโจ หนัง
มังสัง เนื้อ
นะหารู เอ็น
อัฏฐี กระดูก
อัฏฐีมิญชัง เยื่อในกระดูก
วักกัง ม้าม
หะทะยัง หัวใจ
ยะกะนัง ตับ
กิโลมะกัง พังผืด
ปิหะกัง ไต
ปัปผาสัง ปอด
อันตัง ไส้ใหญ่
อันตะคุณัง ไส้น้อย
อุทะริยัง อาหารใหม่
กะรีสัง อาหารเก่า
(หมายเหตุ ในบทสวดมนต์ มีการเพิ่ม มัตถะเก มัตถะลุงคัง เยื่อในสมองศีรษะ)
ปิตตัง น้ำดี
เสมหัง น้ำเสลด
ปุพโพ น้ำเหลือง
โลหิตัง น้ำเลือด
เสโท น้ำเหงื่อ
เมโท น้ำมันข้น
อัสสุ น้ำตา
วะสา น้ำมันเหลว
เขโฬ น้ำลาย
สิงฆาณิกา น้ำมูก
ละสิกา น้ำไขข้อ
มุตตันติ น้ำมูต
เสยยะถาปิ ภิกขะเว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด,
อุภะโตมุขา มูโตฬี. ไถ้มีปาก ๒ ข้าง,
ปูรา นานาวิหิตัสสะ ธัญญัสสะ. เต็มด้วยธัญญชาติมีประการต่างๆ,
เสยยะถีทัง. คืออะไรบ้าง,
สาลีนัง วีหีนัง. คือข้าวสาลี ข้าวเปลือก,
มุคคานัง มาสานัง. ถั่วเขียว ถั่วเหลือง,
ติลานัง ตัณฑุลานัง. งา ข้าวสาร,
ตะเมนัง จักขุมา ปุริโส มุญจิตวา. บุรุษมีจักษุแก้ไถ้นั้นออกแล้ว,
ปัจจะเวกเขยยะ. พึงเห็นได้ว่า,
อิเม สาลี. เหล่านี้ ข้าวสาลี,
อิเม วีหี. เหล่านี้ ข้าวเปลือก,
อิเม มุคคา. เหล่านี้ ถั่วเขียว,
อิเม มาสา. เหล่านี้ ถั่วเหลือง,
อิเม ติลา. เหล่านี้ งา,
อิเม ตัณฑุลาติ. เหล่านี้ ข้าวสาร,
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นนั่นแลภิกษุ,
อิมะเมวะ กายัง อุทธัง ปาทะตะลา อะโธ เกสะมัตถะกา ตะจะปะริยันตัง ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากายนี้นี่แล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆว่า,
อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้,
เกสา ผม
โลมา ขน
นะขา เล็บ
ทันตา ฟัน
ตะโจ หนัง
มังสัง เนื้อ
นะหารู เอ็น
อัฏฐี กระดูก
อัฏฐีมิญชัง เยื่อในกระดูก
วักกัง ม้าม
หะทะยัง หัวใจ
ยะกะนัง ตับ
กิโลมะกัง พังผืด
ปิหะกัง ไต
ปัปผาสัง ปอด
อันตัง ไส้ใหญ่
อันตะคุณัง ไส้น้อย
อุทะริยัง อาหารใหม่
กะรีสัง อาหารเก่า
ปิตตัง น้ำดี
เสมหัง น้ำเสลด
ปุพโพ น้ำเหลือง
โลหิตัง น้ำเลือด
เสโท น้ำเหงื่อ
เมโท น้ำมันข้น
อัสสุ น้ำตา
วะสา น้ำมันเหลว
เขโฬ น้ำลาย
สิงฆาณิกา น้ำมูก
ละสิกา น้ำไขข้อ
มุตตันติ น้ำมูต
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้,ฯ
ปะฏิกกูละปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยกายเป็นของปฏิกูล
๕ ธาตุมนสิการบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งอยู่ตามปกตินี่แล โดยความเป็นธาตุว่า,
อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้,
ปะฐะวีธาตุ อาโปธาตุ. ธาตุดิน ธาตุน้ำ,
เตโชธาตุ วาโยธาตุ. ธาตุไฟ ธาตุลม,
เสยยะถาปิ ภิกขะเว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด,
ทุกโข โคฆาตะโก วา โคฆาตะกันเตวาสี วา. คนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ฉลาด,
คาวิง วะธิตวา. ฆ่าแม่โคแล้ว,
จาตุมมะหาปะเถ วิละโส ปะฏิวิภะชิตตะวา นิสินโน อัสสะ. พึงแบ่งออกเป็นส่วน แล้วนั่งอยู่ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง,
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นนั่นแล ภิกษุ,ฯ
อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากาย อันตั้งอยู่ตามที่ตั้งอยู่ตามปกตินี้นี่แล โดยความเป็นธาตุว่า,
อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้,
ปะฐะวีธาตุ ธาตุดิน อาโปธาตุ ธาตุน้ำ,
เตโชธาตุ ธาตุไฟ วาโยธาตูติ ธาตุลม,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปะทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้,ฯ
ธาตุปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยธาตุ
๖ นวสีวถิกาบรรพ (พิจารณาซากศพในป่าช้า ๙ ลักษณะ)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสรีระ (ซากศพ),
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า,
เอกาหะมะตัง วา. ตายแล้ววันหนึ่ง,
ทวีหะมะตัง วา. หรือตายแล้ว ๒ วัน,
ตีหะมะตัง วา. หรือตายแล้ว ๓ วัน,
อุทธุมาตะกัง วินีละกัง. อันพองขึ้น สีเขียวน่าเกลียด,
วิปุพพะกะชาตัง. เป็นสีระมีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า,
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้นี่เล่า,
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา,
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้,
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้แล,
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ),
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า,
กาเกหิ วา ขัชชะมานัง. อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง,
คิชเฌหิ วา ขัชชะมานัง. ฝูงแร้งกินจิกอยู่บ้าง,
กุละเลหิ วา ขัชชะมานัง. ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง,
สุวาเณหิ วา ขัชชะมานัง. หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง,
สิงคาเลหิ วา ขัชชะมานัง. หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง,
วิวิเธหิ วา ปาณะกะชาเตหิ ขัชชะมานัง. หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า,
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้นี่เล่า,
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา,
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้,
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ),
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า,
อัฏฐิสังขะลิกัง. เป็นร่างกระดูก,
สะมังสะโลหิตัง. ยังมีเนื้อและเลือด,
นะหารุสัมพันธัง. อันเส้นเอ็นรัดรึงอยู่,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า,
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า,
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา,
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ),
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า,
อัฏฐิสังขะลิกัง. เป็นร่างกระดูก,
นิมมังสะโลหิตัง มักขิตัง. เปื้อนด้วยเลือด แต่ปราศจากเนื้อแล้ว,
นะหารุสัมพันธัง. ยังมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า,
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า,
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา,
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้,
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ),
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า,
อัฏฐิสังขะลิกัง. เป็นร่างกระดูก,
อะปะคะตะมังสะโลหิตัง. ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว,
นะหารุสัมพันธัง. ยังมีเอ็นรัดรึงอยู่,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า,
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า,
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา,
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้,
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ),
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า,
อัฏฐิกานิ. คือเป็น (ท่อน) กระดูก,
อะปะคะตะนะหารุสัมพันธานิ. ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องรัดรึงแล้ว,
ทิสาวิทิสา วิกขิตตานิ. กระจายไปแล้วในทิศน้อย และทิศใหญ่,
อัญเญนะ หัตถัฏฐิกัง. คือกระดูกมือ(ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ ปาทัฏฐิกัง. กระดูกเท้า(ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะชังฆัฏฐิกัง. กระดูกแข้ง (ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ อูรัฏฐิกัง. กระดูกขา (ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ กะกิฏฐิกัง. กระดูกสะเอว (ไปอยู่)ทางอื่น,
อัญเญนะ ปิฏฐิกัณฏะกัฏฐิกัง. กระดูกสันหลัง(ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ ผาสุกัฏฐิกัง. กระดูกซี่โครง (ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ อุรัฏฐิกัง. กระดูกหน้าอก(ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ พาหุฏฐิกัง. กระดูกแขน (ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ อังสัฏฐิกัง. กระดูกไหล่ (ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ คีวัฏฐิกัง. กระดูกคอ (ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ หะนุฏฐิกัง. กระดูกคาง(ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ ทันตัฏฐิกัง. กระดูกฟัง (ไปอยู่) ทางอื่น,
อัญเญนะ สีสะกะฏาหัง. กะโหลกศีรษะ(ไปอยู่) ทางอื่น,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า,
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า,
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา,
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้,
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ),
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า,
อัฏฐิกานิ. คือเป็น (ท่อน) กระดูก,
เสตานิ สังขะวัณณุปะนิภานิ. มีสีขาวเปรียบด้วยสีสังข์,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า,
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า,
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา,
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้,
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ),
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า,
อัฏฐิกานิ. คือเป็น (ท่อน) กระดูก,
ปุญชะกิตานิ. เป็นกองเรี่ยรายแล้ว,
เตโรวัสสิกานิ. มีในภายนอก (เกิน) ปีหนึ่งไปแล้ว,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า,
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า, เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา,
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ (ซากศพ),
สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า,
อัฏฐิกานิ. คือเป็น (ท่อน) กระดูก,
ปูตีนิ จุณณะกะชาตานิ. ผุละเอียดแล้ว,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า,
อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า,
เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา,
เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้,
เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
นะวะสีวะถิกาปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยป่าช้า ๙ ข้อ
กายนุปัสสนาสติปัฏฐานัง จบกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เวทนานุปัสสนา
๗ เวทนาบรรพ
กำหนดพิจารณาเวทนา ๓ ประเภท
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ,
เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา (ความเสวยอารมณ์) ในเวทนาเนืองๆอยู่,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. เมื่อเสวยสุขเวทนา,
สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่าบัดนี้เราเสวยสุขเวทนา,
ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. เมื่อเสวยทุกขะเวทนา,
ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนา,
อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา (ไม่ทุกข์ไม่สุข)
อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา,
สามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิส (คือเจือกามคุณ),
สามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนามีอามิส,
นิรามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส (คือไม่เจือกามคุณ),
นิรามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส,
สามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนามีอามิส,
สามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส,
นิรามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส,
นิรามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส,
สามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา มีอามิส,
สามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส,
นิรามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส,
นิรามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส,
อิติ อัชฌัตตัง วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเวทนาในเวทนา เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในเวทนาบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง,
อัตถิ เวทะนาติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าเวทนามีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่อย่างนี้แล.ฯ
เวทะนานุปัสสะนาสะติปัฏฐานัง จบเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จิตตานุปัสสนา
๘ จิตตานุปัสสนาบรรพ (พิจารณาจิต ๑๖ ประเภท)
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ,
จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
๑. สะราคัง วา จิตตัง สะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ. อนึ่ง จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ,
๒. วีตะราคัง วา จิตตัง วีตะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่มีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีราคะ,
๓. สะโทสัง วา จิตตัง สะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโทสะ,
๔. วีตะโทสัง วา จิตตัง วีตะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่มีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโทสะ,
๕. สะโมหัง วา จิตตัง สะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโมหะ,
๖. วีตะโมหัง วา จิตตัง วีตะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่มีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโมหะ,
๗. สังขิตตัง วา จิตตัง สังขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า จิตหดหู่,
๘. วิกขิตตัง วา จิตตัง วิกขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน,
๙. มะหัคคะตัง วา จิตตัง มะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตเป็นมหรคต (คือถึงความเป็นใหญ่ หมายเอาจิตที่เป็นฌานหรืออัปปมัญญา พรหมวิหาร) ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นมหรคต,
๑๐. อะมะหัคคะตัง วา จิตตัง อะมะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นมหรคต,
๑๑. สะอุตตะรัง วา จิตตัง สะอุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตเป็นสะอุตตระ (คือกามาวจรจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ไม่ถึงอุปจารสมาธิ) ก็รู้ชัดว่าจิตเป็นสอุตตระ,
๑๒. อะนุตตะรัง วา จิตตัง อะนุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตเป็นอนุตตระ (คือกามาวจรจิต ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า หมายเอาอุปจารสมาธิ) ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นอนุตตระ,
๑๓. สะมาหิตัง วา จิตตัง สะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตตั้งมั่น,
๑๔. อะสะมาหิตัง วา จิตตัง อะสะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่ตั้งมั่น,
๑๕. วิมุตตัง วา จิตตัง วิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตวิมุติ (คือหลุดพ้นด้วยตทังคะวิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ) ก็รู้ชัดว่า จิตวิมุติ,
๑๖. อะวิมุตตัง วา จิตตัง อะวิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตยังไม่วิมุติ ก็รู้ชัดว่าจิตยังไม่วิมุติ,
อิติ อัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในจิตบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในจิตบ้าง,
อัตถิ จิตตันติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่า จิตมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่อย่างนี้แล,ฯ
จิตตานุปัสสะนาสะติปัฏฐานา จบจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ธัมมานุปัสสนา
๙ นิวรณ์บรรพ
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ,
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆอยู่
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม,
ปัญจะสุ นีวะระเณสุ. คือนิวรณ์ณ์ ๕,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
สันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง. เมื่อกามฉันท์ (ความพอใจในกามารมณ์) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์มีอยู่ ณ ภายในจิต,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง. หรือเมื่อกามฉันไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่ากามฉันท์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ กามะฉันทัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละกามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ กามะฉันทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่กามฉันท์อันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ กามะฉันทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่กามฉันท์อันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง. อนึ่ง เมื่อพยาบาท (ความคิดแช่งสัตว์ให้พินาศ) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง. หรือเมื่อพยาบาทไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ พะยาปาทัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่พยาบาทอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ พะยาปาทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่พยาบาทอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด.
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง. อนึ่ง เมื่อถีนะมิทธะ (ความคร้านกายและง่วงเหงา) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ถีนะมิทธะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง. หรือ เมื่อถีนะมิทธะไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ถีนะมิทธะไม่มี ณ ภายในจิตขงเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ถีนะมิทธะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้น,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อายะติง อนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ถีนะมิทธะอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง. อนึ่ง เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง. หรือเมื่ออุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ ภายในจิต.
นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุทธัจจกุกกุจจัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง. อนึ่ง เมื่อวิจิกิจฉา (ความเคลือบแคลงสงสัย) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉาติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉามีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง. หรือ เมื่อวิจิกิจฉาไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉาติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉาไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนายะ วิจิกิจฉายะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่วิจิกิจฉาอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนายะ วิจิกิจฉายะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนายะ วิจิกิจฉายะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่วิจิกิจฉาอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง,
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ปัญจะสุ นีวะระเณสุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือนิวรณ์ ๕ อย่างนี้แล,ฯ
นีวะระปัพพัง จบข้อกำหนดนีวรณ์
๑๐ ขันธบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม,
ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ. คืออุปาทานขันธ์ ๕,
กถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ,
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม,
ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ. คืออุปาทานขันธ์ ๕, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า),
อิติ รูปัง. อย่างนี้ รูป (สิ่งที่ทรุดโทรม),
อิติ รูปัสสะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของรูป,
อิติ รูปัสสะ อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับไปของรูป,
อิติ เวทะนา. อย่างนี้ เวทนา (ความเสวยอารมณ์),
อิติ เวทะนายะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของเวทนา,
อิติ เวทะนายะ อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับไปของเวทนา,
อิติ สัญญา. อย่างนี้ สัญญา (ความจำ),
อิติ สัญญายะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ก็ความเกิดขึ้นของสัญญา,
อิติ สัญญายะ อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับไปของสัญญา,
อิติ สังขารา. อย่างนี้สังขาร (ความคิด),
อิติ สังขารานัง สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของสังขาร,
อิติ สังขารานัง อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับของสังขาร,
อิติ วิญญาณัง. อย่างนี้ วิญญาณ (ความรู้สึก),
อิติ วิญญาณัสสะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของวิญญาณ,
อิติ วิญญาณัสสะ อัตถังคะโมติ. อย่างนี้ ความดับไปของวิญญาณ,
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง,
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คืออุปาทานขันธ์ ๕ อย่างนี้แล,ฯ
ขันธะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยขันธ์
๑๑ อายตนะบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม,
ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ. คืออายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖ (อย่างละ ๖),
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ,
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม,
ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ. คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
จักขุญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักตาด้วย,
รูเป จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักรูปด้วย,
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ (เครื่องผูก) ย่อมเกิดขึ้น อาศัยตาและรูปทั้ง ๒ นั้น อันใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความที่ละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
โสตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักหูด้วย, สัทเท จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักเสียงด้วย,
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยหูและเสียงทั้ง ๒ นั้นอันใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ฆานัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักจมูกด้วย, คันเธ จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักกลิ่นด้วย,
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยจมูกและกลิ่นทั้ง ๒ นั้นอันใด.
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ชิวหิญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักลิ้นด้วย,
ระเส จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักรสด้วย,
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยลิ้นและรสทั้ง ๒นั้นอันใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
กายัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักกายด้วย, โผฏฐัพเพ จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักโผฏฐัพพะ (สิ่งที่พึงถูกต้องด้วยกาย) ด้วย,
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้ง ๒ นั้นอันใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
มะนัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักใจด้วย, ธัมเม จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักธรรมารมณ์ (สิ่งที่พึงรู้ได้ด้วยใจ) ด้วย,
ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ นั้นอันใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง,
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คืออายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖ อย่างนี้แล,ฯ
อายะตะนะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยอายตนะ
๑๒ โพชฌงคบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม,
สัตตะสุ โพชฌังเคสุ. คือโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ ๗ อย่าง),
กะถัญจะ ภิกขะเว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ,
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, สัตตะสุ โพชฌังเคสุ. คือโพชฌงค์ ๗,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
สันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง. อนึ่ง เมื่อสติสัมโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือสติ) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์มี ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อสติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สติสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อธัมมะวิจยสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือความเลือกเฟ้นธรรม) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมะวิจยสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อวิริยะสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือความเพียร) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อวิริยสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่วิริยสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของวิริยสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อปิติสัมโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือ ปิติ ความปลื้มกายปลื้มใจ) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปิติสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อปิติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปิติสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปิติสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ปิติสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปิติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของปิติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือปัสสัทธิ ความสงบกายสงบจิต) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่งความเจริญบริบูรณ์ของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือสมาธิ ความที่จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สมาธิสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สมาธิสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะมาธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสมาธิสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คืออุเบกขา ความที่จิตมัธยัสถ์เป็นกลาง) มี ณ ภายในจิต,
อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา,
อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่ออุเบขาสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต,
นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่อุเบกขาสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
ยะถา จะ อุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด,
ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมบ้าง,
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. สัตตะสุ โพชฌังเคสุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือโพชฌงค์ ๗ อย่างนี้แล,ฯ
โพชฌังคะปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยโพชฌงค์
๑๓ สัจจบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ,
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม,
จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ. คือ อริยสัจ (ความจริงของพระอริยเจ้า) ๔,
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ,
จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ. คือ อริยสัจ ๔,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
อิทัง ทุกขันติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี่ทุกข์,
อะยัง ทุกขะสะมุทะโยติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. ยอมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี่ทุกข์สมุทัย,
อะยัง ทุขะนิโรโธติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. นี่ทุกขะนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์),
อะยัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทาติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี่ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมที่ดับทุกข์),
ทุกข์
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ของจริงแห่งพระอริยเจ้า คือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ชาติปิ ทุกขา. แม้ชาติ (ความเกิด) ก็เป็นทุกข์,
ชะราปิ ทุกขา. แม้ชรา (ความแก่) ก็เป็นทุกข์,
มะระณัมปิ ทุกขัง. แม้มรณะ (ความตาย) ก็เป็นทุกข์,
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา. แม้โสกะ (ความโศก) ปะริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน) ทุกข์ (ความไม่สบายกาย) โทมนัส (ความเสียใจ) และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) ก็เป็นทุกข์,
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข. ความประสบสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์,
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ความพลัดพรากจากสัตว์ และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์,
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ. สัตว์ปรารถนาสิ่งใด ย่อมไม่ได้.
ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อที่ไม่สมประสงค์นั้น ก็เป็นทุกข์.
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. โดยย่อ อุปาทานขันธ์ (ขันธ์ประกอบด้วยอุปาทาน ความถือมั่น) ก็เป็นทุกข์,
กะตะมา จะ ภิกขะเว ชาติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชาติ (ความเกิด) เป็นอย่างไร?,
ยา เตสัง เตสัง สัตตานิ ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อะภินิพพัตติ ขันธานัง ปาตุภาโว อายะตะนานัง ปะฏิลาโภ. ความเกิด เกิดพร้อม (คือมีอายตนะบริบูรณ์) ความหยั่งลง (คือ เป็นชลาพุชะ หรืออัณฑชะปฏิสนธิ) เกิด (คือเป็นสังเสทชปฏิสนธิ) เกิดจำเพาะ (คือเป็นอุปปาติกปฏิสนธิ) ความปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆอันใด,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชาติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ชาติ (ความเกิด),
กะตะมา จะ ภิกขะเว ชะรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชรา (ความแก่) เป็นอย่างไร?,
ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชะรา ชีระณะตา ขัณฑิจจัง ปาลิจจัง วะลิตจะตา อายุโน สังหานิ อินทริยานัง ปะริปาโก. ความแก่ ความคร่ำคร่า ความที่ฟันหลุด ความที่ผมหงอก ความที่หนังหดเหี่ยว เป็นเกลียว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆของสัตว์นั้นๆอันใด,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชะรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ชรา (ความแก่),
กะตะมัญจะ ภิกขะเว มะระณัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณะ (ความตาย) เป็นอย่างไร?,
ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหา ตัมหา สัตตะนิกายา จุติ จะวะนะตา เภโท อันตะระธานัง มัจจุมะระณัง กาละกิริยา ขันธานัง เภโท กะเฬวะรัสสะ นิกเขโป ชีวิตินทริยัสสะอุปัจเฉโท. ความจุติ ความเคลื่อนไป ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์ ความทิ้งซากศพไว้ ความขาดไปแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆอันใด,
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว มะระณัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า มรณะ (ความตาย),
กะตะมา จะ ภิกขะเว โสโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โสกะ (ความแห้งใจ) เป็นอย่างไรเล่า?,
โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ ผุฏฐัสสะ โสโก โสจะนา โสจิตัตตัง อันโต โสโก อันโต ปะริโสโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความโศก ความเศร้าใจ ความแห้งใจ ความผาก ณ ภายใน ความโศก ณ ภายในของสัตว์ ผู้ประกอบด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง และผู้ที่ความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใดเล่า,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว โสโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า โสกะ (ความแห้งใจ),
กะตะมา จะ ภิกขะเว ปะริเทโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน) เป็นอย่างไรเล่า?,
โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเสนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ ผุฏฐัสสะ อาเทโว ปะริเทโว อาเทวะนา ปะริเทวะนา อาเทวิตัตตัง ปะริเทวิตัตตัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ ความที่ร่ำไรรำพัน ความที่สัตว์ร่ำไรรำพัน ของสัตว์ผู้ประกอบด้วยความฉิบหาย อันใดอันหนึ่ง และผู้ที่ความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใดเล่า,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะริเทโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ปริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน),
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ (ความไม่สบายกาย) เป็นอย่างไรเล่า?,
ยัง โข ภิกขะเว กายิกัง ทุกขัง กายิกัง อะสาตัง กายะสัมผัสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทิยัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์เกิดในกาย ความไม่ดีเกิดในกาย เวทนาไม่ดีเป็นทุกข์ เกิดแต่สัมผัสทางกาย อันใด?,
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า ทุกข์ (ความไม่สบายกาย),
กะตะมัญจะ ภิกขะเว โทมะนัสสัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทมนัส(ความเสียใจ) เป็นอย่างไร?,
ยัง โข ภิกขะเว เจตะสิกัง ทุกขัง เจตะสิกัง อะสากัง เจโตสัมผัสสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทะยิตัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์เกิดในใจ ความไม่ดีเกิดในใจ เวทนาไม่ดีเป็นทุกข์ เกิดแต่สัมผัสทางใจอันใด?,
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว โทมะนัสสัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่าโทมนัส(ความเสียใจ),
กะตะโม จะ ภิกขะเว อุปายาโส. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปายาส (ความคับแค้น) เป็นอย่างไร?,
โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ ผุฏฐัสสะ อายาโส อุปายาโส อายาสิตัตตัง อุปายาสิตัตตัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความแค้น ความคับแค้น ความที่สัตว์แค้น ความที่สัตว์คับแค้น ของสัตว์ผู้ประกอบด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง และผู้ที่มีความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใด?,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อุปายาโส. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่าอุปายาส (ความคับแค้น),
กะตะโม จะ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความประสบสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ อย่างไร?,
อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อะนิฏฐา อะกันตา อะมะนาปา รูปา สัทธา คันธา ระสา โผฏฐัพพา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนา ไม่เป็นที่รักใคร่ ไม่เป็นที่ปลื้มใจ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอารมณ์ที่พึงถูกต้องด้วยกาย ย่อมมีแก่ผู้นั้น,
เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อะนัตถะกามา อะโยคักเขมะกามา. อนึ่ง หรือชนเหล่าใด ที่ใคร่ต่อความฉิบหาย ใคร่สิ่งที่ไม่เกื้อกูล ใคร่ความไม่สำราญ และใคร่ความไม่เกษม จากเครื่องประกอบแก่ผู้นั้น,
ยาเตหิ สังคะติ สะมาคะโม สะโมธานัง มิสสีภาโว. ความไปร่วม ความมาร่วม ความประชุมร่วม ความระคนกับด้วยอารมณ์และสัตว์เหล่านั้น อันใด,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ความประสบกับสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์,
กะตะโม จะ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์ อย่างไร?,
อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อิฏฐา กันตา มะนาปา รูปา สัททา คันธา ระสา โผฏฐัพพา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ซึ่งเป็นที่ปรารถนา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่ปลื้มใจ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอารมณ์ที่พึงจะถูกต้องด้วยกายย่อมมีแก่ผู้นั้น,
เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อัตถะกามา หิตะกามา ผาสุกามา โยคักเขมะกามา. อนึ่ง หรือชนเหล่าใด ที่ใคร่ต่อความเจริญ ใคร่ประโยชน์เกื้อกูล ใคร่ความสำราญ และใคร่ความเกษม จากเครื่องประกอบแก่ผู้นั้น,
มาตา วา ปิตา วา. คือมารดา หรือบิดา,
ภาตา วา ภะคินี วา. พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิง,
มิตตา วา อะมัจจา วา. มิตรหรืออำมาตย์,
ญาติสาโลหิตา วา. หรือญาติสาโลหิต,
ยา เตหิ อะสังคะติ อะสะมาคะโม อะสะโมธานัง อะมิสสีภาโว. ความไม่ไปร่วม ความไม่มาร่วม ความไม่ประชุมร่วม ความไม่ระคน กับด้วยอารมณ์และสัตว์เหล่านั้น อันใด,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์,
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ของที่ไม่สมประสงค์นั้น เป็นทุกข์อย่างไรเล่า?,
ชาติธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนา ย่อมเกิดขึ้นแก่เหล่าสัตว์ ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า,
อะโห วะตะ มะยัง นะ ชาติธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความเกิดเป็นธรรมดาเถิด,
นะ จะ วะตะ โน ชาติ อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความเกิดอย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้,
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้,
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์ (สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ข้อที่ไม่สมประสงค์นั้นก็เป็นทุกข์),
ชะราธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ที่มีความแก่ เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า,
อะโห วะตะ มะยัง นะ ชะราธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความแก่เป็นธรรมดาเถิด,
นะ จะ วะตะ โน ชะรา อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความแก่อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้,
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้,
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า,
ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, พะยาธิธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีความเจ็บๆไข้ๆ เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า,
อะโห วะตะ มะยัง นะ พะยาธิธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาเถิด,
นะ จะ วะตะ โน พะยาธิธัม อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความเจ็บไข้อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา,
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้,
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์,
มะระณะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีความตาย เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า,
อะโห วะตะ มะยัง นะ มะระณะธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความตายเป็นธรรมดาเถิด,
นะ จะ วะตะ โน มะระณะธัม อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความตายอย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้,
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้,
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์,
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า,
อะโห วะตะ มะยัง นะ โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มี โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดาเถิด,
นะ จะ วะตะ โน โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอโสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้,
นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้,
อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, (สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ข้อที่ไม่สมประสงค์นั้นก็เป็นทุกข์)
กะตะมา จะ ภิกขะเว สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์อย่างไร,
เสยยะถีทัง. นี้คือ
รูปูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือรูป,
เวทะนูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือเวทนา,
สัญญูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือสัญญา,
สังขารูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือสังขาร,
วิญญาณูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ,
ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. ที่กล่าวว่า อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์,
อิเม วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง อริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า อริยสัจ คือทุกข์,
ทุกขสมุทัย
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจคือทุกขสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์) เป็นอย่างไร,
ยายัง ตัณหา. ตัณหา (ความทะยานอยาก) นี้ อันใด,
โปโนพภะวิกา. มีความเกิดอีกเป็นปกติ, นันทิราคะสะหะคะตา. ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิดเพลิน,
ตัตระ ตัตราภินันทินี. มักเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ,
เสยยะถีทัง. นี้คือ,
กามะตัณหา. ความอยากในอารมณ์ที่สัตว์รักใคร่,
ภะวะตัณหา. ความอยากมีอยากเป็น,
วิภะวะตัณหา. ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น (น่าจะแปลว่า ความอยากในความไม่มีไม่เป็น หรืออยากในวิภพ),
สา โข ปะเนสา ภิกขะเว ตัณหา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลตัณหานั้นนั่นแล,
กัตถะ อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นที่ไหน,
กัตถะ นีวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ที่ไหน,
ยัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ที่ใด เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นในที่นั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น,
กิญจิ โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ก็อะไรเล่า เป็นที่รักใคร่ เป็นพอใจในโลก,
จักขุ โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ตานั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ตานั้น,
โสตัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. หู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่หูนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่หูนั้น,
ฆานะ โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. จมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่จมูกนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่จมูกนั้น,
ชิวหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ลิ้นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ลิ้นนั้น,
กาเย โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. กาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่กายนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กายนั้น,
มะโน โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ใจนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ใจนั้น,
รูปา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. รูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รูปนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รูปนั้น,
สัททา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เสียงนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เสียงนั้น,
คันธา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. กลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่กลิ่นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กลิ่นนั้น,
ระสา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. รส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รสนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รสนั้น,
โผฏฐัพพา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. โผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่โผฏฐัพพะนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่โผฏฐัพพะนั้น,
ธัมมา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ธัมมารมณ์นั้น,
จักขุวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางตานั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางตานั้น,
โสตะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางหูนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางหูนั้น,
ฆานะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางจมูกนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางจมูกนั้น,
ชิวหาวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางลิ้นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางลิ้นนั้น,
กายะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางกายนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางกายนั้น,
มะโนวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางใจนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางใจนั้น,
จักขุสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางตานั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางตานั้น,
โสตสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางหูนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางหูนั้น,
จักขุสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางตานั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางตานั้น,
ฆานะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางจมูกนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางจมูกนั้น,
ชิวหาสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางลิ้นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางลิ้นนั้น,
กายะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางกายนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางกายนั้น,
มะโนสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางใจนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางใจนั้น,
จักขุสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น,
โสตะสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น,
ฆานะสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น,
ชิวหาสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น,
กายะสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น,
มะโนสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางใจ เป็นทีรักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น,
รูปะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำรูปนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำรูปนั้น,
สัททะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำเสียงนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำเสียงนั้น,
คันธะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำกลิ่นนั้น,
ระสะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำรสนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำรสนั้น,
โผฏฐัพพะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำโผฏฐัพพะนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำโผฏฐัพพะนั้น,
ธัมมะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำธัมมารมณ์นั้น,
รูปะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงรูปนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงรูปนั้น,
สัททะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงเสียงนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงเสียงนั้น,
คันธะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น,
ระสะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงรสนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงรสนั้น,
โผฏฐัพพะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น,
ธัมมะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น,
รูปะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในรูปนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในรูปนั้น,
สัททะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในเสียงนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในเสียงนั้น,
คันธะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในกลิ่นนั้น,
ระสะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในรสนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในรสนั้น,
โผฏฐัพพะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น,
ธัมมะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น,
รูปะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงรูปนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงรูปนั้น,
สัททะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงเสียงนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงเสียงนั้น,
คันธะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น,
ระสะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงรสนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงรสนั้น,
โผฏฐัพพะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น,
ธัมมะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น,
รูปะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงรูปนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงรูปนั้น,
สัททะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงเสียงนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงเสียงนั้น,
คันธะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น,
ระสะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงรสนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงรสนั้น,
โผฏฐัพพะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น,
ธัมมะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น,
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่าอริยสัจ คือทุกขสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์)
ทุกขนิโรธ
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่าอริยสัจคือทุกขนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์) เป็นอย่างไร?,
โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย. (คือ) ความสำรอกและความดับโดยไม่มีเหลือ ความสละ ความส่งคืน ความปล่อยวาง ความไม่อาลัย ในตัณหานั้นนั่นแล อันใด,
สา โข ปะเนสา ภิกขะเว ตัณหา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานั้นนั่นแล,
กัตถะ ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. เมื่อบุคคลละเสีย ย่อมละเสียได้ในที่ไหน,
กัตถะ นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน,
ยัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ที่ใดเป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ในที่นั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับในที่นั้น,
จักขุ โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ตานั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ตานั้น,
โสตัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. หู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่หูนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่หูนั้น,
ฆานัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. จมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่จมูกนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่จมูกนั้น,
ชิวหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ลิ้นนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ลิ้นนั้น,
กาโย โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. กาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กายนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่กายนั้น,
มะโน โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ใจนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ใจนั้น,
รูปา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. รูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รูปนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่รูปนั้น,
สัททา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เสียงนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เสียงนั้น,
คันธา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. กลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กลิ่นนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่กลิ่นนั้น,
ระสา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. รส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รสนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่รสนั้น,
โผฏทัพพา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. โผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่โผฏทัพพา นั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่โผฏทัพพะนั้น,
ธัมมา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ธัมมารมณ์นั้น,
จักขุวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางตานั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางตานั้น,
โสตะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางหูนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางหูนั้น,
ฆานะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางจมูกนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางจมูกนั้น,
ชิวหาวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางลิ้นนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางลิ้นนั้น,
กายะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางกายนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางกายนั้น,
มะโนวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางใจนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางใจนั้น,
จักขุสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางตานั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางตานั้น,
โสตะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางหูนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางหูนั้น,
ฆานะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางจมูกนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางจมูกนั้น,
ชิวหาสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางลิ้นนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางลิ้นนั้น,
กายะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางกายนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางกายนั้น,
มะโนสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางใจนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางใจนั้น,
จักขุสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น,
โสตะสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น,
ฆานะสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น,
ชิวหาสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น,
กายะสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น,
มะโนสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น,
รูปะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำรูปนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรูปนั้น,
สัททะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำเสียงนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำเสียงนั้น,
คันธะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำกลิ่นนั้น,
ระสะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำรสนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรสนั้น,
โผฏทัพพะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำโผฎทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำโผฏทัพพะนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำโผฏทัพพะนั้น,
ธัมมะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำธัมมารมณ์นั้น,
รูปะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงรูปนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงรูปนั้น,
สัททะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงเสียงนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงเสียงนั้น,
คันธะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น,
ระสะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงรสนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงรสนั้น,
โผฏทัพพะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงโผฏทัพพะนั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงโผฏทัพพะนั้น,
ธัมมะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น,
รูปะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในรูปนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในรูปนั้น,
สัททะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในเสียงนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในเสียงนั้น,
คันธะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในกลิ่นนั้น,
ระสะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในรสนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในรสนั้น,
โผฏทัพพะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในโผฏทัพพะนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในโผฏทัพพะนั้น,
ธัมมะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น,
รูปะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงรูปนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงรูปนั้น,
สัททะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงเสียงนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงเสียงนั้น,
คันธะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น,
ระสะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงรสนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงรสนั้น,
โผฏทัพพะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงโผฏทัพพะนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงโผฏทัพพะนั้น,
ธัมมะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น,
รูปะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงรูปนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงรูปนั้น,
สัททะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงเสียงนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงเสียงนั้น,
คันธะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น,
ระสะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงรสนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงรสนั้น,
โผฏทัพพะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงโผฏทัพพะนั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงโผฏทัพพะนั้น,
ธัมมะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก,
เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น,
เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น,
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขนิโรโธ อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า อริยสัจคือทุกขนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์)
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรค)
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์) เป็นอย่างไร?,
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโกมัคโค. ทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์ ๘ ทางเดียวนี้แล,
เสยยะถีทัง. ทางนี้เป็นอย่างไร,
สัมมาทิฏฐิ. ความเห็นชอบ,
สัมมาสังกัปโป. ความดำริชอบ,
สัมมาวาจา. วิรัติเป็นเครื่องเจรจาชอบ,
สัมมากัมมันโต. วิรัติธรรมเป็นเครื่องกระทำชอบ,
สัมมาอาชีโว. วิรัติธรรมเป็นที่เลี้ยงชีพชอบ,
สัมมาวายาโม. ความพยายามชอบ,
สัมมาสะติ. ความระลึกชอบ,
สัมมาสะมาธิ. ความตั้งจิตมั่นชอบ,
ความเห็นชอบ
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นอย่างร?,
ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง ทุกขะนิโรเธ ญาณัง ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์ อันใดแล,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ),
ความดำริชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) เป็นอย่างไร?,
เนกขัมมาสังกัปโป. ความดำริในการออกบวช (คือออกจากกามารมณ์) อัพพะยาปาทะสังกัปโป. ความดำริในความไม่พยาบาท, อะวิหิงสาสังกัปโป. ความดำริในการไม่เบียดเบียน,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ),
ความเจรจาชอบ
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจา (วิรัติเป็นเครื่องเจรจาชอบ) เป็นอย่างไร?,
มุสาวาทา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการกล่าวเท็จ,
ปุณายะ วาจายะ เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากวาจาส่อเสียด,
ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากวาจาหยาบคาย,
สัมผัปปะลาปา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากเจรจาสำราก เพ้อเจ้อ,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาวาจา (วิรัติเป็นเครื่องเจรจาชอบ),
การงานชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ (วิรัติธรรมเป็นเครื่องกระทำชอบ) เป็นอย่างไร?,
ปาณาติปาตา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่าสัตว์,
อะทินนาทานา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้,
กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากความประพฤติผิดในกาม,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมัมมันตะ (วิรัติธรรมเป็นเครื่องกระทำชอบ)
ความเลี้ยงชีพชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะ (วิรัติธรรมเป็นที่เลี้ยงชีพชอบ) เป็นอย่างไร?,
อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้,
มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ. ละความเลี้ยงชีพผิดเสียแล้ว,
สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกัง กัปเปติ. ย่อมสำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพชอบ,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาอาชีวะ (วิรัติธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีพชอบ)
ความเพียรชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ) เป็นอย่างไร?,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
๑ อะนุปปันนัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปาทายะ. เพื่อจะยังอกุศลธรรม อันเป็นบาป ที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้น,
ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด,
วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร,
จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้,
๒ อุปปันนานัง. ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ. เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว,
ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด,
วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร,
จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้,
๓ อะนุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ. เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น,
ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด,
วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร,
จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้,
๔ อุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา อะสัมโมสายะ ภิยโยภาวายะ เวปุลลายะ ภาวะนายะ ปาริปูริยา. เพื่อความตั้งอยู่ ไม่ให้สาบสูญ เจริญยิ่ง ไพบูลย์มีขึ้นเต็มเปี่ยมแห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว,
ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด,
วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร,
จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ),
หมายเหตุ: ความเพียรชอบนี้คือสัมมัปปธาน ๔ คือเพียรในที่ ๔ สถาน ได้แก่ ๑.สังวรปธาน, ๒.ปหานปธาน, ๓.ภาวนาปธาน, ๔.อนุรักขนาปธาน
ความระลึกชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็นอย่างไร?,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
๑ กาเย กายนุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่,
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ,
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
๒ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆอยู่,
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ,
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
๓ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่,
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ,
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
๔ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆอยู่,
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ,
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาสติ (ความระลึกชอบ),
หมายเหตุ: สัมมาสติหมายถึงการมีสติระลึกไปในกาย, เวทนา, จิต, และธรรม
ความตั้งจิตมั่นชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ) เป็นอย่างไร?,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
วิวิจเจวะ กาเมหิ วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ. สงัดแล้วจากกามารมณ์ สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศล,
สะวิตักกัง สะวิจารัง วิเวกชัมปิติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชฌะ วิหะระติ. เข้าถึงปฐมฌาน (ความเพ่งที่ ๑) ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปิติและสุข อันเกิดจากวิเวก,
วิตักกะวิจารานัง วุปะสะมา. เพราะความวิตกวิจาร (ทั้ง ๒) ระงับลง,
อัชฌัตตัง สัมปะทานัง เจตะโส เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง สะมาธิชัมปิติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงทุติยะฌาน (ความเพ่งที่ ๒) เป็นเครื่องผ่องใส ณ ภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอก ผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปิติและสุขที่เกิดจากสมาธิ,
ปิติยา จะ วิราคา. อนึ่ง เพราะความที่ปิติวิราศ (ปราศ) ไป,
อุเปกขะโก จะ วิหะระติ สะโต จะ สัมปะชาโน. ย่อมเป็นผู้เพิกเฉยอยู่ และมีสติสัมปชัญญะ,
สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ. และเสวยความสุขด้วยกาย,
ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีติ. อาศัยคุณคืออุเบกขา สติ สัมปชัญญะ และเสวยสุขอันใดเล่าเป็นเหตุ พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่าเป็นผู้อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข,
ตะติยาฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงตติฌาน (ความเพ่งที่ ๓)
สุขัสสะ จะ ปะหานา. เพราะละสุขเสียได้,
ทุกขัสสะ จะ ปะหานา. เพราะละทุกข์เสียได้,
ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา. เพราะความที่โสมนัส และโทมนัส (ทั้ง ๒) ในกาลก่อนอัสดงค์ดับไป,
อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปะริสุทธิง จตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงจตุตถฌาน (ความเพ่งที่ ๔) ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ)
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า อริยสัจคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์แล้ว)
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ, ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง,
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง,
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในบ้างทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง,
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง,
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่า ธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น,
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้,
ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก,
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย,
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย,
เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม. จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ. คือ อริยสัจ ๔ อย่างนี้แลฯ,
สัจจะบัพพัง จบข้อกำหนดด้วยสัจจะ
ธัมมานุปัสสนาสะติปัฏฐานัง จบธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
อานิสงส์ของการเจริญสติปัฏฐาน ๔
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,**
สัตตะ วัสสานิ. ตลอด ๗ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว สัตตะวัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ ปียกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
ฉะ วัสสานิ. ตลอด ๖ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ฉะ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ ปียกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
ปัญจะ วัสสานิ. ตลอด ๕ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ปัญจะ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ ปียกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
จัตตาริ วัสสานิ. ตลอด ๔ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว จัตตาริ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ ปียกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
ตีณิ วัสสานิ. ตลอด ๓ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ตีณิ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ ปียกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
เทว (ทเว) วัสสานิ. ตลอด ๒ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว เทว(ทเว) วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ ปียกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
เอกัง วัสสานิ. ตลอด ๑ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว เอกัง วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๑ ปียกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
สัตตะ มาสานิ. ตลอด ๗ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว สัตตะ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ เดือนยกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, ฉะ มาสานิ. ตลอด ๖ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ฉะ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ เดือนยกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, ปัญจะ มาสานิ. ตลอด ๕ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ปัญจะ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ เดือนยกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
จัตตาริ มาสานิ. ตลอด ๔ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว จัตตาริ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ เดือนยกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
ตีณิ มาสานิ. ตลอด ๓ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ตีณิ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ เดือนยกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
เทว(ทเว) มาสานิ. ตลอด ๒ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว เทว(ทเว) มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ เดือนยกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
เอกัง มาสัง. ตลอด ๑ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว มาโส. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๑ เดือนยกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
อัฑฒะมาสัง. ตลอดกึ่งเดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว อัฑฒะมาสัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายกึ่งเดิอนยกไว้,
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,
สัตตาหัง. ตลอด ๗ วัน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง,
ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑,
สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
เอกายะโน ภิกขะเว อะยัง มัคโค. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
สัตตานัง วิสุทธิยา. เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย,
โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ เพื่อก้าวล่วงเสียซึ่งความโศกและความร่ำไร,
ทุกขะโทมะนัสสานัง อัฏฐังคะมายะ. เพื่ออัศดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส,
ญายัสสะ อะธิคะมายะ. เพื่อบรรลุญายธรรม,
นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง,
ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานาติ. ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ อย่าง ด้วยประการฉะนี้,
อิติ ยันตัง วุตตัง. คำอันใดที่กล่าวแล้วอย่างนี้,
อิทะเมตัง ปะฏิจจะ วุตตันติ. คำอันนั้น ที่อาศัยทางอันเอก(คือสติปัฏฐาน๔) นี้กล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้,
อิทะมะโวจะ ภะคะวา อัตตะมะนา เต ภิกขู. ภิกษุเหล่านี้มีใจยินดี,
ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุนติ. เพลิดเพลินนักซึ่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้แลฯ,
จบมหาสติปัฏฐานสูตร
<br>
<br>
<br>
<br>
<br>
|
12872
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12872
|
คาถาขอฝน
|
สมพุทธมุตตมมุฬารมหนตญาณ , สตตุตตม ทสพลกรุราธิวาส , สกการภาชนมงคณาน , สทธาณเตนสตต สิรสา นมามิ วีร วิสารทมปารคุณมพุราสี ม ธีรนธโรปมธิตี ถิรธมมการ , ปารงคต ภวภยากรสาครสส , สารญขเนสุ สุคตสิรสา นมามิ โลเกกจกขุมตุลามลปญจจกขุ , โลเกกสารมชรามรธมมสาร , โลเกกพนธุมรวินทุสหายพนธุ , โลเกกจารุติลก สิรสา นมามิ วีโตปมานมปมาณมนาถนาถ , สุทธ สุสุทธนยน นยนาภิราม , สสารจกกมถน วรธมมจกก , จกกงกิโตรุจรณ สิรสา นมามิ เนกขมมมนตพลวาริตราคยกข , เมตตมพุสา สมิตโกรธมหาหุตาส , ปญญาปทีปหตโมหมหนธการ , โลกตถจารุปฏร สิรสา นมามิ มหาการุณิโก นาโถ หินาย สพพปาณิน , ปูเรตวาเทโว วสสตุ กาลโต. มหาการุณิโก นาโถ สุขาย สพพปาณิน , ปูเรตวา ปารมี สพพา ปตโต สมโพธิมุตตม ,เอเตน สจจวชเชน เทโว วสสตุ ฐานโส. สุภูโต จ มหาเถโร มหากาโย มโหทโร , นีลวณโณ มหาเตโช ปวสสนตุ วลาหกา. ฉนนา เม กุฏิกา สุขา นิวาตา วสส เทว ยถาสุข. จิตต เมสุสมาติต วิมุตตต อาตาปี วิหรามิ วสส เทวาติ. อนุสสริตวา สต ธมม ปรมตถ วิจินตย , อกาสี สจจกริย ยโลเก ธุวสสสต . ยโต สรามิ อตตาน ยโต ปตโตสมิ วิญญุต , นาภิชานามิ สญจิจจ เอกปาณมปิ หีสิตา. เอเตน สจจวชเชน ปชุนโน อภิวสสิย. ถล นินนญจ ปูเรนโต ขเณนอภิวสสิย , เอวรูป สจจเสชพลสสิโต , สจเจน เม สโม นตถิ เอสาเม สจจปารมีติ สทธมมราชมปราชิตธมมเสน , สทธมมเตชหตมารสุโฆรเสน , สทธมมเทสนมโนหรเภริโฆส , สทธมม สารมกุฏ สิรสา นมามิ ยุตต คุเณสิ สกเลหิ สุนิมมเลหิ , โทเสหิ มุตตม ขิเลหิ สวาสเนหิ , พยามปปภาขจิตภาสุรลกขณาภา มาโลปโสภิตตนุ สิรสา นมามิ ปญญาทิวาวินิคคตเทสนาภา , นิทธุตตสพพปรวาทฆนนธการ , การุญญวารินนิวาริตโลกตาป , ทุกขคคิชาลวิสร สิรสา นมามิ เญยยยญชน สกลเมว ปริคคหีต , ชาตาหิ ญาณกรุณาหิมหาชวาหิ , โลกสส ทุกขมวธุยย สุขปปทายี โลกคคนาถมตุล สิรสา นมามิ พยามปปภาวลยจารุสุรินทจาป ,อุณณารุร สิวิสรุชชลวิชชุชาล , ธมมมพุวุฏฐิชนิต มิตสาธุสสส , สพพญญุเมฆมนฆ สิรสา นมามิ. ปาโปปตาปนปรนนปรนตปนต , อจจนตสนตชนนชนน ชนคค , สมภคคสพพปปก สรณญชนาน , สพพาภิภุ ทสพล สิรสา นมามิ. สุคตมมิตพุทธี โลกนาถ นมิตวา , กุสลมุปจิต ยนเตนเตชสสเทน , วิลยมุปนยนตโรคทุพภิกขทุกขา , วิปุลสลิลธารา วสสิโน โหนตุ เมฆา.
คำแปลคาถาขอฝน.
ข้าพเจ้าขอนมัสการเนืองๆ ด้วยเศียรเกล้า อันน้อมไปด้วยความเชื่อ ซึ่งพระทศพลสัมพุทธเจ้า ผู้อุดมเลิศ ทรงมีพระญาณหาที่สุดมิได้ ทรงเป็นผู้สูงสุดในหมู่สัตว์ ทรงทนธารด้วยพระกรุณา เป็นที่รองรับสักการะ ไม่เป็นภาชนะแห่งกิเลสเครื่องยั่วยวน ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระสุคตเจ้าผู้แกล้วกล้า ผู้ทรงมีพระคุณไม่มีเขตคั่น ดังน่านน้ำ ทรงเป็นนักปราชญ์ผู้ปรีชา เปรียบด้วยแผ่นดิน ทรงมีพระธรรมกายมั่นคง ทรงถึงฝั่งแห่งสาคร อันเป็นแดนเกิดแห่งภัยคือภพ ทรงเป็นผู้ประเสริฐในหมู่ชน. ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระโลกนาถเจ้าผู้ทรงมีพระจักษุ 5 ดวง กระจ่างหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งเป็นดวงตาอันเอกในโลก ทรงมีธรรมอันไม่แก่ไม่ตายเป็นแก่นสาร ซึ่งเป็นแก่น อันเอกในโลก ทรงเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์อันเอกในโลก ทรงเป็นผู้สูงเด่น ทรงเป็นเอกในโลก ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระโลกนาถเจ้าผู้ทรงปราศจากเหตุที่ควรดูหมิ่น , ทรงเป็น ที่พึ่งของผู้อนาถาไม่มีประมาณ ผู้หมดจด , ทรงมีพระเนตรอันหมดจดดีเป็นที่น่าอภิรมแห่งนัยน์ตา , ทรงมีพระธรรมจักรเป็นเครื่องย่ำยีสงสารจักร ทรงมีพระอุรุสำหรับเที่ยวไปกำหนดด้วยจักร. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระโลกนาถเจ้า ผู้ทรงมียักษ์ คือ ความกำหนัดอันพระองค์ทรงห้ามเสียแล้ว ด้วยกำลังแห่งมนต์ คือ เนกขัมมะ ผู้มีไฟกองใหญ่ คือ ความโกรธ อันดับแล้วด้วยน้ำ คือ พระเมตตา ทรงมีความมืดมนใหญ่หลวง คือ โมหะ อันขจัดแล้ว ด้วยประทีป คือ พระปัญญา ทรงเป็นดุจกองทอง อันเป็นประโยชน์แก่โลก. ได้ทรงบรรลุสัมโพธิญาณ อันอุดมแล้ว , ด้วยความกล่าวสัตย์นี้ ขอฝนจงตกตามฤดูกาล. พระบรมโลกนาถทรงมีพระกรุณาใหญ่ ทรงยังพระบารมีทั้งสิ้นให้เต็มแล้ว , เพื่อความเกื้อกูล แก่สัตว์ทั้งปวง ได้ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดมแล้ว , ด้วยความกล่าวสัตย์นี้ ขอฝนจงตกตามฐานะ.อนึ่ง พระมหาเถระชื่อสุภูต มีกายล่ำสัน มีท้องพลุ้ย , มีผิวดังนิล มีเดชมาก ด้วยเดชแห่ง พระมหาเถระนั้น พลาหกเทพบุตรทั้งหลายจงให้ฝนตกลงเถิด. กุฏิทั้งหลายของเรามุงบังแล้ว อยู่สบาย กันลมได้ , ดูก่อนเทพบุตร ท่านจงให้ฝนตกตามสบายเถิด. จิตของเราตั้งมั่นดีพ้นแล้ว. เรามีความพากเพียร อยู่ ขอท่านจงให้ฝนตกเถิดเทพบุตรดังนี้. เราตามระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ แล้วคิดค้นอยู่ซึ่งอรรถอันยิ่ง , ได้ทำสัจจกริยาใด เป็นธรรมมั่นคงยั่งยืนในโลก. เมื่อใดเราระลึงถึงตนได้ เมื่อใดเราถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา , เมื่อนั้นเรารู้ตัวอยู่ไม่ได้แกล้งเบียดเบียนสัตว์แม้แต่ตัวเดียว. ด้วยความกล่าวสัตย์นี้ ขอมหาเมฆจงให้ฝน ตกเถิด , ดูก่อนปชุนนเทพบุตร ท่านจงคำรามให้ฝนตกยังขุมทรัพย์ของกาให้ฉิบหาย. ท่านจงรุกรานกาเสีย ด้วยความโศก , เมื่อความสัตย์อันประเสริฐเราได้ทำแล้ว ฝนได้ตกลงพร้อมสัจจกริยานั้น. ตกพักเดียว ทำที่ดอนและที่ลุ่มให้เต็ม , เราอาศัยเดชและกำลังแห่งสัจจะ แล้วทำสัจจกริยาเห็นปานนี้ และความเพียรอันอุดม. ได้ยังมหาเมฆให้หลั่งฝนลงแล้ว , สิ่งที่เสมอด้วยสัจจะของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเราดังนี้แล้ว. ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระโลกนาถเจ้าผู้ทรงเป็นสัทธรรมราชา ทรงมีธรรมเสนา อันไม่พ่ายแพ้ ทรงผจญมารและเสนามารผู้เหี้ยมหาญ ด้วยเดชแห่งพระสัทธรรม มีพระสัทธรรมเทศนา อันกึกก้องดุจเภรีที่จูงใจ มีพระสัทธรรมอันอุดมเป็นมกุฏ. ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระโลกนาถเจ้าผู้ประกอบด้วยพระคุณทั้งสิ้น ปราศจาก มลทินพ้นโทษทั้งมวลกับทั้งวาสนา มพระกายงดงามด้วยระเบียบรัศมี มีลักษณะอันรุ่งเรือง ซึ่งประดับไปด้วยรัศมีข้างละวา. ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระโลกนาถเจ้าผู้ทรงกำจัดปรวาท อันทำความมืดคลุ้ม ทั้งปวงด้วยแสง คือเทศนาที่พร่าออกจากดวงอาทิตย์ คือ ปัญญา มีกลุ่มแห่งเปลวไฟ คือ ทุกข์ ซึ่งแผดเผาโลกอันพระองค์ป้องกันไว้ด้วยน้ำ คือ พระการูญ. ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระโลกนาถเจ้าผู้ทรงกำหนดชนที่ควรตรัสรู้ทั้งสิ้น , ด้วยพระญาณและพระกรุณาที่เกิดขึ้นอย่างว่องไว ผู้ทรงบำบัดทุกข์แล้วประทานสุขแก่สัตว์โลก หาผู้เปรียบปานมิได้ในโลก. ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระโลกนาถเจ้าผู้ทรงวลัย คือ พระรัศมีข้างละวา อันงามดุจแล่งศรของจอมสุรโยธิน มีช่อแห่งพระรัศมีที่พระอุณาโลม อันรุ่งเรืองดุจประกายฟ้าแลบ ทรงยังน้ำฝน คือธรรมให้เกิดมีข้าวกล้า คือความดีอันทรงนับแล้ว มีเมฆ คือ พระสัพพัญญูอันหาค่ามิได้. ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระทศพลเจ้าผู้มีอันยังบาปให้เร่าร้อนเป็นเบื้องหน้า ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน มีความเกิดอันระงับโดยส่วนเดียว ผู้เป็นชนกแห่งสังฆรัตนะเป็นยอดของชน ทรงขจัดโทษเศร้าหมองทั้งปวงเสีย เป็นสรณะของชนทั้งหลาย เป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง. กุศลอันใด ที่ข้าพเจ้านมัสการพระสุคตโลกนาถเจ้าผู้ทรงมีพระปัญญานับไม่ได้ สร้าง สมไว้แล้วด้วยเดชอันกล้าแข็งแห่งกุศลนั้น ของโรคทุพภิกขภัย และทุกข์ทั้งหลายจงถึงความพินาศไป ขอเมฆอันมีสลิลธาราอันไพบูลย์จงยังให้ฝนตกลงเถิด.
|
12874
|
195178
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12874
|
คาถาพระสุนทรีวาณี
|
ตั้ง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปีณะยะตัง มะนังฯ
ทำการค้าขาย โชคลาภ ให้ภาวนาเพิ่มว่า...
เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก
โส มานิมา ฤ ฤา ฦ ฦา
สา มานิมา ฤ ฤา ฦ ฦา
คำแปล.
นางฟ้า คือพระไตรปิฎกอันเกิดจากดอกอุบล คือพระโอษฐ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งพำนักของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงยังใจของข้าพเจ้าให้เอิบอิ่มปรีดาปราโมทย์ รู้แจ่มแจ้งแทงตลอดจำได้ ปฏิบัติตามได้ ในพระไตรปิฏกทั้งโลกียะและโลกุตตระนั้นเทอญ
ประวัติ..พระสุนทรีวาณี.
เป็นพระปางพิเศษ เป็นรูปเทพธิดาทรงอาภรณ์อันงดงามวิจิตร หัตถ์ขวาแสดงอาการกวัก คือ การเรียกเข้ามาหา หัตถ์ซ้ายหงายอยู่บนพระเพลา (หน้าตัก) มีดวงแก้ววิเชียร (เพชร) อยู่ในหัตถ์
พระสุนทรีวาณี เป็นพระซึ่งเกิดจากการนิมิต แห่งพระคาถาสุนทรีวาณี ซึ่งเป็นคาถาที่ปรากฎ ในคัมภีร์สัททาวิเสส มี ๓๒ คำ
พระคาถานี้เป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดเมื่อเรียนพระไตรปิฎก เรียนพระธรรม เรียนวิชา ภาวนาแล้ว ดับอวิชชา บังเกิดปัญญางาม ปัญญากลายเป็นสัญญา คือ ความทรงจำอันเลิศล้ำ โบราณาจารย์ได้สั่งสอนศิษยานุศิษย์ให้ท่องทุกครั้ง ที่เรียนพระไตรปิฎกตลอดมา
สืบได้ความว่า ผู้ที่ท่องคาถานี้เฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ ดำรงสมณศักดิ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ๓ พระองค์ เป็นพระสมเด็จ พระราชาคณะ เป็นพระคณาจารย์ผู้มากด้วยเมตตา
สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวัฑฒโน) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ ของวัดสุทัศนเทพวราราม ภาวนาแล้วเกิดเป็นนิมิต จึงให้จิตรกรหลวงเขียนภาพนิมิตนั้น แล้วตั้งบูชาที่หัวนอน ครั้นต่อมารัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรป สมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้ถวายคาถานี้ให้จำเริญ ครั้นเสด็จกลับจึงได้ตรัสว่าคาถานี้ศักดิ์สิทธิ์ และทรงยืมรูปพระสุนทรีวาณีไปบูชา เป็นเวลา ๕ ปี จนเมื่อสมเด็จพระวันรัต (แดง) อาพาธ ก่อนมรณภาพ จึงขอพระราชทานคืนวัด ปัจจุบันประดิษฐานที่ พระตำหนัก (คณะ ๖) วัดสุทัศนเทพวราราม ได้มีการสร้างเหรียญ และเหรียญหล่อแล้วหลายครั้ง พร้อมกับหล่อองค์บูชาขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว ไว้ด้วย
หมายเหตุ.
พระสุนทรีวาณี เป็นพระที่ทรงไว้ด้วยความเมตตาอย่างสูง เป็นพระที่เป็นสิริมงคล มหาลาภต่าง ๆ จึงเหมาะแก่ห้างร้าน บริษัท และร้านค้าทั่วไปจะมีไว้บูชาเพื่อเจริญด้วยลาภ ยศ ความสุข สรรเสริญ ตลอดจนการเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานของตน
ผู้บูชาเกิดความผ่องใส เกิดโชคลาภ และความสำเร็จสมหวัง...
|
12877
|
6791
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12877
|
คาถาประจำวัน
|
คาถาวันอาทิตย์.
อะวิช สุ นุส สานุต ติ
ชื่อพระคาถาพระนารายณ์แปลงรูป ใช้ทางเมตตามหานิยมก็ได้ สวดวันละ 6 จบ
คาถาวันจันทร์.
อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
ชื่อพระคาถากระทู้เจ็ดแบก ใช้ทางคงกะพัน สวดวันละ 15 จบ
คาถาวันอังคาร.
ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
ชื่อคาถาฝนแสนห่า ใช้ทางเมตตามหานิยม สวดวันละ 8 จบ
คาถาวันพุธกลางวัน.
ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
ชื่อคาถาพระนารายณ์เกลื่อนสมุทร ใช้เสกปูน สูญผี สวดวันละ 17 จบ
คาถาวันพุธกลางคืน.
คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ
ชื่อคาถาพระนารายณ์พลิกแผ่นดิน ใช้แก้ความผิดต่างๆ สวดวันละ 12 จบ
คาถาวันพฤหัสบดี.
ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
ชื่อคาถาพระนารายณ์ตรึงไตรภพใช้ทางเมตตา มหานิยม สวดวันละ 19 จบ
คาถาวันศุกร์.
วา โธ โน อะ มะ มะ วา
ชื่อคาถาพระพุทธเจ้าตวาดหิมพานต์ใช้ทางมหานิยม สวดวันละ 21 จบ
คาถาวันเสาร์.
โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
ชื่อคาถาพระนารายณ์ถอดจักร ใช้ทางถอดจักร ใช้ทางถอดคุณไสยศาสตร์ สวดวันละ 10 จบ
|
12878
|
5239
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12878
|
พระคาถาประจำวันเกิด
|
คาถาวันอาทิตย์.
อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา หิริสสะวัณโณ ปะฐะ วิปะภาโส ตัง ตังมะมัสสามิ
หะริสสะ วัณนัง ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสังเย พราหมะณา เวทะคุ
สัพพะ ธัมมัง เต เม นะโม เต จะมัง ปาละยันตุ นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยานะโม วิมุต
ตานัง นะโม วิมุตติยา อิมัง โส ปะริตตัง กัตวา โมโร จะระติ เอสนาฯ
ภาวนาประจำวันเกิดวันเกิดวันอาทิตย์ของตน วันละ 6 จบทุกๆวันไป พร้อมด้วยบูชาพระประจำวันเกิดจะมีสิริมงคลยิ่งนัก
คาถาวันจันทร์.
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โยจามะนาโป สุกะณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯ ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินา สะเมนตุฯ ยันทุน นิมิตตัง อะวะมังคะ ลัญจะ โยจามะนาโป สกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินา สะเมนตุฯ
ภาวนาประจำวันเกิดวันเกิดวันจันทร์ของตน วันละ 15 จบทุกๆ วันไป พร้อมด้วยบูชาพระประจำวันเกิดจะเป็นสิริมงคลยิ่งนัก
คาถาวันอังคาร.
ยัสสานุภาวะโต ยักขา เนวะ ทัสเสนติ ภิงสะนัง ยัมหิ เจวานุยุญชันโต รัตตินทิวะมะตันทิโต สุขัง สุปะติ สุตโตจะ ปาปัง กิญจิ นะปัสสะติ เอวะมาทิคุณูเปตัง ปะริตตันตัมภะณามะ เหฯ
ภาวนาประจำวันเกิดวันเกิดวันอังคารของตน วันละ 8 จบ จะมีความสุข ปราศจากภูตผีปีศาจเบียดเบียน
คาถาวันพุธ.
สัพพาสีวิสะชาตินัง ทิพพะมันตาคะ ทังวิยะยันนาเสติ วิสัง โฆรัง เสสัญจาปิ ปะริสสะยัง อาณักเขตตัมหิ สัมพัตถะ สัมพะทา สัมพะปาณินัง สัพพะโสปิ นิวาเรติ ปะริตรันตัมภะ ฌามะเหฯ
ภาวนาประจำวันเกิดวันเกิดวันพุธ วันละ 17 จบ มีความสุขกาย สุขใจ รวยยศ เป็นเมตตามหานิยม
คาถาวันพฤหัสบดี.
ปูเรณตัมโพธิสัมภาเร นิพัตตัง โมระโยนิยัง เยนะ สังวิหิตารักขัง มะหาสัตตัง วะเนจะราฯ จิรัสสัง วายะ-มัน ตาปิเนวะ สักขิงสุ คัณหิตุง พรัหมตัน ตันติ อักขาตัง ปะริตตัง ตัมภะฌามะเหฯ
ภาวนาประจำวันเกิดวันเกิดวันพฤหัสบดี วันละ 19 จบ จะได้เจริญรุ่งเรื่องยิ่งๆ ขึ้นไป
คาถาวันศุกร์.
อัปปะสันเนหิ นาถัสสะ สาสะเน สาธุ สัมมะเต อะมะนุสเสหิ จัณเฑหิ สะทา กิพพิสะการิภิ ปะริสานัญจะ ตัสสันนัง มะหิงสายะ จะ คุตติยา ยันเทเสสิ มะหาวีโร ปะริตตันตัมภะนามะ เหฯ
ภาวนาประจำวันเกิดวันเกิดวันศุกร์ของตนได้วันละ 21 จบ จะได้มีความสุขสำราญเนืองนิตย์ เจริญด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญสุขทุกๆ เมื่อ
คาถาวันเสาร์.
ยะโตหัง ภะคินิ อะริยา ชาติยา ชาโต นาภิชา นามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชิวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ
ภาวนาประจำวันเกิดวันเกิดวันเสาร์ วันละ 10 จบ จะมีความเจริญ วัฒนาถาวรยิ่งๆ ขึ้นไป
|
12881
|
2651
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12881
|
มหาสมยสูตร
|
มหาสติปัฏฐานสูตร
เอวัมเม สุตัง. อันข้าพเจ้า(พระอานนท์เถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้, เอกัง สะมะยัง ภะคะวา กุรูสุ วิหะระติ กัมมะสะธัมมัง นามะ กุรูนัง. สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุ ชื่อกัมมาสธัมมะ, ตัตตระโข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ในกาลนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายดังนี้, ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลรับพระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ดังนี้, ภะคะวา เอตะทะโวจะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพุทธภาษิตนี้ว่า,
เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค สุตตานัง วิสุทธิยา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก (เป็นที่ไปของบุคคลผู้เดียว เป็นที่ไปในที่แห่งเดียว) เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย,โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ. เพื่อความก้าวล่วง ซึ่งความโศกและความร่ำไร, ทุกขะโทมะนัสสานัง อัฏฐังคะมายะ. เพื่อความอัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส, ญายัสสะ อธิคะมายะ. เพื่อบรรลุญายธรรม(ธรรมที่ควรรู้ ธรรมที่ถูก คือ อริยมรรค), นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง, ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา. ทางนี้คือสติปัฏฐาน (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ) ๔ อย่าง,
-๑- กาย
กะตะมา จัตตาโร. สติปัฏฐาน ๔ อย่าง คืออะไรบ้าง?, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส (ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
-๒- เวทนา
เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ,
-๓- จิต
จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ, ธัมเมสุ
-๔- ธรรม
-๔- ธรรม
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆอยู่, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ,
อุทเทโส จบอุทเทส
กายานุปัสสนา
-๑-
อานาปานสติบรรพ
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ กเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนืองๆ อย่างไรเล่า?, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, อะรัญญะคะโต วา. ไปแล้วสู่ป่าก็ดี, รุกขะมูละคะโต วา. ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ดี, สุญญาคาระโต วา.ไปแล้วสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี, นิสีทะติ ปัลลังกัง อาภุชิตตะวา. นั่งคู้บัลลังก์, อุชุ กายัง ปะณิธายะ. ตั้งกายให้ตรง, ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปตตะวา. ดำรงสติเฉพาะหน้า,
โส สะโต วา อัสสะสะติ. เธอย่อมมีสติหายใจเข้า, สะโต ปัสสะสะติ. ย่อมมีสติหายใจออก, ทีฆัง วา อัสสะสันโต. เมื่อหายใจเข้ายาว, ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว, ทีฆัง วา ปัสสะสันโต. หรือเมื่อหายใจออกยาว, ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว,
รัสสัง วา อัสสะสันโต. เมื่อหายใจเข้าสั้น, รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น, รัสสัง วา ปัสสะสันโต. หรือเมื่อหายใจออกสั้น, รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น,
สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า, สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก,
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร(คือลมอัสสาสะปัสสาสะ)หายใจเข้า, ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก,
เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทุกโข ภะมะกาโร วา ภะมะการันเตวาสี วา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด นายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ฉลาด, ทีฆัง วา อัญฉันโต ทีฆัง อัญฉามีติ ปะชานาติ. เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่าเราชักเชือกกลึงยาว, รัสสัง วา อัญฉันโต รัสสัง อัญฉามีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น,
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้น นั่นแลฯ, ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. เมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว, ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว,
รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ. เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น, รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น,
สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า, สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก,
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า, ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับ กายสังขาร หายใจออก,
-๒-
อิริยาบถบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีกภิกษุ, คัจฉันโต วา คัจฉามีติ ปะชานาติ. เมื่อเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เราเดิน, ฐิโต วา ฐิโตมหีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เรายืน, นิสินโน วา นิสินโนมหีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เรานั่ง, สะยาโน วา สะยาโนมหีติ ปะชานาติ. หรือเมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า (เดี๋ยวนี้) เรานอน,
ยะถา ยะถา วา ปะนัสสะ กาโย ปะณิหิโต โหติ. อนึ่ง เมื่อเธอนั้น เป็นผู้ตั้งกายไว้แล้วอย่างใดๆ, ตะถา ตะถา นัมปะชานาติ. ก็ย่อมรู้ชัดอาการกายนั้น อย่างนั้นๆ,
-๓-
สัมปชัญญะบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, อะภิกกันเต ปะฏิกกันเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ(ความเป็นผู้รู้ทั่วพร้อม) ในการก้าวไปข้างหน้า และถอยกลับมาข้างหลัง, อาโลกิเต วิโลกิเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการแลไปข้างหน้า และเหลียวไปข้างซ้าย ข้างขวา, สัมมิญชิเต ปะสาริเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการคู้อวัยวะเข้า เหยียดอวัยวะออก,
สังฆาฏิ ปัตตะ จีวะระ ธาระเณ สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปะชัญญะ ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร, อะสิเต ปิเต ขายิเต สายิเต สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการ กิน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม, อุจจาระปัสสาวะ กัมเม สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะ ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ, คะเต ฐิเต นิสินเน สุตเต ชาคะริเต ภาสิเต ตุณหีภาเว สัมปะชานะการี โหติ. ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะในการเดิน ยืน นี่ง หลับ ตื่น พูด และความเป็นผู้นิ่งอยู่,
-๔-
ปฏิกูลมนสิการบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, อิมะเมวะ กายัง อุทธัง ปาทะตะลา อะโธ เกสะมัตถะกา ตะจะปะริยันตัง ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากายนี้นี่แล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆว่า,
อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้, เกสา ผม โลมา ขน นะขา เล็บ ทันตา ฟัน ตะโจ หนัง มังสัง เนื้อ นะหารู เอ็น อัฏฐี กระดูก อัฏฐีมิญชัง เยื่อในกระดูก วักกัง ม้าม หะทะยัง หัวใจ ยะกะนัง ตับ กิโลมะกัง พังผืด ปิหะกัง ไต ปัปผาสัง ปอด อันตัง ไส้ใหญ่ อันตะคุณัง ไส้น้อย อุทะริยัง อาหารใหม่ กะรีสัง อาหารเก่า (หมายเหตุ ในบทสวดมนต์ มีการเพิ่ม มัตถะเก มัตถะลุงคัง เยื่อในสมองศีรษะ)
ปิตตัง น้ำดี เสมหัง น้ำเสลด ปุพโพ น้ำเหลือง โลหิตัง น้ำเลือด เสโท น้ำเหงื่อ เมโท น้ำมันข้น อัสสุ น้ำตา วะสา น้ำมันเหลว เขโฬ น้ำลาย สิงฆาณิกา น้ำมูก ละสิกา น้ำไขข้อ มุตตันติ น้ำมูต
เสยยะถาปิ ภิกขะเว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด, อุภะโตมุขา มูโตฬี. ไถ้มีปาก ๒ ข้าง, ปูรา นานาวิหิตัสสะ ธัญญัสสะ. เต็มด้วยธัญญชาติมีประการต่างๆ, เสยยะถีทัง. คืออะไรบ้าง, สาลีนัง วีหีนัง. คือข้าวสาลี ข้าวเปลือก, มุคคานัง มาสานัง. ถั่วเขียว ถั่วเหลือง, ติลานัง ตัณฑุลานัง. งา ข้าวสาร,
ตะเมนัง จักขุมา ปุริโส มุญจิตวา. บุรุษมีจักษุแก้ไถ้นั้นออกแล้ว, ปัจจะเวกเขยยะ. พึงเห็นได้ว่า, อิเม สาลี. เหล่านี้ ข้าวสาลี, อิเม วีหี. เหล่านี้ ข้าวเปลือก, อิเม มุคคา. เหล่านี้ ถั่วเขียว, อิเม มาสา. เหล่านี้ ถั่วเหลือง, อิเม ติลา. เหล่านี้ งา, อิเม ตัณฑุลาติ. เหล่านี้ ข้าวสาร,
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นนั่นแลภิกษุ, อิมะเมวะ กายัง อุทธัง ปาทะตะลา อะโธ เกสะมัตถะกา ตะจะปะริยันตัง ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากายนี้นี่แล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆว่า, อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้,
เกสา ผม โลมา ขน นะขา เล็บ ทันตา ฟัน ตะโจ หนัง มังสัง เนื้อ นะหารู เอ็น อัฏฐี กระดูก อัฏฐีมิญชัง เยื่อในกระดูก วักกัง ม้าม หะทะยัง หัวใจ ยะกะนัง ตับ กิโลมะกัง พังผืด ปิหะกัง ไต ปัปผาสัง ปอด อันตัง ไส้ใหญ่ อันตะคุณัง ไส้น้อย อุทะริยัง อาหารใหม่ กะรีสัง อาหารเก่า ปิตตัง น้ำดี เสมหัง น้ำเสลด ปุพโพ น้ำเหลือง โลหิตัง น้ำเลือด เสโท น้ำเหงื่อ เมโท น้ำมันข้น อัสสุ น้ำตา วะสา น้ำมันเหลว เขโฬ น้ำลาย สิงฆาณิกา น้ำมูก ละสิกา น้ำไขข้อ มุตตันติ น้ำมูต
-๕-
ธาตุมนสิการบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากายอันตั้งอยู่ตามที่ตั้งอยู่ตามปกตินี่แล โดยความเป็นธาตุว่า, อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้, ปะฐะวีธาตุ อาโปธาตุ. ธาตุดิน ธาตุน้ำ, เตโชธาตุ วาโยธาตุ. ธาตุไฟ ธาตุลม,
เสยยะถาปิ ภิกขะเว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ฉันใด, ทุกโข โคฆาตะโก วา โคฆาตะกันเตวาสี วา. คนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ฉลาด, คาวิง วะธิตวา. ฆ่าแม่โคแล้ว, จาตุมมะหาปะเถ วิละโส ปะฏิวิภะชิตตะวา นิสินโน อัสสะ. พึงแบ่งออกเป็นส่วน แล้วนั่งอยู่ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง,
เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นนั่นแล ภิกษุ,ฯ อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ. ย่อมพิจารณากาย อันตั้งอยู่ตามที่ตั้งอยู่ตามปกตินี้นี่แล โดยความเป็นธาตุว่า, อัตถิ อิมัสสมิง กาเย. มีอยู่ในกายนี้, ปะฐะวีธาตุ ธาตุดิน อาโปธาตุ ธาตุน้ำ, เตโชธาตุ ธาตุไฟ วาโยธาตูติ ธาตุลม,
-๖-
นวสีวถิกาบรรพ
(พิจารณาซากศพในป่าช้า ๙ ลักษณะ)
(๑)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสรีระ(ซากศพ), สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, เอกาหะมะตัง วา. ตายแล้ววันหนึ่ง, ทวีหะมะตัง วา. หรือตายแล้ว ๒วัน, ตีหะมะตัง วา. หรือตายแล้ว ๓ วัน, อุทธุมาตะกัง วินีละกัง. อันพองขึ้น สีเขียวน่าเกลียด, วิปุพพะกะชาตัง. เป็นสีระมีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด,
(๒)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, กาเกหิ วา ขัชชะมานัง. อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง, คิชเฌหิ วา ขัชชะมานัง. ฝูงแร้งกินจิกอยู่บ้าง, กุละเลหิ วา ขัชชะมานัง. ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง, สุวาเณหิ วา ขัชชะมานัง. หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง, สิงคาเลหิ วา ขัชชะมานัง. หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง, วิวิเธหิ วา ปาณะกะชาเตหิ ขัชชะมานัง. หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง,
(๓)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, อัฏฐิสังขะลิกัง. เป็นร่างกระดูก, สะมังสะโลหิตัง. ยังมีเนื้อและเลือด, นะหารุสัมพันธัง. อันเส้นเอ็นรัดรึงอยู่,
(๔)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, อัฏฐิสังขะลิกัง. เป็นร่างกระดูก, นิมมังสะโลหิตัง มักขิตัง. เปื้อนด้วยเลือด แต่ปราศจากเนื้อแล้ว, นะหารุสัมพันธัง. ยังมีเส้นเอ็นรัดรึงอยู่,
(๕)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, อัฏฐิสังขะลิกัง. เป็นร่างกระดูก, อะปะคะตะมังสะโลหิตัง. ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว, นะหารุสัมพันธัง. ยังมีเอ็นรัดรึงอยู่,
(๖)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, อัฏฐิกานิ. คือเป็น(ท่อน) กระดูก, อะปะคะตะนะหารุสัมพันธานิ. ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องรัดรึงแล้ว, ทิสาวิทิสา วิกขิตตานิ. กระจายไปแล้วในทิศน้อย และทิศใหญ่, อัญเญนะ หัตถัฏฐิกัง. คือกระดูกมือ(ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ ปาทัฏฐิกัง. กระดูกเท้า(ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะชังฆัฏฐิกัง. กระดูกแข้ง (ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ อูรัฏฐิกัง. กระดูกขา (ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ กะกิฏฐิกัง. กระดูกสะเอว (ไปอยู่)ทางอื่น, อัญเญนะ ปิฏฐิกัณฏะกัฏฐิกัง. กระดูกสันหลัง(ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ ผาสุกัฏฐิกัง. กระดูกซี่โครง (ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ อุรัฏฐิกัง. กระดูกหน้าอก(ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ พาหุฏฐิกัง. กระดูกแขน (ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ อังสัฏฐิกัง. กระดูกไหล่ (ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ คีวัฏฐิกัง. กระดูกคอ (ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ หะนุฏฐิกัง. กระดูกคาง(ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ ทันตัฏฐิกัง. กระดูกฟัง (ไปอยู่) ทางอื่น, อัญเญนะ สีสะกะฏาหัง. กะโหลกศีรษะ(ไปอยู่) ทางอื่น,
(๗)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, อัฏฐิกานิ. คือเป็น(ท่อน)กระดูก, เสตานิ สังขะวัณณุปะนิภานิ. มีสีขาวเปรียบด้วยสีสังข์,
(๘)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, อัฏฐิกานิ. คือเป็น(ท่อน)กระดูก, ปุญชะกิตานิ. เป็นกองเรี่ยรายแล้ว, เตโรวัสสิกานิ. มีในภายนอก(เกิน) ปีหนึ่งไปแล้ว,
(๙)
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง. เหมือนกะว่าจะพึงเห็นสะรีระ(ซากศพ), สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง. ที่เขาทิ้งไว้แล้วในป่าช้า, อัฏฐิกานิ. คือเป็น(ท่อน)กระดูก, ปูตีนิ จุณณะกะชาตานิ. ผุละเอียดแล้ว,
โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ. เธอก็น้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า, อะยัมปิ โข กาโย. ถึงร่างกายอันนี้เล่า, เอวังธัมโม. ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา, เอวังภาวี. คงเป็นอย่างนี้, เอวัง อะนะตีโตติ. ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้,
นะวะสีวะถิกาปัพพัง จบข้อกำหนดด้วยป่าช้า ๙ ข้อ
อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายในบ้าง, พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เป็นภายนอกบ้าง, อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในกายบ้าง, วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในกายบ้าง, สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่อย่างนี้.
กายนุปัสสนาสติปัฏฐานัง จบกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เวทนานุปัสสนา
-๗-
เวทนาบรรพ
กำหนดพิจารณาเวทนา ๓ ประเภท
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา (ความเสวยอารมณ์) ในเวทนาเนืองๆอยู่, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. เมื่อเสวยสุขเวทนา, สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่าบัดนี้เราเสวยสุขเวทนา, ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. เมื่อเสวยทุกขะเวทนา, ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนา, อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา (ไม่ทุกข์ไม่สุข) อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา,
สามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยสุขเวทนามีอามิส(คือเจือกามคุณ), สามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนามีอามิส, นิรามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส (คือไม่เจือกามคุณ), นิรามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส,
สามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนามีอามิส, สามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส, นิรามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส, นิรามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส,
สามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา มีอามิส, สามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส, นิรามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน. หรือเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส, นิรามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ. ก็รู้ชัดว่า เสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส,
อิติ อัชฌัตตัง วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เป็นภายในบ้าง, พะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเวทนาในเวทนา เป็นภายนอกบ้าง, อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในเวทนาบ้าง, วะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง, สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในเวทนาบ้าง,
อัตถิ เวทะนาติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่าเวทนามีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่อย่างนี้แล.ฯ
เวทะนานุปัสสะนาสะติปัฏฐานัง จบเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จิตตานุปัสสนา
-๘-
จิตตานุปัสสนาบรรพ
(พิจารณาจิต ๑๖ ประเภท)
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
๑. สะราคัง วา จิตตัง สะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ. อนึ่ง จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ,
๒. วีตะราคัง วา จิตตัง วีตะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่มีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีราคะ, ๓. สะโทสัง วา จิตตัง สะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโทสะ,
๔. วีตะโทสัง วา จิตตัง วีตะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่มีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโทสะ,
๕. สะโมหัง วา จิตตัง สะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโมหะ,
๖. วีตะโมหัง วา จิตตัง วีตะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่มีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีโมหะ,
๗. สังขิตตัง วา จิตตัง สังขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า จิตหดหู่,
๘. วิกขิตตัง วา จิตตัง วิกขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน,
๙. มะหัคคะตัง วา จิตตัง มะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตเป็นมหรคต (คือถึงความเป็นใหญ่ หมายเอาจิตที่เป็นฌานหรืออัปปมัญญา พรหมวิหาร) ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นมหรคต,
๑๐. อะมะหัคคะตัง วา จิตตัง อะมะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นมหรคต,
๑๑. สะอุตตะรัง วา จิตตัง สะอุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตเป็นสะอุตตระ (คือกามาวจรจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ไม่ถึงอุปจารสมาธิ) ก็รู้ชัดว่าจิตเป็นสอุตตระ,
๑๒. อะนุตตะรัง วา จิตตัง อะนุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตเป็นอนุตตระ (คือกามาวจรจิต ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า หมายเอาอุปจารสมาธิ) ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นอนุตตระ,
๑๓. สะมาหิตัง วา จิตตัง สะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตตั้งมั่น,
๑๔. อะสะมาหิตัง วา จิตตัง อะสะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่ตั้งมั่น,
๑๕. วิมุตตัง วา จิตตัง วิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตวิมุติ (คือหลุดพ้นด้วยตทังคะวิมุตติ และวิกขัมภนวิมุตติ) ก็รู้ชัดว่า จิตวิมุติ,
๑๖. อะวิมุตตัง วา จิตตัง อะวิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ. หรือจิตยังไม่วิมุติ ก็รู้ชัดว่าจิตยังไม่วิมุติ,
อิติ อัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายในบ้าง, พะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายนอกบ้าง, อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง,
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง, วะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในจิตบ้าง, สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสสมิง วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในจิตบ้าง,
อัตถิ จิตตันติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่า จิตมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่อย่างนี้แล,ฯ
จิตตานุปัสสะนาสะติปัฏฐานา จบจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ธัมมานุปัสสนา
ธัมมานุปัสสนา
-๙-
นิวรณ์บรรพ
กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆอยู่ อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, ปัญจะสุ นีวะระเณสุ. คือนิวรณ์ณ์ ๕, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
สันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง. เมื่อกามฉันท์ (ความพอใจในกามารมณ์) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์มีอยู่ ณ ภายในจิต, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง. หรือเมื่อกามฉันไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่ากามฉันท์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ กามะฉันทัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละกามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, ยะถา จะ ปะหีนัสสะ กามะฉันทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่กามฉันท์อันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, ยะถา จะ ปะหีนัสสะ กามะฉันทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่กามฉันท์อันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง. อนึ่ง เมื่อพยาบาท (ความคิดแช่งสัตว์ให้พินาศ) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง. หรือเมื่อพยาบาทไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ พะยาปาทัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่พยาบาทอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, ยะถา จะ ปะหีนัสสะ พะยาปาทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่พยาบาทอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด. ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง. อนึ่ง เมื่อถีนะมิทธะ (ความคร้านกายและง่วงเหงา) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ถีนะมิทธะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง. หรือ เมื่อถีนะมิทธะไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ถีนะมิทธะไม่มี ณ ภายในจิตขงเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ถีนะมิทธะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้น, ยะถา จะ ปะหีนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อายะติง อนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ถีนะมิทธะอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง. อนึ่ง เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง. หรือเมื่ออุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ ภายในจิต. นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุทธัจจกุกกุจจัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, ยะถา จะ ปะหีนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่อุทธัจจกุกกุจจะอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง. อนึ่ง เมื่อวิจิกิจฉา (ความเคลือบแคลงสงสัย) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉาติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉามีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง. หรือ เมื่อวิจิกิจฉาไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉาติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉาไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนายะ วิจิกิจฉายะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่วิจิกิจฉาอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนายะ วิจิกิจฉายะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย, ยะถา จะ ปะหีนายะ วิจิกิจฉายะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่วิจิกิจฉาอันตนละเสียแล้ว ไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ประการนั้นด้วย,
จบนีวรณ์บรรพ
-๑๐-
ขันธบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ. คืออุปาทานขันธ์ ๕, กถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ,
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ. คืออุปาทานขันธ์ ๕, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า),
อิติ รูปัง. อย่างนี้ รูป (สิ่งที่ทรุดโทรม), อิติ รูปัสสะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของรูป, อิติ รูปัสสะ อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับไปของรูป,
อิติ เวทะนา. อย่างนี้ เวทนา (ความเสวยอารมณ์), อิติ เวทะนายะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของเวทนา, อิติ เวทะนายะ อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับไปของเวทนา,
อิติ สัญญา. อย่างนี้ สัญญา (ความจำ), อิติ สัญญายะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ก็ความเกิดขึ้นของสัญญา, อิติ สัญญายะ อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับไปของสัญญา,
อิติ สังขารา. อย่างนี้สังขาร (ความคิด), อิติ สังขารานัง สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของสังขาร, อิติ สังขารานัง อัตถังคะโม. อย่างนี้ ความดับของสังขาร,
อิติ วิญญาณัง. อย่างนี้ วิญญาณ (ความรู้สึก), อิติ วิญญาณัสสะ สะมุทะโย. อย่างนี้ ความเกิดขึ้นของวิญญาณ, อิติ วิญญาณัสสะ อัตถังคะโมติ. อย่างนี้ ความดับไปของวิญญาณ,
-๑๑-
อายตนะบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ. คืออายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖ (อย่างละ ๖), กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ,
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ. คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
จักขุญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักตาด้วย, รูเป จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักรูปด้วย, ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ (เครื่องผูก) ย่อมเกิดขึ้น อาศัยตาและรูปทั้ง ๒ นั้น อันใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
โสตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักหูด้วย, สัทเท จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักเสียงด้วย, ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยหูและเสียงทั้ง ๒ นั้นอันใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
ฆานัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักจมูกด้วย, คันเธ จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักกลิ่นด้วย, ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยจมูกและกลิ่นทั้ง ๒ นั้นอันใด. ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
ชิวหิญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักลิ้นด้วย, ระเส จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักรสด้วย, ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยลิ้นและรสทั้ง ๒นั้นอันใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
กายัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักกายด้วย, โผฏฐัพเพ จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักโผฏฐัพพะ (สิ่งที่พึงถูกต้องด้วยกาย) ด้วย, ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้ง ๒ นั้นอันใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
มะนัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักใจด้วย, ธัมเม จะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักธรรมารมณ์ (สิ่งที่พึงรู้ได้ด้วยใจ) ด้วย, ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง. อนึ่ง สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นอาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ นั้นอันใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักอันนั้นด้วย,
ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ. อนึ่ง ความละสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้วเสียได้ ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย, ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สังโยชน์ อันตนละเสียแล้ว ย่อมไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ ด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้จักประการนั้นด้วย,
จบอายตนะบรรพ
-๑๒-
โพชฌงคบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, สัตตะสุ โพชฌังเคสุ. คือโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ ๗ อย่าง), กะถัญจะ ภิกขะเว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, สัตตะสุ โพชฌังเคสุ. คือโพชฌงค์ ๗,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, สันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง. อนึ่ง เมื่อสติสัมโพชฌงค์ (องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ คือสติ) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์มี ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อสติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สติสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อธัมมะวิจยสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือความเลือกเฟ้นธรรม) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมะวิจยสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อวิริยะสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือความเพียร) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อวิริยสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่วิริยสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของวิริยสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อปิติสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือปิติความปลื้มกายปลื้มใจ) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปิติสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อปิติสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปิติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปิติสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปิติสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ปิติสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปิติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของปิติสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือปัสสัทธิ ความสงบกายสงบจิต) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่งความเจริญบริบูรณ์ของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คือสมาธิ ความที่จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สมาธิสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่สมาธิสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะมาธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของสมาธิสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
สันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌงคัง. อนึ่ง เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์(องค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้คืออุเบกขา ความที่จิตมัธยัสถ์เป็นกลาง) มี ณ ภายในจิต, อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มี ณ ภายในจิตของเรา, อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังคัง. หรือเมื่ออุเบขาสัมโพชฌงค์ ไม่มี ณ ภายในจิต, นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่มี ณ ภายในจิตของเรา, ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌงคัสสะ อุปปาโท โหติ. อนึ่ง ความที่อุเบกขาสัมโพชฌงค์อันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย, ยะถา จะ อุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ. อนึ่ง ความเจริญบริบูรณ์ของอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นด้วยประการใด, ตัญจะ ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย,
จบโพชฌงค์บรรพ
-๑๓-
สัจจบรรพ
ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุ, ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม, จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ. คือ อริยสัจ (ความจริงของพระอริยเจ้า) ๔, กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรภิกษุ, จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ. คือ อริยสัจ ๔,
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้, อิทัง ทุกขันติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี่ทุกข์, อะยัง ทุกขะสะมุทะโยติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. ยอมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี่ทุกข์สมุทัย, อะยัง ทุขะนิโรโธติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. นี่ทุกขะนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์), อะยัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทาติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี่ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมที่ดับทุกข์),
ทุกข์
๑. ชาติปิ ทุกขา.
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ของจริงแห่งพระอริยเจ้า คือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? ชาติปิ ทุกขา. แม้ชาติ (ความเกิด) ก็เป็นทุกข์, ชะราปิ ทุกขา. แม้ชรา (ความแก่) ก็เป็นทุกข์, มะระณัมปิ ทุกขัง. แม้มรณะ (ความตาย) ก็เป็นทุกข์, โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา. แม้โสกะ (ความโศก) ปะริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน) ทุกข์ (ความไม่สบายกาย) โทมนัส (ความเสียใจ) และอุปายาส (ความคับแค้นใจ) ก็เป็นทุกข์, อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข. ความประสบสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์, ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ความพลัดพรากจากสัตว์ และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์, ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ. สัตว์ปรารถนาสิ่งใด ย่อมไม่ได้. ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อที่ไม่สมประสงค์นั้น ก็เป็นทุกข์. สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. โดยย่อ อุปาทานขันธ์ (ขันธ์ประกอบด้วยอุปาทาน ความถือมั่น) ก็เป็นทุกข์,
กะตะมา จะ ภิกขะเว ชาติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชาติ(ความเกิด) เป็นอย่างไร?, ยา เตสัง เตสัง สัตตานิ ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อะภินิพพัตติ ขันธานัง ปาตุภาโว อายะตะนานัง ปะฏิลาโภ. ความเกิด เกิดพร้อม (คือมีอายตนะบริบูรณ์) ความหยั่งลง (คือ เป็นชลาพุชะ หรืออัณฑชะปฏิสนธิ) เกิด (คือเป็นสังเสทชปฏิสนธิ) เกิดจำเพาะ (คือเป็นอุปปาติกปฏิสนธิ) ความปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆอันใด, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชาติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ชาติ (ความเกิด),
๒. ชะราปิ ทุกขา
กะตะมา จะ ภิกขะเว ชะรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชรา (ความแก่) เป็นอย่างไร?, ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชะรา ชีระณะตา ขัณฑิจจัง ปาลิจจัง วะลิตจะตา อายุโน สังหานิ อินทริยานัง ปะริปาโก. ความแก่ ความคร่ำคร่า ความที่ฟันหลุด ความที่ผมหงอก ความที่หนังหดเหี่ยว เป็นเกลียว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ในหมู่สัตว์นั้นๆของสัตว์นั้นๆอันใด, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชะรา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ชรา (ความแก่),
๓. มรณัมปิ ทุกขัง
กะตะมัญจะ ภิกขะเว มะระณัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณะ (ความตาย) เป็นอย่างไร?, ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหา ตัมหา สัตตะนิกายา จุติ จะวะนะตา เภโท อันตะระธานัง มัจจุมะระณัง กาละกิริยา ขันธานัง เภโท กะเฬวะรัสสะ นิกเขโป ชีวิตินทริยัสสะอุปัจเฉโท. ความจุติ ความเคลื่อนไป ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์ ความทิ้งซากศพไว้ ความขาดไปแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆอันใด, อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว มะระณัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า มรณะ (ความตาย),
๔. โสกะ ทุกขัง
กะตะมา จะ ภิกขะเว โสโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โสกะ (ความแห้งใจ) เป็นอย่างไรเล่า?, โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ ผุฏฐัสสะ โสโก โสจะนา โสจิตัตตัง อันโต โสโก อันโต ปะริโสโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความโศก ความเศร้าใจ ความแห้งใจ ความผาก ณ ภายใน ความโศก ณ ภายในของสัตว์ ผู้ประกอบด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง และผู้ที่ความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใดเล่า, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว โสโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า โสกะ (ความแห้งใจ),
๕. ปริเทวะ ทุกขัง
กะตะมา จะ ภิกขะเว ปะริเทโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน) เป็นอย่างไรเล่า?, โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเสนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ ผุฏฐัสสะ อาเทโว ปะริเทโว อาเทวะนา ปะริเทวะนา อาเทวิตัตตัง ปะริเทวิตัตตัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ ความที่ร่ำไรรำพัน ความที่สัตว์ร่ำไรรำพัน ของสัตว์ผู้ประกอบด้วยความฉิบหาย อันใดอันหนึ่ง และผู้ที่ความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใดเล่า, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะริเทโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ปริเทวะ (ความร่ำไรรำพัน),
๖.ทุกขัง
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ (ความไม่สบายกาย) เป็นอย่างไรเล่า?, ยัง โข ภิกขะเว กายิกัง ทุกขัง กายิกัง อะสาตัง กายะสัมผัสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทิยัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์เกิดในกาย ความไม่ดีเกิดในกาย เวทนาไม่ดีเป็นทุกข์ เกิดแต่สัมผัสทางกาย อันใด?, อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า ทุกข์ (ความไม่สบายกาย),
๗.โทมนัสสัง ทุกขัง
กะตะมัญจะ ภิกขะเว โทมะนัสสัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทมนัส(ความเสียใจ) เป็นอย่างไร?, ยัง โข ภิกขะเว เจตะสิกัง ทุกขัง เจตะสิกัง อะสากัง เจโตสัมผัสสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทะยิตัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์เกิดในใจ ความไม่ดีเกิดในใจ เวทนาไม่ดีเป็นทุกข์ เกิดแต่สัมผัสทางใจอันใด?, อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว โทมะนัสสัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่าโทมนัส(ความเสียใจ),
๘. อุปายาส ทุกขัง
กะตะโม จะ ภิกขะเว อุปายาโส. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปายาส (ความคับแค้น) เป็นอย่างไร?, โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ ผุฏฐัสสะ อายาโส อุปายาโส อายาสิตัตตัง อุปายาสิตัตตัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความแค้น ความคับแค้น ความที่สัตว์แค้น ความที่สัตว์คับแค้น ของสัตว์ผู้ประกอบด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง และผู้ที่มีความทุกข์อันใดอันหนึ่ง มาถูกต้องแล้ว อันใด?, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อุปายาโส. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่าอุปายาส (ความคับแค้น),
๙.อัปปิเยหิ สัมปะโยค ทุกขัง
กะตะโม จะ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความประสบสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ อย่างไร?, อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อะนิฏฐา อะกันตา อะมะนาปา รูปา สัทธา คันธา ระสา โผฏฐัพพา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนา ไม่เป็นที่รักใคร่ ไม่เป็นที่ปลื้มใจ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอารมณ์ที่พึงถูกต้องด้วยกาย ย่อมมีแก่ผู้นั้น, เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อะนัตถะกามา อะโยคักเขมะกามา. อนึ่ง หรือชนเหล่าใด ที่ใคร่ต่อความฉิบหาย ใคร่สิ่งที่ไม่เกื้อกูล ใคร่ความไม่สำราญ และใคร่ความไม่เกษม จากเครื่องประกอบแก่ผู้นั้น, ยาเตหิ สังคะติ สะมาคะโม สะโมธานัง มิสสีภาโว. ความไปร่วม ความมาร่วม ความประชุมร่วม ความระคนกับด้วยอารมณ์และสัตว์เหล่านั้น อันใด, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ความประสบกับสัตว์และสังขาร ซึ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์,
๑๐.ปิเยหิ วิปปะโยค ทุกขัง
กะตะโม จะ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์ อย่างไร?, อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อิฏฐา กันตา มะนาปา รูปา สัททา คันธา ระสา โผฏฐัพพา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ซึ่งเป็นที่ปรารถนา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่ปลื้มใจ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอารมณ์ที่พึงจะถูกต้องด้วยกายย่อมมีแก่ผู้นั้น, เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อัตถะกามา หิตะกามา ผาสุกามา โยคักเขมะกามา. อนึ่ง หรือชนเหล่าใด ที่ใคร่ต่อความเจริญ ใคร่ประโยชน์เกื้อกูล ใคร่ความสำราญ และใคร่ความเกษม จากเครื่องประกอบแก่ผู้นั้น, มาตา วา ปิตา วา. คือมารดา หรือบิดา, ภาตา วา ภะคินี วา. พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิง, มิตตา วา อะมัจจา วา. มิตรหรืออำมาตย์, ญาติสาโลหิตา วา. หรือญาติสาโลหิต, ยา เตหิ อะสังคะติ อะสะมาคะโม อะสะโมธานัง อะมิสสีภาโว. ความไม่ไปร่วม ความไม่มาร่วม ความไม่ประชุมร่วม ความไม่ระคน กับด้วยอารมณ์และสัตว์เหล่านั้น อันใด, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขาร ซึ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์,
๑๑. ยัมปิจฉัง นะ ลภติ ตัมปิ ทุกขัง
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ของที่ไม่สมประสงค์นั้น เป็นทุกข์อย่างไรเล่า?, ชาติธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนา ย่อมเกิดขึ้นแก่เหล่าสัตว์ ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, อะโห วะตะ มะยัง นะ ชาติธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความเกิดเป็นธรรมดาเถิด, นะ จะ วะตะ โน ชาติ อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความเกิดอย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้, นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์ (สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ข้อที่ไม่สมประสงค์นั้นก็เป็นทุกข์), ชะราธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ที่มีความแก่ เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, อะโห วะตะ มะยัง นะ ชะราธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความแก่เป็นธรรมดาเถิด, นะ จะ วะตะ โน ชะรา อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความแก่อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้, นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, พะยาธิธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีความเจ็บๆไข้ๆ เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, อะโห วะตะ มะยัง นะ พะยาธิธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาเถิด, นะ จะ วะตะ โน พะยาธิธัม อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความเจ็บไข้อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา, นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, มะระณะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีความตาย เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, อะโห วะตะ มะยัง นะ มะระณะธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มีความตายเป็นธรรมดาเถิด, นะ จะ วะตะ โน มะระณะธัม อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอความตายอย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้, นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้น แก่เหล่าสัตว์ ที่มีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า, อะโห วะตะ มะยัง นะ โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมา อัสสามะ. เออหนอ ขอเราพึงเป็นผู้ไม่มี โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดาเถิด, นะ จะ วะตะ โน โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา อาคัจเฉยยาติ. อนึ่ง ขอโสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส อย่ามีมาถึงแก่เราเลยหนา ดังนี้, นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง. ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนาโดยแท้, อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง. แม้ข้อนี้ก็ชื่อว่า, ยัมปิจฉังนลภติตัมปิทุกข์, (สัตว์ปรารถนาสิ่งใดย่อมไม่ได้ แม้ข้อที่ไม่สมประสงค์นั้นก็เป็นทุกข์)
๑๒.ปัญจุปาทานักขันธา(เบญจขันธ์) ทุกขา
กะตะมา จะ ภิกขะเว สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์อย่างไร, เสยยะถีทัง. นี้คือ รูปูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือรูป, เวทะนูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือเวทนา, สัญญูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือสัญญา, สังขารูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือสังขาร, วิญญาณูปาทานักขันโธ. อุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ, ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. ที่กล่าวว่า อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์, อิเม วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง อริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า อริยสัจ คือทุกข์,
ทุกขสมุทัย
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจคือทุกขสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์) เป็นอย่างไร, ยายัง ตัณหา. ตัณหา (ความทะยานอยาก) นี้ อันใด, โปโนพภะวิกา. มีความเกิดอีกเป็นปกติ, นันทิราคะสะหะคะตา. ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิดเพลิน, ตัตระ ตัตราภินันทินี. มักเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ, เสยยะถีทัง. นี้คือ,
๑. กามตัณหา
กามะตัณหา. ความอยากในอารมณ์ที่สัตว์รักใคร่,
๒.ภวตัณหา
ภะวะตัณหา. ความอยากมีอยากเป็น,
๓.วิภวตัณหา
วิภะวะตัณหา. ความไม่อยากมีไม่อยากเป็น (น่าจะแปลว่า ความอยากในความไม่มีไม่เป็น หรืออยากในวิภพ),
สา โข ปะเนสา ภิกขะเว ตัณหา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลตัณหานั้นนั่นแล, กัตถะ อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นที่ไหน, กัตถะ นีวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ที่ไหน,
ความพอใจ, ความเกิด,และความตั้งอยู่แห่งตัณหา
ยัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ที่ใด เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นในที่นั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น,
๑. ตา
กิญจิ โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ก็อะไรเล่า เป็นที่รักใคร่ เป็นพอใจในโลก, จักขุ โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ตานั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ตานั้น,
๒.หู
โสตัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. หู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่หูนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่หูนั้น,
๓. จมูก
ฆานะ โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. จมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่จมูกนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่จมูกนั้น,
๔. ลิ้น
๔. ลิ้น
ชิวหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ลิ้นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ลิ้นนั้น,
๕. กาย
กาเย โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. กาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่กายนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กายนั้น,
๖. ใจ
มะโน โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ใจนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ใจนั้น,
๗.รูป
รูปา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. รูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รูปนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รูปนั้น,
๘. เสียง
สัททา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เสียงนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เสียงนั้น,
๙. กลิ่น
คันธา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. กลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่กลิ่นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่กลิ่นนั้น,
๑๐. รส
ระสา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. รส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่รสนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่รสนั้น,
๑๑. โผฏทัพพะ
๑๑. โผฏทัพพะ
โผฏฐัพพา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. โผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่โผฏฐัพพะนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่โผฏฐัพพะนั้น,
๑๒. ธรรมารมณ์
ธัมมา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ธัมมารมณ์นั้น,
๑๓. ความรู้ทางตา
จักขุวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางตานั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางตานั้น,
๑๔. ความรู้ทางหู
โสตะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางหูนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางหูนั้น,
๑๕. ความรู้ทางจมูก
ฆานะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางจมูกนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางจมูกนั้น,
๑๖. ความรู้ทางลิ้น
ชิวหาวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางลิ้นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางลิ้นนั้น,
๑๗. ความรู้ทางกาย
กายะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางกายนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางกายนั้น,
๑๘. ความรู้ทางใจ
๑๘. ความรู้ทางใจ
มะโนวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความรู้ทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความรู้ทางใจนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความรู้ทางใจนั้น,
๑๙. ความกระทบทางตา
จักขุสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางตานั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางตานั้น,
๒๐. ความกระทบทางหู
โสตสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางหูนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางหูนั้น,
๒๑. ความกระทบทางจมูก
ฆานะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางจมูกนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางจมูกนั้น,
๒๒. ความกระทบทางลิ้น
ชิวหาสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางลิ้นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางลิ้นนั้น,
๒๓. ความกระทบทางกาย
กายะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางกายนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางกายนั้น,
๒๔. ความกระทบทางใจ
๒๔. ความกระทบทางใจ
มะโนสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความกระทบทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความกระทบทางใจนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความกระทบทางใจนั้น,
๒๕. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางตา
จักขุสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น,
๒๖. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางหู
โสตะสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น,
๒๗. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางจมูก
ฆานะสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น,
๒๘. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางลิ้น
ชิวหาสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น,
๒๙. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางกาย
กายะสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น,
๓๐ . เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางใจ
มะโนสัมผัสสะชา เวทะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. เวทนาที่เกิดขึ้นแต่สัมผัสทางใจ เป็นทีรักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น,
๓๑. ความจำรูป
รูปะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำรูปนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำรูปนั้น,
๓๒. ความจำเสียง
สัททะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำเสียงนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำเสียงนั้น,
๓๓. ความจำกลิ่น
คันธะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำกลิ่นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำกลิ่นนั้น,
๓๔. ความจำรส
ระสะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำรสนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำรสนั้น,
๓๕. ความจำโผฏฐัพพะ
โผฏฐัพพะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำโผฏฐัพพะนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำโผฏฐัพพะนั้น,
๓๖. ความจำธัมมารมณ์
ธัมมะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความจำธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความจำธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความจำธัมมารมณ์นั้น,
๓๗. ความคิดถึงรูป
รูปะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงรูปนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงรูปนั้น,
๓๘. ความคิดถึงเสียง
สัททะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงเสียงนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงเสียงนั้น,
๓๙. ความคิดถึงกลิ่น
คันธะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น,
๔๐. ความคิดถึงรส
ระสะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงรสนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงรสนั้น,
๔๑. ความคิดถึงโผฏฐัพพะ
โผฏฐัพพะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงโผฏฐัพพะนั้น,
๔๒. ความคิดถึงธัมมารมณ์
ธัมมะสัญเจตะนา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความคิดถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น,
๔๓. ความอยากในรูป
รูปะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในรูปนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในรูปนั้น,
๔๔. ความอยากในเสียง
สัททะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในเสียงนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในเสียงนั้น,
๔๕. ความอยากในกลิ่น
คันธะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในกลิ่นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในกลิ่นนั้น,
๔๖. ความอยากในรส
ระสะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในรสนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในรสนั้น,
๔๗. ความอยากในโผฏฐัพพะ
โผฏฐัพพะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในโผฏฐัพพะนั้น,
๔๘. ความอยากในธัมมารมณ์
ธัมมะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความอยากในธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น,
๔๙. ความตรึกถึงรูป
รูปะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงรูปนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงรูปนั้น,
๕๐. ความตรึกถึงเสียง
สัททะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงเสียงนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงเสียงนั้น,
๕๑. ความตรึกถึงกลิ่น
คันธะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น,
๕๒. ความตรึกถึงรส
ระสะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงรสนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงรสนั้น,
๕๓. ความตรึกถึงโผฏทัพพะ
โผฏฐัพพะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงโผฏฐัพพะนั้น,
๕๔. ความตรึกถึงธัมมารมณ์
ธัมมะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรึกถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น,
๕๕. ความตรองถึงรูป
รูปะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงรูปนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงรูปนั้น,
๕๖. ความตรองถึงเสียง
สัททะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงเสียงนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงเสียงนั้น,
๕๗. ความตรองถึงกลิ่น
คันธะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น,
๕๘. ความตรองถึงรส
ระสะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงรสนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงรสนั้น,
๕๙. ความตรองถึงโผฏทัพพะ
โผฏฐัพพะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงโผฏฐัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงโผฏฐัพพะนั้น,
๖๐. ความตรองถึงธัมมารมณ์
ธัมมะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สะตะรูปัง. ความตรองถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะมานา อุปปัชชะติ. ตัณหานั้นเมื่อจะเกิดขึ้น ก็ย่อมเกิดขึ้นที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิวีสะมานา นิวีสะติ. เมื่อจะตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น,
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่าอริยสัจ คือทุกขสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์)
ทุกขนิโรธ
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่าอริยสัจคือทุกขนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์) เป็นอย่างไร?, โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย. (คือ) ความสำรอกและความดับโดยไม่มีเหลือ ความสละ ความส่งคืน ความปล่อยวาง ความไม่อาลัย ในตัณหานั้นนั่นแล อันใด, สา โข ปะเนสา ภิกขะเว ตัณหา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานั้นนั่นแล, กัตถะ ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. เมื่อบุคคลละเสีย ย่อมละเสียได้ในที่ไหน, กัตถะ นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน, ยัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ที่ใดเป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ในที่นั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับในที่นั้น,
๑. ตา
จักขุ โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ตานั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ตานั้น,
๒. หู
โสตัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. หู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่หูนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่หูนั้น,
๓. จมูก
ฆานัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. จมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่จมูกนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่จมูกนั้น,
๔. ลิ้น
ชิวหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ลิ้นนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ลิ้นนั้น,
๕ กาย
กาโย โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. กาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กายนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่กายนั้น,
๖. ใจ
มะโน โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ใจนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ใจนั้น,
๗. รูป
รูปา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. รูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รูปนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่รูปนั้น,
๘. เสียง
สัททา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เสียงนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เสียงนั้น,
๙. กลิ่น
๙. กลิ่น
คันธา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. กลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่กลิ่นนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่กลิ่นนั้น,
๑๐. รส
ระสา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. รส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่รสนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่รสนั้น,
๑๑. โผฏฐัพพะ
โผฏทัพพา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. โผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่โผฏทัพพา นั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่โผฏทัพพะนั้น,
๑๒. ธัมมารมณ์
ธัมมา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ธัมมารมณ์นั้น,
๑๓. ความรู้ทางตา
จักขุวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางตานั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางตานั้น,
๑๔. ความรู้ทางหู
โสตะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางหูนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางหูนั้น,
๑๕. ความรู้ทางจมูก
ฆานะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางจมูกนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางจมูกนั้น,
๑๖. ความรู้ทางลิ้น
ชิวหาวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางลิ้นนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางลิ้นนั้น,
๑๗. ความรู้ทางกาย
กายะวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางกายนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางกายนั้น,
๑๘. ความรู้ทางใจ
มะโนวิญญาณัง โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความรู้ทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความรู้ทางใจนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความรู้ทางใจนั้น,
๑๙. ความกระทบทางตา
จักขุสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางตานั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางตานั้น,
๒๐. ความกระทบทางหู
โสตะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางหูนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางหูนั้น,
๒๑. ความกระทบทางจมูก
ฆานะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางจมูกนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางจมูกนั้น,
๒๒. ความกระทบทางลิ้น
ชิวหาสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางลิ้นนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางลิ้นนั้น,
๒๓. ความกระทบทางกาย
กายะสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางกายนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางกายนั้น,
๒๔. ความกระทบทางใจ
มะโนสัมผัสโส โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความกระทบทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความกระทบทางใจนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความกระทบทางใจนั้น,
๒๕. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตา
จักขุสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางตานั้น,
๒๖. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหู
โสตะสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหู เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางหูนั้น,
๒๗. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูก
ฆานะสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูก เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางจมูกนั้น,
๒๘. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น
ชิวหาสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางลิ้นนั้น,
๒๙. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกาย
กายะสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกาย เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางกายนั้น,
๓๐. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจ
มะโนสัมผัสชา เวทนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. เวทนาซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่เวทนา ซึ่งเกิดแต่สัมผัสทางใจนั้น,
๓๑. ความจำรูป
รูปะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำรูปนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรูปนั้น,
๓๒. ความจำเสียง
สัททะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำเสียงนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำเสียงนั้น,
๓๓. ความจำกลิ่น
คันธะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำกลิ่นนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำกลิ่นนั้น,
๓๔. ความจำรส
ระสะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำรสนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำรสนั้น,
๓๕. ความจำโผฏฐัพพะ
โผฏทัพพะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำโผฎทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำโผฏทัพพะนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำโผฏทัพพะนั้น,
๓๖. ความจำธัมมารมณ์
ธัมมะสัญญา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความจำธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความจำธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความจำธัมมารมณ์นั้น,
๓๗. ความคิดถึงรูป
รูปะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงรูปนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงรูปนั้น,
๓๘. ความคิดถึงเสียง
สัททะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงเสียงนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงเสียงนั้น,
๓๙. ความคิดถึงกลิ่น
คันธะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงกลิ่นนั้น,
๔๐. ความคิดถึงรส
ระสะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงรสนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงรสนั้น,
๔๑. ความคิดถึงโผฏทัพพะ
๔๑. ความคิดถึงโผฏทัพพะ
โผฏทัพพะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงโผฏทัพพะนั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงโผฏทัพพะนั้น,
๔๒. ความคิดถึงธัมมารมณ์
ธัมมะสัญเจตนา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความคิดถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิ รุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความคิดถึงธัมมารมณ์นั้น,
๔๓. ความอยากในรูป
รูปะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในรูปนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในรูปนั้น,
๔๔. ความอยากในเสียง
สัททะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในเสียงนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในเสียงนั้น,
๔๕. ความอยากในกลิ่น
คันธะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในกลิ่นนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในกลิ่นนั้น,
๔๖. ความอยากในรส
ระสะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในรสนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในรสนั้น,
๔๗. ความอยากในโผฏทัพพะ
๔๗. ความอยากในโผฏทัพพะ
โผฏทัพพะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในโผฏทัพพะนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในโผฏทัพพะนั้น,
๔๘. ความอยากในธัมมารมณ์
ธัมมะตัณหา โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความอยากในธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความอยากในธัมมารมณ์นั้น,
๔๙. ความตรึกถึงรูป
รูปะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงรูปนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงรูปนั้น,
๕๐. ความตรึกถึงเสียง
สัททะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงเสียงนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงเสียงนั้น,
๕๑. ความตรึกถึงกลิ่น
คันธะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงกลิ่นนั้น,
๕๒. ความตรึกถึงรส
ระสะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงรสนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงรสนั้น,
๕๓. ความตรึกถึงโผฏทัพพะ
๕๓. ความตรึกถึงโผฏทัพพะ
โผฏทัพพะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงโผฏทัพพะนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงโผฏทัพพะนั้น,
๕๔. ความตรึกถึงธัมมารมณ์
ธัมมะวิตักโก โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรึกถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรึกถึงธัมมารมณ์นั้น,
๕๕. ความตรองถึงรูป
รูปะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงรูป เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงรูปนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงรูปนั้น,
๕๖. ความตรองถึงเสียง
สัททะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงเสียง เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงเสียงนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงเสียงนั้น,
๕๗. ความตรองถึงกลิ่น
คันธะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงกลิ่น เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงกลิ่นนั้น,
๕๘. ความตรองถึงรส
ระสะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงรส เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงรสนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงรสนั้น,
๕๙. ความตรองถึงโผฏทัพพะ
๕๙. ความตรองถึงโผฏทัพพะ
โผฏทัพพะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงโผฏทัพพะ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงโผฏทัพพะนั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงโผฏทัพพะนั้น,
๖๐. ความตรองถึงธัมมารมณ์
ธัมมะวิจาโร โลเก ปิยะรูปัง สาตะรูปัง. ความตรองถึงธัมมารมณ์ เป็นที่รักใคร่ เป็นที่พอใจในโลก, เอตเถสา ตัณหา ปะหิยยะมานา ปะหิยยะติ. ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละเสีย ก็ย่อมละเสียได้ที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น, เอตถะ นิรุชฌะมานา นิรุชฌะติ. เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับที่ความตรองถึงธัมมารมณ์นั้น,
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขนิโรโธ อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า อริยสัจคือทุกขนิโรธ (ธรรมเป็นที่ดับทุกข์)
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา(มรรค)
กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์) เป็นอย่างไร?,
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโกมัคโค. ทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์ ๘ ทางเดียวนี้แล, เสยยะถีทัง. ทางนี้เป็นอย่างไร, สัมมาทิฏฐิ. ความเห็นชอบ, สัมมาสังกัปโป. ความดำริชอบ, สัมมาวาจา. วิรัติเป็นเครื่องเจรจาชอบ, สัมมากัมมันโต. วิรัติธรรมเป็นเครื่องกระทำชอบ, สัมมาอาชีโว. วิรัติธรรมเป็นที่เลี้ยงชีพชอบ, สัมมาวายาโม. ความพยายามชอบ, สัมมาสะติ. ความระลึกชอบ, สัมมาสะมาธิ. ความตั้งจิตมั่นชอบ,
๑
- ความเห็นชอบ-
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นอย่างร?,
ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง ทุกขะนิโรเธ ญาณัง ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์ อันใดแล, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ),
๒
-ความดำริชอบ-
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) เป็นอย่างไร?, เนกขัมมาสังกัปโป. ความดำริในการออกบวช (คือออกจากกามารมณ์) อัพพะยาปาทะสังกัปโป. ความดำริในความไม่พยาบาท, อะวิหิงสาสังกัปโป. ความดำริในการไม่เบียดเบียน, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้กล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ),
๓
-ความเจรจาชอบ-
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจา (วิรัติเป็นเครื่องเจรจาชอบ) เป็นอย่างไร?, มุสาวาทา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการกล่าวเท็จ, ปุณายะ วาจายะ เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากวาจาส่อเสียด, ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากวาจาหยาบคาย, สัมผัปปะลาปา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากเจรจาสำราก เพ้อเจ้อ, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาวาจา (วิรัติเป็นเครื่องเจรจาชอบ),
๔
-การงานชอบ-
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ (วิรัติธรรมเป็นเครื่องกระทำชอบ) เป็นอย่างไร?, ปาณาติปาตา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่าสัตว์, อะทินนาทานา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้, กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี. เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากความประพฤติผิดในกาม, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมัมมันตะ (วิรัติธรรมเป็นเครื่องกระทำชอบ)
๕
-ความเลี้ยงชีพชอบ-
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะ (วิรัติธรรมเป็นที่เลี้ยงชีพชอบ) เป็นอย่างไร?, อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้, มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ. ละความเลี้ยงชีพผิดเสียแล้ว, สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกัง กัปเปติ. ย่อมสำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพชอบ, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาอาชีวะ (วิรัติธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีพชอบ)
๖
-ความเพียรชอบ-
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ) เป็นอย่างไร?, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
๑.สังวรปธาน
อะนุปปันนัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปาทายะ. เพื่อจะยังอกุศลธรรม อันเป็นบาป ที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้น, ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด, วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร, จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้,
๒.ปหานปธาน
อุปปันนานัง. ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ. เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว, ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด, วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร, จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้,
๓.ภาวนาปธาน
อะนุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ. เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น, ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด, วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร, จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้,
๔.อนุรักขนาปธาน
อุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา อะสัมโมสายะ ภิยโยภาวายะ เวปุลลายะ ภาวะนายะ ปาริปูริยา. เพื่อความตั้งอยู่ ไม่ให้สาบสูญ เจริญยิ่ง ไพบูลย์มีขึ้นเต็มเปี่ยมแห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว, ฉันทัง ชะเนติ. ย่อมยังความพอใจให้บังเกิด, วายะมะติ. ย่อมพยายาม, วิริยัง อาระภะติ. ย่อมปรารภความเพียร, จิตตัง ปัคคันหาติ ปะทะหะติ . ย่อมประคองตั้งจิตไว้,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ), หมายเหตุ: ความเพียรชอบนี้คือสัมมัปปธาน ๔ คือเพียรในที่ ๔ สถาน ได้แก่ ๑.สังวรปธาน ๒.ปหานปธาน ๓.ภาวนาปธาน ๔.อนุรักขนาปธาน
๗
-ความระลึกชอบ-
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็นอย่างไร?, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
๑ ตั้งสติระลึกในกาย
กาเย กายนุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
๒ ตั้งสติระลึกในเวทนา
เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆอยู่, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
๓ ตั้งสติระลึกในจิต
จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
๔ ตั้งสติระลึกในธรรม
ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆอยู่, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา. มีความเพียรให้กิเลสเร่าร้อน มีสัมปชัญญะ มีสติ, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง. พึงนำอภิชฌาและโทมนัส(ความยินดียินร้าย) ในโลกเสียให้พินาศ,
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาสติ (ความระลึกชอบ), หมายเหตุ: สัมมาสติหมายถึงการมีสติระลึกไปในกาย,เวทนา,จิต,และธรรม
๘
- ความตั้งจิตมั่นชอบ-
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ) เป็นอย่างไร?, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้,
วิวิจเจวะ กาเมหิ วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ. สงัดแล้วจากกามารมณ์ สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศล, สะวิตักกัง สะวิจารัง วิเวกชัมปิติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชฌะ วิหะระติ. เข้าถึงปฐมฌาน (ความเพ่งที่ ๑) ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปิติและสุข อันเกิดจากวิเวก,
วิตักกะวิจารานัง วุปะสะมา. เพราะความวิตกวิจาร (ทั้ง๒)ระงับลง, อัชฌัตตัง สัมปะทานัง เจตะโส เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง สะมาธิชัมปิติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงทุติยะฌาน (ความเพ่งที่๒) เป็นเครื่องผ่องใส ณ ภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอก ผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปิติและสุขที่เกิดจากสมาธิ,
ปิติยา จะ วิราคา. อนึ่ง เพราะความที่ปิติวิราศ(ปราศ)ไป, อุเปกขะโก จะ วิหะระติ สะโต จะ สัมปะชาโน. ย่อมเป็นผู้เพิกเฉยอยู่ และมีสติสัมปชัญญะ, สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ. และเสวยความสุขด้วยกาย, ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีติ. อาศัยคุณคืออุเบกขา สติ สัมปชัญญะ และเสวยสุขอันใดเล่าเป็นเหตุ พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่าเป็นผู้อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข, ตะติยาฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงตติฌาน (ความเพ่งที่ ๓)
สุขัสสะ จะ ปะหานา. เพราะละสุขเสียได้, ทุกขัสสะ จะ ปะหานา. เพราะละทุกข์เสียได้, ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา. เพราะความที่โสมนัส และโทมนัส(ทั้ง๒) ในกาลก่อนอัสดงค์ดับไป, อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปะริสุทธิง จตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. เข้าถึงจตุตถฌาน (ความเพ่งที่ ๔) ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา, อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ)
อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้ที่กล่าวว่า อริยสัจคือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์แล้ว)
สัจจะบัพพัง จบข้อกำหนดด้วยสัจจะ
อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ, ดังนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายในบ้าง, พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม เป็นภายนอกบ้าง, อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในบ้างทั้งภายนอกบ้าง, สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง, วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไปในธรรมบ้าง, สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในกายบ้าง,
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ. ก็หรือสติว่า ธรรมมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น, ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่รู้, ปะติสสะติมัตตายะ. แต่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก, อะนิสสิโต จะ วิหะระติ. เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย, นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆในโลกด้วย, เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม. จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ. คือ อริยสัจ ๔ อย่างนี้แลฯ,
ธัมมานุปัสสนาสะติปัฏฐานัง จบธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
-อานิสงส์ของการเจริญสติปัฏฐาน๔-
โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น,** สัตตะ วัสสานิ. ตลอด ๗ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว สัตตะวัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ ปียกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, ฉะ วัสสานิ. ตลอด ๖ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ฉะ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ ปียกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, ปัญจะ วัสสานิ. ตลอด ๕ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ปัญจะ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ ปียกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, จัตตาริ วัสสานิ. ตลอด ๔ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว จัตตาริ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ ปียกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, ตีณิ วัสสานิ. ตลอด ๓ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ตีณิ วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ ปียกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, เทว (ทเว) วัสสานิ. ตลอด ๒ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว เทว(ทเว) วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ ปียกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, เอกัง วัสสานิ. ตลอด ๑ ปี,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว เอกัง วัสสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๑ ปียกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, สัตตะ มาสานิ. ตลอด ๗ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว สัตตะ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ เดือนยกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, ฉะ มาสานิ. ตลอด ๖ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ฉะ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๖ เดือนยกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, ปัญจะ มาสานิ. ตลอด ๕ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ปัญจะ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๕ เดือนยกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, จัตตาริ มาสานิ. ตลอด ๔ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว จัตตาริ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๔ เดือนยกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, ตีณิ มาสานิ. ตลอด ๓ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว ตีณิ มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ เดือนยกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, เทว(ทเว) มาสานิ. ตลอด ๒ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว เทว(ทเว) มาสานิ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๒ เดือนยกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, เอกัง มาสัง. ตลอด ๑ เดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว มาโส. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๑ เดือนยกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, อัฑฒะมาสัง. ตลอดกึ่งเดือน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
ติฏฐันตุ ภิกขะเว อัฑฒะมาสัง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายกึ่งเดิอนยกไว้, โย หิ โกจิ ภิกขะเว อิเม จัตตาโร สะติปัฏฐาเน เอวัง ภาเวยยะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนั้น, สัตตาหัง. ตลอด ๗ วัน,
ตัสสะ ทวินนัง ผะลานัง อัญญะตะรัง ผะลัง ปาฏิกังขัง. ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ อันใดอันหนึ่ง, ทิฏเฐวะ ธัมเม อัญญา คือพระอรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑, สะติ วา อุปาทิเสเส อะนาคามิตา. หรือเมื่ออุปาทิ (คือสังโยชน์) ยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี๑ (คือผู้นั้นจะได้อรหัตตผล หรืออนาคามิผล ในปัจจุบันชาตินี้เป็นแน่)
เอกายะโน ภิกขะเว อะยัง มัคโค. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก สัตตานัง วิสุทธิยา. เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย, โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ เพื่อก้าวล่วงเสียซึ่งความโศกและความร่ำไร, ทุกขะโทมะนัสสานัง อัฏฐังคะมายะ. เพื่ออัศดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส, ญายัสสะ อะธิคะมายะ. เพื่อบรรลุญายธรรม, นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง, ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานาติ. ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ อย่าง ด้วยประการฉะนี้, อิติ ยันตัง วุตตัง. คำอันใดที่กล่าวแล้วอย่างนี้, อิทะเมตัง ปะฏิจจะ วุตตันติ. คำอันนั้น ที่อาศัยทางอันเอก(คือสติปัฏฐาน๔) นี้กล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้, อิทะมะโวจะ ภะคะวา อัตตะมะนา เต ภิกขู. ภิกษุเหล่านี้มีใจยินดี, ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุนติ. เพลิดเพลินนักซึ่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้แลฯ,
|
12899
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12899
|
คาถากันโรคภัยไข้เจ็บ
|
สักกัตวา พุทธะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง
วะรัง หิตัง เทวะมะนุสสานัง พุทธะเตเชนะ
โสตถินา นัสสันตุ ปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เมฯ
สักกัตวา ธัมมะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง
วะรัง ปะริฬาหูปะสะมะนัง ธัมมะเตเชนะ โสตถินา
นัสสันตุ ปัททะวา สัพเพ ภะยา วูปะสะเมนตุ เมฯ
สักกัตวา สังฆะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง
วะรัง อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ
โสตถินา นัสสันตุ ปัททะวา สัพเพ โรคา
วูปะสะเมนตุ เมฯ
หมายเหตุ.
พระคาถาบทนี้ เป็นพระคาถาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงประทานให้เทพบุตรอุณหิสวิชัย ได้ท่องพระคาถานี้ จึงได้มีอายุอยู่ในสวรรค์ต่อไปอีก (พระคาถานี้ส่วนมากมิค่อยทราบกัน ไปสวดแต่บทอานิสงฆ์กันเสียหมด)
ผู้ใดหมั่นสวดพระคาถานี้ จะระงับโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งจะอายุยืนยาว ใช้เสกยากินแก้โรคก็ได้
และถ้าผู้ใดสวดเจริญอยู่เป็นนิจ นอกจากจะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว
ยังแคล้วคลาดจากภัยต่างๆๆ เช่น ราชภัย โจรภัย ฯลฯ อีกด้วย
|
12901
|
6791
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12901
|
คาถามหาลาภ
|
นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ สุวัณณัง วา ระชะตัง วา มะณี วา ธะนัง วา พีชัง วา อัตถัง วา ปัตถัง วา เอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อิติมีมา นะมามิหัง.
ใช้สวดภาวนาก่อนนอน 3 จบ และตื่นนอนเช้า 3 จบ เป็นการเรียกทรัพย์เรียกลาภ
|
12902
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12902
|
คาถาค้าขายดี (ของเก่า)
|
พุทธัง พาหุชะนานัง
เอหิจิตตัง เอหิมะนุสสานัง
เอหิลาภัง เอหิเมตตา
ชมภูทีเป มะนุสสานัง
อิตถิโย ปูริโส จิตตัง พันธัง เอหิ
พ่อค้าแม่ค้าพาณิชย์ นิยมเสกเป่า ๓ จบ ๗ จบ ทำน้ำมนต์ล้างหน้า
และประพรมสินค้าขายของดีนักแล
|
12909
|
4619
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12909
|
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
|
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดย
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (พ.ศ. 2549)
<pages index="พระราชบัญญัติฯ ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ๒๕๕๐.pdf" from="1" to="9"/>
#เปลี่ยนทาง
<pages index="พระราชบัญญัติฯ ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ๒๕๕๐.pdf" include="10"/>
|
12992
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12992
|
ประชุมกฎหมายประจำศก/เล่ม 65/ภาค 1/เรื่อง 1
|
← หน้าต้น
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 65<templatestyles src="nowrap/core.css"/>ภาค 1
(พ.ศ. 2497)
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495
2.
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 65<templatestyles src="nowrap/core.css"/>ภาค 1
— "1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495"2497
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
รัฐธรรมนูญ
คำปรารภ
มาตรา
# การใช้รัฐธรรมนูญ
# พระมหากษัตริย์
# สิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของชนชาวไทย
# แนวนโยบายแห่งรัฐ
# อำนาจนิติบัญญัติ
# อำนาจบริหาร
# อำนาจตุลาการ
# ตุลาการรัฐธรรมนูญ
# การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
# บทสุดท้าย และบทเฉพาะกาล
# การอ้างถึงกฎหมายเดิม
#เปลี่ยนทาง
<pages index="Prachum Kotmai Pracham Sok 65-1.djvu" from="121" to="145"/>
|
12993
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12993
|
ประชุมกฎหมายประจำศก/เล่ม 59/เรื่อง 1
|
← หน้าต้น
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 59
(พ.ศ. 2490)
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
2.
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 59
— "1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489"2490
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
รัฐธรรมนูญ
คำปรารภ
บททั่วไป
หมวด 1 พระมหากษัตริย์
หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของชนชาวไทย
หมวด 3 อำนาจนิติบัญญัติ
ส่วนที่ 1 บททั่วไป
ส่วนที่ 2 พฤฒสภา
ส่วนที่ 3 สภาผู้แทน
ส่วนที่ 4 บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง
ส่วนที่ 5 การประชุมร่วมกันของรัฐสภา
หมวด 4 อำนาจบริหาร
หมวด 5 อำนาจตุลาการ
หมวด 6 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
หมวด 7 บทสุดท้าย
บทฉะเพาะกาล
ประกาศวิธีการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาตามบทฉะเพาะกาลของรัฐธรรมนูญ
#เปลี่ยนทาง
<pages index="Prachum Kotmai Pracham Sok 59.djvu" from="249" to="274" tosection="274-1"/>
#เปลี่ยนทาง
<pages index="Prachum Kotmai Pracham Sok 59.djvu" from="274" to="280" fromsection="274-2"/>
|
12995
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12995
|
ประชุมกฎหมายประจำศก/เล่ม 62/เรื่อง 1
|
← หน้าต้น
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 62
(พ.ศ. 2493)
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
2.
ประชุมกฎหมายประจำศก: เล่ม 62
— "1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492"2493
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
รัฐธรรมนูญ
คำปรารภ
หมวด
# บททั่วไป
# พระมหากษัตริย์
# สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
# หน้าที่ของชนชาวไทย
# แนวนโยบายแห่งรัฐ
# อำนาจนิติบัญญัติ
## บททั่วไป
## วุฒิสภา
## สภาผู้แทน
## บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง
## การประชุมร่วมกันของรัฐสภา
# อำนาจบริหาร
# อำนาจตุลาการ
# ตุลาการรัฐธรรมนูญ
# การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
# บทสุดท้าย
บทฉะเพาะกาล
#เปลี่ยนทาง
<pages index="Prachum Kotmai Pracham Sok 62.djvu" from="33" to="82"/>
|
12996
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12996
|
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
|
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 โดย
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502คณะปฏิวัติ (พ.ศ. 2501)
<pages index="ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๐๒.pdf" from="1" to="8"/>
|
12997
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12997
|
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
|
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 โดย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511สภาร่างรัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2502)
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
รัฐธรรมนูญ
คำปรารภ
หมวด
# บททั่วไป
# พระมหากษัตริย์
# สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
# หน้าที่ของชนชาวไทย
# แนวนโยบายแห่งรัฐ
# อำนาจนิติบัญญัติ
## บททั่วไป
## วุฒิสภา
## สภาผู้แทน
## บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง
## การประชุมร่วมกันของรัฐสภา
# อำนาจบริหาร
# อำนาจตุลาการ
# ตุลาการรัฐธรรมนูญ
# การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
# บทสุดท้าย
บทเฉพาะกาล
#เปลี่ยนทาง
<pages index="รัฐธรรมนูญ ๒๕๑๑.pdf" from="1" to="68"/>
|
12998
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12998
|
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
|
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 โดย
แก้ไขเพิ่มเติม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (พ.ศ. 2515)
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
รัฐธรรมนูญ
คำปรารภ
หมวด
# บททั่วไป
# พระมหากษัตริย์
# สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
# หน้าที่ของชนชาวไทย
# แนวนโยบายแห่งรัฐ
# รัฐสภา
## บททั่วไป
## วุฒิสภา
## สภาผู้แทนราษฎร
## บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง
## การประชุมร่วมกันของรัฐสภา
## ผู้ตรวจเงินแผ่นดินของรัฐสภา
## ข้าราชการฝ่ายรัฐสภา
# คณะรัฐมนตรี
# ศาล
# ตุลาการรัฐธรรมนูญ
# การปกครองท้องถิ่น
# การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
บทเฉพาะกาล
#เปลี่ยนทาง
<pages index="รัฐธรรมนูญ ๒๕๑๗.pdf" from="1" to="90"/>
|
12999
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=12999
|
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519
|
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 โดย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
<pages index="รัฐธรรมนูญ ๒๕๑๙.pdf" from="1" to="15"/>
|
13000
|
11436
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13000
|
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
|
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 โดย
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (พ.ศ. 2534)
สารบัญ#เปลี่ยนทาง
รัฐธรรมนูญ
คำปรารภ
หมวด
# บททั่วไป
# พระมหากษัตริย์
# สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
# หน้าที่ของชนชาวไทย
# แนวนโยบายแห่งรัฐ
# รัฐสภา
## บททั่วไป
## วุฒิสภา
## สภาผู้แทนราษฎร
## บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง
## การประชุมร่วมกันของรัฐสภา
# คณะรัฐมนตรี
# ศาล
# การปกครองท้องถิ่น
# ตุลาการรัฐธรรมนูญ
# การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
บทเฉพาะกาล
#เปลี่ยนทาง
<pages index="รัฐธรรมนูญ ๒๕๓๔.pdf" from="1" to="80"/>
|
13004
|
10939
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13004
|
ประกาศหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ฉบับที่ 10
|
← 9
ประกาศหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2549)
โดย
11
ประกาศหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 10คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข2549
<pages index="ประกาศ คปค.djvu" include="10"/>
|
13005
|
10939
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13005
|
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ฉบับที่ 11
|
← 10
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2549)
โดย
12
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 11คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข2549
<pages index="ประกาศ คปค.djvu" include="11"/>
|
13006
|
10939
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13006
|
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ฉบับที่ 12
|
← 11
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2549)
โดย
13
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 12คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข2549
<pages index="ประกาศ คปค.djvu" include="12"/>
|
13007
|
10939
|
https://th.wikisource.org/wiki?curid=13007
|
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ฉบับที่ 13
|
← 12
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2549)
โดย
14
ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 13คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข2549
<pages index="ประกาศ คปค.djvu" include="13"/>
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.